มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 31
ขอบคุณครับ ขอให้ติดตามอ่านเรื่อย ๆ นะครับ
เรื่อง :ตั้งคำถามเพื่อมีคำตอบ..ให้เอสเอ็มอี
คอลัมน์ กำหนดจุดแกร่ง SMEs ไทย โดย ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์
เรื่องที่ดิฉันกำลังจะเขียนในฉบับนี้น่าจะสามารถนำไปใช้ได้ทั้งธุรกิจใหม่ และธุรกิจที่ ดำเนินกิจการอยู่ แต่ต้องทบทวนถึงแนวคิดในการทำงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสความต้องการและความอยู่รอดของเอสเอ็มอี เนื่องจากการทำงานด้วยการ ตั้งคำถามมากมาย เพื่อค้นหาคำตอบนั้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ด้วย ตัวเอง ดิฉัน จึงขอช่วยตั้งคำถามและค้นหาคำตอบบางส่วนให้นะคะ
-โอกาสในการขายสินค้าและบริการ ผู้ประกอบการจะต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนที่จะลงมือทำงาน ว่าอะไรคือโอกาสที่ทำให้สินค้าและบริการขายออก อย่าลืมว่าการมีโอกาสที่ดีและรู้จักแสวงหาโอกาส คือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในทุกๆ ธุรกิจ ไม่ว่าจะขายสินค้าและบริการอะไรก็ตาม หากมีโอกาสที่ดีย่อมหมายถึงช่องทางที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น กระแสความต้องการของผู้บริโภคที่เห็นความสำคัญของสุขภาพตนเอง ทำให้ธุรกิจสปามีโอกาสในการเติบโต และสินค้าที่มีส่วนผสมของสมุนไพรก็มีโอกาส ในการขายตามไปด้วย
-ใครคือลูกค้า คำถามนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะการผลิตสินค้าแต่ละประเภทจะต้องทราบว่าลูกค้าเป็นใคร เพื่อจะได้ทำงานได้ตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม มีสินค้าและบริการมากมายในตลาดที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ไม่สามารถขายได้ดีนัก ตัวอย่างเช่น หากต้องการเปิดร้านขายกาแฟ ก็จะต้องรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร เมื่อทราบว่าเขาและเธอเป็นใคร สิ่งที่ต้องรู้ตามมาก็คือ ลูกค้าอยู่ที่ไหน จะเห็นได้ว่ามีร้านกาแฟสดขนาดย่อม เปิดตามปั๊มน้ำมัน เพราะเขารู้ว่าลูกค้าคือกลุ่มคนขับรถและนักเดินทางที่ต้องการความกระชุ่มกระชวยจากการดื่มนั่นเอง
-เหตุผลหลักที่ต้องตัดสินใจซื้อ เมื่อรู้แล้วว่าลูกค้าเป็นใครยังไม่เพียงพอ เพราะนักลงทุนจะต้องทราบต่อไปอีกว่า เพราะเหตุใดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะต้องซื้อสินค้าและสนใจเข้ามาใช้บริการ เพื่อจะได้ผลิตสินค้าและวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของลูกค้า ได้อย่างเต็มที่ เช่น กาแฟจะขายได้เมื่อลูกค้าที่ขับรถหรือเดินทางแล้วรู้สึกว่าง่วง ใช่หรือไม่ ? ถ้าคำตอบว่าใช่ก็ต้องคิดต่ออีกว่า หากลูกค้าเหล่านั้นไม่ง่วงนอนล่ะ ทำอย่างไรสินค้าจึงจะ ขายได้ ?
-ราคาขายที่เหมาะสม มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ผิดพลาดในเรื่องการตั้งราคาขาย บางคนตั้งราคาสูงเกินไปจึงทำให้ขายไม่ได้ แล้วจะต้องขายราคาเท่าไหร่ ? คำถามนี้ผู้ประกอบการจะต้องทำการสำรวจถึงความต้องการของลูกค้า เพื่อจะได้รู้ว่าลูกค้าพึงพอใจกับราคาขายหรือไม่ เนื่องจากสินค้าบางอย่างลูกค้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องแพง เพราะส่วนใหญ่ต้องการซื้อสินค้าราคาถูกเท่านั้น เพราะที่ผ่านมามีทั้งสินค้าที่คุณภาพเหมาะสมกับราคา และสินค้า ที่ค้ากำไรเกินควร
-ศึกษาคู่แข่ง สำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงจะต้องมีการตั้งคำถามเสมอว่าคู่แข่ง เป็นใคร การทำความรู้จัก กับคู่แข่งจะช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ถึงทิศทางการทำงาน เพื่อสร้างความแตกต่าง หรือแม้แต่การคิดค้นและผลิตสินค้า ที่เหนือกว่าคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น การตั้งราคาขายก็จะต้องทราบว่าในจำนวนสินค้าประเภทเดียวกัน คู่แข่งแต่ละรายขายเท่าไหร่ การที่จะตั้งราคาขายเท่ากัน ต่ำกว่า หรือสูงกว่า ผู้ประกอบการจะต้องรู้ว่ามีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบอย่างไรบ้าง
-ช่องทางการขาย การค้นหาคำตอบว่าช่องทางการขายที่สำคัญอยู่ตรงไหน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของยอดขาย เนื่องจากช่องทางการขายคือสื่อที่สำคัญในการทำให้สินค้าและบริการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค หากธุรกิจใดไม่มี ความชัดเจนเรื่องดังกล่าว ก็อย่าหวังว่า จะอยู่รอดในสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงดังเช่นทุกวันนี้
นอกจากคำถามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ดิฉันขอย้ำว่ายังมีคำตอบอีกมากมายที่จะต้องเร่งค้นหา ซึ่งล้วนแต่เป็นวิธีในการสร้างแนวคิดของสินค้าให้มีจุดขาย ดังนั้น หากต้องการอยู่รอด อย่างยั่งยืนดิฉันขอเเนะนำว่าควรฝึกตั้งคำถามและค้นหาคำตอบกันได้แล้วค่ะ!
เรื่อง :ตั้งคำถามเพื่อมีคำตอบ..ให้เอสเอ็มอี
คอลัมน์ กำหนดจุดแกร่ง SMEs ไทย โดย ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์
เรื่องที่ดิฉันกำลังจะเขียนในฉบับนี้น่าจะสามารถนำไปใช้ได้ทั้งธุรกิจใหม่ และธุรกิจที่ ดำเนินกิจการอยู่ แต่ต้องทบทวนถึงแนวคิดในการทำงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสความต้องการและความอยู่รอดของเอสเอ็มอี เนื่องจากการทำงานด้วยการ ตั้งคำถามมากมาย เพื่อค้นหาคำตอบนั้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ด้วย ตัวเอง ดิฉัน จึงขอช่วยตั้งคำถามและค้นหาคำตอบบางส่วนให้นะคะ
-โอกาสในการขายสินค้าและบริการ ผู้ประกอบการจะต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนที่จะลงมือทำงาน ว่าอะไรคือโอกาสที่ทำให้สินค้าและบริการขายออก อย่าลืมว่าการมีโอกาสที่ดีและรู้จักแสวงหาโอกาส คือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในทุกๆ ธุรกิจ ไม่ว่าจะขายสินค้าและบริการอะไรก็ตาม หากมีโอกาสที่ดีย่อมหมายถึงช่องทางที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น กระแสความต้องการของผู้บริโภคที่เห็นความสำคัญของสุขภาพตนเอง ทำให้ธุรกิจสปามีโอกาสในการเติบโต และสินค้าที่มีส่วนผสมของสมุนไพรก็มีโอกาส ในการขายตามไปด้วย
-ใครคือลูกค้า คำถามนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะการผลิตสินค้าแต่ละประเภทจะต้องทราบว่าลูกค้าเป็นใคร เพื่อจะได้ทำงานได้ตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม มีสินค้าและบริการมากมายในตลาดที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ไม่สามารถขายได้ดีนัก ตัวอย่างเช่น หากต้องการเปิดร้านขายกาแฟ ก็จะต้องรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร เมื่อทราบว่าเขาและเธอเป็นใคร สิ่งที่ต้องรู้ตามมาก็คือ ลูกค้าอยู่ที่ไหน จะเห็นได้ว่ามีร้านกาแฟสดขนาดย่อม เปิดตามปั๊มน้ำมัน เพราะเขารู้ว่าลูกค้าคือกลุ่มคนขับรถและนักเดินทางที่ต้องการความกระชุ่มกระชวยจากการดื่มนั่นเอง
-เหตุผลหลักที่ต้องตัดสินใจซื้อ เมื่อรู้แล้วว่าลูกค้าเป็นใครยังไม่เพียงพอ เพราะนักลงทุนจะต้องทราบต่อไปอีกว่า เพราะเหตุใดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะต้องซื้อสินค้าและสนใจเข้ามาใช้บริการ เพื่อจะได้ผลิตสินค้าและวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของลูกค้า ได้อย่างเต็มที่ เช่น กาแฟจะขายได้เมื่อลูกค้าที่ขับรถหรือเดินทางแล้วรู้สึกว่าง่วง ใช่หรือไม่ ? ถ้าคำตอบว่าใช่ก็ต้องคิดต่ออีกว่า หากลูกค้าเหล่านั้นไม่ง่วงนอนล่ะ ทำอย่างไรสินค้าจึงจะ ขายได้ ?
-ราคาขายที่เหมาะสม มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ผิดพลาดในเรื่องการตั้งราคาขาย บางคนตั้งราคาสูงเกินไปจึงทำให้ขายไม่ได้ แล้วจะต้องขายราคาเท่าไหร่ ? คำถามนี้ผู้ประกอบการจะต้องทำการสำรวจถึงความต้องการของลูกค้า เพื่อจะได้รู้ว่าลูกค้าพึงพอใจกับราคาขายหรือไม่ เนื่องจากสินค้าบางอย่างลูกค้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องแพง เพราะส่วนใหญ่ต้องการซื้อสินค้าราคาถูกเท่านั้น เพราะที่ผ่านมามีทั้งสินค้าที่คุณภาพเหมาะสมกับราคา และสินค้า ที่ค้ากำไรเกินควร
-ศึกษาคู่แข่ง สำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงจะต้องมีการตั้งคำถามเสมอว่าคู่แข่ง เป็นใคร การทำความรู้จัก กับคู่แข่งจะช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ถึงทิศทางการทำงาน เพื่อสร้างความแตกต่าง หรือแม้แต่การคิดค้นและผลิตสินค้า ที่เหนือกว่าคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น การตั้งราคาขายก็จะต้องทราบว่าในจำนวนสินค้าประเภทเดียวกัน คู่แข่งแต่ละรายขายเท่าไหร่ การที่จะตั้งราคาขายเท่ากัน ต่ำกว่า หรือสูงกว่า ผู้ประกอบการจะต้องรู้ว่ามีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบอย่างไรบ้าง
-ช่องทางการขาย การค้นหาคำตอบว่าช่องทางการขายที่สำคัญอยู่ตรงไหน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของยอดขาย เนื่องจากช่องทางการขายคือสื่อที่สำคัญในการทำให้สินค้าและบริการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค หากธุรกิจใดไม่มี ความชัดเจนเรื่องดังกล่าว ก็อย่าหวังว่า จะอยู่รอดในสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงดังเช่นทุกวันนี้
นอกจากคำถามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ดิฉันขอย้ำว่ายังมีคำตอบอีกมากมายที่จะต้องเร่งค้นหา ซึ่งล้วนแต่เป็นวิธีในการสร้างแนวคิดของสินค้าให้มีจุดขาย ดังนั้น หากต้องการอยู่รอด อย่างยั่งยืนดิฉันขอเเนะนำว่าควรฝึกตั้งคำถามและค้นหาคำตอบกันได้แล้วค่ะ!
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 32
จาก BIZWEEK ครับ
เรื่อง :อสังหาฯคึกคักเศรษฐีเงินสดแห่ซื้อ-ลงทุน 3 ที่ปรึกษาการลงทุนเชื่อยังไม่วิกฤติ
แนวโน้มสถานการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น ทั้งจากร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง รวมถึงพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวยังแข็งแกร่ง โดยจะเห็นได้ชัดจากการที่ประเทศยังมีเงินสำรองมาก เงินเฟ้อต่ำ หนี้ภาครัฐไม่มากนัก และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง นอกจากนั้นมาตรการลดหย่อนภาษีเงินกู้ซื้อบ้านและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจนเกือบถึงจุดต่ำสุด ปัจจัยหนุนเหล่านี้ 3 ที่ปรึกษาอสังหาฯ ซาวิลส์-ซีบี ริชาร์ด-ไนท์แฟรงค์ เห็นพ้อง ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมา
จากการสำรวจ สอบถามผู้บริหารผู้ประกอบการธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่างระบุตรงกันว่า ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ได้มีความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเข้ามาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศค่อนข้างมาก โดยกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่สนใจนั้น มีทั้งในรูปแบบผู้ซื้อรายย่อย ที่ต้องการซื้อไว้เป็นบ้านพักในต่างประเทศ "ฮอลิเดย์ โฮม" และกลุ่มนักลงทุนที่มาในรูปแบบของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่จะสนใจในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ เช่น สมุย ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน เป็นต้น
โดยอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้ารายย่อยที่สนใจนั้น หากเป็นประเภทห้องชุดในคอนโดมิเนียม จะอยู่ในย่านใจกลางธุรกิจ กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะลงทุนปล่อยเช่า ซึ่งต่อปีจะเข้ามาพักผ่อน 2 เดือน ที่เหลือ 10 เดือนจะปล่อยเช่า กลุ่มนักลงทุนรายย่อยนี้จะมาจากอังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ และดูไบ และเป็นรูปแบบเช่า 30 ปี ต่อ 2 ครั้ง รวมเป็น 90 ปี
"ตอนที่รัฐบาลออกมาตรการกันสำรอง 30% และกฎหมายนอมินี ยอมรับว่าการซื้อขายหรือลงทุนชะงัก แต่ตอนนี้ลูกค้าตั้งหลักได้แล้ว หันกลับมาลงทุนทำกิจกรรมซื้อขายกันใหม่" โรเบิร์ต คอลลินส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซาวิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว พร้อมระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้เห็นชัด ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนการลงทุนพัฒนาโครงการนั้น นอกจากจะมาจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ยังมีกลุ่มทุนใหม่ที่เข้ามาหาข้อมูลการลงทุนแล้วค่อนข้างมาก คือ กลุ่มทุนจากดูไบ, อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งจากทั้ง 3 ประเทศนี้ได้เริ่มเข้ามาแล้ว และคาดไม่เกิน 2-3 ปี กลุ่มทุนเหล่านี้จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเข้ามาลงทุนผ่านโครงการจัดสรรขายที่เข้ามาเปิดบริษัทร่วมกับคนไทย ยังจะมีนักลงทุนรายย่อยที่ตามมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วย
โดยกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามานี้จะเป็นพวกเศรษฐีใหม่ ร่ำรวยจากธุรกิจแร่ธาตุและน้ำมัน ทั้งอินเดียและรัสเซีย กลุ่มคนรวยเหล่านี้จะมองหาที่ลงทุนและไทยจะเป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง ส่วนกลุ่มทุนจากดูไบนั้น ขณะนี้เข้ามาลงทุนในไทยคึกคักมาก โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม รีสอร์ท ตามหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย และพัทยา
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนจากเอเชีย ก็ทยอยมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการร่วมทุนกับนักธุรกิจไทย ล่าสุด ซาวิลส์ได้เข้าไปรับบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้กับนักลงทุนจากฮ่องกง ที่มาลงทุนในนามบริษัท ฮิลล์เครส เรสสิเด้นท์ (สมุย) จำกัด ลงทุนโรงแรมและวิลล่าระดับ 5 ดาว จำนวน 39 ยูนิต บนเนื้อที่ 65 ไร่ โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งใน 12 โครงการที่ซาวิลส์รับบริหารอยู่มีเกือบ 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
ด้าน อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทไฮเอนด์ในย่านใจกลางธุรกิจเริ่มกลับเข้ามา โดยลูกค้าที่เข้ามาซื้อจะเป็นรายย่อยชาวต่างชาติ เป็นการซื้อในนามบุคคล โดยลูกค้าต่างชาติที่ซื้อนี้ สามารถแบ่งเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศ และบางส่วนเป็นลูกค้าใหม่ที่อยู่ต่างประเทศ และต้องการมีบ้านพักในเมืองไทย โดยจากข้อมูลที่ซีบีฯ จัดเก็บจากฐานลูกค้าที่มีคิดเป็นสัดส่วน 42% ซึ่งยอดลูกค้าต่างชาตินี้ขยับเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติมีเพียง 20% ส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 58%
"ห้องชุดระดับไฮเอนด์ย่านซีบีบางโปรเจค ขายต่อได้กำไร 25-35% จะมีบางรายขายทำกำไรก่อนที่จะโอนกรรมสิทธิ์" อลิวัสสากล่าว ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยดันการซื้อขายห้องชุดในคอนโดมิเนียมในเมืองคึกคัก หลังจากขายต่อสร้างผลตอบแทนในบางโครงการแล้วก็จะขยับไปซื้อห้องชุดในโครงการอื่นๆ ต่อไป
ในจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ร่วม 42% หรือประมาณ 1,680 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าร่วม 2 หมื่นล้านบาท จากฐานห้องชุดในคอนโดมิเนียมที่ซีบี ริชาร์ดฯ รับผิดชอบในการทำการตลาดและการขายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวน 4,000 ยูนิต ด้วยขณะนี้ลูกค้าที่เข้ามาลงทุนนั้น มีหลากหลายมาก และลูกค้าแต่ละชาตินั้นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การให้บริการของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนก็ย่อมมีความเข้าใจในพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมของลูกค้าแต่ละชาติหรือแต่ละประเทศด้วยล่าสุด ซีบี ริชาร์ดฯ ได้เพิ่มแผนกบริการลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แผนกใหม่ดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ 4 คน ที่พร้อมบริการทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าที่สนใจลงทุนในรูปแบบบริษัท
พร้อมกันนี้ ผู้บริหารซีบี ริชาร์ดฯ ยังกล่าวถึงภาวการณ์โดยรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ในภาวะปรับสมดุลทั้งดีมานด์และซัพพลาย ส่วนที่หลายคนกังวลว่าที่อยู่อาศัยระดับกลางที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าจะเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายนั้น ส่วนตัวว่าไม่น่าเกิด แต่ทั้งนี้การขึ้นโครงการนั้น ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการต้องศึกษาตลาดให้ดี
ขณะที่ พนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า จากการสำรวจตลาดที่พักอาศัยในช่วงที่ผ่านมา พบว่านอกจากคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าซึ่งฮอตฮิตและมีดีมานด์สูงแล้ว ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงเป็นที่ต้องการและสามารถขายได้ ขอเพียงอยู่ในทำเลที่เหมาะสมและราคาไม่สูงจนเกินไป
เนื่องจากโดยลักษณะนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งกำลังเริ่มสร้างครอบครัว จะมองหาซื้อบ้านเดี่ยวเพื่อความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย โดยจะเห็นได้ชัดจากโพลล์สำรวจความเห็นของประชาชนจากนิตยสารบ้านและสวนเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 66.8% ชอบอยู่บ้านเดี่ยว และ 65.3% ฝันมีบ้านชานเมืองเพราะต้องการหนีมลพิษ จราจรติดขัด นอกจากนั้นแล้วสิทธิการลดหย่อนภาษีเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ของบุคคลธรรมดาจากเดิมปีละ 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจซื้อบ้านได้เร็วขึ้น จากอัตราการผ่อนชำระที่ลดลง
พื้นที่โซนตะวันออกหรือบางนา-เทพารักษ์-สมุทรปราการ เป็นอีกหนึ่งทำเลซึ่งมีศักยภาพที่น่าสนใจในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว นอกเหนือไปจากท่าพระ ตลิ่งชัน และพระราม 5 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความหนาแน่นของประชากรสูงและได้รับประโยชน์จากส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บางซื่อ-สมุทรปราการ) โดยไนท์แฟรงค์ได้รับผิดชอบบริหารงานขายโครงการ บ้านนนทกร ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาบ้านเดี่ยวสไตล์คอนเทมโพลารี่ 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 4.35 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการเดียวบนถนนเทพารักษ์ กม.1 ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแบริ่งเพียง 5 นาที โดยจะเริ่มพรีเซล 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ โครงการดังกล่าวเป็นของบริษัท ท๊อป บลิซ จำกัด ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 14 ไร่ จำนวน 84 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคม 2551
สาเหตุหลักที่ไนท์แฟรงค์มองว่าทำเลบางนา-เทพารักษ์น่าสนใจในอนาคต เนื่องจากสำรวจและพบว่ามีความต้องการซื้อจากคนในพื้นที่อีกมาก แต่พบว่ามีซัพพลายน้อยไม่เพียงพอต่อดีมานด์ที่มี นอกจากนั้นทำเลดังกล่าวมีการคมนาคมสะดวก และสามารถเชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง ทั้งสุขุมวิท บางนา ศรีนครินทร์ รวมถึงใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง ซึ่งจะสร้างเสร็จประมาณปี 2552 และมีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงเรียนและโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ไนท์แฟรงค์ยังมีโครงการ The Bliss เป็นคอนโดมิเนียมของบริษัท เรดดี้ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บนเนื้อที่ 1 ไร่เศษ ย่านถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน เป็นคอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น และ 5 ชั้น จำนวน 79 ยูนิต มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือนสิงหาคม 2550 คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคม 2551 โครงการดังกล่าวมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานโดยเฉพาะ เนื่องจากอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั้งถนนสีลมและสาทร โดยจะไม่เน้นจำนวนยูนิตมาก เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความแออัด และตั้งใจให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
เรื่อง :อสังหาฯคึกคักเศรษฐีเงินสดแห่ซื้อ-ลงทุน 3 ที่ปรึกษาการลงทุนเชื่อยังไม่วิกฤติ
แนวโน้มสถานการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น ทั้งจากร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง รวมถึงพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวยังแข็งแกร่ง โดยจะเห็นได้ชัดจากการที่ประเทศยังมีเงินสำรองมาก เงินเฟ้อต่ำ หนี้ภาครัฐไม่มากนัก และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง นอกจากนั้นมาตรการลดหย่อนภาษีเงินกู้ซื้อบ้านและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจนเกือบถึงจุดต่ำสุด ปัจจัยหนุนเหล่านี้ 3 ที่ปรึกษาอสังหาฯ ซาวิลส์-ซีบี ริชาร์ด-ไนท์แฟรงค์ เห็นพ้อง ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมา
จากการสำรวจ สอบถามผู้บริหารผู้ประกอบการธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่างระบุตรงกันว่า ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ได้มีความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเข้ามาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศค่อนข้างมาก โดยกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่สนใจนั้น มีทั้งในรูปแบบผู้ซื้อรายย่อย ที่ต้องการซื้อไว้เป็นบ้านพักในต่างประเทศ "ฮอลิเดย์ โฮม" และกลุ่มนักลงทุนที่มาในรูปแบบของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่จะสนใจในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ เช่น สมุย ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน เป็นต้น
โดยอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้ารายย่อยที่สนใจนั้น หากเป็นประเภทห้องชุดในคอนโดมิเนียม จะอยู่ในย่านใจกลางธุรกิจ กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะลงทุนปล่อยเช่า ซึ่งต่อปีจะเข้ามาพักผ่อน 2 เดือน ที่เหลือ 10 เดือนจะปล่อยเช่า กลุ่มนักลงทุนรายย่อยนี้จะมาจากอังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ และดูไบ และเป็นรูปแบบเช่า 30 ปี ต่อ 2 ครั้ง รวมเป็น 90 ปี
"ตอนที่รัฐบาลออกมาตรการกันสำรอง 30% และกฎหมายนอมินี ยอมรับว่าการซื้อขายหรือลงทุนชะงัก แต่ตอนนี้ลูกค้าตั้งหลักได้แล้ว หันกลับมาลงทุนทำกิจกรรมซื้อขายกันใหม่" โรเบิร์ต คอลลินส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซาวิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว พร้อมระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้เห็นชัด ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนการลงทุนพัฒนาโครงการนั้น นอกจากจะมาจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ยังมีกลุ่มทุนใหม่ที่เข้ามาหาข้อมูลการลงทุนแล้วค่อนข้างมาก คือ กลุ่มทุนจากดูไบ, อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งจากทั้ง 3 ประเทศนี้ได้เริ่มเข้ามาแล้ว และคาดไม่เกิน 2-3 ปี กลุ่มทุนเหล่านี้จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเข้ามาลงทุนผ่านโครงการจัดสรรขายที่เข้ามาเปิดบริษัทร่วมกับคนไทย ยังจะมีนักลงทุนรายย่อยที่ตามมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วย
โดยกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามานี้จะเป็นพวกเศรษฐีใหม่ ร่ำรวยจากธุรกิจแร่ธาตุและน้ำมัน ทั้งอินเดียและรัสเซีย กลุ่มคนรวยเหล่านี้จะมองหาที่ลงทุนและไทยจะเป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง ส่วนกลุ่มทุนจากดูไบนั้น ขณะนี้เข้ามาลงทุนในไทยคึกคักมาก โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม รีสอร์ท ตามหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย และพัทยา
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนจากเอเชีย ก็ทยอยมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการร่วมทุนกับนักธุรกิจไทย ล่าสุด ซาวิลส์ได้เข้าไปรับบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้กับนักลงทุนจากฮ่องกง ที่มาลงทุนในนามบริษัท ฮิลล์เครส เรสสิเด้นท์ (สมุย) จำกัด ลงทุนโรงแรมและวิลล่าระดับ 5 ดาว จำนวน 39 ยูนิต บนเนื้อที่ 65 ไร่ โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งใน 12 โครงการที่ซาวิลส์รับบริหารอยู่มีเกือบ 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
ด้าน อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทไฮเอนด์ในย่านใจกลางธุรกิจเริ่มกลับเข้ามา โดยลูกค้าที่เข้ามาซื้อจะเป็นรายย่อยชาวต่างชาติ เป็นการซื้อในนามบุคคล โดยลูกค้าต่างชาติที่ซื้อนี้ สามารถแบ่งเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศ และบางส่วนเป็นลูกค้าใหม่ที่อยู่ต่างประเทศ และต้องการมีบ้านพักในเมืองไทย โดยจากข้อมูลที่ซีบีฯ จัดเก็บจากฐานลูกค้าที่มีคิดเป็นสัดส่วน 42% ซึ่งยอดลูกค้าต่างชาตินี้ขยับเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติมีเพียง 20% ส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 58%
"ห้องชุดระดับไฮเอนด์ย่านซีบีบางโปรเจค ขายต่อได้กำไร 25-35% จะมีบางรายขายทำกำไรก่อนที่จะโอนกรรมสิทธิ์" อลิวัสสากล่าว ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยดันการซื้อขายห้องชุดในคอนโดมิเนียมในเมืองคึกคัก หลังจากขายต่อสร้างผลตอบแทนในบางโครงการแล้วก็จะขยับไปซื้อห้องชุดในโครงการอื่นๆ ต่อไป
ในจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ร่วม 42% หรือประมาณ 1,680 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าร่วม 2 หมื่นล้านบาท จากฐานห้องชุดในคอนโดมิเนียมที่ซีบี ริชาร์ดฯ รับผิดชอบในการทำการตลาดและการขายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวน 4,000 ยูนิต ด้วยขณะนี้ลูกค้าที่เข้ามาลงทุนนั้น มีหลากหลายมาก และลูกค้าแต่ละชาตินั้นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การให้บริการของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนก็ย่อมมีความเข้าใจในพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมของลูกค้าแต่ละชาติหรือแต่ละประเทศด้วยล่าสุด ซีบี ริชาร์ดฯ ได้เพิ่มแผนกบริการลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แผนกใหม่ดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ 4 คน ที่พร้อมบริการทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าที่สนใจลงทุนในรูปแบบบริษัท
พร้อมกันนี้ ผู้บริหารซีบี ริชาร์ดฯ ยังกล่าวถึงภาวการณ์โดยรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ในภาวะปรับสมดุลทั้งดีมานด์และซัพพลาย ส่วนที่หลายคนกังวลว่าที่อยู่อาศัยระดับกลางที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าจะเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายนั้น ส่วนตัวว่าไม่น่าเกิด แต่ทั้งนี้การขึ้นโครงการนั้น ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการต้องศึกษาตลาดให้ดี
ขณะที่ พนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า จากการสำรวจตลาดที่พักอาศัยในช่วงที่ผ่านมา พบว่านอกจากคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าซึ่งฮอตฮิตและมีดีมานด์สูงแล้ว ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงเป็นที่ต้องการและสามารถขายได้ ขอเพียงอยู่ในทำเลที่เหมาะสมและราคาไม่สูงจนเกินไป
เนื่องจากโดยลักษณะนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งกำลังเริ่มสร้างครอบครัว จะมองหาซื้อบ้านเดี่ยวเพื่อความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย โดยจะเห็นได้ชัดจากโพลล์สำรวจความเห็นของประชาชนจากนิตยสารบ้านและสวนเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 66.8% ชอบอยู่บ้านเดี่ยว และ 65.3% ฝันมีบ้านชานเมืองเพราะต้องการหนีมลพิษ จราจรติดขัด นอกจากนั้นแล้วสิทธิการลดหย่อนภาษีเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ของบุคคลธรรมดาจากเดิมปีละ 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจซื้อบ้านได้เร็วขึ้น จากอัตราการผ่อนชำระที่ลดลง
พื้นที่โซนตะวันออกหรือบางนา-เทพารักษ์-สมุทรปราการ เป็นอีกหนึ่งทำเลซึ่งมีศักยภาพที่น่าสนใจในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว นอกเหนือไปจากท่าพระ ตลิ่งชัน และพระราม 5 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความหนาแน่นของประชากรสูงและได้รับประโยชน์จากส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บางซื่อ-สมุทรปราการ) โดยไนท์แฟรงค์ได้รับผิดชอบบริหารงานขายโครงการ บ้านนนทกร ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาบ้านเดี่ยวสไตล์คอนเทมโพลารี่ 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 4.35 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการเดียวบนถนนเทพารักษ์ กม.1 ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแบริ่งเพียง 5 นาที โดยจะเริ่มพรีเซล 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ โครงการดังกล่าวเป็นของบริษัท ท๊อป บลิซ จำกัด ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 14 ไร่ จำนวน 84 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคม 2551
สาเหตุหลักที่ไนท์แฟรงค์มองว่าทำเลบางนา-เทพารักษ์น่าสนใจในอนาคต เนื่องจากสำรวจและพบว่ามีความต้องการซื้อจากคนในพื้นที่อีกมาก แต่พบว่ามีซัพพลายน้อยไม่เพียงพอต่อดีมานด์ที่มี นอกจากนั้นทำเลดังกล่าวมีการคมนาคมสะดวก และสามารถเชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง ทั้งสุขุมวิท บางนา ศรีนครินทร์ รวมถึงใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง ซึ่งจะสร้างเสร็จประมาณปี 2552 และมีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงเรียนและโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ไนท์แฟรงค์ยังมีโครงการ The Bliss เป็นคอนโดมิเนียมของบริษัท เรดดี้ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บนเนื้อที่ 1 ไร่เศษ ย่านถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน เป็นคอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น และ 5 ชั้น จำนวน 79 ยูนิต มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือนสิงหาคม 2550 คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคม 2551 โครงการดังกล่าวมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานโดยเฉพาะ เนื่องจากอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั้งถนนสีลมและสาทร โดยจะไม่เน้นจำนวนยูนิตมาก เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความแออัด และตั้งใจให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 33
เรื่องในกระแสอีกแล้วครับ
เรื่อง :พิษบาทแข็ง..ทำวัสดุปรับตัววุ่น! ลดส่งออก-ผวาสินค้านำเข้าตีตลาด
เงินบาทแข็งค่า ส่งผลผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง สินค้าแต่งบ้าน-เฟอร์นิเจอร์ ต้องเผชิญปัญหาขาดทุน หลายรายงัดแผนตั้งรับด้วยการเบรกส่งออก-ต่อรองราคา ส่งคอลเลคชั่นใหม่ขายราคาเพิ่ม ควบคู่การหันมาเล่นตลาดในประเทศแทน จับตาผู้เล่นรายใหญ่เครือซิเมนต์ไทย ปรับแผนหันนำเข้าสินค้ามาขาย เพราะบางรายการคุ้มกว่าผลิตเอง
การแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 รุนแรงมากขึ้นใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุดอยู่ระดับที่ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ (เมื่อวันที่ 18 ก.ค.) ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ที่ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ทำให้มาร์จินหรือกำไรจากการทำธุรกิจลดลง แม้บริษัทจะพยายามเตรียมแผนรองรับ ก็ยังได้รับผลกระทบในเชิงลบ ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ มองหาทางออกเตรียมแผนรองรับ ตามขีดความสามารถแต่ละองค์กร
แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายหนึ่ง เผยว่า ขณะนี้ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ทั้งกระเบื้องเซรามิคปูพื้นและบุผนัง ที่เดิมเน้นการผลิตเพื่อส่งออก ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทมาก ทำให้ต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการหันมาจำหน่ายในประเทศมากขึ้น แม้การปรับแผนดังกล่าวในบางครั้งจะต้องใช้เพิ่มส่วนลดหรือ "ราคา" เป็นตัวนำ ด้วยการขายต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่นก็ต้องยอม
"ผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่บางราย เลือกที่จะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น แทนการเพิ่มยอดสั่งซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ เพราะมองว่าสินค้านำเข้ามีต้นทุนถูกกว่า" แหล่งข่าวกล่าวพร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า สงคราม "ราคา" วัสดุก่อสร้างประเภทกระเบื้องเซรามิค หรือสุขภัณฑ์ จะต้องสูงขึ้น เพราะเท่าที่ทราบผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ เครือซิเมนต์ไทย มีแผนจะนำเข้าสินค้าในบางซีรีส์ จากต่างประเทศมาจำหน่ายในไทย ภาพดังกล่าวจะเห็นชัดและมีสัดส่วนสินค้าที่เพิ่มขึ้นในปี 2551 หลังจากที่ได้ทยอยนำเข้ามาแล้วในช่วงที่ผ่านมา
สินค้าที่นำเข้าจะมาจากเวียดนามและจีน เป็นหลัก และปัจจุบันเครือซิเมนต์ไทย มีความพร้อมในเรื่องของระบบขนส่ง และช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศค่อนข้างมาก และตลาดที่น่าสนใจก็คือ ตลาดต่างจังหวัด ที่ปัจจุบันยังนิยมซื้อของโดยใช้ "ราคา" เป็นตัวตัดสินแทนแบรนด์ หรือ ยี่ห้อ
ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องอาร์ซีไอ เป็นผู้ประกอบการโรงงานผลิตเพียงรายเดียวที่ประกาศชัดว่า สินค้าในบางรายการ หรือบางรุ่น ได้นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเปรียบเทียบเรื่องต้นทุนแล้ว นำเข้าสินค้าคุ้มค่ากว่าผลิตในประเทศ ในขณะเดียวกัน กำไรที่ได้นั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง
มาลี ทยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายโครงการ บริษัท แกรนด์ โฮมมาร์ท จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะกระเบื้องเซรามิคจากต่างประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2549 ที่มีเพียง 10-20% ขยับเพิ่มเป็น 30-40% ในปี 2550 และการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าของบริษัทถูกลง
ตลาดสินค้านำเข้าน่าจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะเชื่อว่าจะมีซัพพลายเออร์หลายรายปรับแผนการทำธุรกิจใหม่ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้านำเข้ามาจำหน่าย ซึ่งนอกจากกระเบื้องเซรามิคแล้ว ยังจะมีวัสดุและอุปกรณ์อื่นๆ โดยสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่ายนั้น จะมาจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน และเวียดนาม
สมชาย อังสนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพเดียม โฮมเซ็นเตอร์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์เฟอร์นิเจอร์โพเดียม กล่าวยอมรับว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้กำไรหายไป 15% ทางออกที่ต้องทำ คือ ขอเจรจาปรับราคาขายกับคู่ค้าใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของต้นทุน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ เพื่อให้สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้ค่อนข้างง่ายกว่าการไปขอปรับราคากับคู่ค้าในสินค้าที่เป็นคอลเลคชั่นเดิม
การดำเนินการดังกล่าวแม้จะเป็นอีกหนึ่งทางออก แต่ก็ค่อนข้างมีความเสี่ยงเกิดขึ้น เนื่องจากคู่ค้าในต่างประเทศ จะหันไปสั่งสินค้าจากคู่แข่งในประเทศอื่นๆ ที่ขณะนี้เฟอร์นิเจอร์จากจีนแดง มีการพัฒนาและถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะราคานั้นต่ำกว่าเฟอร์นิเจอร์ไทย 20-30% โพเดียมต้องทำงานหนักมากขึ้น รวมถึงประหยัดภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ก็หันมาขายสินค้าในประเทศมากขึ้น ล่าสุดได้เช่าพื้นที่ในซอยทองหล่อเพื่อเปิดโชว์รูม มีพื้นที่ใช้สอย 800 ตารางเมตร โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นเป็นสินค้าระดับ A+ ที่มีการพัฒนาและฟังก์ชันการใช้สอยร่วมกับดีไซเนอร์จากญี่ปุ่น
กิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท และพยายามหาแนวทางแก้ไขมาระยะหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ผลที่ดีขึ้นนัก ทำให้ภาพรวมของแผนทั้งองค์กรต้องปรับใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยอินเด็กซ์จะหันมาเน้นทำตลาดในไทยมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนยอดขายในไทยให้มากขึ้นเป็น 65% และลดสัดส่วนการส่งออกให้เหลือเพียง 35% ซึ่งตลาดในไทยยังมีโอกาสที่ดีจากตลาดคอนโดมิเนียมมีอัตราการเติบโตที่ดี ผู้ประกอบการคอนโด เน้นขายแบบฟูลลี่ เฟอร์นิช ทำให้ตลาดโครงการขยายตัวมาก
"หากไม่เจอวิกฤติค่าเงินบาทแข็งตัว ต้องยอมรับว่าตลาดส่งออกยังมีแนวโน้มที่สดใส และมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก ขยายตัวที่ประมาณ 3-5% ซึ่งถือว่าดีมากแล้ว แต่ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็งตัว ทำให้มูลค่าส่งออกเป็นเม็ดเงินไทยหดตัวมาก"
ตลาดผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งตัว ตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา โดยสูญเสียมูลค่าที่คิดกลับมาเป็นเงินไทยอยู่ที่ 10% ของมูลค่าการส่งออก ซึ่งในปีที่ผ่านมาอินเด็กซ์มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของมูลค่ายอดขายรวมทั้งหมด 6,000 ล้านบาท ทำให้อินเด็กซ์ต้องหาทางออกทุกรูปแบบในการแก้ปัญหา โดยก่อนหน้านี้ ได้เลือกวิธีซื้อฟอร์เวิร์ดอัตราแลกเปลี่ยนไว้บางส่วน แต่ด้วยความที่ค่าเงินไม่นิ่ง ยังผันผวนต่อเนื่อง
มรสุมรุมหนักบาทแข็ง ต้นทุนพุ่ง ปรับราคาไม่ได้...ในขณะเดียวกันไม่เพียงค่าเงินบาทแข็งตัวจนกลายเป็นวิกฤติของผู้ประกอบการแล้ว ซึ่งหลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งตัวที่ราคา 33-34 บาท ได้รับความเสียหายจากมูลค่าเงินไปแล้ว 15% แต่ปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น ยังส่งผลกระทบอย่างหนัก ทำให้กลายเป็น 2 ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้าผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งเชื่อว่าต้องประสบปัญหาใกล้เคียงกัน และการปรับราคาขายที่โค้ดไว้เป็นดอลลาร์สหรัฐขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก โดยอินเด็กซ์เคยขอปรับราคาขึ้นเพียง 3-5% ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะลูกค้าที่เป็นร้านค้าปลีกก็กำหนดราคาขายหน้าร้านไว้เรียบร้อยแล้ว หากรายใดปรับขึ้น ลูกค้าก็พร้อมจะเปลี่ยนซัพพลายเออร์จากจีนหรือเวียดนามได้ทันที
"ตอนนี้คู่แข่งของไทย ไม่ได้มีเพียงจีนอย่างเดียวแล้ว ยังมีเวียดนามที่มาแรงมากในตลาดโลก เพราะต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทยมาก ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติค่าเงินบาทแข็งแล้ว" กิจจากล่าว
จากสถานการณ์การแข่งขันในตลาดส่งออก ทำให้อินเด็กซ์เตรียมการปรับตัวมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการกระจายฐานลูกค้าให้สอดคล้องกัน ทั้งลูกค้าระดับเล็ก กลาง และใหญ่ โดยลูกค้ารายใหญ่จะมีอำนาจในการต่อรองที่สูงมาก โอกาสในการขอปรับราคาขึ้นจากกลุ่มนี้ ต้องเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนรายเล็ก ยังมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะอำนาจในการต่อรองยังสู้รายใหญ่ไม่ได้ และจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางขาย ขยายตลาดใหม่ จากปัจจุบันที่ส่งออกไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
ตัวสินค้าก็เป็นเรื่องสำคัญ ต้องสร้างให้มีความแตกต่าง เน้นออกแบบเองผลิตเอง เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ไม่จำเป็นต้องสู้กันด้วยสงครามราคา เพราะสินค้าจากจีน ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าก๊อบปี้เกือบ 100% ถ้าสินค้าแตกต่าง โอกาสย่อมสูงกว่า การคุมช่องทางในการขายก็จำเป็นไม่แพ้กัน เพราะถ้าสามารถสร้างเครือข่ายช่องทางการขายได้ จะได้รับผลกระทบในการแข่งขันด้านราคาน้อยมาก
หวั่นสินค้านำเข้าเปิดศึกสงครามราคาชิงยอด... กิจจากล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ปัญหาด้วยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในช่วงนี้ เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าเอื้อให้นำเข้าสินค้ามากขึ้น ก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก เพราะถ้าอินเด็กซ์นำเข้ามาได้ บริษัทอื่นก็นำเข้ามาจำหน่ายได้เช่นกัน ทุกคนเห็นโอกาสที่ค่าเงินบาทแข็งค่า แห่นำเข้าสินค้ามาขาย โดยเฉพาะนำเข้าสินค้าจากจีน หรือเวียดนาม
สำหรับผู้ประกอบการส่งออกรายย่อย ที่มีทุนไม่มากเหมือนรายใหญ่ ต้องเร่งปรับตัวอย่างเร็วที่สุดแล้ว เพราะวันนี้เราไม่ได้เผชิญเพียงมรสุมเรื่องค่าเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องเจอมรสุมจากคู่แข่งสำคัญดังกล่าว ผู้ประกอบการส่งออกไทยจึงต้องปูเส้นทางเดินใหม่ ต้องปรับเรื่องต้นทุนในการผลิต ต้องโลว์คอสท์ แต่ยังคงด้วยคุณภาพที่สู้คู่แข่งได้ กระจายฐานลูกค้า ยิ่งถ้าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ไม่จำเป็นต้องหาลูกค้าเป็นรายใหญ่ เพราะจะไม่สามารถสู้อำนาจการต่อรองได้ หันหาลูกค้ารายเล็กที่มีศักยภาพ กระจายตลาดให้ครอบคลุม อาจจะหันไปหาตลาดเอเชียที่ซื้อขายเป็นสิงคโปร์ดอลลาร์ ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
วิกฤติเรื่องค่าเงินบาทแข็งตัว เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ถึงในอนาคตค่าเงินบาทจะกลับมาคงที่ แต่ก็จะมีไซเคิลที่ผันผวนอีก จึงต้องหาวิธีทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ แม้ในภาวะที่เลวร้ายที่สุด
เรื่อง :พิษบาทแข็ง..ทำวัสดุปรับตัววุ่น! ลดส่งออก-ผวาสินค้านำเข้าตีตลาด
เงินบาทแข็งค่า ส่งผลผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง สินค้าแต่งบ้าน-เฟอร์นิเจอร์ ต้องเผชิญปัญหาขาดทุน หลายรายงัดแผนตั้งรับด้วยการเบรกส่งออก-ต่อรองราคา ส่งคอลเลคชั่นใหม่ขายราคาเพิ่ม ควบคู่การหันมาเล่นตลาดในประเทศแทน จับตาผู้เล่นรายใหญ่เครือซิเมนต์ไทย ปรับแผนหันนำเข้าสินค้ามาขาย เพราะบางรายการคุ้มกว่าผลิตเอง
การแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 รุนแรงมากขึ้นใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุดอยู่ระดับที่ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ (เมื่อวันที่ 18 ก.ค.) ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ที่ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ทำให้มาร์จินหรือกำไรจากการทำธุรกิจลดลง แม้บริษัทจะพยายามเตรียมแผนรองรับ ก็ยังได้รับผลกระทบในเชิงลบ ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ มองหาทางออกเตรียมแผนรองรับ ตามขีดความสามารถแต่ละองค์กร
แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายหนึ่ง เผยว่า ขณะนี้ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ทั้งกระเบื้องเซรามิคปูพื้นและบุผนัง ที่เดิมเน้นการผลิตเพื่อส่งออก ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทมาก ทำให้ต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการหันมาจำหน่ายในประเทศมากขึ้น แม้การปรับแผนดังกล่าวในบางครั้งจะต้องใช้เพิ่มส่วนลดหรือ "ราคา" เป็นตัวนำ ด้วยการขายต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่นก็ต้องยอม
"ผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่บางราย เลือกที่จะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น แทนการเพิ่มยอดสั่งซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ เพราะมองว่าสินค้านำเข้ามีต้นทุนถูกกว่า" แหล่งข่าวกล่าวพร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า สงคราม "ราคา" วัสดุก่อสร้างประเภทกระเบื้องเซรามิค หรือสุขภัณฑ์ จะต้องสูงขึ้น เพราะเท่าที่ทราบผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ เครือซิเมนต์ไทย มีแผนจะนำเข้าสินค้าในบางซีรีส์ จากต่างประเทศมาจำหน่ายในไทย ภาพดังกล่าวจะเห็นชัดและมีสัดส่วนสินค้าที่เพิ่มขึ้นในปี 2551 หลังจากที่ได้ทยอยนำเข้ามาแล้วในช่วงที่ผ่านมา
สินค้าที่นำเข้าจะมาจากเวียดนามและจีน เป็นหลัก และปัจจุบันเครือซิเมนต์ไทย มีความพร้อมในเรื่องของระบบขนส่ง และช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศค่อนข้างมาก และตลาดที่น่าสนใจก็คือ ตลาดต่างจังหวัด ที่ปัจจุบันยังนิยมซื้อของโดยใช้ "ราคา" เป็นตัวตัดสินแทนแบรนด์ หรือ ยี่ห้อ
ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องอาร์ซีไอ เป็นผู้ประกอบการโรงงานผลิตเพียงรายเดียวที่ประกาศชัดว่า สินค้าในบางรายการ หรือบางรุ่น ได้นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเปรียบเทียบเรื่องต้นทุนแล้ว นำเข้าสินค้าคุ้มค่ากว่าผลิตในประเทศ ในขณะเดียวกัน กำไรที่ได้นั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง
มาลี ทยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายโครงการ บริษัท แกรนด์ โฮมมาร์ท จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะกระเบื้องเซรามิคจากต่างประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2549 ที่มีเพียง 10-20% ขยับเพิ่มเป็น 30-40% ในปี 2550 และการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าของบริษัทถูกลง
ตลาดสินค้านำเข้าน่าจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะเชื่อว่าจะมีซัพพลายเออร์หลายรายปรับแผนการทำธุรกิจใหม่ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้านำเข้ามาจำหน่าย ซึ่งนอกจากกระเบื้องเซรามิคแล้ว ยังจะมีวัสดุและอุปกรณ์อื่นๆ โดยสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่ายนั้น จะมาจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน และเวียดนาม
สมชาย อังสนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพเดียม โฮมเซ็นเตอร์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์เฟอร์นิเจอร์โพเดียม กล่าวยอมรับว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้กำไรหายไป 15% ทางออกที่ต้องทำ คือ ขอเจรจาปรับราคาขายกับคู่ค้าใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของต้นทุน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ เพื่อให้สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้ค่อนข้างง่ายกว่าการไปขอปรับราคากับคู่ค้าในสินค้าที่เป็นคอลเลคชั่นเดิม
การดำเนินการดังกล่าวแม้จะเป็นอีกหนึ่งทางออก แต่ก็ค่อนข้างมีความเสี่ยงเกิดขึ้น เนื่องจากคู่ค้าในต่างประเทศ จะหันไปสั่งสินค้าจากคู่แข่งในประเทศอื่นๆ ที่ขณะนี้เฟอร์นิเจอร์จากจีนแดง มีการพัฒนาและถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะราคานั้นต่ำกว่าเฟอร์นิเจอร์ไทย 20-30% โพเดียมต้องทำงานหนักมากขึ้น รวมถึงประหยัดภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ก็หันมาขายสินค้าในประเทศมากขึ้น ล่าสุดได้เช่าพื้นที่ในซอยทองหล่อเพื่อเปิดโชว์รูม มีพื้นที่ใช้สอย 800 ตารางเมตร โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นเป็นสินค้าระดับ A+ ที่มีการพัฒนาและฟังก์ชันการใช้สอยร่วมกับดีไซเนอร์จากญี่ปุ่น
กิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท และพยายามหาแนวทางแก้ไขมาระยะหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ผลที่ดีขึ้นนัก ทำให้ภาพรวมของแผนทั้งองค์กรต้องปรับใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยอินเด็กซ์จะหันมาเน้นทำตลาดในไทยมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนยอดขายในไทยให้มากขึ้นเป็น 65% และลดสัดส่วนการส่งออกให้เหลือเพียง 35% ซึ่งตลาดในไทยยังมีโอกาสที่ดีจากตลาดคอนโดมิเนียมมีอัตราการเติบโตที่ดี ผู้ประกอบการคอนโด เน้นขายแบบฟูลลี่ เฟอร์นิช ทำให้ตลาดโครงการขยายตัวมาก
"หากไม่เจอวิกฤติค่าเงินบาทแข็งตัว ต้องยอมรับว่าตลาดส่งออกยังมีแนวโน้มที่สดใส และมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก ขยายตัวที่ประมาณ 3-5% ซึ่งถือว่าดีมากแล้ว แต่ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็งตัว ทำให้มูลค่าส่งออกเป็นเม็ดเงินไทยหดตัวมาก"
ตลาดผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งตัว ตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา โดยสูญเสียมูลค่าที่คิดกลับมาเป็นเงินไทยอยู่ที่ 10% ของมูลค่าการส่งออก ซึ่งในปีที่ผ่านมาอินเด็กซ์มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของมูลค่ายอดขายรวมทั้งหมด 6,000 ล้านบาท ทำให้อินเด็กซ์ต้องหาทางออกทุกรูปแบบในการแก้ปัญหา โดยก่อนหน้านี้ ได้เลือกวิธีซื้อฟอร์เวิร์ดอัตราแลกเปลี่ยนไว้บางส่วน แต่ด้วยความที่ค่าเงินไม่นิ่ง ยังผันผวนต่อเนื่อง
มรสุมรุมหนักบาทแข็ง ต้นทุนพุ่ง ปรับราคาไม่ได้...ในขณะเดียวกันไม่เพียงค่าเงินบาทแข็งตัวจนกลายเป็นวิกฤติของผู้ประกอบการแล้ว ซึ่งหลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งตัวที่ราคา 33-34 บาท ได้รับความเสียหายจากมูลค่าเงินไปแล้ว 15% แต่ปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น ยังส่งผลกระทบอย่างหนัก ทำให้กลายเป็น 2 ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้าผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งเชื่อว่าต้องประสบปัญหาใกล้เคียงกัน และการปรับราคาขายที่โค้ดไว้เป็นดอลลาร์สหรัฐขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก โดยอินเด็กซ์เคยขอปรับราคาขึ้นเพียง 3-5% ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะลูกค้าที่เป็นร้านค้าปลีกก็กำหนดราคาขายหน้าร้านไว้เรียบร้อยแล้ว หากรายใดปรับขึ้น ลูกค้าก็พร้อมจะเปลี่ยนซัพพลายเออร์จากจีนหรือเวียดนามได้ทันที
"ตอนนี้คู่แข่งของไทย ไม่ได้มีเพียงจีนอย่างเดียวแล้ว ยังมีเวียดนามที่มาแรงมากในตลาดโลก เพราะต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทยมาก ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติค่าเงินบาทแข็งแล้ว" กิจจากล่าว
จากสถานการณ์การแข่งขันในตลาดส่งออก ทำให้อินเด็กซ์เตรียมการปรับตัวมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการกระจายฐานลูกค้าให้สอดคล้องกัน ทั้งลูกค้าระดับเล็ก กลาง และใหญ่ โดยลูกค้ารายใหญ่จะมีอำนาจในการต่อรองที่สูงมาก โอกาสในการขอปรับราคาขึ้นจากกลุ่มนี้ ต้องเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนรายเล็ก ยังมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะอำนาจในการต่อรองยังสู้รายใหญ่ไม่ได้ และจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางขาย ขยายตลาดใหม่ จากปัจจุบันที่ส่งออกไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
ตัวสินค้าก็เป็นเรื่องสำคัญ ต้องสร้างให้มีความแตกต่าง เน้นออกแบบเองผลิตเอง เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ไม่จำเป็นต้องสู้กันด้วยสงครามราคา เพราะสินค้าจากจีน ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าก๊อบปี้เกือบ 100% ถ้าสินค้าแตกต่าง โอกาสย่อมสูงกว่า การคุมช่องทางในการขายก็จำเป็นไม่แพ้กัน เพราะถ้าสามารถสร้างเครือข่ายช่องทางการขายได้ จะได้รับผลกระทบในการแข่งขันด้านราคาน้อยมาก
หวั่นสินค้านำเข้าเปิดศึกสงครามราคาชิงยอด... กิจจากล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ปัญหาด้วยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในช่วงนี้ เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าเอื้อให้นำเข้าสินค้ามากขึ้น ก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก เพราะถ้าอินเด็กซ์นำเข้ามาได้ บริษัทอื่นก็นำเข้ามาจำหน่ายได้เช่นกัน ทุกคนเห็นโอกาสที่ค่าเงินบาทแข็งค่า แห่นำเข้าสินค้ามาขาย โดยเฉพาะนำเข้าสินค้าจากจีน หรือเวียดนาม
สำหรับผู้ประกอบการส่งออกรายย่อย ที่มีทุนไม่มากเหมือนรายใหญ่ ต้องเร่งปรับตัวอย่างเร็วที่สุดแล้ว เพราะวันนี้เราไม่ได้เผชิญเพียงมรสุมเรื่องค่าเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องเจอมรสุมจากคู่แข่งสำคัญดังกล่าว ผู้ประกอบการส่งออกไทยจึงต้องปูเส้นทางเดินใหม่ ต้องปรับเรื่องต้นทุนในการผลิต ต้องโลว์คอสท์ แต่ยังคงด้วยคุณภาพที่สู้คู่แข่งได้ กระจายฐานลูกค้า ยิ่งถ้าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ไม่จำเป็นต้องหาลูกค้าเป็นรายใหญ่ เพราะจะไม่สามารถสู้อำนาจการต่อรองได้ หันหาลูกค้ารายเล็กที่มีศักยภาพ กระจายตลาดให้ครอบคลุม อาจจะหันไปหาตลาดเอเชียที่ซื้อขายเป็นสิงคโปร์ดอลลาร์ ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
วิกฤติเรื่องค่าเงินบาทแข็งตัว เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ถึงในอนาคตค่าเงินบาทจะกลับมาคงที่ แต่ก็จะมีไซเคิลที่ผันผวนอีก จึงต้องหาวิธีทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ แม้ในภาวะที่เลวร้ายที่สุด
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 34
กระทู้จากพันทิปครับ
เรื่อง : มา share ประสบการณ์ TFEX กันดีกว่าครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 39652.html
เรื่อง : มา share ประสบการณ์ TFEX กันดีกว่าครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 39652.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 35
อันนี้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำของพันทิปครับ
เรื่อง :"โอกาส" คำนี้มีค่าสำหรับผม
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 31625.html
เรื่อง :"โอกาส" คำนี้มีค่าสำหรับผม
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 31625.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 36
โทษทีครับ ช่วงนี้ผมไม่มีเน็ตให้เล่นได้ทุกวันดังแต่ก่อน
ตอนนี้จึงยังไม่มีอะไรมาโพสต์นะครับ น่าจะอีกประมาณเดือนนึงถึงจะเข้าที่เข้าทางนะครับ
ตอนนี้จึงยังไม่มีอะไรมาโพสต์นะครับ น่าจะอีกประมาณเดือนนึงถึงจะเข้าที่เข้าทางนะครับ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 38
กลับมาแล้วครับ มาฝากบทความที่ผมอ่านเจอแล้วชอบครับ เครดิตจากกรุงเทพธุรกิจ Bizweek ครับ
เรื่องแรก 'ฮอตไลน์' สายตรงถึงเหยื่อ !!! เมื่อมิจฉาชีพเล่นบท 'โอเปอเรเตอร์'
นอกจากการปลอมตัวเป็น "เจ้าของบัตร" ไปรูดซื้อสินค้าแล้ว "การปลอมเสียง" เป็น "โอเปอเรเตอร์" ยังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เหล่ามิจฉาชีพเลือกใช้ ด้วยการโทรตรงถึงเหยื่อ ใช้วาทศิลป์อย่างมีจิตวิทยาหลอกล่อให้เหยื่อที่กำลัง "มึนตื้บ" คล้อยตาม ยอมพรั่งพรูข้อมูลส่วนตัวออกมา
ประสบการณ์เหล่านี้ ผู้ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะหลงเชื่อคำพูดใครง่ายๆ อย่างสาวออฟฟิศรายนี้ ไม่วายที่จะเคลิ้ม" ไปกับมิจฉาชีพที่มาตามสาย...เธอเล่าให้ฟังว่า หลายเดือนที่ผ่านมามีโทรศัพท์ปริศนา (ไม่โชว์เบอร์) เข้ามา อ้างตัวเป็นพนักงานขายประกัน เปิดการสนทนาด้วยข้อเสนอให้ทำประกันอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองล่อใจสูงถึง 5-10 ล้านบาท ในกรณีเสียชีวิต และให้ข้อมูลถึงแพ็คเกจประกันอุบัติเหตุว่า ชำระเบี้ยประกันเดือนละ 300-500 บาทเท่านั้น
ก่อนจะทำทีสอบถามข้อมูลส่วนตัว "ชื่อและนามสกุล" ของเหยื่อ !
วงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 5-10 ล้านบาท ล่อใจได้ไม่น้อย นั่นคือความคิดของสาวออฟฟิศรายนี้
เมื่อเหยื่อมีท่าทีสนใจ พนักงานขายจอมปลอมรุกต่อด้วยการบอกเล่าถึงวิธีชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต ซึ่งเป็น "เป้าหมาย" แท้จริงของมิจฉาชีพ
เพื่อจะนำหมายเลขบัตรเครดิตของเหยื่อไปรูดซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หรือทำบัตรเครดิตปลอมก็แล้วแต่
มิจฉาชีพรายนี้อ้างว่า การชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็วที่สุด
โชคดีที่สาวออฟฟิศซึ่งตกเป็นเหยื่อเริ่มสงสัย ??? ว่าทำไมต้องกำหนดให้ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น
เธอจึงอิดออด แจ้งถึงความไม่สะดวกที่จะจ่ายเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต โดยยืนยันที่จะ "โอนเงิน" ผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารเท่านั้น
มิจฉาชีพปลายสายจึงเริ่มออกอาการหงุดหงิด โต้กลับทันทีว่า..."เราต้องการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้านะคะ"
ทว่าเหยื่อชักไหวตัว ด้วยสองประเด็นหลัก
หนึ่ง โทรศัพท์ที่โทรมา "ไม่โชว์เบอร์" ย่อมยากในการติดตามที่มาที่ไปของบริษัท และ สอง ไม่มีเหตุผลเพียงพอในการชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น
เหยื่อจึงเป็นฝ่ายรุกบ้าง ด้วยการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท พร้อมกับขอหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่เพื่อติดต่อกลับ
เมื่อถึงที่สุดของการ "ชิงไหวชิงพริบ" ระหว่างเหยื่อกับมิจฉาชีพ !!! บทสนทนาของมิจฉาชีพก็หยุดลง เป็นเสียงรอสาย (คล้ายมีการปรึกษาหารือกับแก๊ง) ก่อนจะแจ้งเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทแก่เหยื่อ และบอกว่าบริษัทอยู่แถวสวนลุมพินี
หากต้องการโอนเงินผ่านธนาคารจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ทั้งกรอกเอกสารและส่งแฟกซ์
ส่วนสาเหตุที่ไม่โชว์เบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพตอบชนิดที่ต้องแปลไทยเป็นไทยว่า เพราะเบอร์โทรดังกล่าวเป็นเบอร์ส่วนตัวของพนักงานที่ใช้ติดต่อมายังบริษัท
สุดท้ายแล้ว มิจฉาชีพต้องถอดใจยอมวางสาย หลังจากเจรจาหว่านล้อมขอเลขที่บัตรเครดิตจากเหยื่อไม่สำเร็จ !!!
เมื่อเหยื่อโทรศัพท์ไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่มิจฉาชีพให้ไว้ ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของบริษัทประกันชีวิตจริง แต่เป็นเบอร์ที่มีเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ไม่สามารถติดต่อคนในองค์กรโดยง่าย ชนิด กด 1, กด 2 , กด 3...........ฯลฯ
ส่วนพนักงานออฟฟิศ (อีกราย) ยอมรับว่า ความโลภบังตาเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่ออยู่ๆ ก็มีสายตรงจู่โจมเข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอ โดยอ้างตัวว่าเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่มือถือให้กับค่ายโนเกีย พยายามหลอกล่อให้เหยื่อดีใจสุดขีดว่า
"คุณคือผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่ จากแคมเปญสมนาคุณให้กับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์โนเกีย จากการสุ่มจับฉลากรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 แสนบาท รางวัลที่ 2 มูลค่า 6 หมื่นบาท และรางวัลที่ 3 มูลค่า 3 หมื่นบาท "
....คุณคือผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 2 วงเงิน 6 หมื่นบาท
น่าดีใจไหมล่ะ !!!
แม้ว่าสาวออฟฟิศรายนี้ออกตัวว่าไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ก็ไม่วายแอบตื่นเต้นกับรางวัลกว่าครึ่งแสน ใจหนึ่งก็คิดว่า "อาจจะใช่" เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของโทรศัพท์ยี่ห้อดังกล่าวเช่นกัน
ทว่าแอบฉุกคิด ตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า เมื่อเธอได้รับรางวัลใหญ่เช่นนี้ ทำไมไม่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ทีวี วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์เลย
โปรแกรมอย่างนี้จัดบ่อยมั้ย เนื่องในโอกาสอะไร เธอซัก
มิจฉาชีพตอบคำถามกลับมาอย่างจัดเจนว่า...เป็นการตอบแทนลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์ ถือเป็น "กิจกรรมภายใน"
เช่นเดียวกันกับรายแรก โทรศัพท์ที่โทรเข้ามา "ไม่โชว์เบอร์" โดยอ้างว่า เป็นระบบของบริษัท ซักไซ้ไล่เลียงหนักเข้า มิจฉาชีพรายนี้ก็พลิ้ว ทำทีไปปรึกษาหัวหน้า (ไม่ต่างจากการพักสายโทรศัพท์ของมิจฉาชีพรายแรก) แล้วกลับมาให้ข้อมูลอีกครั้ง จนเหยื่อรายนี้ตายใจ
เข้าใจว่าบริษัทดังกล่าวกำลังจะโอนเงินก้อนโต 6 หมื่นบาท เข้าบัญชีธนาคารของเธอจริงๆ
สุดท้ายจึงยินยอมบอกเบอร์บัญชีธนาคาร พร้อมชื่อ-นามสกุล ให้กับมิจฉาชีพอย่างนอนใจ (แม่เจ้า !!!)
"น้ำเสียงคนโทรมาเหมือนเป็นคนต่างจังหวัด แต่ตอบได้ทุกคำถาม หากตอบไม่ได้จะเว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วถามหัวหน้า เลยทำให้เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา บอกว่ากำลังจะโอนเข้าบัญชีเราแล้วนะ ให้เราบอกเลขที่บัญชี เราก็เชื่อ บอกไป เพราะเราซักถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเยอะแล้ว และก็อยากได้เงิน" เหยื่อสาวรายที่สองสารภาพ
มิจฉาชีพรายนี้ถือว่ามีจิตวิทยาสูง กระตุ้นให้เหยื่อรีบตัดสินใจด้วยเหตุผลต้องการเคลียร์เงินรางวัลให้กับผู้โชคดีโดยเร็ว หลังได้เลขที่บัญชีไปแล้ว ก็พยายามกระตุ้นให้เหยื่อเดินไปที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อเช็คยอดเงินในบัญชีว่าได้รับหรือไม่ แต่เจ้าของบัญชีก็ยังนิ่งนอนใจไม่ไปเช็คยอดเงิน
หลังจากนั้นมิจฉาชีพก็โทรมาอีกครั้ง กระตุ้นให้เธอไปเช็คยอดเงินที่ตู้เอทีเอ็มอีกครั้ง คราวนี้เธอเดินไปเช็คเงินปรากฏว่า...เงินรางวัลยังไม่เข้าบัญชี
ด้วยความหงุดหงิด เหยื่อจึงโพล่งกลับไปว่า... "มีเงินในบัญชีคงค้างแค่ 100 บาท ไม่เห็นมีเงินใหม่เข้ามา"
เข้าใจว่าประโยคนี้ ทำให้มิจฉาชีพขำไม่ออก เพราะกะจะฟันเงินในบัญชีเหยื่อ ที่แท้มีเงินในบัญชีแค่ร้อยเดียว มิจฉาชีพรายนี้จึงไม่โทรกลับมาที่เหยื่ออีกเลย !!!
เมื่อเหยื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงจัดแจงปิดบัญชีเดิม เปิดบัญชีใหม่ พร้อมเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็ม
เหยื่อรายหลังสุด ค่อนข้างแหวกแนว หวือหวา กว่าสองรายแรก หนุ่มพนักงานออฟฟิศรายนี้ ถูกแก๊งมิจฉาชีพโทรมาปลุกให้ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ซึ่งเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ยังงัวเงียสะลึมสะลือ
เหยื่อรายนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขารับสาย เสียงอัตโนมัติตามสายก็แจ้งยอดหนี้บัตรเครดิตก้อนเบ้อเร่อให้เขา
อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง ความกังวลเข้าครอบคลุม
"ท่านได้ค้างชำระหนี้บัตรเครดิตให้ติดต่อกลับด่วน หรือถ้ามีข้อสงสัยให้กด 9 " เขาก็รีบทำตามอย่างปัจจุบันทันด่วน
3 นาทีที่ยาวนานผ่านไป กว่าจะมีเสียงชายคนหนึ่งพูดแหวกสายโทรศัพท์กลับมาว่า "มีอะไรให้ช่วยเหลือครับ"
เขารีบตอบกลับทันที ขณะที่มิจฉาชีพสอบถามกลับมาด้วยความคล่องแคล่ว เพื่อสอบถามชื่อและนามสกุลของเหยื่อรายนี้ ทำทีเป็นหวังดีจะตรวจสอบให้
จากนั้นมิจฉาชีพรายนี้ก็ตอบกลับมาว่า เขามียอดหนี้จากการเบิกเงินสดวงเงิน 20,000 บาท เป็นการไปรูดซื้อโทรทัศน์สีที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เหยื่อรายนี้นึกทันทีในขณะนั้นว่า...เขาคงโดนสวมรอยจากคนที่คุยด้วย หรือไม่ก็ต้องมีใครทำบัตรปลอมโดยใช้ชื่อเขาไปรูดซื้อสินค้า
...เพราะเขาไม่มีบัตรเครดิตสักใบ
แต่ร้อนใจจึงถามกลับไปว่า...จะต้องทำอย่างไรต่อไป
เสียงตามสาย ตอบกลับโดยอ้างตัวว่า เป็นพนักงานจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ แจ้งว่า "เดี๋ยวทางเราจะให้เบอร์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมกับจะเปลี่ยนรหัสแม่เหล็กให้คุณใหม่"
แต่เหยื่อก็ไม่ประมาท จึงขอชื่อมิจฉาชีพไว้ติดต่อ มิจฉาชีพก็ให้ชื่อปลอมว่า "วิชัย เจริญสุข"
มิจฉาชีพยังโอนสายให้เหยื่อคุยกับมิจฉาชีพอีกรายหนึ่ง ที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายจัดการหนี้สินเพื่อคุยในรายละเอียด โดยเขา (วิชัย) อ้างว่าเป็นเพียงพนักงานโอเปอเรเตอร์
น้ำเสียงโอเปอเรเตอร์รายแรกเหมือนคนกะเหรี่ยงพูดไทยไม่ชัด แต่มิจฉาชีพอีกรายสำเนียงกลับแย่กว่ารายแรกไปอีก พูดไม่เต็มเสียงเหมือนคนต่างด้าว ทำให้เหยื่อชักจะตงิดๆ ว่าโดนหลอกซะละมัง
มิจฉาชีพรายนี้มาฟอร์มเดิม คือ พยายามขอหมายเลขบัตรเครดิต
แต่เหยื่อไม่มีบัตรเครดิตสักใบ จึงตอบกลับไปว่า
"คุณกำลังทำอะไร ผมไม่มีอะไร บัตรอะไรเกี่ยวกับธนาคารกรุงเทพเลย" พนักงานหญิงที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารอ้างว่า ยังไงเขาก็มีบัตร เพราะข้อมูลของธนาคารระบุไว้เช่นนั้น และยังบอกอีกว่า...
"เรากำลังช่วยคุณอยู่นะ ทั้งๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นรออยู่เยอะ โปรดให้ความร่วมมือกับเราด้วย" นี่คือจิตวิทยาที่มิจฉาชีพใช้กับเหยื่อ
เหยื่อออกอาการสับสน กังวลใจ หากเรื่องราวเหล่านั้นเป็นจริง จะกลายเป็นว่า...เขาไม่ให้ความร่วมมือกับธนาคารหรือ
ทำอย่างไรดี ???
สุดท้ายเหยื่อจึงขอเบอร์ธนาคารกรุงเทพ สาขาที่ว่า ขณะที่มิจฉาชีพตกใจเล็กน้อยและว่า...
"คุณโทรไปก็ได้ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องโทรมาหาเราอีกนั่นแหละ เพราะเราเป็นฝ่ายจัดการกับเรื่องข้อมูลที่ให้คุณ ดิฉันกำลังยุ่ง และคุณก็เป็นฝ่ายโทรมาหาเราเอง"
เป็นงั้นไป !!!
