พี่(PE)โข่ง - Again

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 1

โพสต์

พี่(PE)โข่ง
โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


                     สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเล็ก ๆ ออกมาจากสำนักงาน ก.ล.ต.ว่าค่า PE ของตลาดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคำนวณทุกวันและแสดงต่อสาธารณชนว่ามีค่าประมาณ  13.6  เท่านั้น  เป็นการคำนวณเฉพาะบริษัทที่มีกำไร  แต่หากรวมบริษัทที่ขาดทุนเข้าไปด้วย  ค่า PE จะออกมาเท่ากับ  17.6  เท่า  และยังบอกต่อด้วยว่า  การคำนวณโดยไม่เอาบริษัทที่ขาดทุนมาคิดนั้นในเอเชียก็มีประเทศจีน  ฟิลิปปินส์  และไทย  ในขณะที่ประเทศที่คำนวณโดยรวมบริษัทที่ขาดทุนไว้ด้วย  ประกอบไปด้วย  ญี่ปุ่น  ฮ่องกง  ไต้หวัน  เกาหลีใต้และมาเลเซีย  การที่ ก.ล.ต.ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ก็เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่ใช้ข้อมูลนี้ในการเปรียบเทียบว่าตลาดหุ้นไทยในขณะนี้หุ้นมีราคาถูกหรือแพง  จึงควรตระหนักถึงความแตกต่างนี้ด้วย

                       มองในฐานะนักวิชาการแล้วผมคิดว่าการไม่เอาบริษัทที่ขาดทุนมาคำนวณหาค่า PE ของตลาดนั้นไม่น่าจะถูกต้อง  ลองคิดดูว่าถ้าสมมติมีบริษัทโฮลดิ้ง  ถือหุ้น 100%  ในหลาย ๆ บริษัท  แต่เวลาคิดกำไรขาดทุนของบริษัทแม่กลับตัดบริษัทลูกที่ขาดทุนออก  เอาเฉพาะบริษัทที่มีกำไรมาคิด  ผลกำไรที่แสดงก็จะสูงเกินความเป็นจริง  เวลาคิดค่า PE ค่า PE ก็จะต่ำกว่าความเป็นจริง  ผลก็คือคนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าหุ้นบริษัทนี้มีราคาถูกและเข้าซื้อหุ้นลงทุนโดยไม่รู้ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

                       ผมเองไม่ทราบว่าก.ล.ต. คำนวณค่า PE ของตลาดด้วยวิธีใด  แต่ถ้าลองใช้ข้อมูลง่ายที่สุดที่ผมมีก็คือ  กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง  4  ไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีค่าประมาณ  233,000  ล้านบาทซึ่งก็คือค่า E ไปหารมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดในวันนี้ที่ประมาณ  4.9  ล้านล้านบาทหรือก็คือค่า P ก็จะได้ค่า  PE  ตลาดประมาณ  20.8  เท่าซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับสถิติที่ผ่านมาทั้งของตลาดหุ้นไทย  และตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกก็ถือว่าตลาดหุ้นไทย ณ วันนี้ไม่ถูกอีกต่อไปแล้ว

                       เรื่องของค่า PE นั้นไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะ  PE  ของตลาดแต่เป็นปัญหาของหุ้นแต่ละตัวด้วย  ว่าที่จริงข้อมูลของ  PE  แต่ละตัวที่แสดงในหนังสือพิมพ์ธุรกิจทั้งหลายนั้น  ผมคิดว่าไม่สามารถแสดงถึงค่า  PE  ที่แท้จริงของหุ้นหลาย ๆ ตัวได้  เพราะหุ้นเหล่านั้นอาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่ยังไม่ได้เอามารวม  หรือข้อมูลบางอย่างอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวซึ่งทำให้ตัวเลขค่า PE บิดเบี้ยวไปจากที่ควรจะเป็น  ดังนั้น  การใช้ค่า PE  ที่แสดงในหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นจึงเป็นความเสี่ยงมหาศาล

