อุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/08/07

โพสต์ที่ 31

โพสต์

สถาบันสิ่งทอวอนแบงก์ปล่อยสินเชื่อต่อลมหายใจโรงงานเสื้อผ้า

7 สิงหาคม พ.ศ. 2550 14:15:00

สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ วอนธนาคารมั่นใจปล่อยสินเชื่อให้ดำเนินกิจการต่อ ชี้ตัดสินเชื่อต้นตอวิกฤตปิดกิจการเพิ่ม มั่นใจสิ่งทอโตได้ 4-5%ได้อานิสงส์เจเทปป้าหนุน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :  นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้โรงงานสิ่งทอต้องปิดตัวลงในขณะนี้ เกิดจากสถาบันการเงินไม่เข้าใจและไม่เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น กรณี บริษัท ไทยศิลป์ อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต ที่ต้องปิดกิจการ เพราะธนาคารเจ้าหนี้ไม่เชื่อมั่นว่า จะสามารถชำระหนี้ได้ จึงขอเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ เข้าใจสภาพที่แท้จริงของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เพราะความจริงสิ่งทอไทยมีการปรับตัวมาตลอด เห็นได้จากปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตเป็นมูลค่า 15,000 - 20,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบางโรงงานยังร่วมกับสถาบันฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้เครื่องหมายมาตรฐานต่าง ๆ ของประเทศคู่ค้า เช่น ใช้สีย้อมที่ไม่เป็นพิษ ซึ่งเป็นกติกาสากล โดยขณะนี้ผู้ผลิตสิ่งทอไทย 4 รายสามารถทำได้แล้วและได้รับฉลากสิ่งแวดล้อมจากหภาพยุโรป(อียู)

สำหรับสถานการณ์อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยปีนี้ยังไปได้ดี โดยการส่งออกสิ่งทอครึ่งปีแรกขยายตัว 2.6 %ตลอดทั้งปี คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจาก 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2549 เป็น 6,900 - 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 4-5% เนื่องจากข้อตกลงเจเทปป้า ทำให้การส่งออกสิ่งทอของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันสิ่งทอไทยส่งออกไปญี่ปุ่นแค่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คู่แข่งที่สำคัญคือ บังกลาเทศ เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย จึงจำเป็นที่ผู้ประกอบการของไทยต้องปรับตัวในการผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีสูงในการผลิตสินค้าเพื่อให้ได้มูลค่าเพิ่ม

นายวิรัตน์ กล่าวว่า ด้านตลาดในประเทศได้รับผลกระทบจากสินค้าสิ่งทอราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด จึงต้องการให้ภาครัฐหามาตรการชะลอการนำเข้าสินค้าสิ่งทอจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีมาตรการตรวจสอบในเรื่องความปลอดภัย สุขอนามัย ซึ่งขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการ สำหรับการส่งออกไปตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่สำคัญที่สุดของไทย ในปี 2549 สหรัฐมีมูลค่านำเข้าผลิตภัณฑ์สิ่งทอจากไทยถึง 2,179 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นสิ่งทอมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเครื่องนุ่งห่มมีมูลค่านำเข้าถึง 1,858 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้าเครื่องนุ่งห่มของไทยเดิมรับจ้างผลิต แต่ปัจจุบันมีการยกเลิกระบบโควตาและผลจากการเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่เคยรับจ้างผลิต ปรับตัวเป็นผู้ออกแบบและสร้างตราสินค้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์

กลุ่มที่ต้องปรับตัวและเร่งยกระดับคือ เอสเอ็มอีสิ่งทอไทย โดยประเทศไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐ 2% และปีนี้มูลค่าส่งออกจะลดลงประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่ค่าแรงถูก
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=88140
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/08/07

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ส่งออกสิ่งทอไม่เลวตลาดโตแม้คู่แข่งชน - 8/8/2550
ส่งออกสิ่งทอไม่เลวตลาดโตแม้คู่แข่งชน
ย้ำใช้ไอทีเพิ่มมูลค่า


สถาบันพัฒนาอุตฯสิ่งทอระบุการส่งออกสิ่งทอไทยยังเติบโต รับอานิสงฆ์เจเทปา พร้อมเจรจาสหรัฐ แต่ผู้ประกอบการจะต้องปรับใช้ไอทีมาเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย วอนแบงก์เห็นใจผู้ประกอบการด้วย

นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยว่า แม้ว่าขณะนี้จะมีข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มภายในประเทศไม่ดี มีโรงงานแจ้งปิดตัวเองหลายแห่ง ซึ่งหากพิจารณาตัวเลขการส่งออกสิ่งทอครึ่งจะพบว่าขยายตัวถึงร้อยละ 2.6 และตลอดปีนี้คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจาก 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2549 เป็น 6,900 - 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 - 5 ซึ่งปัจจัยหลักคือการทำข้อตกลงเจเทปป้า ทำให้การส่งออกสิ่งทอของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันสิ่งทอไทยส่งออกไปญี่ปุ่นแค่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามยังมีคู่แข่งที่สำคัญคือ บังกลาเทศ เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย จึงจำเป็นที่ผู้ประกอบการของไทยต้องปรับตัวในการผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีสูงในการผลิตสินค้าเพื่อให้ได้มูลค่าเพิ่ม

สำหรับตลาดในประเทศนั้น นายวิรัตน์ กล่าวว่าได้รับผลกระทบจากสินค้าสิ่งทอราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด จึงต้องการให้ภาครัฐหามาตรการชะลอการนำเข้าสินค้าสิ่งทอจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีมาตรการตรวจสอบในเรื่องความปลอดภัย สุขอนามัย ซึ่งขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้โรงงานสิ่งทอต้องปิดตัวลงว่า เกิดจากสถาบันการเงินไม่เข้าใจและไม่เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมสิ่งทอ จึงขอเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์เข้าใจสภาพที่แท้จริงของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เพราะความจริงสิ่งทอไทยมีการปรับตัวมาตลอด
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179175
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/08/07

โพสต์ที่ 33

โพสต์

ชี้แบงก์ต้นเหตุทำสิ่งทอปิดรง.
โพสต์ทูเดย์ ติงสถาบันการเงิน เหนียวเงินกู้ ต้นเหตุปิดโรงงานสิ่งทอ เพราะขาดสภาพคล่อง


นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวภายหลังการสัมมนาเรื่อง สูตรสำเร็จสู่ตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสหรัฐ ว่า กรณีโรงงานสิ่งทอต้องปิดกิจการนั้น สาเหตุสำคัญคือธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ยอมอนุมัติให้สินเชื่อ ทำให้ขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนดำเนินกิจการ
ทั้งนี้ เพราะสถาบันการเงินเข้าใจว่าโรงงานไม่มีอนาคต จึงไม่ให้สินเชื่อ ซึ่งสถาบันการเงินไม่ควรตื่นตระหนกง่ายเกินไป ควรมองภาพรวมของอุตสาห กรรมนั้นๆ ว่าจะยังสามารถขยายต่อไปได้อีกหรือไม่ เพราะทุกอุตสาหกรรมก็ล้วนมีหนี้ที่แตกต่างกันออกไป


ตัวอย่างปัญหาของบริษัท ไทยศิลป์ อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จริงๆ แล้วต้องการที่จะทำกิจการต่อ แต่ที่ต้องปิดตัวลงเพราะเกิดจากความบกพร่องในเรื่องของการบริหารจัดการ และการบริหารความเสี่ยง อีกทั้งไม่มีเงินทุนหมุนเวียน เพราะธนาคารเจ้าหนี้ระงับการปล่อยสินเชื่อ จึงต้องปิดตัว

นายวิรัตน์ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยปี 2550 ยังสามารถขยายตัวได้ที่ระดับ 4-5% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเมินไว้ว่าจะขยายตัวประมาณ 3-4% หรือคิดเป็นมูลค่า 6.9-7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีมูลค่าประมาณ 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าตลาดรวม 2 แสนล้านบาท

ปัจจัยสำคัญมาจากการเจรจาทวิภาคีเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ เช่น ข้อตกลงอาเซียน-จีน และข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี อุตสาหกรรม สิ่งทอมีการขยายตัวประมาณ 2.6%

ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าของไทย

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มมูลค่าสินค้าให้มากขึ้น เพราะไทยจะไปแข่งเรื่องแรงงานราคาถูกไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อพิจารณาส่วนแบ่งทางการตลาดของไทยในตลาดสหรัฐพบว่า อยู่ที่อันดับ 11 และคาดว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของไทยจะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2549

ปีที่ผ่านมาไทยส่งออกสิ่งทอไปสหรัฐราว 1.4% คิดเป็นมูลค่า 325 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ไทยส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา 1.32% หรือคิดเป็นมูลค่า 126 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม 5 เดือนแรกของปีนี้ส่งออกประมาณ 2.49% คิดเป็นมูลค่า 720 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าทั้งปีน่าจะอยู่ที่ ระดับ 2.53%

อยากย้ำว่าภาพรวมอุตสาหกรรมสิ่งทอยังไปได้ดี แต่ผู้ประกอบการบางรายที่ไม่ปรับตัวก็คงต้องหันไปทำกิจการอื่น ถือเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมที่ต้องมีการปิด-เปิดกิจการในแต่ละช่วง นายวิรัตน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183725
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/08/07

โพสต์ที่ 34

โพสต์

'โฆสิต'เกาะติดรง.เฟอร์นิเจอร์หวั่นซ้ำรอยสิ่งทอ-รองเท้า

8 สิงหาคม พ.ศ. 2550 17:29:00

โฆสิตสั่ง "ปิยะบุตร"ติดตามสถานการณ์อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ หลังมีโรงงานบางแห่งเริ่มปิดตัว เหตุค่าบาทแข็ง ขาดแคลนวัตถุดิบ แข่งขันสูง หวั่นปัญหาซ้ำรอย "สิ่งทอ-รองเท้า"

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งให้ตนติดตามสถานการณ์อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากกังวลว่าอาจจะได้รับผลกระทบ หลังจากมีบางโรงงานเริ่มปิดกิจการไปบ้างแล้ว คล้ายกับอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้า โดยในสัปดาห์หน้านี้ จะเชิญผู้ประกอบการและสมาคมผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์มาหารือ และประเมินสถานการณ์โดยรวมของอุตสาหกรรม และเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบหากมีโรงงานต้องปิดกิจการเพิ่ม

ทั้งนี้โรงงานที่มีสัญญาณปิดกิจการนั้นส่วนใหญ่ เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) ซึ่งล่าสุดพบว่ามีปัญหาการส่งออก เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า และขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตโดยเฉพาะไม้ยางพารา รวมทั้งมีปัญหาการแข่งขันในตลาดสูง ขณะที่การพัฒนาสินค้าไทยยังมีน้อย และการออกแบบดีไซน์ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า

"ภาพรวมของโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้ยืนยันได้ว่า 99.9% ยังแข็งแรงสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งจากการติดตามข้อมูลโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีแจ้งปิดโรงงาน หรือมีก็น้อยมากเพียง 4-5 โรงงานเท่านั้น และแรงงานที่ถูกเลิกจ้างก็สามารถย้ายไปทำงานในโรงงานอื่นๆได้ เพราะภาพรวมอุตสาหกรรมยังขาดแคลนแรงงานอยู่มาก รวมทั้งออร์เดอร์ของโรงงานที่ปิดกิจการก็จะโยกไปโรงงานอื่นๆในประเทศได้" นายปิยะบุตรย้ำ

อย่างไรก็ตามยอมรับที่ผ่านมาโรงงานต่างๆมีกำไรลดลง เพราะเงินบาทแข็งค่า และต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ขณะเดียวกันธุรกิจก็มีการแข่งขันสูง จนบางรายต้องลดกำลังการผลิตลงไปจากเดิม แต่ยังไม่ถึงขั้นปิดกิจการ โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากและเป็นเอสเอ็มอี ที่อยู่ในภาวะลำบาก ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเร่งลดต้นทุน ปรับปรุงระบบบริหารจัดการ นำระบบการบริหารสมัยใหม่เข้ามาใช้ และมีการจัดการทรัพยากรภายในพร้อมนำซอฟแวร์เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ

นายโฆสิต กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังไม่มีปัญหา และภาวะการจ้างงานยังขาดแคลน แต่ที่มีปัญหาและมีการปิดโรงงานเกิดขึ้นในบางจุด นั้นเป็นปัญหาเฉพาะของผู้ประกอบการบางรายเท่านั้น แต่ไม่ใช่ภาพรวมของอุตสาหกรรมทั้งหมด อย่างไรก็ตามต้องหารือร่วมกับเอกชนเพื่อสร้างความสมดุลของการจ้างงาน ระหว่างโรงงานที่ขาดแรงงาน กับโรงงานที่มีแรงงานเกิน เพื่อหาทางเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาแรงงานได้อีกทางหนึ่งหรือสนับสนุนให้เป็นผู้ประกอบการรายใหม่
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=88410
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/08/07

โพสต์ที่ 35

โพสต์

จับตาผลดำเนินงารบจ.สิ่งทอ-รองเท้า  
โดย เดลินิวส์
วัน อังคาร ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2550 11:53 น.

