มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
-
- Verified User
- โพสต์: 464
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 1
สำหรับคนที่คิดว่ามีเงินน้อย ลงทุนแบบวีไอได้หรือไม่
คัดลอกมาจากคุณหมีพูห้องสินธรครับ
..... การเก็บเงินปีละ 14,000 บาท จะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านน่าสนใจมาก แต่ถ้าทำตามวิธีการของคุณ ต้องรอถึง 40 ปี ทำให้ใจห่อเหี่ยว .....
..... ต้องรอถึง 40 ปีค่อยเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีตายกลายเป็นผีไปแล้ว คุณมีเคล็ดลับช่วยให้ร่ำรวยเร็วขึ้นมั้ย ? .....
การสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล คนส่วนหนึ่งรู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเก็บเงินลงทุนแบบนี้ 40 ปี จะได้เงินร้อยกว่าล้าน จึงทายว่า 10 ปีน่าจะได้สัก 5 ล้าน บางคนทายว่าประมาณ 1 ล้าน แต่ว่าคำตอบที่คำนวณได้น่าแปลกใจเหมือนกันคือได้แค่ 360,000 บาท เมื่อเทียบกับลงทุน 40 ปี ได้ร้อยกว่าล้าน แตกต่างกันถึง 300 กว่าเท่า
ยังดีที่มีคนตั้งคำถามแบบนี้ ไม่อย่างนั้นมีผู้ทำตามวิธีการนี้ เก็บเงินไปลงทุนปีละ 14,000 บาท นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20% นึกว่านานเข้าคงร่ำรวยเป็นเศรษฐี คิดไม่ถึงว่าแค่สิบปีมีเงินสะสมแค่สามแสนหก คงเข้าใจว่าถูกหลอกซะแล้ว
ต้องเข้าใจว่านี่เป็นการ วิ่งมาราธอน ไม่ใช่ วิ่งร้อยเมตร สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัว เงื่อนไขข้อแรกอยู่ที่เวลา คุณต้องผ่านการรอคอยจึงจะเห็นผล เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อย ๆ ในปีต่าง ๆ
- ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
นี่เป็นข้อสังเกตที่ว่าทำไมหาเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ยังง่ายกว่าหาเงิน 1 ล้านบาทแรกมากนัก
สำหรับคนที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่า คงมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว หมื่นแสนเรื่องราวตอนเริ่มต้นนั้นลำบากที่สุด ตอนแรกเริ่มกว่าจะหาเงินได้ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองหายากหาเย็นถึงเพียงนี้ แต่หลังจากประสบความสำเร็จ เงินทองก็ไหลมาเทมา เรียกว่าอยากจะหยุดยั้ง ก็ยั้งไว้ไม่อยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองกลายเป็นหาง่ายเพียงนี้
ทุกคนอยากจะหยิบเงินล้านที่สอง หรือหยิบเงินสิบล้านแบบง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นก็ภาวนาให้เงินไหลมาเทมา ปัญหาอยู่ที่ก่อนจะหยิบเงินล้านที่สอง ต้องมีเงินล้านแรกก่อน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินล้านแรก ?
เศรษฐีส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวจากเงินก้อนเล็ก ๆ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน ค่อย ๆ เก็บสะสม ตอนแรกเป็นเงินก้อนเล็ก ๆ แทบไม่น่าเชื่อ แต่ความสำเร็จเรียงร้อยจากความสำเร็จเล็ก ๆ ทั้งหลาย สะสมพอกพูนเป็นสมบัติกองโต
แสดงให้เห็นว่า เวลา มีความสำคัญต่อการลงทุนสร้างฐานะ ความ อดทน เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี และไม่ใช่อดทนไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ยิ่งอดทนยี่สิบสามสิบปี หรือสี่สิบห้าสิบปี พลังที่จะสร้างความร่ำรวยก็ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร
แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ อาหารจานด่วน ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารก็รับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายก็ใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถก็ต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษาก็ยังใช้วิธีเรียนลัด ผู้คนยิ่งมายิ่งหวังผลทันตาเห็น กลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น
ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ เวลา เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ เลิกล้มกลางคัน เมื่อเจอกับเงื่อเวลา ก็เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้
การลงทุนสร้างฐานะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจก็ทำเรื่องเสี่ยง ๆ ฉะนั้นแทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ไม่ว่าการสร้างสมความร่ำรวยก็ดี การสั่งสมประสบการณ์ก็ดี ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องใช้เวลาเข้าแลกมา คนที่อยากรวยทางลัด ได้แต่ใช้วิธีสุ่มเสี่ยงหรือว่าเล่นพนัน หรือทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ๆ แต่ผลของมันคือสิ้นเนื้อประดาตัว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
คนที่อยากรวยเร็วไม่เหมาะกับการลงทุนสร้างฐานะ เพราะการลงทุนแบบช้าหน่อยแต่ชัวร์แน่นอน พลังที่สร้างฐานะจะใหญ่โตกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเรานึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน ลองนึกดูว่าคุณแม่ต้องผ่านการอุ้มท้องกว่าสิบเดือน ชาวนาปลูกข้าวก็ต้องรอน้ำรอฝน ต้นข้าวจึงจะออกรวงได้ การพอกพูนของเงินทองก็เหมือนกับการเติบโตของชีวิต ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี ได้รับดอกเบี้ยทบต้น ไม่ใช่ถึงเป้าที่วางไว้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน นักลงทุนบางคนทำกำไรมหาศาลในชั่วข้ามคืน แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพียงชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา
-----------------------------------------------------------
คัดลอกมาจากคุณหมีพูห้องสินธรครับ
..... การเก็บเงินปีละ 14,000 บาท จะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านน่าสนใจมาก แต่ถ้าทำตามวิธีการของคุณ ต้องรอถึง 40 ปี ทำให้ใจห่อเหี่ยว .....
