ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ
- mrkool
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ
โพสต์ที่ 1
ผมไม่รู้ว่าตลาดเกิดอะไรขึ้นช่วงนี้นะ ไม่น่าจะมีแต่คนขายมากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเงินจากต่างประเทศที่มีแต่การประโคมข่าวว่าฝรั่งขายเท่านั้นเท่านี้ ทั้งๆ ที่ผมว่าพื้นฐานของหลายๆ บริษัทก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร โอกาสของเหล่า VI ทั้งหลายน่าที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้ (เอ หรือมาถึงแล้วหว่า) พวกพี่ๆ คิดว่าไงครับ? ส่วนตัวผมอยากจะรออีกซักหน่อย เผื่อจะมีลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลแบบช่วงก่อนหน้านี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ
โพสต์ที่ 2
ผมเอง ทยอยรับบางส่วน ครับ
ในตัวที่ พื่นฐานดี
ในตัวที่ พื่นฐานดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ
โพสต์ที่ 3
หมดเงินช้อนแล้ว
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
- ปรัชญา ทิพย์มาบุตร
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
เศรษฐศาสตร์จานร้อน : การลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย
โพสต์ที่ 7
เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวอย่างแพร่หลาย ใจความว่า บริษัท UBS ริเริ่มปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย ตามมาด้วยการปรับลดน้ำหนักโดย เมอร์ริล ลินช์ และตามมาด้วยการปรับลดน้ำหนักโดย CSFB ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโบรกเกอร์ต่างประเทศชั้นนำทั้งสิ้น เป็นผลให้ราคาหุ้นตกต่ำลงไปอีก
รายงานข่าว อ้างแหล่งข่าวที่กล่าวหาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการ "ทุบหุ้น" ของโบรกเกอร์ต่างประเทศ เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศได้ซื้อหุ้นในราคาถูก โดยอ้างหลักฐานว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิเมื่อรายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกมา ต่อมาก็มีการร้องเรียนให้ ก.ล.ต.ติดตามสืบสวนการดำเนินงานดังกล่าวของโบรกเกอร์ต่างประเทศว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องหรือไม่
กระแสดังกล่าวแผ่วลงแล้ว เมื่อปรากฏนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม (1-10 มีนาคม) นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 600 ล้านบาทต่อวัน
แต่ที่ผมแปลกใจ คือ หนังสือพิมพ์ไทยและนักลงทุนไทยหลายคน เชื่อตามกันว่า นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ชั้นนำของโลก จะแกล้งวิเคราะห์ว่า ควรลดน้ำหนัก การลงทุนในไทย แต่ที่จริงแล้วแอบไปบอกให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าช้อนซื้อหุ้น เมื่อการวิเคราะห์ทำให้รายย่อยตื่นตระหนก และเทขายหุ้นออกมาในราคาถูก
ความเชื่อดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง การขาดความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจในตลาดทุน เพราะหากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ชั้นนำ ออกบทวิเคราะห์มาสู่สาธารณชน และแนะนำให้ขายหุ้น แต่นักลงทุนกลับทำตรงกันข้าม ผมรับรองได้เลยว่า นักวิเคราะห์คนนั้น จะยังเป็นนักวิเคราะห์ได้อีกไม่นาน เพราะเขาจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งแน่นอน เนื่องจากการวิเคราะห์ของเขาไม่มีคุณค่า และไม่น่าเชื่อถือ
ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของบทวิเคราะห์ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนักวิเคราะห์ ไม่มีนักวิเคราะห์คนใด อยากวิเคราะห์ผิด (จึงมีนักวิเคราะห์หลายคนไม่กล้าวิเคราะห์แบบฟันธง เพราะต้องการความยืดหยุ่นที่จะพูดแก้ตัวได้ในภายหลัง ว่าเขาไม่ได้วิเคราะห์ผิด) เพราะหากวิเคราะห์ผิดติดต่อกัน ก็จะไม่มีใครเชื่อถือบทวิเคราะห์ ทำให้นักวิเคราะห์คนนั้น จะต้องจบอาชีพลง
สำหรับบริษัทโบรกเกอร์ก็ไม่ต้องการนักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ผิด เพราะในอนาคต หากธุรกิจสาขาดังกล่าวมีบริษัทใหม่ จะมาเข้าระดมทุนในตลาด โบรกเกอร์จะเสนอตัวไปทำการกระจายหุ้นให้กับบริษัทดังกล่าวไม่ได้ เพราะการประเมินศักยภาพของบริษัท ตลอดจนการกำหนดราคาหุ้นที่ถูกต้องเหมาะสม จะต้องพึ่งพานักวิเคราะห์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ให้ถูกต้อง และเป็นที่น่าเชื่อถือของนักลงทุน ไม่ใช่วิเคราะห์ว่าหุ้นแพง (จึงต้องขาย) ทั้งๆ ที่หุ้นถูก นักลงทุนจึงอยากซื้อเพิ่ม