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.ต้องการให้นักลงทุนติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในหมวดสิ่งทอและรองเท้าที่จะประกาศในไตรมาสที่ 2 ของปี 50 อย่างใกล้ชิด เพราะแสดงรายละเอียดผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างครบถ้วน ทั้งบริษัทที่ได้รับ ผลกระทบจากค่าเงินบาทและการแข่งขันกับประเทศอื่น และบริษัทที่กำไรเติบโตดี ดังนั้นตลท. จึงไม่มีความจำเป็นต้องสั่งการให้บริษัทชี้แจงข้อมูลเป็นพิเศษ
สำหรับจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ขอเพิกถอนออกจาก ตลท. ในปีนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 49 ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอลงและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่มีเหตุผลต้องการขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นจึงต้องควบรวมและขอเพิกถอน อย่างไรก็ตาม ก่อนบริษัทใดขอเพิกถอน ตลท. จะเข้าไปหารือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียนต่อไป

ทั้งนี้ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ มี บจ.เพิกถอนออกจาก ตลท. 7 บริษัท มีมูลค่าตามราคาตลาด 4,994.10 ล้านบาท และอยู่ระหว่างถอนอีก 5 บริษัท
http://news.sanook.com/economic/economic_168773.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/08/07

โพสต์ที่ 36

โพสต์

เครื่องหนังไทยลุ้นตลาดอิตาลี หาแหล่งต้นทุนต่ำมาตรฐานสูง - 15/8/2550

กระทรวงพาณิชย์ชี้ตลาดเครื่องหนังอิตาลีกำลังเล็งหาแหล่งผลิตเครื่องหนังต้นทุนต่ำ แนะผู้ประกอบการไทยฉวยจังหวะสร้างดีไซน์และรวมตัวสู้คู่แข่งลุยตลาดอิตาลี

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโรม รายงานสถานการณ์สินค้าเครื่องหนังของ ประเทศอิตาลี ว่า ปัจจุบันธุรกิจเครื่องหนังของอิตาลีกำลังประสบปัญหาต้นทุนในประเทศสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องหาแหล่งผลิตในประเทศที่มีต้นทุนต่ำ แต่มีการออกแบบที่ดี มีความทันสมัย หลายรูปแบบ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคระดับล่างที่มีกำลังซื้อน้อย

ดังนั้นการโอกานที่สินค้าเครื่องหนังของประเทศไทย จะเข้าไปทำตลาดดังกล่าว แต่ต้องมีจุดวางสินค้าของไทยให้แตกต่างอย่างเด่นชัดจากสินค้าราคาถูกของจีน เพื่อมิให้ผู้บริโภคเข้าใจรวมว่าสินค้าเครื่องหนังไทยมีคุณภาพเดียวกับจีน ด้วยการกระตุ้นตัวเอง เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเครื่องหนังคุณภาพและประณีต รวมทั้งมีรูปแบบดีไซน์ของตนเอง อีกทั้งมีการพัฒนาการผลิตทั้งการออกแบบการ sourcing วัตถุดิบ อุปกรณ์ตกแต่ง (accessories) โดยรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม จะช่วยให้คู่ค้าในอิตาลีและผู้บริโภคสามารถเข้าใจภาพพจน์สินค้าไทยเกิดความยอมรับในสินค้าเครื่องหนังไทย

โดยในปี 2006 อิตาลีมีการส่งออกสินค้าเครื่องหนังยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก คิดเป็นมูลค่า 4,150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นคิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของปีก่อน โดยมีตัวเลขส่งออกยังประเทศไทยคิดเป็นมูลค่า 5.61 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึงร้อยละ 48 ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าเครื่องหนังจากประเทศไทยยังอิตาลี มีมูลค่า 5.49 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2005 คิดเป็นร้อยละ 24
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179739
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/08/07

โพสต์ที่ 37

โพสต์

ปองพลฟื้นธุรกิจสิ่งทอ หลังขาดทุน2ปีแรก
โพสต์ทูเดย์ ปองพล ปรับกลยุทธ์ทีทีแอล อุตสาหกรรม สู้ปัญหาค่าเงิน-สิ่งทอจีนถล่ม หันส่งออกเพื่อนบ้าน ขยายไปตลาดเคหะสิ่งทอ


นายปองพล อดิเรกสาร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีทีแอล อุตสาหกรรม ผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายและผ้าผืนจากเส้นใยสังเคราะห์ กล่าวว่า ผลกระทบค่าเงินบาทเทียบเหรียญสหรัฐแข็งตัวเร็วและสิ่งทอจากจีนเข้ามาตีตลาดในไทยทำให้บริษัทขาดทุนครั้งแรกในช่วง 2 ปีติดต่อกัน (ปี 2548 ขาดทุน 38 ล้านบาท ปี 2549 ขาดทุน 52 ล้านบาท) และนับเป็น การขาดทุนครั้งแรกจากการดำเนินการมา 42 ปี

ผลดังกล่าวบริษัทต้องปรับตัวในกลุ่มผ้าสำหรับเครื่องแต่งกายแฟชั่น โดยวางกลยุทธ์ร่วมกันของ 3 ประสาน ซึ่งถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ประกอบด้วยบริษัทซึ่งเป็นผู้ผลิต วัตถุดิบ ผู้ค้าผ้า และผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ปัจจุบันใช้ผ้าของบริษัทอยู่หลายแบรนด์ เช่น แอร์โรว์ จีคิว แดพเพอร์ ลาคอส โบว์ลิ่ง เป็นต้น แต่ในกลุ่มสินค้าภายในประเทศ ได้แก่ ผ้าสำหรับตัดชุดนักเรียน และเครื่องแบบข้าราชการคงไม่มีปัญหา

นายปองพล กล่าวถึงการปรับกลยุทธ์ที่จะต้องทำร่วมกันของ 3 พันธมิตร ประกอบด้วย การลดการขยายตลาดส่งออก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาทลง และหันมาเพิ่มตลาดในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และยูนนาน ซึ่งมีประชากรรวม 289 ล้านคน

ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านสามารถซื้อขายได้ด้วยเงินบาทและอยู่ใกล้ มีขนาดเสื้อผ้าใกล้เคียงกัน ขณะเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ ที่เป็นลูกค้าของบริษัทเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วในประเทศเพื่อนบ้านเพราะรายการโทรทัศน์ของไทยดูได้ในทุกประเทศ นอกจากนี้บริษัทยังมองไปถึงตลาดจีน เนื่องจากคนจีนทันสมัยขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น และหันมาใช้ของที่มีแบรนด์มากขึ้น นายปองพล กล่าว

ส่วนตลาดในประเทศ ได้พัฒนา ผ้าที่เป็นนวัตกรรมขึ้น เช่น ผ้าที่มี กลิ่นหอม ผ้าหน่วงไฟ ผ้านาโนกันน้ำ เป็นต้น สินค้ากลุ่มนี้ส่วนหนึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ในตลาดใหม่ อาทิ ผ้าปูที่นอน ผ้าปูโต๊ะอาหาร โดย ได้ร่วมกับพันธมิตรที่ผลิตกระเบื้อง ปูพื้น เพื่อนำลายกระเบื้องมาผลิตผ้าให้เป็นลายชุดเดียวกัน อยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าและหาผู้ขายส่ง

ทั้งนี้ นายปองพลหวังว่า การปรับตัวครั้งนี้จะช่วยรักษารายได้ที่เฉลี่ย ปีละ 1.3 พันล้านบาทเอาไว้ และหยุด การขาดทุนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และยืนยันว่า ยังไม่มีการปลดพนักงานที่มีอยู่ 1.2 พันคนออก เพราะพื้นฐานของบริษัทยังดีไม่มีหนี้เงินกู้ และมีรายได้จากเงินฝากปีละไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท นอกจากนี้ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทของรัฐบาลด้วยว่า รัฐบาลแก้ปัญหาช้าไป ส่วนการให้ ผู้ผลิตปรับตัวนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทำอยู่แล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185118
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/08/07

โพสต์ที่ 38

โพสต์

แฟชั่น-เครื่องหนังแววดี เชื่อกำไรแตะ9พันล้าน  

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม นางอรนุช โอสถานนท์ รมช.พาณิชย์ กล่าวหลังเป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง 2550(BIFF&BIL 2007) ว่า ผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าและเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวกระทบต่อการส่งออกสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มของไทย เพราะสหรัฐเป็นตลาดใหญ่มีสัดส่วนส่งออกถึงร้อยละ 50 ทำให้ไทยต้องหาตลาดใหม่มาทดแทน เช่น ตะวันออกกลาง ตุรกี ไต้หวันและกลุ่มประเทศยุโรป

นางอรนุช กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามแม้จะมีผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์มั่นใจเป้าหมายการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอ รวมทั้งเครื่องหนังจะเป็นไปตามที่ตั้งไว้ โดยเสื้อผ้าสำเร็จรูปตั้งเป้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ซึ่งจากครึ่งปีแรกพบว่าผลกระทบจากค่าเงินบาททำให้การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปติดลบร้อยละ 3 แต่ผ้าผืนขยายตัวได้ดีร้อยละ 11 ส่วนเครื่องหนังครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 14 คาดว่าทั้งปีเครื่องหนังจะโตตามเป้าร้อยละ 7

"ปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องหนังจะทำรายได้เข้าไทยไม่น้อยกว่า 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยครึ่งปีแรกการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวเติบโตเป็นที่น่าพอใจ มีมูลค่าถึง 3,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องหนังครึ่งปีแรกมีมูลค่าส่งออกถึง 880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ" นางอรนุช กล่าว  
http://www.naewna.com/news.asp?ID=72424
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/09/07

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ต่างชาติสนใจสั่งซื้อสินค้าแฟชั่นไทย-เครื่องหนังไทย
งานแสดงสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนังในวันนี้ ที่ไบเทค บางนา คึกคัก ต่างชาติ-คนไทย กว่า 7,000 คน แห่ชมและเจรจาการค้า ทำสถิติเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 17 โดยญี่ปุ่นตัดสินใจเป็นลูกค้าซื้อสินค้าแฟชั่นจากไทยมากที่สุด และตลอดงานคาดว่าจะมีผู้เข้าชมประมาณ 20,000 คน ด้านอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทย ตั้งเป้าสู่การเป็นฮับของเอเชีย

นางเบญจวรรณ รัตนประยูร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวถึงผลการจัดงานแสดงสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง ที่ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคมนี้ ว่า ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม เป็นวันเจรจาธุรกิจ มีผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าไทยทั่วโลกกว่า 7,000 คน ชมงานและเจรจาการค้า ซึ่งเป็นสถิติสูงขึ้นกว่าร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมาของการจัดงาน เป็นลูกค้าญี่ปุ่นมากที่สุด รองลงมาคือ มาเลเซีย จีน อินโดนีเซีย ไต้หวัน เวียดนาม อินเดีย ออสเตรเลีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และสเปน

ในกลุ่มแฟชั่นได้รับการตอบรับจากนักธุรกิจที่เข้ามาชมงาน และสามารถเจรจามียอดคำสั่งซื้อจำนวนมาก แม้กระทั่งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องหนังได้รับคำสั่งซื้อจากหลายประเทศ จึงเห็นว่าการจัดงานดังกล่าวประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะโครงการ Street Fashion Runaway ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มผู้ค้าเสื้อผ้าจากโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ และจตุจักร กว่า 60 ราย นำเสื้อผ้าแบรนด์เนมออกบูธภายในงาน และได้รับการตอบรับจากนักธุรกิจต่างประเทศ
http://www.thaiset.com/thaiset/news/270850/new01.jsp
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/09/07

