หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 1
พักหลังๆ สังเกตจาก นักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเยอะ
แถมทำการบ้านกัน ไม่ใช่ซื้อตามโบรกเกอร์อย่างเดียว
ทาง หน่วยงานรัฐก็ส่งเสริม เช่น จัดให้มี opp day ทำให้นักลงทุนรู้เรื่องมากขึ้น เสมือน ผู้ซื้อ ผู้ขาย มาเจอกัน ผู้ซื้อหุ้น กับผู้ขายหุ้น มาเจอกัน
ไม่ต้องผ่านแต่ตัวกลาง คือ โบรกเกอร์ และสำนักข่าวต่างๆ
ประกอบกับ internet บูม ทำให้ ดูงบการเงินทางเน็ตได้
webbord ก็มีส่วนช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดกัน และสามารถตรวจสอบ ผู้บริหารได้ สมัยก่อนผู้บริหารมั่วๆได้ เดี่ยวนักลงทุนหน้าใหม่ก็เข้ามาให้หลอกต่อไป
แต่เดียวนี้ หากมาทำไรมั๋วๆ ก็มีการเหน็บกัน ทางเน็ตให้เห็นประปราย
( เช่นบางบริษัท ไปประชุมผู้ถือหุ้น ดันเลื่อนเวลาไม่แจ้ง พอไปประชุม ก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว ประชุมไปเสร็จแล้ว เป็นต้น )
เด็กรุ่นใหม่ไฟแรง อยากเป็นเจ้าของกิจการ ก็ยากขึ้น เพราะ ระบบมันเปลี่ยน
มีทั้ง โมเดินเทรดขนาดใหญ่ มีทั้งระบบเฟรนไชน์ ที่ได้เปรียบ การเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กๆ
ทำให้เด็กรุ่นใหม่ ที่ต้องการอิสรภาพทางการเงิน ก็เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และด้วย back up จากคุณพ่อ คุณแม่ ที่เล่นหุ้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เล่นแบบมีหลัก วิชา เล่นแบบอาศัยประสบการณ์ หรือ back up ทางการเงิน เพราะส่วนใหญ่ พื้นฐานทางบ้านก็มีเงิน
ผมขอทำนายว่า ในปี 2551-2554 ตลาดหุ้นไทยจะโตมากขึ้นมาก
เงินส่วนใหญ่ ของประเทศ ยังคงอยู่ในแบงค์ ไม่ได้เข้ามาเทรดในตลาด จำนวนบัญชี ที่เปิดลงทุน ยังมีน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว
ต่อไป pe ตลาดจะสูงขึ้น
ข้อมูลจะเข้าถึงกันมากขึ้น ทำให้ หุ้นปั่นๆ นักลงทุนมืออาชีพก็ไม่อยากเข้าไปเกียวข้อง
ถ้าเทียบสมัยก่อน เวลาเล่นหุ้นนี่ ไม่มีการดูงบการเงินอยู่แล้ว อินเตอร์เน็ตไม่มี จะมีข่าวก็ต้องมาทาง รอยเตอร์ ผ่านหน้าจอเล็กๆ คล้ายๆเพสเจอร์ เสียเดือนละ 6000 บาท
แต่สมัยนี้ ข่าวมาเร็ว แถมมาฟรีอีกต่างหาก เช่น efinancthai หากเราเทรดกับโบรกเกอร์ ก็มี efinancthai ให้ดูฟรี
ก็ขอแสดงความยินดีกับน้องๆรุ่นใหม่ ที่เข้ามาถูกจังหวะ ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ กำลังเปลี่ยนเป็น ตลาดที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก
แถมทำการบ้านกัน ไม่ใช่ซื้อตามโบรกเกอร์อย่างเดียว
ทาง หน่วยงานรัฐก็ส่งเสริม เช่น จัดให้มี opp day ทำให้นักลงทุนรู้เรื่องมากขึ้น เสมือน ผู้ซื้อ ผู้ขาย มาเจอกัน ผู้ซื้อหุ้น กับผู้ขายหุ้น มาเจอกัน