..... ต้องรอถึง 40 ปีค่อยเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีตายกลายเป็นผีไปแล้ว คุณมีเคล็ดลับช่วยให้ร่ำรวยเร็วขึ้นมั้ย ? .....
การสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล คนส่วนหนึ่งรู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเก็บเงินลงทุนแบบนี้ 40 ปี จะได้เงินร้อยกว่าล้าน จึงทายว่า 10 ปีน่าจะได้สัก 5 ล้าน บางคนทายว่าประมาณ 1 ล้าน แต่ว่าคำตอบที่คำนวณได้น่าแปลกใจเหมือนกันคือได้แค่ 360,000 บาท เมื่อเทียบกับลงทุน 40 ปี ได้ร้อยกว่าล้าน แตกต่างกันถึง 300 กว่าเท่า
ยังดีที่มีคนตั้งคำถามแบบนี้ ไม่อย่างนั้นมีผู้ทำตามวิธีการนี้ เก็บเงินไปลงทุนปีละ 14,000 บาท นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20% นึกว่านานเข้าคงร่ำรวยเป็นเศรษฐี คิดไม่ถึงว่าแค่สิบปีมีเงินสะสมแค่สามแสนหก คงเข้าใจว่าถูกหลอกซะแล้ว
ต้องเข้าใจว่านี่เป็นการ วิ่งมาราธอน ไม่ใช่ วิ่งร้อยเมตร สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัว เงื่อนไขข้อแรกอยู่ที่เวลา คุณต้องผ่านการรอคอยจึงจะเห็นผล เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อย ๆ ในปีต่าง ๆ
- ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
นี่เป็นข้อสังเกตที่ว่าทำไมหาเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ยังง่ายกว่าหาเงิน 1 ล้านบาทแรกมากนัก
สำหรับคนที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่า คงมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว หมื่นแสนเรื่องราวตอนเริ่มต้นนั้นลำบากที่สุด ตอนแรกเริ่มกว่าจะหาเงินได้ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองหายากหาเย็นถึงเพียงนี้ แต่หลังจากประสบความสำเร็จ เงินทองก็ไหลมาเทมา เรียกว่าอยากจะหยุดยั้ง ก็ยั้งไว้ไม่อยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองกลายเป็นหาง่ายเพียงนี้
ทุกคนอยากจะหยิบเงินล้านที่สอง หรือหยิบเงินสิบล้านแบบง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นก็ภาวนาให้เงินไหลมาเทมา ปัญหาอยู่ที่ก่อนจะหยิบเงินล้านที่สอง ต้องมีเงินล้านแรกก่อน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินล้านแรก ?
เศรษฐีส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวจากเงินก้อนเล็ก ๆ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน ค่อย ๆ เก็บสะสม ตอนแรกเป็นเงินก้อนเล็ก ๆ แทบไม่น่าเชื่อ แต่ความสำเร็จเรียงร้อยจากความสำเร็จเล็ก ๆ ทั้งหลาย สะสมพอกพูนเป็นสมบัติกองโต
แสดงให้เห็นว่า เวลา มีความสำคัญต่อการลงทุนสร้างฐานะ ความ อดทน เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี และไม่ใช่อดทนไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ยิ่งอดทนยี่สิบสามสิบปี หรือสี่สิบห้าสิบปี พลังที่จะสร้างความร่ำรวยก็ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร
แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ อาหารจานด่วน ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารก็รับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายก็ใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถก็ต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษาก็ยังใช้วิธีเรียนลัด ผู้คนยิ่งมายิ่งหวังผลทันตาเห็น กลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น
ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ เวลา เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ เลิกล้มกลางคัน เมื่อเจอกับเงื่อเวลา ก็เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้
การลงทุนสร้างฐานะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจก็ทำเรื่องเสี่ยง ๆ ฉะนั้นแทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ไม่ว่าการสร้างสมความร่ำรวยก็ดี การสั่งสมประสบการณ์ก็ดี ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องใช้เวลาเข้าแลกมา คนที่อยากรวยทางลัด ได้แต่ใช้วิธีสุ่มเสี่ยงหรือว่าเล่นพนัน หรือทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ๆ แต่ผลของมันคือสิ้นเนื้อประดาตัว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