โพสต์ที่ 40

โพสต์

วอนรัฐเร่งมือ โหมโปรโมต สินค้าอัญมณี

โพสต์ทูเดย์ ขอแรงรัฐบาลช่วยเพิ่มโปรโมตสินค้าอัญมณีพลอยในตลาดต่างประเทศ


นายธงศักดิ์ จินตการฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Expert Gems Manufacturing กล่าวว่า จากภาวะเงินบาทแข็งค่าในปัจจุบัน ทำให้ลูกค้าต่างชาติของไทยต้องซื้ออัญมณีราคา สูงขึ้น 20% ทำให้ขายสินค้าได้น้อยลง
ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกได้ 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งออกได้ 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ


ทางออกในขณะนี้ คือ รัฐบาลต้องช่วยประชาสัมพันธ์อัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้มากขึ้น เพื่อหาตลาดใหม่มารองรับเพิ่ม โดยตลาดใหม่ที่มีโอกาส คือ ประเทศจีน นิยมสั่งซื้อของที่คุณภาพดี ออกแบบสวย โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีใหม่

ไม่อยากให้มองข้ามจีน เพราะเศรษฐีใหม่นิยมสั่งซื้ออัญมณีจากไทย ราคาจะแพงก็ไม่ว่า ขอให้คุณภาพดี ออกแบบสวยงาม เมืองที่มีศักยภาพที่จะเจาะตลาดอัญมณีได้แก่ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ เสิ่นเจิ้น ตอนนี้ภาษีนำเข้า ลดจาก 35% เหลือ 17% เป็นผลจาก เอฟทีเอไทย-จีน และอนาคตอัตราภาษีจะยิ่งต่ำลงไปอีก อัญมณีไทยจะส่ง เข้าไปขายได้มากขึ้น นายธงศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ตลาดใหม่อื่นๆ ที่มีศักยภาพได้แก่ รัสเซีย บรูไน และอิหร่าน เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ เงินบาทแข็งค่า ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นได้ โดยทองคำได้เพิ่มจากบาทละ 7 พันมาอยู่ที่กว่า 1 หมื่นบาท ส่วนราคาพลอยก็สูงขึ้นกว่า 10%

สำหรับการทำตลาดในประเทศครึ่งปีหลังนี้ก็ชะลอตัว เพราะประชาชนใช้จ่ายอย่างประหยัด เนื่องจากเป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมือง ทั้งปัญหาเรื่องการเลือกตั้งที่ยังไม่แน่อน และภาวะเศรษฐกิจ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189536
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/09/07

โพสต์ที่ 41

โพสต์

โรงงานสิ่งทอจ่อคิวเจ๊ง30%-ฝันปีหน้าฟื้นตัว  
โดย ข่าวสด
วัน พุธ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550 09:49 น.

นายเดช พัฒนเศรษฐพงษ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวในงานสัมมนา จับตากระแสส่งออก สร้างโอกาสไทยสู่ตลาดโลก ว่า ปัญหาค่าเงินบาท และการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกที่เปลี่ยนจากระบบโควตาไปหาแหล่งสินค้าราคาถูก ทำให้ยอดการส่งออกเครื่องนุ่งห่มไทยปีนี้ลดลง 5% จาก 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีที่แล้ว เหลือ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีนี้ แต่คาดว่าประมาณ 1 ปี หลังจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยจะฟื้นตัวแน่นอน จึงขอให้ผู้ประกอบการเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพ ทำสินค้าให้โดดเด่น และควรใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อให้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยอยู่รอดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงไปด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลดีให้เครื่องนุ่งห่มไทยได้เปรียบด้านความรวดเร็ว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นโลก ซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 368,000 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี

ตอนนี้อยู่ในช่วงฝุ่นตลบ ทุกคนกลัวว่าจะขายไม่ได้จึงลดราคาแข่งกัน ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่โควตาการผลิตหมดลง ต้องปิดตัว ซึ่งถือว่าปิดแล้วปิดเลย เพราะฟื้นตัวได้ยาก ดังนั้นผู้ประกอบการในตลาดควรปรับตัวเพื่ออยู่ให้รอด เพราะอีกแค่ 1 ปีกว่า ฟื้นตัวได้แน่ นายเดชกล่าว

นายเดช กล่าวอีกว่า ผลของการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) จะทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องนุ่งห่มเหลือ 0% ทำให้เกิดยี่ห้อหรือแบรนด์อาเซียน ซึ่งมีประชากรมากถึง 500 ล้านคน จึงถือเป็นโอกาสของคนไทย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า 34 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้ประกอบการ 20-30% ไม่สามารถอยู่ในตลาดได้ ขณะที่รัฐบาลไม่ดำเนินการช่วยเหลืออุตสาหกรรมสิ่งทอเท่าที่ควร รวมถึงกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมหรือกองทุนเอสเอ็มอี จำนวน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการไม่ทันรัฐบาลชุดนี้
http://news.sanook.com/economic/economic_178323.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/09/07

โพสต์ที่ 42

โพสต์

อุตฯสิ่งทอแข่งตัดราคาหนีตาย พิษค่าบาทแข็งฉุดมูลค่าส่งออกปี'50วูบ5%  

สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอ เผยโดนพิษค่าบาทถล่มหนัก ผู้ส่งออกกลัวขายไม่ได้แข่งกันตัดราคา ชี้ผู้ประกอบการ 20 % ไปไม่รอด จวกรัฐไร้มาตรการดูแล

นายเดช พัฒนเศรษฐพงษ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งหุ่มไทย กล่าวในงานสัมมมนา "จับตากระแสส่งออก สร้างโอกาสไทยสู่ตลาดโลก" ซี่งจัดโดยธนาคารกรุงทเพ ว่า ปัญหาค่าเงินบาท และการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกที่เปลี่ยนจากระบบโควตาไปหาแหล่งสินค้าราคาถูก ทำให้ยอดการส่งออกเครื่องนุ่งหุ่มไทยปีนี้ลดลงร้อยละ 5 จาก 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่แล้ว เหลือ 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ แต่คาดว่า ประมาณ 1 ปีเศษ หลังจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยจะฟื้นตัวแน่นอน จึงขอให้ผู้ประกอบการเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพ ทำสินค้าให้โดดเด่น และควรใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อให้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยอยู่รอดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงไปด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลดีให้เครื่องนุ่งห่มไทยได้เปรียบด้านความรวดเร็ว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นโลก ซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 368,000 ล้านดอลาร์สหรัฐต่อปี

"ตอนนี้อยู่ในช่วงฝุ่นตลบ ทุกคนกลัวว่าจะขายไม่ได้ ก็ลดราคาแข่งกัน ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่โควตาการผลิตหมดลงต้องปิดตัว ซึ่งถือว่าปิดแล้วปิดเลย เพราะฟื้นตัวได้ยาก ดังนั้น ผู้ประกอบการในตลาดควรปรับตัวเพื่ออยู่ให้รอด เพราะอีกแค่ 1 ปีกว่า ฟื้นตัวได้แน่" นายเดช กล่าว

นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวอีกว่า ผลของการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) จะทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องนุ่งห่มเหลือร้อยละ 0 ทำให้เกิดยี่ห้อ หรือแบรนด์อาเซียน ซึ่งมีประชากรมากถึง 500 ล้านคน จึงถือเป็นโอกาสของคนไทย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ผู้ประกอบการร้อยละ 20-30 ไม่สามารถอยู่ในตลาดได้ ขณะที่รัฐบาลไม่ดำเนินการช่วยเหลืออุตสาหกรรมสิ่งทอเท่าที่ควร รวมถึงกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือกองทุนเอสเอ็มอี จำนวน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการไม่ทันรัฐบาลชุดนี้

นายสุชาติ จันทรานาคราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท GOLD MINE GARMENT จำกัด กล่าวบรรยายในหัวข้อ"ส่งออกไทยมุมมองและประสบการณ์นักธุรกิจ" ว่า ในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทที่แข็งค่าถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกโดยหากนับจากเดือนกรกฎาคม 2548 จนถึง กรกฎาคม 2550 เงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ถือว่าแข็งค่าขึ้น 23.75% ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไม่ได้ชี้แจงให้เอกชนได้ทราบว่าการแข็งค่าของเงินบาทกว่า20 % นั้นสาเหตุหลักมาจากอะไร ซึ่งหากแข็งค่าเพราะไทยเกินดุลการค้าถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากแข็งค่าเพราะมีเงินเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คงจะเป็นเรื่องที่ไม่เกิด ประโยชน์กับฝ่ายใดนอกจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ธปท.มีการให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับภาคเอกชนและมีการดูแลค่าเงินบาทให้ใกล้ชิดมากกว่านี้

ด้านนายเดชา ตุลานันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ส่งออกจะต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้คือการปรับปรุงตัวเอง และต้องพัฒนาสินค้าให้สามารถแข่งขันได้รวมถึงต้องเข้าใจเหตุการณ์เพื่อปรับตัว โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสิ่งทอ รวมถึงในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า ดังนั้นผู้ส่งออกจึงควรต้องเร่งปรับคุณภาพของสินค้าให้ดีให้มีความสามารถแข่งขันได้มากขึ้น

นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการลูกค้าธุรกิจรายกลางนครหลวง ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ในกลุ่มลูกค้าธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ของธนาคารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เริ่มมีปัญหามากขึ้น เนื่องจากการบริโภคและการใช้จ่ายโดยรวมของประเทศยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กขยายธุรกิจได้ยากขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้มีการติดตามในทุกเดือนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ที่เพิ่มขึ้นถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เนื่องจากธนาคารให้ความสำคัญในการคัดเลือกลูกค้าอยู่แล้ว

"ลูกค้าของเราที่มีปัญหามีค่อนข้างน้อยเพราะเราคัดเลือกมาดี แต่ที่จะได้รับผลกระทบบ้างคือธุรกิจที่ใช้แรงงานมากและทำส่งออก แต่ส่วนใหญ่ก็ปรับตัวล่วงหน้าแล้วเป็นปีเพราะไม่เช่นนั้นถึงวันนี้ก็คงอยู่ไม่ได้เพราะการแข่งขันเปลี่ยนไปมาก ส่วนเรื่องการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าเอสเอ็มอีปัจจุบันเราก็ยังทำอยู่และยืนยันว่าจะไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มดังกล่าวอย่างแน่นอน"นายวีระศักดิ์กล่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=73997
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/09/07

โพสต์ที่ 43

โพสต์

ตลาดสหรัฐเดี้ยง ฉุดส่งออกอัญมณี
ปัจจัยลบกระหน่ำ ทั้งเศรษฐกิจคู่ค้า บาทแข็ง ส่งออกอัญมณีพลาดเป้า โตได้แค่ 10%


นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ปัญหาภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลง ในฐานะคู่ค้ารายใหญ่ของไทย ตลอดจนปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบทำให้การส่งออกอัญมณีปีนี้คาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ที่ 20%

สิ้นปีนี้การส่งออกอัญมณีคงจะขยายตัวเหลือแค่ครึ่งเดียวคือ ขยายตัวได้ 10% ด้วยมูลค่าการส่งออก 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทราว 1.4 แสนล้านบาท

เปรียบเทียบจากปี 2549 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.26 แสนล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนแรก การส่งออกอัญมณีขยายตัวแค่ 5-6%

กระทรวงพาณิชย์จะเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงอันดับ 1 ของไทย โดยมุ่งไปที่ยุโรปตะวันออก อินเดีย จีน และรัสเซีย
ผู้ประกอบการไทยจะร่วมมือจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับอินเดีย เพื่อบุกตลาดตะวันออกกลาง

ขณะที่ประเทศจีนจะมุ่งเจาะตลาดใน 4 เมืองหลัก ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว และเสิ่นเจิ้น โดยเชื่อมั่นว่าคุณภาพและทักษะในการผลิตอัญมณีของไทย ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต

พร้อมกันนี้ สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เตรียมจัดงาน บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ย. นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

งานดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายช่องทางการตลาดได้มากขึ้น ด้วยงานนี้เป็นการแสดงอัญมณีและเครื่องประดับจาก ทั่วทุกมุมโลก โดยจะมีอัญมณีและเครื่องประดับที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทร่วมแสดง เพื่อดึงดูดความสนใจผู้เข้าชมงานด้วย
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 678&ch=227
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/09/07

โพสต์ที่ 44

โพสต์

กลุ่มสิ่งทอร้องรัฐช่วย พิษบาททำปิดกิจการต่อ ชงตั้งบ.ทำตลาดส่งออก  

โดย มติชน
วัน จันทร์ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550 08:18 น.