หลังจากนั้นทั้งเหยื่อและมิจฉาชีพต่างวางสายโทรศัพท์โครมใหญ่
เหยื่อไม่หยุดเท่านั้น รีบโทรไปเช็คที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ และสาขาบางกะปิ ว่ามีคนชื่อ "วิชัย" หรือไม่ สรุปว่าไม่มีชื่อพนักงานคนนี้ และแบงก์ก็แจ้งว่า พนักงานโอเปอเรเตอร์ ไม่มีหน้าที่ติดต่อลูกค้าในลักษณะดังกล่าว
นอกจากนี้ทางธนาคารกรุงเทพยังแจ้งว่า เคยมีกรณีคล้ายกันโทรมาถามธนาคารเยอะมากในช่วงนี้
สุดท้ายเหยื่อจึงรู้ว่า...ถูกล้วงคองูเขียว
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทั้งผู้ถือบัตรและไม่มีบัตรทั้งหลายพึงตระหนักถึง "ภัยตามสาย"
ในกรณีนี้ "โชค ณ ระนอง" ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า รูปแบบการติดต่อกับลูกค้าดังกล่าว มิใช่เป็นของสถาบันที่ออกบัตร แต่เป็นวิธีการของกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อหวังข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ไปทำการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ทางชมรมกำลังตรวจสอบเพื่อติดตามแหล่งที่มาของกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเร่งด่วน
"ขอย้ำกับลูกค้าให้เก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของท่านเป็นข้อมูลลับเฉพาะ หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย กรุณาติดต่อกลับศูนย์บริการบัตรเครดิตที่ท่านถืออยู่ โดยดูเบอร์ติดต่อกลับได้ที่ด้านหลังบัตรทุกใบ
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันเป็นฝ่ายติดต่อลูกค้า ทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งวัตถุประสงค์ของการติดต่อเท่านั้น ไม่มีการสอบถามข้อมูลส่วนตัว"
เรื่องแรก 'ฮอตไลน์' สายตรงถึงเหยื่อ !!! เมื่อมิจฉาชีพเล่นบท 'โอเปอเรเตอร์'
นอกจากการปลอมตัวเป็น "เจ้าของบัตร" ไปรูดซื้อสินค้าแล้ว "การปลอมเสียง" เป็น "โอเปอเรเตอร์" ยังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เหล่ามิจฉาชีพเลือกใช้ ด้วยการโทรตรงถึงเหยื่อ ใช้วาทศิลป์อย่างมีจิตวิทยาหลอกล่อให้เหยื่อที่กำลัง "มึนตื้บ" คล้อยตาม ยอมพรั่งพรูข้อมูลส่วนตัวออกมา
ประสบการณ์เหล่านี้ ผู้ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะหลงเชื่อคำพูดใครง่ายๆ อย่างสาวออฟฟิศรายนี้ ไม่วายที่จะเคลิ้ม" ไปกับมิจฉาชีพที่มาตามสาย...เธอเล่าให้ฟังว่า หลายเดือนที่ผ่านมามีโทรศัพท์ปริศนา (ไม่โชว์เบอร์) เข้ามา อ้างตัวเป็นพนักงานขายประกัน เปิดการสนทนาด้วยข้อเสนอให้ทำประกันอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองล่อใจสูงถึง 5-10 ล้านบาท ในกรณีเสียชีวิต และให้ข้อมูลถึงแพ็คเกจประกันอุบัติเหตุว่า ชำระเบี้ยประกันเดือนละ 300-500 บาทเท่านั้น
ก่อนจะทำทีสอบถามข้อมูลส่วนตัว "ชื่อและนามสกุล" ของเหยื่อ !
วงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 5-10 ล้านบาท ล่อใจได้ไม่น้อย นั่นคือความคิดของสาวออฟฟิศรายนี้
เมื่อเหยื่อมีท่าทีสนใจ พนักงานขายจอมปลอมรุกต่อด้วยการบอกเล่าถึงวิธีชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต ซึ่งเป็น "เป้าหมาย" แท้จริงของมิจฉาชีพ
เพื่อจะนำหมายเลขบัตรเครดิตของเหยื่อไปรูดซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หรือทำบัตรเครดิตปลอมก็แล้วแต่
มิจฉาชีพรายนี้อ้างว่า การชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็วที่สุด
โชคดีที่สาวออฟฟิศซึ่งตกเป็นเหยื่อเริ่มสงสัย ??? ว่าทำไมต้องกำหนดให้ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น
เธอจึงอิดออด แจ้งถึงความไม่สะดวกที่จะจ่ายเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต โดยยืนยันที่จะ "โอนเงิน" ผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารเท่านั้น
มิจฉาชีพปลายสายจึงเริ่มออกอาการหงุดหงิด โต้กลับทันทีว่า..."เราต้องการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้านะคะ"
ทว่าเหยื่อชักไหวตัว ด้วยสองประเด็นหลัก
หนึ่ง โทรศัพท์ที่โทรมา "ไม่โชว์เบอร์" ย่อมยากในการติดตามที่มาที่ไปของบริษัท และ สอง ไม่มีเหตุผลเพียงพอในการชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น
เหยื่อจึงเป็นฝ่ายรุกบ้าง ด้วยการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท พร้อมกับขอหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่เพื่อติดต่อกลับ
เมื่อถึงที่สุดของการ "ชิงไหวชิงพริบ" ระหว่างเหยื่อกับมิจฉาชีพ !!! บทสนทนาของมิจฉาชีพก็หยุดลง เป็นเสียงรอสาย (คล้ายมีการปรึกษาหารือกับแก๊ง) ก่อนจะแจ้งเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทแก่เหยื่อ และบอกว่าบริษัทอยู่แถวสวนลุมพินี
หากต้องการโอนเงินผ่านธนาคารจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ทั้งกรอกเอกสารและส่งแฟกซ์
ส่วนสาเหตุที่ไม่โชว์เบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพตอบชนิดที่ต้องแปลไทยเป็นไทยว่า เพราะเบอร์โทรดังกล่าวเป็นเบอร์ส่วนตัวของพนักงานที่ใช้ติดต่อมายังบริษัท
สุดท้ายแล้ว มิจฉาชีพต้องถอดใจยอมวางสาย หลังจากเจรจาหว่านล้อมขอเลขที่บัตรเครดิตจากเหยื่อไม่สำเร็จ !!!
เมื่อเหยื่อโทรศัพท์ไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่มิจฉาชีพให้ไว้ ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของบริษัทประกันชีวิตจริง แต่เป็นเบอร์ที่มีเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ไม่สามารถติดต่อคนในองค์กรโดยง่าย ชนิด กด 1, กด 2 , กด 3...........ฯลฯ
ส่วนพนักงานออฟฟิศ (อีกราย) ยอมรับว่า ความโลภบังตาเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่ออยู่ๆ ก็มีสายตรงจู่โจมเข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอ โดยอ้างตัวว่าเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่มือถือให้กับค่ายโนเกีย พยายามหลอกล่อให้เหยื่อดีใจสุดขีดว่า
"คุณคือผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่ จากแคมเปญสมนาคุณให้กับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์โนเกีย จากการสุ่มจับฉลากรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 แสนบาท รางวัลที่ 2 มูลค่า 6 หมื่นบาท และรางวัลที่ 3 มูลค่า 3 หมื่นบาท "
....คุณคือผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 2 วงเงิน 6 หมื่นบาท
น่าดีใจไหมล่ะ !!!
แม้ว่าสาวออฟฟิศรายนี้ออกตัวว่าไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ก็ไม่วายแอบตื่นเต้นกับรางวัลกว่าครึ่งแสน ใจหนึ่งก็คิดว่า "อาจจะใช่" เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของโทรศัพท์ยี่ห้อดังกล่าวเช่นกัน
ทว่าแอบฉุกคิด ตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า เมื่อเธอได้รับรางวัลใหญ่เช่นนี้ ทำไมไม่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ทีวี วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์เลย
โปรแกรมอย่างนี้จัดบ่อยมั้ย เนื่องในโอกาสอะไร เธอซัก
มิจฉาชีพตอบคำถามกลับมาอย่างจัดเจนว่า...เป็นการตอบแทนลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์ ถือเป็น "กิจกรรมภายใน"
เช่นเดียวกันกับรายแรก โทรศัพท์ที่โทรเข้ามา "ไม่โชว์เบอร์" โดยอ้างว่า เป็นระบบของบริษัท ซักไซ้ไล่เลียงหนักเข้า มิจฉาชีพรายนี้ก็พลิ้ว ทำทีไปปรึกษาหัวหน้า (ไม่ต่างจากการพักสายโทรศัพท์ของมิจฉาชีพรายแรก) แล้วกลับมาให้ข้อมูลอีกครั้ง จนเหยื่อรายนี้ตายใจ
เข้าใจว่าบริษัทดังกล่าวกำลังจะโอนเงินก้อนโต 6 หมื่นบาท เข้าบัญชีธนาคารของเธอจริงๆ
สุดท้ายจึงยินยอมบอกเบอร์บัญชีธนาคาร พร้อมชื่อ-นามสกุล ให้กับมิจฉาชีพอย่างนอนใจ (แม่เจ้า !!!)
"น้ำเสียงคนโทรมาเหมือนเป็นคนต่างจังหวัด แต่ตอบได้ทุกคำถาม หากตอบไม่ได้จะเว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วถามหัวหน้า เลยทำให้เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา บอกว่ากำลังจะโอนเข้าบัญชีเราแล้วนะ ให้เราบอกเลขที่บัญชี เราก็เชื่อ บอกไป เพราะเราซักถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเยอะแล้ว และก็อยากได้เงิน" เหยื่อสาวรายที่สองสารภาพ
มิจฉาชีพรายนี้ถือว่ามีจิตวิทยาสูง กระตุ้นให้เหยื่อรีบตัดสินใจด้วยเหตุผลต้องการเคลียร์เงินรางวัลให้กับผู้โชคดีโดยเร็ว หลังได้เลขที่บัญชีไปแล้ว ก็พยายามกระตุ้นให้เหยื่อเดินไปที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อเช็คยอดเงินในบัญชีว่าได้รับหรือไม่ แต่เจ้าของบัญชีก็ยังนิ่งนอนใจไม่ไปเช็คยอดเงิน
หลังจากนั้นมิจฉาชีพก็โทรมาอีกครั้ง กระตุ้นให้เธอไปเช็คยอดเงินที่ตู้เอทีเอ็มอีกครั้ง คราวนี้เธอเดินไปเช็คเงินปรากฏว่า...เงินรางวัลยังไม่เข้าบัญชี
ด้วยความหงุดหงิด เหยื่อจึงโพล่งกลับไปว่า... "มีเงินในบัญชีคงค้างแค่ 100 บาท ไม่เห็นมีเงินใหม่เข้ามา"
เข้าใจว่าประโยคนี้ ทำให้มิจฉาชีพขำไม่ออก เพราะกะจะฟันเงินในบัญชีเหยื่อ ที่แท้มีเงินในบัญชีแค่ร้อยเดียว มิจฉาชีพรายนี้จึงไม่โทรกลับมาที่เหยื่ออีกเลย !!!
เมื่อเหยื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงจัดแจงปิดบัญชีเดิม เปิดบัญชีใหม่ พร้อมเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็ม
เหยื่อรายหลังสุด ค่อนข้างแหวกแนว หวือหวา กว่าสองรายแรก หนุ่มพนักงานออฟฟิศรายนี้ ถูกแก๊งมิจฉาชีพโทรมาปลุกให้ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ซึ่งเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ยังงัวเงียสะลึมสะลือ
เหยื่อรายนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขารับสาย เสียงอัตโนมัติตามสายก็แจ้งยอดหนี้บัตรเครดิตก้อนเบ้อเร่อให้เขา
อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง ความกังวลเข้าครอบคลุม
"ท่านได้ค้างชำระหนี้บัตรเครดิตให้ติดต่อกลับด่วน หรือถ้ามีข้อสงสัยให้กด 9 " เขาก็รีบทำตามอย่างปัจจุบันทันด่วน
3 นาทีที่ยาวนานผ่านไป กว่าจะมีเสียงชายคนหนึ่งพูดแหวกสายโทรศัพท์กลับมาว่า "มีอะไรให้ช่วยเหลือครับ"
เขารีบตอบกลับทันที ขณะที่มิจฉาชีพสอบถามกลับมาด้วยความคล่องแคล่ว เพื่อสอบถามชื่อและนามสกุลของเหยื่อรายนี้ ทำทีเป็นหวังดีจะตรวจสอบให้
จากนั้นมิจฉาชีพรายนี้ก็ตอบกลับมาว่า เขามียอดหนี้จากการเบิกเงินสดวงเงิน 20,000 บาท เป็นการไปรูดซื้อโทรทัศน์สีที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เหยื่อรายนี้นึกทันทีในขณะนั้นว่า...เขาคงโดนสวมรอยจากคนที่คุยด้วย หรือไม่ก็ต้องมีใครทำบัตรปลอมโดยใช้ชื่อเขาไปรูดซื้อสินค้า
...เพราะเขาไม่มีบัตรเครดิตสักใบ
แต่ร้อนใจจึงถามกลับไปว่า...จะต้องทำอย่างไรต่อไป
เสียงตามสาย ตอบกลับโดยอ้างตัวว่า เป็นพนักงานจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ แจ้งว่า "เดี๋ยวทางเราจะให้เบอร์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมกับจะเปลี่ยนรหัสแม่เหล็กให้คุณใหม่"
แต่เหยื่อก็ไม่ประมาท จึงขอชื่อมิจฉาชีพไว้ติดต่อ มิจฉาชีพก็ให้ชื่อปลอมว่า "วิชัย เจริญสุข"
มิจฉาชีพยังโอนสายให้เหยื่อคุยกับมิจฉาชีพอีกรายหนึ่ง ที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายจัดการหนี้สินเพื่อคุยในรายละเอียด โดยเขา (วิชัย) อ้างว่าเป็นเพียงพนักงานโอเปอเรเตอร์
น้ำเสียงโอเปอเรเตอร์รายแรกเหมือนคนกะเหรี่ยงพูดไทยไม่ชัด แต่มิจฉาชีพอีกรายสำเนียงกลับแย่กว่ารายแรกไปอีก พูดไม่เต็มเสียงเหมือนคนต่างด้าว ทำให้เหยื่อชักจะตงิดๆ ว่าโดนหลอกซะละมัง
มิจฉาชีพรายนี้มาฟอร์มเดิม คือ พยายามขอหมายเลขบัตรเครดิต
แต่เหยื่อไม่มีบัตรเครดิตสักใบ จึงตอบกลับไปว่า
"คุณกำลังทำอะไร ผมไม่มีอะไร บัตรอะไรเกี่ยวกับธนาคารกรุงเทพเลย" พนักงานหญิงที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารอ้างว่า ยังไงเขาก็มีบัตร เพราะข้อมูลของธนาคารระบุไว้เช่นนั้น และยังบอกอีกว่า...
"เรากำลังช่วยคุณอยู่นะ ทั้งๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นรออยู่เยอะ โปรดให้ความร่วมมือกับเราด้วย" นี่คือจิตวิทยาที่มิจฉาชีพใช้กับเหยื่อ
เหยื่อออกอาการสับสน กังวลใจ หากเรื่องราวเหล่านั้นเป็นจริง จะกลายเป็นว่า...เขาไม่ให้ความร่วมมือกับธนาคารหรือ
ทำอย่างไรดี ???
สุดท้ายเหยื่อจึงขอเบอร์ธนาคารกรุงเทพ สาขาที่ว่า ขณะที่มิจฉาชีพตกใจเล็กน้อยและว่า...
"คุณโทรไปก็ได้ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องโทรมาหาเราอีกนั่นแหละ เพราะเราเป็นฝ่ายจัดการกับเรื่องข้อมูลที่ให้คุณ ดิฉันกำลังยุ่ง และคุณก็เป็นฝ่ายโทรมาหาเราเอง"
เป็นงั้นไป !!!
หลังจากนั้นทั้งเหยื่อและมิจฉาชีพต่างวางสายโทรศัพท์โครมใหญ่
เหยื่อไม่หยุดเท่านั้น รีบโทรไปเช็คที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ และสาขาบางกะปิ ว่ามีคนชื่อ "วิชัย" หรือไม่ สรุปว่าไม่มีชื่อพนักงานคนนี้ และแบงก์ก็แจ้งว่า พนักงานโอเปอเรเตอร์ ไม่มีหน้าที่ติดต่อลูกค้าในลักษณะดังกล่าว
นอกจากนี้ทางธนาคารกรุงเทพยังแจ้งว่า เคยมีกรณีคล้ายกันโทรมาถามธนาคารเยอะมากในช่วงนี้
สุดท้ายเหยื่อจึงรู้ว่า...ถูกล้วงคองูเขียว
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทั้งผู้ถือบัตรและไม่มีบัตรทั้งหลายพึงตระหนักถึง "ภัยตามสาย"
ในกรณีนี้ "โชค ณ ระนอง" ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า รูปแบบการติดต่อกับลูกค้าดังกล่าว มิใช่เป็นของสถาบันที่ออกบัตร แต่เป็นวิธีการของกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อหวังข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ไปทำการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ทางชมรมกำลังตรวจสอบเพื่อติดตามแหล่งที่มาของกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเร่งด่วน
"ขอย้ำกับลูกค้าให้เก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของท่านเป็นข้อมูลลับเฉพาะ หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย กรุณาติดต่อกลับศูนย์บริการบัตรเครดิตที่ท่านถืออยู่ โดยดูเบอร์ติดต่อกลับได้ที่ด้านหลังบัตรทุกใบ
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันเป็นฝ่ายติดต่อลูกค้า ทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งวัตถุประสงค์ของการติดต่อเท่านั้น ไม่มีการสอบถามข้อมูลส่วนตัว"
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 39
เรื่องที่สอง จากแหล่งเดียวกัน มีอ้างถึง เครดิตบูโร และ KTC นิดหน่อยด้วยแฮะ
'แกะรอย' ภัยแฮคเกอร์บัตรเครดิต โปรดระวัง! ข้อมูลส่วนตัว
ประกายดาว แบ่งสันเทียะ
กลโกงทางการเงินในปัจจุบันมีพัฒนาการที่ก้าวล้ำ หนำซ้ำยังไม่จำกัดวิธีการ ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีลูกเล่นแหวกแนว มาลับสมองประลองปัญญาเหล่ามิจฉาชีพอยู่เสมอ
โดยเฉพาะกลโกงเพื่อดูดเงินจากบัตรพลาสติก อย่างบัตรเครดิตและเอทีเอ็มที่เป็นข่าวกันหนาหู
เพียงแค่ได้ "ข้อมูลส่วนตัว" ของคุณไป
เป็นเทคโนโลยีการโกงแบบไฮเทค ถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องระวัง ไม่แพ้การ ฉก...ชิง...วิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นวิธีการเดิมๆ พื้นๆ อีกต่อไป
วิธีการโกงบัตรเครดิตที่พบกันบ่อยในไทย คือ การทำบัตรปลอม การแอบอ้างเป็นผู้ถือบัตรจริง การคัดลอกข้อมูลจากบัตรเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เช่น สั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านไปรษณีย์ หรืออินเทอร์เน็ต การสมคบกับร้านค้าใช้บัตรปลอมซื้อสินค้า ฯลฯ
กลโกงทางการเงินอาจมีหลายรูปแบบ แต่ล้วนต้องการผลลัพธ์เดียวคือ "เปิดข้อมูลส่วนตัว" ของเจ้าของบัตรเพื่อประโยชน์ในการเล่นแร่แปรธาตุกับข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้
กว่าเจ้าของบัตรตัวจริงจะรู้ตัว ก็ถูกเหล่ามิจฉาชีพดูดทรัพย์ไปหน้าตาเฉย
ปัญหาดังกล่าว ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ "สถาบันการเงิน" ผู้ออกบัตรเครดิต และเอทีเอ็ม ต้องนั่งกุมขมับ รับมือกับมิจฉาชีพที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ทั้งที่มาเดี่ยวๆ มาเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือมาเป็นกระบวนการแก๊งมิจฉาชีพข้ามชาติ
"ธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บัตรเครดิตกรุงไทย ในฐานะรองประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต ระบุถึงความสูญเสียจากการทุจริตบัตรเครดิตในภาพรวมปี 2549 ว่า มีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นความสูญเสียจากบัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงินในประเทศมูลค่า 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ถึง 83%
"การสร้างความเสียหายมากที่สุด คือ การทำ "บัตรเครดิตปลอม" ก่อนจะนำไปรูดซื้อสินค้า ซึ่งมีมากถึง 80% คำนวณออกมาเป็นความสูญเสียเท่ากับ 6 สตางค์ต่อบัตรหนึ่งใบ จากจำนวนบัตรเครดิตทั้งระบบจาก 20 สถาบันการเงิน ส่วนใหญ่มักจะเป็นแก๊งมิจฉาชีพที่ทำกันเป็นกระบวนการ" ธวัชชัย กล่าว
ขณะที่ "สมชาย พิชิตสุรกิจ" รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการผลิตภัณฑ์เครดิตผู้บริโภค สายงานธุรกิจลูกค้าบุคคล และเครือข่ายผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานป้องกันการทุจริตบัตรเครดิต ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไม่เฉพาะมิจฉาชีพคนไทยเท่านั้น ที่ผ่านมายังมีเหล่ามิจฉาชีพจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากปากีสถาน ศรีลังกา อุซเบกิสถาน และแก๊งใหญ่ที่สุดอยู่ที่มาเลเซียเข้ามาใช้ไทยเป็นแหล่งรูดปรื๊ด....รูดปรื้ด
สิ่งที่น่าวิตกคือ ไทยอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพต่างชาติในการใช้บัตรเครดิตปลอมรูดซื้อสินค้า จากแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากสถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะเดือดร้อนสูญเงินเป็นพันๆ ล้านแล้ว เจ้าของบัตรเครดิตเองก็เดือดร้อนไม่แพ้กัน หรืออาจจะยิ่งกว่า เพราะอาจต้องรับผิดชอบต่อหนี้ที่เกิดขึ้นจากบัตรที่ถูกขโมย หรือข้อมูลบัตรที่ถูกดูด รวมทั้งต้องเสียเวลาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏให้ได้ในกรณีที่บัตรถูกขโมยหรือถูกปลอม
ต้นทางที่ "เอื้อ" ต่อการทุจริตบัตรเครดิต คือ การที่มิจฉาชีพได้ "ข้อมูลส่วนตัว" ของเราๆ ท่านๆ ไปใช้ประโยชน์ ข้อมูลส่วนตัวที่เราคิดว่าธรรมดาๆ อย่างเช่นชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หากตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ ก็นำมาซึ่งความเสียหายอย่างที่นึกไม่ถึง
โดยวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลของเหล่ามิจฉาชีพนั้นมีหลากหลายวิธี เช่น การลักลอบดูดข้อมูลส่วนตัวจากแถบแม่เหล็กของบัตรโดยใช้อุปกรณ์ไฮเทคขนาดเล็ก จากนั้นจึงถ่ายโอนข้อมูลเหล่านั้นลงบนบัตรปลอม
นอกจากนี้อาจขโมยข้อมูลผ่านเครื่องเอทีเอ็ม โดยใช้อุปกรณ์คัดลอกข้อมูลบนแถบแม่เหล็ก หรือแอบดูรหัสเอทีเอ็มของผู้ใช้บัตรผ่านกล้องตัวจิ๋วที่แอบติดตั้งไว้ขณะที่ผู้ถือบัตรทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม
การโทรศัพท์มาหาพร้อมสอบถามข้อมูลโดยอ้างว่า โทรมาจากสถาบันการเงิน
ดังนั้นแม้ว่าบัตรเครดิตจะยังอยู่ในกระเป๋าเจ้าของบัตร แต่ข้อมูลที่แก๊งปลอมแปลงบัตรได้ไปก็เพียงพอที่จะทำบัตรปลอมใบใหม่ ไปใช้รูดสินค้าอย่างสนุกมือ
มิจฉาชีพเหล่านี้จะนำข้อมูลที่ได้ ใส่เข้าไปในบัตรปลอมที่ซื้อมาจากแหล่งกลาง ซึ่งคนวงในรู้จักกันดี
และจะมีฝ่ายที่ทำหน้าที่เลือกซื้อสินค้า นำบัตรเครดิตปลอมไปชอปปิงตามห้างสรรพสินค้า แล้วจึงนำสินค้าที่ได้มาจำหน่ายหรือแบ่งกันในกลุ่ม
เป็นขั้นตอนไม่ต่างจากกระบวนการฟอกเงิน
"บัตรพลาสติกปลอมจะมีแหล่งผลิตและจำหน่ายจากโรงงานแห่งหนึ่งในจีน พวกนี้จะปลอมตั้งแต่บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย เคทีซี ไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ หรือแม้กระทั่งบัตรเครดิตอินเตอร์ฯ อย่างมาสเตอร์การ์ด วีซ่า อเมริกันเอ็กซ์เพรส" สมชายกล่าว
ตามรายงานที่จับกุมได้ ต้นทางการปลอมบัตรเครดิตอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนบัตรเครดิตปลอมผลิตจากโรงงานในจีน
ขณะที่การขโมยข้อมูลจากเครื่อง skimmer ส่วนใหญ่จะเป็นมิจฉาชีพรายเล็กๆ ที่ทำกันเพียงไม่กี่คน เพราะแต่ละครั้งจะทำได้เพียง 10-20 ใบ
หลังจากบัตรเครดิตปลอมระบาดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จนเกิดผลเสียหายต่อสถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตและเอทีเอ็ม เพราะทันทีที่มีการอายัดบัตร หากมิจฉาชีพยังสามารถนำบัตรไปรูดได้ สถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ส่งผลให้สถาบันการเงินผู้ออกบัตร เริ่มนำเทคโนโลยีที่สูงขึ้นมาใช้เพื่อป้องกันแก๊งปลอมแปลงบัตรเข้ามาแฮคหรือขโมยข้อมูลในบัตร เช่น การทยอยปรับเปลี่ยนบัตรเครดิตจากแถบแม่เหล็กมาเป็นการ "ฝังชิพ" ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
การฝังชิพ ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุด ในการ "ล็อก" การเข้าถึงข้อมูลของมิจฉาชีพ เพราะหากจะทะลุทะลวงข้อมูลผ่านชิพ จะต้องใช้เงินลงทุนนับล้าน ไม่คุ้มค่ากับการแฮคข้อมูล
นอกจากนี้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า หากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีสูงสุดอาจจะถึงขั้นสแกนลายนิ้วมือและม่านตา เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของบัตรก่อนเข้าถึงแหล่งข้อมูล คล้ายกับการป้องกันอาชญากรรม
ลองมาแกะรอยดูว่า บรรดามิจฉาชีพมี "กระบวนการ" เป็นขั้นเป็นตอนอย่างไรในการได้มาซึ่งข้อมูล
จากการรวบรวมข้อมูลบัตรเครดิตเคทีซี ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ พบว่า มีตั้งแต่การขโมยข้อมูลส่วนตัว ไปจนถึงการปลอมแปลงบัตรเพื่อใช้ทำธุรกรรมตามร้านค้า ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ พึงระวังใน 10 รูปแบบ ดังนี้
มีโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จัก แจ้งว่าคุณได้รับรางวัลก้อนใหญ่ ถือเป็นการล้วงข้อมูลที่ง่าย สุดคลาสสิก แถมยังได้รับความนิยม จนกลายเป็นข่าวใหญ่โต
ผู้ที่โทรมาจะอ้างว่ามาจากสถาบันการเงิน และพยายามหลอกล่อให้ปลายสายบอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อเช็คหรือทบทวนข้อมูลส่วนตัวที่ถูกต้อง เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน
จากนั้นมิจฉาชีพจะนำข้อมูลที่ได้รับ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หรือรายละเอียดอื่นๆ ไปสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์
บางรายอาจจะอ้างว่าโทรมาจากเครดิตบูโร เพื่อสอบถามยอดหนี้ ข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้า เช่น หมายเลข 3 ตัวหลังบัตร วันเดือนปีเกิด เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะนำข้อมูลไปซื้อสินค้าทางไปรษณีย์
อีกวิธีที่เพิ่งระบาดได้ไม่นาน คือ การติดเครื่องอ่านแม่เหล็กไว้ที่กรอบตัวเลขหน้าตู้เอทีเอ็มเพื่ออ่านรหัส หลังจากที่เหยื่อมาทำธุรกรรมที่ตู้เอทีเอ็มเพียง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง มิจฉาชีพก็สามารถใช้ข้อมูลของเหยื่อไปใช้ในการปลอมแปลงบัตร
วิธีนี้เฉพาะบัตรเครดิตเคทีซี ภายใน 6 เดือนแรกของปี 2550 มีลูกค้าตกเป็นเหยื่อแล้วมากกว่า 3 หมื่นราย ทำให้แบงก์ต่างๆ ต้องประกาศเตือนลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการทำรายการ
การทำงานของเครื่องดูดข้อมูลง่ายแสนง่าย เพียงนำอุปกรณ์ชิ้นเล็กยากต่อการสังเกตนี้ ไปครอบไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม และช่องเสียบบัตร เมื่อมีการทำธุรกรรม เครื่องก็จะบันทึกข้อมูลเจ้าของบัตรทุกประเภท สามารถนำเข้ามูลนั้นมาใช้ปลอมแปลงบัตรได้
ปัจจุบันอุปกรณ์ดูดข้อมูลมักผลิตในจีน หาซื้อได้ง่าย
ที่ถือว่าเป็นภัยซึ่งเลี่ยงได้ยากจากการใช้บัตรเครดิตอีกอย่าง คือ การที่พนักงาน หรือร้านค้าสมรู้ร่วมคิดกับผู้ใช้บัตรปลอม โดยยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวหน้าบัตรและหลังบัตรกับแก๊งมิจฉาชีพ เพื่อทำบัตรปลอม
นอกจากนี้อาจจะมีวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลของเหล่ามิจฉาชีพ เช่น การให้กรอกเอกสาร ตั้งแต่ ใบสมัครงาน ใบสมัครบัตรเครดิตต่างๆ แล้วมิจฉาชีพเหล่านั้นจะใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเพื่อนำไปสมัครบัตรเครดิต หรือโทรไปแจ้งเพื่อขอเปลี่ยนแปลงที่อยู่กับคอลล์เซ็นเตอร์
หนักข้อไปถึงขั้นจัดตั้งบริษัทกระดาษ (ไม่มีการทำธุรกิจ) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นแหล่งซัพพอร์ตข้อมูลทั้งที่อยู่และฐานเงินเดือน เพื่อวัตถุประสงค์เดียว คือ การนำบัตรเครดิตของเหยื่อไปใช้ ก่อนที่ทิ้งภาระทางการเงินไว้ให้กับเหยื่อ
ส่วนภัยที่เกิดจากการที่เจ้าของบัตรมองข้ามหรือละเลย คือ สลิปบัตรเครดิต ซึ่งแก๊งโกงบัตรเครดิตสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการปลอมบัตรได้ เนื่องจากในสลิปบัตรเครดิตจะมีข้อมูลต่างๆ แทบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขบัตร ชื่อเจ้าของบัตร วันหมดอายุบัตร และลายมือชื่อผู้ถือบัตร
ข้อมูลเหล่านี้หากตกอยู่ในมือแก๊งมิจฉาชีพแล้ว จะทำให้การปลอมบัตรเครดิตสะดวกและง่ายขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงควรทำลายเอกสารเหล่านี้ให้ดี
การขโมยบัตรเครดิตทางไปรษณีย์ จัดเป็นกระบวนการขโมยข้อมูลหรือบัตรเครดิตอีกทางหนึ่ง ในขณะที่เอกสารเหล่านั้นยังไม่ถึงมือเหยื่อ แต่ปัจจุบันวิธีการดังกล่าวอาจจะมีให้เห็นไม่มากนัก เพราะสถาบันการเงินแก้ปัญหาด้วยการงดจัดส่งเอกสารไปยังอพาร์ตเมนต์ หรือหอพัก ซึ่งอาจเกิดความสับสนในการจัดส่งเอกสาร
หรือกรณีที่ลูกค้าไม่ได้บัตรเครดิตใบนั้นบริษัทจะยกเลิกบัตรนั้นทันที เพื่อป้องกันการแฮคข้อมูล
ส่วนการขโมยบัตร เมื่อกระเป๋าสตางค์หายหรือถูกขโมย ถือเป็นแหล่งรวมข้อมูลชั้นเลิศให้กับมิจฉาชีพ หากเหยื่อเผอเรอ หรือรีรอที่จะแจ้งอายัดบัตรในทันทีทันใด
เหยื่อบางรายไม่แจ้งอายัดบัตรเพราะไม่รู้ตัว ก็จะถูกปั๊มข้อมูลโดยเครื่องอ่านข้อมูล (Skimmer) เพื่อปลอมแปลงบัตรเครดิตและเอทีเอ็มใหม่ ก่อนนำไปรูดเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ
การใช้อินเทอร์เน็ตล้วงข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ รวมถึงการตกเป็นเป้าของอีเมลแอบอ้าง เป็นเหมือนการ "อ่อยเหยื่อ" โดยส่งอีเมลมาว่าเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ หรือสวมรอยว่าเป็นข้อความจากสถาบันการเงินส่งมา เป็นต้น
เวบไซต์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ จะมีหน้าตาคล้ายกับเวบไซต์ของธนาคารนั้นๆ แต่ต่างกันที่การจดโดเมนเนม อาทิเช่น จาก "ดอทคอม" ก็เปลี่ยนเป็น "ดอทเน็ต" กลายเป็นจุดที่ทำให้ผู้รับอีเมลอ่อยเหยื่อไม่สามารถแยกแยะออก
บางครั้งมิจฉาชีพ ก็หลอกล่อเหยื่อด้วยของรางวัล แต่ต้องแลกด้วยการอัพเดท หรือยืนยันข้อมูลทางบัญชีของเหยื่อ โดยสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นด้วยการใช้โลโก้ขององค์กรต่างๆ แม้กระทั่งวีซ่า หรือมาสเตอร์การ์ด ก็ถูกแอบอ้างมาแล้วเช่นกัน หากผู้ใช้บัตรเผลอให้ข้อมูลส่วนตัวกับเวบไซต์ดังกล่าว ข้อมูลก็จะถูกนำไปอ้างอิงในการทำธุรกรรมทางการเงิน
