เปิดสูตรเด็ด-เคล็ดลงทุน "หมอบุญ วนาสิน" นักเลงหุ้นระดับอินเตอร์ตัวจริง เสียงจริง ที่พักหลังมีข่าวสะพัดจะเข้า "เทคโอเวอร์" บริษัทนั้น-บริษัทนี้ ราวกับเป็น "สายลับ 007" แห่งวงการมายาในตลาดหุ้น..เขาเล่นหุ้นอย่างไรถึงรวย คำตอบพร้อมแล้วที่จะถูกเฉลย
-------------------------------
"ผมไม่ใช่..เซียนหุ้น เพราะไม่ได้เข้าเร็ว ออกเร็ว แต่เป็นเพียงนักลงทุนที่ "รอจังหวะ" ก่อนเข้าไป "ช้อนซื้อ" ซึ่งยึดถือหลักการนี้ มานานกว่า 38 ปี"
------------------------------
ที่ผ่านมา ชื่อของ "น.พ.บุญ วนาสิน" หรือ "หมอบุญ" ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ ราวกับ "มินิซีรีส์" และสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ทุกครา เมื่อมีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับดีล "เทคโอเวอร์" กิจการทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ แพร่สะพัดอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้
นั่นเพราะ..ชื่อชั้นของ "สายลับ 007" เจ้าของ รพ.ปิยะเวท ผู้นี้ พูดได้เต็มปากว่า "ไม่ธรรมดา" !!
ใครๆ ก็มักจะมอง "หมอบุญ" ในฐานะ "เซียน" ผู้คร่ำหวอดในวงการหุ้น ไม่แพ้มุมความสำเร็จทางด้านธุรกิจหลายกิจการ
ในมุมของยอดคุณหมอนักลงทุนท่านนี้ กลับพูดชัดถ้อยชัดคำว่า "ผมไม่ใช่..เซียนหุ้น" แล้ว..Who are You ?
"ผมไม่ใช่..เซียนหุ้น เพราะไม่ได้เข้าเร็ว ออกเร็ว หรือเล่นหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวร้อนแรง แต่ผมเป็นนักลงทุนที่ "รอจังหวะ" ก่อนเข้าไป "ช้อนซื้อหุ้น" ซึ่งยึดถือหลักการนี้มานานกว่า 38 ปี ตั้งแต่ปี 2512 ที่เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้น (ในต่างประเทศ) เป็นครั้งแรก"
ด้วยอิทธิพลทางความคิดของ "จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้ เฟลเลอร์" อภิมหาเศรษฐีโรงกลั่นน้ำมัน ในยุคต้น ค.ศ.1900 ทำให้ชะตาชีวิตของ "หมอหนุ่ม" อนาคตไกล หันเหทางเดินชีวิตไปเป็น "นักลงทุน" ตลอดชีวิต
"ผมจะทำให้เงินสร้างเงิน" เป็นคำกล่าวของ "ร็อกกี้เฟลเลอร์" ที่ หมอบุญ ท่องได้ขึ้นใจ
"ตอนนั้นผมไปเป็นแพทย์อยู่ที่อเมริกา ได้อ่านหนังสือชีวประวัติของ "ร็อกกี้ เฟลเลอร์" ในหนังสือบอกว่า ธุรกิจที่จะทำให้คนรวยเร็วในขณะนั้น คือ 1. เรื่องที่ดิน 2. เรื่องน้ำมัน และ 3. การอ่านหนังสือ (ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง) เพียงไม่นานภายหลังการอ่าน ผมก็ตัดสินใจทำที่ดิน เพียง 5 ปี ก่อนกลับสู่ประเทศไทย ผมมีเงินมากกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามากโขสำหรับสมัยนั้น"
ไม่เพียงแค่ตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ที่ หมอบุญ สนใจ ที่จริงแล้วการลงทุนส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ คุณหมอนักลงทุน เคยโชว์ใบหุ้นปึ๊งใหญ่ ใบละ 5-6 แสนดอลลาร์ หรือราว 20 ล้านบาทต่อหุ้น ให้นักข่าว BizWeek เห็นเป็นบุญตา
ราวกับเป็นคำยืนยันได้อย่างดีว่า หมอบุญ คือ นักลงทุนรายใหญ่คนหนึ่งในแวดวงตลาดหุ้น "ของแท้"
หมอบุญ บอกเล่าว่า วันนี้ ตนเองมีพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งในและตลาดต่างประเทศ รวมมูลค่า "หลายพันล้านบาท" โดย 90% อยู่ในต่างประเทศ และลงทุนใน SET เพียง 10% เท่านั้น เขาให้เหตุผลง่ายๆ ว่า ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงมาก และขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง มากเกินไป