แหล่งข่าวจากกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มยังอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง จากปัญหาค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ระดับที่ผู้ประกอบการต้องการคือ 35-36 บาทต่อดอลลาร์ จึงคาดว่าในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะเห็นอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มปิดกิจการลงอีกไม่น้อยกว่า 30%
นายกาสชัย แจ่มขจรเกียรติ เลขานุการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มจะยื่นข้อเสนอให้หน่วยงานของภาครัฐทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ช่วยหาทางแก้ปัญหาการส่งออกของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มชะลอตัว โดยจะเสนอให้พิจารณาจัดตั้งบริษัทเพื่อทำการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและให้วิเคราะห์ตลาดในเชิงลึก โดยมุ่งเน้นตลาดในภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนการส่งออกของอุตสาหกรรมฯปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบจากปีก่อนประมาณ 5% เนื่องจากปัจจัยค่าเงินบาท
http://news.sanook.com/economic/economic_180379.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/09/07

โพสต์ที่ 45

โพสต์

กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ปิดฉากถาวร หรือรอ "การเมือง" ฟื้นคืนชีพ

และแล้วเส้นทางของโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ก็ได้เดินมาถึงจุดสิ้นสุด รวมระยะเวลาตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการถึงวันนี้กินเวลา 4 ปีกว่า ภายใต้วัตถุประสงค์หลักของโครงการ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กรุงเทพฯเป็นเมืองแฟชั่น ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยได้เกิดพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ด้วย แนวคิดการพัฒนา 3 มิติ คือ การสร้างคน คือ การสร้างบุคลากรด้านแฟชั่น การสร้างธุรกิจ เป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย และการสร้างเมือง คือ การสร้างกรุงเทพฯให้เป็นเมืองแฟชั่น โดยผลการประเมินที่ออกมาหลายฝ่ายบอกว่าเป็นที่น่าพอใจ

ตำนานกรุงเทพฯเมืองแฟชั่นผ่านมือ 5 รัฐมนตรี

โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น เริ่มขึ้นในสมัยที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วงเดือนสิงหาคม 2546 ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการดังกล่าว ด้วยงบประมาณ 1,810 ล้านบาท สำหรับบริหารจัดการ 11 โครงการย่อย ภายใต้เงื่อนไขระยะเวลาดำเนินการ 18 เดือน ซึ่งแต่ละโครงการย่อยจะใช้วิธีการจัดจ้าง หน่วยงานไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชน หรือสถาบันการศึกษา ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับการ คัดเลือกเข้ามาบริหารจัดการภายใต้งบ ประมาณและระยะเวลาที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม การจัดจ้างแต่ละโครงการย่อยได้ทยอยคัดเลือกและทำสัญญาจัดจ้างอย่างยาวนาน ไม่ได้ทำสัญญาจัดจ้างพร้อมกัน ในส่วนนี้กินระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ถึง 5 ท่าน ไล่มาตั้งแต่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน-นายพินิจ จารุสมบัติ- นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล-นายวัฒนา เมืองสุข และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จนหมดยุคสมัยของทักษิณ

ซึ่งการดำเนินนโยบายของรัฐมนตรีแต่ละคนเกี่ยวกับโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น จึงแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในช่วงของนายพงษ์ศักดิ์ ที่มีนโยบาย "ต่อรอง" ตัดงบประมาณของทุกโครงการลงโครงการละ 10% และนำเงินที่ตัดลดลงมาได้ไปจัดทำ "โครงการพิเศษพัฒนาแฟชั่นรากหญ้า" เบ็ดเสร็จรวมถึง 130 ล้านบาท เพียงโครงการเดียว

แต่ที่สุดแล้วงบประมาณจำนวนนี้ไม่สามารถจะเบิกจ่ายออกมาเพื่อตามวัตถุประสงค์ได้ สุดท้ายต้องส่งกลับคืนไปยังกระทรวงการคลัง ขณะในสมัยที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณ ประกอบกับตัวโครงการเองได้ประสบปัญหาสัญญาการจัดซื้อจัดจ้าง 2 โครงการคือ

โครงการประกวดออกแบบแฟชั่นนานาชาติ งบประมาณ 80 ล้านบาท กับ โครงการสร้างแนวโน้มแฟชั่น งบประมาณ 92 ล้านบาท ไม่สามารถจัดจ้างได้ทันตามกรอบเวลาของราชการ สุดท้ายก็ต้องส่งงบฯกลับคืนไปยังกระทรวงการคลัง เช่นเดียวกันกับโครงการพิเศษพัฒนาแฟชั่นรากหญ้า เบ็ดเสร็จเหลือโครงการที่จะต้องดำเนินการจริงเพียง 9 โครงการ เหลืองบประมาณใช้จริงอยู่ประมาณ 1,368 ล้านบาท

ประเมินผลผ่านฉิวเฉียดเฉลี่ยเกรด 3

การดำเนินการ โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ถ้าไม่มีตัวชี้วัดเป็นรูปธรรมก็จะไม่รู้ผลของโครงการว่า จะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ ? หรือ คุ้มค่ากับการใช้งบประมาณหรือเปล่า ? ตรงจุดนี้เอง สำนักงานโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น จึงได้จัดจ้าง 2 หน่วยงานมาประเมินผลงาน คือ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลประเมินที่ออกมาจะในรูปของเกรดเฉลี่ยต่ำสุดไปถึงสูงสุดคือ เกรด 1 ไปถึงเกรด 5

นายนิธิศ ภู่คำมี นักวิจัยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า สถาบันฯได้รับมอบหมายให้ประเมินโครงการใน 2 ส่วน คือ ส่วนของการสร้างคน กับ การสร้างธุรกิจ ซึ่งผลลัพธ์ของการประเมินของ 3 โครงการย่อยที่อยู่ในส่วนของการสร้างคน พบว่า 1)โครงการศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านแฟชั่น ภาพรวมของหลักสูตรการอบรมระยะยาวเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.90 ระยะสั้น 3.20 โดยความรู้ที่ได้รับหลังการอบรมระยะยาวอยู่ในระดับ 2.80 ระยะสั้น 2.90 โดยโครงการดังกล่าวไม่สามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาสั้นๆ จากงบประมาณ 264 ล้านบาท ในขณะที่รายได้รวมจากการเปิดอบรมหลักสูตรปีละ 99.4 ล้านบาท จะต้องมีการดำเนินการต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2-3 ปีถึงจะถึงจุดคุ้มทุน

2)โครงการศูนย์รวบรวมแนวโน้มแฟชั่นโลก ผลลัพธ์ของการให้บริการห้องสมุดแฟชั่น ได้เกรดเฉลี่ย 3.10 ใช้ประโยชน์ได้จริง 2.30 โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ประโยชน์ด้านการศึกษา 56% การทำงาน 42.6% และพักผ่อนในห้องสมุด อีก 1% และ 3)โครงการรวบรวมผลงานแฟชั่น นักออกแบบไทย ผู้ใช้ประโยชน์จากหนังสือแฟชั่นในประเทศ 2.70 ส่วนต่างประเทศ 3.10 เป็นโครงการที่ไม่คืนทุน เพราะงบประมาณที่ใช้ไป 56.8 ล้านบาท ในขณะที่จำหน่ายหนังสือได้ 4 ล้านบาท

ส่วนผลลัพธ์ของการประเมินส่วนของการ สร้างธุรกิจ ประกอบด้วย 3 โครงย่อยเช่น เดียวกัน ได้แก่ 1)โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ดำเนินการโดยสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ระดับของคะแนน แบ่งเป็น ภาพรวมของโครงการอยู่ในระดับ 2.90 กิจกรรม 3.10 และ ผลการดำเนินงานของที่ปรึกษาอยู่ในระดับ 3.3

2)โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ดำเนินการโดย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาพรวมของโครงการอยู่ในระดับ 2.90 ความพึงพอใจในการใช้บริการ 3.6 และหลักสูตรการอบรม 3.3

และ 3)โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง ดำเนินการโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คะแนนภาพรวมโครงการอยู่ในระดับ 2.70 ความรู้ที่ได้จากการอบรม 2.90 และการนำการอบรมไปใช้ประโยชน์ 2.9

"บทสรุปที่ทางสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ได้ประเมินออกมา โดยภาพรวมสามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมแฟชั่นได้ แต่ก็ยังมีสิ่งที่เป็นจุดอ่อนคือ ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินการ การเข้าถึงข้อมูลของกิจการใหญ่ยังมีน้อย และ เรื่องของการประชาสัมพันธ์เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายให้มีการรู้ทำได้น้อยเช่นเดียวกัน ตรงนี้จึงต้องมีการปรับปรุง" นายนิธิศกล่าว

ด้าน นางชลัยพร อมรวัฒนา อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในส่วนของจุฬาฯได้รับมอบหมายให้ ประเมินผลงานในส่วนของ การสร้างเมือง ประกอบไปด้วย 3 โครงการย่อย คือ 1)โครงการจัดงานแสดงสินค้า ระดับคะแนนภาพรวมโครงการเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง แบ่งเป็น วัตถุประสงค์โครงการได้อยู่ในระดับ 3.12 กับ กิจกรรมโครงการระดับ 2.94 ถือเป็นโครงการที่สร้างโอกาสให้สินค้าแฟชั่นที่มีตราสินค้ามีช่องทาง เข้าสู่ตลาดโลก

2)โครงการเจาะตลาดเป้าหมาย ภาพรวมโครงการอยู่ในระดับปานกลางเช่นเดียวกัน วัตถุประสงค์ 3.74 กิจกรรม 3.13 และ 3)โครงการสร้างภาพลักษณ์กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ภาพรวมโครงการอยู่ในระดับดี ตามวัตถุประสงค์คะแนน 4.2 กิจกรรม 3.16

"โดยรวมแล้วการดำเนินการของโครงการ ในกลุ่มสร้างเมือง ถือว่าดีพอใช้ สิ่งที่เป็น ปัญหาก็คือ เรื่องของระยะเวลาสั้นเกินไป งบประมานการจัดสรรดำเนินการโครงการไม่เหมาะสม"

"จักรมณฑ์" โยนรัฐบาลใหม่คืนชีพโครงการ

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น กล่าวว่า ตนในฐานะที่ดูแลโครงการนี้มองว่า จากปัญหาทั้งด้านระยะเวลาและข้อจำกัดของการใช้งบประมาณ สงผลให้โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่นถูก "จับตามอง" เป็นพิเศษ

แต่ผลลัพธ์ของการดำเนินการก็ยังออกมาดีถึงระดับ 80% ถือเป็นโครงการที่สร้างการรับรู้ให้กับ ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการเห็น ความสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นได้มากขึ้น จึงสมควรที่จะให้มีการสานต่อโครงการอย่าง ต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ได้สนับสนุนงบประมาณมาให้ แต่บางอย่างที่ไม่ต้องใช้เงินก็ควรจะดำเนินการ หรือขอความร่วมมือจากส่วนอื่นให้มาสนับสนุนแทนได้ โดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาบุคลากรและการสร้างธุรกิจ เป็นส่วนที่จะต้องดำเนินการต่อไป

"เมื่อรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อมาดำเนินงานโครงการ อาจจะทำให้โครงการต้องชะงักไปชั่วคราว แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมีความหวังว่า ในรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง คงจะเห็นความสำคัญ ซึ่งทางกระทรวงจะดำเนินการของบประมาณในปี 2552 เพื่อมาสนับสนุนโครงการดังกล่าว แต่จำนวนเงินอาจจะไม่มากเมื่อที่ผ่านมา" นายจักรมณฑ์

ตั้งกองทุน 30 ล้านพัฒนาบุคลากร

นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะผู้อำนวยการ โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น กล่าวว่า ขณะนี้โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น มีเงินเหลือจากที่เอกชนได้ สบทบเข้าร่วมทำโครงการประมาณ 30 ล้านบาท ตรงนี้ก็จะขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้นำมาเป็น "กองทุนสำหรับพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมแฟชั่น" ให้เป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อไป แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติ เงินจำนวนดังกล่าวก็ต้องส่งคืนให้กับ สำนักงบประมาณแผ่นดิน

นอกจากผลประเมินกับสิ่งที่ดำเนินการข้างต้นที่ออกมา "เหมือนว่าจะดีแล้ว" คำถามก็คือ เมื่อไม่มีงบประมาณแล้ว โครงการจะเดินต่อไปได้อย่างไร ในส่วนนี้จะขึ้นอยู่ผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือราชการจะมีความจริงใจกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยได้แค่ไหน

จะตอกฝาโลง "ปิดฉาก" โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่นให้สนิท หรือเพียงแค่ "พักยก" รอเวลาโครงการฟื้นคืนชีพต่อในอนาคต
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0203
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/09/07

โพสต์ที่ 46

โพสต์

ยอดจิวเวลรี่กระอัก

โดย Post Digital 22 กันยายน 2550 16:00 น.