คนที่อยากรวยเร็วไม่เหมาะกับการลงทุนสร้างฐานะ เพราะการลงทุนแบบช้าหน่อยแต่ชัวร์แน่นอน พลังที่สร้างฐานะจะใหญ่โตกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเรานึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน ลองนึกดูว่าคุณแม่ต้องผ่านการอุ้มท้องกว่าสิบเดือน ชาวนาปลูกข้าวก็ต้องรอน้ำรอฝน ต้นข้าวจึงจะออกรวงได้ การพอกพูนของเงินทองก็เหมือนกับการเติบโตของชีวิต ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี ได้รับดอกเบี้ยทบต้น ไม่ใช่ถึงเป้าที่วางไว้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน นักลงทุนบางคนทำกำไรมหาศาลในชั่วข้ามคืน แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพียงชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา
-----------------------------------------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 1266
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 4
ดูหัวข้อกระทู้นี้ทีแรก นึกว่าชวนทำธุรกิจขายตรง .... ฮา
เรื่องผลตอบแทนทบต้น เราส่วนมากได้เรียนรู้ตั้งแต่ เรื่อง มะกะโท ในบทเรียนชั้นประถม ที่เอาเมล็ดถั่วมาปลูก เมื่อออกฝักถั่ว ก็เอาถั่วที่ได้มาเป็นเมล็ดพันธุ์ปลูกต่อๆกันไป จนร่ำรวยมหาศาล แต่ในความจริง มะกะโท คงมีที่ดินสำหรับการเพาะปลูกจำนวนหนึ่งซึ่งคงที่ ฉะนั้นคงจะทำให้เป็นอย่างนั้นจริงๆคงไม่ได้
สำหรับการลงทุนสร้างผลตอบแทนปีละ 20% ดูเหมือนเป็นตัวเลขที่พอมีโอกาสที่จะทำได้ในรายปี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้เฉลี่ยทุกๆปี แล้วค่าเฉลี่ยนั้นกินระยะเวลาถึง 40 ปี แต่อาจจะมีคนทำได้ และเขาผู้นั้นจะถูกจารึกชื่อไว้เป็นตำนานทีเดียว
การที่พวกเราเคยถกกันในกระทู้ว่า ล้านแรกมักเป็นเรื่องยาก ผมเห็นด้วย การที่มีทุนมากแม้จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นเป็นเปอร์เซนต์ที่ต่ำกว่า แต่เมื่อคิดเป็นเม็ดเงินแล้วย่อมมีจำนวนมากกว่า ผลตอบแทนในเปอร์เซนต์ที่สูงกว่าของทุนจำนวนน้อย การเข้าถึงแหล่งทุนถือเป็นโอกาสที่สำคัญ บางคนจึงเลือกเข้าถึงแหล่งทุนด้วยบัญชีมาร์จิ้น แต่ก็มีผลร้ายแรงในด้านลบหากผลการลงทุนไม่เป็นอย่างที่คาด
เรื่องผลตอบแทนทบต้น เราส่วนมากได้เรียนรู้ตั้งแต่ เรื่อง มะกะโท ในบทเรียนชั้นประถม ที่เอาเมล็ดถั่วมาปลูก เมื่อออกฝักถั่ว ก็เอาถั่วที่ได้มาเป็นเมล็ดพันธุ์ปลูกต่อๆกันไป จนร่ำรวยมหาศาล แต่ในความจริง มะกะโท คงมีที่ดินสำหรับการเพาะปลูกจำนวนหนึ่งซึ่งคงที่ ฉะนั้นคงจะทำให้เป็นอย่างนั้นจริงๆคงไม่ได้
สำหรับการลงทุนสร้างผลตอบแทนปีละ 20% ดูเหมือนเป็นตัวเลขที่พอมีโอกาสที่จะทำได้ในรายปี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้เฉลี่ยทุกๆปี แล้วค่าเฉลี่ยนั้นกินระยะเวลาถึง 40 ปี แต่อาจจะมีคนทำได้ และเขาผู้นั้นจะถูกจารึกชื่อไว้เป็นตำนานทีเดียว
การที่พวกเราเคยถกกันในกระทู้ว่า ล้านแรกมักเป็นเรื่องยาก ผมเห็นด้วย การที่มีทุนมากแม้จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นเป็นเปอร์เซนต์ที่ต่ำกว่า แต่เมื่อคิดเป็นเม็ดเงินแล้วย่อมมีจำนวนมากกว่า ผลตอบแทนในเปอร์เซนต์ที่สูงกว่าของทุนจำนวนน้อย การเข้าถึงแหล่งทุนถือเป็นโอกาสที่สำคัญ บางคนจึงเลือกเข้าถึงแหล่งทุนด้วยบัญชีมาร์จิ้น แต่ก็มีผลร้ายแรงในด้านลบหากผลการลงทุนไม่เป็นอย่างที่คาด
- romee
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 6
คุณหมีพู แกเป็นคนไม่กี่คนในห้องสินธร ที่ตอบกระทู้ได้ดีอ่ะ
รู้สึกว่าแกจะถนัดด้านกองทุนรวมมากๆ...และไม่มีการเชียร์กองทุนใดเป็นพิเศษ...แถมบางทีเอากองทุนต่างๆมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อด้อยด้วย
แต่บางกองทุน มีแรงเชียร์นิดหน่อย...คนแห่กันซื้อเยอะจริงๆ ทั้งๆที่มันก็ :?:
รู้สึกว่าแกจะถนัดด้านกองทุนรวมมากๆ...และไม่มีการเชียร์กองทุนใดเป็นพิเศษ...แถมบางทีเอากองทุนต่างๆมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อด้อยด้วย
แต่บางกองทุน มีแรงเชียร์นิดหน่อย...คนแห่กันซื้อเยอะจริงๆ ทั้งๆที่มันก็ :?:
- preecha_w
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 7
เห็นด้วยอย่างมากครับ ขอบคุณครับ
อย่าลืมสูตรที่ ดร.นิเวศน์ ให้ไว้นะครับ 7.2
ผมเชื่อว่า ด้วยพลังของเวลา และความแน่วแน่
อีก 10-20 ปีข้างหน้า ชาว TVI หลายคน จะข้ามขั้น
จากคนชั้นกลางไปเป็นเศรษฐี
จากเศรษฐีไปเป็นมหาเศรษฐี
จากมหาเศรษฐีไปเป็น ตำนาน :)
อย่าลืมสูตรที่ ดร.นิเวศน์ ให้ไว้นะครับ 7.2
ผมเชื่อว่า ด้วยพลังของเวลา และความแน่วแน่
อีก 10-20 ปีข้างหน้า ชาว TVI หลายคน จะข้ามขั้น