ข้อมูลจากเครือข่ายต่อต้านการฟิชชิ่งข้อมูล (ตกเบ็ดข้อมูล) ระบุถึงพิษภัยว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2548 - ม.ค. 2549 พบว่า มีการตกเบ็ดข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 190,000 ข้อมูล ไปยังผู้รับทั่วโลกเพิ่มขึ้น 41%
นอกจากนี้ยังรวมถึงการแท็ปข้อมูลทางโทรศัพท์ โดยร่วมมือกับผู้ดูแลตู้พักสายขององค์การโทรศัพท์ (ตู้สีเขียว) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของทุกเลขหมายปลายทาง ทำให้รู้ได้ว่าคู่สายใดกำลังส่งข้อมูลส่วนตัวไปยังสถาบันการเงินผู้ออกบัตร หรือจากร้านค้าที่รับซื้อสินค้าจากบัตรเครดิต
มิจฉาชีพเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงว่า จะเกี่ยวข้องและรู้จักกับผู้ที่รับผิดชอบคู่สายโทรศัพท์ หรืออาจจะเป็นช่างซ่อมสายโทรศัพท์ เป็นต้น
จะว่าไปแล้ว วิธีการแท็ปสายโทรศัพท์จะสร้างความเสียหายมากกว่าการอ่านข้อมูลผ่านเครื่องดูดข้อมูล หรือ skimmer เพราะข้อมูลจากทั่วทุกพื้นที่ที่ชำระสินค้าและบริการผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต (Electronic Data Capture-EDC) มีนับหมื่นถึงแสนข้อมูลต่อการแท็ปสายโทรศัพท์หนึ่งครั้ง กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สถาบันการเงินเจ้าของบัตรต้องเร่งจัดการ
แก๊งกดเงิน Plus ข้ามชาติ มีแก๊งมิจฉาชีพต่างชาติบางรายเช่นกัน ที่มีเป้าหมายเข้ามากดเงินจากตู้เอทีเอ็ม หรือรูดบัตรเครดิตปลอมของสถาบันการเงินต่างชาติในไทย โดยข้อมูลที่ปลอมแปลงส่วนใหญ่มาจากประเทศอังกฤษ เพราะระบบการชำระสินค้าผ่านเครื่อง EDC ในอังกฤษ เป็นระบบที่ถามรหัสก่อนชำระสินค้า เพื่อป้องกันการดูดข้อมูลจากเครื่อง skimmer
แต่ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังธนาคาร กลับเป็นดาบสองคมให้ผู้แท็ปสายโทรศัพท์ได้รับข้อมูลส่วนตัวของเหยื่ออย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการหมายเลขบัตรเครดิต ข้อมูลส่วนตัวเจ้าของบัตร และรหัสกดเงิน จนสามารถนำไปทำบัตรปลอมได้อย่างสมบูรณ์ กดเงินได้ทั่วโลกที่มีเครื่องหมาย Plus
และ การปลอมแปลงบัตร เป็นขั้นตอนต่อเนื่องหลังจากได้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อมาแล้ว นับเป็นส่วนที่สร้างความเสียหายให้กับสถาบันการเงินเจ้าของบัตรมากที่สุด
ข้อมูลที่เคยจับกุมมิจฉาชีพได้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอินเดีย, มาเลเซีย ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีการแฮคข้อมูลสำหรับปลอมแปลงบัตรเครดิต, เอทีเอ็ม และบัตรเงินสด โดยเฉพาะ
เห็นหรือยังว่า หากข้อมูลส่วนตัวของคุณหลุดรอดไปถึงมือมิจฉาชีพจากวิธีการต่างๆ อาจทำให้ต้อง "สูญเงิน" โดยใช่เหตุ
'แกะรอย' ภัยแฮคเกอร์บัตรเครดิต โปรดระวัง! ข้อมูลส่วนตัว
ประกายดาว แบ่งสันเทียะ
กลโกงทางการเงินในปัจจุบันมีพัฒนาการที่ก้าวล้ำ หนำซ้ำยังไม่จำกัดวิธีการ ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีลูกเล่นแหวกแนว มาลับสมองประลองปัญญาเหล่ามิจฉาชีพอยู่เสมอ
โดยเฉพาะกลโกงเพื่อดูดเงินจากบัตรพลาสติก อย่างบัตรเครดิตและเอทีเอ็มที่เป็นข่าวกันหนาหู
เพียงแค่ได้ "ข้อมูลส่วนตัว" ของคุณไป
เป็นเทคโนโลยีการโกงแบบไฮเทค ถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องระวัง ไม่แพ้การ ฉก...ชิง...วิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นวิธีการเดิมๆ พื้นๆ อีกต่อไป
วิธีการโกงบัตรเครดิตที่พบกันบ่อยในไทย คือ การทำบัตรปลอม การแอบอ้างเป็นผู้ถือบัตรจริง การคัดลอกข้อมูลจากบัตรเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เช่น สั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านไปรษณีย์ หรืออินเทอร์เน็ต การสมคบกับร้านค้าใช้บัตรปลอมซื้อสินค้า ฯลฯ
กลโกงทางการเงินอาจมีหลายรูปแบบ แต่ล้วนต้องการผลลัพธ์เดียวคือ "เปิดข้อมูลส่วนตัว" ของเจ้าของบัตรเพื่อประโยชน์ในการเล่นแร่แปรธาตุกับข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้
กว่าเจ้าของบัตรตัวจริงจะรู้ตัว ก็ถูกเหล่ามิจฉาชีพดูดทรัพย์ไปหน้าตาเฉย
ปัญหาดังกล่าว ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ "สถาบันการเงิน" ผู้ออกบัตรเครดิต และเอทีเอ็ม ต้องนั่งกุมขมับ รับมือกับมิจฉาชีพที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ทั้งที่มาเดี่ยวๆ มาเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือมาเป็นกระบวนการแก๊งมิจฉาชีพข้ามชาติ
"ธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บัตรเครดิตกรุงไทย ในฐานะรองประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต ระบุถึงความสูญเสียจากการทุจริตบัตรเครดิตในภาพรวมปี 2549 ว่า มีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นความสูญเสียจากบัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงินในประเทศมูลค่า 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ถึง 83%
"การสร้างความเสียหายมากที่สุด คือ การทำ "บัตรเครดิตปลอม" ก่อนจะนำไปรูดซื้อสินค้า ซึ่งมีมากถึง 80% คำนวณออกมาเป็นความสูญเสียเท่ากับ 6 สตางค์ต่อบัตรหนึ่งใบ จากจำนวนบัตรเครดิตทั้งระบบจาก 20 สถาบันการเงิน ส่วนใหญ่มักจะเป็นแก๊งมิจฉาชีพที่ทำกันเป็นกระบวนการ" ธวัชชัย กล่าว
ขณะที่ "สมชาย พิชิตสุรกิจ" รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการผลิตภัณฑ์เครดิตผู้บริโภค สายงานธุรกิจลูกค้าบุคคล และเครือข่ายผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานป้องกันการทุจริตบัตรเครดิต ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไม่เฉพาะมิจฉาชีพคนไทยเท่านั้น ที่ผ่านมายังมีเหล่ามิจฉาชีพจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากปากีสถาน ศรีลังกา อุซเบกิสถาน และแก๊งใหญ่ที่สุดอยู่ที่มาเลเซียเข้ามาใช้ไทยเป็นแหล่งรูดปรื๊ด....รูดปรื้ด
สิ่งที่น่าวิตกคือ ไทยอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพต่างชาติในการใช้บัตรเครดิตปลอมรูดซื้อสินค้า จากแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากสถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะเดือดร้อนสูญเงินเป็นพันๆ ล้านแล้ว เจ้าของบัตรเครดิตเองก็เดือดร้อนไม่แพ้กัน หรืออาจจะยิ่งกว่า เพราะอาจต้องรับผิดชอบต่อหนี้ที่เกิดขึ้นจากบัตรที่ถูกขโมย หรือข้อมูลบัตรที่ถูกดูด รวมทั้งต้องเสียเวลาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏให้ได้ในกรณีที่บัตรถูกขโมยหรือถูกปลอม
ต้นทางที่ "เอื้อ" ต่อการทุจริตบัตรเครดิต คือ การที่มิจฉาชีพได้ "ข้อมูลส่วนตัว" ของเราๆ ท่านๆ ไปใช้ประโยชน์ ข้อมูลส่วนตัวที่เราคิดว่าธรรมดาๆ อย่างเช่นชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หากตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ ก็นำมาซึ่งความเสียหายอย่างที่นึกไม่ถึง
โดยวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลของเหล่ามิจฉาชีพนั้นมีหลากหลายวิธี เช่น การลักลอบดูดข้อมูลส่วนตัวจากแถบแม่เหล็กของบัตรโดยใช้อุปกรณ์ไฮเทคขนาดเล็ก จากนั้นจึงถ่ายโอนข้อมูลเหล่านั้นลงบนบัตรปลอม
นอกจากนี้อาจขโมยข้อมูลผ่านเครื่องเอทีเอ็ม โดยใช้อุปกรณ์คัดลอกข้อมูลบนแถบแม่เหล็ก หรือแอบดูรหัสเอทีเอ็มของผู้ใช้บัตรผ่านกล้องตัวจิ๋วที่แอบติดตั้งไว้ขณะที่ผู้ถือบัตรทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม
การโทรศัพท์มาหาพร้อมสอบถามข้อมูลโดยอ้างว่า โทรมาจากสถาบันการเงิน
ดังนั้นแม้ว่าบัตรเครดิตจะยังอยู่ในกระเป๋าเจ้าของบัตร แต่ข้อมูลที่แก๊งปลอมแปลงบัตรได้ไปก็เพียงพอที่จะทำบัตรปลอมใบใหม่ ไปใช้รูดสินค้าอย่างสนุกมือ
มิจฉาชีพเหล่านี้จะนำข้อมูลที่ได้ ใส่เข้าไปในบัตรปลอมที่ซื้อมาจากแหล่งกลาง ซึ่งคนวงในรู้จักกันดี
และจะมีฝ่ายที่ทำหน้าที่เลือกซื้อสินค้า นำบัตรเครดิตปลอมไปชอปปิงตามห้างสรรพสินค้า แล้วจึงนำสินค้าที่ได้มาจำหน่ายหรือแบ่งกันในกลุ่ม
เป็นขั้นตอนไม่ต่างจากกระบวนการฟอกเงิน
"บัตรพลาสติกปลอมจะมีแหล่งผลิตและจำหน่ายจากโรงงานแห่งหนึ่งในจีน พวกนี้จะปลอมตั้งแต่บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย เคทีซี ไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ หรือแม้กระทั่งบัตรเครดิตอินเตอร์ฯ อย่างมาสเตอร์การ์ด วีซ่า อเมริกันเอ็กซ์เพรส" สมชายกล่าว
ตามรายงานที่จับกุมได้ ต้นทางการปลอมบัตรเครดิตอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนบัตรเครดิตปลอมผลิตจากโรงงานในจีน
ขณะที่การขโมยข้อมูลจากเครื่อง skimmer ส่วนใหญ่จะเป็นมิจฉาชีพรายเล็กๆ ที่ทำกันเพียงไม่กี่คน เพราะแต่ละครั้งจะทำได้เพียง 10-20 ใบ
หลังจากบัตรเครดิตปลอมระบาดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จนเกิดผลเสียหายต่อสถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตและเอทีเอ็ม เพราะทันทีที่มีการอายัดบัตร หากมิจฉาชีพยังสามารถนำบัตรไปรูดได้ สถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ส่งผลให้สถาบันการเงินผู้ออกบัตร เริ่มนำเทคโนโลยีที่สูงขึ้นมาใช้เพื่อป้องกันแก๊งปลอมแปลงบัตรเข้ามาแฮคหรือขโมยข้อมูลในบัตร เช่น การทยอยปรับเปลี่ยนบัตรเครดิตจากแถบแม่เหล็กมาเป็นการ "ฝังชิพ" ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
การฝังชิพ ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุด ในการ "ล็อก" การเข้าถึงข้อมูลของมิจฉาชีพ เพราะหากจะทะลุทะลวงข้อมูลผ่านชิพ จะต้องใช้เงินลงทุนนับล้าน ไม่คุ้มค่ากับการแฮคข้อมูล
นอกจากนี้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า หากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีสูงสุดอาจจะถึงขั้นสแกนลายนิ้วมือและม่านตา เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของบัตรก่อนเข้าถึงแหล่งข้อมูล คล้ายกับการป้องกันอาชญากรรม
ลองมาแกะรอยดูว่า บรรดามิจฉาชีพมี "กระบวนการ" เป็นขั้นเป็นตอนอย่างไรในการได้มาซึ่งข้อมูล
จากการรวบรวมข้อมูลบัตรเครดิตเคทีซี ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ พบว่า มีตั้งแต่การขโมยข้อมูลส่วนตัว ไปจนถึงการปลอมแปลงบัตรเพื่อใช้ทำธุรกรรมตามร้านค้า ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ พึงระวังใน 10 รูปแบบ ดังนี้
มีโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จัก แจ้งว่าคุณได้รับรางวัลก้อนใหญ่ ถือเป็นการล้วงข้อมูลที่ง่าย สุดคลาสสิก แถมยังได้รับความนิยม จนกลายเป็นข่าวใหญ่โต
ผู้ที่โทรมาจะอ้างว่ามาจากสถาบันการเงิน และพยายามหลอกล่อให้ปลายสายบอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อเช็คหรือทบทวนข้อมูลส่วนตัวที่ถูกต้อง เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน
จากนั้นมิจฉาชีพจะนำข้อมูลที่ได้รับ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หรือรายละเอียดอื่นๆ ไปสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์
บางรายอาจจะอ้างว่าโทรมาจากเครดิตบูโร เพื่อสอบถามยอดหนี้ ข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้า เช่น หมายเลข 3 ตัวหลังบัตร วันเดือนปีเกิด เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะนำข้อมูลไปซื้อสินค้าทางไปรษณีย์
อีกวิธีที่เพิ่งระบาดได้ไม่นาน คือ การติดเครื่องอ่านแม่เหล็กไว้ที่กรอบตัวเลขหน้าตู้เอทีเอ็มเพื่ออ่านรหัส หลังจากที่เหยื่อมาทำธุรกรรมที่ตู้เอทีเอ็มเพียง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง มิจฉาชีพก็สามารถใช้ข้อมูลของเหยื่อไปใช้ในการปลอมแปลงบัตร
วิธีนี้เฉพาะบัตรเครดิตเคทีซี ภายใน 6 เดือนแรกของปี 2550 มีลูกค้าตกเป็นเหยื่อแล้วมากกว่า 3 หมื่นราย ทำให้แบงก์ต่างๆ ต้องประกาศเตือนลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการทำรายการ
การทำงานของเครื่องดูดข้อมูลง่ายแสนง่าย เพียงนำอุปกรณ์ชิ้นเล็กยากต่อการสังเกตนี้ ไปครอบไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม และช่องเสียบบัตร เมื่อมีการทำธุรกรรม เครื่องก็จะบันทึกข้อมูลเจ้าของบัตรทุกประเภท สามารถนำเข้ามูลนั้นมาใช้ปลอมแปลงบัตรได้
ปัจจุบันอุปกรณ์ดูดข้อมูลมักผลิตในจีน หาซื้อได้ง่าย
ที่ถือว่าเป็นภัยซึ่งเลี่ยงได้ยากจากการใช้บัตรเครดิตอีกอย่าง คือ การที่พนักงาน หรือร้านค้าสมรู้ร่วมคิดกับผู้ใช้บัตรปลอม โดยยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวหน้าบัตรและหลังบัตรกับแก๊งมิจฉาชีพ เพื่อทำบัตรปลอม
นอกจากนี้อาจจะมีวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลของเหล่ามิจฉาชีพ เช่น การให้กรอกเอกสาร ตั้งแต่ ใบสมัครงาน ใบสมัครบัตรเครดิตต่างๆ แล้วมิจฉาชีพเหล่านั้นจะใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเพื่อนำไปสมัครบัตรเครดิต หรือโทรไปแจ้งเพื่อขอเปลี่ยนแปลงที่อยู่กับคอลล์เซ็นเตอร์
หนักข้อไปถึงขั้นจัดตั้งบริษัทกระดาษ (ไม่มีการทำธุรกิจ) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นแหล่งซัพพอร์ตข้อมูลทั้งที่อยู่และฐานเงินเดือน เพื่อวัตถุประสงค์เดียว คือ การนำบัตรเครดิตของเหยื่อไปใช้ ก่อนที่ทิ้งภาระทางการเงินไว้ให้กับเหยื่อ
ส่วนภัยที่เกิดจากการที่เจ้าของบัตรมองข้ามหรือละเลย คือ สลิปบัตรเครดิต ซึ่งแก๊งโกงบัตรเครดิตสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการปลอมบัตรได้ เนื่องจากในสลิปบัตรเครดิตจะมีข้อมูลต่างๆ แทบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขบัตร ชื่อเจ้าของบัตร วันหมดอายุบัตร และลายมือชื่อผู้ถือบัตร
ข้อมูลเหล่านี้หากตกอยู่ในมือแก๊งมิจฉาชีพแล้ว จะทำให้การปลอมบัตรเครดิตสะดวกและง่ายขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงควรทำลายเอกสารเหล่านี้ให้ดี
การขโมยบัตรเครดิตทางไปรษณีย์ จัดเป็นกระบวนการขโมยข้อมูลหรือบัตรเครดิตอีกทางหนึ่ง ในขณะที่เอกสารเหล่านั้นยังไม่ถึงมือเหยื่อ แต่ปัจจุบันวิธีการดังกล่าวอาจจะมีให้เห็นไม่มากนัก เพราะสถาบันการเงินแก้ปัญหาด้วยการงดจัดส่งเอกสารไปยังอพาร์ตเมนต์ หรือหอพัก ซึ่งอาจเกิดความสับสนในการจัดส่งเอกสาร
หรือกรณีที่ลูกค้าไม่ได้บัตรเครดิตใบนั้นบริษัทจะยกเลิกบัตรนั้นทันที เพื่อป้องกันการแฮคข้อมูล
ส่วนการขโมยบัตร เมื่อกระเป๋าสตางค์หายหรือถูกขโมย ถือเป็นแหล่งรวมข้อมูลชั้นเลิศให้กับมิจฉาชีพ หากเหยื่อเผอเรอ หรือรีรอที่จะแจ้งอายัดบัตรในทันทีทันใด
เหยื่อบางรายไม่แจ้งอายัดบัตรเพราะไม่รู้ตัว ก็จะถูกปั๊มข้อมูลโดยเครื่องอ่านข้อมูล (Skimmer) เพื่อปลอมแปลงบัตรเครดิตและเอทีเอ็มใหม่ ก่อนนำไปรูดเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ
การใช้อินเทอร์เน็ตล้วงข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ รวมถึงการตกเป็นเป้าของอีเมลแอบอ้าง เป็นเหมือนการ "อ่อยเหยื่อ" โดยส่งอีเมลมาว่าเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ หรือสวมรอยว่าเป็นข้อความจากสถาบันการเงินส่งมา เป็นต้น
เวบไซต์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ จะมีหน้าตาคล้ายกับเวบไซต์ของธนาคารนั้นๆ แต่ต่างกันที่การจดโดเมนเนม อาทิเช่น จาก "ดอทคอม" ก็เปลี่ยนเป็น "ดอทเน็ต" กลายเป็นจุดที่ทำให้ผู้รับอีเมลอ่อยเหยื่อไม่สามารถแยกแยะออก
บางครั้งมิจฉาชีพ ก็หลอกล่อเหยื่อด้วยของรางวัล แต่ต้องแลกด้วยการอัพเดท หรือยืนยันข้อมูลทางบัญชีของเหยื่อ โดยสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นด้วยการใช้โลโก้ขององค์กรต่างๆ แม้กระทั่งวีซ่า หรือมาสเตอร์การ์ด ก็ถูกแอบอ้างมาแล้วเช่นกัน หากผู้ใช้บัตรเผลอให้ข้อมูลส่วนตัวกับเวบไซต์ดังกล่าว ข้อมูลก็จะถูกนำไปอ้างอิงในการทำธุรกรรมทางการเงิน
ข้อมูลจากเครือข่ายต่อต้านการฟิชชิ่งข้อมูล (ตกเบ็ดข้อมูล) ระบุถึงพิษภัยว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2548 - ม.ค. 2549 พบว่า มีการตกเบ็ดข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 190,000 ข้อมูล ไปยังผู้รับทั่วโลกเพิ่มขึ้น 41%
นอกจากนี้ยังรวมถึงการแท็ปข้อมูลทางโทรศัพท์ โดยร่วมมือกับผู้ดูแลตู้พักสายขององค์การโทรศัพท์ (ตู้สีเขียว) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของทุกเลขหมายปลายทาง ทำให้รู้ได้ว่าคู่สายใดกำลังส่งข้อมูลส่วนตัวไปยังสถาบันการเงินผู้ออกบัตร หรือจากร้านค้าที่รับซื้อสินค้าจากบัตรเครดิต
มิจฉาชีพเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงว่า จะเกี่ยวข้องและรู้จักกับผู้ที่รับผิดชอบคู่สายโทรศัพท์ หรืออาจจะเป็นช่างซ่อมสายโทรศัพท์ เป็นต้น
จะว่าไปแล้ว วิธีการแท็ปสายโทรศัพท์จะสร้างความเสียหายมากกว่าการอ่านข้อมูลผ่านเครื่องดูดข้อมูล หรือ skimmer เพราะข้อมูลจากทั่วทุกพื้นที่ที่ชำระสินค้าและบริการผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต (Electronic Data Capture-EDC) มีนับหมื่นถึงแสนข้อมูลต่อการแท็ปสายโทรศัพท์หนึ่งครั้ง กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สถาบันการเงินเจ้าของบัตรต้องเร่งจัดการ
แก๊งกดเงิน Plus ข้ามชาติ มีแก๊งมิจฉาชีพต่างชาติบางรายเช่นกัน ที่มีเป้าหมายเข้ามากดเงินจากตู้เอทีเอ็ม หรือรูดบัตรเครดิตปลอมของสถาบันการเงินต่างชาติในไทย โดยข้อมูลที่ปลอมแปลงส่วนใหญ่มาจากประเทศอังกฤษ เพราะระบบการชำระสินค้าผ่านเครื่อง EDC ในอังกฤษ เป็นระบบที่ถามรหัสก่อนชำระสินค้า เพื่อป้องกันการดูดข้อมูลจากเครื่อง skimmer
แต่ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังธนาคาร กลับเป็นดาบสองคมให้ผู้แท็ปสายโทรศัพท์ได้รับข้อมูลส่วนตัวของเหยื่ออย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการหมายเลขบัตรเครดิต ข้อมูลส่วนตัวเจ้าของบัตร และรหัสกดเงิน จนสามารถนำไปทำบัตรปลอมได้อย่างสมบูรณ์ กดเงินได้ทั่วโลกที่มีเครื่องหมาย Plus
และ การปลอมแปลงบัตร เป็นขั้นตอนต่อเนื่องหลังจากได้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อมาแล้ว นับเป็นส่วนที่สร้างความเสียหายให้กับสถาบันการเงินเจ้าของบัตรมากที่สุด
ข้อมูลที่เคยจับกุมมิจฉาชีพได้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอินเดีย, มาเลเซีย ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีการแฮคข้อมูลสำหรับปลอมแปลงบัตรเครดิต, เอทีเอ็ม และบัตรเงินสด โดยเฉพาะ
เห็นหรือยังว่า หากข้อมูลส่วนตัวของคุณหลุดรอดไปถึงมือมิจฉาชีพจากวิธีการต่างๆ อาจทำให้ต้อง "สูญเงิน" โดยใช่เหตุ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 40
อันนี้เป็นคำแนะนำครับ
9 ทริค...พ้นเหยื่อมิจฉาชีพ 'บัตรเครดิต-เอทีเอ็ม'
มิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบบุคคลธรรมดา ทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่ทันตั้งตัว เพื่อความไม่ประมาทจากการโจรกรรม จึงมีเทคนิคง่ายๆ ป้องกันภัยให้รอดจากเป้าหมายของมิจฉาชีพ ดังนี้
1. กระเป๋าสตางค์หายพึงระลึกเสมอว่า...บัตรเครดิตถูกขโมย ต้องแจ้งธนาคารทันทีเพื่ออายัดหรือยกเลิกบัตร ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปใช้ หากมีผู้นำบัตรของท่านไปใช้หลังจากท่านแจ้งธนาคารแล้ว ธนาคารจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บัญชีของท่าน
ดังนั้นยิ่งแจ้งธนาคารเร็วเท่าไหร่ ความคุ้มครองก็จะเร็วขึ้นตามไปด้วย
2. ในขณะที่ใช้บัตรเครดิตหรือเอทีเอ็ม ไม่ควรให้ใครมองเห็นมือของเรา และตรวจสอบตู้ใช้ชัดเจนว่ามีเครื่องอ่านบัตรครอบอยู่หรือไม่ รวมถึงอย่ารับความช่วยเหลือจากใคร และหากรู้สึกว่าคนที่ยืนต่อคิวข้างหลังขยับเข้ามาชิดมากเกินไป ก็อย่างเกรงใจที่จะขอให้ช่วยถอยห่างออกไปหน่อย
หลังทำรายการเสร็จสิ้นควรเก็บสลิปไว้และทำลายในที่ปลอดภัย เพราะมิจฉาชีพบางรายมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลในสลิปเอทีเอเอ็ม เพื่อเจาะเข้าถึงข้อมูลและเงินในบัญชี
3. ป้องกันการขโมยข้อมูลและเอกสารจากการกรอกใบสมัครต่างๆ ด้วยการเขียนให้ชัดเจนว่าเอาไปใช้ประโยชน์หรือวัตถุประสงค์อะไร
4. หากได้รับโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จักและแจ้งว่าได้รับรางวัลก้อนใหญ่ หรือเสนออะไรที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง
หากถูกหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ห้ามบอกข้อมูลส่วนตัวกับผู้มาติดต่อเด็ดขาด เพราะธนาคารทั่วไปไม่เคยมีการติดต่อลูกค้าทางโทรศัพท์ เพื่อแจ้งการถูกรางวัล หรือขอข้อมูลส่วนตัว
5. หากได้รับอีเมล แอบอ้างว่ามาจากธนาคารที่เปิดบัญชีไว้ ในกรณีนี้ อาจจะกำลังตกเป็นเหยื่อของอีเมลปลอมซึ่งมักจะขอให้ยืนยันหมายเลขบัญชีและรหัสส่วนตัว
พึงระลึกไว้เสมอว่า รหัสส่วนตัว บัตร ใบแจ้งยอดบัญชี สลิปเอทีเอ็ม และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินของตนเอง ต้องไม่เปิดเผยให้ใครทราบ อีกทั้งหากได้รับอีเมล ต้องดูจากช่องเบราเซอร์ เวบไซต์ที่ปลอดภัยควรขึ้นต้นด้วย https://
6. การชำระเงินในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือร้านค้าต่างๆ หากจุดชำระเงินห่างจากจุดที่กำลังซื้อของหรือรับประทานอาหาร อาจเป็นไปได้ที่มิจฉาชีพจะแฝงมาในคราบพนักงานถือโอกาสคัดลอกข้อมูลบัตรเครดิต หรือเดบิตด้วยเครื่องอ่านบัตรแบบพกพา ดังนั้นจึงควรเดินตามพนักงาน หรือตรวจสอบจำนวนเงินที่ปรากฏบนสลิปบัตรเครดิตหรือเดบิตทุกครั้งก่อนเซ็นชื่อ ขณะเดียวกัน ก็เลือกซื้อสินค้าเฉพาะกับร้านที่ใช้ระบบ Verified by Visa และ MasterCard Secure Code จึงจะปลอดภัยกว่า
7. ข้อมูลบัตรและรหัสส่วนตัวไม่ควรเปิดเผยให้ใครรู้แม้แต่คนในครอบครัว เพราะมิจฉาชีพอาจอยู่ใกล้ตัว และหมั่นตรวจสอบรายการทำธุรกิจที่ปรากฏในรายงานแจ้งยอดบัญชี หากไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมควรรีบแจ้งและพิสูจน์
8. เมื่อบัตรเอทีเอ็มถูกยึดไว้ในเครื่อง ต้องแจ้งให้ธนาคารทราบทันที เพื่อความปลอดภัย เพราะหากมีเครื่องอ่านบัตรของมิจฉาชีพติดตั้งไว้ในเอทีเอ็ม และมีการคัดลอกข้อมูลในบัตรรวมทั้งมีการทำบัตรปลอมขึ้นมา ธนาคารจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายให้หลังการแจ้ง
9. หากกำลังวางแผนไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ควรใช้จ่ายด้วยบัตรหลัก พร้อมกับแจ้งให้กับธนาคารผู้ออกบัตรทราบด้วยว่าต้องการใช้บัตรในต่างประเทศ เพื่อให้ธนาคารเฝ้าติดตามบัญชีของลูกค้าว่ามีรูปแบบการใช้จ่ายที่ผิดปกติ หรือมีพฤติกรรมที่ส่อว่ามีการทุจริตหรือไม่ เช่น การใช้จ่ายในต่างประเทศ หากมีการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารจะติดต่อลูกค้าเพื่อตรวจสอบว่าควรอนุมัติรายการนั้นหรือไม่ พร้อมกับติดตามดูธุรกรรมที่น่าสงสัย เช่น ซื้อสินค้าแบบเดียวกันหลายชิ้น หรือซื้อสินค้าจากคนละแห่งกับการเดินทาง หรือซื้อนอกเหนือจากวันเดินทาง
ที่มา...แหล่งข้อมูลจากธนาคารกรุงเทพ, ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต, บริษัทบัตรเครดิต เคทีซี
9 ทริค...พ้นเหยื่อมิจฉาชีพ 'บัตรเครดิต-เอทีเอ็ม'
มิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบบุคคลธรรมดา ทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่ทันตั้งตัว เพื่อความไม่ประมาทจากการโจรกรรม จึงมีเทคนิคง่ายๆ ป้องกันภัยให้รอดจากเป้าหมายของมิจฉาชีพ ดังนี้
1. กระเป๋าสตางค์หายพึงระลึกเสมอว่า...บัตรเครดิตถูกขโมย ต้องแจ้งธนาคารทันทีเพื่ออายัดหรือยกเลิกบัตร ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปใช้ หากมีผู้นำบัตรของท่านไปใช้หลังจากท่านแจ้งธนาคารแล้ว ธนาคารจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บัญชีของท่าน
ดังนั้นยิ่งแจ้งธนาคารเร็วเท่าไหร่ ความคุ้มครองก็จะเร็วขึ้นตามไปด้วย
2. ในขณะที่ใช้บัตรเครดิตหรือเอทีเอ็ม ไม่ควรให้ใครมองเห็นมือของเรา และตรวจสอบตู้ใช้ชัดเจนว่ามีเครื่องอ่านบัตรครอบอยู่หรือไม่ รวมถึงอย่ารับความช่วยเหลือจากใคร และหากรู้สึกว่าคนที่ยืนต่อคิวข้างหลังขยับเข้ามาชิดมากเกินไป ก็อย่างเกรงใจที่จะขอให้ช่วยถอยห่างออกไปหน่อย
หลังทำรายการเสร็จสิ้นควรเก็บสลิปไว้และทำลายในที่ปลอดภัย เพราะมิจฉาชีพบางรายมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลในสลิปเอทีเอเอ็ม เพื่อเจาะเข้าถึงข้อมูลและเงินในบัญชี
3. ป้องกันการขโมยข้อมูลและเอกสารจากการกรอกใบสมัครต่างๆ ด้วยการเขียนให้ชัดเจนว่าเอาไปใช้ประโยชน์หรือวัตถุประสงค์อะไร
4. หากได้รับโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จักและแจ้งว่าได้รับรางวัลก้อนใหญ่ หรือเสนออะไรที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง
หากถูกหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ห้ามบอกข้อมูลส่วนตัวกับผู้มาติดต่อเด็ดขาด เพราะธนาคารทั่วไปไม่เคยมีการติดต่อลูกค้าทางโทรศัพท์ เพื่อแจ้งการถูกรางวัล หรือขอข้อมูลส่วนตัว
5. หากได้รับอีเมล แอบอ้างว่ามาจากธนาคารที่เปิดบัญชีไว้ ในกรณีนี้ อาจจะกำลังตกเป็นเหยื่อของอีเมลปลอมซึ่งมักจะขอให้ยืนยันหมายเลขบัญชีและรหัสส่วนตัว
พึงระลึกไว้เสมอว่า รหัสส่วนตัว บัตร ใบแจ้งยอดบัญชี สลิปเอทีเอ็ม และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินของตนเอง ต้องไม่เปิดเผยให้ใครทราบ อีกทั้งหากได้รับอีเมล ต้องดูจากช่องเบราเซอร์ เวบไซต์ที่ปลอดภัยควรขึ้นต้นด้วย https://
6. การชำระเงินในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือร้านค้าต่างๆ หากจุดชำระเงินห่างจากจุดที่กำลังซื้อของหรือรับประทานอาหาร อาจเป็นไปได้ที่มิจฉาชีพจะแฝงมาในคราบพนักงานถือโอกาสคัดลอกข้อมูลบัตรเครดิต หรือเดบิตด้วยเครื่องอ่านบัตรแบบพกพา ดังนั้นจึงควรเดินตามพนักงาน หรือตรวจสอบจำนวนเงินที่ปรากฏบนสลิปบัตรเครดิตหรือเดบิตทุกครั้งก่อนเซ็นชื่อ ขณะเดียวกัน ก็เลือกซื้อสินค้าเฉพาะกับร้านที่ใช้ระบบ Verified by Visa และ MasterCard Secure Code จึงจะปลอดภัยกว่า
7. ข้อมูลบัตรและรหัสส่วนตัวไม่ควรเปิดเผยให้ใครรู้แม้แต่คนในครอบครัว เพราะมิจฉาชีพอาจอยู่ใกล้ตัว และหมั่นตรวจสอบรายการทำธุรกิจที่ปรากฏในรายงานแจ้งยอดบัญชี หากไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมควรรีบแจ้งและพิสูจน์
8. เมื่อบัตรเอทีเอ็มถูกยึดไว้ในเครื่อง ต้องแจ้งให้ธนาคารทราบทันที เพื่อความปลอดภัย เพราะหากมีเครื่องอ่านบัตรของมิจฉาชีพติดตั้งไว้ในเอทีเอ็ม และมีการคัดลอกข้อมูลในบัตรรวมทั้งมีการทำบัตรปลอมขึ้นมา ธนาคารจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายให้หลังการแจ้ง
9. หากกำลังวางแผนไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ควรใช้จ่ายด้วยบัตรหลัก พร้อมกับแจ้งให้กับธนาคารผู้ออกบัตรทราบด้วยว่าต้องการใช้บัตรในต่างประเทศ เพื่อให้ธนาคารเฝ้าติดตามบัญชีของลูกค้าว่ามีรูปแบบการใช้จ่ายที่ผิดปกติ หรือมีพฤติกรรมที่ส่อว่ามีการทุจริตหรือไม่ เช่น การใช้จ่ายในต่างประเทศ หากมีการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารจะติดต่อลูกค้าเพื่อตรวจสอบว่าควรอนุมัติรายการนั้นหรือไม่ พร้อมกับติดตามดูธุรกรรมที่น่าสงสัย เช่น ซื้อสินค้าแบบเดียวกันหลายชิ้น หรือซื้อสินค้าจากคนละแห่งกับการเดินทาง หรือซื้อนอกเหนือจากวันเดินทาง