                       ข้อมูลที่ผมคิดว่าเรายังไม่ได้เอามารวมและทำให้ค่า PE  ที่เห็นไม่สะท้อนความเป็นจริงมากที่สุดข้อหนึ่งก็คือ  จำนวนหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิของวอแรนต์ซึ่งในหลาย ๆ บริษัทนั้นมีมหาศาล  และบริษัทที่ออกวอแรนต์เองก็มีกว่า  60  บริษัท  ข้อมูลเกี่ยวกับวอแรนต์แต่ละตัวเองก็ยังมีความซับซ้อน  เพราะบางตัวนั้นราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาหุ้นแม่มาก  ดังนั้น  โอกาสที่จะถูกใช้สิทธิ์ก็มีมาก  บางตัวราคาใช้สิทธิสูงกว่าหุ้นแม่โอกาสถูกใช้สิทธิ์ก็น้อยลง  วอแรนต์บางตัวแปลงเป็นหุ้นแม่ได้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง  บางตัวแปลงเป็นหุ้นแม่ได้ห้าหรือสิบหุ้นก็มี  ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องระยะเวลาการใช้สิทธิของวอแรนต์ซึ่งบางตัวยาวมากเพราะฉะนั้นจึงมีโอกาสที่จะถูกใช้สิทธิ์สูงในอนาคต  ในขณะที่บางตัวใกล้หมดอายุซึ่งอาจจะถูกใช้สิทธิหรือไม่ถูกใช้สิทธิก็ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของราคาและภาวะหุ้นในระยะสั้น ๆ

                       ความยุ่งยากของการคำนวณหาค่า PE ของบริษัทที่มีวอแรนต์ออกมามาก ๆ และหลายรุ่นนั้น  ทำให้ผมค่อนข้างจะไม่อยากยุ่งกับหุ้นเหล่านั้น  และถ้าสนใจก็จะต้องคำนวณหาค่า PE  โดยตั้งสมมติฐานว่าวอแรนต์ทั้งหมดที่ออกมาจะถูกใช้สิทธิซื้อหุ้นซึ่งทำให้กำไรต่อหุ้นน้อยลงและค่า PE  สูงขึ้น  ซึ่งบ่อยครั้งพอทำอย่างนั้นหุ้นที่ดูเหมือนว่า PE  ต่ำก็กลายเป็นหุ้น  PE  สูงและไม่คุ้มที่จะลงทุน

                       นอกจากเรื่องของวอแรนต์แล้ว  เรื่องของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เกิดขึ้นเนื่องจากรายการพิเศษ  เช่น  เกิดจากการปรับโครงสร้างหุ้นหรือประนอมหนี้  หรือเกิดจากรายการอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปกติก็มักทำให้กำไรผิดจากที่ควรจะเป็น  และทำให้ค่า  PE  ลดต่ำลงบางทีเหลือเพียง  2 3  เท่าก็มี  ข้อมูลแบบนี้หลายครั้งก็สามารถดึงดูดให้  Value Investor  ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงตัวเลขที่มาของข้อมูล  และยังไม่สามารถวิเคราะห์ข้อเท็จจริงได้  เข้ามาซื้อหุ้นลงทุนโดยไม่ทราบถึงความเสี่ยงที่มีอยู่

                       ปัญหาทั้งหลายเกี่ยวกับข้อมูลค่า PE  น่าจะแก้ไขได้บ้างถ้านักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ทั้งหลายทำการปรับค่าต่าง ๆ ให้ใกลเคียงกับค่า  PE  ที่แท้จริงและอนุรักษ์นิยม  นั่นก็คือค่า E หรือกำไรต่อหุ้นนั้นควรเป็นกำไรที่เกิดจากธุรกิจปกติที่ยั่งยืนและจำนวนหุ้นของบริษัทควรรวมหุ้นที่อาจจะถูกใช้สิทธิซื้อจากวอแรนต์หรือสิทธิอื่น ๆ ข้อมูล PE ที่ได้ควรจะแสดงไว้อย่างชัดเจนและให้ความเห็นว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาถูกหรือแพงหรือไม่เพราะเหตุผลใด

