ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
- Loby
- Verified User
- โพสต์: 1648
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 1
ผมมีเงินออมอยู่จำนวนหนึ่งและเงินลงทุนในหุ้นด้วย แต่มีปัญหาที่จะรบกวนขอคำปรึกษาจากทุกๆคนในที่นี้เกี่ยวกับเรื่องการผ่อนบ้าน
ในปีหน้า(2551)จะครบกำหนดการใช้อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได 3 ปี (3%,4%,5%) ซึ่งหลังจากนั้นจะต้องเลือกไปใช้ระหว่างอัตราดอกเบี้ยลอยตัวหรือเลือกใช้แบบคงที่ขั้นบันได(>=6.5%) ทำให้ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรระหว่าง
การใช้เงินก้อนบางส่วนทั้งจากการออมและการลงทุน ชำระเงินต้นที่เหลืออยู่
หรือผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยใหม่ต่อไปโดยไม่จ่ายเงินเพื่อลดเงินต้น
ผมคิดว่าถ้าผมเลือกทางเลือกข้อแรกมันจะทำให้เงินต้นลดลงไปพอสมควรและเสียดอกเบี้ยน้อยลง แต่ก็เสียดายเงินดังกล่าวที่เก็บออมและสร้างผลตอบแทนมา เพราะสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี(>8.5%)มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
แต่ถ้าเลือกทางเลือกข้อสองก็เกรงว่าจะเสียโอกาสในการนำเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยไปสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า และต้องใช้เวลาในการผ่อนชำระนานไป เพราะยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินในด้านอื่นๆอีกรออยู่เช่น เก็บเงินแต่งงาน
ข้อมูลเพิ่มเติมครับ ยังมีเงินต้นเหลืออยู่ประมาณ 850,000 บาท และเงินที่คาดว่าจะนำมาใช้ในส่วนนี้ประมาณ 300,000 บาทครับ
รบกวนทุกๆคนช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ จะได้เป็นแนวทางในการตัดสินใจอีกที ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ในปีหน้า(2551)จะครบกำหนดการใช้อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได 3 ปี (3%,4%,5%) ซึ่งหลังจากนั้นจะต้องเลือกไปใช้ระหว่างอัตราดอกเบี้ยลอยตัวหรือเลือกใช้แบบคงที่ขั้นบันได(>=6.5%) ทำให้ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรระหว่าง
การใช้เงินก้อนบางส่วนทั้งจากการออมและการลงทุน ชำระเงินต้นที่เหลืออยู่
หรือผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยใหม่ต่อไปโดยไม่จ่ายเงินเพื่อลดเงินต้น
ผมคิดว่าถ้าผมเลือกทางเลือกข้อแรกมันจะทำให้เงินต้นลดลงไปพอสมควรและเสียดอกเบี้ยน้อยลง แต่ก็เสียดายเงินดังกล่าวที่เก็บออมและสร้างผลตอบแทนมา เพราะสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี(>8.5%)มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
แต่ถ้าเลือกทางเลือกข้อสองก็เกรงว่าจะเสียโอกาสในการนำเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยไปสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า และต้องใช้เวลาในการผ่อนชำระนานไป เพราะยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินในด้านอื่นๆอีกรออยู่เช่น เก็บเงินแต่งงาน
ข้อมูลเพิ่มเติมครับ ยังมีเงินต้นเหลืออยู่ประมาณ 850,000 บาท และเงินที่คาดว่าจะนำมาใช้ในส่วนนี้ประมาณ 300,000 บาทครับ