จากคนชั้นกลางไปเป็นเศรษฐี
จากเศรษฐีไปเป็นมหาเศรษฐี
จากมหาเศรษฐีไปเป็น ตำนาน :)
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณนะครับ :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 10
ถ้าผลตอบแทน ปีละ 10% คิดแบบทบต้นไป 40 ปี จะได้ ดังนี้ค่ะ
= (1.1)^40 = 45.25925557 หรือ คิดเป็น 4,525.93% ค่ะ
ดังนั้น ถ้าเงินต้นปีแรกคงที่ ที่ 14,000 บาท โดยไม่มีการเพิ่มทุนเลย ก็จะได้เงินสุทธิในปีที่ 40 เท่ากับ 633,629.578 บาท ค่ะ
แต่ถ้าคิดอีกแบบ คือการสะสมเงินด้วยจำนวนที่เท่าๆ กัน ตอนสิ้นปี ด้วยเงินจำนวน 14,000 บาท ต่อปี (คิดง่ายๆ ด้วยการใช้สูตรใน Excel นะคะ)
จะได้เงินสุทธิตอนสิ้นปีที่ 40 เท่ากับ =fv(.1,40,14000) = 6,196,295.78 บาท ค่ะ
ขอบคุณพี่ๆ ที่หาบทความและมุมมองความคิดดีๆ มาให้อ่าน นะคะ
= (1.1)^40 = 45.25925557 หรือ คิดเป็น 4,525.93% ค่ะ
ดังนั้น ถ้าเงินต้นปีแรกคงที่ ที่ 14,000 บาท โดยไม่มีการเพิ่มทุนเลย ก็จะได้เงินสุทธิในปีที่ 40 เท่ากับ 633,629.578 บาท ค่ะ
แต่ถ้าคิดอีกแบบ คือการสะสมเงินด้วยจำนวนที่เท่าๆ กัน ตอนสิ้นปี ด้วยเงินจำนวน 14,000 บาท ต่อปี (คิดง่ายๆ ด้วยการใช้สูตรใน Excel นะคะ)
จะได้เงินสุทธิตอนสิ้นปีที่ 40 เท่ากับ =fv(.1,40,14000) = 6,196,295.78 บาท ค่ะ
ขอบคุณพี่ๆ ที่หาบทความและมุมมองความคิดดีๆ มาให้อ่าน นะคะ
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 12
[quote="romee"]คุณหมีพู แกเป็นคนไม่กี่คนในห้องสินธร ที่ตอบกระทู้ได้ดีอ่ะ
รู้สึกว่าแกจะถนัดด้านกองทุนรวมมากๆ...และไม่มีการเชียร์กองทุนใดเป็นพิเศษ...แถมบางทีเอากองทุนต่างๆมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อด้อยด้วย
แต่บางกองทุน มีแรงเชียร์นิดหน่อย...คนแห่กันซื้อเยอะจริงๆ ทั้งๆที่มันก็
รู้สึกว่าแกจะถนัดด้านกองทุนรวมมากๆ...และไม่มีการเชียร์กองทุนใดเป็นพิเศษ...แถมบางทีเอากองทุนต่างๆมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อด้อยด้วย
แต่บางกองทุน มีแรงเชียร์นิดหน่อย...คนแห่กันซื้อเยอะจริงๆ ทั้งๆที่มันก็
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 464
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 13
แทนค่าในสูตรเอ๊กเซล ยี่สิบเปอร์ทบต้น
เริ่มแรกด้วยเงินหมื่นสี่พันบาท แล้วออมให้ได้ปีละหมื่นสี่ทบต้นไปเรื่อย ๆ
จะได้ผลตอบแทนร้อยสองล้านแปดแสนเท่าที่คุณหมีพูยกมาอ้าง
แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยเงินหมื่นสี่พัน แล้วออมให้ได้ปีละหมื่นสี่ทบต้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน แต่ผลตอบแทนสิบเปอร์ทบต้น
ปีที่สี่สิบ ได้แค่หกล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสองพัน ต่างกันสิบหกจุดหกสามเท่า
ต่างกันที่อัตราผลตอบแทนต่อปีเป็นตัวเร่งครับ มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ยทบต้น
ลองของจริงมาแล้วง่าย ๆ ด้วยการไม่จ่ายบัตรเครดิตดอกเบี้ยร้อยละยี่สิบเจ็ดต่อปีดูแล้วครับ
ปรากฏว่าหน้ามืดคล้าย ๆ จะเป็นลม :lol: :lol: :lol:
เริ่มแรกด้วยเงินหมื่นสี่พันบาท แล้วออมให้ได้ปีละหมื่นสี่ทบต้นไปเรื่อย ๆ
จะได้ผลตอบแทนร้อยสองล้านแปดแสนเท่าที่คุณหมีพูยกมาอ้าง
แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยเงินหมื่นสี่พัน แล้วออมให้ได้ปีละหมื่นสี่ทบต้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน แต่ผลตอบแทนสิบเปอร์ทบต้น
ปีที่สี่สิบ ได้แค่หกล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสองพัน ต่างกันสิบหกจุดหกสามเท่า
ต่างกันที่อัตราผลตอบแทนต่อปีเป็นตัวเร่งครับ มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ยทบต้น
ลองของจริงมาแล้วง่าย ๆ ด้วยการไม่จ่ายบัตรเครดิตดอกเบี้ยร้อยละยี่สิบเจ็ดต่อปีดูแล้วครับ
ปรากฏว่าหน้ามืดคล้าย ๆ จะเป็นลม :lol: :lol: :lol:
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับ
เป็นบทความที่จุดประกายความคิด และความหวังให้แก่ผู้อ่านได้อย่างดีทีเดียวครับ
เป็นบทความที่จุดประกายความคิด และความหวังให้แก่ผู้อ่านได้อย่างดีทีเดียวครับ
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 16
ถึงออมมากกว่านั้นก็อาจจะได้น้อยกว่าก็ได้ครับtum_H เขียน:ไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่า เงินแค่ 14,000 บาท ออมทุกปีจะให้ผลตอบแทน
ที่ออกมา ดีขนาดนี้
แล้วถ้าตัวเลขเงินออมสูงกว่านี้ละ่ อืม...