                       แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ได้วิเคราะห์เพื่อให้คนซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวแต่วิเคราะห์เพื่อให้มีการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น  ดังนั้น  เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในวันนี้หรือภายในเวลาไม่กี่เดือนก็มักจะไม่ถูกนำมาคิด  เพราะฉะนั้นหุ้นที่ถูกคำนวณว่ามีค่า PE  ต่ำทั้งที่ยังไม่ได้ปรับจำนวนหุ้นหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่สำคัญก็จะถูกแนะนำให้ซื้อโดยหลักการของ หุ้นพื้นฐาน  หรือหุ้น  Value  ส่วนหุ้นที่คำนวณอย่างไรก็ยังมี  PE  สูงอยู่ดีบางทีก็ไม่พูดถึงค่า  PE  เลยแต่ไปเน้นว่ากำไรจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นหุ้น  Growth Stock  หรือหุ้นโตเร็วที่ควรซื้อลงทุน  และทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวยและ ถูก  เมื่อคำนึงถึงค่า  PE  ของตลาดที่ยัง  ต่ำ  อยู่

                       การรายงานข้อมูลที่ทำให้ตลาดหรือหุ้นแต่ละตัวดูเหมือนว่าจะถูกกว่าความเป็นจริงโดยตัวเลข  PE  ที่ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือเป็น  PE  โข่ง  เพื่อให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นนั้น  ในระยะยาวผมคิดว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี  เพราะในที่สุดแล้วคนที่เข้ามาลงทุนโดยยึดถือพื้นฐานจริง ๆ  แต่ถูกทำให้เข้าใจผิดจากข้อมูลอาจจะเกิดความเสียหายและ เข็ด  กับการลงทุน  หรือไม่ก็คิดว่าวิธีการลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานนั้นใช้ไม่ได้ผล  ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์  และตลาดหุ้นของไทยก็คงจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของฟิลิปปินส์และจีนซึ่งชื่อเสียงในเรื่องของความโปร่งใสของข้อมูลยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศหลัก ๆ ในเอเชียต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เป็นบทความของอาจารย์นิเวศน์เมื่อ 3 ปีกว่าๆ ที่แล้วน่ะครับ :D

ขอเอามาโพสอีกทีเพื่อถ่วงดุลความคิดที่ว่าหุ้นไทยถูกเหลือเกินถูกจริงๆ เลือกตั้งแล้วจะวิ่งไป 1,000 จุด 1,600 - 1,800 เพื่อให้แต่ละท่านใช้ความระมัดระวัง อย่าได้ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์โลภและกลัว ใช้เหตุผลให้มาก สังวรณ์ใน margin of safety เสมอเมื่อทำการตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
poppo
Verified User
โพสต์: 1356
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ

ตอนนี้ก็โดนหุ้น pe โข่งซัดจนจุกอกเหมือนกัน :lol:
จงทนอด และอดทน
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณคร้าบบบ
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 4

โพสต์

จริงๆ แล้ว ที่ผมเข้าใจนะครับ

p/e ของไทยที่คำนวณโดยไม่รวมบริษัทที่ขาดทุนนั้นก็โอเคนะครับ
เพราะโดยหลักการคือ ไม่รวม P และไม่รวม E

ดังนั้น ถ้าเราไม่สนใจบริษัทที่ขาดทุน (ถือว่าไม่ได้ list ในตลาด)
ค่า p/e ที่เห็นก็สะท้อนความเป็นจริงครับ

อย่างสมมุติทั้งตลาดมีหุ้น 2 ตัว A กำไร 10 บาท ราคา 100 บาท
B ขาดทุน 5 บาท ราคา 100 บาท

ถ้าคำนวณ p/e แบบรวม จะได้ (100+100) / (10 - 5) = 200 / 5
หรือ 40 เท่า

ถ้าคำนวณ p/e เฉพาะบริษัทที่กำไร จะได้ 100 / 10 = 10 เท่า

คิดว่า p/e แบบไหนดีกว่าครับ

ถามจริงๆ ว่าเราจะถือหุ้นบริษัท A 100% หรือถืออย่างละครึ่งครับ
August
Verified User
โพสต์: 510
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Raphin Phraiwal
Verified User
โพสต์: 1342
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณครับ  :cool:
รักในหลวงครับ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 7