นายกฯผู้ค้าอัญมณี และเครื่องประดับ โอดการเมืองฉุดยอดขายจิวเวลรี่ ในปท.ทรุดฮวบร้อยละ 50 ส่งออกขยายตัวแค่ร้อยละ10

นายพรชัย ชื่นชมลดา นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ เปิดเผยว่า ยอดขายอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศปีนี้ลดลงถึงร้อยละ 50 จากปัญหาการเมืองของไทย ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง คาดว่าหลังการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะทำให้วงการอัญมณีกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งปกติแล้วจะมีมูลค่าตลาดถึง 30,000 - 40,000 ล้านบาท ส่วนสินค้าสำหรับส่งออกการเติบโตปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 10 จากยอดขายปีที่แล้ว139,000 ล้าบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 20 มาจาก 3 ปัญหาหลัก คือ ค่าเงินบาทแข็งค่า มาตรการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ของสหรัฐอเมริกา และปัญหาซับไพรม์ที่ลุกลามจากสหรัฐไปสู่ยุโรปและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีหน้าสถานการณ์จะดีขึ้น

สำหรับการจัดงานบางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ครั้งที่ 40 ที่จัดขึ้นวันนี้ (22 ก.ย.) เป็นวันสุดท้าย พบว่ามีเงินสะพัดจากการซื้อขายในงานและต่อเนื่องถึง 20,000 ล้านบาท มีผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากทั่วโลกเข้าร่วมถึง 30 ประเทศ เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางอัญมณีที่ทั่วโลกให้การยอมรับ สำหรับปีนี้ สมาคมฯได้เน้นการประชาสัมพันธ์อัญมณีสีเหลืองให้ต่างชาติเป็นที่รู้จัก เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา หลายฝ่ายพร้อมใจกันจัดสร้างกระต่ายบุษราคัม โดยสร้างขึ้นจากทองคำแท้ประดับบุษราคัมไทย เพื่อนำทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 นี้.
http://www.posttoday.com/breakingnews.p ... &id=193089
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/09/07

โพสต์ที่ 47

โพสต์

นาฬิกาแฟชั่นทุบแบรนด์หรู

โพสต์ทูเดย์ ตลาดนาฬิกาหรูซบ อัลทิเมท ไทม์ สบช่องบูมนาฬิกาแฟชั่น เตรียมนำเข้าแบรนด์ใหม่อีกปีนี้ พร้อมจับมือเมเจอร์ ซีนี เพล็กซ์ ลุยเจาะตลาดวัยรุ่น


นายฟิลลิป แยบ ผู้จัดการฝ่ายบริหารภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัท อัลทิเมท ไทม์ ผู้นำเข้านาฬิกาแฟชั่นจากต่างประเทศ กล่าวว่า ภาวะตลาดรวมของนาฬิกาประเภทหรูหรา (ลักชัวรี) หดตัวลง เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง จากผลกระทบเรื่องปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดนาฬิกา แฟชั่นกลับมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นยังคงมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะหากเป็นสินค้าที่มีสีสันและดีไซน์ถูกใจจะได้รับการตอบรับดี

ตลาดนาฬิกาเมืองไทย ถือเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพ ปัจจุบันมีการนำสินค้าเข้ามาทำตลาดไม่ต่ำกว่า 500 แบรนด์ ทั้งประเภทแบรนด์เนมและนาฬิกาแฟชั่น โดยเฉพาะกลุ่มหลังมีความเคลื่อนไหวเร็ว ทำให้มีการเติบโตต่อเนื่อง นายฟิลลิป กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทซึ่งนำเข้านาฬิกากลุ่มแฟชั่นยังคงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะนำเข้านาฬิกาแนวสปอร์ตแบรนด์ซุนโต เข้ามาทำตลาดในเดือน ต.ค. นี้ จากปัจจุบันที่นำเข้านาฬิกาแฟชั่นทั้งหมด 6 แบรนด์ ได้แก่ โอดีเอ็ม, ลีวายส์, ทิมเบอร์แลนด์, เอ็นเอ็มจี, เอสปรี, บอเมง ถือว่ามีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 ในตลาดนาฬิกาแฟชั่นมูลค่า 1 พันล้านบาท

นายฟิลลิป กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทไดัจัดแคมเปญการตลาดครั้งใหญ่ร่วมกับโครงการมูฟวี่ ไมล์ของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป โดยใช้งบประมาณรวม 30 ล้านบาท เพื่อแนะนำนาฬิกาโอดีเอ็ม รุ่นลิงค์ ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค โดยเฉพาะฐานลูกค้าของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เป็นกลุ่มเดียวกันกับบริษัท หวังว่าในช่วง 2 เดือนของการจัดแคมเปญครั้งนี้ จะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เหมือนเป็นแหล่งรวมของวัยรุ่น การเข้ามาทำตลาดร่วมกันในลักษณะของการโคแบรนด์ จะทำให้ทั้ง 2 แบรนด์ได้ประโยชน์ร่วมกัน อันดับแรกคือ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ ส่วนการซื้อสินค้าจะเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา นายฟิลลิป กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=193272
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/09/07

โพสต์ที่ 48

โพสต์

พาณิชย์จี้อุตสาหกรรมไหมไทยปรับตัวรับค้าเสรี

25 กันยายน พ.ศ. 2550 12:00:00

พาณิชย์ จี้อุตสาหกรรมไหมไทย ปรับตัวรับการค้าเสรี ชี้ไหมไทยสามารถแข่งขันกับไหมจีน เวียดนามได้ แจงแนวทางใช้ประโยชน์กองทุนเอฟทีเอ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
  นายนพดล สระวาสี รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกรและ ผู้ประกอบการไหมและผลิตภัณฑ์ รับมือกับการค้าเสรี ว่า จะต้องหาทางสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากการทำเสื้อผ้า เช่น เนคไท เฟอร์นิเจอร์จากผ้าไหม รองเท้า กระเป๋าจากผ้าไหม และต้องมีการรักษาคุณภาพ ความประณีต และ

รักษาเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งเชื่อว่าไหมไทยจะแข่งขันได้ท่ามกลางภาวะการค้าเสรีโลก เพราะไทยไม่สามารถ
หลีกเลี่ยงได้

มีความกังวลกันว่า การเปิดเสรีจะทำให้ไหมจีน ไหมเวียดนามเข้ามาในราคาถูก ทำให้การใช้ไหมไทยลดลง
และในที่สุดจะกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมที่นับวันจะลดน้อยลงเรื่อยๆ จนมีข้อเรียกร้องให้รัฐยืดเวลาในการเปิดเสรี
การค้าไหมออกไป หรือไม่ควรเปิดเสรีเลย ซึ่งจริงๆ แล้วเราปิดกั้นไม่ได้ และควรหาทางใช้โอกาสจากการเปิดเสรีจะดี
กว่านายนพดลกล่าว

ส่วนการป้องกันการนำเข้าไหมจากประเทศอื่นๆเข้ามาสวมสิทธิ์เป็นไหมไทยนั้น ในการทำข้อตกลงค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ก็มีกฎในเรื่องของแหล่งกำเนิดสินค้า การที่จะนำไหมจากจีนหรือเวียดนามมาทอเป็นผ้าผืนและส่งออก ก็จะติดเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการตรวจสอบและระมัดระวังในเรื่องนี้อยู่แล้ว

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการส่งออก รายงานว่ามูลค่าการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ทำจากไหมไทยตั้งแต่ม.ค.ถึงเดือนส.ค. มีมูลค่า8.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 79.6 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมูลค่าการส่งออกผ้าผืนทำจากไหมไทยมีมูลค่า10.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น6.54 %ในช่วงเดียวกัน โดยประเทศส่งออกที่สำคัญคือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
ญี่ปุ่นฝรั่งเศส สเปนและฮ่องกง

ทั้งนี้ครม.ได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยในปีงบประมาณ 50ให้ใช้งบประมาณของกระทรวงพาณิชย์เป็นทุนประเดิมในกองทุน 40 ล้านบาท ส่วนในปีงบ 51กระทรวง พาณิชย์ได้ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทโดยกองทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าของไทยกับประเทศต่างๆซึ่งจะไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใน รูปของเงินแต่จะเป็นความช่วยเหลือในรูปของการวิจัยและพัฒนา หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า

สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอนั้น จะพิจารณาจากยอดขาย หรือส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าไทยหลังการเปิดเสรีลดลงอย่างเห็นได้ชัดการจ้างงานของผู้ประกอบการไทยลดลง เป็นต้น
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=185763
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 49

โพสต์

เปิดไต่สวนสินค้าจีน ทุ่มตลาดผ้าผืนไทย

โพสต์ทูเดย์ พาณิชย์ เตรียมพิจารณาคดีผ้าผืนจีนทุ่มตลาด ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย


แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 26 ก.ย. จะมีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาทุ่มตลาดและการอุดหนุน เพื่อเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าผ้าผืนจากจีน 2 รายการ ได้แก่ ผ้าฝ้าย และผ้าทีซี ตามที่สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยได้ร้องเรียน

ตามขั้นตอน หากคณะกรรมการ พิจารณาจะต้องเรียกข้อมูลเพิ่มจากผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย เพราะที่ ผ่านมายอมรับว่ามีข้อมูลน้อยมาก ไม่สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดกับ อุตสาหกรรมของไทยได้

สมาคมได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดได้ตรวจสอบราคานำเข้าผ้า ว่าได้สร้างความเสียหายกับอุตสาห กรรมภายในประเทศ จำนวน 4 บริษัท ทำให้ผู้ประกอบการมีส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศลดลง

สำหรับผู้ประกอบการ 4 บริษัท พบว่า บริษัทแรกมีกำลังการผลิต 20 ล้านหลา/ปี เท่ากัน รายแรกตั้งเป้าขายในประเทศ 12 ล้านหลา/ปี (100%) แต่ขายได้เพียง 3 แสน หลา/ปี

บริษัทที่ 2 ตั้งเป้าจะขายภายในประเทศ 3.6 ล้านหลา แต่ขายได้เพียง 1.46 แสนหลา หรือเพียง 5.69% ของปริมาณการผลิต แต่ เมื่อหันไปส่งออกในช่วงเงินบาทแข็ง ทำให้บริษัทขาดทุน 16 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้บริษัทมีกำไรมาตลอด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=193737
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 50

โพสต์

ค่าเงินบาทแข็ง-ซับไพรม์พ่นพิษไม่เลิก ทุบออร์เดอร์เครื่องนุ่งห่มวูบ-โรงงานเล็กเจ๊ง300ราย  
 
โดย ข่าวสด วัน พุธ ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550 09:17 น.

รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม แจ้งถึงสภาวะการผลิตอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มว่า ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้การผลิตน่าจะเพิ่มขึ้น 2.3% เนื่องจากสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำซึ่งใช้เทคโนโลยีหลักมีการนำเข้าวัตถุดิบหลักจากต่างประเทศเข้ามาผลิต ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจึงไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอมากนัก แต่ในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม หรือเสื้อผ้าสำเร็จรูป แม้ว่าภาพรวมการส่งออกจะลดลงจากค่าเงินบาทแข็ง แต่ไตรมาส 3 น่าจะขยายตัว 2.6% อยู่ในระดับที่ทรงตัว ซึ่งคงต้องจับตาตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดหลักของการส่งออกเครื่องนุ่งห่มว่ามีปัญหาจากหนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม์) อย่างไร โดยอุตสาหกรรมนี้พยายามหนีไปยังตลาดยุโรปมากขึ้น เพราะตลาดยุโรปยังขยายตัวได้ดี
สำหรับการจำหน่ายในประเทศทั้งอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มช่วงไตรมาส 3 ยังขยายตัว 3.1% และ 1.1% ตามลำดับ แต่หากปัญหาค่าเงินบาทยังไม่ดีขึ้นจะส่งผลให้ช่วงสุดท้ายของปีไตรมาส 4 เดือนต.ค.-ธ.ค.การจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มติดลง เพราะคำสั่งซื้อของลูกค้าจะลดลง ซึ่งจะสะท้อนไปยังการส่งออกอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มในช่วงไตรมาส 4 ที่คาดว่าการส่งออกจะติดลบ 1% เนื่องจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง และปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐมีแนวโน้มบานปลาย โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีมูลค่าการส่งออกสิ่งทออยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8%

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แม้ในปีนี้การเติบโตของอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เชื่อว่าไม่มีปัญหาต่ออุตสาหกรรมทั้งระบบ เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่ปรับตัวไปกันมากพอสมควร แต่ผู้ประกอบการรายเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่รับช่วงผลิตสินค้าต่อจากผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้นที่จะมีปัญหา เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่งดที่จะส่งคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) ไปให้รายเล็ก และนำออร์เดอร์ดังกล่าวมาผลิตเอง

ที่ผ่านมาช่วงที่อุตสาหกรรมนี้บูมๆ ผู้ผลิตรายใหญ่มักรับออร์เดอร์มาเกินกำลังผลิตของตัวเองอย่างน้อย 20% แล้วส่งต่อไปให้เอสเอ็มอีผลิต (ซับคอนแทร็กต) แต่พอออร์เดอร์หดรายใหญ่ก็เก็บออร์เดอร์ไว้ผลิตเอง ดังนั้นผู้ผลิตรายเล็กที่รับจ้างผลิตอย่างเดียวจึงอยู่ไม่ได้ เท่าที่ทราบขณะนี้โรงงานเครื่องนุ่งห่มรายเล็กกว่า 1,500 แห่ง ปิดตัวไปแล้วกว่า 300 แห่ง เหลือที่อยู่ในระบบเพียง 1,200 แห่ง เท่านั้น นายวัลลภ กล่าว

นายวัลลภ กล่าวว่า ในสถานการณ์อย่างนี้ ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก และรายใหญ่ต้องเร่งปรับตัว ลดต้นทุนการผลิตลง เพื่อประคองให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไป พยายามสร้างแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง ส่วนผู้ที่ยังรับจ้างผลิตก็ต้องเร่งสร้างมาตรฐานของตัวเอง ตามที่ลูกค้ากำหนด หรือตามกฎเกณฑ์ทางการค้า เพื่อรักษาออร์เดอร์ไว้

อย่างไรก็ตามแม้จะมีโรงงานรายเล็กปิดตัวไปไม่ได้สร้างปัญหาต่อแรงงานอุตสาหกรรมนี้ เพราะขณะนี้คนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มยังขาดแคลนมาก ไทยเองมีแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ 600,000 คน และยังต้องการเพิ่มอีก 40,000-50,000 คน
http://news.sanook.com/economic/economic_186959.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/10/07

โพสต์ที่ 51

โพสต์

ธุรกิจอัญมณีปีนี้โตเพียง 10% - ข่าว 17.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, October 18, 2007
นายวิชัย อัศรัสกร นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ บอกว่า แผนงานของสมาคมฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้า จะเน้นฟื้นฟูอุตสาหกรรมอัญมณี หลังจากปีนี้ยอดขายชะลอเหลือเพียง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 20% หรือมีมูลค่า 140,000 ล้านบาท โดยสมาคมจะเสนอรัฐบาลใหม่ให้ผลักดันประเทสไทยเป็นประเทศปลอดภาษีด้านสินค้าอัญมณี เช่นเดียวกับฮ่องกง รวมทั้งจะเน้นหาตลาดส่งออกอื่นมาทดแทนตลาดสหรัฐที่ชะลอตัวลง เช่ย ตลาดในประเทศจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และรัสเซีย

ส่วนญี่ปุ่นที่ได้มีข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับไทย กำลังเร่งศึกษาตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสให้มากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นมีภาษีนำเข้าต่ำอยู่แล้ว เพียง 3% จึงเชื่อว่า ผลประโยชน์ที่ไทยได้รับจะไม่ต่างจากเดิมมากนัก

นอกจากนี้ สมาคมฯ จะผลักดันให้จัดตั้งธนาคารอัญมณี เพื่อหาแหล่งเงินทุนแก่ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมีความแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่น เนื่องจากการประเมินมูลค่าเครื่องประดับเป็นความรู้เฉพาะด้าน จึงต้องมีธนาคารพิเศษ โดยว่าจะมีเงินหมุนเวียนประมาณ 10,000 ล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/10/07

โพสต์ที่ 52

โพสต์

ยอดขายอัญมณีในประเทศวูบ40%

โพสต์ทูเดย์ ปัจจัยลบกระหน่ำ ฉุดยอดขายอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศลดวูบ 35-40%


นายวิชัย อัศรัสกร นายกสมาคม ผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า ในปีนี้ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยในประเทศซบเซาลงเมื่อเทียบกับปีก่อน 35-40% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซบเซา ประชาชนไม่ค่อยกล้าจับจ่ายใช้สอย ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวลดน้อยลง

สำหรับตลาดส่งออกไปต่างประเทศได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเช่นกัน ทั้งจากค่าเงินบาทแข็ง และวิกฤตซับไพรม์ ในตลาดสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ภาพรวมตลาดส่งออกในปีนี้เติบโตลดลงจากปีก่อนเติบโต 20% ปีนี้คาดว่าการเติบโตจากการส่งออกจะอยู่ที่ 10% โดยปัจจุบันตลาดอัญมณีในประเทศมีมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดส่งออกต่างประเทศมีมูลค่า 1.4 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ นโยบายทางสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับมีแผนจะผลักดันนโยบายหลัก 3 ข้อให้กับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ ได้แก่
1.ต้องการให้รัฐบาลกำหนดให้ผู้นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อมาใช้ผลิตอัญมณี ไม่ต้องเสียภาษี หรือ Free Port จากเดิมต้องเสียภาษีจากต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนภาษีที่ไม่เท่ากัน

2.ผลักดันให้รัฐบาลจัดตั้งเจมส์แบงก์ หรือธนาคารเพื่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ เนื่องจากธุรกิจนี้มีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทในอุตสาหกรรมนี้

ขณะเดียวกัน มีผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ถึง 9 แสนราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยที่ยังไม่มีเงินที่ใช้เพื่อการลงทุน แต่ธนาคารนี้จะให้ผู้ประกอบการสามารถแปลงอัญมณีและเครื่องประดับเป็นเงินเพื่อการลงทุนได้

3.รัฐบาลต้องส่งเสริมตลาดส่งออกในประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะในเอเชีย อย่างเช่น อินเดีย ประเทศในตะวันออกกลาง และจีน เนื่องจากการส่งออกอัญมณีของไทยพึ่งกับตลาดในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในยุโรปเป็นหลัก

ทางสมาคมจะมีการแบ่งประเทศกันทำตลาดอัญมณี โดยจะให้ความสำคัญกับตลาดในเอเชียมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะจีน อินเดีย และรัสเซีย เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อสูง นายวิชัย กล่าว

พร้อมกันนี้ ทางสมาคมจะผลักดันให้มีการจัดงานแฟร์ในต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเลือกจัดงานแฟร์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น งานบางกอกเจมส์ ที่ถือเป็นงานแสดงอัญมณีที่ติดท็อป 5 ระดับโลก ต่อไปจะไปเปิดบูธรับจองพื้นที่การจัดงานในต่างประเทศ และวางแผนว่าจะจัดปีละหลายๆ ครั้ง ในหลายประเทศที่มองว่าตลาดมีศักยภาพ ขณะเดียวกันจะมีการจ้างผลิตอัญมณีภายในประเทศด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198414
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/10/07

โพสต์ที่ 53

โพสต์

กลุ่มเครื่องหนังตั้งเป้า ไทยฮับอาเซียนใน5ปี

โพสต์ทูเดย์ กลุ่มเครื่องหนัง หวังปั้นไทย ศูนย์กลางผลิตและส่งออกเครื่องหนังอาเซียน ใน 5 ปี


นางเนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย เลขาธิการสมาคมเครื่องหนังไทย กล่าวว่า ภายใน 5 ปี สมาคมตั้งเป้าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ของอาเซียนในการผลิตและส่งออกเครื่องหนังไปยังตลาดโลก

สำหรับในปีนี้ สินค้ากลุ่มเครื่องหนัง เครื่องใช้ในการเดินทาง และรองเท้า จะมีมูลค่าส่งออก 1.68 พันล้านบาท ขยายตัว 7% จากปีที่แล้วโดย 6 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-มิ.ย. 2550) ส่งออกทั้งสิ้น 881 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.7%

สาเหตุที่ขยายตัวสูง เนื่องจากผู้ผลิตสินค้าเครื่องหนังจากอาเซียนนำเข้าหนังฟอกจากไทย เพื่อไปตัดเย็บสินค้าสำเร็จรูป อีกทั้งในปี 2551 จีนจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิก ผู้ผลิตของจีนจึงต้องเตรียมผลิตสินค้าทั้งรองเท้าและกระเป๋า

ด้านนายนิวัฒน์ กิระนันทวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท้อปเท็นเทรดดิ้ง กรุ๊ป ผู้ผลิตเครื่องหนังยี่ห้อ MARWELL กล่าวว่า ปีนี้คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 7% จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 180 ล้านบาท แม้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวบริษัทก็ไม่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ ตลาดในประเทศ บริษัทมุ่งเน้นลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งยังมีกำลังซื้อในระดับที่น่าพอใจ ประกอบกับปลายปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในเมืองไทยเพิ่มขึ้น ส่วนปีหน้าสัดส่วนของรายได้จาก ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 30%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198420
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/10/07

โพสต์ที่ 54

โพสต์

คาดตลาดเครื่องนุ่งห่มไทยปีหน้ามีโอกาสเติบโตได้

โดย Post Digital 19 ตุลาคม 2550 19:21 น.

อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เผย แนวโน้มการส่งออกเครื่องนุ่งห่มปีนี้ ลดลง 8เดือนแรก ส่งออกได้แค่ 2,264 ล้านดอลล่าร์ คาดปีหน้ามีโอกาสเติบโตได้ เพราะกลุ่มอียูปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าเสื้อผ้าส่งออก 2550 ระหว่างวันที่ 19-28 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้ากรมส่งเสริมการส่งออก รัชดาภิเษก ว่า การส่งออกในกลุ่มเครื่องนุ่งห่มปีนี้มีแนวโน้มลดลงประมาณร้อยละ 4 โดย 8 เดือนแรกปีนี้ ส่งออกจำนวน 2,264.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 4.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ผลิตประสบปัญหาแรงงาน ทำให้ต้องขยายการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่จากการที่ดูแนวโน้มการทำตลาดอาเซียนหรือทั่วโลก ยังเห็นว่ากลุ่มสินค้าเครื่องนุ่งห่มไทยยังมีโอกาสเติบโต ประกอบกับขณะนี้กลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้นำเข้ากลุ่มสินค้าเครื่องนุ่งห่มจะหันมาสนใจไทย และเชื่อว่าน่าจะขยายตัวได้ดีในปีหน้า ส่วนกลุ่มสิ่งทอในช่วง 8 เดือนแรก ส่งออกได้ทั้งสิ้น 2,358.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.21 ซึ่งปีนี้เชื่อว่ากลุ่มสิ่งทอจะสามารถส่งออกได้ทั้งสิ้น 4,622.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับการจัดงานเสื้อผ้าส่งออกครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้เสื้อผ้าส่งออกไทยมาจำหน่ายให้คนไทยเลือกซื้อในราคาถูก ซึ่งมีบริษัทเข้าร่วมกว่า 100 บริษัท นำเสื้อผ้าคุณภาพดีส่งออกมาจำหน่าย ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนประชาชนมาเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ศูนย์แสดงสินค้ากรมส่งเสริมการส่งออก รัชดาฯ ตั้งแต่วันที่ 19-28 ตุลาคมนี้
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=198513
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/10/07

โพสต์ที่ 55

โพสต์

สิ่งทอปี 2551 ชะลอตัว

Posted on Friday, October 26, 2007
นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบและการค้าระหว่างประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย โดยในปี 2549 ไทยส่งออกสิ่งทอไปสหรัฐฯ คิดเป็น 15% ของยอดการส่งออกสิ่งทอทั้งหมด ส่วนปี 2550 ยอดส่งออกสิ่งทอลดลงเหลือ 13% เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง จากปัญหาเงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินของจีนและประเทศในอาเซียนแข็งค่าน้อยกว่าไทย จึงเกิดการได้เปรียบและแย่งชิงตลาดบางส่วนของไทยไป