รบกวนทุกๆคนช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ จะได้เป็นแนวทางในการตัดสินใจอีกที ขอบคุณล่วงหน้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
พิจารณาดูครับ
โพสต์ที่ 2
เอ่อ...ความเป็นจริงควรสะสางเรื่องหนี้ก่อนน่ะครับ(ควรกันเงินไว้ส่วนนึงในการชำระหนี้)
และอีกส่วนไว้สำหรับการลงทุนต่างหาก แต่ถ้าคุณลงทุนในหุ้นแล้วไดกำไร
คุณก็ลองคำนวณต้นทุนของหุ้นเราซื้อไว้ว่ามีราคาเท่าไหร่ สมมติว่าถ้าเราขายหุ้น
ออกไปส่วนนึงแต่เราก็ยังมีกำไรอยู่ถ้าคิดจากต้นทุนหุ้นที่เราซื้อ เราก็ควรขาย
เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้
หรือมีอีกวิธีแต่ก็บ้าระห่ำไปหน่อย คือ ไม่ต้องจ่ายเงินคืนเลยสามเดือน
ปล่อยให้ธนาคารฟ้องร้องไปเลย ซึ่งเมื่อเรื่องขึ้นศาลไปแล้วก็ต้องใช้เวลาร่วมๆ
5ปีเลยทีเดียวกว่าจะปิดคดีได้ และตอนช่วงเรื่องขึ้นศาลอยู่นั้นธนาคารก็ไม่
คิดดอกเบี้ยคุณด้วย
ซึ่งในช่วงห้าปีคุณต้องมั่นใจน่ะว่าคุณจะสามารถลงทุนและนำกำไรที่เกิดจากการลงทุน
มาชำระหนี้ได้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งชี้ขาด
ก็ลองพิจารณาดูครับ
และอีกส่วนไว้สำหรับการลงทุนต่างหาก แต่ถ้าคุณลงทุนในหุ้นแล้วไดกำไร
คุณก็ลองคำนวณต้นทุนของหุ้นเราซื้อไว้ว่ามีราคาเท่าไหร่ สมมติว่าถ้าเราขายหุ้น
ออกไปส่วนนึงแต่เราก็ยังมีกำไรอยู่ถ้าคิดจากต้นทุนหุ้นที่เราซื้อ เราก็ควรขาย
เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้
หรือมีอีกวิธีแต่ก็บ้าระห่ำไปหน่อย คือ ไม่ต้องจ่ายเงินคืนเลยสามเดือน
ปล่อยให้ธนาคารฟ้องร้องไปเลย ซึ่งเมื่อเรื่องขึ้นศาลไปแล้วก็ต้องใช้เวลาร่วมๆ
5ปีเลยทีเดียวกว่าจะปิดคดีได้ และตอนช่วงเรื่องขึ้นศาลอยู่นั้นธนาคารก็ไม่
คิดดอกเบี้ยคุณด้วย
ซึ่งในช่วงห้าปีคุณต้องมั่นใจน่ะว่าคุณจะสามารถลงทุนและนำกำไรที่เกิดจากการลงทุน
มาชำระหนี้ได้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งชี้ขาด
ก็ลองพิจารณาดูครับ
- Saran
- Verified User
- โพสต์: 2377
- ผู้ติดตาม: 1
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 3
ถ้าเป็นผม เรื่องผ่อนบ้าน ผมอาจเลือกใช้แบบคงที่ขั้นบันไดนะครับ
เพราะว่าเราสามารถควบคุมต้นทุนที่ต้องจ่ายได้ง่ายกว่านะครับ
แล้วใช้เงินออมที่มีไปชำระเงินต้นที่เหลืออยู่ครับ ส่วนเงินลงทุนก็ให้มันทำงานของมันต่อไปจะดีกว่า
โดยส่วนตัว ผมจะเน้นในเรื่องสะสางหนี้สินก่อน แล้วค่อยนำเงินที่เหลือไปลงทุนครับ 8)
เพราะว่าเราสามารถควบคุมต้นทุนที่ต้องจ่ายได้ง่ายกว่านะครับ
แล้วใช้เงินออมที่มีไปชำระเงินต้นที่เหลืออยู่ครับ ส่วนเงินลงทุนก็ให้มันทำงานของมันต่อไปจะดีกว่า
โดยส่วนตัว ผมจะเน้นในเรื่องสะสางหนี้สินก่อน แล้วค่อยนำเงินที่เหลือไปลงทุนครับ 8)
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 4
เป็นหนี้ควรจ่ายหนี้ก่อนครับ
ยกเว้น กรณี คุณสามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยมากๆ
อย่างไรก็ดี ควรกันเงินส่วนหนึ่งไว้ในยามฉุกเฉินด้วยครับ
อย่าเอาไปโปะบ้านจนหมด เวลาป่วยจะได้มีเงินไปหาหมอ