ไม่ต้องผ่านแต่ตัวกลาง คือ โบรกเกอร์ และสำนักข่าวต่างๆ
ประกอบกับ internet บูม ทำให้ ดูงบการเงินทางเน็ตได้
webbord ก็มีส่วนช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดกัน และสามารถตรวจสอบ ผู้บริหารได้ สมัยก่อนผู้บริหารมั่วๆได้ เดี่ยวนักลงทุนหน้าใหม่ก็เข้ามาให้หลอกต่อไป
แต่เดียวนี้ หากมาทำไรมั๋วๆ ก็มีการเหน็บกัน ทางเน็ตให้เห็นประปราย
( เช่นบางบริษัท ไปประชุมผู้ถือหุ้น ดันเลื่อนเวลาไม่แจ้ง พอไปประชุม ก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว ประชุมไปเสร็จแล้ว เป็นต้น )
เด็กรุ่นใหม่ไฟแรง อยากเป็นเจ้าของกิจการ ก็ยากขึ้น เพราะ ระบบมันเปลี่ยน
มีทั้ง โมเดินเทรดขนาดใหญ่ มีทั้งระบบเฟรนไชน์ ที่ได้เปรียบ การเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กๆ
ทำให้เด็กรุ่นใหม่ ที่ต้องการอิสรภาพทางการเงิน ก็เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และด้วย back up จากคุณพ่อ คุณแม่ ที่เล่นหุ้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เล่นแบบมีหลัก วิชา เล่นแบบอาศัยประสบการณ์ หรือ back up ทางการเงิน เพราะส่วนใหญ่ พื้นฐานทางบ้านก็มีเงิน
ผมขอทำนายว่า ในปี 2551-2554 ตลาดหุ้นไทยจะโตมากขึ้นมาก
เงินส่วนใหญ่ ของประเทศ ยังคงอยู่ในแบงค์ ไม่ได้เข้ามาเทรดในตลาด จำนวนบัญชี ที่เปิดลงทุน ยังมีน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว
ต่อไป pe ตลาดจะสูงขึ้น
ข้อมูลจะเข้าถึงกันมากขึ้น ทำให้ หุ้นปั่นๆ นักลงทุนมืออาชีพก็ไม่อยากเข้าไปเกียวข้อง
ถ้าเทียบสมัยก่อน เวลาเล่นหุ้นนี่ ไม่มีการดูงบการเงินอยู่แล้ว อินเตอร์เน็ตไม่มี จะมีข่าวก็ต้องมาทาง รอยเตอร์ ผ่านหน้าจอเล็กๆ คล้ายๆเพสเจอร์ เสียเดือนละ 6000 บาท
แต่สมัยนี้ ข่าวมาเร็ว แถมมาฟรีอีกต่างหาก เช่น efinancthai หากเราเทรดกับโบรกเกอร์ ก็มี efinancthai ให้ดูฟรี
ก็ขอแสดงความยินดีกับน้องๆรุ่นใหม่ ที่เข้ามาถูกจังหวะ ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ กำลังเปลี่ยนเป็น ตลาดที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 2
เป็น VI มือใหม่ ต้องขอบคุณ TVI มากมายครับ
ข้อมูลหุ้นให้เลือกในร้อยคนร้อยหุ้นดีมากๆ ประหยัดเวลาขึ้นเยอะในการมองหาเป้าหมายครับ
ตั้งใจว่า จะทยอยกันเงินส่วนนึงมาใส่ไว้ในหุ้นทุกเดือน ๆ เหมือนฝากเงิน แต่เป็นฝากหุ้นแทน แน่นอนว่าเป็นเงินเย็น แบบไม่มีความจำเป็นต้องใช้ใดๆทั้งสิ้น
ตอนนี้ก็เก็บเข้าพอร์ตเกือบเต็มแล้วครับ ยังมีตัวที่อยากเก็บอีกเพียบเลย
แต่ก็อย่างว่า ผมเป็น VI เต็มตัวไม่ได้สักที ได้แค่ 90 % ครับ
ที่เหลืออีก 10 % ในพอร์ต ขอเอาไปเล่นหนุกๆ กับเจ้า สร้างสีสันให้ชีวิต :lol:
ข้อมูลหุ้นให้เลือกในร้อยคนร้อยหุ้นดีมากๆ ประหยัดเวลาขึ้นเยอะในการมองหาเป้าหมายครับ