ที่มา...แหล่งข้อมูลจากธนาคารกรุงเทพ, ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต, บริษัทบัตรเครดิต เคทีซี
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 41
แบงก์เองก็ไม่อยากให้ลูกค้าเสี่ยงกับภัยบัตรเครดิตเกินไป ได้หาวิธีแก้ไขแล้ว (จะได้ผลแค่ไหนรอดูกันต่อไป)
20 แบงก์ตื่น 'แท็ปสาย' ลงขัน 200 ล้านผุดโปรแกรมซอฟต์แวร์
ปัญหาการทุจริตบัตรเครดิตที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ 20 สถาบันการเงินในประเทศ ไม่อาจนิ่งนอนใจ ถึงขั้นยอมลงขันเป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท ร่วมกับวีซ่า เพื่อ "วางระบบ" ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งในเชิงมูลค่าและความเชื่อมั่น
การวางระบบ "ซอฟต์แวร์" Terminal line-encryption ในเครื่องรูดบัตรชนิด EDC (Electronic Data Capture) ทั่วประเทศจะแล้วเสร็จในปลายปี 2550
"สมชาย พิชิตสุรกิจ" หัวหน้าคณะทำงานป้องกันการทุจริตบัตรเครดิต ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เล่าว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คดีปลอมแปลงบัตรเครดิตกลายเป็นปัญหาใหญ่ของทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซีย ที่รับรู้กันว่ามีคดีอาชญากรรมบัตรเครดิตติดอันดับโลก ทำให้รัฐบาลมาเลเซียต้องออกกฎเหล็กเมื่อปลายปี 2547 กำหนดให้สถาบันการเงินที่ออกบัตรจะต้องใช้วิธี "ฝังชิพ" เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลผ่านบัตรเครดิต ด้วยการแท็ปสายโทรศัพท์ผ่านเครื่องรูดบัตรชนิด EDC (Electronic Data Capture)
ส่วนในเมืองไทย เฉพาะช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ไทยได้รับความเสียหายประมาณ 450 ล้านบาท ไม่นับการทลายแก๊งแท็ปสายโทรศัพท์ที่จังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ในช่วงเดือน มกราคม-ตุลาคม 2550 ยังพบการปลอมแปลงบัตรเครดิตทั้งสิ้นกว่า 7,000 ใบ
เมื่อปัญหาเริ่มบานปลาย ชมรมธุรกิจบัตรเครดิตที่มีสมาชิกประมาณ 20 ธนาคาร จึงร่วมกับวีซ่า ลงขันในวงเงินกว่า 200 ล้านบาท เพื่อติดตั้งซอฟต์แวร์กำหนด "รหัสผ่าน" ทางสายโทรศัพท์ (Terminal Line-encryption) เพื่อป้องกันการแท็ปข้อมูลบัตรเครดิต ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2550 และมีแผนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปลายปี 2550
โดยขณะนี้ดำเนินการไปได้กว่า 70%
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะป้องกันการขโมยข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ด้วยการแปลงไฟล์เป็นข้อมูลที่ต้องใส่รหัสผ่านป้องกันการเปิดดูข้อมูลระหว่างส่งข้อมูลจากเครื่องรูดบัตรไปยังสถาบันการเงินผู้ออกบัตร
"การแท็ปสายโทรศัพท์แต่ละครั้ง จะได้ข้อมูลจำนวนมากเป็นร้อยถึงแสนข้อมูล มากกว่าเครื่อง skimmer โดยจะได้ทั้งข้อมูลของลูกค้า และธุรกรรมที่ถูกส่งผ่านเครื่องรูดบัตรเมื่อซื้อสินค้า การรูดบัตรที่ผ่านมาจะไม่มีถามหารหัสผ่าน ข้อมูลทั้งหมดจึงถูกส่งผ่านโดยตรง ทำให้มีการดักข้อมูลไว้กลางทางที่ตู้พักสายโทรศัพท์สีเขียวได้ จึงจำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมป้องกันการเข้าถึงข้อมูลก่อนส่งข้อมูลไปยังธนาคาร" สมชายเล่า
สำหรับกระบวนการลงโปรแกรมซอฟต์แวร์นั้น ทางสถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะต้องนำโปรแกรมเข้าไปติดตั้งในเครื่องรูดบัตรชนิด EDC ให้กับร้านค้าที่บอกรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตทั่วประเทศ ถือเป็นต้นทุนที่สูงและใช้ระยะเวลานาน หลังจากทยอยติดตั้งซอฟต์แวร์หมดทุกห้างร้านทั่วประเทศในปลายปี 2550 เชื่อว่าตัวเลขความเสียหายจากการปลอมบัตรเครดิตจะลดลง
ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 พบว่ายังคงจับกุมผู้ปลอมแปลงบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่อง เฉพาะธนาคารกสิกรไทยแห่งเดียว จับกุมได้ประมาณ 38 คดี มีผู้ต้องหา 47 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นมิจฉาชีพกลุ่มเล็ก ที่ล้วงข้อมูลจากการอ่านข้อมูลด้วยเครื่อง skimmer
ด้าน "ธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บัตรเครดิตกรุงไทย ในฐานะรองประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เล่าถึงแผนการป้องกันของธนาคารให้ฟังว่า ค่อนข้างตื่นตัวหลังจากพบว่ามีการทุจริตบัตรเครดิตในอัตราค่อนข้างสูง โดยเริ่มแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเปลี่ยนลักษณะบัตรจากบัตรที่เป็นแถบแม่เหล็กมาเป็นการฝังชิพ ซึ่งธนาคารจะเป็นผู้ลงทุน และจะค่อยๆ เปลี่ยนให้กับลูกค้าที่แจ้งความประสงค์ทันทีที่บัตรเดิมหมดอายุลง
ปัจจุบันผู้ใช้บัตรเครดิตเคทีซีเปลี่ยนมาใช้บัตรฝังชิพเกือบ 100% แล้ว เหลือเพียงบางรายที่รอบัตรหมดอายุเท่านั้น
"เมื่อก่อนจะใช้บัตรเครดิตแบบแถบแม่เหล็ก ระบบก็จะอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตร ส่งผ่านสายโทรศัพท์ ทำให้เกิดการขโมยข้อมูล แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการและร้านค้าหันมาร่วมมือกับทางวีซ่าโดยใช้บัตรเครดิตแบบติดชิพ ถือว่าป้องกันการขโมยข้อมูลได้ดี เพราะอ่านข้อมูลได้ยาก และเวลาสอดบัตรเข้าเครื่องอ่านบัตรก็จะมีการอ่านข้อมูลจากชิพแทน" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บัตรเครดิตกรุงไทย กล่าว
20 แบงก์ตื่น 'แท็ปสาย' ลงขัน 200 ล้านผุดโปรแกรมซอฟต์แวร์
ปัญหาการทุจริตบัตรเครดิตที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ 20 สถาบันการเงินในประเทศ ไม่อาจนิ่งนอนใจ ถึงขั้นยอมลงขันเป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท ร่วมกับวีซ่า เพื่อ "วางระบบ" ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งในเชิงมูลค่าและความเชื่อมั่น
การวางระบบ "ซอฟต์แวร์" Terminal line-encryption ในเครื่องรูดบัตรชนิด EDC (Electronic Data Capture) ทั่วประเทศจะแล้วเสร็จในปลายปี 2550
"สมชาย พิชิตสุรกิจ" หัวหน้าคณะทำงานป้องกันการทุจริตบัตรเครดิต ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เล่าว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คดีปลอมแปลงบัตรเครดิตกลายเป็นปัญหาใหญ่ของทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซีย ที่รับรู้กันว่ามีคดีอาชญากรรมบัตรเครดิตติดอันดับโลก ทำให้รัฐบาลมาเลเซียต้องออกกฎเหล็กเมื่อปลายปี 2547 กำหนดให้สถาบันการเงินที่ออกบัตรจะต้องใช้วิธี "ฝังชิพ" เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลผ่านบัตรเครดิต ด้วยการแท็ปสายโทรศัพท์ผ่านเครื่องรูดบัตรชนิด EDC (Electronic Data Capture)
ส่วนในเมืองไทย เฉพาะช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ไทยได้รับความเสียหายประมาณ 450 ล้านบาท ไม่นับการทลายแก๊งแท็ปสายโทรศัพท์ที่จังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ในช่วงเดือน มกราคม-ตุลาคม 2550 ยังพบการปลอมแปลงบัตรเครดิตทั้งสิ้นกว่า 7,000 ใบ
เมื่อปัญหาเริ่มบานปลาย ชมรมธุรกิจบัตรเครดิตที่มีสมาชิกประมาณ 20 ธนาคาร จึงร่วมกับวีซ่า ลงขันในวงเงินกว่า 200 ล้านบาท เพื่อติดตั้งซอฟต์แวร์กำหนด "รหัสผ่าน" ทางสายโทรศัพท์ (Terminal Line-encryption) เพื่อป้องกันการแท็ปข้อมูลบัตรเครดิต ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2550 และมีแผนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปลายปี 2550
โดยขณะนี้ดำเนินการไปได้กว่า 70%
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะป้องกันการขโมยข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ด้วยการแปลงไฟล์เป็นข้อมูลที่ต้องใส่รหัสผ่านป้องกันการเปิดดูข้อมูลระหว่างส่งข้อมูลจากเครื่องรูดบัตรไปยังสถาบันการเงินผู้ออกบัตร
"การแท็ปสายโทรศัพท์แต่ละครั้ง จะได้ข้อมูลจำนวนมากเป็นร้อยถึงแสนข้อมูล มากกว่าเครื่อง skimmer โดยจะได้ทั้งข้อมูลของลูกค้า และธุรกรรมที่ถูกส่งผ่านเครื่องรูดบัตรเมื่อซื้อสินค้า การรูดบัตรที่ผ่านมาจะไม่มีถามหารหัสผ่าน ข้อมูลทั้งหมดจึงถูกส่งผ่านโดยตรง ทำให้มีการดักข้อมูลไว้กลางทางที่ตู้พักสายโทรศัพท์สีเขียวได้ จึงจำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมป้องกันการเข้าถึงข้อมูลก่อนส่งข้อมูลไปยังธนาคาร" สมชายเล่า
สำหรับกระบวนการลงโปรแกรมซอฟต์แวร์นั้น ทางสถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะต้องนำโปรแกรมเข้าไปติดตั้งในเครื่องรูดบัตรชนิด EDC ให้กับร้านค้าที่บอกรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตทั่วประเทศ ถือเป็นต้นทุนที่สูงและใช้ระยะเวลานาน หลังจากทยอยติดตั้งซอฟต์แวร์หมดทุกห้างร้านทั่วประเทศในปลายปี 2550 เชื่อว่าตัวเลขความเสียหายจากการปลอมบัตรเครดิตจะลดลง
ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 พบว่ายังคงจับกุมผู้ปลอมแปลงบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่อง เฉพาะธนาคารกสิกรไทยแห่งเดียว จับกุมได้ประมาณ 38 คดี มีผู้ต้องหา 47 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นมิจฉาชีพกลุ่มเล็ก ที่ล้วงข้อมูลจากการอ่านข้อมูลด้วยเครื่อง skimmer
ด้าน "ธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บัตรเครดิตกรุงไทย ในฐานะรองประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เล่าถึงแผนการป้องกันของธนาคารให้ฟังว่า ค่อนข้างตื่นตัวหลังจากพบว่ามีการทุจริตบัตรเครดิตในอัตราค่อนข้างสูง โดยเริ่มแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเปลี่ยนลักษณะบัตรจากบัตรที่เป็นแถบแม่เหล็กมาเป็นการฝังชิพ ซึ่งธนาคารจะเป็นผู้ลงทุน และจะค่อยๆ เปลี่ยนให้กับลูกค้าที่แจ้งความประสงค์ทันทีที่บัตรเดิมหมดอายุลง
ปัจจุบันผู้ใช้บัตรเครดิตเคทีซีเปลี่ยนมาใช้บัตรฝังชิพเกือบ 100% แล้ว เหลือเพียงบางรายที่รอบัตรหมดอายุเท่านั้น
"เมื่อก่อนจะใช้บัตรเครดิตแบบแถบแม่เหล็ก ระบบก็จะอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตร ส่งผ่านสายโทรศัพท์ ทำให้เกิดการขโมยข้อมูล แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการและร้านค้าหันมาร่วมมือกับทางวีซ่าโดยใช้บัตรเครดิตแบบติดชิพ ถือว่าป้องกันการขโมยข้อมูลได้ดี เพราะอ่านข้อมูลได้ยาก และเวลาสอดบัตรเข้าเครื่องอ่านบัตรก็จะมีการอ่านข้อมูลจากชิพแทน" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บัตรเครดิตกรุงไทย กล่าว
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 42
จาก BIZWEEK ครับ
เรื่อง :สินค้า "นอกกรอบ" อาวุธตีทัพธุรกิจ "Me too"
จีราวัฒน์ คงแก้ว cheerawat @ nationgroup.com
ธุรกิจ "Me too" เกิดง่ายยิ่งกว่าเพาะถั่วงอก แค่ชั่วข้ามคืนผลิตภัณฑ์ "ต้นแบบ" ก็กลับกลายเป็นของเลียนแบบเสียงั้น
แต่กังวลไปไย เมื่อผู้ประกอบการสายพันธุ์ใหม่มีสมองเป็น "อาวุธ" คิดสินค้า "นอกกรอบ" ที่นักเลียนแบบไม่มีทางตามทัน
ทั้ง ธุรกิจ เซรามิค และสบู่ ขึ้นแท่นเป็น "เหยื่อ" แถวหน้า ของมือก๊อบปี้ทั่วฟ้าเมืองไทย ที่มักจะถูกยกมาเป็นต้นแบบท้าประลองฝีมือตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อจะเรียนลัดไปสู่ธุรกิจขายง่าย ขายคล่อง ไม่ตกกระแสนิยม คนที่ไม่สนุกด้วย ก็คือเหล่า "ต้นตำรับ" ทั้งหลาย ที่คิดแทบตายแต่ผลงานตกเป็นของใครต่อใครเสียอย่างนั้น
สำหรับผู้ประกอบการที่รู้ "ทันเกม" พวกเขามีทางออกในเรื่องนี้
"ศรีสุพร เต็มสงสัย" ผู้ผลิตและออกแบบ เครื่องปั้นดินเผา ลวดลายธรรมชาติ แบรนด์ "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" ที่ออกจะชาชินกับปัญหาของเลียนแบบ ทั้งชนิดตั้งใจและด้วยความบังเอิญ เพราะวงการนี้ไม่ได้ใหญ่มากจนไม่รู้จักกันเลย
เธอบอกว่าบางทีออกงานเดียวกัน ก็เห็นร้านข้างๆ มีของเหมือนกัน ลายเดียวกันราวกับ "โคลนนิง" กันมา
สิ่งที่ผู้ประกอบการนักคิดกลับมาไตร่ตรองคือ "ต้นทุนที่มีอยู่ในตัวเอง" โดยเฉพาะภูมิความรู้ เรื่องเซรามิค จากการคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาเกือบ 20 ปี มีอะไรที่เธอจะสร้างความ "พิเศษ" ได้มากกว่าคนอื่น มีอะไรที่คนมาใหม่ สู้หรือเทียบเคียงพวกเธอได้ยากขึ้น
"ตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาอยู่กับเซรามิคมาตลอด ตอนที่ยังเป็นลูกจ้างโรงงานก็ทำมาทุกฝ่าย เรียกว่ารู้เรื่องตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการออกแบบ ที่สำคัญการเรียนมาทางด้านศิลปะสอนให้เราคิด และรู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทั้งหมดเอามาพัฒนากลยุทธ์ของเราได้ทั้งสิ้น"
เมื่อได้ไอเดีย "ศรีสุพร" เริ่มค้นหาความแตกต่างให้กับตัวเอง บางสิ่งที่คนอื่นมองข้าม แต่พวกเธอกลับให้ความสำคัญ อย่างที่มาของสูตรเคลือบ ที่ทำเอง ผสมเอง จนได้ "สูตรลับ" เฉพาะตัว คุณภาพตามสั่ง ขณะที่คู่แข่งธุรกิจไซส์เล็ก พอๆ กัน จะเลือกการซื้อเครื่องสำเร็จรูปมาใช้ ทำให้ถูกบังคับด้วยสูตรตายตัวแบบเดียวกันทั้งหมด
เธอยอมรับว่า การทำสูตรเคลือบเอง ไม่ช่วยให้ราคาของต้นทุนถูกลงมากนัก แต่สิ่งที่ "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" ต้องการคือ การสร้างความ "แตกต่าง" เพื่อให้สินค้าใน "ขั้นสุดท้าย" ออกมาเป็นสินค้า "เฉพาะตัว" ที่ยากต่อการลอกเลียนแบบจริงๆ
ความแตกต่างของสูตรเคลือบ นำไปสู่ศักยภาพที่เหมาะกับการใช้งาน โดยสินค้าของที่นี่จะเน้นทั้งของตกแต่งบ้านและสวน สำหรับของใช้ ของตกแต่งที่วางไว้กลางแจ้ง สูตรเคลือบพิเศษมีคุณสมบัติทนแดด ทนฝน สีไม่ซีดจาง
เธอเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งไปออกงานแสดงสินค้า และนำไก่เซรามิคที่เคลือบสีสวยไปขายที่งานด้วย ปรากฏว่ามีคู่แข่งที่ทำไก่จากเรซิ่น ราคาถูกกว่าหลายเท่าตัว ทำให้ลูกค้าเปรียบเทียบกับสินค้าของคู่แข่ง
"ลูกค้าถามว่าทำไมไก่ร้านนี้ขายแพงจัง ร้านอื่นขายแค่ 500 บาท แต่ของร้านนี้ขายตั้ง 1,200 บาท พี่ก็บอกเขาไปว่าของเจ้านั้นก็ดี ถูกด้วย ตกก็ไม่แตก แต่ความคงทนต่างกันนะ เพราะถ้าจะเอาไปแต่งสวน แบบนั้นจะอยู่ไม่นานสีก็ซีด แต่เซรามิคของเรามันอยู่ได้นาน ตากแดดก็ยังสดใสอยู่ เบื่อแล้วก็เอาไปแต่งบ้านได้ เรียกว่าใช้ได้ตลอดชีวิตเลย"
เธอยึดหลักว่า ทำการค้าต้องไม่โจมตีใคร ความจริงใจ และซื่อสัตย์จะพิชิตใจลูกค้าได้มากกว่า
นอกจากสูตรเคลือบคิดค้นขึ้นเองแล้ว สินค้าของที่นี่ยังมีรูปแบบใหม่ๆ ตลอดเวลา เรียกว่า ออกบูธทุกครั้ง ก็จะต้องมีสีสันใหม่ๆ มาเอาใจลูกค้ากันบ้าง เหตุผลสำคัญ เพราะมีขาช้อปหลายรายที่ภักดีขนาดเป็นลูกค้าประจำ และสิ่งที่เขาเหล่านี้หวังก็คือ การมาที่ร้านแล้วเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้จับจองเป็นเจ้าของตลอดเวลานั่นเอง
จากเซรามิครูปแบบเดิมๆ พัฒนาชิ้นงานให้มีคุณค่า และการใช้งานเพิ่มขึ้น เช่น โมบายปลา ก็พัฒนามาเป็นลวดลาย 12 ราศี
ล่าสุดของตกแต่งบ้านพันธุ์ใหม่ชุดตุ๊กตาสัตว์น้อยโล้ชิงช้า ขจัดปัญหาเรื่องข้อจำกัด "พื้นที่"
"สินค้าของตกแต่งบ้านและสวน เวลาเรียงกันไว้ก็เต็มพื้นที่ไปหมด ลูกค้าบางคนก็ไม่อยากวางไว้กับพื้นเพราะสัตว์ที่เขาเลี้ยงไว้มาชนแตกหมด บางทีก็ตกแต่งจนเต็มแล้ว ไม่มีที่จะวางอีก เขาก็ไม่รู้จะซื้อของเราไปทำไม สิ่งที่เราทำคือ พัฒนาสินค้าที่ยังมีที่ว่างให้ตกแต่งได้ อย่างสัตว์โล้ชิงช้า ที่สามารถเอาไปแขวนที่ไหนก็ได้ สร้างบรรยากาศใหม่ๆ ให้การตกแต่งบ้าน และไม่สร้างทางตันให้กับสินค้าของเราเองด้วย"
"ศรีสุพร" บอกเราว่า ในสมองของเธอจะคิดอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา บางทีก็ได้ไอเดียจากลูกค้าช่วยต่อยอดไปยังสินค้าใหม่ๆ ต่อเนื่อง ส่วนคู่แข่งเลียนแบบไม่ต้องไปคิดถึง เลียนแบบได้ก็คิดใหม่ได้
แต่สิ่งที่นักคิดต้องทำคือ ทุ่มเทกับการสร้างสรรค์ เพื่อหนีตลาด หนีระบบการแข่งขันด้านราคา ขณะเดียวกันสร้างตลาดให้ยาวขึ้น
ธุรกิจเล็กๆ อย่าง "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" มีกำลังการผลิตขนาดพอเหมาะประมาณ 400 ชิ้นต่อเดือน แรงงาน 2-3 คน เท่านั้น ส่วนราคาก็ตั้งแต่ 35 - 2,900 บาท
ไม่เพียงแบรนด์ "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" ที่ต้องงัดกลยุทธ์มาวิ่งสู้ฟัดกับสินค้าเลียนแบบ สำหรับสบู่แฮนด์เมด "ซาลิน่า" (SALINA) เองก็ประสบปัญหาที่ไม่ต่างกัน "วรพงษ์ พัฒนเจริญ" ทายาทผู้ผลิตและจำหน่ายสบู่ธรรมชาติแบรนด์ "SALINA" บอกกับเราว่า การทำสบู่ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ารู้วิธีใครๆ ก็ทำได้ แถมยังเรียนรู้ได้รวดเร็วอีกด้วย
แต่สบู่ "SALINA" ยังคงความแตกต่างไว้ได้ มีกำลังการผลิตถึงกว่าหมื่นชิ้นต่อเดือน ซ้ำยังมีลูกค้าจากทั้งในและต่างประเทศคอยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญสินค้าที่น่าจะง่ายต่อการลอกเลียนแบบนี้ เคยได้รางวัลโอท็อป 5 ดาว ถึง 2 ปี ซ้อน
คีย์ซัคเซสสำคัญ คือ การหา "ความต่าง" ให้กับตัวเองให้ได้ คิดให้ใหม่ ให้สมองทำงานตลอดเวลา วรพงษ์ บอกกับเราว่า คุณแม่ของเขา "จารุวรรณ พัฒนเจริญ" เป็นนักคิดนักพัฒนาตัวยง จากสบู่ที่น่าจะธรรมดา ก็มาทำสบู่ทำมือ ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติไอเดียกระฉูด อย่างสบู่นมแพะ มังคุด เกสรบัว พริกไทยดำ สบู่ไหมทอง สบู่โสม สบู่ทองคำใส สบู่ช็อกโกแลต และหลากหลายสูตรล้นสรรพคุณกว่า 50 ชนิด
แต่สูตรที่แตกต่าง ใครๆ ก็เลียนแบบง่ายๆ สองแม่ลูกพัฒนาความต่างด้วยดีไซน์ไอเดียเฉียบ
จากของใช้ก็กลายมาเป็นของตกแต่งบ้านเก๋ๆ อย่างโมบายเปลือกหอยที่ทำจากสบู่
"แม่เดินดูสวนแล้วเห็นพวกหิน เปลือกหอย ก็มาคิดว่ามันน่าจะเอาสบู่มาทำของพวกนี้ได้นะ ยิ่งพวกสปาน่าจะชอบ เลยไปจ้างเขาทำโมเดล แล้วทำออกมาเป็นพวกโมบายเปลือกหอย ของตกแต่งบ้านรูปเปลือกหอย ก้อนหิน หรืออย่างไข่ที่เป็นสบู่ขมิ้น"
แน่นอนว่าจากตลาดผู้ใช้สบู่เพื่อสุขภาพ ก็ขยายไปสู่ตลาดของพรีเมียม ตลาดกิ๊ฟท์ และของตกแต่งได้อีกทางด้วย สร้างโอกาสให้ธุรกิจไม่ปิดกั้นตัวเองแค่สบู่ที่มีคู่แข่งมหาศาลเท่านั้น
นอกจากของใช้ ของขวัญ ของตกแต่งบ้านจากสบู่แล้วก็ยังพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่าง เครื่องหอมจากธรรมชาติเป็นต้น โดยเป็นสบู่ใช้ประมาณ 60% และกลุ่มของของขวัญ ของตกแต่ง และเครื่องหอมที่ประมาณ 40%
ไอเดียใหม่ๆ เข้ามาตอบตลาดสปา และสถานการณ์ในประเทศที่นิ่งๆ ไป รวมถึงสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้าต่างประเทศที่จะมีตัวเลือกมากขึ้น โดยตลาดหลัก คือที่เยอรมนี เกาหลี และญี่ปุ่น ในราคาขายปลีกที่ 60-650 บาทต่อชิ้น
ใครที่เริ่มเบื่อกับพวกชอบลอกเลียนแบบ ก็ลองคิด "นอกกรอบ" แบบพวกเขาได้ เพื่อโอกาสธุรกิจที่ไม่สิ้นสุดแค่วันนี้
.................................
Key to success
คู่มือต่อกรตลาด "Me too"
๐ คิดให้ต่าง ผุดไอเดียใหม่ๆ ไม่หยุดนิ่ง
๐ มองต้นทุนที่ตัวเองมี ทำดีเหนือคู่แข่ง
๐ แข่งขันที่ไอเดียไม่สู้กันที่ราคา
๐ พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
๐ คิดสินค้า "นอกกรอบ" ตอบความต้องการที่ไม่สิ้นสุด
เรื่อง :สินค้า "นอกกรอบ" อาวุธตีทัพธุรกิจ "Me too"
จีราวัฒน์ คงแก้ว cheerawat @ nationgroup.com
ธุรกิจ "Me too" เกิดง่ายยิ่งกว่าเพาะถั่วงอก แค่ชั่วข้ามคืนผลิตภัณฑ์ "ต้นแบบ" ก็กลับกลายเป็นของเลียนแบบเสียงั้น
แต่กังวลไปไย เมื่อผู้ประกอบการสายพันธุ์ใหม่มีสมองเป็น "อาวุธ" คิดสินค้า "นอกกรอบ" ที่นักเลียนแบบไม่มีทางตามทัน
ทั้ง ธุรกิจ เซรามิค และสบู่ ขึ้นแท่นเป็น "เหยื่อ" แถวหน้า ของมือก๊อบปี้ทั่วฟ้าเมืองไทย ที่มักจะถูกยกมาเป็นต้นแบบท้าประลองฝีมือตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อจะเรียนลัดไปสู่ธุรกิจขายง่าย ขายคล่อง ไม่ตกกระแสนิยม คนที่ไม่สนุกด้วย ก็คือเหล่า "ต้นตำรับ" ทั้งหลาย ที่คิดแทบตายแต่ผลงานตกเป็นของใครต่อใครเสียอย่างนั้น
สำหรับผู้ประกอบการที่รู้ "ทันเกม" พวกเขามีทางออกในเรื่องนี้
"ศรีสุพร เต็มสงสัย" ผู้ผลิตและออกแบบ เครื่องปั้นดินเผา ลวดลายธรรมชาติ แบรนด์ "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" ที่ออกจะชาชินกับปัญหาของเลียนแบบ ทั้งชนิดตั้งใจและด้วยความบังเอิญ เพราะวงการนี้ไม่ได้ใหญ่มากจนไม่รู้จักกันเลย
เธอบอกว่าบางทีออกงานเดียวกัน ก็เห็นร้านข้างๆ มีของเหมือนกัน ลายเดียวกันราวกับ "โคลนนิง" กันมา
สิ่งที่ผู้ประกอบการนักคิดกลับมาไตร่ตรองคือ "ต้นทุนที่มีอยู่ในตัวเอง" โดยเฉพาะภูมิความรู้ เรื่องเซรามิค จากการคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาเกือบ 20 ปี มีอะไรที่เธอจะสร้างความ "พิเศษ" ได้มากกว่าคนอื่น มีอะไรที่คนมาใหม่ สู้หรือเทียบเคียงพวกเธอได้ยากขึ้น
"ตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาอยู่กับเซรามิคมาตลอด ตอนที่ยังเป็นลูกจ้างโรงงานก็ทำมาทุกฝ่าย เรียกว่ารู้เรื่องตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการออกแบบ ที่สำคัญการเรียนมาทางด้านศิลปะสอนให้เราคิด และรู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทั้งหมดเอามาพัฒนากลยุทธ์ของเราได้ทั้งสิ้น"
เมื่อได้ไอเดีย "ศรีสุพร" เริ่มค้นหาความแตกต่างให้กับตัวเอง บางสิ่งที่คนอื่นมองข้าม แต่พวกเธอกลับให้ความสำคัญ อย่างที่มาของสูตรเคลือบ ที่ทำเอง ผสมเอง จนได้ "สูตรลับ" เฉพาะตัว คุณภาพตามสั่ง ขณะที่คู่แข่งธุรกิจไซส์เล็ก พอๆ กัน จะเลือกการซื้อเครื่องสำเร็จรูปมาใช้ ทำให้ถูกบังคับด้วยสูตรตายตัวแบบเดียวกันทั้งหมด
เธอยอมรับว่า การทำสูตรเคลือบเอง ไม่ช่วยให้ราคาของต้นทุนถูกลงมากนัก แต่สิ่งที่ "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" ต้องการคือ การสร้างความ "แตกต่าง" เพื่อให้สินค้าใน "ขั้นสุดท้าย" ออกมาเป็นสินค้า "เฉพาะตัว" ที่ยากต่อการลอกเลียนแบบจริงๆ
ความแตกต่างของสูตรเคลือบ นำไปสู่ศักยภาพที่เหมาะกับการใช้งาน โดยสินค้าของที่นี่จะเน้นทั้งของตกแต่งบ้านและสวน สำหรับของใช้ ของตกแต่งที่วางไว้กลางแจ้ง สูตรเคลือบพิเศษมีคุณสมบัติทนแดด ทนฝน สีไม่ซีดจาง
เธอเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งไปออกงานแสดงสินค้า และนำไก่เซรามิคที่เคลือบสีสวยไปขายที่งานด้วย ปรากฏว่ามีคู่แข่งที่ทำไก่จากเรซิ่น ราคาถูกกว่าหลายเท่าตัว ทำให้ลูกค้าเปรียบเทียบกับสินค้าของคู่แข่ง
"ลูกค้าถามว่าทำไมไก่ร้านนี้ขายแพงจัง ร้านอื่นขายแค่ 500 บาท แต่ของร้านนี้ขายตั้ง 1,200 บาท พี่ก็บอกเขาไปว่าของเจ้านั้นก็ดี ถูกด้วย ตกก็ไม่แตก แต่ความคงทนต่างกันนะ เพราะถ้าจะเอาไปแต่งสวน แบบนั้นจะอยู่ไม่นานสีก็ซีด แต่เซรามิคของเรามันอยู่ได้นาน ตากแดดก็ยังสดใสอยู่ เบื่อแล้วก็เอาไปแต่งบ้านได้ เรียกว่าใช้ได้ตลอดชีวิตเลย"
เธอยึดหลักว่า ทำการค้าต้องไม่โจมตีใคร ความจริงใจ และซื่อสัตย์จะพิชิตใจลูกค้าได้มากกว่า
นอกจากสูตรเคลือบคิดค้นขึ้นเองแล้ว สินค้าของที่นี่ยังมีรูปแบบใหม่ๆ ตลอดเวลา เรียกว่า ออกบูธทุกครั้ง ก็จะต้องมีสีสันใหม่ๆ มาเอาใจลูกค้ากันบ้าง เหตุผลสำคัญ เพราะมีขาช้อปหลายรายที่ภักดีขนาดเป็นลูกค้าประจำ และสิ่งที่เขาเหล่านี้หวังก็คือ การมาที่ร้านแล้วเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้จับจองเป็นเจ้าของตลอดเวลานั่นเอง
จากเซรามิครูปแบบเดิมๆ พัฒนาชิ้นงานให้มีคุณค่า และการใช้งานเพิ่มขึ้น เช่น โมบายปลา ก็พัฒนามาเป็นลวดลาย 12 ราศี
ล่าสุดของตกแต่งบ้านพันธุ์ใหม่ชุดตุ๊กตาสัตว์น้อยโล้ชิงช้า ขจัดปัญหาเรื่องข้อจำกัด "พื้นที่"
"สินค้าของตกแต่งบ้านและสวน เวลาเรียงกันไว้ก็เต็มพื้นที่ไปหมด ลูกค้าบางคนก็ไม่อยากวางไว้กับพื้นเพราะสัตว์ที่เขาเลี้ยงไว้มาชนแตกหมด บางทีก็ตกแต่งจนเต็มแล้ว ไม่มีที่จะวางอีก เขาก็ไม่รู้จะซื้อของเราไปทำไม สิ่งที่เราทำคือ พัฒนาสินค้าที่ยังมีที่ว่างให้ตกแต่งได้ อย่างสัตว์โล้ชิงช้า ที่สามารถเอาไปแขวนที่ไหนก็ได้ สร้างบรรยากาศใหม่ๆ ให้การตกแต่งบ้าน และไม่สร้างทางตันให้กับสินค้าของเราเองด้วย"
"ศรีสุพร" บอกเราว่า ในสมองของเธอจะคิดอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา บางทีก็ได้ไอเดียจากลูกค้าช่วยต่อยอดไปยังสินค้าใหม่ๆ ต่อเนื่อง ส่วนคู่แข่งเลียนแบบไม่ต้องไปคิดถึง เลียนแบบได้ก็คิดใหม่ได้
แต่สิ่งที่นักคิดต้องทำคือ ทุ่มเทกับการสร้างสรรค์ เพื่อหนีตลาด หนีระบบการแข่งขันด้านราคา ขณะเดียวกันสร้างตลาดให้ยาวขึ้น
ธุรกิจเล็กๆ อย่าง "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" มีกำลังการผลิตขนาดพอเหมาะประมาณ 400 ชิ้นต่อเดือน แรงงาน 2-3 คน เท่านั้น ส่วนราคาก็ตั้งแต่ 35 - 2,900 บาท
ไม่เพียงแบรนด์ "ไผ่สาน-งานตอง เซรามิค" ที่ต้องงัดกลยุทธ์มาวิ่งสู้ฟัดกับสินค้าเลียนแบบ สำหรับสบู่แฮนด์เมด "ซาลิน่า" (SALINA) เองก็ประสบปัญหาที่ไม่ต่างกัน "วรพงษ์ พัฒนเจริญ" ทายาทผู้ผลิตและจำหน่ายสบู่ธรรมชาติแบรนด์ "SALINA" บอกกับเราว่า การทำสบู่ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ารู้วิธีใครๆ ก็ทำได้ แถมยังเรียนรู้ได้รวดเร็วอีกด้วย
แต่สบู่ "SALINA" ยังคงความแตกต่างไว้ได้ มีกำลังการผลิตถึงกว่าหมื่นชิ้นต่อเดือน ซ้ำยังมีลูกค้าจากทั้งในและต่างประเทศคอยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญสินค้าที่น่าจะง่ายต่อการลอกเลียนแบบนี้ เคยได้รางวัลโอท็อป 5 ดาว ถึง 2 ปี ซ้อน
คีย์ซัคเซสสำคัญ คือ การหา "ความต่าง" ให้กับตัวเองให้ได้ คิดให้ใหม่ ให้สมองทำงานตลอดเวลา วรพงษ์ บอกกับเราว่า คุณแม่ของเขา "จารุวรรณ พัฒนเจริญ" เป็นนักคิดนักพัฒนาตัวยง จากสบู่ที่น่าจะธรรมดา ก็มาทำสบู่ทำมือ ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติไอเดียกระฉูด อย่างสบู่นมแพะ มังคุด เกสรบัว พริกไทยดำ สบู่ไหมทอง สบู่โสม สบู่ทองคำใส สบู่ช็อกโกแลต และหลากหลายสูตรล้นสรรพคุณกว่า 50 ชนิด
แต่สูตรที่แตกต่าง ใครๆ ก็เลียนแบบง่ายๆ สองแม่ลูกพัฒนาความต่างด้วยดีไซน์ไอเดียเฉียบ
จากของใช้ก็กลายมาเป็นของตกแต่งบ้านเก๋ๆ อย่างโมบายเปลือกหอยที่ทำจากสบู่
"แม่เดินดูสวนแล้วเห็นพวกหิน เปลือกหอย ก็มาคิดว่ามันน่าจะเอาสบู่มาทำของพวกนี้ได้นะ ยิ่งพวกสปาน่าจะชอบ เลยไปจ้างเขาทำโมเดล แล้วทำออกมาเป็นพวกโมบายเปลือกหอย ของตกแต่งบ้านรูปเปลือกหอย ก้อนหิน หรืออย่างไข่ที่เป็นสบู่ขมิ้น"
แน่นอนว่าจากตลาดผู้ใช้สบู่เพื่อสุขภาพ ก็ขยายไปสู่ตลาดของพรีเมียม ตลาดกิ๊ฟท์ และของตกแต่งได้อีกทางด้วย สร้างโอกาสให้ธุรกิจไม่ปิดกั้นตัวเองแค่สบู่ที่มีคู่แข่งมหาศาลเท่านั้น
นอกจากของใช้ ของขวัญ ของตกแต่งบ้านจากสบู่แล้วก็ยังพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่าง เครื่องหอมจากธรรมชาติเป็นต้น โดยเป็นสบู่ใช้ประมาณ 60% และกลุ่มของของขวัญ ของตกแต่ง และเครื่องหอมที่ประมาณ 40%
ไอเดียใหม่ๆ เข้ามาตอบตลาดสปา และสถานการณ์ในประเทศที่นิ่งๆ ไป รวมถึงสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้าต่างประเทศที่จะมีตัวเลือกมากขึ้น โดยตลาดหลัก คือที่เยอรมนี เกาหลี และญี่ปุ่น ในราคาขายปลีกที่ 60-650 บาทต่อชิ้น
ใครที่เริ่มเบื่อกับพวกชอบลอกเลียนแบบ ก็ลองคิด "นอกกรอบ" แบบพวกเขาได้ เพื่อโอกาสธุรกิจที่ไม่สิ้นสุดแค่วันนี้
.................................