สรุปคือ หากพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นทันทีว่า ข้อกล่าวหา ว่าโบรกเกอร์แกล้งวิเคราะห์ผิด เพื่อทุบหุ้นนั้น เป็นสิ่งที่ไร้ด้วยเหตุผล
และหวังว่า นักลงทุนจะไตร่ตรองข้อกล่าวหาต่างๆ ให้รอบคอบกว่านี้ เพื่อประโยชน์ในการลงทุนของตัวเอง และที่สำคัญคือ เมื่อมีการรายงานข่าวที่ทำให้ตื่นตระหนก นักลงทุนก็ควรจะรวบรวมสติแล้วไปอ่านบทวิเคราะห์ที่ถูกอ้างอิงให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน
ซึ่งผมยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุนรายย่อย เพราะการวิเคราะห์จะเป็นภาษาอังกฤษ และมีความสลับซับซ้อน เพราะเป็นการวิเคราะห์ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้จัดการกองทุนสถาบันเป็นผู้อ่าน นอกจากนั้น การแจกจ่ายบทวิเคราะห์ดังกล่าว มักจะกระทำในขอบเขตที่จำกัดอีกด้วย
ในส่วนของบทวิเคราะห์โบรกเกอร์อื่นนั้น ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะนำมาสรุปให้อ่านได้ แต่สำหรับบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่เขียนโดย Spencer White ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของเมอร์ริล ลินช์ ในภูมิภาคเอเชียนั้น ผมยินดีนำมาสรุปให้ทราบดังนี้ครับ
1. เมอร์ริล ลินช์ เห็นว่า หุ้นไทยนั้น ราคาจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น มากกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนมาเท่ากับเกณฑ์ปกติและนำเงินที่ถอนออกจากไทยไปลงทุนที่มาเลเซีย เพราะปัจจัยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แนวโน้มการขยายตัวของรายได้ในบริษัทขนาดกลาง นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และความเป็นไปได้ที่มาเลเซียจะปล่อยให้ค่าเงินริงกิตลอยตัว จะทำให้ราคาหุ้นมาเลเซียมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าหุ้นไทย
2. เมอร์ริล ลินช์ มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย แต่ข่าวดีต่างๆ ได้เข้าไปอยู่ในราคาหุ้นหมดแล้ว และมองไม่เห็นว่าจะมีข่าวดีอะไรเพิ่มเติมที่ตลาดยังไม่ได้รับทราบ (อย่าลืมว่า การซื้อหุ้น คือ การซื้อนาคตที่สดใสเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้)
3. นอกจากนั้น เครื่องมือวัดทางเทคนิคต่างๆ แสดงให้เห็นว่า หุ้นไทยอยู่ในสภาวะ Overbought เช่น มูลค่าตลาดที่มีสัดส่วนสูงมาก เมื่อเทียบกับสภาพคล่อง (วัดจาก M1) การที่ตลาดหุ้นไทยจะยังมีการนำหุ้นใหม่เข้าตลาด เพื่อระดมทุนเพิ่มอีกเป็นร้อยบริษัท และสถิติช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าตลาดหุ้นไทยไม่เคยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันได้มากกว่า 3 ปี เนื่องจากหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2001, 2002 และ 2003 จึงไม่น่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมากนักในปี 2004
แนวทางการวิเคราะห์ของ Spencer White อาจจะถูกหรือผิด เป็นการคาดการณ์ของเขาโดยเขาจะต้องเอาความน่าเชื่อถือของเขาไปเดิมพัน หากหุ้นไทยปรับตัวขึ้นดีกว่าหุ้นมาเลเซีย นักลงทุนก็จะเชื่อเขาน้อยลงในการวิเคราะห์ครั้งต่อไป
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร นั้น เรายังยืนยันการคาดการณ์ ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นไปถึง 860 ในปลายปีนี้ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูง สำหรับนักลงทุนไทย เพราะการลงทุนประเภทอื่น ที่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยนั้น น่าจะต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น (แต่ก็ต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงและความผันผวนของการลงทุนในหุ้นด้วย)
ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดหุ้น และตัวหุ้นของไทยที่บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จัดทำนั้น จะถูกนำไปตีพิมพ์เป็นบทวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ในการนำเสนอนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลก และเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับนักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ นำไปใช้ในการแนะนำการลงทุน เช่นที่ Spencer White นำไปใช้ในการตัดสินใจว่า สมควรลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง เพราะเขาเห็นว่า การนำเงินไปลงทุนในตลาดอื่นๆ จะให้ผลตอบแทนมากกว่าไทยครับ