ตั้งใจว่า จะทยอยกันเงินส่วนนึงมาใส่ไว้ในหุ้นทุกเดือน ๆ เหมือนฝากเงิน แต่เป็นฝากหุ้นแทน แน่นอนว่าเป็นเงินเย็น แบบไม่มีความจำเป็นต้องใช้ใดๆทั้งสิ้น
ตอนนี้ก็เก็บเข้าพอร์ตเกือบเต็มแล้วครับ ยังมีตัวที่อยากเก็บอีกเพียบเลย
แต่ก็อย่างว่า ผมเป็น VI เต็มตัวไม่ได้สักที ได้แค่ 90 % ครับ
ที่เหลืออีก 10 % ในพอร์ต ขอเอาไปเล่นหนุกๆ กับเจ้า สร้างสีสันให้ชีวิต :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 3
คิดคล้ายๆพี่เจ๋งครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 4
เห็นด้วยครับ แต่เรื่องปั่นนี่ เจ้าก็คงหาอะไรใหม่ๆมาหลอกอีกหล่ะครับ ตราบใดที่เงินประมาณ 100ล้าน มันยังสามารถโยกโยนหุ้นไปมาได้ง่ายๆ มันคงเหนื่อยกับการหาทางใหม่ๆมาล่อแมงเม่า กับวัยรุ่นที่อยากรวยแต่ไม่อยากทำงานอ่ะครับ ไม่ถอดใจง่ายๆหรอกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 5
ถ้าให้เวลาพัฒนามันยาวพอ ผมว่าต่อไปหุ้นปั่นจะล้มหายไปจากตลาดเอง ตลาดหุ้นใหญ่ ๆ ที่โตเต็มที่แล้ว อย่าง NYSE สมัยหลายสิบปีก่อนก็เหมือนตลาดหุ้นไทยตอนนี้แหละ หุ้นปั่นเต็มไปหมด คนมาเล่นปั่นราคาอย่างเดียว ดูแต่กราฟ พอตลาดมันถล่ม ประจวบกับ Graham ออกหนังสือ Intelligent Investor กับ Security Analysis ก็เป็นการพลิกโฉมหน้าjujube เขียน:เห็นด้วยครับ แต่เรื่องปั่นนี่ เจ้าก็คงหาอะไรใหม่ๆมาหลอกอีกหล่ะครับ ตราบใดที่เงินประมาณ 100ล้าน มันยังสามารถโยกโยนหุ้นไปมาได้ง่ายๆ มันคงเหนื่อยกับการหาทางใหม่ๆมาล่อแมงเม่า กับวัยรุ่นที่อยากรวยแต่ไม่อยากทำงานอ่ะครับ ไม่ถอดใจง่ายๆหรอกครับ
เดี๋ยวนี้ NYSE ใครปั่นก็เน่าหมด pure technician แทบจะตกงาน ต้องเข้ามาตลาดใหม่ ๆ อย่างบ้านเรา
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 6
อ้าว แป่ววว แหว่ววว ๆ ๆ ๆ ๆ :lovl: :lovl:เดี๋ยวนี้ NYSE ใครปั่นก็เน่าหมด pure technician แทบจะตกงาน ต้องเข้ามาตลาดใหม่ ๆ อย่างบ้านเรา
หุ้นตระกูลปอทั้งหลาย ของรายย่อยบ้านเรานี่อย่างหรู แต่มันมองเป็นพวกสามตัวสิบ สะกิดสามปื้ดด วิ่งกระจาย
:lol:
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
แสดงความเห็นครับ
โพสต์ที่ 7
เรื่องนี้ผมก็คิดมานานเหมือนกันครับ ผมรู้สึกว่ากระแสของการลงทุนในกลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่กำลังมาแรงและคิดว่าน่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับการที่หน่วยงานต่างๆให้การสนับสนุนในการจัดกิจกรรมกันอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ที่มีเงินเก็บและเริ่มมีรายได้เข้ามาในตลาดเยอะขึ้น ผมสังเกตจากเพื่อนๆและคนรอบข้างเชื่อว่านักศึกษาที่จบออกมาส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเป็นลูกจ้าง