ถ้าไม่ได้ผลตอบแทน 20% ทบต้น
แต่ผมอยากให้เข้าใจกันนิดนึงนะครับจะได้ไม่ฝันกันมากไป
ว่าไอ้การทำ 20%ทบต้นได้ถึง 40 ปีนี่
มันเข้าขั้นระดับตำนานเลยนะครับ
หวังกันซัก 15%ก็หรูแล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 17
ถ้าให้เหมือนจริง ต้องมีปีที่ขึ้น-ลง ขาดทุนทบต้นด้วยครับ ไม่งั้นก็คงเป็นฝันหวานทั้งเพ
เอาแบบ มัการกำไรมากน้อยสลับกันไป ให้ได้เสมือนโลกความจริง ลองทำมาให้ดูครับ
เพราะต้องมีช่วงที่ตลาด crash แน่ๆในรอบหลายๆปี และบางปีก็หลายเด้ง บางปีก็ไม่มาก
แถมยิ่งพอร์ตใหญ่ยิ่งได้กำไรเป็น%สูงๆ ยากมากขึ้น
เอาแบบ มัการกำไรมากน้อยสลับกันไป ให้ได้เสมือนโลกความจริง ลองทำมาให้ดูครับ
เพราะต้องมีช่วงที่ตลาด crash แน่ๆในรอบหลายๆปี และบางปีก็หลายเด้ง บางปีก็ไม่มาก
แถมยิ่งพอร์ตใหญ่ยิ่งได้กำไรเป็น%สูงๆ ยากมากขึ้น
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 18
ลองเปลี่ยนมาเป็น เงินต้น แสนนึง บ้างครับ
ตัวเลขผมอาจดูได้เยอะกว่าบทความ แต่ได้อารมณ์ตลาดของจริงกว่านะ ผมว่า
ลองดูแต่ปีที่ 5, 10 , 15..20..25 ตามเค้าจะเห็นความแปลก :lol:
ตัวเลขผมอาจดูได้เยอะกว่าบทความ แต่ได้อารมณ์ตลาดของจริงกว่านะ ผมว่า
ลองดูแต่ปีที่ 5, 10 , 15..20..25 ตามเค้าจะเห็นความแปลก :lol:
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 19
ทั้งของผม และบทควมข้างต้น มีข้อแม้ว่า ต้องแลกมาด้วย หยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ หาความรู้ในการลงทุนด้วยนะครับ ไม่ใช่อ่านบทความแล้วซื้อหุ้นเลย จะได้ยังงั้นทุกคน
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 20
บทความนี้อาจจะธรรมดาสำหรับคนที่เข้าใจในเรื่องของ Compounding อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจในความมหัศจรรย์ของ Compounding อ่านแล้วบางทีก็อาจะทำให้เกิดความหวัง และความพยายามที่จะทำให้สำเร็จ นี่เป็นความท้าทาย
เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว ได้ประโยชน์อะไรบ้าง :?: คือมันจะช่วยให้คนอ่านนำไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายระยะยาว ว่าต่อไปฉันจะพยายามสร้างผลตอบแทนแบบทบต้น(เฉลี่ย)แล้วให้มากกว่า 20 % ต่อปี เป็นเวลา 20 ปี 30 ปี หรือจะ 40 ปีติดต่อกัน (แล้วแต่คน)
เมื่อมีเป้าหมาย มันจะทำให้คนเกิดกระบวนการคิดตามมา ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เช่นคิดว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องชักเงินจากหุ้นออกมาใช้ ค้นหาหุ้นที่จะสามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ หรือต้องตัดค่าใช้จ่ายในส่วนใดบ้าง หากไม่มีเป้าหมาย กระบวนการทางความคิดก็ไม่เกิด อาจจะทำให้ลงทุนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะไปทางไหน ซึ่งเปรียบกับเรือที่ไร้หางเสือ
เป้าหมายเป็นสิ่งที่คนกำหนด การกำหนดต้องสอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง และเป็นเรื่องของอนาคต ผลที่ออกมาอาจจะต่ำกว่า สูงกว่า หรือเสมอตัว อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นความท้าทายให้คนพยายามที่จะพิชิตมันให้ได้
พอดีเห็นคนในพันทิบอ่านบทความนี้เสร็จแล้ว ก็ตั้งคำถามกับคนตั้งกระทู้ว่า แล้วทำอย่างไรล่ะจึงจะได้ 20 % เมื่ออ่านจบ คนอ่านยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาต้องการสื่อนั่นคืออะไร สามารถนำไปประยุคต์ใช้กับการลงทุนได้อย่างไร อย่างนี้เท่ากับว่าอ่านไปแล้วไม่สามารถเก็บเกี่ยวอะไรจากบทความได้เลย ก็คงต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรมของเขาแล้วล่ะครับ
เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว ได้ประโยชน์อะไรบ้าง :?: คือมันจะช่วยให้คนอ่านนำไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายระยะยาว ว่าต่อไปฉันจะพยายามสร้างผลตอบแทนแบบทบต้น(เฉลี่ย)แล้วให้มากกว่า 20 % ต่อปี เป็นเวลา 20 ปี 30 ปี หรือจะ 40 ปีติดต่อกัน (แล้วแต่คน)
เมื่อมีเป้าหมาย มันจะทำให้คนเกิดกระบวนการคิดตามมา ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เช่นคิดว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องชักเงินจากหุ้นออกมาใช้ ค้นหาหุ้นที่จะสามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ หรือต้องตัดค่าใช้จ่ายในส่วนใดบ้าง หากไม่มีเป้าหมาย กระบวนการทางความคิดก็ไม่เกิด อาจจะทำให้ลงทุนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะไปทางไหน ซึ่งเปรียบกับเรือที่ไร้หางเสือ
เป้าหมายเป็นสิ่งที่คนกำหนด การกำหนดต้องสอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง และเป็นเรื่องของอนาคต ผลที่ออกมาอาจจะต่ำกว่า สูงกว่า หรือเสมอตัว อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นความท้าทายให้คนพยายามที่จะพิชิตมันให้ได้
พอดีเห็นคนในพันทิบอ่านบทความนี้เสร็จแล้ว ก็ตั้งคำถามกับคนตั้งกระทู้ว่า แล้วทำอย่างไรล่ะจึงจะได้ 20 % เมื่ออ่านจบ คนอ่านยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาต้องการสื่อนั่นคืออะไร สามารถนำไปประยุคต์ใช้กับการลงทุนได้อย่างไร อย่างนี้เท่ากับว่าอ่านไปแล้วไม่สามารถเก็บเกี่ยวอะไรจากบทความได้เลย ก็คงต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรมของเขาแล้วล่ะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 21
[quote="Golden Stock"]บทความนี้อาจจะธรรมดาสำหรับคนที่เข้าใจในเรื่องของ Compounding อยู่แล้ว
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 22
ในเวบนี้ก้อมีตำนานเยอะนะครับ 8) ...atsu เขียน:แต่ผมอยากให้เข้าใจกันนิดนึงนะครับจะได้ไม่ฝันกันมากไป
ว่าไอ้การทำ 20%ทบต้นได้ถึง 40 ปีนี่
มันเข้าขั้นระดับตำนานเลยนะครับ
หวังกันซัก 15%ก็หรูแล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 23