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 5.25% มาอยู่ที่ 4.75% ก็มีผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ขณะที่ค่าเงินบาทยังสามารถทรงตัวในระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อไปได้ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าไปแทรกแซง ประกอบกับได้ประโยชน์จากมาตรการกันสำรอง 30% ที่ทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทยน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ฉะนั้นจึงอยากให้ภาครัฐคงมาตรการนี้ต่อไป

สำหรับค่าเงินบาทในปี 2551 นายบัณฑูรมองว่า ขึ้นอยู่กับมาตรการกันสำรอง 30% ถ้า ธปท. ยกเลิกมาตรการนี้เมื่อใด ก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นทันที เนื่องจากเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวต่อเนื่องจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าที่มีเครดิตต่ำกว่ามาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งมีผลให้นักลงทุนไม่ต้องการถือครองทรัพย์สินหรือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง นอกจากนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการส่งออกสิ่งทอของไทยด้วย

นายบัณฑูรฝากถึงผู้ประกอบการด้วยว่า ควรจะต้องปรับตัวด้วยการสร้างแบรนด์สินค้าของตนเอง การสร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้า รวมถึงการหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ มิฉะนั้นจะไม่สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ได้ เนื่องจากในปี 2551 จีนสามารถส่งออกสิ่งทอได้อย่างอิสระ ไม่ต้องถูกจำกัดโควตา ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง ส่วนรัฐบาลชุดต่อไปก็อยากให้ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/11/07

โพสต์ที่ 56

โพสต์

หยุดแข่งนอก สร้างฐานไทย

โพสต์ทูเดย์ ครอกโคไดล์ เล็งควัก 300 ล้านบาทปีหน้า รักษาฐานที่มั่นในไทย หลังโดนจีน-เวียดนามตีตลาดนอก


นายสมศักดิ์ ฉัตรทวีศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉัตรทวี คอร์เปอร์เรชั่น เจ้าของสิทธิการ บริหาร หรือไลเซนส์เครื่องแต่งกายแบรนด์ครอกโคไดล์ (Crocodile) ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทเตรียมงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อ ใช้ในการสร้างฐานการตลาดและสร้างตราสินค้าในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนชะลอการลงทุนขยายตลาดส่งออกเสื้อผ้าแบรนด์ครอกโคไดล์ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เขมร ลาว พม่า ในปีหน้าด้วย หลังจากที่สินค้าจากประเทศจีนและเวียดนามซึ่งมีราคาต่ำเข้ามาตีตลาดเป็นจำนวนมาก

จากงบประมาณลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็นงบลงทุน 150-200 ล้าน บาท สำหรับการจัดรูปแบบองค์กรใหม่ รวมทั้งการออกแบบและ ขยายผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่ในกลุ่มครอกโคไดล์ยีนส์ ชุดชั้นในชาย กลุ่มผู้หญิง กลุ่มเด็ก และชุดลำลอง เพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย และตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภคได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนขยายจุดจำหน่ายเพิ่ม 10-20 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 50 แห่ง ส่วนงบอีกกว่า 100 ล้านบาท เตรียมไว้สำหรับการขยายโรงงานใหม่ เนื่องจากปัจจุบันโรงงานมีการผลิตสินค้าเกินกำลังการผลิต 10% แต่ต้องรอดู สถานการณ์ทางการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ และการขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินด้วย

ในอนาคตบริษัทมีแผนจะนำเสื้อผ้าอินเตอร์แบรนด์เข้ามาทำตลาดเพิ่มด้วย หลังจากที่ผ่านมามี ผู้ประกอบการหลายแบรนด์จากต่างประเทศประมาณ 8-10 ราย ยื่น ข้อเสนอในการเข้ามาขยายตลาด ในไทย โดยอยู่ระหว่างการเจรจา กับเจ้าของแบรนด์จากสหรัฐและสวิตเซอร์แลนด์ 2-3 แบรนด์

ส่วนแผนการทำตลาดในช่วงปลายปีนี้ บริษัททุ่มงบ 10 ล้านบาท จัดแคมเปญ รักในหลวง อีกครั้ง กับสแตนด์ อัพ (Stand Up) และออกโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรกเพื่อกระตุ้นยอดขายปลายปีให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 250-300 ล้านบาท เติบโตจากปี 2549 กว่า 100%

พร้อมกันนี้ ในปีหน้าบริษัทยังเตรียมรุกกิจกรรมทางการตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นยี่ห้อ ครอกโคไดล์ เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ อาทิ กลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอีก ด้วยการออกแบบ หรือดีไซน์เสื้อผ้าแนวใหม่ๆ หลังทำตลาดในไทยมานานกว่า 20 ปี

เราต้องย้ำแบรนด์ ครอกโค ไดล์ ให้อยู่ในใจผู้บริโภค ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นรูป จระเข้ เช่นเดียวกับแบรนด์เนมแฟชั่น ลาคอส จากประเทศฝรั่งเศสเองก็ใช้รูปจระเข้เช่นเดียวกัน จึงต้องสร้างความ เข้าใจที่ถูกต้องแก่ลูกค้าว่า ครอกโคไดล์ หัวจระเข้จะหันเข้าหน้าอกของ ผู้สวมใส่ ขณะที่แบรนด์ ลาคอส จะใช้วางสัญลักษณ์ตำแหน่งหัวจระเข้ออกนอกตัว นายสมศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การใช้สัญลักษณ์รูปสัตว์คล้ายคลึงกันก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการทำตลาดแต่อย่างใด เพราะแต่ละแบรนด์ต้องสร้างความแข็งแกร่งของยี่ห้อตัวเอง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201400
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 57

โพสต์

สิ่งทอซบเอสเอเอสดิ้นปรับแผน

โพสต์ทูเดย์ เอสเอเอส กรุ๊ป หนีส่งออกสิ่งทอซบ หันลุยค้าปลีก ประเดิมคว้าลิขสิทธิ์แบรนด์ดังจากแคนาดา ปูพรมทั่วตลาดอาเซียน


นายวีรศักดิ์ ธนบุญชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอเอส เท็กซ์ไทล์ คอร์ปอเรชั่น 1995 ผู้ผลิตสิ่งทอส่งออก กล่าวว่า ได้จัดตั้ง บริษัท โคลท์ติ้ง โซลูชั่น เพื่อดำเนินธุรกิจ จัดจำหน่ายสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นเจาะตลาดระดับกลางถึงบน โดยได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายเสื้อผ้าแบรนด์ รีพอร์ต คอลเลคชั่น จากประเทศแคนาดา เพื่อทำตลาดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งขณะนี้ ได้เปิดร้านที่ไทย สิงคโปร์ และ มาเลเซียแล้ว ตั้งงบลงทุนประเทศละ 40 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาให้ ครบ 20 แห่งทั่วอาเซียนในปี 2551

นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์โคเต้ โอเปร่า จากประเทศฝรั่งเศสด้วย ซึ่งในอีก 4 ปีจากนี้ ตั้งเป้าทำตลาดเสื้อผ้ารวม 5 แบรนด์ เป็นการสร้างแบรนด์ของบริษัทเอง 2 แบรนด์ เน้นตลาดระดับกลางถึงบนเป็นหลัก

สำหรับเป้าหมายรายได้ของแบรนด์รีพอร์ต คอลเลคชั่น ในปีแรกคาดว่าจะมีรายได้ 20 ล้านบาท ในประเทศไทย หากรวมสิงคโปร์และมาเลเซียคาดว่าจะมีรายได้ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 35 ล้านบาทในปีหน้า และภายใน 5 ปี คาดว่าจะมีรายได้รวม 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 350 ล้านบาท

ที่ผ่านมา เราได้สัมผัสแบรนด์ใหญ่หลายแบรนด์ จากการเป็น ผู้ผลิตให้ จึงเห็นเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ เพราะถ้ายังอยู่ในธุรกิจสิ่งทอส่งออก มีข้อจำกัด รวมถึงการแข่งขันจากตลาดจีน นายวีรศักดิ์ กล่าว


ปัจจุบันบริษัทได้เปิดร้าน รีพอร์ต คอลเลคชั่น ในประเทศไทยแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ สยามพารากอน เซ็นทรัล ชิดลม และอิเซตัน โดยมีแผนจะเปิดให้ครบ 10 ร้านในปีหน้า ส่วนในสิงคโปร์ปัจจุบันเปิดร้านแล้ว 4 แห่ง ในมาเลเซีย 2 แห่ง ส่วนในปีหน้าจะขยายร้านในสิงคโปร์และมาเลเซียเพิ่มอีกประเทศละ 6 แห่ง จากนั้นจะขยายไปเวียดนามและ ฟิลิปปินส์ต่อไป

สำหรับเอสเอเอส กรุ๊ป เป็น ผู้ผลิตสิ่งทอทั้งผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้กับแบรนด์ดัง อาทิ มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ และจากค่าเงินบาทที่แข็งตัว ส่งผลให้ธุรกิจสิ่งทอส่งออกได้รับผลกระทบ และทำให้ ปีนี้ประสบภาวะขาดทุนเป็นปีแรก โดยมีรายได้ลดลง 10% จากรายได้รวมต่อปี 600 ล้านบาท ประกอบกับที่ผ่านมาธุรกิจสิ่งทอส่งออกขยายตัวน้อยเพียง 3-5% เนื่องจากถูกตลาดจีนแข่งขันเรื่องราคา แต่ไม่สามารถปรับราคาเพิ่มเท่ากับตลาดยุโรปได้ ทั้งที่คุณภาพใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นในแง่การขยายธุรกิจจึงไม่คุ้มกับการลงทุน

ส่วนสถานการณ์ธุรกิจส่งออกในปีหน้าคงต้องรอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาท และถ้าหากรัฐบาลหลังการเลือกตั้งไม่นิ่ง เชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจจะประสบปัญหาหนักกว่าปีนี้ โดยเฉพาะผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องปัญหาซับไพรม์ในอเมริกา และปัญหาราคาน้ำมันที่ปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202562
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/11/07

โพสต์ที่ 58

โพสต์

3 บริษัทฉลากเขียวอียูเป็นปลื้ม ดันยอดขายสิ่งทอโตวันโตคืน  
อานิสงส์อียู ฟาวเวอร์ ดันยอดส่งออกทองไทยการทอไปอียูโตวันโตคืน คาดปีนี้ภาพรวมโตกว่า 25% ขณะที่เอเชียไฟเบอร์ขายเส้นด้ายได้เพิ่ม ชี้ผลิตภัณฑ์สิ่งทอเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมมาแรงทั่วโลก ระยะยาวยอดขายกระฉูดแน่


นายเดช พัฒนเศรษฐพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทองไทยการทอ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากการที่ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าคอตตอน 100% ของบริษัทได้ผ่านการรับรองให้ติดฉลากสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป หรืออียู ฟาวเวอร์(EU Flower)เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าของบริษัทที่ส่งไปจำหน่ายในอียู โดยเวลานี้สินค้าจากบริษัทได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น และมีผลให้ผู้นำเข้ามีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากขึ้น ซึ่งล่าสุดลูกค้าได้เตรียมลงคำสั่งซื้อสำหรับคอลเล็กชั่นในปีหน้าแล้ว

"ในเรื่องเสื้อผ้าสำหรับผู้บริโภคชาวอียูแล้วถือเป็นเรื่องที่เซ็นซิทีฟมาก จากนี้ไปเขาเน้นต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปราศจากเคมีอันตรายเจือปน ขณะที่ในไทยก็กำลังเกิดกระแสนี้ขึ้นเช่นกัน โดยลูกค้ารายหนึ่งกำลังจะสั่งทำเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นติดฉลากดังกล่าวโดยมีแผนที่จะทำโฆษณาขายในไทย ชูจุดขายเสื้อผ้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วย"

นายเดช กล่าวอีกว่า การผลิตภายใต้อียู ฟาวเวอร์แม้จะมีผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 5-6% เพราะขบวนการผลิตและวัตถุดิบซึ่งมีข้อกำหนดกว่า 40 รายการต้องเป็นไปตามที่อียูกำหนด แต่ถือว่าคุ้มกับผลตอบรับที่ได้มา ปัจจุบันบริษัทส่งออกเสื้อสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์เนมของลูกค้าไปยังตลาดอียูสัดส่วนกว่า 60% ของกำลังการผลิตในภาพรวม ลูกค้าหลักคือเยอรมนีและฝรั่งเศส สัดส่วนอีก 30% ส่งออกไปสหรัฐ 5% ส่งไปญี่ปุ่น ที่เหลือเป็นประเทศเอเชียอื่นๆ คาดปีนี้บริษัทจะส่งออกมูลค่า 2,200 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2549 ประมาณ 25% และในปี 2551 ตั้งเป้าขยายตัวจากปีนี้ 25% หรือส่งออกประมาณ 2,700 ล้านบาท