ล้วนอยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเองทั้งนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายนัก ดังนั้นจึงต้องหาทางออกโดยการเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันการซื้อขายเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นแล้ว แหล่งข้อมูลก็มีอยู่มากมาย ดังนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดอยู่อีกมาก เท่าที่สังเกตในปัจจุบันเพื่อนผมส่วนใหญ่ที่เรียนกันอยู่นี่ก็อยากลงทุนกัน แต่ก็ยังมีทัศนคติที่ไม่ดีเท่าไหร่กับหุ้นอาจเป็นเพราะยังไม่ได้ศึกษาเท่าที่ควรก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าผู้เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขตรงจุดนี้ได้ รับรองว่าจะมีเงินเข้ามาในตลาดอีกมาก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 8
ขออนุญาติไม่เชื่อว่า หุ้นปั่นจะหมดไปนะครับ
ผมเชื่อว่าไม่หมดไปเพราะนิสัยคนไทย
คนไทยยังชอบการพนันมากมาย ต่อให้ความรู้ขนาดไหนก็ยังชอบเล่นพนัน
ดังนั้นมันหายไปจากประเทศเราไม่ได้
เหมือนกับ คอรัปชั่นนั้นแหละ
ผมเชื่อว่าไม่หมดไปเพราะนิสัยคนไทย
คนไทยยังชอบการพนันมากมาย ต่อให้ความรู้ขนาดไหนก็ยังชอบเล่นพนัน
ดังนั้นมันหายไปจากประเทศเราไม่ได้
เหมือนกับ คอรัปชั่นนั้นแหละ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 9
ผมกะเอาแบบมวยวัด
กระทิงจะคึกสุดขีดปี ๒๕๕๓
ซึ่งเป็นเวลาที่กลุ่มชนชั้นกลาง เจนเรชั่น Y
ทำงานจนมีเงินเก็บสะสมมากพอ
จะเติมเงินเข้ามาเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนในตลาดหุ้น
ส่วนกลุ่มชนชั้นกลาง เจเรชั่น X กับพวกเบบี้บูม จำนวนมาก
ได้สูญเสียเงินออมจำนวนมหาศาล
ไปในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ - ๒๕๔๖ แล้ว
ช่วงนี้ให้เงินทุนต่างชาติเติมเงินเข้ามาฝ่ายเดียว
ดัชนีอย่างเต็มที่ ไม่น่าจะถึงหนึ่งพันจุด
:roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
กระทิงจะคึกสุดขีดปี ๒๕๕๓
ซึ่งเป็นเวลาที่กลุ่มชนชั้นกลาง เจนเรชั่น Y
ทำงานจนมีเงินเก็บสะสมมากพอ
จะเติมเงินเข้ามาเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนในตลาดหุ้น
ส่วนกลุ่มชนชั้นกลาง เจเรชั่น X กับพวกเบบี้บูม จำนวนมาก
ได้สูญเสียเงินออมจำนวนมหาศาล
ไปในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ - ๒๕๔๖ แล้ว
ช่วงนี้ให้เงินทุนต่างชาติเติมเงินเข้ามาฝ่ายเดียว
ดัชนีอย่างเต็มที่ ไม่น่าจะถึงหนึ่งพันจุด
:roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
- กระบี่เก้าสําเนียง
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 10
ผมเห็นด้วยน่ะ แต่ตลาดเมืองไทยคงไม่น่าจะพัฒนาไปถึงจุดนั้นได้เร็วขนาดนั้น น่าจะเป็นกึ่งพัฒนามากกว่า อย่าลืมผู้เฒ่ารุ่นบุกเบิกที่ยังรอดจากวิกฤติทุกครั้งยังเล่นแบบนั้นอยู่