มองโลกในแง่ดีเกินไปหรือบางทีคิดทางเดียวก็ทำให้เรารู้สึกว่า ไอ้เงินร้อยกว่าล้านกับปีละ หมื่นสี่พันบาทนี่มันง่ายเหลือเกิน ..... ลองคิดสวนทางกันบ้างสิครับว่า สมมติว่าสามปีสุดท้ายเป็นขาลงสมบูรณ์แบบ ปลายทางร้อยล้านที่ว่า จะเปลี่ยนเป็นเท่าไหร่ ?? อาจจะ 0 ก็ได้นะ :lol:
ดอกเบี้ยทบต้น มันหลอกเราด้วยผลตอบแทนที่มหาศาลในปีท้าย ๆ แต่มันก็ทำให้เราเจ็บได้เหมือนกันถ้าเกิดปีหลัง แทนที่จะได้ กลายเป็นเสีย ไม่ต้องสามปีหลังก็ได้ เอาปีสุดท้ายปีเดียว -20% จาก 100 ล้าน คงจะเหลือไม่ถึง 50-60 ล้าน
ดอกเบี้ยทบต้น มันหลอกเราด้วยผลตอบแทนที่มหาศาลในปีท้าย ๆ แต่มันก็ทำให้เราเจ็บได้เหมือนกันถ้าเกิดปีหลัง แทนที่จะได้ กลายเป็นเสีย ไม่ต้องสามปีหลังก็ได้ เอาปีสุดท้ายปีเดียว -20% จาก 100 ล้าน คงจะเหลือไม่ถึง 50-60 ล้าน
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 25
40 ปีเป็นระยะเวลาที่ยาวมาก
ดูกันสั้นๆมีการขึ้นลงในช่วงแต่ละปีแต่ละเดือน
แน่นอน บ้างปี +200% ก็มี บ้างปี -20% ก็มี
มันคือค่าเฉลี่ยของทุกปี ทำให้ผลการดำเนินงานระยะยาวดี
ต้องถือหุ้นที่ 40 ปี ข้างหน้ามันกำไรอยู่ แน่นอน
ไม่มีการปรับตัวอะไรมากนัก กิจการเข้าใจง่าย
ไม่ซับซ้อนมากมายอะไรทั้งสิ้น
ดูกันสั้นๆมีการขึ้นลงในช่วงแต่ละปีแต่ละเดือน
แน่นอน บ้างปี +200% ก็มี บ้างปี -20% ก็มี
มันคือค่าเฉลี่ยของทุกปี ทำให้ผลการดำเนินงานระยะยาวดี
ต้องถือหุ้นที่ 40 ปี ข้างหน้ามันกำไรอยู่ แน่นอน
ไม่มีการปรับตัวอะไรมากนัก กิจการเข้าใจง่าย
ไม่ซับซ้อนมากมายอะไรทั้งสิ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 26
อยากให้อ่านบทความนี้ประกอบด้วยครับ
คุณ ๆ คงเคยได้ยินชื่อ อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล มาแล้ว เขาเกิดในปี พ.ศ. 2376 และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2439 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นทำดินระเบิดจนมั่งคั่ง จึงนำเงินที่ได้มาทั้งหมดตั้งเป็นกองทุนให้รางวัล ชื่อว่ารางวัลโนเบล
เดือนตุลาคมของทุกปี คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลจะประกาศรายชื่อบุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกันเช่น สาขาฟิสิกส์ เคมี การแพทย์ อักษรศาสตร์ รวมทั้งรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ สำหรับผู้ที่นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ในรอบปี
ผู้ที่ได้รางวัลโนเบล ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของชีวิต ทุกคนไม่เพียงแต่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ยังจะได้รับเงินรางวัล 1,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐอีกด้วย
แต่ละปีคณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล จะประกาศให้รางวัลรวม 5 สาขาด้วยกัน หมายความว่าทุกปีต้องจ่ายเงินรางวัล 5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จึงมีคนอดถามไม่ได้ว่า กองทุนรางวัลโนเบลมีจำนวนเงินมากน้อยแค่ไหน จึงแบกรับภาระจ่ายเงินรางวัลจำนวนมหาศาลได้ทุกปี
อันที่จริงความสำเร็จของกองทุนรางวัลโนเบล นอกจากเงินทุนของ อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบลแล้ว ต้องยกประโยชน์ให้แก่คณะกรรมการรางวัลโนเบลที่ลงทุนอย่างถูกทาง
กองทุนรางวัลโนเบลก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2439 ด้วยเงินบริจาคจาก อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล จำนวน 9,800,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุน เพื่อจ่ายเงินรางวัลให้แก่ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ฉะนั้นการบริหารเงินกองทุนจะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเหตุนี้ตอนแรกจัดตั้งกองทุน ในระเบียบข้อบังคับระบุไว้อย่างชัดเจน ให้ลงทุนในกิจการที่มั่นคง ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน เช่นฝากเงินกับธนาคารและซื้อพันธบัตร ไม่สมควรลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจที่ดินซึ่งมีความเสี่ยงสูง
นี่เป็นวิธีการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ผลจากการยอมสละผลตอบแทนสูง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ปรากฏว่า 50 ปีให้หลัง เงินรางวัลที่จ่ายออกไป บวกกับค่าใช้จ่ายในกิจกรรมของกองทุน เงินทุนของกองทุนรางวัลโนเบลหดหายไปถึงสองในสาม และเมื่อถึงปี พ.ศ. 2496 เงินกองทุนก็ลดลงเหลือเพียง 3,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น
คณะกรรมการบริหารกองทุนรางวัลโนเบล พอเห็นเงินกองทุนร่อยหรอลง ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อปี พ.ศ. 2496 จึงแก้ไขข้อบังคับกองทุน จากเดิมซึ่งอนุญาตให้ฝากเงินธนาคารกับซื้อพันธบัตร เปลี่ยนเป็นลงทุนในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก
ผลจากการเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ช่วยพลิกสถานะทางการเงินของกองทุนรางวัลโนเบล หลังจากนั้นเป็นต้นมาสามารถจ่ายเงินรางวัลโนเบลตามเดิมติดต่อกัน 40 ปี เมื่อถึง พ.ศ. 2536 ทางกองทุนไม่เพียงทำกำไรในส่วนที่ขาดทุนไปกลับคืนมา สินทรัพย์สุทธิของกองทุนรางวัลโนเบลยังสุงถึง 270 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้าหากไม่เปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ยังคงฝากเงินไว้กับธนาคารเป็นหลัก ทุกวันนี้คงไม่มีปัญญาจ่ายเงินรางวัล และคงจะล้มหายตายจากโลกไปแล้ว
จากบทเรียนของกองทุนรางวัลโนเบล ทำให้กองทุนของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากเปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุน แทนที่จะฝากเงินกับธนาคารหรือซื้อพันธบัตร จึงพากันหันไปซื้อหุ้นและถือครองอสังหาริมทรัพย์แทน
คุณ ๆ อยากให้เงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากผ่านไปอีกหลายสิบปี กลับหดตัวเหมือนกับกองทุนโนเบลในระยะแรก หรือเติบโตแบบก้าวกระโดดในภายหลัง ?