ด้านนายเจน นำชัยศิริ ประธานกรรมการบริษัท เอเชียไฟเบอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการรับรองฉลากอียู ฟาวเวอร์ในผลิตภัณฑ์เส้นด้ายไนลอน กล่าวว่า การได้ฉลากอียู ฟาวเวอร์ส่งผลดีต่อบริษัทในแง่การใช้เป็นจุดขายในการทำประชาสัมพันธ์เพื่อให้ลูกค้าอียูที่ตั้งฐานการผลิตสิ่งทอนอกสหภาพยุโรปได้หันมาสั่งซื้อเส้นด้ายจากบริษัทมากขึ้น และจะส่งดีต่อยอดขายของบริษัทในระยะยาว

"ในอนาคตการค้าเส้นด้าย สิ่งทอและอื่นๆจะมีข้อกำหนดจากลูกค้ามากมาย หากใครทำได้ตามข้อกำหนดก็จะมีผลต่อความเชื่อมั่นจากลูกค้า และผลต่อยอดขายตามมา สำหรับเอเชียไฟเบอร์ปัจจุบันยอดขายในประเทศและการส่งออกมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ50:50 ซึ่งผลประกอบการเราจะปิดบัญชีเดือนมิถุนายนของทุกปี ขณะนี้เพิ่งผ่านมาไตรมาสเดียวคงเร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะได้ตามเป้าหรือไม่"

อนึ่ง บจ.ทองไทยการทอ และ บมจ.เอเชียไฟเบอร์ เป็น 2 ใน 4 บริษัทของไทยที่ได้รับรองฉลากอียู ฟาวเวอร์ อีก 2 บริษัทที่ได้รับคือ บจ.กรีนวิลล์ เทรดดิ้งในผลิตภัณฑ์ผ้า ไหมผืน และ บจ.อุตสาหกรรมรามาเท็กซ์ไทล์ ในผลิตภัณฑ์เส้นด้าย
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2272
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 59

โพสต์

เล่นเก็งกำไรฟันส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย แห่ส่งออกทองแท่งระบายสต๊อกในปท.

ผู้ค้าทองแห่ระบายการถือครองสต๊อกทองคำ ด้วยการส่งออกไปนอกประเทศ ทำกำไรช่วงราคาทองในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นใกล้ 800 เหรียญ/ ออนซ์ ส่งผลให้ยอดการส่งออกสินค้าไทยในเดือนตุลาคมสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญ ด้านกรมศุลกากรรายงานเฉพาะรายการ ทองคำแท่งมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 178% และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ในเดือนตุลาคม 2550 การ ส่งออกของไทยขยายตัวถึง 26.7% โดยสินค้าที่มีการส่งออกขยายตัวสูงมาก ได้แก่ กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะ "ทองคำ" มีอัตราการขยายตัวถึง 126.9% หรือมูลค่า 740 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) 2550 ของสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวสูงถึง 40.3% หรือ 4,237 ล้านเหรียญสหรัฐ "สูงเกินกว่า" เป้าหมายการส่งออกกำหนดไว้ทั้งปี 2550 ว่า จะขยายตัวได้ 19.2% หรือมูลค่า 3,497 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากสถิติการส่งออก 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) ของปีนี้ ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังตลาดสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุด 18% ของการส่งออกและมีอัตราการขยายตัว 88.53% มูลค่า 393 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 219.58%, ฮ่องกง ขยายตัว 121.45%, เดนมาร์ก 140.16% และอินเดีย 101.16% แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะรายการทองคำยังไม่ขึ้นรูป พบว่าตลาดที่มีอัตราการส่งออกขยายตัวสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย ขยายตัว 2,504.61% รองลงมาคือ อังกฤษ 1,431.85%, สวิตเซอร์แลนด์ 572.32%, ญี่ปุ่น 462.06% และฮ่องกง 282.47%

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สอบถามไปยังกรมศุลกากรถึงตัวเลขการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้น ปรากฏรายการทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูป มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 178.03% โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ "ทองคำ" เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ นักลงทุนจึงหันมาเก็งกำไรทองคำกันมากขึ้น

ประกอบกับการที่สหรัฐประสบปัญหาซับไพรมทำให้เงินดอลลาร์อ่อน จึงมีการเคลื่อนย้ายเงินมายังเอเชีย เกิดการเก็งกำไรทองคำขึ้น โดยจะเห็นว่าปริมาณการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับลดลงจากช่วงต้นปี ไม่มีใครนำเข้า แต่ประชาชนนำทองที่เก็บไว้มาขายให้กับร้านทองในประเทศ จนผู้ครอบครองทองคำต้องหาทางส่งออกทองคำที่รับซื้อจากนักลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อลดการถือครองสต๊อกทองคำลง

พร้อมกันนี้ได้มีการคาดการณ์ว่า ปริมาณการส่งออกทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีใหม่ จากความเชื่อของตลาดที่ว่า ราคาทองคำจะขยับขึ้นไปถึงระดับ 800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-อิหร่าน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นและมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าทองคำ ระบุว่า ราคาทองคำแท่งในวันที่ 21 พฤศจิกายน รับซื้อบาทละ 12,750 บาท และขายบาทละ 12,850 บาท "สูงกว่า" ราคาทองคำในช่วงเดียวกันของ ปีก่อน ซึ่งรับซื้ออยู่แค่บาทละ 10,7000 บาท ส่วนราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ (ลอนดอน) ปิดที่ 795.50 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ราคาที่นิวยอร์กอยู่ที่ 791.50 เหรียญ

"แม้ว่าสถานการณ์การส่งออกกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสินค้ารายการนี้ถูกสหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา จนเกิดปัญหาว่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 19.2% แต่การส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเป็นสินค้าคนละกลุ่มกับที่ถูกสหรัฐตัดสิทธิ GSP แต่ก็ช่วยฉุดให้ตัวเลขการส่งออกในหมวดนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น" นักวิเคราะห์ท่านหนึ่งกล่าว

ทางด้านแหล่งข่าวจากสมาคมผู้ค้าทอง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ราคาทองคำล่วงหน้าที่ทะยานสูงขึ้น เป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน ตัวลงและน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้รับแรงเทขายอย่างหนักก่อนหน้านี้ โดยราคาทองคำล่วงหน้าเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.7% หรือมาอยู่ที่ระดับ 791.40 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ที่ตลาด ไนแมกซ์ ส่วนที่ชิคาโก บอร์ด ออฟ เทรด นั้น ราคาทองปรับขึ้นมาอีก 13.50 เหรียญสหรัฐหรือมากกว่า 1.7% สู่ระดับที่ 791.90 เหรียญสหรัฐ/ ออนซ์

"นักค้าทองคำส่วนมากได้ถือครองในลักษณะถือครองระยะยาว ก่อนที่จะเข้าช่วงเทศกาลปีใหม่และคริสต์มาส ประกอบกับการประเมินที่ว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐ บวกกับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และยังอาจจะมีการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยเฟดในอนาคตด้วย นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้ส่งผลกระทบกับราคา โลหะเงินล่วงหน้า ทำให้ราคาปรับสูงขึ้นเช่นกัน โดยโลหะเงินล่วงหน้าที่จะส่งมอบเดือนธันวาคมทะยานขึ้นมาอีก 34 เซนต์ หรือ 2.4% เข้าสู่ระดับ 14.50 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์แล้ว"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0203
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 60

โพสต์

บางกอกเจมส์ปี"51ไม่สะดุด สอ.ยกให้ส.อัญมณีจัดงานต่อ

กรมส่งเสริมการส่งออกชี้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้การเลือกตั้งกรรมการสมาคมอัญมณีฯเป็นโมฆะไม่กระทบ เดินหน้าจัดงานบางกอกเจมส์ ปี 2551 รวมทั้งสานต่อโครงการ "ถนนอัญมณี" ในย่านมเหสักข์-สุรวงศ์-สีลม เพื่อส่งเสริมการ ส่งออกสินค้าอัญมณีทางอ้อมผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรณีศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งพิพากษาให้การเลือกตั้งคณะกรรมการสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับในช่วงที่ผ่านมามีผลเป็นโมฆะนั้น จะไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการจัดงานแสดงสินค้าบางกอกเจมส์ (Bangkok Games & Jewelry Fair) ในปี 2551 แต่อย่างใด เนื่องจากกรมส่งเสริมการส่งออกยังคงมอบความไว้วางใจให้สมาคมอัญมณีฯทำหน้าที่บริหารการจัดงานแสดงบางกอกเจมส์ ปีละ 2 ครั้ง ในเดือน กุมภาพันธ์และเดือนกันยายนอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้ทางกรมได้ประสานงานกับคณะกรรมการสมาคมชุดรักษาการให้ดำเนินการจัดงานบางกอกเจมส์ต่อไป เพื่อไม่ให้แผนการจัดงานบางกอกเจมส์ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าสะดุดลง เนื่องจากสินค้าอัญมณีถือเป็นสินค้าที่มีบทบาทสำคัญต่อการส่งออกของประเทศไทยอย่างมาก ที่ผ่านมาการส่งออกสินค้าอัญมณีของไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดยปีนี้คาดว่าจะเติบโตกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่มีมูลค่าการส่งออกเพียง 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

คณะกรรมการสมาคมอัญมณีฯชุดรักษาการนอกจากทำหน้าที่บริหารจัดงานบางกอกเจมส์แล้ว ยังทำหน้าที่จัดเตรียมการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ประมาณเดือนมีนาคมอีกด้วย นอกจากนี้ทางกรมกำลังเร่งประสานงานกับทางสมาคมดำเนินโครงการ "ถนนอัญมณี" ในย่านมเหสักข์-สุรวงศ์-สีลม เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าอัญมณีทางอ้อมผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติ

กรณีที่สมาคมจะร่วมมือกับภาคเอกชนมุ่งปรับปรุงย่านมเหสักข์-สุรวงศ์-สีลมให้เป็นถนนอัญมณี เพราะเล็งเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เป็นศูนย์กลางในเอเชียที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ซึ่งโครงการถนนอัญมณีคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2551 โดยอาจจะอาศัยจังหวะเทศกาลวันวาเลนไทน์ในการเชิญชวนลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามาชมและเลือกซื้อสินค้า

อย่างไรก็ตาม กรมมองว่า ปี 2551 กลุ่มอัญมณีจะมีโอกาสขยายการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น ภายหลังจากที่ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มีผลบังคับใช้ 1 พฤศจิกายน ทำให้สินค้ากลุ่มอัญมณีได้รับการลดภาษีเหลือ 0% ส่งผลดีกับสินค้ากลุ่มนี้มาก โดยเฉพาะเครื่องประดับแท้ (พิกัด 7113) ลดจาก 5.2-5.4 เหลือ 0% เครื่องประดับเทียม (7117) ลดจาก 2.7-10 เหลือ 0% ทันที เครื่องทอง เงิน ทำด้วยโลหะมีค่า (7114) ลดจาก 3.3-5.4 เหลือ 0% ของทำด้วยไข่มุกรัตนชาติ ลดจาก 2.5-5.2 เหลือ 0%

ส่วนกลุ่มไข่มุก เพชร พลอย อัญมณีสังเคราะห์ ทองคำยังไม่ขึ้นรูป โลหะมีค่าและของหุ้มด้วยโลหะมีค่าทั้งฝุ่น/ผงรัตนชาติ เงิน โลหะที่หุ้มด้วยเงิน โลหะที่หุ้มด้วยเงินและทองคำ แพลทินัม ตลอดจนเศษโลหะ (7112) และเหรียญกษาปณ์ (7118) ต่างมีภาษี 0% อยู่แล้วด้วย

โดยสถิติการส่งออก 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังตลาดสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุด 18% ของการส่งออก และมีอัตราการขยายตัว 88.53% มูลค่า 393 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 219.58% ฮ่องกง ขยายตัว 121.45% เดนมาร์ก 140.16% และอินเดีย 101.16% แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะทองคำยังไม่ขึ้นรูปพบว่า ตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย ขยายตัว 2,504.61% รองลงมาคือ อังกฤษ 1,431.85% สวิตเซอร์แลนด์ 572.32% ญี่ปุ่น 462.06% และฮ่องกง 282.47%
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0203