รายงานข่าว อ้างแหล่งข่าวที่กล่าวหาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการ "ทุบหุ้น" ของโบรกเกอร์ต่างประเทศ เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศได้ซื้อหุ้นในราคาถูก โดยอ้างหลักฐานว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิเมื่อรายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกมา ต่อมาก็มีการร้องเรียนให้ ก.ล.ต.ติดตามสืบสวนการดำเนินงานดังกล่าวของโบรกเกอร์ต่างประเทศว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องหรือไม่
กระแสดังกล่าวแผ่วลงแล้ว เมื่อปรากฏนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม (1-10 มีนาคม) นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 600 ล้านบาทต่อวัน
แต่ที่ผมแปลกใจ คือ หนังสือพิมพ์ไทยและนักลงทุนไทยหลายคน เชื่อตามกันว่า นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ชั้นนำของโลก จะแกล้งวิเคราะห์ว่า ควรลดน้ำหนัก การลงทุนในไทย แต่ที่จริงแล้วแอบไปบอกให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าช้อนซื้อหุ้น เมื่อการวิเคราะห์ทำให้รายย่อยตื่นตระหนก และเทขายหุ้นออกมาในราคาถูก
ความเชื่อดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง การขาดความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจในตลาดทุน เพราะหากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ชั้นนำ ออกบทวิเคราะห์มาสู่สาธารณชน และแนะนำให้ขายหุ้น แต่นักลงทุนกลับทำตรงกันข้าม ผมรับรองได้เลยว่า นักวิเคราะห์คนนั้น จะยังเป็นนักวิเคราะห์ได้อีกไม่นาน เพราะเขาจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งแน่นอน เนื่องจากการวิเคราะห์ของเขาไม่มีคุณค่า และไม่น่าเชื่อถือ
ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของบทวิเคราะห์ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนักวิเคราะห์ ไม่มีนักวิเคราะห์คนใด อยากวิเคราะห์ผิด (จึงมีนักวิเคราะห์หลายคนไม่กล้าวิเคราะห์แบบฟันธง เพราะต้องการความยืดหยุ่นที่จะพูดแก้ตัวได้ในภายหลัง ว่าเขาไม่ได้วิเคราะห์ผิด) เพราะหากวิเคราะห์ผิดติดต่อกัน ก็จะไม่มีใครเชื่อถือบทวิเคราะห์ ทำให้นักวิเคราะห์คนนั้น จะต้องจบอาชีพลง
สำหรับบริษัทโบรกเกอร์ก็ไม่ต้องการนักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ผิด เพราะในอนาคต หากธุรกิจสาขาดังกล่าวมีบริษัทใหม่ จะมาเข้าระดมทุนในตลาด โบรกเกอร์จะเสนอตัวไปทำการกระจายหุ้นให้กับบริษัทดังกล่าวไม่ได้ เพราะการประเมินศักยภาพของบริษัท ตลอดจนการกำหนดราคาหุ้นที่ถูกต้องเหมาะสม จะต้องพึ่งพานักวิเคราะห์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ให้ถูกต้อง และเป็นที่น่าเชื่อถือของนักลงทุน ไม่ใช่วิเคราะห์ว่าหุ้นแพง (จึงต้องขาย) ทั้งๆ ที่หุ้นถูก นักลงทุนจึงอยากซื้อเพิ่ม
สรุปคือ หากพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นทันทีว่า ข้อกล่าวหา ว่าโบรกเกอร์แกล้งวิเคราะห์ผิด เพื่อทุบหุ้นนั้น เป็นสิ่งที่ไร้ด้วยเหตุผล
และหวังว่า นักลงทุนจะไตร่ตรองข้อกล่าวหาต่างๆ ให้รอบคอบกว่านี้ เพื่อประโยชน์ในการลงทุนของตัวเอง และที่สำคัญคือ เมื่อมีการรายงานข่าวที่ทำให้ตื่นตระหนก นักลงทุนก็ควรจะรวบรวมสติแล้วไปอ่านบทวิเคราะห์ที่ถูกอ้างอิงให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน
ซึ่งผมยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุนรายย่อย เพราะการวิเคราะห์จะเป็นภาษาอังกฤษ และมีความสลับซับซ้อน เพราะเป็นการวิเคราะห์ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้จัดการกองทุนสถาบันเป็นผู้อ่าน นอกจากนั้น การแจกจ่ายบทวิเคราะห์ดังกล่าว มักจะกระทำในขอบเขตที่จำกัดอีกด้วย
ในส่วนของบทวิเคราะห์โบรกเกอร์อื่นนั้น ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะนำมาสรุปให้อ่านได้ แต่สำหรับบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่เขียนโดย Spencer White ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของเมอร์ริล ลินช์ ในภูมิภาคเอเชียนั้น ผมยินดีนำมาสรุปให้ทราบดังนี้ครับ