โพสต์

จากข้อมูลด้านบน

โค้ด: เลือกทั้งหมด

     ผมเองไม่ทราบว่าก.ล.ต. คำนวณค่า PE ของตลาดด้วยวิธีใด  แต่ถ้าลองใช้ข้อมูลง่ายที่สุดที่ผมมีก็คือ  กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง  4  ไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีค่าประมาณ  233,000  ล้านบาทซึ่งก็คือค่า E ไปหารมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดในวันนี้ที่ประมาณ  4.9  ล้านล้านบาทหรือก็คือค่า P ก็จะได้ค่า  PE  ตลาดประมาณ  20.8  เท่าซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับสถิติที่ผ่านมาทั้งของตลาดหุ้นไทย  และตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกก็ถือว่าตลาดหุ้นไทย ณ วันนี้ไม่ถูกอีกต่อไปแล้ว 
จากกระทู้ น้อง oatarm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 469 บริษัทที่นำส่งงบการเงินจากบริษัทจดทะเบียน 
ทั้งหมด 492 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 229,403 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 47,674 ล้านบาท หรือ 
ประมาณได้คร่าวๆ ว่า มาร์เก็ตแค๊บเมืองไทย น่าจะอยู่ที่ 4.9*2 = 9.8 ล้านๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมก็ไม่คิดว่าการคิด P/E แบบเลือกเอาแต่บริษัทที่มีกำไรมันจะใช้ไม่ได้นะครับ :D เพียงแต่การทราบที่มาที่ไปจะทำให้เราตระหนักรู้ว่าค่า P/E แบบนี้มีขอบเขตการนำไปใช้อย่างไร

โดยเฉพาะว่าการนำไปเปรียบเทียบกับ P/E ตลาดเพื่อนบ้านที่เขาคิดแบบรวมบริษัทที่ขาดทุนแล้วก็พูดไปตะพึดตะพือว่า P/E ตลาดหุ้นบ้านเรามันต่ำเหลือเกิน ต่ำจริงๆ เดี๋ยวมันจะต้องขึ้นแรงแน่ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรประพฤติ หากคิดจะเทียบจริงๆ ก็ควรจะจำกัดวงให้อยู่เฉพาะกับตลาดหุ้นที่เขาคิด P/E วิธีเดียวกันเท่านั้น

อย่างที่พี่ CK ว่าก็น่าสนใจนะครับ เพียงแต่กรณีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยอย่างแรง เพราะหากบริษัทจดทะเบียนจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์หรือกล่าวอีกอย่างว่า มีมูลค่าตลาดรวมกันเท่ากับครึ่งหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์มีผลประกอบการขาดทุน มันจะต้องเป็นหมีแพนด้าแน่ๆ ครับ ไม่อยากจะคิดเลยนะเนี่ย :lol:  (เพราะคิดแล้วน้ำลายหก เหอ เหอ :ep: )

จากมูลค่าตลาดปัจจุบัน 5.8 ล้านล้าน มูลค่าตลาดรวมกันทั้งหมดของบริษัทที่มีผลประกอบการ 4 ไตรมาสย้อนหลังขาดทุนกลับมีเพียง 4.8 แสนล้าน เท่านั้น ไม่ถึง 10% ของตลาดรวมด้วยซ้ำ นอกจากนั้นยังมีสมาชิกเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ตลาดถือว่าขาดทุนเป็นการชั่วคราว เช่น SHIN จากกรณีตัดขาดทุน ITV มูลค่าตลาด 9.7 หมื่นล้าน BAY จากการตั้งสำรองเพิ่ม มีมูลค่าตลาด 1.2 แสนล้าน เป็นต้น