หมอบุญ บอกว่า ลักษณะการลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่จะลงทุน "ระยะยาว" ถึง "ยาวมาก" บางตัวถือนานเป็นสิบปี แต่สำหรับ SET จะ "เล่นเป็นรอบ" เป็นตลาดที่เหมาะจะเล่นในลักษณะอย่างนี้ที่สุด
ทั้งนี้ พอร์ตส่วนใหญ่ 60% ลงทุนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ เพราะมั่นใจว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจจีนยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ยกตัวอย่างหุ้น Petrochina (ปิโตรไชน่า) ที่ลงทุนไว้เมื่อ 2 ปีก่อน วันนี้กำไรแล้ว 180% เป็นต้น ส่วนอีก 20% ของพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นยุโรป โดยเน้นไปที่หุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อันดับที่ 1-2 (ของประเทศ) ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ "ถือนานแค่ไหนก็ไม่มีทางเจ๊ง"
นอกจากนี้ ยังสนใจหุ้นในกลุ่มยานยนต์และพลังงาน เช่น หุ้นโตโยต้า ที่ได้กำไรจากการลงทุนแล้วค่อนข้างมาก ถ้าเป็นตลาดหุ้นไทย หมอบุญบอกว่าจะเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นที่มี "มาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่" (ในลักษณะเก็งกำไร) เท่านั้น เช่น หุ้น SCC, PTT, KBANK ฯลฯ
"อย่างหุ้น SCC รอบนี้ ผมมาเก็บที่ราคา 248 บาท แล้วขายออกไปที่ราคา 278 บาท ถ้าจะเล่นรอบ ต้องเล่นหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นพวกนี้เล่นยังไงก็ได้กำไร (ถ้าไม่โลภมากเกินไป)"
เคล็ดลับในการสร้างความมั่งคั่ง หมอบุญสื่อถึงการยึดหลัก "ซื้อถูก..ขายแพง" โดยมีเงินที่พร้อมจะเข้าลงทุน 100-200 ล้านบาท ได้ทันที ถ้าตลาดเกิด "ตื่นตระหนก"
วิธีการซื้อ มีเคล็ดลับอย่างนี้ คือ จะซื้อเฉพาะวันที่ SET ปรับตัวลงหนักๆ 4-5% เท่านั้น จึงค่อยเข้าไปช้อน (ซื้อ) และเมื่อใดที่ดัชนี หรือ ราคาหุ้น ปรับขึ้นไป 8-12% ก็จะขายออกมาทันที โดยไม่รอช้า
แนวทางการลงทุนในลักษณะนี้ กำไรงามยิ่งกว่าดอกเบี้ยเสียอีก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาโดยตลอด
"วิธีนี้ สร้างผลกำไรเฉลี่ยให้ผมถึง 11% ของมูลค่าการลงทุนต่อปี และหากราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่า 3% ก็จะรีบ Cut Loss ทิ้งทันที" นี่คือ หลักการ
หมอบุญ กล่าวว่า ปัจจุบันได้เปิดบัญชีเล่นหุ้นกับโบรกเกอร์มากกว่า 10 แห่ง เพื่อรับข้อมูลข่าวสาร และชอบอ่านบทวิเคราะห์ของต่างประเทศ ที่วิเคราะห์เศรษฐกิจและหุ้นไทย ทำให้เห็นมุมมองของต่างชาติว่า เขามองเราอย่างไร ซึ่งบทวิเคราะห์หลายชิ้น นักลงทุนทั่วไปแทบจะไม่มีโอกาสได้อ่าน
นอกจากนี้ การลงทุนก็จะใช้ชื่อภรรยา "จารุวรรณ วนาสิน" และลงทุนผ่านบริษัทที่ตนเองถือหุ้นใหญ่หลายแห่ง เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้จัก
นักเลงหุ้นรายนี้ ทำนายว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพ ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม และท่องเที่ยว โรงพยาบาล อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องประดับ จะสามารถแข่งขันกับระดับโลกได้ หากรีบพัฒนาตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้
หากถามว่า แล้ววันนี้ธุรกิจอะไรเวิร์คที่สุดในสายตาของ "หมอบุญ"
"ผมมองว่า ธุรกิจที่สร้างกำไรได้ง่าย ตอนนี้วางน้ำหนัก 70-80% ไว้กับ เรียลเอสเตท ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ผมให้ความสำคัญกับ เมดิคัล ฮับ (ศูนย์สุขภาพ) ค่อนข้างมาก"
