ครับ วิธี economic profit เป็นอีกทางเลือกนึงที่ผมเห็นว่าเข้าใจได้ไม่ยากนักและสามารถนำเอา financial ratio ต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันมา link กับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ครับ ซึ่งผมจะได้กล่าวต่อไปในตอนที่พูดถึง ROIC tree
เข้าไปอ่านแล้วมีข้อสงสัยครับ ไม่ต้องรอคนเขียน เอาในนี้ดีกว่าครับ ผมสงสัยว่าทำไมใช้ discount rate ต่ำจัง (5%) คือใช้ดอกเบี้ยของ federal bond (ซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก) จริง ๆ ควรใช้ cost of capital ของบริษัท (หรือผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ?) ไม่ใช่หรือครับ cost of capital น่าจะมากกว่า 5%
เข้าไปอ่านแล้วมีข้อสงสัยครับ ไม่ต้องรอคนเขียน เอาในนี้ดีกว่าครับ ผมสงสัยว่าทำไมใช้ discount rate ต่ำจัง (5%) คือใช้ดอกเบี้ยของ federal bond (ซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก) จริง ๆ ควรใช้ cost of capital ของบริษัท (หรือผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ?) ไม่ใช่หรือครับ cost of capital น่าจะมากกว่า 5%
ว่ามีความรู้สึกยังไงกับหุ้นในกลุ่ม cyclical business ครับ เพราะหุ้นในกลุ่มนี้มันต้องมีช่วงขึ้นกับช่วงลง ถ้าจะลงทุนแบบ VI ที่เน้นถือยาว คงไม่เหมาะนะครับ แต่หุ้นในกลุ่มนี้ก็มีหลายตัวมาก เช่น อุตสาหกรรมเคมี เครื่องบิน ขนส่ง เหล็ก โลหะ รวมถึงโรงพยาบาล
คำถามครับ
1 ถ้าจะลงทุนแบบถือยาว หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม cyclical business ดีไหมครับ
2 เห็นในหนังสือบอกว่า วิธีดูว่าอยู่ในจุดไหนของวงจรใน Cyclical business ให้ดู PE ถ้า PE สูง แสดงว่า E ต่ำ น่าจะอยู่ตรง bottom ให้ซื้อ ถ้า PE ต่ำ E สูง น่าจะอยู่ตรง peak ให้ขาย
ว่ามีความรู้สึกยังไงกับหุ้นในกลุ่ม cyclical business ครับ เพราะหุ้นในกลุ่มนี้มันต้องมีช่วงขึ้นกับช่วงลง ถ้าจะลงทุนแบบ VI ที่เน้นถือยาว คงไม่เหมาะนะครับ แต่หุ้นในกลุ่มนี้ก็มีหลายตัวมาก เช่น อุตสาหกรรมเคมี เครื่องบิน ขนส่ง เหล็ก โลหะ รวมถึงโรงพยาบาล
คำถามครับ
1 ถ้าจะลงทุนแบบถือยาว หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม cyclical business ดีไหมครับ
2 เห็นในหนังสือบอกว่า วิธีดูว่าอยู่ในจุดไหนของวงจรใน Cyclical business ให้ดู PE ถ้า PE สูง แสดงว่า E ต่ำ น่าจะอยู่ตรง bottom ให้ซื้อ ถ้า PE ต่ำ E สูง น่าจะอยู่ตรง peak ให้ขาย
ช่วงนี้ตลาดตกเพราะต่างชาติขายทิ้งหุ้นไทย
ที่โบรกเกอร์ต่างชาติออกบทวิเคาระห์ให้"ขาย"หุ้นไทยนั้น
ผมมองว่า นักลงทุนต่างชาติพวกนี้ก็ไม่ต่างจาก"นักเกร็งกำไร"สักเท่าใดนัก
เพียงแต่อาศัย"บทวิเคาระห์พื้นฐาน"เป็นอาวุธ
และมองว่า ที่ไหนมีผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ไปที่นั่น
โดยเก็บ"กำไร"เข้ากระเป๋าไป
ไม่ได้คิดที่จะถือเป็นเจ้าของกิจการเหมือน VI
ผมมองๆดู ผมเข้าใจคำพูดของอาจารย์บัฟเฟตเลยละครับ
อาจารย์บัฟเฟตชอบกระแหนะกระแหนพวกโบรกเกอร์วอลสตรีทอยู่เสมอว่า
ที่ Wall Street มี Motto อยู่อันหนึ่งที่ว่า "No one died taking profit"
ไม่มีใครตายเพราะขายเอากำไร
ดังนั้น ผมไม่แปลกใจที่โบรกต่างชาติขายของเพียงเพราะมี"กำไร"
อ้อ อีกหนึ่งประโยคจากน้า Lynch "STOCK is not blinking symbol, but behind every stock is COMPANY"
หุ้นไม่ใช่แค่ตัวอักษรกระพริบ เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือธุรกิจ