VI กำสรวล
-
- Verified User
- โพสต์: 1817
- ผู้ติดตาม: 0
VI กำสรวล
โพสต์ที่ 1
ชอบบทความอาทิตย์นี้ของ ดร. มากๆครับ จี้ได้ถูกจุดจริงๆ อ่านแล้วเหมือนมีคนเอามือมาเขกหัวช่วยเตือนสติ
VI กำสรวล
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 17 กรกฎาคม 2550
ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นเป็นกระทิงเปลี่ยวอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไร ต่างก็มีความสุขจากการที่สามารถทำกำไรจากการลงทุนเป็นกอบเป็นกำ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความสุข และก็แน่นอนว่าความสุขของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ผมกำลังจะบอกว่า Value Investor บางคนอาจจะไม่ได้มีความสุขเลยจากการที่หุ้นวิ่งเป็นกระทิงเปลี่ยว และบางคนก็อาจจะรู้สึกเฉย ๆ เหตุผลก็คือ พวกเขาอาจจะไม่ได้กำไรอะไรมากนัก เพราะหุ้นที่วิ่งกันเป็นบ้าเป็นหลังนั้น ไม่ได้เป็นหุ้นในกลุ่มที่พวกเขาถืออยู่ หุ้นที่พวกเขาถืออยู่นั้น จำนวนมากกลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว บางตัวกลับลดลง สรุปแล้วพวกเขาไม่ได้อะไร แต่ที่ทำให้เศร้ามากที่สุดก็คือ พวกเขามองเห็นคนอื่นกำไรเอา ๆ และก็ทำอะไรไม่ถูก ในภาวะอย่างนี้ Value Investor ควรจะทำอย่างไร?
คำตอบแรกเลยที่ผมคิดออกก็คือ ต้อง "ทำใจ" เพราะจากประสบการณ์ของผม ในทุกครั้งที่ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของการปรับตัวขึ้นของดัชนี หุ้นที่วิ่งก่อนก็คือ หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหุ้นที่ Value Investor มักจะไม่ค่อยให้น้ำหนักในการลงทุนมากนัก และในช่วงที่หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นนั้น นักลงทุนจำนวนมากก็จะหันไปเล่นหุ้นเหล่านั้นโดยที่จะไม่ใคร่มีใครสนใจหุ้นขนาดเล็กพื้นฐานดีที่เป็นหุ้นคุณค่า ดังนั้น หุ้นคุณค่าที่เป็นที่นิยมของเหล่า VI จึงมักจะยืนนิ่งในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่วิ่งเอา ๆ หุ้น VI บางตัวที่ยังไม่มีข่าวดีด้านผลประกอบการกลับถูกเทขายทำให้ราคาตกลงมาด้วยซ้ำ เหตุผลอาจจะเป็นว่า นักลงทุนขายหุ้นเล็กที่ยังไม่มีข่าวดีเพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้น "ตลาด" ที่กำลังวิ่ง
การ "ทำใจ" ที่ผมพูดถึงก็คือ เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า หุ้นทุกตัวหรือแต่ละกลุ่มมีจังหวะในการเดินหรือวิ่งของมัน แต่เป็นเรื่องยากที่เราจะรู้จังหวะของมันอย่างแน่นอน โดยปกติ หุ้น VI นั้น จะมีการปรับตัวไปเรื่อย ๆ ตามผลการดำเนินงานมากกว่าปัจจัยอย่างอื่น ดังนั้น การวิ่งของหุ้นเหล่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ภาวะตลาดหุ้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่จะช่วยเร่งหรือชะลอความเร็วของการวิ่งของหุ้น และนี่คือสิ่งที่เป็นความถนัดหรือความสามารถของชาว VI นั่นก็คือ การคาดการณ์ถึงผลกำไรหรือผลประกอบการของบริษัทที่เราจะลงทุน
ในทางตรงกันข้าม หุ้น "ตลาด" ซึ่งก็คือหุ้นที่นักเล่นหุ้นนิยมซื้อขายกันมากเนื่องจากอาจจะมีราคาผันผวนขึ้นลงแรงและมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างมาก เช่น หุ้นบริษัทหลักทรัพย์ หุ้นธนาคาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นพลังงาน จะมีราคาขึ้นลงตาม "กระแสเงิน" หรือที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Fund Flow ที่นักลงทุนโดยเฉพาะชาวต่างประเทศขนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก ดังนั้น ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิง หุ้นเหล่านั้นจะมีราคาวิ่งขึ้นไปได้รวดเร็วทั้ง ๆ ที่ผลการดำเนินงานก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นหรือดีขึ้นก็อาจจะเป็นเรื่องชั่วคราวไม่ได้เกิดจากพื้นฐานที่แท้จริง และนี่ก็เป็นเกมที่ Value Investor ส่วนใหญ่หรือจำนวนมากไม่ถนัด
ถ้ามองทางด้านของมิติของเวลาแล้ว เราก็จะพบว่า ตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีเวลาที่เป็นกระทิงค่อนข้างสั้น เช่นเดียวกับตลาดหมีก็มักจะอยู่ไม่นาน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักเป็นตลาด "ธรรมดา" ที่ดัชนีมีการปรับตัวขึ้น ๆ ลง ๆ ในระดับไม่เกิน 20-25% ต่อปีหรือถ้าจะลบก็อยู่ในอัตราไม่มากนัก ดังนั้น ในสายตาของ Value Investor แล้ว เวลาของการทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนนั้นค่อนข้างจะยาวนานมาก เกือบจะพูดได้ว่าเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ "ทุกเวลา" ขึ้นอยู่กับตัวหุ้นที่เจอ ในขณะที่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่หรือนักเก็งกำไรแล้ว เวลาลงทุนที่ดีก็คือในช่วงที่หุ้นบูมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นกว่ามาก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ลักษณะของการสร้างผลตอบแทนหรือทำกำไรของ VI กับนักลงทุนทั่วไปหรือนักเก็งกำไรจึงน่าจะต่างกัน นั่นก็คือ VI น่าจะมีผลงานการลงทุนที่ช้า ๆ แต่ค่อนสม่ำเสมอเดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปและเฉพาะอย่างยิ่งนักเก็งกำไรจะมีผลการลงทุนที่โดดเด่นมาก ๆ ในช่วงที่หุ้นเป็นกระทิงแต่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ เท่านั้น พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักเก็งกำไรรายใหญ่บางคนที่บอกว่าในช่วงกระทิงของปี 2546 นั้น เขากำไรปีเดียวคิดเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาอาจจะทำกำไรได้เพียงปีละ 30-40% เท่านั้นแต่ก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกือบทุกปีแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ไปไหน ดังนั้น การเป็น Value Investor นั้น ก็ควรที่จะหมายความว่า เรากำลังยอมเลือกที่จะเดินทาง "สายเต่า" คือ ช้า ๆ แต่แน่นอน และยอมที่จะ "สละ" โอกาสที่จะทำกำไรปีเดียว "หลายร้อยเปอร์เซ็นต์" ที่นักเก็งกำไรที่มีความสามารถบางคนอาจจะทำได้
คำถามสุดท้ายที่บางคนอาจจะอยากถามก็คือ เราควรที่จะปรับตัวปรับพอร์ตหรือไม่แทนที่จะนั่ง "ทำใจ" คำตอบของผมก็คือ มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอาจจะทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน ที่ว่าเสี่ยงก็คือ ในวันที่เราปรับพอร์ต หุ้น "ตลาด" อาจจะปรับตัวลดลง ตลาดกระทิงอาจจะไม่ไปต่อ ทำให้เราขาดทุนได้ เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้หรือคาดการณ์ได้แม่นยำว่ากระทิงรอบนี้จะพาดัชนีไปถึงไหน และที่ว่าอาจทำให้เราเสียวินัยในการลงทุนก็คือ ถ้าเราปรับพอร์ตแล้วสามารถทำกำไรได้ดีกว่าพอร์ตเดิม เราก็อาจจะเริ่มคิดว่าเรามีความสามารถในการคาดการณ์ตลาดเช่นเดียวกับความสามารถในการดูผลการดำเนินงานของบริษัท และในโอกาสต่อ ๆ ไป เราก็จะเริ่มทำการปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ เมื่อเราคิดว่าตลาดจะเป็น "กระทิง" และในไม่ช้าเราก็จะกลายเป็น "นักลงทุนมหัศจรรย์" ที่เป็นได้ทั้ง "เต่า" และ "กระต่าย" ขึ้นอยู่กับ "สถานการณ์" ซึ่งในประสบการณ์ของผมนั้น ยังไม่เคยเจอคนที่ทำได้
VI กำสรวล
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 17 กรกฎาคม 2550
ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นเป็นกระทิงเปลี่ยวอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไร ต่างก็มีความสุขจากการที่สามารถทำกำไรจากการลงทุนเป็นกอบเป็นกำ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความสุข และก็แน่นอนว่าความสุขของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ผมกำลังจะบอกว่า Value Investor บางคนอาจจะไม่ได้มีความสุขเลยจากการที่หุ้นวิ่งเป็นกระทิงเปลี่ยว และบางคนก็อาจจะรู้สึกเฉย ๆ เหตุผลก็คือ พวกเขาอาจจะไม่ได้กำไรอะไรมากนัก เพราะหุ้นที่วิ่งกันเป็นบ้าเป็นหลังนั้น ไม่ได้เป็นหุ้นในกลุ่มที่พวกเขาถืออยู่ หุ้นที่พวกเขาถืออยู่นั้น จำนวนมากกลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว บางตัวกลับลดลง สรุปแล้วพวกเขาไม่ได้อะไร แต่ที่ทำให้เศร้ามากที่สุดก็คือ พวกเขามองเห็นคนอื่นกำไรเอา ๆ และก็ทำอะไรไม่ถูก ในภาวะอย่างนี้ Value Investor ควรจะทำอย่างไร?
คำตอบแรกเลยที่ผมคิดออกก็คือ ต้อง "ทำใจ" เพราะจากประสบการณ์ของผม ในทุกครั้งที่ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของการปรับตัวขึ้นของดัชนี หุ้นที่วิ่งก่อนก็คือ หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหุ้นที่ Value Investor มักจะไม่ค่อยให้น้ำหนักในการลงทุนมากนัก และในช่วงที่หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นนั้น นักลงทุนจำนวนมากก็จะหันไปเล่นหุ้นเหล่านั้นโดยที่จะไม่ใคร่มีใครสนใจหุ้นขนาดเล็กพื้นฐานดีที่เป็นหุ้นคุณค่า ดังนั้น หุ้นคุณค่าที่เป็นที่นิยมของเหล่า VI จึงมักจะยืนนิ่งในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่วิ่งเอา ๆ หุ้น VI บางตัวที่ยังไม่มีข่าวดีด้านผลประกอบการกลับถูกเทขายทำให้ราคาตกลงมาด้วยซ้ำ เหตุผลอาจจะเป็นว่า นักลงทุนขายหุ้นเล็กที่ยังไม่มีข่าวดีเพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้น "ตลาด" ที่กำลังวิ่ง
การ "ทำใจ" ที่ผมพูดถึงก็คือ เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า หุ้นทุกตัวหรือแต่ละกลุ่มมีจังหวะในการเดินหรือวิ่งของมัน แต่เป็นเรื่องยากที่เราจะรู้จังหวะของมันอย่างแน่นอน โดยปกติ หุ้น VI นั้น จะมีการปรับตัวไปเรื่อย ๆ ตามผลการดำเนินงานมากกว่าปัจจัยอย่างอื่น ดังนั้น การวิ่งของหุ้นเหล่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ภาวะตลาดหุ้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่จะช่วยเร่งหรือชะลอความเร็วของการวิ่งของหุ้น และนี่คือสิ่งที่เป็นความถนัดหรือความสามารถของชาว VI นั่นก็คือ การคาดการณ์ถึงผลกำไรหรือผลประกอบการของบริษัทที่เราจะลงทุน
ในทางตรงกันข้าม หุ้น "ตลาด" ซึ่งก็คือหุ้นที่นักเล่นหุ้นนิยมซื้อขายกันมากเนื่องจากอาจจะมีราคาผันผวนขึ้นลงแรงและมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างมาก เช่น หุ้นบริษัทหลักทรัพย์ หุ้นธนาคาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นพลังงาน จะมีราคาขึ้นลงตาม "กระแสเงิน" หรือที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Fund Flow ที่นักลงทุนโดยเฉพาะชาวต่างประเทศขนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก ดังนั้น ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิง หุ้นเหล่านั้นจะมีราคาวิ่งขึ้นไปได้รวดเร็วทั้ง ๆ ที่ผลการดำเนินงานก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นหรือดีขึ้นก็อาจจะเป็นเรื่องชั่วคราวไม่ได้เกิดจากพื้นฐานที่แท้จริง และนี่ก็เป็นเกมที่ Value Investor ส่วนใหญ่หรือจำนวนมากไม่ถนัด
ถ้ามองทางด้านของมิติของเวลาแล้ว เราก็จะพบว่า ตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีเวลาที่เป็นกระทิงค่อนข้างสั้น เช่นเดียวกับตลาดหมีก็มักจะอยู่ไม่นาน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักเป็นตลาด "ธรรมดา" ที่ดัชนีมีการปรับตัวขึ้น ๆ ลง ๆ ในระดับไม่เกิน 20-25% ต่อปีหรือถ้าจะลบก็อยู่ในอัตราไม่มากนัก ดังนั้น ในสายตาของ Value Investor แล้ว เวลาของการทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนนั้นค่อนข้างจะยาวนานมาก เกือบจะพูดได้ว่าเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ "ทุกเวลา" ขึ้นอยู่กับตัวหุ้นที่เจอ ในขณะที่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่หรือนักเก็งกำไรแล้ว เวลาลงทุนที่ดีก็คือในช่วงที่หุ้นบูมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นกว่ามาก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ลักษณะของการสร้างผลตอบแทนหรือทำกำไรของ VI กับนักลงทุนทั่วไปหรือนักเก็งกำไรจึงน่าจะต่างกัน นั่นก็คือ VI น่าจะมีผลงานการลงทุนที่ช้า ๆ แต่ค่อนสม่ำเสมอเดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปและเฉพาะอย่างยิ่งนักเก็งกำไรจะมีผลการลงทุนที่โดดเด่นมาก ๆ ในช่วงที่หุ้นเป็นกระทิงแต่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ เท่านั้น พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักเก็งกำไรรายใหญ่บางคนที่บอกว่าในช่วงกระทิงของปี 2546 นั้น เขากำไรปีเดียวคิดเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาอาจจะทำกำไรได้เพียงปีละ 30-40% เท่านั้นแต่ก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกือบทุกปีแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ไปไหน ดังนั้น การเป็น Value Investor นั้น ก็ควรที่จะหมายความว่า เรากำลังยอมเลือกที่จะเดินทาง "สายเต่า" คือ ช้า ๆ แต่แน่นอน และยอมที่จะ "สละ" โอกาสที่จะทำกำไรปีเดียว "หลายร้อยเปอร์เซ็นต์" ที่นักเก็งกำไรที่มีความสามารถบางคนอาจจะทำได้
คำถามสุดท้ายที่บางคนอาจจะอยากถามก็คือ เราควรที่จะปรับตัวปรับพอร์ตหรือไม่แทนที่จะนั่ง "ทำใจ" คำตอบของผมก็คือ มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอาจจะทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน ที่ว่าเสี่ยงก็คือ ในวันที่เราปรับพอร์ต หุ้น "ตลาด" อาจจะปรับตัวลดลง ตลาดกระทิงอาจจะไม่ไปต่อ ทำให้เราขาดทุนได้ เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้หรือคาดการณ์ได้แม่นยำว่ากระทิงรอบนี้จะพาดัชนีไปถึงไหน และที่ว่าอาจทำให้เราเสียวินัยในการลงทุนก็คือ ถ้าเราปรับพอร์ตแล้วสามารถทำกำไรได้ดีกว่าพอร์ตเดิม เราก็อาจจะเริ่มคิดว่าเรามีความสามารถในการคาดการณ์ตลาดเช่นเดียวกับความสามารถในการดูผลการดำเนินงานของบริษัท และในโอกาสต่อ ๆ ไป เราก็จะเริ่มทำการปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ เมื่อเราคิดว่าตลาดจะเป็น "กระทิง" และในไม่ช้าเราก็จะกลายเป็น "นักลงทุนมหัศจรรย์" ที่เป็นได้ทั้ง "เต่า" และ "กระต่าย" ขึ้นอยู่กับ "สถานการณ์" ซึ่งในประสบการณ์ของผมนั้น ยังไม่เคยเจอคนที่ทำได้
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
- bankniti
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 627
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI กำสรวล
โพสต์ที่ 6
เบน เกรแฮม พูดในหนังสือ The Intelligent Investor จำทุกคำพูดไม่ได้แต่พูดในลักษณะว่า อย่าคาดเดาตลาด ไม่มีใครคาดการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำเสมอแม้แต่นักวิเคราะห์ก็ไม่สามารถทำได้ ที่เราต้องทำก็คือวิเคราะห์และติดตามหุ้นที่เราถือดีกว่าจะไปนั่งเดาว่าตลาดจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้... เขียน:เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้หรือคาดการณ์ได้แม่นยำว่ากระทิงรอบนี้จะพาดัชนีไปถึงไหน และที่ว่าอาจทำให้เราเสียวินัยในการลงทุนก็คือ ถ้าเราปรับพอร์ตแล้วสามารถทำกำไรได้ดีกว่าพอร์ตเดิม เราก็อาจจะเริ่มคิดว่าเรามีความสามารถในการคาดการณ์ตลาด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
VI กำสรวล
โพสต์ที่ 10
อืม จากวันที่ 15/05/07 ถึงวันที่ 17/07/07 ดัชนีขึ้นจาก 713 มา 859 หรือ ขึ้นมา 20.48 %
หุ้นในเว็บ tvi ที่หลายคนถือกัน ก็ขึ้นไม่น้อยครับ อาจารย์
team 21.95 %
demco 26.79 %
dsgt 32.48 %
ums 32.82 %
uec 36.36 %
snc 81.13 %
เทียบ big cap
bbl 19.09 %
cp7-11 29.82 %
ptt 32.76 %
pttep 36.96 %
และเห็นมีกลุ่ม vi บางกลุ่มก็เลือกซื้อ pttep ด้วย
ผมว่า vi ช่วงที่ผ่านมา เท่าที่เจอ ร่าเริงกันมากเกินเหตุด้วยซ้ำไปนะ อาจารย์
หุ้นในเว็บ tvi ที่หลายคนถือกัน ก็ขึ้นไม่น้อยครับ อาจารย์
team 21.95 %
demco 26.79 %
dsgt 32.48 %
ums 32.82 %
uec 36.36 %
snc 81.13 %
เทียบ big cap
bbl 19.09 %
cp7-11 29.82 %
ptt 32.76 %
pttep 36.96 %
และเห็นมีกลุ่ม vi บางกลุ่มก็เลือกซื้อ pttep ด้วย
ผมว่า vi ช่วงที่ผ่านมา เท่าที่เจอ ร่าเริงกันมากเกินเหตุด้วยซ้ำไปนะ อาจารย์
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
VI กำสรวล
โพสต์ที่ 12
ไอเดีย "ต้องพิสูจน์" นี้ เป็นเรื่องดีและจำเป็นสำหรับทุกๆสิ่งครับ
แต่ที่ดร.พูดก็ถูก พี่เจ๋งพูดก็ถูก
เป็นเพราะมุมมองว่า นิยามของหุ้น "วีไอ"อาจจะต่างกันบ้างเท่านั้นเอง
อย่างหุ้นเซเว่นที่ราคา 6 บาท นั้นดร.ก็เรียกว่าเป็นหุ้นวีไอ แต่ถ้าโวลุ่มมากๆต่างชาติชอบเล่น mk cap ใหญ่ๆ เราจะเรียกเซเว่นว่าเป็นหุ้นบิ๊กแค็บก็ได้
และผลก็คือ เซเว่นก็ขึ้นมาร้อยกว่าเปอร์เซนต์ เช่นกัน
เลยไม่รู้ว่าจะยกความดีให้กับ วีไอ หรือบิ๊กแค็บ ดี :lol:
แต่ที่ดร.พูดก็ถูก พี่เจ๋งพูดก็ถูก
เป็นเพราะมุมมองว่า นิยามของหุ้น "วีไอ"อาจจะต่างกันบ้างเท่านั้นเอง
อย่างหุ้นเซเว่นที่ราคา 6 บาท นั้นดร.ก็เรียกว่าเป็นหุ้นวีไอ แต่ถ้าโวลุ่มมากๆต่างชาติชอบเล่น mk cap ใหญ่ๆ เราจะเรียกเซเว่นว่าเป็นหุ้นบิ๊กแค็บก็ได้
และผลก็คือ เซเว่นก็ขึ้นมาร้อยกว่าเปอร์เซนต์ เช่นกัน
เลยไม่รู้ว่าจะยกความดีให้กับ วีไอ หรือบิ๊กแค็บ ดี :lol:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
VI กำสรวล
โพสต์ที่ 13
เหอๆ ดีจัง ที่ยังถูก
จริงๆแล้ว เวลาหุ้นขึ้น นี่ นักเก็งกำไร ขาดทุนซะส่วนใหญ่นะ เท่าที่ทราบ เพราะฉะนั้น vi ที่ยังไม่ได้กำไร แต่ก็ไม่ได้ขาดทุน สบายใจได้
เพราะ เวลาเล่นเก็งกำไร
คนส่วนใหญ่จะชอบหุ้นที่กำลังขึ้น ยิ่งแรงยิ่งดี พอเข้าไป เกิดการกระชากลง ก็ cut loss เพราะแต่ก่อนไม่ cut ก็เจ็บตัว
มาตอนนี้ พอ cut loss หุ้นก็วิ่งสวนขึ้นมาอีก ทำให้ นักเก็งกำไรเจ๊งกันระนาว ในตลาดขาขึ้น
เรื่องนี้ หมอยง พูดไว้นานแล้ว หมอยง ก็เลยต้องไปเล่น 5 ตัวแรกที่แรงที่สุด
ส่วน vi ก็สบายๆ เล่นได้ทุกโอกาส เพียงแต่เท่าที่สังเกต หุ้น vi ขึ้นเยอะๆจริงๆ
อาจจะเป็นเพราะนิยามคำว่า vi ต่างกัน
พี่ไม่ได้ติดตาม เข้าใจว่า อาจารย์ คงไม่มีหุ้นเหล่านี้ team demco dsgt ums uec snc หรือมีก็ไม่ทราบ
แต่ ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เสมอเหมือนกัน เพราะพอร์ท ท่านอาจารย์ ก็โตตลอด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อืม นับถือ นับถือ
จริงๆแล้ว เวลาหุ้นขึ้น นี่ นักเก็งกำไร ขาดทุนซะส่วนใหญ่นะ เท่าที่ทราบ เพราะฉะนั้น vi ที่ยังไม่ได้กำไร แต่ก็ไม่ได้ขาดทุน สบายใจได้
เพราะ เวลาเล่นเก็งกำไร
คนส่วนใหญ่จะชอบหุ้นที่กำลังขึ้น ยิ่งแรงยิ่งดี พอเข้าไป เกิดการกระชากลง ก็ cut loss เพราะแต่ก่อนไม่ cut ก็เจ็บตัว
มาตอนนี้ พอ cut loss หุ้นก็วิ่งสวนขึ้นมาอีก ทำให้ นักเก็งกำไรเจ๊งกันระนาว ในตลาดขาขึ้น
เรื่องนี้ หมอยง พูดไว้นานแล้ว หมอยง ก็เลยต้องไปเล่น 5 ตัวแรกที่แรงที่สุด
ส่วน vi ก็สบายๆ เล่นได้ทุกโอกาส เพียงแต่เท่าที่สังเกต หุ้น vi ขึ้นเยอะๆจริงๆ
อาจจะเป็นเพราะนิยามคำว่า vi ต่างกัน
พี่ไม่ได้ติดตาม เข้าใจว่า อาจารย์ คงไม่มีหุ้นเหล่านี้ team demco dsgt ums uec snc หรือมีก็ไม่ทราบ
แต่ ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เสมอเหมือนกัน เพราะพอร์ท ท่านอาจารย์ ก็โตตลอด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อืม นับถือ นับถือ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
VI กำสรวล
โพสต์ที่ 16
ติดตามอ่านข้อเขียนของดร.นิเวศน์มาตลอดครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