แล้วก็พวกเจ้ามือทั้งหลายผมว่ายังไม่หมดไปง่ายๆ หรอก
พวกนี้ก็เก๋าเกมในตลาดมากๆ
จะหมดไปก็จนกว่าพวกนี้จะตายไปแล้วรุ่นลูกขึ้นมา
เพราะรุ่นลูกมักจะไม่ค่อยสนใจหรอก สนใจแต่จะใช้อย่างเดียว
แล้วก็พวกเจ้ามือทั้งหลายผมว่ายังไม่หมดไปง่ายๆ หรอก
พวกนี้ก็เก๋าเกมในตลาดมากๆ
จะหมดไปก็จนกว่าพวกนี้จะตายไปแล้วรุ่นลูกขึ้นมา
เพราะรุ่นลูกมักจะไม่ค่อยสนใจหรอก สนใจแต่จะใช้อย่างเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 11
นั่นแน่... ถากถางเจ้ามือคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า :lovl:กระบี่เก้าสําเนียง เขียน:จะหมดไปก็จนกว่าพวกนี้จะตายไปแล้วรุ่นลูกขึ้นมา
เพราะรุ่นลูกมักจะไม่ค่อยสนใจหรอก สนใจแต่จะใช้อย่างเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 510
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 12
น่าสนใจติดตามดูนะครับ ในฐานะมือใหม่ ขอแสดงความเห็นครับ
สมัยนี้ข้อมูล การติดต่อสื่อสารรวดเร็วจริง แต่บางครั้งขาดความแม่นยำ
ยังเป็นช่องว่างให้คนบางกลุ่มทำมาหากินได้อีก
หรือข้อมูลเยอะเกินไป สำลักข้อมูลจนนักลงทุนมือใหม่สับสน ไม่มีเวลาตั้งสติคิดวิเคราะห์
ยังงี้ต้องฝึกฝนแบบรุ่นพี่VIให้ได้
สมัยนี้ข้อมูล การติดต่อสื่อสารรวดเร็วจริง แต่บางครั้งขาดความแม่นยำ
ยังเป็นช่องว่างให้คนบางกลุ่มทำมาหากินได้อีก
หรือข้อมูลเยอะเกินไป สำลักข้อมูลจนนักลงทุนมือใหม่สับสน ไม่มีเวลาตั้งสติคิดวิเคราะห์
ยังงี้ต้องฝึกฝนแบบรุ่นพี่VIให้ได้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 13
มีประเทศไหนที่ไม่มีหุ้นปั่นหรือการปั่นหุ้นบ้างครับ
เอ๊ะหรือว่าผมเข้าใจคำว่า หุ้นปั่น กับ การปั่นหุ้น ต่างไป
ที่สหรัฐ ช่วงไม่กี่ปีนี้ มีความนิยมซื้อหุ้นบริษัทไฮเทคทั้งหลาย จนกลายเป็นฟองสบู่ ใช่เป็นการปั่นหุ้นหรือไม่
แต่จะใช่หรือไม่ใช่ จะมีเจ้ามือหรือไม่มี สุดท้ายผู้ที่ร่วมวงก็ไม่แตกต่าง
ขนาดสหรัฐเป็นแหล่งกำเนิด VI
มีนักลงทุนแนว VI ที่ยิ่งใหญ่หลายคน และก็มีการออกมาเตือนเป็นระยะ
ดังนั้นผมไม่เชื่อหรอกว่า การเก็งกำไรจะหมดไปจากตลาดหุ้นที่ไหนในโลก
คนที่เข้ามาตลาดหุ้นแล้วสนใจแนว VI ก็ยังเป็นส่วนน้อย
และที่น้อยกว่าก็คือ ถึงแม้จะสนใจ แต่ปฎิบัติได้จริง ยิ่งน้อยใหญ่
เอ๊ะหรือว่าผมเข้าใจคำว่า หุ้นปั่น กับ การปั่นหุ้น ต่างไป
ที่สหรัฐ ช่วงไม่กี่ปีนี้ มีความนิยมซื้อหุ้นบริษัทไฮเทคทั้งหลาย จนกลายเป็นฟองสบู่ ใช่เป็นการปั่นหุ้นหรือไม่
แต่จะใช่หรือไม่ใช่ จะมีเจ้ามือหรือไม่มี สุดท้ายผู้ที่ร่วมวงก็ไม่แตกต่าง
ขนาดสหรัฐเป็นแหล่งกำเนิด VI
มีนักลงทุนแนว VI ที่ยิ่งใหญ่หลายคน และก็มีการออกมาเตือนเป็นระยะ
ดังนั้นผมไม่เชื่อหรอกว่า การเก็งกำไรจะหมดไปจากตลาดหุ้นที่ไหนในโลก