Key to success
คู่มือต่อกรตลาด "Me too"
๐ คิดให้ต่าง ผุดไอเดียใหม่ๆ ไม่หยุดนิ่ง
๐ มองต้นทุนที่ตัวเองมี ทำดีเหนือคู่แข่ง
๐ แข่งขันที่ไอเดียไม่สู้กันที่ราคา
๐ พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
๐ คิดสินค้า "นอกกรอบ" ตอบความต้องการที่ไม่สิ้นสุด
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 43
จาก BIZweek อีกแล้วครับ
เรื่อง:ไทยจะฉกฉวยโอกาสอย่างไร เมื่อเอเชียกลับมาผงาดอีกครั้ง
ECO-NO-MISS : ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
หากถามนักลงทุนทั่วโลกว่า ประเทศในภูมิภาคใดที่มีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้น "เอเชีย" และถ้าถามต่อไปว่า ภูมิภาคใดเป็นสถานที่ที่น่าลงทุนที่สุดในโลกในขณะนี้ คำตอบที่ได้ก็คงยังเป็น เอเชีย อีก
หลายคนเริ่มมองว่า มหัศจรรย์ของเอเชีย เริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
20 ปีก่อนทั่วโลกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น "ยุคทองของเอเชีย" เนื่องจากประเทศในเอเชียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly Industrializing Countries: NICs) ของเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ หรือ ประเทศในอาเซียนที่มีความโดดเด่นทางเศรษฐกิจอย่างมากในระยะนั้น คือ มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย
20 ปีที่แล้ว มาเลเซีย และ ไทย ถูกจับตามองว่าจะกลายเป็นเสือ (ทางเศรษฐกิจใหม่) ตัวที่ 5 ของเอเชียตามหลังกลุ่ม NICs รุ่นพี่ทั้ง 4 ประเทศ
มหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของเอเชียได้พังทลายลงภายหลังจากวิกฤตการณ์ ต้มยำกุ้ง หรือวิกฤติเศรษฐกิจของเอเชียในปี 2540 ที่เริ่มต้นที่ประเทศไทย ทำให้ความโดดเด่นของเอเชียซบเซาลง
ประเทศในเอเชียทั้งเสือเก่า เสือใหม่ และ (ว่าที่) เสือเศรษฐกิจ ต้องกลับมาปรับปรุงและฟื้นฟูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่หลายปี ทำให้ความเจริญเติบโตและความคึกคักทางเศรษฐกิจกลับไปอยู่ที่สหรัฐ
10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐได้กลายเป็นประเทศผู้นำในโลกยุคที่ 3 หรือยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งเป็นโลกแห่งยุคข้อมูลสารสนเทศ (Information Technology) ซึ่งเรารู้จักในดีก็คือ ยุคไอที
ด้วยยุค ไอที นี่เอง ทำให้ประเทศอินเดียซึ่งถือเป็นประเทศชั้นนำด้านไอทีของเอเชียเริ่มโดดเด่น ขณะที่ประเทศจีนเริ่มเปิดเสรีนโยบายเศรษฐกิจ และใช้ระบบทุนนิยมเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้ชื่อของประเทศจีนโดดเด่นมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ภายหลังจากที่สหรัฐเริ่มมีปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำ (Sub Prime Loan) ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และชักนำให้เศรษฐกิจของประเทศยุโรปชะลอตัวลงด้วยเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทั่วโลกมองว่ามหัศจรรย์เอเชียจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การนำของประเทศจีนและอินเดีย
หากพิจารณาถึงรายงานการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2551 จะขยายตัว 4.8% ซึ่งชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2550 ที่เศรษฐกิจโลกมีอัตราการขยายตัว 5.2% เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของสหรัฐ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าของสหรัฐ
เนื่องจากผลกระทบของปัญหาการขาดสภาพคล่องในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของสหรัฐ โดยเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 1.9% ในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจแคนาดา และเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปจะขยายตัวในอัตรา 2.3% และ 2.1% ตามลำดับ ชะลอตัวลงจากระดับ 2.8% และ 2.5% ในปี 2550
กลุ่มเศรษฐกิจ "ดาวรุ่ง" ที่มีแนวโน้มจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ในอนาคต คือ จีน อินเดีย และ รัสเซีย จะยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทั้งในปีนี้ และปีหน้า แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอตัวลงในปีหน้าตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ในปี 2551 ประเทศจีน อินเดีย และ รัสเซีย จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 11.5%, 8.4% และ 6.5% ตามลำดับ
เทียบกับปี 2550 ที่ประเทศทั้งสามมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 10.0% 8.9% และ 7.0%
นอกจากนี้ IMF ยังระบุอีกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อินเดีย และ รัสเซีย มีส่วนสำคัญ ราวครึ่งหนึ่งของสัดส่วนการขยายตัวเศรษฐกิจโลกในปี 2549
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆ นั้น ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย (Developing Asia) ยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2550 และปี 2551 มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 9.8% และ 8.9%
รองลงมาได้แก่ประเทศรัฐเอกราชใหม่ซึ่งเคยอยู่ในกลุ่มของสหภาพโซเวียตเดิม (Commonwealth of Independent States : CIS) ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550 และ 2551 ประมาณ 7.8% และ 7.0% ตามลำดับ
นอกจากนี้ จากรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2550 (World Investment Report 2007) ของที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) ระบุว่า ประเทศจีนและอินเดีย เป็นประเทศที่นักลงทุนสนใจในการลงทุนอันดับที่ 1 และที่ 2 ของโลกตามลำดับในช่วง 3 ปีข้างหน้า
จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดสรุปได้ว่า เอเชียจะกลับมาผงาดในเวทีโลกในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าอีกครั้งครับ
ประเทศไทย แม้ว่าไม่จะโดดเด่นในเวทีโลกหรือของเอเชีย แต่เราก็ไม่เป็นสองรองใคร เพราะในรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2550 ของ UNCTAD ระบุว่า แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ยังเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment:- FDI) แต่นักลงทุนเริ่มมีความระมัดระวังและเลือกสรรการลงทุนในจีนมากขึ้น
ขณะที่อินเดียที่นักลงทุนมองหาโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีประชากรจำนวนมากเริ่มพบข้อจำกัดและอุปสรรคในการลงทุน
ประเทศเวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อ FDI ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
ประเทศไทยในรายงานระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่จะดึงดูดการลงทุนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value-Added / FDI)
นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศที่ประเทศจีนจะเข้ามาลงทุนมากขึ้นในอนาคต โดยรายงานฉบับนี้ระบุว่า จีนเริ่มมีการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากจีนต้องการใช้เงินทุนสำรองต่างประเทศที่เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับไปลงทุนในต่างประเทศ
จีน ได้กำหนดประเทศเป้าหมายกลุ่มแรกจำนวน 8 ประเทศที่ต้องการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกับจีน ซึ่งประกอบด้วย ประเทศในเอเชีย 3 ประเทศ คือ ไทย มองโกเลีย และปากีสถาน ประเทศในแอฟริกา คือ ไนจีเรีย มอริเชียส และแซมเบีย และประเทศใน CIS คือ คาซัคสถานและรัสเซีย
เห็นหรือไม่ครับว่า ไทยยังเนื้อหอมอยู่ในสายตาของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอเชีย (นำโดยจีน อินเดีย และ ญี่ปุ่น) กลับมาบนเวทีโลก ไทยคงจะได้อานิสงส์ในการกลับมาของเอเชียอีกครั้ง เพราะไทยมีความเหมาะสมด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ ไทย ยังเป็น สะพานเชื่อมจีนกับอินเดีย ไทยคือ ประตูสู่ประเทศในอินโดจีน และไทยคือ หน้าต่างสู่ประเทศในอาเซียน
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อให้ไทย พร้อมรับการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และโดดเด่นในเวทีโลก โดยการสร้างและขยายศักยภาพด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการตลอดจนระบบโลจิสติกส์ให้มีความพร้อมมากขึ้น
นอกจากนี้ ควรพัฒนาเพิ่มทักษะให้กับแรงงานไทยและทรัพยากรมนุษย์ของไทยให้มีคุณภาพมากขึ้น และมีจำนวนที่เหมาะสมกับการพัฒนาในทุกสาขาวิชาชีพที่ตลาดต้องการ ตลอดจนพัฒนาระบบการศึกษาของนักเรียน นักศึกษา พร้อมทั้งส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่มีความทันสมัย และปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
/////
"โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อให้ไทย พร้อมรับการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และโดดเด่นในเวทีโลก"
เรื่อง:ไทยจะฉกฉวยโอกาสอย่างไร เมื่อเอเชียกลับมาผงาดอีกครั้ง
ECO-NO-MISS : ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
หากถามนักลงทุนทั่วโลกว่า ประเทศในภูมิภาคใดที่มีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้น "เอเชีย" และถ้าถามต่อไปว่า ภูมิภาคใดเป็นสถานที่ที่น่าลงทุนที่สุดในโลกในขณะนี้ คำตอบที่ได้ก็คงยังเป็น เอเชีย อีก
หลายคนเริ่มมองว่า มหัศจรรย์ของเอเชีย เริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
20 ปีก่อนทั่วโลกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น "ยุคทองของเอเชีย" เนื่องจากประเทศในเอเชียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly Industrializing Countries: NICs) ของเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ หรือ ประเทศในอาเซียนที่มีความโดดเด่นทางเศรษฐกิจอย่างมากในระยะนั้น คือ มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย
20 ปีที่แล้ว มาเลเซีย และ ไทย ถูกจับตามองว่าจะกลายเป็นเสือ (ทางเศรษฐกิจใหม่) ตัวที่ 5 ของเอเชียตามหลังกลุ่ม NICs รุ่นพี่ทั้ง 4 ประเทศ
มหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของเอเชียได้พังทลายลงภายหลังจากวิกฤตการณ์ ต้มยำกุ้ง หรือวิกฤติเศรษฐกิจของเอเชียในปี 2540 ที่เริ่มต้นที่ประเทศไทย ทำให้ความโดดเด่นของเอเชียซบเซาลง
ประเทศในเอเชียทั้งเสือเก่า เสือใหม่ และ (ว่าที่) เสือเศรษฐกิจ ต้องกลับมาปรับปรุงและฟื้นฟูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่หลายปี ทำให้ความเจริญเติบโตและความคึกคักทางเศรษฐกิจกลับไปอยู่ที่สหรัฐ
10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐได้กลายเป็นประเทศผู้นำในโลกยุคที่ 3 หรือยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งเป็นโลกแห่งยุคข้อมูลสารสนเทศ (Information Technology) ซึ่งเรารู้จักในดีก็คือ ยุคไอที
ด้วยยุค ไอที นี่เอง ทำให้ประเทศอินเดียซึ่งถือเป็นประเทศชั้นนำด้านไอทีของเอเชียเริ่มโดดเด่น ขณะที่ประเทศจีนเริ่มเปิดเสรีนโยบายเศรษฐกิจ และใช้ระบบทุนนิยมเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้ชื่อของประเทศจีนโดดเด่นมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ภายหลังจากที่สหรัฐเริ่มมีปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำ (Sub Prime Loan) ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และชักนำให้เศรษฐกิจของประเทศยุโรปชะลอตัวลงด้วยเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทั่วโลกมองว่ามหัศจรรย์เอเชียจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การนำของประเทศจีนและอินเดีย
หากพิจารณาถึงรายงานการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2551 จะขยายตัว 4.8% ซึ่งชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2550 ที่เศรษฐกิจโลกมีอัตราการขยายตัว 5.2% เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของสหรัฐ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าของสหรัฐ
เนื่องจากผลกระทบของปัญหาการขาดสภาพคล่องในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของสหรัฐ โดยเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 1.9% ในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจแคนาดา และเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปจะขยายตัวในอัตรา 2.3% และ 2.1% ตามลำดับ ชะลอตัวลงจากระดับ 2.8% และ 2.5% ในปี 2550
กลุ่มเศรษฐกิจ "ดาวรุ่ง" ที่มีแนวโน้มจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ในอนาคต คือ จีน อินเดีย และ รัสเซีย จะยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทั้งในปีนี้ และปีหน้า แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอตัวลงในปีหน้าตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ในปี 2551 ประเทศจีน อินเดีย และ รัสเซีย จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 11.5%, 8.4% และ 6.5% ตามลำดับ
เทียบกับปี 2550 ที่ประเทศทั้งสามมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 10.0% 8.9% และ 7.0%
นอกจากนี้ IMF ยังระบุอีกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อินเดีย และ รัสเซีย มีส่วนสำคัญ ราวครึ่งหนึ่งของสัดส่วนการขยายตัวเศรษฐกิจโลกในปี 2549
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆ นั้น ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย (Developing Asia) ยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2550 และปี 2551 มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 9.8% และ 8.9%
รองลงมาได้แก่ประเทศรัฐเอกราชใหม่ซึ่งเคยอยู่ในกลุ่มของสหภาพโซเวียตเดิม (Commonwealth of Independent States : CIS) ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550 และ 2551 ประมาณ 7.8% และ 7.0% ตามลำดับ
นอกจากนี้ จากรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2550 (World Investment Report 2007) ของที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) ระบุว่า ประเทศจีนและอินเดีย เป็นประเทศที่นักลงทุนสนใจในการลงทุนอันดับที่ 1 และที่ 2 ของโลกตามลำดับในช่วง 3 ปีข้างหน้า
จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดสรุปได้ว่า เอเชียจะกลับมาผงาดในเวทีโลกในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าอีกครั้งครับ
ประเทศไทย แม้ว่าไม่จะโดดเด่นในเวทีโลกหรือของเอเชีย แต่เราก็ไม่เป็นสองรองใคร เพราะในรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2550 ของ UNCTAD ระบุว่า แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ยังเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment:- FDI) แต่นักลงทุนเริ่มมีความระมัดระวังและเลือกสรรการลงทุนในจีนมากขึ้น
ขณะที่อินเดียที่นักลงทุนมองหาโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีประชากรจำนวนมากเริ่มพบข้อจำกัดและอุปสรรคในการลงทุน
ประเทศเวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อ FDI ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
ประเทศไทยในรายงานระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่จะดึงดูดการลงทุนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value-Added / FDI)
นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศที่ประเทศจีนจะเข้ามาลงทุนมากขึ้นในอนาคต โดยรายงานฉบับนี้ระบุว่า จีนเริ่มมีการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากจีนต้องการใช้เงินทุนสำรองต่างประเทศที่เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับไปลงทุนในต่างประเทศ
จีน ได้กำหนดประเทศเป้าหมายกลุ่มแรกจำนวน 8 ประเทศที่ต้องการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกับจีน ซึ่งประกอบด้วย ประเทศในเอเชีย 3 ประเทศ คือ ไทย มองโกเลีย และปากีสถาน ประเทศในแอฟริกา คือ ไนจีเรีย มอริเชียส และแซมเบีย และประเทศใน CIS คือ คาซัคสถานและรัสเซีย
เห็นหรือไม่ครับว่า ไทยยังเนื้อหอมอยู่ในสายตาของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอเชีย (นำโดยจีน อินเดีย และ ญี่ปุ่น) กลับมาบนเวทีโลก ไทยคงจะได้อานิสงส์ในการกลับมาของเอเชียอีกครั้ง เพราะไทยมีความเหมาะสมด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ ไทย ยังเป็น สะพานเชื่อมจีนกับอินเดีย ไทยคือ ประตูสู่ประเทศในอินโดจีน และไทยคือ หน้าต่างสู่ประเทศในอาเซียน
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อให้ไทย พร้อมรับการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และโดดเด่นในเวทีโลก โดยการสร้างและขยายศักยภาพด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการตลอดจนระบบโลจิสติกส์ให้มีความพร้อมมากขึ้น
นอกจากนี้ ควรพัฒนาเพิ่มทักษะให้กับแรงงานไทยและทรัพยากรมนุษย์ของไทยให้มีคุณภาพมากขึ้น และมีจำนวนที่เหมาะสมกับการพัฒนาในทุกสาขาวิชาชีพที่ตลาดต้องการ ตลอดจนพัฒนาระบบการศึกษาของนักเรียน นักศึกษา พร้อมทั้งส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่มีความทันสมัย และปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
/////
"โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อให้ไทย พร้อมรับการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และโดดเด่นในเวทีโลก"
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 44
เจออีกแล้ว จาก BIZWEEK ครับ
เรื่อง
Eco-No-Miss : ของแพงน้ำมันแพงจะรับมืออย่างไร
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
แย่จัง จะอยู่กันยังไงดี น้ำมันก็แพง ของก็แพง
เป็นคำพูดที่ผมได้ยินและถูกถามมากที่สุดในขณะนี้ พร้อมๆ กับคำถามที่เต็มไปด้วยความกังวลว่า น้ำมันและข้าวของจะแพงขึ้นอีกมากหรือไม่
สิ่งเหล่านี้คือความกังวลใจมากที่สุดของภาคประชาชนในฐานะผู้บริโภคในขณะนี้ เนื่องจากผู้บริโภคได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต เช่น ราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกทั้งในตลาดโลกและตลาดในประเทศ การปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในช่วงปลายปีนี้ ตลอดจนการขอปรับขึ้นราคาสินค้าหลายชนิดของผู้ประกอบการภายในประเทศ
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เราจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการขอปรับราคาสินค้าต่างๆ แทบทุกวัน ทั้งราคาน้ำมัน ราคาสินค้า ตลอดจนค่าขนส่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ทั้งกระทรวงพลังงาน หรือบริษัทผู้ค้าน้ำมัน ได้ออกมาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 30 และ 32 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
นอกจากนี้ การที่กระทรวงพลังงานมีแผนที่จะปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ทำให้ขณะนี้มีผู้ประกอบการหลายรายได้ขอปรับขึ้นราคาค่าขนส่งและราคาสินค้าหลายชนิด
แน่นอนครับว่า การที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าและต้นทุนของการขนส่งที่สำคัญของสินค้าและบริการแทบทุกชนิด
เมื่อราคาน้ำมันและราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาของผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและในอนาคตลดน้อยลง (จากประสบการณ์ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ที่ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา)
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคให้มีจำนวนน้อยลงด้วย ทำให้ช่วงนี้ผู้บริโภคจะยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย โดยจะใช้จ่ายตามความจำเป็นและลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยลง ซึ่งเป็นการชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจออกไปอีก หากเศรษฐกิจไทยไม่ได้รับการกระตุ้นจากส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของรัฐบาลหรือของเอกชน หรือการส่งออก ดังนั้น มาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (โดยเฉพาะรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง) จะมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้
ปัจจุบัน ผู้บริโภครู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนกับจะเป็นไข้ เพราะอาการของโรคกลัวของแพงเริ่มกำเริบมากขึ้น หลังจากที่ล่าสุดราคาน้ำมันดีเซลและราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 28.14 และ 31.19 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปถึงระดับที่หลายฝ่ายคาดกันไว้
ความกลัวของผู้บริโภคก็เริ่มปรากฏภาพให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อข่าวการขอปรับขึ้นราคาสินค้ามีให้เห็นแทบทุกวันในช่วงนี้ แม้ว่ากรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ช่วยชะลอการขึ้นราคาสินค้า แต่ก็คงบรรเทาปัญหาด้านราคาสินค้าได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดราคาสินค้าและค่าครองชีพต่างๆ จะปรับตัวสูงขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลายๆ ฝ่ายทั้งภาครัฐบาลและเอกชน พยายามร่วมมือกันบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยผู้ค้าน้ำมันได้ออกมาบอกว่า จะพยายามตรึงราคาน้ำมันไม่ให้สูงมากจนสร้างความเดือดร้อนให้ได้นานที่สุด แม้ว่าค่าการตลาดจะมีน้อยหรือติดลบในบางช่วงก็ตาม
ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้าหรือถ้าปรับขึ้นก็ยังปรับราคาสูงขึ้นไม่มากนัก เช่น สมาคมการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก และสมาคมขนส่งสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ได้มีมติของที่ประชุมว่า ในสถานการณ์ราคาน้ำมันสูงเช่นนี้ ควรมีการปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 10% แต่ผู้ประกอบการจะทยอยปรับขึ้นค่าขนส่งเพียง 3-5% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อไม่ให้ประชาชนและผู้บริโภคได้รับผลกระทบมาก
อย่างไรก็ตาม หากน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นเกินลิตรละ 30 บาท ทางกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสินค้าก็จะต้องปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 3-5% ขณะที่รถโดยสาร ขสมก. และรถ บขส. ยืนยันที่จะตรึงราคาค่าโดยสารต่อไปจนถึงเดือนมกราคมปีหน้า โดยจะหาแนวทางลดต้นทุนการดำเนินงานลง เป็นต้น
ทางด้านรัฐบาล ล่าสุดที่ประชุม ครม.ได้พูดกันถึงเรื่องการมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยจะดำเนินการช่วยกันประหยัดพลังงาน และการไม่ขึ้นราคาน้ำมันจนทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างมาก โดยมอบให้ทางกระทรวงพลังงานได้นำไปพิจารณาการนำเงินกองทุนมาช่วยเหลือราคาน้ำมันได้ เมื่อหนี้สินของเงินกองทุนน้ำมันที่จะหมดลงในอนาคตอันใกล้นี้
เรื่องนี้ หากมีการพิจารณาการหักเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันภายหลังจากกองทุนน้ำมันหมดภาระหนี้สินแล้ว อาจทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินปรับลดลงได้อีก
นอกจากนี้ มีข่าวว่ากระทรวงพลังงานมีแนวคิดที่จะลดสัดส่วนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของไบโอดีเซลลงอีก 30 สตางค์/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกไบโอดีเซลถูกกว่าดีเซลจาก 70 สตางค์/ลิตร เป็น 1 บาท/ลิตร เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ดีเซลหันมาสนใจไบโอดีเซลมากขึ้น และลดภาระให้กับผู้ใช้น้ำมันดีเซลให้มีทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายลง เช่นเดียวกับก๊าซโซฮอล์ 95 ที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ประมาณ 3.5 บาทต่อลิตร
เมื่อภาครัฐบาลและผู้ประกอบการช่วยกันบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคกันอย่างเต็มที่แล้ว พวกเราในฐานะผู้บริโภค คงต้องช่วยๆ กันคนละไม้คนละมือครับ เริ่มต้นจากการสำรวจการใช้จ่ายของเราในแต่ละเดือนว่ามีการใช้จ่ายอย่างไร เพียงพอและสอดคล้องกับรายได้ที่เราหามาได้หรือไม่ ถ้ายังมีเงินเหลือหลังจากที่หักค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นแล้ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมากนักครับ จับจ่ายใช้สอยตามปกติเถอะครับ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวลง
แต่ถ้าการใช้จ่ายไม่ค่อยเหมาะสมกับรายได้ที่หามาได้ เราคงต้องควบคุมหรือลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงเป็นลำดับแรก (เอาไว้กลับมาใช้จ่ายเป็นปกติเมื่อเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นก็แล้วกันครับ) หากยังไม่เพียงพอก็คงต้องปรับลดการบริโภคสินค้าที่จำเป็น โดยใช้ของที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันแต่มีราคาถูกกว่า เพื่อให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับรายได้ เข้าทำนอง อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ก่อนครับ
ในช่วงนี้คงต้องปรับตัวกันก่อนนะครับ เพราะข้าวของที่แพงขึ้นนั้น เป็นการปรับขึ้นตามต้นทุนจริงๆ แม้ว่ารายได้ของเรายังเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า รายได้ของเราก็จะมีมากขึ้นและสอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ก็หวังว่าพรรคการเมืองต่างๆ คงทราบดีว่าประชาชนฝากความหวังไว้กับพวกท่านในการเข้ามาบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ฟื้นรายได้ และฟื้นอำนาจซื้อให้กับประชาชนในภาวะข้าวของและค่าครองชีพแพงอย่างนี้
เรื่อง
Eco-No-Miss : ของแพงน้ำมันแพงจะรับมืออย่างไร
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
แย่จัง จะอยู่กันยังไงดี น้ำมันก็แพง ของก็แพง
เป็นคำพูดที่ผมได้ยินและถูกถามมากที่สุดในขณะนี้ พร้อมๆ กับคำถามที่เต็มไปด้วยความกังวลว่า น้ำมันและข้าวของจะแพงขึ้นอีกมากหรือไม่
สิ่งเหล่านี้คือความกังวลใจมากที่สุดของภาคประชาชนในฐานะผู้บริโภคในขณะนี้ เนื่องจากผู้บริโภคได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต เช่น ราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกทั้งในตลาดโลกและตลาดในประเทศ การปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในช่วงปลายปีนี้ ตลอดจนการขอปรับขึ้นราคาสินค้าหลายชนิดของผู้ประกอบการภายในประเทศ
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เราจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการขอปรับราคาสินค้าต่างๆ แทบทุกวัน ทั้งราคาน้ำมัน ราคาสินค้า ตลอดจนค่าขนส่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ทั้งกระทรวงพลังงาน หรือบริษัทผู้ค้าน้ำมัน ได้ออกมาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 30 และ 32 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
นอกจากนี้ การที่กระทรวงพลังงานมีแผนที่จะปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ทำให้ขณะนี้มีผู้ประกอบการหลายรายได้ขอปรับขึ้นราคาค่าขนส่งและราคาสินค้าหลายชนิด
แน่นอนครับว่า การที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าและต้นทุนของการขนส่งที่สำคัญของสินค้าและบริการแทบทุกชนิด
เมื่อราคาน้ำมันและราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาของผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและในอนาคตลดน้อยลง (จากประสบการณ์ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ที่ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา)
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคให้มีจำนวนน้อยลงด้วย ทำให้ช่วงนี้ผู้บริโภคจะยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย โดยจะใช้จ่ายตามความจำเป็นและลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยลง ซึ่งเป็นการชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจออกไปอีก หากเศรษฐกิจไทยไม่ได้รับการกระตุ้นจากส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของรัฐบาลหรือของเอกชน หรือการส่งออก ดังนั้น มาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (โดยเฉพาะรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง) จะมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้
ปัจจุบัน ผู้บริโภครู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนกับจะเป็นไข้ เพราะอาการของโรคกลัวของแพงเริ่มกำเริบมากขึ้น หลังจากที่ล่าสุดราคาน้ำมันดีเซลและราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 28.14 และ 31.19 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปถึงระดับที่หลายฝ่ายคาดกันไว้
ความกลัวของผู้บริโภคก็เริ่มปรากฏภาพให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อข่าวการขอปรับขึ้นราคาสินค้ามีให้เห็นแทบทุกวันในช่วงนี้ แม้ว่ากรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ช่วยชะลอการขึ้นราคาสินค้า แต่ก็คงบรรเทาปัญหาด้านราคาสินค้าได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดราคาสินค้าและค่าครองชีพต่างๆ จะปรับตัวสูงขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลายๆ ฝ่ายทั้งภาครัฐบาลและเอกชน พยายามร่วมมือกันบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยผู้ค้าน้ำมันได้ออกมาบอกว่า จะพยายามตรึงราคาน้ำมันไม่ให้สูงมากจนสร้างความเดือดร้อนให้ได้นานที่สุด แม้ว่าค่าการตลาดจะมีน้อยหรือติดลบในบางช่วงก็ตาม
ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้าหรือถ้าปรับขึ้นก็ยังปรับราคาสูงขึ้นไม่มากนัก เช่น สมาคมการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก และสมาคมขนส่งสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ได้มีมติของที่ประชุมว่า ในสถานการณ์ราคาน้ำมันสูงเช่นนี้ ควรมีการปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 10% แต่ผู้ประกอบการจะทยอยปรับขึ้นค่าขนส่งเพียง 3-5% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อไม่ให้ประชาชนและผู้บริโภคได้รับผลกระทบมาก
อย่างไรก็ตาม หากน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นเกินลิตรละ 30 บาท ทางกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสินค้าก็จะต้องปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 3-5% ขณะที่รถโดยสาร ขสมก. และรถ บขส. ยืนยันที่จะตรึงราคาค่าโดยสารต่อไปจนถึงเดือนมกราคมปีหน้า โดยจะหาแนวทางลดต้นทุนการดำเนินงานลง เป็นต้น
ทางด้านรัฐบาล ล่าสุดที่ประชุม ครม.ได้พูดกันถึงเรื่องการมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยจะดำเนินการช่วยกันประหยัดพลังงาน และการไม่ขึ้นราคาน้ำมันจนทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างมาก โดยมอบให้ทางกระทรวงพลังงานได้นำไปพิจารณาการนำเงินกองทุนมาช่วยเหลือราคาน้ำมันได้ เมื่อหนี้สินของเงินกองทุนน้ำมันที่จะหมดลงในอนาคตอันใกล้นี้
เรื่องนี้ หากมีการพิจารณาการหักเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันภายหลังจากกองทุนน้ำมันหมดภาระหนี้สินแล้ว อาจทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินปรับลดลงได้อีก
นอกจากนี้ มีข่าวว่ากระทรวงพลังงานมีแนวคิดที่จะลดสัดส่วนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของไบโอดีเซลลงอีก 30 สตางค์/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกไบโอดีเซลถูกกว่าดีเซลจาก 70 สตางค์/ลิตร เป็น 1 บาท/ลิตร เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ดีเซลหันมาสนใจไบโอดีเซลมากขึ้น และลดภาระให้กับผู้ใช้น้ำมันดีเซลให้มีทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายลง เช่นเดียวกับก๊าซโซฮอล์ 95 ที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ประมาณ 3.5 บาทต่อลิตร