ยกเว้น กรณี คุณสามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยมากๆ
อย่างไรก็ดี ควรกันเงินส่วนหนึ่งไว้ในยามฉุกเฉินด้วยครับ
อย่าเอาไปโปะบ้านจนหมด เวลาป่วยจะได้มีเงินไปหาหมอ
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 5
ผมว่าเลือกผ่อนบ้านไปเรื่อย ๆ ดีกว่า เพราะเงินที่นำไปลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าที่เสียดอกเบี้ย ส่วนต่างอยู่ที่ 3 %
อีกทั้งเงินที่ต้องผ่อนเราสามารถนำมาวางแผนการเงินระยะยาวได้
ดอกเบี้ยก็นำมาลดภาษีได้
หากว่าในอนาคต 3-4 ปี เรามีเงินเดือนมากกว่านี้ ก็นำไปชำระทั้งจำนวนได้ ไม่ควรรีบร้อนจนลำบาก
ปกติแบงค์ให้กู้ระยะยาว 20 ปี แต่ส่วนมากมักจะผ่อนไม่ค่อยเกิน 7 ปี ครับ ตามที่สำรวจมาโดยพวกที่ทำวิจัยการซื้อบ้าน
อีกทั้งเงินที่ต้องผ่อนเราสามารถนำมาวางแผนการเงินระยะยาวได้
ดอกเบี้ยก็นำมาลดภาษีได้
หากว่าในอนาคต 3-4 ปี เรามีเงินเดือนมากกว่านี้ ก็นำไปชำระทั้งจำนวนได้ ไม่ควรรีบร้อนจนลำบาก
ปกติแบงค์ให้กู้ระยะยาว 20 ปี แต่ส่วนมากมักจะผ่อนไม่ค่อยเกิน 7 ปี ครับ ตามที่สำรวจมาโดยพวกที่ทำวิจัยการซื้อบ้าน
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 6
ลงทุนมานานหรือยังครับ
ถ้าผลตอบแทนทบต้นดีกว่ามากๆ แนะนำให้เอาเงินมาลงทุน
แต่ถ้าผมตอบแทนไม่ได้สม่ำเสมอนัก หรือ ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์หนักๆ
แนะนำ แบ่งเป็นสองส่วนเพือความสบายใจ
ครึ่งๆก็ได้ง่ายดี ครับผม
ถ้าผลตอบแทนทบต้นดีกว่ามากๆ แนะนำให้เอาเงินมาลงทุน
แต่ถ้าผมตอบแทนไม่ได้สม่ำเสมอนัก หรือ ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์หนักๆ
แนะนำ แบ่งเป็นสองส่วนเพือความสบายใจ
ครึ่งๆก็ได้ง่ายดี ครับผม
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- Loby
- Verified User
- โพสต์: 1648
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 7
ลงทุนมาได้เกือบ 2 ปีแล้วครับ ผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งส่วนต่างราคาและเงินปันผล ประมาณปีละ12% แต่เงินลงทุนไม่ถึง 7 หลักครับ ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินจริงๆยังไม่มากพอที่จะแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงยังไม่กล้าฟันธงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 9
ตามประสพการณ์ที่เคยผ่านมา ผมคิดว่าการเป็นหนี้เป็นทุกข์อันดับสองรองจากการเจ็บป่วยเลยนะครับ โดยเฉพาะหนี้ในทรัพย์สินที่เราชำระไปแล้วบางส่วนและมีมูลค่าสูงเช่นบ้าน ซึ่งคนทั่วไปคงมีโอกาสมีได้ไม่เกิน1-2 หลังในชีวิต และถ้าเราทั้งเจ็บป่วยและเป็นหนี้ด้วยก็คงยิ่งลำบาก ไม่เจตนาจะทำให้กังวลนะครับเพียงแต่มองในกรณีแย่ที่สุดที่อาจเกิดได้กับชีวิตคนเราเพราะเจ็บป่วยเป็นเรื่องเกิดได้กับทุกคน ปัญหาคือไม่รู้ว่าเมื่อไร อยากให้มองให้กว้างกว่าเรื่องผลตอบแทนเป็นตัวเงินว่าวิธีไหนจะประหยัดกว่ากัน
ที่ผมทำมาก็คือ ใช้หนี้บ้านให้หมดเร็วที่สุดโดยกำหนดระยะเวลาผ่อนหมดให้ชัดเจนว่าอีกกี่ปี โดยเหลือเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่าที่จำเป็น(นอกเหนือจากเงินก้อนที่กันไว้ยามฉุกเฉินหากขาดรายได้ชั่วคราว)และจัดเรื่องการลงทุนไว้เป็นอันดับถัดมา