คนที่เข้ามาตลาดหุ้นแล้วสนใจแนว VI ก็ยังเป็นส่วนน้อย
และที่น้อยกว่าก็คือ ถึงแม้จะสนใจ แต่ปฎิบัติได้จริง ยิ่งน้อยใหญ่
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 14
เห็นด้วยกับพี่เจ๋งกับเฮียคลายเครียดเกิน50% เพราะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าเป็นไปไม่ได้ จากสภาวะเงินล้นจากคนจบใหม่ แต่ก็ยังต้องดูสภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลกว่าอยู่จุดไหน จึงฟันธงได้ยาก
แต่ของพี่ฉัตรนี่เห็นด้วย100%เลยครับ โดยเฉพาะที่ว่า
"คนที่เข้ามาตลาดหุ้นแล้วสนใจแนว VI ก็ยังเป็นส่วนน้อย
และที่น้อยกว่าก็คือ ถึงแม้จะสนใจ แต่ปฎิบัติได้จริง ยิ่งน้อยใหญ่"
เพราะผมก็ว่าผมเป็นหนึ่งในนั้นครับ ชอบกลายพันธุ์อยู่เรื่อยเลย :lol: ว่าไปแล้วถ้ายึดกฎ "อิทัปปัจจยตา"จะเห็นชัดเจนเลยว่ายังไงตลาดก็ต้องมีทั้งVIและกลุ่มเล่นพนัน และกลุ่มที่จะอยู่รอดได้ระยะยาวมีแต่กลุ่มยึดเหตุและผลเป็นหลักครับ
แต่ของพี่ฉัตรนี่เห็นด้วย100%เลยครับ โดยเฉพาะที่ว่า
"คนที่เข้ามาตลาดหุ้นแล้วสนใจแนว VI ก็ยังเป็นส่วนน้อย
และที่น้อยกว่าก็คือ ถึงแม้จะสนใจ แต่ปฎิบัติได้จริง ยิ่งน้อยใหญ่"
เพราะผมก็ว่าผมเป็นหนึ่งในนั้นครับ ชอบกลายพันธุ์อยู่เรื่อยเลย :lol: ว่าไปแล้วถ้ายึดกฎ "อิทัปปัจจยตา"จะเห็นชัดเจนเลยว่ายังไงตลาดก็ต้องมีทั้งVIและกลุ่มเล่นพนัน และกลุ่มที่จะอยู่รอดได้ระยะยาวมีแต่กลุ่มยึดเหตุและผลเป็นหลักครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 16
[quote="chatchai"]มีประเทศไหนที่ไม่มีหุ้นปั่นหรือการปั่นหุ้นบ้างครับ
แต่จะใช่หรือไม่ใช่
แต่จะใช่หรือไม่ใช่
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- Pn3um0n1a
- Verified User
- โพสต์: 1935
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 17
หัวเรื่องน่าจะจริงนะ
แต่ผมว่า เหตุผลไม่น่าจะใช่
มันก็คงเป็นวัฏจักร ของตลาด
พอ อะไรๆ ก็ดี คนมั่นใจกัน
มันก็จะมีแมงเม่ามาเพิ่ม
แมงเม่าคงไม่ได้เพิ่มเพราะ ข้อมูลข่าวสาร หรือ การจัด opp day อะไรหรอก
แต่เกิน 90% มักจะเริ่มจาก คนอื่นชวน เห็นว่าตลาดดี
มันก็บูม
พอบูมสักพัก เกิดเรื่องอะไรอีก แมงเม่าเก่าก็ตายไป รอวันแมงเม่าใหม่เข้ามา
อย่างว่า คนที่ยืนอยู่ในตลาดได้ เป็นส่วนน้อยมากๆ
มันก็เท่านั้น...
แต่ผมว่า เหตุผลไม่น่าจะใช่
มันก็คงเป็นวัฏจักร ของตลาด
พอ อะไรๆ ก็ดี คนมั่นใจกัน
มันก็จะมีแมงเม่ามาเพิ่ม
แมงเม่าคงไม่ได้เพิ่มเพราะ ข้อมูลข่าวสาร หรือ การจัด opp day อะไรหรอก
แต่เกิน 90% มักจะเริ่มจาก คนอื่นชวน เห็นว่าตลาดดี
มันก็บูม
พอบูมสักพัก เกิดเรื่องอะไรอีก แมงเม่าเก่าก็ตายไป รอวันแมงเม่าใหม่เข้ามา
อย่างว่า คนที่ยืนอยู่ในตลาดได้ เป็นส่วนน้อยมากๆ
มันก็เท่านั้น...