เมื่อภาครัฐบาลและผู้ประกอบการช่วยกันบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคกันอย่างเต็มที่แล้ว พวกเราในฐานะผู้บริโภค คงต้องช่วยๆ กันคนละไม้คนละมือครับ เริ่มต้นจากการสำรวจการใช้จ่ายของเราในแต่ละเดือนว่ามีการใช้จ่ายอย่างไร เพียงพอและสอดคล้องกับรายได้ที่เราหามาได้หรือไม่ ถ้ายังมีเงินเหลือหลังจากที่หักค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นแล้ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมากนักครับ จับจ่ายใช้สอยตามปกติเถอะครับ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวลง
แต่ถ้าการใช้จ่ายไม่ค่อยเหมาะสมกับรายได้ที่หามาได้ เราคงต้องควบคุมหรือลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงเป็นลำดับแรก (เอาไว้กลับมาใช้จ่ายเป็นปกติเมื่อเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นก็แล้วกันครับ) หากยังไม่เพียงพอก็คงต้องปรับลดการบริโภคสินค้าที่จำเป็น โดยใช้ของที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันแต่มีราคาถูกกว่า เพื่อให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับรายได้ เข้าทำนอง อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ก่อนครับ
ในช่วงนี้คงต้องปรับตัวกันก่อนนะครับ เพราะข้าวของที่แพงขึ้นนั้น เป็นการปรับขึ้นตามต้นทุนจริงๆ แม้ว่ารายได้ของเรายังเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า รายได้ของเราก็จะมีมากขึ้นและสอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ก็หวังว่าพรรคการเมืองต่างๆ คงทราบดีว่าประชาชนฝากความหวังไว้กับพวกท่านในการเข้ามาบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ฟื้นรายได้ และฟื้นอำนาจซื้อให้กับประชาชนในภาวะข้าวของและค่าครองชีพแพงอย่างนี้
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 45
จากคอลัมน์ small biz กรุงเทพธุรกิจครับ
ถอดสลักกุญแจ นักธุรกิจมือใหม่สายพันธุ์ "อาร์"
ชฎาพร นาวัลย์ Chadaporn_n @ nationgroup.com
เปิดสปอตไลท์ฉายแววนักธุรกิจของ "คนพันธุ์อาร์" ผ่านเวที RRR AWARD เวทีเพาะเมล็ดผู้ประกอบการอาชีวะ ก้าวแรกสู่การเป็นผู้ประกอบการ "ตัวจริง" ไม่น้อยหน้าคนพันธุ์อื่น
การประกาศผลโครงการอบรมแผนธุรกิจ "อาชีวะสร้างสรรค์ แปรฝันสู่ธุรกิจ" ปี 2 (RRR Awards 2007) เพื่อคัดเลือกตัวแทนนักศึกษา 3 กลุ่มโครงงาน ด้านผลประกอบการดีเด่น แผนธุรกิจดีเด่น และแนวคิดธุรกิจดีเด่น ไปทัศนศึกษาและดูงาน ณ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประเทศสิงคโปร์ต้นปี 2551 กับเบี้ยก้นถุงอีกทีมละ 30,000 บาทนั้น
รางวัลเป็นเพียงผลประโยชน์ "ส่วนน้อย" แต่นี่คือ เวทีพิสูจน์ "กึ๋น" ของ "คนพันธุ์อาร์" ว่า พวกเขาไม่ใช่แค่แรงงานมีทักษะ แต่ศักยภาพของพวกเขาพร้อมที่จะขึ้นเป็นผู้ประกอบการ "ตัวจริง" โดยมีจุดเด่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ได้เอง
เริ่มต้นแผนธุรกิจที่มี "ผลประกอบการดีเด่น" ที่เรียกความทึ่งจากคณะกรรมการในแผนธุรกิจ "บางพัฒน์โฮมสเตย์" ของนักศึกษารั้ววิทยาลัยเทคนิคพังงา พิชิตรางวัลด้วยผลประกอบการ "สูงสุด"
ทั้งที่บางพัฒน์โฮมสเตย์ เปิดดำเนินการจริงจังเป็นเวลา 3 เดือน แต่สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 379,300 บาท จากจำนวนเงินลงทุนเบื้องต้นเพียง 150,000 บาท คิดเป็นกำไรขั้นต้นเกือบ 50%
พร้อมกับคาดการณ์รายได้เฉลี่ยประมาณ 2,800,000 บาทต่อปี หรือร้อยละ 7 ของมูลค่าตลาดรวม ตลอดจนมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นปีละกว่า 15%
โดยอาศัยหลักพลิกฟื้นภูมิปัญญาพื้นถิ่น เลือกใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ผสมผสานเทคโนโลยีในมืออย่างลงตัว
สายสุนีย์ ขวัญเมือง ตัวแทนทีมงานเล่าว่า ธุรกิจโฮมสเตย์แตกต่างจากธุรกิจท่องเที่ยวและที่พักทั่วไป เพราะไม่โชว์ความหรูหรา สะดวกสบายอย่างที่นักท่องเที่ยวคุ้นชิน แต่ต้องการขาย "วิถีชีวิต" ตั้งแต่ความเป็นอยู่ของชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมพื้นบ้านและการประกอบอาชีพของชุมชน
น้องๆ อีก 4 คนได้แก่ ปาฏลี สุวรรณกิจ, อารีย์ หัสนีย์, มลฤดี นิเกตุ และกนกกิจ ทินโน พร้อมใจกันเห็นโอกาสธุรกิจจากการแปรค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แล้วประยุกต์ให้เข้ากับกระแสท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ จากโมเดลตัวอย่างของ "เกาะยาวน้อย" ควบคู่ไปกับมุ่งสร้างรายได้ให้กับชุมชนเป็นสำคัญ
"เราดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ลบคราบน้ำตาจากสึนามิ และเปลี่ยนนักท่องเที่ยวให้เป็นนักอนุรักษ์ เห็นคุณค่าของชุมชนป่าชายเลนบางพัฒน์"
การดำเนินโครงงานของน้องๆ จัดแบ่งงานกันตามหน้าที่ตามความถนัด ตามโครงสร้างองค์การ และจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อตอบแทนศูนย์บริการกลางในชุมชน เพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง สามารถสนองความพึงพอใจนักท่องเที่ยวเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้านในระยะยาวได้
พวกเขาลงขันกัน 100,000 บาท เพื่อเป็นเงินลงทุนเริ่มต้น บวกกับกู้ยืมสถาบันการเงินอีก 50,000 บาทหมุนเวียนจัดหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในบ้านพัก โดยใช้หลักทรัพย์คือโฉนดบ้านและที่ดินค้ำประกันเงินกู้ คิดเป็นสัดส่วน 2:1 ซึ่งเป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามวิถีทางธุรกิจ และลดความเสี่ยง
ประกอบกับน้องกลุ่มนี้พุ่งเป้าทำตลาดกับบริษัทนำเที่ยวท้องถิ่น ให้เป็นสะพานเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวอีกทอดหนึ่ง ควบคู่กับการส่งเสริมการตลาดอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น โบรชัวร์ตามแหล่งท่องเที่ยว สถานีขนส่ง และเวบไซต์
แง่ผลประกอบการ "บางพัฒน์โฮมสเตย์" ชนะขาดลอย แต่สำหรับแผนธุรกิจดีเด่นต้องยกให้ "Healthy Life" ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง
ธุรกิจเล็กๆ แต่มีคอนเซปต์ธุรกิจรัดกุม และชัดเจนพร้อมกับวางแผนอนาคตขยายกิจการด้วยเงินกำไรปันผล
คมกฤษ วะละ หัวหน้ากลุ่มเล่าว่า ธุรกิจของเราเริ่มต้นจากหาวัตถุดิบที่คนอื่นมองข้าม ซึ่งลำปางมีฟาร์มเลี้ยงแพะอยู่ รวมทั้งผลสำรวจพฤติกรรมตลาดนั้น ผู้บริโภครักสุขภาพ และเลือกรับประทานนมจากแพะมากขึ้น
โครงการ "Healthy Life" จึงก่อตัวขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ โดยการแปรรูปน้ำนมแพะในรูปแบบเครื่องดื่มร้อนและเย็น (Smoothy) หลากรสชาติ ทั้งกาแฟ แอปเปิล ช็อกโกแลต เป็นต้น พร้อมแต่งหน้านมตามชื่อเมนูเก๋ไก๋ อย่าง Healthy Beauty หรือ Healthy Refresh โดยกำหนดราคาอยู่ที่ 20 บาท เพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อของฐานลูกค้า
ช่องทางการจัดจำหน่ายเริ่มต้นที่โต๊ะพับได้ข้างกำแพงวิทยาลัย ขยายสู่รูปลักษณ์ "รถเข็น" โดยยึดตัวอย่างคู่แข่งที่มีเงินหนากว่าใช้ความสวยงามของรถเข็นมาโน้มน้าวความสนใจลูกค้าเก่าของตน และเปลี่ยนมาจับลูกค้ากว้างขึ้น ด้วยโลเคชันแหล่งรวมการค้าและผู้ซื้อ อย่าง ลานชอปปิงพอยท์ ตลาดอัศวิน
ส่วนกิจกรรมส่งเสริมการตลาดก็จัดจ้าน ซึ่งคมกฤษ บอกว่า "Healthy Life" ใช้การสื่อสารทั้ง Above the Line เช่นโฆษณาทางวิทยุ และ Below the Line เช่น จัดตั้งบูธชิม และแจกใบปลิวเสนอคุณประโยชน์ของนมแพะ รวมถึงร่วมงานตลาดนัดสุขภาพกับวิทยาลัยพยาบาล เป็นต้น
พวกเขา วิเคราะห์ธุรกิจของตัวเองให้ฟังว่า จุดแข็งคือรูปลักษณ์รถเข็น "ขบวนรถไฟสายสุขภาพ" สะดุดตา และจูงใจผู้บริโภค ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสให้มีแหล่งจำหน่ายสำรอง หรือจุดขายอื่นๆ ได้ตลอดเวลา
แต่ "จุดอ่อน" คือคนรู้จักน้อย ทำให้สถาบันการเงินไม่ออกเงินกู้ ทีมจึงต้องระดมทุนคนละ 16,000 บาท รวมเป็น 80,000 บาท และ 1 ปีที่ผ่านมาก็คืนทุนและสร้างรายได้รวม 540,000 บาทแล้ว แต่พวกเขายังเผชิญอุปสรรค เรื่องฤดูกาลซึ่งส่งผลต่อการจัดเก็บและรักษาคุณภาพ ตลอดจนยังไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงแพะดีพอ
"เราจะตอกย้ำและรักษาลูกค้าประจำด้วยคำขวัญ Healthy Life สวัสดีครับ และขอบคุณที่มาอุดหนุน ส่วนโครงการต่อยอด คาดว่าจะแบ่งเงินปันผลออกเป็น 2 ส่วนคือ 60% แบ่งให้หุ้นส่วนทุกคนเท่าๆ กัน และอีก 40% เพื่อขยายกิจการในรูปแบบแฟรนไชส์ แต่เราต้องรอศึกษาเรื่องนี้ให้ดีก่อน"
สำหรับรางวัลสุดท้ายเป็นรางวัลสะท้อนความเป็นอาชีวะอย่างแท้จริง นั่นคือ การแสดงศักยภาพด้านการผลิตเครื่องจักร "แผนธุรกิจดีเด่น" จึงตกเป็นของทีมบีเทค ออริจินัล (Btec Original) จากวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์
พวกเขาตีโจทย์ข้อนี้แตก และไม่ทิ้งหลักการตอบแทนสังคม ด้วยแนวคิด "อาชีพเกษตรกรรมคู่กับคนไทย เป็นเสน่ห์ไทยที่เราต้องยึดไว้"
"เราเล็งเห็นความสำคัญของอาชีพคนไทย ต้องคำนึงรากเหง้าของเราคือเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ แต่เพราะวิวัฒนาการทางสังคม ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาเครื่องมือจากเทคโนโลยีทันสมัยด้วย"
ทีมบีเทคฯ สร้างแนวคิดเปลี่ยนเศษพืชหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว นำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลี่ยนเป็นอาหารสัตว์ หรือแปรเศษพืชเป็นปุ๋ยหมักกลับเข้าสู่แหล่งวัตถุดิบของเกษตรกรด้วยเครื่องจักร
"ในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นต้นแบบให้กับรุ่นน้องๆ ในการพัฒนาและบริหารงานให้มีรายได้ในระหว่างเรียนด้วย"
เครื่องสับอาหาร BTEC จึงเข้ามาสนองปัญหาเล็กๆ ของผู้เลี้ยงโค-กระบือที่ต้องใช้มีดมาสับอาหารอื่น เช่น ข้าวโพด กระถิน ยอดอ้อย ทดแทนหญ้าสดในช่วงเพาะปลูก ทำให้น้องๆ กลุ่มนี้คิดสร้างเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยทุ่นแรง สับอาหารให้ง่าย รวดเร็ว ใช้เวลาและแรงงานน้อย รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ที่สำคัญคือ ยังไม่มีคู่แข่งในตลาด
ความสำเร็จของบีเทคฯ คือการรวมทีมจากหลากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน โดยทุกฝ่ายมีอำนาจในการตัดสินใจเท่าเทียมกัน สามารถแลกเปลี่ยน แสดงความเห็นและรับฟังความคิดกันได้ทุกเรื่อง
หัวหน้าทีมบีเทค เล่าว่า ขั้นตอนผลิตเครื่องขนาดย่อม แต่มีฟังก์ชันการใช้งานสำเร็จในจุดเดียวจะอาศัยฝ่ายวิชาช่างยนต์ ซึ่งจะเชื่อมโยงเครือข่ายไปยังแผนกวิชาช่างกลโรงงาน และช่างเชื่อมโลหะ สำหรับเพิ่มปริมาณการผลิตได้มากและเร็วขึ้นได้ และมีราคาถูกอยู่ที่ 18,500 บาท ต่อจากนั้นก็เติมวิธีคิด "ใช้สะดวก" ด้วยระบบป้อนวัตถุดิบได้เองจากสาขาวิชาคอมพิวเตอร์
นอกจากนั้นยังควบคุมต้นทุนด้วยเพื่อนในทีมจากวิชาการบัญชี และสาขาวิชาการขาย โดยใช้ระบบการขายตรงในรูปแบบบริษัท โดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งสามารถยืดหยุ่นในการตกลงราคาเครื่องและการขนส่ง รวมทั้งโปรโมชั่นลดราคา และสร้างสื่อโฆษณา อย่างสติกเกอร์โฆษณาท้ายรถ หรือโบรชัวร์ และออกบูธตามตลาดนัดโค-กระบือ เพื่อเข้ามาช่วยทำตลาด
"เราไม่ได้ประสบปัญหาการผลิต เพียงแต่ขาดการบริหารจัดการที่ถูกวิธีและมองข้ามสิ่งที่ใกล้ตัวเกินไป อย่างการสร้างเครือข่ายการผลิตกับแผนกวิชาต่างๆ และเครือข่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งเราได้แก้ปัญหานี้จากคำแนะนำและการอบรมของโครงการและลงมือทำด้วยตนเองมานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่หากเกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องอาศัยร่วมมือกันในทีมของพวกเราต่อไป"
3 รางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีนี้ นับเป็นก้าวแรกที่จะผลักดัน "คนพันธุ์อาร์" ให้ขึ้นสู่เวทีผู้ประกอบการ "ตัวจริง" ไม่แพ้คนพันธุ์อื่น
ถอดสลักกุญแจ นักธุรกิจมือใหม่สายพันธุ์ "อาร์"
ชฎาพร นาวัลย์ Chadaporn_n @ nationgroup.com
เปิดสปอตไลท์ฉายแววนักธุรกิจของ "คนพันธุ์อาร์" ผ่านเวที RRR AWARD เวทีเพาะเมล็ดผู้ประกอบการอาชีวะ ก้าวแรกสู่การเป็นผู้ประกอบการ "ตัวจริง" ไม่น้อยหน้าคนพันธุ์อื่น
การประกาศผลโครงการอบรมแผนธุรกิจ "อาชีวะสร้างสรรค์ แปรฝันสู่ธุรกิจ" ปี 2 (RRR Awards 2007) เพื่อคัดเลือกตัวแทนนักศึกษา 3 กลุ่มโครงงาน ด้านผลประกอบการดีเด่น แผนธุรกิจดีเด่น และแนวคิดธุรกิจดีเด่น ไปทัศนศึกษาและดูงาน ณ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประเทศสิงคโปร์ต้นปี 2551 กับเบี้ยก้นถุงอีกทีมละ 30,000 บาทนั้น
รางวัลเป็นเพียงผลประโยชน์ "ส่วนน้อย" แต่นี่คือ เวทีพิสูจน์ "กึ๋น" ของ "คนพันธุ์อาร์" ว่า พวกเขาไม่ใช่แค่แรงงานมีทักษะ แต่ศักยภาพของพวกเขาพร้อมที่จะขึ้นเป็นผู้ประกอบการ "ตัวจริง" โดยมีจุดเด่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ได้เอง
เริ่มต้นแผนธุรกิจที่มี "ผลประกอบการดีเด่น" ที่เรียกความทึ่งจากคณะกรรมการในแผนธุรกิจ "บางพัฒน์โฮมสเตย์" ของนักศึกษารั้ววิทยาลัยเทคนิคพังงา พิชิตรางวัลด้วยผลประกอบการ "สูงสุด"
ทั้งที่บางพัฒน์โฮมสเตย์ เปิดดำเนินการจริงจังเป็นเวลา 3 เดือน แต่สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 379,300 บาท จากจำนวนเงินลงทุนเบื้องต้นเพียง 150,000 บาท คิดเป็นกำไรขั้นต้นเกือบ 50%
พร้อมกับคาดการณ์รายได้เฉลี่ยประมาณ 2,800,000 บาทต่อปี หรือร้อยละ 7 ของมูลค่าตลาดรวม ตลอดจนมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นปีละกว่า 15%
โดยอาศัยหลักพลิกฟื้นภูมิปัญญาพื้นถิ่น เลือกใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ผสมผสานเทคโนโลยีในมืออย่างลงตัว
สายสุนีย์ ขวัญเมือง ตัวแทนทีมงานเล่าว่า ธุรกิจโฮมสเตย์แตกต่างจากธุรกิจท่องเที่ยวและที่พักทั่วไป เพราะไม่โชว์ความหรูหรา สะดวกสบายอย่างที่นักท่องเที่ยวคุ้นชิน แต่ต้องการขาย "วิถีชีวิต" ตั้งแต่ความเป็นอยู่ของชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมพื้นบ้านและการประกอบอาชีพของชุมชน
น้องๆ อีก 4 คนได้แก่ ปาฏลี สุวรรณกิจ, อารีย์ หัสนีย์, มลฤดี นิเกตุ และกนกกิจ ทินโน พร้อมใจกันเห็นโอกาสธุรกิจจากการแปรค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แล้วประยุกต์ให้เข้ากับกระแสท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ จากโมเดลตัวอย่างของ "เกาะยาวน้อย" ควบคู่ไปกับมุ่งสร้างรายได้ให้กับชุมชนเป็นสำคัญ
"เราดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ลบคราบน้ำตาจากสึนามิ และเปลี่ยนนักท่องเที่ยวให้เป็นนักอนุรักษ์ เห็นคุณค่าของชุมชนป่าชายเลนบางพัฒน์"
การดำเนินโครงงานของน้องๆ จัดแบ่งงานกันตามหน้าที่ตามความถนัด ตามโครงสร้างองค์การ และจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อตอบแทนศูนย์บริการกลางในชุมชน เพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง สามารถสนองความพึงพอใจนักท่องเที่ยวเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้านในระยะยาวได้
พวกเขาลงขันกัน 100,000 บาท เพื่อเป็นเงินลงทุนเริ่มต้น บวกกับกู้ยืมสถาบันการเงินอีก 50,000 บาทหมุนเวียนจัดหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในบ้านพัก โดยใช้หลักทรัพย์คือโฉนดบ้านและที่ดินค้ำประกันเงินกู้ คิดเป็นสัดส่วน 2:1 ซึ่งเป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามวิถีทางธุรกิจ และลดความเสี่ยง
ประกอบกับน้องกลุ่มนี้พุ่งเป้าทำตลาดกับบริษัทนำเที่ยวท้องถิ่น ให้เป็นสะพานเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวอีกทอดหนึ่ง ควบคู่กับการส่งเสริมการตลาดอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น โบรชัวร์ตามแหล่งท่องเที่ยว สถานีขนส่ง และเวบไซต์
แง่ผลประกอบการ "บางพัฒน์โฮมสเตย์" ชนะขาดลอย แต่สำหรับแผนธุรกิจดีเด่นต้องยกให้ "Healthy Life" ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง
ธุรกิจเล็กๆ แต่มีคอนเซปต์ธุรกิจรัดกุม และชัดเจนพร้อมกับวางแผนอนาคตขยายกิจการด้วยเงินกำไรปันผล
คมกฤษ วะละ หัวหน้ากลุ่มเล่าว่า ธุรกิจของเราเริ่มต้นจากหาวัตถุดิบที่คนอื่นมองข้าม ซึ่งลำปางมีฟาร์มเลี้ยงแพะอยู่ รวมทั้งผลสำรวจพฤติกรรมตลาดนั้น ผู้บริโภครักสุขภาพ และเลือกรับประทานนมจากแพะมากขึ้น
โครงการ "Healthy Life" จึงก่อตัวขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ โดยการแปรรูปน้ำนมแพะในรูปแบบเครื่องดื่มร้อนและเย็น (Smoothy) หลากรสชาติ ทั้งกาแฟ แอปเปิล ช็อกโกแลต เป็นต้น พร้อมแต่งหน้านมตามชื่อเมนูเก๋ไก๋ อย่าง Healthy Beauty หรือ Healthy Refresh โดยกำหนดราคาอยู่ที่ 20 บาท เพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อของฐานลูกค้า
ช่องทางการจัดจำหน่ายเริ่มต้นที่โต๊ะพับได้ข้างกำแพงวิทยาลัย ขยายสู่รูปลักษณ์ "รถเข็น" โดยยึดตัวอย่างคู่แข่งที่มีเงินหนากว่าใช้ความสวยงามของรถเข็นมาโน้มน้าวความสนใจลูกค้าเก่าของตน และเปลี่ยนมาจับลูกค้ากว้างขึ้น ด้วยโลเคชันแหล่งรวมการค้าและผู้ซื้อ อย่าง ลานชอปปิงพอยท์ ตลาดอัศวิน
ส่วนกิจกรรมส่งเสริมการตลาดก็จัดจ้าน ซึ่งคมกฤษ บอกว่า "Healthy Life" ใช้การสื่อสารทั้ง Above the Line เช่นโฆษณาทางวิทยุ และ Below the Line เช่น จัดตั้งบูธชิม และแจกใบปลิวเสนอคุณประโยชน์ของนมแพะ รวมถึงร่วมงานตลาดนัดสุขภาพกับวิทยาลัยพยาบาล เป็นต้น
พวกเขา วิเคราะห์ธุรกิจของตัวเองให้ฟังว่า จุดแข็งคือรูปลักษณ์รถเข็น "ขบวนรถไฟสายสุขภาพ" สะดุดตา และจูงใจผู้บริโภค ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสให้มีแหล่งจำหน่ายสำรอง หรือจุดขายอื่นๆ ได้ตลอดเวลา
แต่ "จุดอ่อน" คือคนรู้จักน้อย ทำให้สถาบันการเงินไม่ออกเงินกู้ ทีมจึงต้องระดมทุนคนละ 16,000 บาท รวมเป็น 80,000 บาท และ 1 ปีที่ผ่านมาก็คืนทุนและสร้างรายได้รวม 540,000 บาทแล้ว แต่พวกเขายังเผชิญอุปสรรค เรื่องฤดูกาลซึ่งส่งผลต่อการจัดเก็บและรักษาคุณภาพ ตลอดจนยังไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงแพะดีพอ
"เราจะตอกย้ำและรักษาลูกค้าประจำด้วยคำขวัญ Healthy Life สวัสดีครับ และขอบคุณที่มาอุดหนุน ส่วนโครงการต่อยอด คาดว่าจะแบ่งเงินปันผลออกเป็น 2 ส่วนคือ 60% แบ่งให้หุ้นส่วนทุกคนเท่าๆ กัน และอีก 40% เพื่อขยายกิจการในรูปแบบแฟรนไชส์ แต่เราต้องรอศึกษาเรื่องนี้ให้ดีก่อน"
สำหรับรางวัลสุดท้ายเป็นรางวัลสะท้อนความเป็นอาชีวะอย่างแท้จริง นั่นคือ การแสดงศักยภาพด้านการผลิตเครื่องจักร "แผนธุรกิจดีเด่น" จึงตกเป็นของทีมบีเทค ออริจินัล (Btec Original) จากวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์
พวกเขาตีโจทย์ข้อนี้แตก และไม่ทิ้งหลักการตอบแทนสังคม ด้วยแนวคิด "อาชีพเกษตรกรรมคู่กับคนไทย เป็นเสน่ห์ไทยที่เราต้องยึดไว้"
"เราเล็งเห็นความสำคัญของอาชีพคนไทย ต้องคำนึงรากเหง้าของเราคือเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ แต่เพราะวิวัฒนาการทางสังคม ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาเครื่องมือจากเทคโนโลยีทันสมัยด้วย"
ทีมบีเทคฯ สร้างแนวคิดเปลี่ยนเศษพืชหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว นำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลี่ยนเป็นอาหารสัตว์ หรือแปรเศษพืชเป็นปุ๋ยหมักกลับเข้าสู่แหล่งวัตถุดิบของเกษตรกรด้วยเครื่องจักร
"ในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นต้นแบบให้กับรุ่นน้องๆ ในการพัฒนาและบริหารงานให้มีรายได้ในระหว่างเรียนด้วย"
เครื่องสับอาหาร BTEC จึงเข้ามาสนองปัญหาเล็กๆ ของผู้เลี้ยงโค-กระบือที่ต้องใช้มีดมาสับอาหารอื่น เช่น ข้าวโพด กระถิน ยอดอ้อย ทดแทนหญ้าสดในช่วงเพาะปลูก ทำให้น้องๆ กลุ่มนี้คิดสร้างเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยทุ่นแรง สับอาหารให้ง่าย รวดเร็ว ใช้เวลาและแรงงานน้อย รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ที่สำคัญคือ ยังไม่มีคู่แข่งในตลาด
ความสำเร็จของบีเทคฯ คือการรวมทีมจากหลากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน โดยทุกฝ่ายมีอำนาจในการตัดสินใจเท่าเทียมกัน สามารถแลกเปลี่ยน แสดงความเห็นและรับฟังความคิดกันได้ทุกเรื่อง
หัวหน้าทีมบีเทค เล่าว่า ขั้นตอนผลิตเครื่องขนาดย่อม แต่มีฟังก์ชันการใช้งานสำเร็จในจุดเดียวจะอาศัยฝ่ายวิชาช่างยนต์ ซึ่งจะเชื่อมโยงเครือข่ายไปยังแผนกวิชาช่างกลโรงงาน และช่างเชื่อมโลหะ สำหรับเพิ่มปริมาณการผลิตได้มากและเร็วขึ้นได้ และมีราคาถูกอยู่ที่ 18,500 บาท ต่อจากนั้นก็เติมวิธีคิด "ใช้สะดวก" ด้วยระบบป้อนวัตถุดิบได้เองจากสาขาวิชาคอมพิวเตอร์
นอกจากนั้นยังควบคุมต้นทุนด้วยเพื่อนในทีมจากวิชาการบัญชี และสาขาวิชาการขาย โดยใช้ระบบการขายตรงในรูปแบบบริษัท โดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งสามารถยืดหยุ่นในการตกลงราคาเครื่องและการขนส่ง รวมทั้งโปรโมชั่นลดราคา และสร้างสื่อโฆษณา อย่างสติกเกอร์โฆษณาท้ายรถ หรือโบรชัวร์ และออกบูธตามตลาดนัดโค-กระบือ เพื่อเข้ามาช่วยทำตลาด
"เราไม่ได้ประสบปัญหาการผลิต เพียงแต่ขาดการบริหารจัดการที่ถูกวิธีและมองข้ามสิ่งที่ใกล้ตัวเกินไป อย่างการสร้างเครือข่ายการผลิตกับแผนกวิชาต่างๆ และเครือข่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งเราได้แก้ปัญหานี้จากคำแนะนำและการอบรมของโครงการและลงมือทำด้วยตนเองมานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่หากเกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องอาศัยร่วมมือกันในทีมของพวกเราต่อไป"
3 รางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีนี้ นับเป็นก้าวแรกที่จะผลักดัน "คนพันธุ์อาร์" ให้ขึ้นสู่เวทีผู้ประกอบการ "ตัวจริง" ไม่แพ้คนพันธุ์อื่น
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 46
วันนี้กับคอลัมน์ไอบิซ น่าสนใจดีครับ
เรื่อง ถึงคิว "มีเดีย ไฮสปีด"
เอกรัตน์ สาธุธรรม
ผลสำรวจของบริษัทอินเทอร์เน็ตระดับโลกบอกให้รู้ว่า ยุคนี้คนใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันอยู่กับอินเทอร์เน็ต ขนาดสื่อโทรทัศน์ที่ว่าแน่ คนยังอยู่ติดหน้าจอแค่ 5.5 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนวิทยุและหนังสือพิมพ์ ก็เฉลี่ยๆ กันไป 2.1 ชั่วโมง และ 3 ชั่วโมงต่อวัน "บลูฟรีเวย์" เอเยนซีโฆษณาออนไลน์แดนออสซี่ไม่รอช้า เข้ามาเปิดสำนักงานสาขาในไทยรุกตลาดดิจิทัล มีเดียอย่างเต็มที่ เพื่อให้สัดส่วนโฆษณาผ่านดิจิทัล มีเดียไทยที่มีแค่ 1% เพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ 40% ต่อปี
แม้จะมีกูรูในวงการโฆษณาออกมาฟันธงว่า อุตสาหกรรมโฆษณาปีหน้ายังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง รายงานตัวเลขของ "นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช" พบว่า อุตสาหกรรมโฆษณาเติบโตลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยปี 2548 ขยายตัว 5% ปี 2549 ขยายตัว 4% และปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3% ทั้งยังประเมินด้วยว่าอุตสาหกรรมโฆษณาปีนี้จะติดลบ 10-15%
แต่เมื่อ..The show must go on..ธุรกิจก็ต้องเดินหน้าต่อไป วันนี้สินค้ามากมายหลายรายการ ไม่ปฏิเสธช่องทาง "อินเทอร์เน็ต" เพราะถือเป็นช่องทางที่จับกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพได้ดี เผลอๆ อาจดีกว่าช่องทางออฟไลน์ด้วยซ้ำ
เคยมีคนบอกว่า 68% ของคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก จะตัดสินใจซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตแบบไม่มีการลังเล โดยเฉพาะการตัดสินใจจองโรงแรม ที่พักเพื่อการท่องเที่ยว กว่า 82% ของคนที่ตัดสินใจจองทริปท่องเที่ยว จะมาจากสื่ออินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
ไม่เฉพาะแค่สื่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น ที่เป็นช่องทางสำคัญสำหรับโฆษณาออนไลน์ทั้งในวันนี้และอนาคต แต่รวมไปถึงสื่อดิจิทัลเคลื่อนที่อื่นๆ โทรศัพท์มือถือ พีดีเอ จอภาพทัชสกรีนที่ติดอยู่ตามพื้นที่สาธารณะต่างๆ ไอพีทีวี ช่องทางเหล่านี้ล้วนเป็นช่องทางที่ "โฆษณา" จะสามารถโลดแล่นดึงสายตากลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มมากขึ้น
การเข้ามาของบริษัทเอเยนซีโฆษณาออนไลน์น้องใหม่อย่าง "บลูฟรีเวย์" จากแดนออสซี่ สร้างความสะเทือนเล็กๆ ให้วงการโฆษณาออนไลน์ไทยดูมีสีสันขึ้นมาบ้างในช่วงปลายปี การเข้ามาของบลูฟรีเวย์ เป็นการเข้ามาตั้งสำนักงานสาขาในไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะผู้บริหารใหญ่วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยน่าจะเป็น "เกตเวย์" เชื่อมต่อไปยังตลาดรอบๆ ได้ง่าย
บลูฟรีเวย์ตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค เพราะสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในย่านนี้ได้ไม่ยาก เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มะนิลา กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินห์ซิตี และจาการ์ตา เหมือนเป็นเกตเวย์หลัก ขณะที่กรุงเทพฯ ก็มีสำนักงานของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลกหลายราย รวมทั้งของบริษัทไทยที่กำลังเติบโตตั้งอยู่"
บิลบอกด้วยว่า วันนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากรกว่า 500 ล้านคน และมีเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตราว 13% ต่อปี จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง "ภูมิภาคนี้" เลยเป็นเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสำหรับการขยายธุรกิจของบลูฟรีเวย์
ปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล มีเดีย เพียง 1% จากสัดส่วนงบโฆษณาทั้งหมด 2.4 พันล้านดอลลาร์
"แม้สัดส่วนโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในไทยยังน้อย แต่ปริมาณคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตไม่น้อยเลย มีแนวโน้มการขยายตัวของการใช้เน็ตที่ดี นั่นหมายถึงโอกาสการเติบโตของโฆษณาออนไลน์ที่ยังไปได้อีกไกล"
บิลบอกว่า บลูฟรีเวย์คือเอเยนซีออนไลน์ที่จะเข้ามาสร้างสีสันให้วงการโฆษณา โดยจะให้บริการโซลูชั่น และแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์แบบครบวงจร ตั้งแต่คิดแคมเปญ พัฒนาเนื้อหา และทำโฆษณาไปยังช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะมือถือและเวบไซต์
"บลูฟรีเวย์กำลังมุ่งสู่การเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด และได้รับการยอมรับสูงสุดในระดับโลก การที่ตัดสินใจเข้ามาขยายธุรกิจในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะต้องการให้กลุ่มลูกค้าเข้าถึงบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางของการสื่อสาร ทั้งการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลและสื่ออินเตอร์แอคทีฟ
โปรดักท์ไฮไลต์ของบลูฟรีเวย์ คือ "blu" เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาออนไลน์ และผู้ให้บริการเนื้อหาออนไลน์ประสานงานกับทีมงานภายใน และผู้จัดหาภายนอกในการพัฒนาและวิเคราะห์แคมเปญการตลาดดิจิทัล ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงการออกแบบ แคมเปญทางโทรศัพท์มือถือและอีเมล การปรับปรุงเวบไซต์เพื่อให้อยู่ในลำดับต้นๆ เมื่อมีการค้นหาข้อมูลการตลาด รวมถึงการวิเคราะห์สถิติ
"blu. คือแพลตฟอร์มที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับมืออาชีพทางด้านการตลาด เพื่อทำหน้าที่ตัวเชื่อมโยงหลักสำหรับการจัดการชุดโซลูชั่นการตลาดแบบดิจิทัล และอินเตอร์แอคทีฟที่หลากหลาย"
"ไมค์เคิล พูนพิพัฒน์" กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย ผู้รับหน้าที่ดูแลตลาดในประเทศไทยทั้งหมด เล่าถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจในไทยให้ฟังว่า คนไทยมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีในการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การเสพสื่อโฆษณาออนไลน์เลยน่าจะเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันเช่นกัน
"ผมเชื่อว่าโฆษณาออนไลน์ที่บลูฟรีเวย์ทำให้ลูกค้า จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสินค้าและบริการได้ตรงที่สุด เพราะเราจะเก็บบันทึกพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาคลิกโฆษณาตัวนั้นๆ เป็นซีอาร์เอ็ม ที่สามารถวัดผลได้ และเชื่อว่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าโฆษณาแบบออฟไลน์ที่มักหว่านไปทั่ว"
ไมค์เคิลวิเคราะห์ว่า "โทรศัพท์มือถือ" จะเป็นช่องทางโฆษณาออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอนาคต เพราะการขยายตัวของคนใช้มือถือมีมากกว่าคนใช้เน็ตบนพีซี หรือบนแล็ปทอป ขณะที่ ณ วันนี้ ต้องยกให้กับโฆษณาออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตก่อน นั่นคือพวกแบนเนอร์หรือป๊อปอัพต่างๆ ที่เห็นบนเวบไซต์
"ตอนนี้ยังไม่มีใครทำตัวเลขโฆษณาออนไลน์บนมือถือ ซึ่งในอนาคตจะมีความนิยมที่สูงขึ้น รองลงมาก็คือบนเวบไซต์ต่างๆ รวมถึงบนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น อย่างเช่นบนไอพีทีวี ปัจจุบันในไทยมีงบที่ใช้จ่ายส่วนของโฆษณาออนไลน์ประมาณ 15 ล้านดอลลาร์ หรือ 1% ของงบโฆษณาทั้งหมด 2.4 พันล้านดอลลาร์"
ขณะที่ประเทศอังกฤษและประเทศอื่นๆ แถบยุโรป อเมริกา งบใช้จ่ายด้านโฆษณาออนไลน์อยู่ที่ 12% ส่วนเอเชียเหนือ จะมีงบโฆษณาออนไลน์ใกล้ๆ 8% เอเชียใต้ก็จะอยู่ราวๆ 1.5% ภายในปี 2551
บลูฟรีเวย์ตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดโฆษณาออนไลน์ในไทยราว 25% ภายในปี 2551 แม้ว่าตัวเลขอาจดูสูง เพราะบริษัทเพิ่งก้าวมาทำตลาดในไทย แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ ที่บริษัทมี บวกกับความเชี่ยวชาญของทีมงานที่มีพื้นฐานจากเอเยนซีโฆษณาแบบดั้งเดิม จะทำให้บริษัทก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
"ตอนนี้เรากำลังหาลูกค้า ซึ่งมีการพูดคุยแล้วบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มของอุตสาหกรรมรถยนต์และสายการบิน 2 กลุ่มนี้เราจะเข้าไปรุกก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่มีงบโฆษณาออนไลน์มากพอสมควร ผมเชื่อว่าประมาณปีหน้าเราน่าจะมีกลุ่มลูกค้าอย่างน้อย 12 ราย"
อย่างไรก็ตาม ไมค์เคิลบอกว่า บลูฟรีเวย์จะต้องทำงานร่วมกับลูกค้าที่จะลงโฆษณาออนไลน์ รวมถึงช่องทางที่จะยิงโฆษณาออนไลน์นั้นควบคู่ไปด้วย
โดยเฉพาะช่องทางเวบไซต์และมือถือ ขณะเดียวกัน ก็ต้องปักธงสู้กับบรรดาเอเยนซี โฆษณาดั้งเดิมในไทย รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ กับธุรกิจโฆษณาออนไลน์ที่อยู่ในมือ และได้กวาดสายตาจากลูกค้าเอ็มเอสเอ็นไปแล้วไม่น้อย
"แผนงานในไทย เราจะเน้นทำให้การตลาดของบริษัทหนึ่งบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรม แข็งแกร่งขึ้น โดยนำเสนอการปฏิบัติการการตลาดแบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพที่สุดและดีที่สุด ซึ่งจะไม่ใช่แค่เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เท่านั้น แต่จะช่วยในด้านยอดขาย รวมถึงแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารแบบออนไลน์นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิมในแง่ของผลตอบแทนการลงทุนด้วย"
จุดเด่นของบลูฟรีเวย์ คือ การให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ทั้งการวางกลยุทธ์ แคมเปญโฆษณา การพัฒนาโปรแกรม หรือแม้แต่การวิเคราะห์ผู้บริโภคตามลักษณะพฤติกรรม เพื่อสร้างรูปแบบโฆษณาให้ตรงใจลูกค้าแต่ละคนโดยไม่สร้างความรำคาญ
ที่สำคัญคือการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีหลายๆ ตัว เช่น แพลตฟอร์มกลางบนโทรศัพท์มือถือที่จะช่วยแก้ปัญหาการจ่ายเงินบนมือถือ ที่ต้องพึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ จนทำให้การทำดิจิทัลคอนเทนท์หรือการทำอีคอมเมิร์ซของไทยไม่เติบโต
เมื่อเร็วๆ นี้ บลูฟรีเวย์ได้เปิดตัว "blu.bluefreeway.com" เวบท่าที่จะใช้เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ ติดตามประสานงาน ระหว่างบริษัทพันธมิตรและลูกค้าได้อย่างรวดเร็วฉับไว รวมถึงใช้เป็นเวทีความร่วมมือและสร้างเครือข่ายนักวิชาชีพด้านการตลาดอีกด้วย
บลูฟรีเวย์ (สัญลักษณ์ในตลาดหุ้นออสเตรเลีย คือ BLU) มีพนักงานรวมกว่า 540 คน ให้บริการลูกค้า (ผู้ซื้อสื่อโฆษณาและผู้ผลิตสิ่งพิมพ์) กว่า 1,500 รายทั่วทุกภูมิภาคของโลก และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของมีเดีย ซินเนอร์ยีส์ (Media Synergies), แพลนเน็ตยูเท็ค (PlanetUTech) และรีเฟลกซิเบิล (Reflexible) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลรายใหญ่ในประเทศไทย