โดยรวมแล้วบริษัทที่ขาดทุน(จากการดำเนินงานปกติ) แม้จะไปทำให้ E ที่เป็นตัวหารลด แต่ราคาหุ้นของบริษัทที่เป็นส่วนของ Pรวม ก็จะลดตามไปด้วยเหมือนกัน :P
อาจารย์นิเวศน์ เขียน:มองในฐานะนักวิชาการแล้วผมคิดว่าการไม่เอาบริษัทที่ขาดทุนมาคำนวณหาค่า PE ของตลาดนั้นไม่น่าจะถูกต้อง  ลองคิดดูว่าถ้าสมมติมีบริษัทโฮลดิ้ง  ถือหุ้น 100%  ในหลาย ๆ บริษัท  แต่เวลาคิดกำไรขาดทุนของบริษัทแม่กลับตัดบริษัทลูกที่ขาดทุนออก  เอาเฉพาะบริษัทที่มีกำไรมาคิด  ผลกำไรที่แสดงก็จะสูงเกินความเป็นจริง  เวลาคิดค่า PE ค่า PE ก็จะต่ำกว่าความเป็นจริง  ผลก็คือคนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าหุ้นบริษัทนี้มีราคาถูกและเข้าซื้อหุ้นลงทุนโดยไม่รู้ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน
สำหรับย่อหน้านี้ ผมเห็นด้วยกับอาจารย์นิเวศน์เต็มที่ครับ :D
Liu
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 9

โพสต์

Ryuga เขียน:โดยรวมแล้วบริษัทที่ขาดทุน(จากการดำเนินงานปกติ) แม้จะไปทำให้ E ที่เป็นตัวหารลด แต่ราคาหุ้นของบริษัทที่เป็นส่วนของ Pรวม ก็จะลดตามไปด้วยเหมือนกัน :P
การที่เรารวมมูลค่าตลาดของบริษัทที่ขาดทุนเข้าไป ไม่ได้ทำ P รวมเพิ่มขึ้นเหรอครับพี่

ผมว่าการคำนวณทั้ง 2 วิธีก็ต่างมีจุดบอดด้วยกันทั้งคู่ แต่การเปรียบเทียบระหว่าง P/E ของประเทศที่ใช้วิธีคำนวณต่างกันนั้น ไม่ถูกต้องแน่ๆครับ
ไม่ขาดทุนก็บุญโข
ภาพประจำตัวสมาชิก
cryptonian_man
Verified User
โพสต์: 585
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ปัญหาคือแมงเม่าหรือรายย่อย รวมทั้งกลุ่มที่พยายามเป็นVI มือใหม่ แบบผมเนี่ย บางครั้งก็หลงลมปาก คำพูดแบบนี้ได้ง่ายด้วยนะสิครับ

พอบอกหุ้นขึ้นเพราะตลาดเราถูกเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านคนก้อแห่เข้าตลาดกัน
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
Khunchat
Verified User
โพสต์: 298
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณครับ คงไม่มีสูตรไหนตายตัว
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 13

โพสต์

เลือกหุ้น pe ต่ำ อัตราการเติบโตของยอดขาย และกำไรเยอะๆ หนี้น้อยๆ โบรเกอร์ อีไฟแนน ไม่ได้เขียนถึง

ไม่ว่า pe ตลาดจะเป็นเท่าไร ก็กำไรทั้งนั้นแหละ

หากเลือกหุ้นตามกระแส ซื้อแต่หุ้นยอดนิยม เวลาตลาดพลิกกลับ เราก็เจ๊ง ครับ

เจ๊งเพราะคนส่วนใหญ่เข้าไปถือ แล้วเปลี่ยนใจขายแทน

หุ้นหลายตัวที่ยอดนิยมมากๆ ณ เวลานี้ ก็ทำให้ นักลงทุนเจ็บตัว จนพูดไม่ออกแล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 14

โพสต์

Liu เขียน: การที่เรารวมมูลค่าตลาดของบริษัทที่ขาดทุนเข้าไป ไม่ได้ทำ P รวมเพิ่มขึ้นเหรอครับพี่

ผมว่าการคำนวณทั้ง 2 วิธีก็ต่างมีจุดบอดด้วยกันทั้งคู่ แต่การเปรียบเทียบระหว่าง P/E ของประเทศที่ใช้วิธีคำนวณต่างกันนั้น ไม่ถูกต้องแน่ๆครับ
แหะ แหะ :lol: อาจจะใช้คำพูดให้งงไปบ้างอ่ะครับ :lol:  คือผมหมายความอย่างนี้