ล่าสุดเขาเผยว่า เตรียมนำ บริษัท Gledhill มีทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท (หมอบุญ ถือหุ้น 60% อีก 40% ถือหุ้นโดยนักลงทุนจากประเทศอังกฤษ) เข้าทำ Backdoor Listing หรือ เข้าตลาดหุ้นทางลัด ผ่านบริษัทที่อยู่ระหว่างเจรจาในหมวดรีฮาฟโก้ 2 แห่ง และบริษัทที่ซื้อขายในหมวดปกติ 1 แห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
ประวัติย่อ Gledhill เป็นเจ้าของโครงการ Himmapan Beach Samui (สมุย) พื้นที่ 500 ไร่ ราคาขายเฉลี่ย 15 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 18,000 ล้านบาท ล่าสุด เปิดขายเฟส 1 ได้แล้ว 50% คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จทั้งโครงการ ภายใน 5 ปี
ก่อนหน้านี้ หมอบุญ เคยจะเข้าไปฟื้นฟูกิจการ บมจ.แอ็ดว้านซ์ เพ้นท์ แอนด์ เคมิเคิล (ไทยแลนด์) และ บริษัท ธนสินประกันภัย แต่ดีลนี้ก็ต้องล้มเลิกไปกลางคัน
ทุกวันนี้ อาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ หมอบุญ ดำเนินธุรกิจภายใต้ "กลุ่มราชธานี" ที่ครอบครัววนาสิน ถือหุ้นใหญ่ 80% จากทุนจดทะเบียน 4,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ทที่พัทยา สมุย ภูเก็ต หัวหิน และยังมีโรงแรมอีก 7 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีทั้งระดับ 3 ดาว และ 5 ดาว
หมอบุญ เล่าว่า ตนเองนอกจากจะชอบลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว ยังชอบสะสมที่ดิน เริ่มสะสมมาตั้งแต่ ปี 2516 โดยเฉพาะที่ดินริมทะเล ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาได้อีกเป็นสิบปี
เขากล่าวว่า แนวคิดในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้หลักคิดมาจาก "ร็อกกี้เฟลเลอร์" โดยมีสูตรง่ายๆ ว่า เมื่อขายที่ดินแล้วได้เงินมาเท่าไร ให้เก็บกำไรไว้ 30% แล้วอีก 70% ไปซื้อที่ดินราคาถูก แล้วดัดแปลงให้มีราคาแพงขึ้นมา (แล้วขายออกไป)
เมื่อถามถึงการวางแผนธุรกิจในอนาคต หมอบุญ มีมุมมองว่า อีก 10 ปีข้างหน้าธุรกิจโรงพยาบาลแม้ว่าจะยังสดใส แต่ธุรกิจนี้ก็เหนื่อย เพราะหากมองที่ตัวเลขกำไร กว่าจะได้มาแต่ละบาท มันช่างยากเย็นแสนเข็ญ
จึงเล็งไว้ว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะถอนตัวออกจากการเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งในส่วนที่ตนเองถือหุ้นเกิน 70% จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ รพ.ปิยะเวท รพ.ธนบุรี 2 แห่ง และ รพ.ราชยินดี หาดใหญ่ รวมถึงโรงพยาบาลที่ถือหุ้น 10-20% ด้วย โดยอาจจ้างคนที่มีความเชี่ยวชาญมาทำงานแทน แล้วหันไปทำอะไรที่ได้กำไรมากกว่านี้
"ตอนนี้ ยังไม่มีความคิดที่จะขายโรงพยาบาลทิ้ง แต่ในระยะยาวก็ไม่แน่ ถ้ามีใครมาเสนอราคาที่ดี (มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท) ที่จริงผมไม่ได้ชอบอาชีพหมอมากนัก แต่ที่เรียนจนจบ เพราะสมัยนั้นคนเขาฮิตเรียนกัน ส่วนตัวรักอาชีพค้าขายมากกว่า"
ด้านแผนนำ รพ.ปิยะเวท เข้าตลาดหุ้นนั้น ได้รับคำตอบว่า คงเกิดขึ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้
อีกธุรกิจหนึ่งที่ หมอบุญ กำลังปลุกปั้นอยู่ คือ บริษัท กฤษณา พนาสิน จำกัด ซึ่งทำธุรกิจเพาะพันธุ์ไม้กฤษณา สายพันธุ์ พนาสิน และพัฒนาการกลั่นน้ำมันกฤษณาให้ได้ปริมาณและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน บนเขาสอยดาว เขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด พื้นที่กว่า 1,000 ไร่