ปัญหาอยู่ที่คุณลงทุนในรูปแบบอะไร ถ้าหากยังฝากเงินไว้กับธนาคาร รู้ตัวตอนนี้ยังไม่สาย กองทุนรางวัลโนเบลเพียงปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ทุกอย่างก็พลิกฟื้นดีขึ้น และอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิตปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา (คงจะตอบคำถามหลายคนได้นะครับ ที่เคยสงสัยกันว่าทำไมหมีพูถึงรับความเสี่ยงได้สูงมากๆ เพราะชอบแนะนำให้ลงทุนในหุ้น/กองทุนหุ้น)
แสดงให้เห็นว่าการลงทุนสร้างฐานะไม่ต้องมีเทคนิคพิเศษอะไรซับซ้อน นอกจากขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัดและอดออมแล้ว ยังอยู่ที่การปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุนให้ถูกต้องด้วยครับ
คุณ ๆ คงเคยได้ยินชื่อ อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล มาแล้ว เขาเกิดในปี พ.ศ. 2376 และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2439 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นทำดินระเบิดจนมั่งคั่ง จึงนำเงินที่ได้มาทั้งหมดตั้งเป็นกองทุนให้รางวัล ชื่อว่ารางวัลโนเบล
เดือนตุลาคมของทุกปี คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลจะประกาศรายชื่อบุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกันเช่น สาขาฟิสิกส์ เคมี การแพทย์ อักษรศาสตร์ รวมทั้งรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ สำหรับผู้ที่นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ในรอบปี
ผู้ที่ได้รางวัลโนเบล ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของชีวิต ทุกคนไม่เพียงแต่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ยังจะได้รับเงินรางวัล 1,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐอีกด้วย
แต่ละปีคณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล จะประกาศให้รางวัลรวม 5 สาขาด้วยกัน หมายความว่าทุกปีต้องจ่ายเงินรางวัล 5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จึงมีคนอดถามไม่ได้ว่า กองทุนรางวัลโนเบลมีจำนวนเงินมากน้อยแค่ไหน จึงแบกรับภาระจ่ายเงินรางวัลจำนวนมหาศาลได้ทุกปี
อันที่จริงความสำเร็จของกองทุนรางวัลโนเบล นอกจากเงินทุนของ อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบลแล้ว ต้องยกประโยชน์ให้แก่คณะกรรมการรางวัลโนเบลที่ลงทุนอย่างถูกทาง
กองทุนรางวัลโนเบลก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2439 ด้วยเงินบริจาคจาก อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล จำนวน 9,800,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุน เพื่อจ่ายเงินรางวัลให้แก่ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ฉะนั้นการบริหารเงินกองทุนจะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเหตุนี้ตอนแรกจัดตั้งกองทุน ในระเบียบข้อบังคับระบุไว้อย่างชัดเจน ให้ลงทุนในกิจการที่มั่นคง ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน เช่นฝากเงินกับธนาคารและซื้อพันธบัตร ไม่สมควรลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจที่ดินซึ่งมีความเสี่ยงสูง
นี่เป็นวิธีการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ผลจากการยอมสละผลตอบแทนสูง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ปรากฏว่า 50 ปีให้หลัง เงินรางวัลที่จ่ายออกไป บวกกับค่าใช้จ่ายในกิจกรรมของกองทุน เงินทุนของกองทุนรางวัลโนเบลหดหายไปถึงสองในสาม และเมื่อถึงปี พ.ศ. 2496 เงินกองทุนก็ลดลงเหลือเพียง 3,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น
คณะกรรมการบริหารกองทุนรางวัลโนเบล พอเห็นเงินกองทุนร่อยหรอลง ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อปี พ.ศ. 2496 จึงแก้ไขข้อบังคับกองทุน จากเดิมซึ่งอนุญาตให้ฝากเงินธนาคารกับซื้อพันธบัตร เปลี่ยนเป็นลงทุนในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก
ผลจากการเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ช่วยพลิกสถานะทางการเงินของกองทุนรางวัลโนเบล หลังจากนั้นเป็นต้นมาสามารถจ่ายเงินรางวัลโนเบลตามเดิมติดต่อกัน 40 ปี เมื่อถึง พ.ศ. 2536 ทางกองทุนไม่เพียงทำกำไรในส่วนที่ขาดทุนไปกลับคืนมา สินทรัพย์สุทธิของกองทุนรางวัลโนเบลยังสุงถึง 270 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้าหากไม่เปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ยังคงฝากเงินไว้กับธนาคารเป็นหลัก ทุกวันนี้คงไม่มีปัญญาจ่ายเงินรางวัล และคงจะล้มหายตายจากโลกไปแล้ว
จากบทเรียนของกองทุนรางวัลโนเบล ทำให้กองทุนของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากเปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุน แทนที่จะฝากเงินกับธนาคารหรือซื้อพันธบัตร จึงพากันหันไปซื้อหุ้นและถือครองอสังหาริมทรัพย์แทน
คุณ ๆ อยากให้เงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากผ่านไปอีกหลายสิบปี กลับหดตัวเหมือนกับกองทุนโนเบลในระยะแรก หรือเติบโตแบบก้าวกระโดดในภายหลัง ?