บริษัทใดๆ ก็ตาม ยามที่มีกำไร ตลาดหลักทรัพย์ก็จะนำเอากำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลังของเขาไปรวมคิดเป็น Eรวมของตลาด และนำมูลค่าตลาดของเขาไปรวมคิดเป็น Pรวมของตลาด

แต่เมื่อสถานการณ์เปี๊ยนไป๋ บริษัทเจ้าเดิมนี้กลับเกิดผลขาดทุนก้อนเบ้อเร่อ แน่นอนว่า ขาดทุนรวม 4 ไตรมาสย้อนหลังของเขาจะไปทำให้ Eรวมของตลาดลดลง ผลที่ตามมาคือตลาด(นักลงทุน) ก็จะตอบสนองอย่างรุนแรงโดยการเทขายหุ้นบริษัทแห่งนี้ออกมาทำให้มูลค่าตลาดของเขาลดฮวบ Pรวมของตลาดจึงลดลงด้วยเช่นกัน แต่ย่อมลดลงในสัดส่วนที่น้อยกว่าการลดลงของ Eรวมของตลาด(เพราะไม่มีมูลค่าตลาดที่ติดลบ)

ต่างกันกับการคิด P/E แบบที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันเพราะชัดเจนว่าเลือกปฏิบัติ โดยตลาดหลักทรัพย์จะปฏิเสธรับรู้ผลขาดทุนของบริษัทแห่งนี้โดยสิ้นเชิง แต่หากเขา turnaround กลับมามีกำไรอีกครั้ง บริษัทแห่งนี้ก็จะได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมกับการคิด P/E ตลาดอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ P/E ของตลาดบ้านเรามันยังคงต่ำๆ น่าซื้อตลอดไป :lol:

สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่ทราบเล่ห์กลในเรื่องนี้ดีก็จะตกเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่งด้วยคิดว่านั่นเป็นตัวเลขของตลาดทุนรวมทั้งหมด ทั้งที่จริงแล้วควรจะเรียกว่า P/E ของบริษัททั้งหมดที่มีผลประกอบการย้อนหลัง 4 ไตรมาสเป็นกำไร และตัวเลขนั้นยังไม่รวมเอาความเสี่ยงที่กลุ่มบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้อาจขาดทุนในอนาคตด้วยเพราะตลาดหลักทรัพย์ก็จะสวิชไปเรื่อยๆ เลือกเอาแต่เฉพาะบริษัทที่มีกำไรมาคิด :twisted:

การคิด P/E ทั้ง 2 แบบนั้นไม่มีแบบไหนผิด แต่เราต้องตระหนักรู้ไว้เสมอว่า ตัวเลขนั้นๆ มีขอบเขตการนำไปใช้อย่างไร :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ท่านอาจารย์นิเวศน์แสดงความเห็นเรื่องนี้เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ก็ขอยินดีด้วยครับ ที่ในที่สุดก็ตัดสินใจยกมาตรฐานการคำนวณตัวเลขสำคัญๆ หลายตัวให้หาย suburb กะเค้าซะที ตลาดบ้านเราจะได้เชิดหน้าชูตาไปเปรียบเทียบ P/E กับเพื่อนบ้านเขาได้โดยไม่ต้องตะขิดตะขวงใจอะไรอีก

และโบรกทั้งหลายที่ชอบพูดตะพึดตะพือว่า P/E ตลาดบ้านเราต่ำเหลือเกิน ต่ำจริงๆ นั้น ก็จะได้หูตา luminous ขึ้น ไม่ปล่อยไก่หลายเล้าอย่างที่เคยเป็นบ่อยๆ อย่างที่ผ่านมานะครับ  :8)
beammy
Verified User
โพสต์: 3345
ผู้ติดตาม: 0

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 16

โพสต์

3 ปีมาแล้ว ก้อยังทันสมัยอยู่เหมือนเดิม ว้าวววว  :8)  ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 1

พี่(PE)โข่ง - Again

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ผมว่าน่าจะมีทำ pe set100 มาด้วยเลยนะครับ
น่าจะเป็นตัวแทนตลาดได้ดีระดับหนึ่ง
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
โพสต์โพสต์