- กระบี่เก้าสําเนียง
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 18
สังเกตพฤติกรรมง่ายๆ ลองไปดูบอร์ดหุ้นตามที่ต่างๆ
เวลาบรรยากาศดีๆหุ้นขึ้นจะมีหน้าใหม่เข้ามาถามเล่นหุ้นยังไง
เปิดบัญชีที่ไหนดี โดยที่ใช้การเตรียมตัวน้อยมากๆซึ่งอาจจะเห็นคนอื่นได้อยากได้มั่ง กลัวตกรถไม่ทันรอบ ไม่ทันคนอื่น
หลังจากนั้น
ติดหุ้นอยู่ทํายังไงดี ควรขายดีไหมหรือทํายังไงดี
บางคนก็ออกจากตลาดไปเลยพร้อมกับขาดทุน หรือหมดหน้าตัก
บางคนหน้ามืดจะเอาคืนแล้วก็เสียอีก
อย่าลืมว่าหลายคนรับไม่ได้กับการขาดทุนแค่10-20%ก็มากเพียงพอที่จะทําให้คนที่ออมเงินมาลงทุนเข็ดขยาดกับตลาดได้
ผมว่าพวกที่เล่นการพนันมาก่อนหน้าจะมีความได้เปรียบกว่าหน้าใหม่ที่ไม่เล่นการพนันและใช้เงินออม
ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นคือบ่อนน่ะครับ
แต่ภาวะจิตใจ ความนิ่งมันต่างกันเยอะกับการรับความเสี่ยงได้
แต่ข้อเสียที่เหมือนกันคือใจร้อนทั้งสองแบบ
ซึ่งส่วนใหญ่ที่ยังไม่เก๋าพอก็จะเจ็บตัวกลับ
ถ้าไม่ใจร้อนกําเงินไว้ศึกษาสักนิดก็คงลดการสูญเสียได้น้อย
ตัวผมเองก็เพิ่งเล่นหุ้นได้ไม่นาน
แล้วก็ผ่านการเล่นการพนันมาก่อน แล้วหุ้นตัวแรกที่ผมเล่นคือkbank
ซึ่งไม่ได้มาจากการหาข้อมูลอะไรเลยฟังจากพี่สาวเพราะแกติดต่อแบ
งค์บ่อยแกทําอสังหาอยู่ บอกแค่ว่าการจัดองค์กรดี ดูแล้วบริหารงานดีที่สุดในบรรดาแบงค์ ผมตัดสินใจซื้อเลยตอนนั้นราคาอยู่ที่33บาท
แล้วผมก็ไม่ไปยุ่งกับมันอีกเลย
เพราะเข้าบ่อน โทรเล่นบอลมันได้ง่ายและเร็วกว่าเยอะ
ระหว่างทางก็เอาเงินมาใส่ซื้อตัวอื่นด้วยได้บ้างขาดทุนบ้าง อาศัยแค่ความรู้สึกล้วนๆว่าธุรกิจนี้ดีไหม
จนได้มารู้จักการลงทุนแบบviผมจึงลงทุนแบบผู้แบบคน ขึ้นมามีหลักการมากขึ้น ทั้งๆที่ตัวเองเรียนบัญชีแต่กลับซื้อแบบไม่มีหลักการเลยแต่ก่อน
นึกแล้วก็สมเพชตัวเอง :oops:
เวลาบรรยากาศดีๆหุ้นขึ้นจะมีหน้าใหม่เข้ามาถามเล่นหุ้นยังไง
เปิดบัญชีที่ไหนดี โดยที่ใช้การเตรียมตัวน้อยมากๆซึ่งอาจจะเห็นคนอื่นได้อยากได้มั่ง กลัวตกรถไม่ทันรอบ ไม่ทันคนอื่น
หลังจากนั้น
ติดหุ้นอยู่ทํายังไงดี ควรขายดีไหมหรือทํายังไงดี
บางคนก็ออกจากตลาดไปเลยพร้อมกับขาดทุน หรือหมดหน้าตัก
บางคนหน้ามืดจะเอาคืนแล้วก็เสียอีก
อย่าลืมว่าหลายคนรับไม่ได้กับการขาดทุนแค่10-20%ก็มากเพียงพอที่จะทําให้คนที่ออมเงินมาลงทุนเข็ดขยาดกับตลาดได้
ผมว่าพวกที่เล่นการพนันมาก่อนหน้าจะมีความได้เปรียบกว่าหน้าใหม่ที่ไม่เล่นการพนันและใช้เงินออม
ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นคือบ่อนน่ะครับ
แต่ภาวะจิตใจ ความนิ่งมันต่างกันเยอะกับการรับความเสี่ยงได้