"ธุรกิจนี้ นอกจากจะได้ช่วยเหลือชาวไร่แล้ว ยังมีกำไรสูงมาก เพียงแค่ 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรแล้ว 41 ล้านบาท คิดง่ายๆ มีกำไรต่อการลงทุนซื้อต้นไม้หนึ่งต้น และค่าอุปกรณ์ในการสกัดน้ำมันกฤษณาที่ 2,000 บาท (ลงทุนซื้อต้นไม้กฤษณาต้นละ 2,500 บาท ค่าอุปกรณ์ 1,500 บาท)
เพราะเมื่อสกัดออกมาเป็นน้ำมันกฤษณาแล้ว เราจะขายในราคาขวดละ 6,000 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก โดยลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอาหรับ โดยต้นไม้ 1 ต้นจะสามารถสกัดเป็นน้ำมันกฤษณาได้ถึง 4 ขวด"
หมอบุญ บอกว่า ทีมงาน โดยเฉพาะ ภาณุเมศวร์ ฐิติสมบูรณ์ ได้ร่วมกันคิดค้นวิธีการสกัดน้ำมันกฤษณามาเกือบ 1 ปี วันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ และมีเจ้าของน้ำหอมชื่อดังหลายๆ แบรนด์ เริ่มเดินทางมาดูงานของบริษัทบ้างแล้ว
--------------------------------------
กฎการลงทุน 10 ข้อ..สูตร "หมอบุญ"
---------------------------------------
เหตุใด "หมอบุญ" จึงประสบความสำเร็จในเกม มาตลอด 38 ปี ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการหุ้นทั่วโลก
คำว่า "Lucky in Game" ในที่นี่ ย่อมไม่ใช่ "ดวงดี" อย่างแน่นอน แต่ หมอบุญ มีกฎการลงทุนที่ใช้อยู่เป็นประจำ และไม่ได้เปิดเผยที่ไหนบ่อยๆ
"ถ้าอยากจะรวยแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมมีกฎอยู่ 10 ข้อ"
หนึ่ง..ก่อนจะซื้อหุ้นตัวไหน ต้องดูจังหวะก่อนว่า ต่างชาติขนเงินเข้ามาลงทุนหรือยัง ถ้ามาก็รีบโดดเข้าไปซื้อ (หุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่) ไว้เลย เพราะยังไงก็ได้กำไรแน่นอน
สอง..จะซื้อหุ้น การเมืองต้องนิ่ง และไม่มีความรุนแรง (ถ้าการเมืองไม่นิ่งอย่าซื้อ)
สาม..ช่วงนั้น ดอกเบี้ยต้องไม่ผันผวน (ถ้ามีแนวโน้มขึ้นอย่าซื้อ)
สี่..เงินเฟ้อ ต้องอยู่ในระดับที่ไม่สูง (เพราะถ้าสูง มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ย)
ห้า..ดูเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ (ไปกระจุกอยู่กับหุ้นตัวไหนบ้าง)
หก..ดูความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่เราจะซื้อ (แข็งแกร่งแค่ไหน)
เจ็ด..ดูงบดุลของประเทศ
แปด..ดูงบลงทุนของประเทศ (เช่น เมกะโปรเจค)
เก้า..ดูนโยบายการเงินของรัฐบาล
สิบ..ดูนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติ
"ทุกครั้ง ที่ผมเล่นหุ้นตามสูตรนี้ ก็มักได้กำไรกลับมาค่อนข้างมาก อย่างเช่นในปีนี้ (2550) เชื่อว่า จะได้กำไรสูงถึง 30% ของมูลค่าการลงทุน จากปกติจะได้กำไรเฉลี่ยปีละ 10-11% ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ"
+เปิดสูตรรวย "Lucky in Game" เจมส์บอนด์นักลงทุน &q
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
+เปิดสูตรรวย "Lucky in Game" เจมส์บอนด์นักลงทุน &q
โพสต์ที่ 1
- กระบี่เก้าสําเนียง
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
+เปิดสูตรรวย "Lucky in Game" เจมส์บอนด์นักลงทุน &q
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณมากครับ ผมเห็นด้วยกับคุณหมอเกี่ยวกับset
แต่วิธีของคุณหมอเหมาะกับพวกเล่นระดับแปดหลักขึ้นไปน่ะ(คห ส่วนตัวน่ะ)
แต่วิธีของคุณหมอเหมาะกับพวกเล่นระดับแปดหลักขึ้นไปน่ะ(คห ส่วนตัวน่ะ)