การซื้อบ้านก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง หากอยู่ในทำเลที่ดีราคาอาจเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าผลตอบแทนในการลงทุนที่ทำได้จากวิธีอื่น(เช่นหุ้น ฯลฯ) ที่สำคัญเราได้กำไรจากการอยู่อาศัย ความภาคภูมิใจ เป็นที่พบปะของญาติพี่น้องได้ ฯลฯ ถ้าเรากำจัดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในเรื่องที่เราคาดไม่ถึงหรือควบคุมไม่ได้ที่อาจทำให้เราชำระหนี้(ก้อนใหญ่)ไม่หมดออกไปให้เร็วที่สุดน่าจะดีกว่า เพราะนอกเหนือจากเรื่องเจ็บป่วยก็ยังมีเรื่องอืนๆอีก เช่นเศรษฐกิจไม่ดีรายได้เราอาจลดลง
วันที่ผมส่งเงินงวดสุดท้ายพร้อมกับปลดจำนองออกจากธนาคารเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมีความสุขมากในชีวิต รู้สึกตัวเบาเลยมากเลยละ
จากประสพการณ์ล้วนๆครับ
ที่ผมทำมาก็คือ ใช้หนี้บ้านให้หมดเร็วที่สุดโดยกำหนดระยะเวลาผ่อนหมดให้ชัดเจนว่าอีกกี่ปี โดยเหลือเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่าที่จำเป็น(นอกเหนือจากเงินก้อนที่กันไว้ยามฉุกเฉินหากขาดรายได้ชั่วคราว)และจัดเรื่องการลงทุนไว้เป็นอันดับถัดมา
การซื้อบ้านก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง หากอยู่ในทำเลที่ดีราคาอาจเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าผลตอบแทนในการลงทุนที่ทำได้จากวิธีอื่น(เช่นหุ้น ฯลฯ) ที่สำคัญเราได้กำไรจากการอยู่อาศัย ความภาคภูมิใจ เป็นที่พบปะของญาติพี่น้องได้ ฯลฯ ถ้าเรากำจัดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในเรื่องที่เราคาดไม่ถึงหรือควบคุมไม่ได้ที่อาจทำให้เราชำระหนี้(ก้อนใหญ่)ไม่หมดออกไปให้เร็วที่สุดน่าจะดีกว่า เพราะนอกเหนือจากเรื่องเจ็บป่วยก็ยังมีเรื่องอืนๆอีก เช่นเศรษฐกิจไม่ดีรายได้เราอาจลดลง
วันที่ผมส่งเงินงวดสุดท้ายพร้อมกับปลดจำนองออกจากธนาคารเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมีความสุขมากในชีวิต รู้สึกตัวเบาเลยมากเลยละ
จากประสพการณ์ล้วนๆครับ
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาเรื่องเงินลงทุนครับ
โพสต์ที่ 10
ผมแนะนำแบบนี้ครับ
หลังจากที่ดอกเบี้ยลอยตัวแล้ว
เงินค่างวดส่วนใหญ่จะเป็นการชำระดอกเบี้ย
และเงินต้นจะลดลงเพียงนิดเดียว
ปัญหานี้อาจจะแก้ไขได้โดย
- การ Refinance เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง
แต่การ Refinance ก็มีค่าธรรมเนียมเช่นกัน
ลองคำนวณว่าคุ้มค่าที่จะทำหรือไม่
- ตกลงกับธนาคารขอชำระค่างวดในอัตราที่สูงขึ้น
เช่นเคยผ่อนชำระเดือนละ 6 พัน
อาจจะขอผ่อนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 8 พัน เพื่อให้หักเงินต้นได้มากขึ้น
ลองพิจารณาตามความเหมาะสม
โดยไม่ให้กระทบกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ
ส่วนเงินก้อนที่เหลืออยู่ของเรา
ในการพิจารณว่าจะนำไปลงทุนเพิ่มหรือโปะเงินต้น
ขึ้นอยู่กับว่าผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นมันสูงกว่าต้นทุนของเงินกู้
ในระดับที่น่าสนใจหรือเปล่า
เช่นปันผล + Cap Gain > 10% ต่อปี