แต่ข้อเสียที่เหมือนกันคือใจร้อนทั้งสองแบบ
ซึ่งส่วนใหญ่ที่ยังไม่เก๋าพอก็จะเจ็บตัวกลับ
ถ้าไม่ใจร้อนกําเงินไว้ศึกษาสักนิดก็คงลดการสูญเสียได้น้อย
ตัวผมเองก็เพิ่งเล่นหุ้นได้ไม่นาน
แล้วก็ผ่านการเล่นการพนันมาก่อน แล้วหุ้นตัวแรกที่ผมเล่นคือkbank
ซึ่งไม่ได้มาจากการหาข้อมูลอะไรเลยฟังจากพี่สาวเพราะแกติดต่อแบ
งค์บ่อยแกทําอสังหาอยู่ บอกแค่ว่าการจัดองค์กรดี ดูแล้วบริหารงานดีที่สุดในบรรดาแบงค์ ผมตัดสินใจซื้อเลยตอนนั้นราคาอยู่ที่33บาท
แล้วผมก็ไม่ไปยุ่งกับมันอีกเลย
เพราะเข้าบ่อน โทรเล่นบอลมันได้ง่ายและเร็วกว่าเยอะ
ระหว่างทางก็เอาเงินมาใส่ซื้อตัวอื่นด้วยได้บ้างขาดทุนบ้าง อาศัยแค่ความรู้สึกล้วนๆว่าธุรกิจนี้ดีไหม
จนได้มารู้จักการลงทุนแบบviผมจึงลงทุนแบบผู้แบบคน ขึ้นมามีหลักการมากขึ้น ทั้งๆที่ตัวเองเรียนบัญชีแต่กลับซื้อแบบไม่มีหลักการเลยแต่ก่อน
นึกแล้วก็สมเพชตัวเอง :oops:
- กระบี่เก้าสําเนียง
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
หลังเลือกตั้ง ประมาณ ปี 2551-2554 ตลาดหุ้นน่าจะบูมมาก
โพสต์ที่ 19
มีหุ้นอีกตัวมาเล่าให้ฟังนั่นคือtksผมก็นั่งดูรายการทางubc7เดิม
ที่มีคุณมาร์คเป็นพิธีกรตอน2ทุ่ม ช่วงท้ายก็มีผู้บริหารของบริษัทนี้
มาให้สัมภาษณ์เชิญชวนผู้ลงทุน
บอกสรรพคุณดีแบบนั้นแบบนี้ พีอีก็ถือว่าต่ำถ้าเทียบในหมวด ผมก็ดูเออเป็นบริษัทที่ดีน่ะ
เชื่อที่เขาเล่าแล้วก็กดไปเลยตอนเข้าตลาด สักแปปเดียวราคาก็ขึ้นไปประมาณ9บาท ผมก็ลุ้นให้มันขึ้นต่อไปสัก15บาท (ดูเอาล่ะกันใช้ความรู้สุดๆ)
แล้วมันก็ค่อยๆหล่นลงมา ผมก็เลยขายไป
ตัวอื่นๆก็ขาดทุน30-40%บ้าง กําไรขาดทุน5-10%บ้าง
บางตัวพอเราซื้อก็ไม่ขยับดึงเชงอยู่นั่นล่ะ ไม่ตื่นเต้นเลย
ก็เลยเพลาๆความสนใจไป
จนมารู้จักviเนี่ยแหละ ถึงไม่ขยับก็ซื้อเพิ่มเข้าไป มีความสุขทุกครั้งที่ได้ซื้อของดี
เปรียบเทียบกับสมัยก่อนมีความสุขทุกครั้งที่ขายแล้วได้กําไร
ที่มีคุณมาร์คเป็นพิธีกรตอน2ทุ่ม ช่วงท้ายก็มีผู้บริหารของบริษัทนี้
มาให้สัมภาษณ์เชิญชวนผู้ลงทุน
บอกสรรพคุณดีแบบนั้นแบบนี้ พีอีก็ถือว่าต่ำถ้าเทียบในหมวด ผมก็ดูเออเป็นบริษัทที่ดีน่ะ
เชื่อที่เขาเล่าแล้วก็กดไปเลยตอนเข้าตลาด สักแปปเดียวราคาก็ขึ้นไปประมาณ9บาท ผมก็ลุ้นให้มันขึ้นต่อไปสัก15บาท (ดูเอาล่ะกันใช้ความรู้สุดๆ)
แล้วมันก็ค่อยๆหล่นลงมา ผมก็เลยขายไป
ตัวอื่นๆก็ขาดทุน30-40%บ้าง กําไรขาดทุน5-10%บ้าง
บางตัวพอเราซื้อก็ไม่ขยับดึงเชงอยู่นั่นล่ะ ไม่ตื่นเต้นเลย
ก็เลยเพลาๆความสนใจไป
จนมารู้จักviเนี่ยแหละ ถึงไม่ขยับก็ซื้อเพิ่มเข้าไป มีความสุขทุกครั้งที่ได้ซื้อของดี
เปรียบเทียบกับสมัยก่อนมีความสุขทุกครั้งที่ขายแล้วได้กําไร