มีรายงานข่าวว่า อุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์ในต่างประเทศ กำลังมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาเช่นกัน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่วันนี้มีการเติบโตของตลาดโฆษณาออนไลน์ราว 25% ทะยานแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์แล้ว ตัวเลขนี้กลุ่มผู้บริหารบริษัทอินเทอร์เน็ตเชื่อว่า จะพุ่งขึ้นไปอีก หากนักโฆษณามีความเชื่อมั่นในช่องทางที่จะจับกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตประจำวันอันเกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
นอกจากตัวเลขตลาดโฆษณาออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบว่า การประเมินตลาดโฆษณาสื่อดั้งเดิมและออนไลน์ อเมริกันปัจจุบัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน การโฆษณาทั้งในโทรทัศน์และวิทยุ ต่างมีความเกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภคบนอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น
ประเด็นนี้ กลุ่มผู้บริหารบริษัทออนไลน์ต่างเรียกร้องให้มีการสำรวจการใช้งานของผู้บริโภคที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อที่นักโฆษณาจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจว่าจะลงโฆษณากับสื่อใด
จะเห็นว่าข้อเรียกร้องแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะนักวิเคราะห์มองว่า สื่อต่างๆ ทั้งทีวี วิทยุ และอินเทอร์เน็ต ต่างพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างเข้มข้น เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่สามารถใช้เวลากับสื่อเพียงชนิดเดียวในเวลาเดียวกัน ทำให้การรับชมหรือรับฟังสื่ออื่นน้อยลงไปด้วย
ตัวเลขมูลค่าตลาดโฆษณาออนไลน์ 2 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น ยังน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับตลาดโฆษณารวมมูลค่า 2.5 แสนดอลลาร์
จุดนี้เองที่ทำให้ผู้บริหารบริษัทอินเทอร์เน็ต เชื่อว่ามูลค่าตลาดโฆษณาออนไลน์จะเพิ่มขึ้นอีก โดยในปีหน้าเชื่อว่าจะเป็นปีที่เทคโนโลยีการสำรวจตรวจวัดปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ต มีการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้นักโฆษณาเห็นภาพความคุ้มค่าที่จะได้รับจากการโฆษณาออนไลน์มากขึ้น
เรื่อง ถึงคิว "มีเดีย ไฮสปีด"
เอกรัตน์ สาธุธรรม
ผลสำรวจของบริษัทอินเทอร์เน็ตระดับโลกบอกให้รู้ว่า ยุคนี้คนใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันอยู่กับอินเทอร์เน็ต ขนาดสื่อโทรทัศน์ที่ว่าแน่ คนยังอยู่ติดหน้าจอแค่ 5.5 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนวิทยุและหนังสือพิมพ์ ก็เฉลี่ยๆ กันไป 2.1 ชั่วโมง และ 3 ชั่วโมงต่อวัน "บลูฟรีเวย์" เอเยนซีโฆษณาออนไลน์แดนออสซี่ไม่รอช้า เข้ามาเปิดสำนักงานสาขาในไทยรุกตลาดดิจิทัล มีเดียอย่างเต็มที่ เพื่อให้สัดส่วนโฆษณาผ่านดิจิทัล มีเดียไทยที่มีแค่ 1% เพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ 40% ต่อปี
แม้จะมีกูรูในวงการโฆษณาออกมาฟันธงว่า อุตสาหกรรมโฆษณาปีหน้ายังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง รายงานตัวเลขของ "นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช" พบว่า อุตสาหกรรมโฆษณาเติบโตลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยปี 2548 ขยายตัว 5% ปี 2549 ขยายตัว 4% และปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3% ทั้งยังประเมินด้วยว่าอุตสาหกรรมโฆษณาปีนี้จะติดลบ 10-15%
แต่เมื่อ..The show must go on..ธุรกิจก็ต้องเดินหน้าต่อไป วันนี้สินค้ามากมายหลายรายการ ไม่ปฏิเสธช่องทาง "อินเทอร์เน็ต" เพราะถือเป็นช่องทางที่จับกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพได้ดี เผลอๆ อาจดีกว่าช่องทางออฟไลน์ด้วยซ้ำ
เคยมีคนบอกว่า 68% ของคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก จะตัดสินใจซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตแบบไม่มีการลังเล โดยเฉพาะการตัดสินใจจองโรงแรม ที่พักเพื่อการท่องเที่ยว กว่า 82% ของคนที่ตัดสินใจจองทริปท่องเที่ยว จะมาจากสื่ออินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
ไม่เฉพาะแค่สื่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น ที่เป็นช่องทางสำคัญสำหรับโฆษณาออนไลน์ทั้งในวันนี้และอนาคต แต่รวมไปถึงสื่อดิจิทัลเคลื่อนที่อื่นๆ โทรศัพท์มือถือ พีดีเอ จอภาพทัชสกรีนที่ติดอยู่ตามพื้นที่สาธารณะต่างๆ ไอพีทีวี ช่องทางเหล่านี้ล้วนเป็นช่องทางที่ "โฆษณา" จะสามารถโลดแล่นดึงสายตากลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มมากขึ้น
การเข้ามาของบริษัทเอเยนซีโฆษณาออนไลน์น้องใหม่อย่าง "บลูฟรีเวย์" จากแดนออสซี่ สร้างความสะเทือนเล็กๆ ให้วงการโฆษณาออนไลน์ไทยดูมีสีสันขึ้นมาบ้างในช่วงปลายปี การเข้ามาของบลูฟรีเวย์ เป็นการเข้ามาตั้งสำนักงานสาขาในไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะผู้บริหารใหญ่วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยน่าจะเป็น "เกตเวย์" เชื่อมต่อไปยังตลาดรอบๆ ได้ง่าย
บลูฟรีเวย์ตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค เพราะสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในย่านนี้ได้ไม่ยาก เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มะนิลา กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินห์ซิตี และจาการ์ตา เหมือนเป็นเกตเวย์หลัก ขณะที่กรุงเทพฯ ก็มีสำนักงานของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลกหลายราย รวมทั้งของบริษัทไทยที่กำลังเติบโตตั้งอยู่"
บิลบอกด้วยว่า วันนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากรกว่า 500 ล้านคน และมีเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตราว 13% ต่อปี จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง "ภูมิภาคนี้" เลยเป็นเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสำหรับการขยายธุรกิจของบลูฟรีเวย์
ปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล มีเดีย เพียง 1% จากสัดส่วนงบโฆษณาทั้งหมด 2.4 พันล้านดอลลาร์
"แม้สัดส่วนโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในไทยยังน้อย แต่ปริมาณคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตไม่น้อยเลย มีแนวโน้มการขยายตัวของการใช้เน็ตที่ดี นั่นหมายถึงโอกาสการเติบโตของโฆษณาออนไลน์ที่ยังไปได้อีกไกล"
บิลบอกว่า บลูฟรีเวย์คือเอเยนซีออนไลน์ที่จะเข้ามาสร้างสีสันให้วงการโฆษณา โดยจะให้บริการโซลูชั่น และแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์แบบครบวงจร ตั้งแต่คิดแคมเปญ พัฒนาเนื้อหา และทำโฆษณาไปยังช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะมือถือและเวบไซต์
"บลูฟรีเวย์กำลังมุ่งสู่การเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด และได้รับการยอมรับสูงสุดในระดับโลก การที่ตัดสินใจเข้ามาขยายธุรกิจในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะต้องการให้กลุ่มลูกค้าเข้าถึงบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางของการสื่อสาร ทั้งการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลและสื่ออินเตอร์แอคทีฟ
โปรดักท์ไฮไลต์ของบลูฟรีเวย์ คือ "blu" เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาออนไลน์ และผู้ให้บริการเนื้อหาออนไลน์ประสานงานกับทีมงานภายใน และผู้จัดหาภายนอกในการพัฒนาและวิเคราะห์แคมเปญการตลาดดิจิทัล ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงการออกแบบ แคมเปญทางโทรศัพท์มือถือและอีเมล การปรับปรุงเวบไซต์เพื่อให้อยู่ในลำดับต้นๆ เมื่อมีการค้นหาข้อมูลการตลาด รวมถึงการวิเคราะห์สถิติ
"blu. คือแพลตฟอร์มที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับมืออาชีพทางด้านการตลาด เพื่อทำหน้าที่ตัวเชื่อมโยงหลักสำหรับการจัดการชุดโซลูชั่นการตลาดแบบดิจิทัล และอินเตอร์แอคทีฟที่หลากหลาย"
"ไมค์เคิล พูนพิพัฒน์" กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย ผู้รับหน้าที่ดูแลตลาดในประเทศไทยทั้งหมด เล่าถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจในไทยให้ฟังว่า คนไทยมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีในการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การเสพสื่อโฆษณาออนไลน์เลยน่าจะเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันเช่นกัน
"ผมเชื่อว่าโฆษณาออนไลน์ที่บลูฟรีเวย์ทำให้ลูกค้า จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสินค้าและบริการได้ตรงที่สุด เพราะเราจะเก็บบันทึกพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาคลิกโฆษณาตัวนั้นๆ เป็นซีอาร์เอ็ม ที่สามารถวัดผลได้ และเชื่อว่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าโฆษณาแบบออฟไลน์ที่มักหว่านไปทั่ว"
ไมค์เคิลวิเคราะห์ว่า "โทรศัพท์มือถือ" จะเป็นช่องทางโฆษณาออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอนาคต เพราะการขยายตัวของคนใช้มือถือมีมากกว่าคนใช้เน็ตบนพีซี หรือบนแล็ปทอป ขณะที่ ณ วันนี้ ต้องยกให้กับโฆษณาออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตก่อน นั่นคือพวกแบนเนอร์หรือป๊อปอัพต่างๆ ที่เห็นบนเวบไซต์
"ตอนนี้ยังไม่มีใครทำตัวเลขโฆษณาออนไลน์บนมือถือ ซึ่งในอนาคตจะมีความนิยมที่สูงขึ้น รองลงมาก็คือบนเวบไซต์ต่างๆ รวมถึงบนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น อย่างเช่นบนไอพีทีวี ปัจจุบันในไทยมีงบที่ใช้จ่ายส่วนของโฆษณาออนไลน์ประมาณ 15 ล้านดอลลาร์ หรือ 1% ของงบโฆษณาทั้งหมด 2.4 พันล้านดอลลาร์"
ขณะที่ประเทศอังกฤษและประเทศอื่นๆ แถบยุโรป อเมริกา งบใช้จ่ายด้านโฆษณาออนไลน์อยู่ที่ 12% ส่วนเอเชียเหนือ จะมีงบโฆษณาออนไลน์ใกล้ๆ 8% เอเชียใต้ก็จะอยู่ราวๆ 1.5% ภายในปี 2551
บลูฟรีเวย์ตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดโฆษณาออนไลน์ในไทยราว 25% ภายในปี 2551 แม้ว่าตัวเลขอาจดูสูง เพราะบริษัทเพิ่งก้าวมาทำตลาดในไทย แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ ที่บริษัทมี บวกกับความเชี่ยวชาญของทีมงานที่มีพื้นฐานจากเอเยนซีโฆษณาแบบดั้งเดิม จะทำให้บริษัทก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
"ตอนนี้เรากำลังหาลูกค้า ซึ่งมีการพูดคุยแล้วบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มของอุตสาหกรรมรถยนต์และสายการบิน 2 กลุ่มนี้เราจะเข้าไปรุกก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่มีงบโฆษณาออนไลน์มากพอสมควร ผมเชื่อว่าประมาณปีหน้าเราน่าจะมีกลุ่มลูกค้าอย่างน้อย 12 ราย"
อย่างไรก็ตาม ไมค์เคิลบอกว่า บลูฟรีเวย์จะต้องทำงานร่วมกับลูกค้าที่จะลงโฆษณาออนไลน์ รวมถึงช่องทางที่จะยิงโฆษณาออนไลน์นั้นควบคู่ไปด้วย
โดยเฉพาะช่องทางเวบไซต์และมือถือ ขณะเดียวกัน ก็ต้องปักธงสู้กับบรรดาเอเยนซี โฆษณาดั้งเดิมในไทย รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ กับธุรกิจโฆษณาออนไลน์ที่อยู่ในมือ และได้กวาดสายตาจากลูกค้าเอ็มเอสเอ็นไปแล้วไม่น้อย
"แผนงานในไทย เราจะเน้นทำให้การตลาดของบริษัทหนึ่งบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรม แข็งแกร่งขึ้น โดยนำเสนอการปฏิบัติการการตลาดแบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพที่สุดและดีที่สุด ซึ่งจะไม่ใช่แค่เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เท่านั้น แต่จะช่วยในด้านยอดขาย รวมถึงแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารแบบออนไลน์นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิมในแง่ของผลตอบแทนการลงทุนด้วย"
จุดเด่นของบลูฟรีเวย์ คือ การให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ทั้งการวางกลยุทธ์ แคมเปญโฆษณา การพัฒนาโปรแกรม หรือแม้แต่การวิเคราะห์ผู้บริโภคตามลักษณะพฤติกรรม เพื่อสร้างรูปแบบโฆษณาให้ตรงใจลูกค้าแต่ละคนโดยไม่สร้างความรำคาญ
ที่สำคัญคือการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีหลายๆ ตัว เช่น แพลตฟอร์มกลางบนโทรศัพท์มือถือที่จะช่วยแก้ปัญหาการจ่ายเงินบนมือถือ ที่ต้องพึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ จนทำให้การทำดิจิทัลคอนเทนท์หรือการทำอีคอมเมิร์ซของไทยไม่เติบโต
เมื่อเร็วๆ นี้ บลูฟรีเวย์ได้เปิดตัว "blu.bluefreeway.com" เวบท่าที่จะใช้เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ ติดตามประสานงาน ระหว่างบริษัทพันธมิตรและลูกค้าได้อย่างรวดเร็วฉับไว รวมถึงใช้เป็นเวทีความร่วมมือและสร้างเครือข่ายนักวิชาชีพด้านการตลาดอีกด้วย
บลูฟรีเวย์ (สัญลักษณ์ในตลาดหุ้นออสเตรเลีย คือ BLU) มีพนักงานรวมกว่า 540 คน ให้บริการลูกค้า (ผู้ซื้อสื่อโฆษณาและผู้ผลิตสิ่งพิมพ์) กว่า 1,500 รายทั่วทุกภูมิภาคของโลก และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของมีเดีย ซินเนอร์ยีส์ (Media Synergies), แพลนเน็ตยูเท็ค (PlanetUTech) และรีเฟลกซิเบิล (Reflexible) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลรายใหญ่ในประเทศไทย
มีรายงานข่าวว่า อุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์ในต่างประเทศ กำลังมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาเช่นกัน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่วันนี้มีการเติบโตของตลาดโฆษณาออนไลน์ราว 25% ทะยานแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์แล้ว ตัวเลขนี้กลุ่มผู้บริหารบริษัทอินเทอร์เน็ตเชื่อว่า จะพุ่งขึ้นไปอีก หากนักโฆษณามีความเชื่อมั่นในช่องทางที่จะจับกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตประจำวันอันเกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
นอกจากตัวเลขตลาดโฆษณาออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบว่า การประเมินตลาดโฆษณาสื่อดั้งเดิมและออนไลน์ อเมริกันปัจจุบัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน การโฆษณาทั้งในโทรทัศน์และวิทยุ ต่างมีความเกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภคบนอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น
ประเด็นนี้ กลุ่มผู้บริหารบริษัทออนไลน์ต่างเรียกร้องให้มีการสำรวจการใช้งานของผู้บริโภคที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อที่นักโฆษณาจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจว่าจะลงโฆษณากับสื่อใด
จะเห็นว่าข้อเรียกร้องแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะนักวิเคราะห์มองว่า สื่อต่างๆ ทั้งทีวี วิทยุ และอินเทอร์เน็ต ต่างพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างเข้มข้น เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่สามารถใช้เวลากับสื่อเพียงชนิดเดียวในเวลาเดียวกัน ทำให้การรับชมหรือรับฟังสื่ออื่นน้อยลงไปด้วย
ตัวเลขมูลค่าตลาดโฆษณาออนไลน์ 2 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น ยังน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับตลาดโฆษณารวมมูลค่า 2.5 แสนดอลลาร์
จุดนี้เองที่ทำให้ผู้บริหารบริษัทอินเทอร์เน็ต เชื่อว่ามูลค่าตลาดโฆษณาออนไลน์จะเพิ่มขึ้นอีก โดยในปีหน้าเชื่อว่าจะเป็นปีที่เทคโนโลยีการสำรวจตรวจวัดปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ต มีการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้นักโฆษณาเห็นภาพความคุ้มค่าที่จะได้รับจากการโฆษณาออนไลน์มากขึ้น
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 47
จาก Bizweek
เรื่อง :
'มอลล์' หน้าบ้าน เจาะรหัสซื้อยุคบริโภคด่วน
ช่วงเวลา 2/3 ในชีวิตผู้บริโภคยุคใหม่ ถูกผูกติดกับค้าปลีกหลายสไตล์ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ แต่มาวันนี้เมื่อการแข่งขันรุกไล่ ช่วงเวลาที่เหลืออาจถูกแทรกซึมได้มากกว่านั้น
ถึงเวลาค้าปลีกกลายพันธุ์ จากประชันเรื่องไซส์ใหญ่ยักษ์ มาเป็นแหล่งช้อปสไตล์เก๋ คอนเซปต์เดิ้น และเพียบพร้อมความสะดวกสบาย ที่สำคัญไปกว่านั้น การจู่โจมรอบนี้ยังมาแบบเคาะประตูบ้าน
"เซ็นทรัล-อารียา" "สัมมากร-ระยองเพียว" หรือ เคอีแลนด์ ดีเวลอปเปอร์ ที่ผันสู่สนามนี้เต็มตัวกับ "คริสตัล พาร์ค" และอีกหลายขั้วที่จ่อคิวลงทำเลใกล้บ้าน เกมช่วงชิงกำลังซื้อกำลังเริ่มต้น
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เกมเปลี่ยน ทำเลเกรดเอ กลายเป็นโจทย์ยากของธุรกิจ ตามมาด้วยค่าความ "คุ้มทุน" ที่ต้องประเมินอย่างหนัก ไม่นับตัวแปรหลักไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่พลิกผันจนยากจะคาดเดา การพลิกโฉมค้าปลีกจากบิ๊กไซส์สู่ขนาดย่อม แต่อัดแน่นด้วยเซอร์วิส มีทั้งแบรนด์ที่ปลุกปั้นเอง ผสานกับแบรนด์พันธมิตร กลายเป็นส่วนผสมของแนวรุกทางการตลาดในแบบที่ 1+1 ต้องมากกว่า 2
และที่สำคัญ ธงนำของธุรกิจค้าปลีกในห้วงเวลานี้ อยู่ที่ต้อง "ใกล้บ้าน" เท่านั้น จึงจะอินเทรนด์
ปรัชญาธุรกิจเสนอตัวเป็นพันธมิตรและค้าปลีกใกล้บ้าน คุ้นเคยกันดีแล้วกับพี่ใหญ่ เซเว่น
อีเลฟเว่น ที่ไม่ว่าชุมชนกำลังซื้อเกรดบีและซี จะต้องได้รับการผูกมิตรจากค้าปลีกรายนี้
ทางรุ่งของเซเว่นฯ กับการเกาะกำลังซื้อไว้ได้อยู่หมัด เมื่อบวกกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นิยมความสะดวกรวดเร็ว ในแบบที่พร้อมใจหากให้บริการที่โดนใจ ชุมชนเกรดเอ จึงยังเป็นช่องว่าง
และโอกาสทองที่ทุกค่ายค้าปลีกต่างประเมินแล้วว่า "รุ่ง" เช่นกัน
การจับคู่ต่างขั้ว "เซ็นทรัล-อารียา" "สัมมากร-ระยองเพียว" หรือแม้แต่เคอีแลนด์ ดีเวลอปเปอร์ ที่มาเดี่ยว และผันสู่สนามนี้เต็มตัวกับ "คริสตัล พาร์ค" ทั้งนี้ยังมีอีกหลายขั้วที่จ่อคิวลงทำเลใกล้บ้าน เกมช่วงชิงกำลังซื้อกำลังเริ่มต้น
ไม่บ่อยครั้งที่จะเห็นยักษ์ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของค้าปลีกไทย เซ็นทรัลกรุ๊ป ขยับหาพาร์ทเนอร์ต่างขั้วเพื่อขยายกรอบการค้าตามความถนัด เพราะด้วยความที่เป็นผู้เล่นหลัก ชั่วโมงบินสูง ทั้งยังทุนหนา แบบไม่ต้องง้อใคร การผุดค้าปลีกโครงการขนาดใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เมื่อเทรนด์ตลาดค้าปลีกที่ประเมินแล้วว่าน่าจะโตราว 5-8% แถมตลาดคอนวีเนียนสโตร์ กับซูเปอร์มาร์เก็ตยังเติบโตดีอยู่ ขณะที่กำลังซื้อชุมชนเกรดเอยังจ่ายแรงดีไม่มีตก งานนี้กลุ่มเซ็นทรัลเลยขอร่วมสนามนี้ด้วย ซึ่งเกมรุกครั้งนี้มีทั้งมาเดี่ยว และควงคู่พร้อมพันธมิตร
"ตามแผนเตรียมงบประมาณลงทุนไว้ 450-500 ล้านบาท สำหรับเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ ในช่วงแรกจำนวน 3 สาขา โดยแต่ละสาขาจะมีโมเดลและขนาดที่แตกต่างกันไป" ลิขิต ฟ้าปโยชนม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซีในเครือเซ็นทรัล
มาร์เก็ตพาร์คอุดมสุข เป็นโครงการแรกที่กลุ่มเซ็นทรัลชิมลาง ในขนาดเล็กสุดคือ 5,000 ตารางเมตร จำนวน 2 ชั้น พื้นที่ 4.5 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท พร้อมให้บริการกลางปีนี้
อีกโครงการที่เปิดมิติใหม่ค้าปลีกให้เซ็นทรัล กับความร่วมมือดีเวลอปเปอร์ซึ่งมีฐานลูกค้าและกำลังซื้อก้อนใหญ่ไว้พร้อมสรรพแล้วอย่างอารียา พรอพเพอร์ตี้ โดยเริ่มต้นที่โครงการเอสเปซ สุขุมวิท 77 ที่มีพื้นที่โครงการถึง 6.5 ไร่ คิดเป็นจำนวนหลายพันครัวเรือน
เราเลือกชุมชนที่มีประชากรอาศัยจำนวนมาก เช่น อุดมสุข ซึ่งมีกว่า 53,889 คน มากกว่า 21,498 ครัวเรือน และมีหมู่บ้านระดับสูงขนาดใหญ่จำนวนมากตั้งอยู่รอบโครงการ และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทำงาน ครอบครัวรุ่นใหม่ขนาดกลาง-เล็ก มีรายได้ปานกลาง-สูง ที่สำคัญเป็นกลุ่มประเภทเดลี่ยูส (Daily Use) เน้นความคล่องตัวในการจับจ่าย"
ที่สำคัญหากโปรเจคนำร่องเกิดผลดังคาด กลุ่มเซ็นทรัลหวังที่จะผุดให้ได้ถึง 35-40 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วง 3-5 ปีนับจากนี้
"เราพยายามดึงมืออาชีพเข้ามาร่วมกันทำงาน" วิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) คู่หูต่างขั้วกลุ่มเซ็นทรัลที่บอกว่า ผลของความร่วมมือครั้งนี้ มีแต่ "วิน-วิน" พร้อมกล่าวเสริมว่า เราไม่ได้มองเฉพาะรายได้จากค่าเช่า แต่การผุดคอมมูนิตี้มอลล์ดังกล่าว จะเกิดข้อดีทั้งการให้บริการกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ ขณะเดียวกันโครงการนี้ยังจะเป็นอีกตัวช่วยที่จะดึงคนใหม่ๆ เข้ามาซื้อโครงการ
ผลจากความร่วมมือของ 2 แบรนด์ที่ติดตลาดแล้วอย่างอารียาและเซ็นทรัล จึงเท่ากับโอกาสธุรกิจ
ถัดจากคู่ "เซ็นทรัล-อารียา" ยังมี เพียวเพลส ผลผลิตค้าปลีกแนวใหม่ที่บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) กับสัมมากร ร่วมกันปลุกปั้น
ศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ที่เชื่อว่าตลาด Community Mall ยังมีทิศทางแนวโน้มสดใส อีกทั้งยังอยู่ในความต้องการของผู้บริโภคได้อีกไกล
หลังจากที่ทำการศึกษารูปแบบโครงการที่คิดว่าเหมาะสมกับขนาดของพื้นที่ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนงบประมาณการลงทุน บริษัทมีแผนพัฒนาศูนย์การค้าชุมชนครบวงจร เพียว เพลส ขึ้นอีก 2 โครงการ บริเวณถนนรามคำแหง และบริเวณถนนราชพฤกษ์
ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2552
สำหรับศูนย์การค้าชุมชนครบวงจร เพียว เพลส แห่งแรกที่อยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านสัมมากร รังสิต คลอง 2 ด้วยพื้นที่ขายประมาณ 4,000 ตารางเมตร มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้บริการไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ศุภพงศ์บอกว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
ปัจจุบันมีร้านมาเปิดประมาณ 80% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์ฯ เฉลี่ยประมาณ 1,600-2,000 คนต่อวัน
ขณะที่อัตราเช่าพื้นที่ในปีนี้น่าจะเพิ่มได้ถึง 85น%
หากประเมินจากมูลค่าการลงทุนและอัตราเช่าพื้นที่ เพียว เพลส รังสิต คลอง 2 น่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปี แต่จะสามารถพุด เพียว เพลส ได้ครบทั้ง 5 แห่ง ภายใน 5 ปี ตามที่ประกาศไว้ เมื่อคราวที่เปิดแห่งแรกหรือไม่ กระแสตอบรับจากผู้บริโภคในชุมชนที่มีต่อคอมมูนิตี้มอลล์ คือคำตอบ
และถึงแม้จะไม่มาเป็นคู่ แต่สำหรับดีเวลอปเปอร์ที่มีแลนด์ลอร์ดในมืออย่างเคอีแลนด์ ก็ส่ง คริสตัล พาร์ค ผุดขึ้นบริเวณเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ออกมาดักจับกำลังซื้อบ้านหรูย่านนี้เช่นกัน
รูปแบบเป็นลักษณะ เนเบอร์ฮูด มอลล์ โดยเป้าหมายหลักอยู่ที่กำลังจ่ายระดับสูง มีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ฟู้ดคอร์ท ร้านอาหาร โรงเรียนสอนดนตรี และสถาบันการเงิน
นอกจากโครงการแรกที่อวดโฉม กลุ่มเคอีแลนด์ยังเตรียมผุดโปรเจคใหม่เพิ่มเพื่อรับกำลังซื้อระดับสูง ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสและช่องว่าง
นอกจาก 2 ขั้วใหญ่ และเบอร์ใหญ่ที่มาเดี่ยวอย่างเคอีแลนด์ คอมมูนิตี้มอลล์ ยังเป็นตลาดเนื้อหอมที่บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เจ้าเก่าที่พัฒนามาก่อนหน้าอย่างเจอเวนิวทองหล่อ แจ้งวัฒนะ ฯลฯ การันตีแล้วว่า "ดีจริง" เพียงแต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ชั้นเชิง" และสไตล์การเคาะประตูของแต่ละเจ้าเท่านั้นที่จะชี้ชัดได้เห็นถึงความสำเร็จที่จะตามมา
...อย่างน้อย "ดี" ที่กำลังซื้อพร้อม และแรงซื้อสูง ถือเป็น "ทุน" ประเดิมให้ผู้เล่นในสนามไม่ต้องเหนื่อยตอนออกวิ่ง
เรื่อง :
'มอลล์' หน้าบ้าน เจาะรหัสซื้อยุคบริโภคด่วน
ช่วงเวลา 2/3 ในชีวิตผู้บริโภคยุคใหม่ ถูกผูกติดกับค้าปลีกหลายสไตล์ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ แต่มาวันนี้เมื่อการแข่งขันรุกไล่ ช่วงเวลาที่เหลืออาจถูกแทรกซึมได้มากกว่านั้น
ถึงเวลาค้าปลีกกลายพันธุ์ จากประชันเรื่องไซส์ใหญ่ยักษ์ มาเป็นแหล่งช้อปสไตล์เก๋ คอนเซปต์เดิ้น และเพียบพร้อมความสะดวกสบาย ที่สำคัญไปกว่านั้น การจู่โจมรอบนี้ยังมาแบบเคาะประตูบ้าน
"เซ็นทรัล-อารียา" "สัมมากร-ระยองเพียว" หรือ เคอีแลนด์ ดีเวลอปเปอร์ ที่ผันสู่สนามนี้เต็มตัวกับ "คริสตัล พาร์ค" และอีกหลายขั้วที่จ่อคิวลงทำเลใกล้บ้าน เกมช่วงชิงกำลังซื้อกำลังเริ่มต้น
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เกมเปลี่ยน ทำเลเกรดเอ กลายเป็นโจทย์ยากของธุรกิจ ตามมาด้วยค่าความ "คุ้มทุน" ที่ต้องประเมินอย่างหนัก ไม่นับตัวแปรหลักไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่พลิกผันจนยากจะคาดเดา การพลิกโฉมค้าปลีกจากบิ๊กไซส์สู่ขนาดย่อม แต่อัดแน่นด้วยเซอร์วิส มีทั้งแบรนด์ที่ปลุกปั้นเอง ผสานกับแบรนด์พันธมิตร กลายเป็นส่วนผสมของแนวรุกทางการตลาดในแบบที่ 1+1 ต้องมากกว่า 2
และที่สำคัญ ธงนำของธุรกิจค้าปลีกในห้วงเวลานี้ อยู่ที่ต้อง "ใกล้บ้าน" เท่านั้น จึงจะอินเทรนด์
ปรัชญาธุรกิจเสนอตัวเป็นพันธมิตรและค้าปลีกใกล้บ้าน คุ้นเคยกันดีแล้วกับพี่ใหญ่ เซเว่น
อีเลฟเว่น ที่ไม่ว่าชุมชนกำลังซื้อเกรดบีและซี จะต้องได้รับการผูกมิตรจากค้าปลีกรายนี้
ทางรุ่งของเซเว่นฯ กับการเกาะกำลังซื้อไว้ได้อยู่หมัด เมื่อบวกกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นิยมความสะดวกรวดเร็ว ในแบบที่พร้อมใจหากให้บริการที่โดนใจ ชุมชนเกรดเอ จึงยังเป็นช่องว่าง
และโอกาสทองที่ทุกค่ายค้าปลีกต่างประเมินแล้วว่า "รุ่ง" เช่นกัน
การจับคู่ต่างขั้ว "เซ็นทรัล-อารียา" "สัมมากร-ระยองเพียว" หรือแม้แต่เคอีแลนด์ ดีเวลอปเปอร์ ที่มาเดี่ยว และผันสู่สนามนี้เต็มตัวกับ "คริสตัล พาร์ค" ทั้งนี้ยังมีอีกหลายขั้วที่จ่อคิวลงทำเลใกล้บ้าน เกมช่วงชิงกำลังซื้อกำลังเริ่มต้น
ไม่บ่อยครั้งที่จะเห็นยักษ์ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของค้าปลีกไทย เซ็นทรัลกรุ๊ป ขยับหาพาร์ทเนอร์ต่างขั้วเพื่อขยายกรอบการค้าตามความถนัด เพราะด้วยความที่เป็นผู้เล่นหลัก ชั่วโมงบินสูง ทั้งยังทุนหนา แบบไม่ต้องง้อใคร การผุดค้าปลีกโครงการขนาดใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เมื่อเทรนด์ตลาดค้าปลีกที่ประเมินแล้วว่าน่าจะโตราว 5-8% แถมตลาดคอนวีเนียนสโตร์ กับซูเปอร์มาร์เก็ตยังเติบโตดีอยู่ ขณะที่กำลังซื้อชุมชนเกรดเอยังจ่ายแรงดีไม่มีตก งานนี้กลุ่มเซ็นทรัลเลยขอร่วมสนามนี้ด้วย ซึ่งเกมรุกครั้งนี้มีทั้งมาเดี่ยว และควงคู่พร้อมพันธมิตร
"ตามแผนเตรียมงบประมาณลงทุนไว้ 450-500 ล้านบาท สำหรับเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ ในช่วงแรกจำนวน 3 สาขา โดยแต่ละสาขาจะมีโมเดลและขนาดที่แตกต่างกันไป" ลิขิต ฟ้าปโยชนม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซีในเครือเซ็นทรัล
มาร์เก็ตพาร์คอุดมสุข เป็นโครงการแรกที่กลุ่มเซ็นทรัลชิมลาง ในขนาดเล็กสุดคือ 5,000 ตารางเมตร จำนวน 2 ชั้น พื้นที่ 4.5 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท พร้อมให้บริการกลางปีนี้
อีกโครงการที่เปิดมิติใหม่ค้าปลีกให้เซ็นทรัล กับความร่วมมือดีเวลอปเปอร์ซึ่งมีฐานลูกค้าและกำลังซื้อก้อนใหญ่ไว้พร้อมสรรพแล้วอย่างอารียา พรอพเพอร์ตี้ โดยเริ่มต้นที่โครงการเอสเปซ สุขุมวิท 77 ที่มีพื้นที่โครงการถึง 6.5 ไร่ คิดเป็นจำนวนหลายพันครัวเรือน
เราเลือกชุมชนที่มีประชากรอาศัยจำนวนมาก เช่น อุดมสุข ซึ่งมีกว่า 53,889 คน มากกว่า 21,498 ครัวเรือน และมีหมู่บ้านระดับสูงขนาดใหญ่จำนวนมากตั้งอยู่รอบโครงการ และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทำงาน ครอบครัวรุ่นใหม่ขนาดกลาง-เล็ก มีรายได้ปานกลาง-สูง ที่สำคัญเป็นกลุ่มประเภทเดลี่ยูส (Daily Use) เน้นความคล่องตัวในการจับจ่าย"
ที่สำคัญหากโปรเจคนำร่องเกิดผลดังคาด กลุ่มเซ็นทรัลหวังที่จะผุดให้ได้ถึง 35-40 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วง 3-5 ปีนับจากนี้
"เราพยายามดึงมืออาชีพเข้ามาร่วมกันทำงาน" วิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) คู่หูต่างขั้วกลุ่มเซ็นทรัลที่บอกว่า ผลของความร่วมมือครั้งนี้ มีแต่ "วิน-วิน" พร้อมกล่าวเสริมว่า เราไม่ได้มองเฉพาะรายได้จากค่าเช่า แต่การผุดคอมมูนิตี้มอลล์ดังกล่าว จะเกิดข้อดีทั้งการให้บริการกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ ขณะเดียวกันโครงการนี้ยังจะเป็นอีกตัวช่วยที่จะดึงคนใหม่ๆ เข้ามาซื้อโครงการ
ผลจากความร่วมมือของ 2 แบรนด์ที่ติดตลาดแล้วอย่างอารียาและเซ็นทรัล จึงเท่ากับโอกาสธุรกิจ
ถัดจากคู่ "เซ็นทรัล-อารียา" ยังมี เพียวเพลส ผลผลิตค้าปลีกแนวใหม่ที่บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) กับสัมมากร ร่วมกันปลุกปั้น
ศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ที่เชื่อว่าตลาด Community Mall ยังมีทิศทางแนวโน้มสดใส อีกทั้งยังอยู่ในความต้องการของผู้บริโภคได้อีกไกล
หลังจากที่ทำการศึกษารูปแบบโครงการที่คิดว่าเหมาะสมกับขนาดของพื้นที่ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนงบประมาณการลงทุน บริษัทมีแผนพัฒนาศูนย์การค้าชุมชนครบวงจร เพียว เพลส ขึ้นอีก 2 โครงการ บริเวณถนนรามคำแหง และบริเวณถนนราชพฤกษ์
ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2552
สำหรับศูนย์การค้าชุมชนครบวงจร เพียว เพลส แห่งแรกที่อยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านสัมมากร รังสิต คลอง 2 ด้วยพื้นที่ขายประมาณ 4,000 ตารางเมตร มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้บริการไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ศุภพงศ์บอกว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
ปัจจุบันมีร้านมาเปิดประมาณ 80% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์ฯ เฉลี่ยประมาณ 1,600-2,000 คนต่อวัน
ขณะที่อัตราเช่าพื้นที่ในปีนี้น่าจะเพิ่มได้ถึง 85น%
หากประเมินจากมูลค่าการลงทุนและอัตราเช่าพื้นที่ เพียว เพลส รังสิต คลอง 2 น่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปี แต่จะสามารถพุด เพียว เพลส ได้ครบทั้ง 5 แห่ง ภายใน 5 ปี ตามที่ประกาศไว้ เมื่อคราวที่เปิดแห่งแรกหรือไม่ กระแสตอบรับจากผู้บริโภคในชุมชนที่มีต่อคอมมูนิตี้มอลล์ คือคำตอบ
และถึงแม้จะไม่มาเป็นคู่ แต่สำหรับดีเวลอปเปอร์ที่มีแลนด์ลอร์ดในมืออย่างเคอีแลนด์ ก็ส่ง คริสตัล พาร์ค ผุดขึ้นบริเวณเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ออกมาดักจับกำลังซื้อบ้านหรูย่านนี้เช่นกัน
รูปแบบเป็นลักษณะ เนเบอร์ฮูด มอลล์ โดยเป้าหมายหลักอยู่ที่กำลังจ่ายระดับสูง มีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ฟู้ดคอร์ท ร้านอาหาร โรงเรียนสอนดนตรี และสถาบันการเงิน
นอกจากโครงการแรกที่อวดโฉม กลุ่มเคอีแลนด์ยังเตรียมผุดโปรเจคใหม่เพิ่มเพื่อรับกำลังซื้อระดับสูง ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสและช่องว่าง
นอกจาก 2 ขั้วใหญ่ และเบอร์ใหญ่ที่มาเดี่ยวอย่างเคอีแลนด์ คอมมูนิตี้มอลล์ ยังเป็นตลาดเนื้อหอมที่บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เจ้าเก่าที่พัฒนามาก่อนหน้าอย่างเจอเวนิวทองหล่อ แจ้งวัฒนะ ฯลฯ การันตีแล้วว่า "ดีจริง" เพียงแต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ชั้นเชิง" และสไตล์การเคาะประตูของแต่ละเจ้าเท่านั้นที่จะชี้ชัดได้เห็นถึงความสำเร็จที่จะตามมา
...อย่างน้อย "ดี" ที่กำลังซื้อพร้อม และแรงซื้อสูง ถือเป็น "ทุน" ประเดิมให้ผู้เล่นในสนามไม่ต้องเหนื่อยตอนออกวิ่ง
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ
โพสต์ที่ 48
มีกระทู้บ่นที่โดนใจผมจังครับ จากเว็บเพื่อนบ้านพันทิป
ชื่อกระทู้ :หยุด !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ขายประกัน ขายสินเชื่อ ขายสมาชิกบัตรเครดิต ทางโทรศัพท์มือถือเสียที
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 80578.html
ชื่อกระทู้ :หยุด !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ขายประกัน ขายสินเชื่อ ขายสมาชิกบัตรเครดิต ทางโทรศัพท์มือถือเสียที
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 80578.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่