การนำเงินก้อนดังกล่าวไปลงทุนน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
รวมทั้งดอกเบี้ยที่ผ่อนบ้านก็สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ด้วย
(รัฐเพิ่งออกกฎหมายว่าสามารถนำไปลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
จากเดิม 50,000 บาท)
เงินจำนวนนี้เมื่อได้รับผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆ รวมทั้งมีการลงทุนเพิ่ม
อีกไม่นานเราก็จะมีพอร์ทใหญ่ถึงขนาดที่สามารถจ่ายเงินต้นได้หมด
ทีนี้มันก็ขึ้นกับเราแล้วว่า เราต้องการจ่ายหรือไม่
และอาจจะเลือกจ่ายเงินต้นก้อนนั้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมเช่น
ช่วงดอกเบี้ยสูงผิดปกติ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อตลาดหุ้นด้วย
เราก็ switch จากหุ้นเป็นเงินสดและนำไปโปะเงินต้นแบบนี้ก็ได้ครับ
สำหรับผม การเป็นหนี้เนื่องจากซื้อบ้าน ไม่ได้รู้สึกว่าทุกข์แต่อย่างใดครับ
เพราะเราสามารถ Control ได้
แต่แน่นอนครับว่าวันที่ไถ่ถอนจำนอง คงรู้สึกภูมิใจและโล่งเหมือนกัน
หลังจากที่ดอกเบี้ยลอยตัวแล้ว
เงินค่างวดส่วนใหญ่จะเป็นการชำระดอกเบี้ย
และเงินต้นจะลดลงเพียงนิดเดียว
ปัญหานี้อาจจะแก้ไขได้โดย
- การ Refinance เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง
แต่การ Refinance ก็มีค่าธรรมเนียมเช่นกัน
ลองคำนวณว่าคุ้มค่าที่จะทำหรือไม่
- ตกลงกับธนาคารขอชำระค่างวดในอัตราที่สูงขึ้น
เช่นเคยผ่อนชำระเดือนละ 6 พัน
อาจจะขอผ่อนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 8 พัน เพื่อให้หักเงินต้นได้มากขึ้น
ลองพิจารณาตามความเหมาะสม
โดยไม่ให้กระทบกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ
ส่วนเงินก้อนที่เหลืออยู่ของเรา
ในการพิจารณว่าจะนำไปลงทุนเพิ่มหรือโปะเงินต้น
ขึ้นอยู่กับว่าผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นมันสูงกว่าต้นทุนของเงินกู้
ในระดับที่น่าสนใจหรือเปล่า
เช่นปันผล + Cap Gain > 10% ต่อปี
การนำเงินก้อนดังกล่าวไปลงทุนน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
รวมทั้งดอกเบี้ยที่ผ่อนบ้านก็สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ด้วย
(รัฐเพิ่งออกกฎหมายว่าสามารถนำไปลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
จากเดิม 50,000 บาท)
เงินจำนวนนี้เมื่อได้รับผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆ รวมทั้งมีการลงทุนเพิ่ม
อีกไม่นานเราก็จะมีพอร์ทใหญ่ถึงขนาดที่สามารถจ่ายเงินต้นได้หมด
ทีนี้มันก็ขึ้นกับเราแล้วว่า เราต้องการจ่ายหรือไม่
และอาจจะเลือกจ่ายเงินต้นก้อนนั้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมเช่น
ช่วงดอกเบี้ยสูงผิดปกติ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อตลาดหุ้นด้วย
เราก็ switch จากหุ้นเป็นเงินสดและนำไปโปะเงินต้นแบบนี้ก็ได้ครับ
สำหรับผม การเป็นหนี้เนื่องจากซื้อบ้าน ไม่ได้รู้สึกว่าทุกข์แต่อย่างใดครับ
เพราะเราสามารถ Control ได้
แต่แน่นอนครับว่าวันที่ไถ่ถอนจำนอง คงรู้สึกภูมิใจและโล่งเหมือนกัน
"Winners never quit, and quitters never win."