1. เมอร์ริล ลินช์ เห็นว่า หุ้นไทยนั้น ราคาจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น มากกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนมาเท่ากับเกณฑ์ปกติและนำเงินที่ถอนออกจากไทยไปลงทุนที่มาเลเซีย เพราะปัจจัยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แนวโน้มการขยายตัวของรายได้ในบริษัทขนาดกลาง นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และความเป็นไปได้ที่มาเลเซียจะปล่อยให้ค่าเงินริงกิตลอยตัว จะทำให้ราคาหุ้นมาเลเซียมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าหุ้นไทย
2. เมอร์ริล ลินช์ มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย แต่ข่าวดีต่างๆ ได้เข้าไปอยู่ในราคาหุ้นหมดแล้ว และมองไม่เห็นว่าจะมีข่าวดีอะไรเพิ่มเติมที่ตลาดยังไม่ได้รับทราบ (อย่าลืมว่า การซื้อหุ้น คือ การซื้อนาคตที่สดใสเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้)
3. นอกจากนั้น เครื่องมือวัดทางเทคนิคต่างๆ แสดงให้เห็นว่า หุ้นไทยอยู่ในสภาวะ Overbought เช่น มูลค่าตลาดที่มีสัดส่วนสูงมาก เมื่อเทียบกับสภาพคล่อง (วัดจาก M1) การที่ตลาดหุ้นไทยจะยังมีการนำหุ้นใหม่เข้าตลาด เพื่อระดมทุนเพิ่มอีกเป็นร้อยบริษัท และสถิติช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าตลาดหุ้นไทยไม่เคยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันได้มากกว่า 3 ปี เนื่องจากหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2001, 2002 และ 2003 จึงไม่น่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมากนักในปี 2004
แนวทางการวิเคราะห์ของ Spencer White อาจจะถูกหรือผิด เป็นการคาดการณ์ของเขาโดยเขาจะต้องเอาความน่าเชื่อถือของเขาไปเดิมพัน หากหุ้นไทยปรับตัวขึ้นดีกว่าหุ้นมาเลเซีย นักลงทุนก็จะเชื่อเขาน้อยลงในการวิเคราะห์ครั้งต่อไป
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร นั้น เรายังยืนยันการคาดการณ์ ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นไปถึง 860 ในปลายปีนี้ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูง สำหรับนักลงทุนไทย เพราะการลงทุนประเภทอื่น ที่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยนั้น น่าจะต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น (แต่ก็ต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงและความผันผวนของการลงทุนในหุ้นด้วย)
ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดหุ้น และตัวหุ้นของไทยที่บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จัดทำนั้น จะถูกนำไปตีพิมพ์เป็นบทวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ในการนำเสนอนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลก และเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับนักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ นำไปใช้ในการแนะนำการลงทุน เช่นที่ Spencer White นำไปใช้ในการตัดสินใจว่า สมควรลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง เพราะเขาเห็นว่า การนำเงินไปลงทุนในตลาดอื่นๆ จะให้ผลตอบแทนมากกว่าไทยครับ
"ข้าพเจ้าอาจถูกตีกรอบอยู่ในเปลือกนัท และถือตนเป็นกษัตริย์แห่งอวกาศไม่สิ้นสุด..."
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ
โพสต์ที่ 8
edd เขียน:ผมเริ่มเก็บของเพิ่มมาตั้งแต่วันศุกร์ครับ เก็บวันละนิดจิตแจ่มใส ตอนนี้ยังเหลือเงินสดอีกประมาณ 20% ของ Port คงทยอยเก็บไปเรื่อยๆครับ ถ้าได้ราคาเป้าหมาย ทำการบ้านรอมาตั้งนาน ค่อยหายเหนื่อยหน่อยครับ
พี่ครับผมขอกู้เงินมั่งซิครับ อยากช้อนมั่ง ของถูกเพียบครับ แต่ไม่มีตัง แง ๆ ๆ ๆ
- mrkool
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ
โพสต์ที่ 9
คุณปรัชญาวิเคราะห์เยี่ยมมากฮะ ผมเห็นด้วยเลยนะว่าโบรกเกอร์ต่างประเทศคงไม่ออกบทวิเคราะห์เพียงเพื่อต้องการจะทุบหุ้น แต่ที่ผมแปลกใจก็คือ การซื้อขายของฝรั่งไม่น่าที่จะมีผลต่อตลาดมากขนาดนี้ เพราะมีส่วนร่วมแค่ 20-25% เท่านั้น
- ปรัชญา ทิพย์มาบุตร
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
่อ่าคือ ไปลอกเค้ามาให้อ่านกันครับ
โพสต์ที่ 10
ลองเอาอ่านกันดู -__-"
"ข้าพเจ้าอาจถูกตีกรอบอยู่ในเปลือกนัท และถือตนเป็นกษัตริย์แห่งอวกาศไม่สิ้นสุด..."