ปัญหาอยู่ที่คุณลงทุนในรูปแบบอะไร ถ้าหากยังฝากเงินไว้กับธนาคาร รู้ตัวตอนนี้ยังไม่สาย กองทุนรางวัลโนเบลเพียงปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ทุกอย่างก็พลิกฟื้นดีขึ้น และอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิตปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา (คงจะตอบคำถามหลายคนได้นะครับ ที่เคยสงสัยกันว่าทำไมหมีพูถึงรับความเสี่ยงได้สูงมากๆ เพราะชอบแนะนำให้ลงทุนในหุ้น/กองทุนหุ้น)
แสดงให้เห็นว่าการลงทุนสร้างฐานะไม่ต้องมีเทคนิคพิเศษอะไรซับซ้อน นอกจากขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัดและอดออมแล้ว ยังอยู่ที่การปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุนให้ถูกต้องด้วยครับ
" อะไรก็ตามที่เคยมีคนทำได้
แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "
แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "
-
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 27
ตามด้วยบทความนี้ประกอบครับ
< มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ >
มีคนบางคนเห็นว่า การลงทุนเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคนรวยหรือผู้มีรายได้สูง จริงอยู่ การลงทุนคือการใช้เงินต่อเงิน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เนรมิตก้อนหินเป็นทองคำขึ้นมา ฉะนั้นต้องมีเงินจึงลงทุนได้
แต่บางท่านยังไม่รู้ว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความร่ำรวยในอนาคต อยู่ที่การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงหรือต่ำ บวกกับระยะเวลาการลงทุนยาวหรือสั้น หาใช่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินมากน้อยไม่
บนเส้นทางการลงทุน ต่อให้เป็นเงินจำนวนน้อย ขอเพียงลงทุนอย่างถูกต้อง วันข้างหน้าสามารถสร้างความร่ำรวยได้ ดังตัวอย่างที่ว่าปีนึงลงทุนแค่ 14,000 บาท 40 ปีให้หลังได้เป็นเศรษฐีร้อยล้าน (คราวหน้าจะยกบทความนี้มาให้อ่านกันแบบเจาะลึกนะครับ)
บางทีคุณเคยคิดจะลงทุน แต่ติดขัดที่จำนวนเงินน้อยเกินไป จึงเลิกล้มความคิดลงทุน เท่ากับคุณพลาดโอกาสในการเรียนรู้เทคนิคของการลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย
จุดสำคัญของการลงทุน ไม่ใช่ดูที่ กำไรเงินมากน้อยแค่ไหน หากแต่ดูที่ ผลตอบแทนการลงทุน ยกตัวอย่างเงินลงทุน 100,000 บาท ปีนึงกำไร 5,000 บาท กับเงินลงทุน 10,000 บาท ปีนึงกำไรแค่ 2,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกัน แบบแรกกำไรมากกว่าแบบหลัง แต่ได้ผลตอบแทนแค่ 5% ส่วนแบบหลังให้ผลตอบแทนถึง 20%
ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป วันข้างหน้าแบบหลังจะทำกำไรมากกว่าแบบแรก เพราะฉะนั้นยิ่งเรียนรู้หลักการลงทุน ยิ่งช่วยให้ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น ทำกำไรจนน่าแปลกใจ
อาจมีคนสงสัยว่า มีเงินไม่กี่พันหรือไม่กี่หมื่น จะลงทุนอย่างไร ? ความจริงตลาดหุ้นมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เงินหลักพันหรือหลักหมื่นก็สามารถซื้อหุ้น หรือซื้อกองทุนหุ้นทั้งแบบเปิดและปิดได้
ถึงแม้เป็นคนที่ไม่มีเงินเหลือติดกระเป๋า หรือผู้ที่ไม่แน่ใจว่า ในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็อย่าได้น้อยใจ หรือเลิกล้มความคิดลงทุน คนรวยหรือผู้มีรายได้สูง แม้ว่าอยู่จุดสตาร์ทซึ่งเอื้อต่อการลงทุน แต่คนที่ทุนไม่หนาหรือรายได้ไม่สู้ดี ยิ่งควรที่จะเรียนรู้หนทางการลงทุนและสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อชดเชยกับความขาดแคลนเงินทอง ช่วยให้ฐานะการเงินของตัวเองดีขึ้น
อีกอย่างหนึ่ง คนที่เกิดมาจน มีรายได้น้อย ถ้าสามารถลงทุนสร้างฐานะจนร่ำรวย ชีวิตนี้ค่อยมีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ เหมือนกับฝรั่งมีสุภาษิตบทหนึ่งว่า คนที่ถือไพ่ดีเล่นไพ่ได้ดี ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ คนที่ถือไพ่แย่แต่เล่นไพ่ได้ดี จึงควรแก่การเลื่อมใส
ถ้าหากคุณไม่มีเงินจริง ๆ ก็ต้องหาทางประหยัดค่าใช้จ่าย เก็บออมเงินสำหรับลงทุน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ไม่ใช่นึกแต่เสพสุขอย่างเดียว เพราะแนวความคิดที่ถูกต้องคือ การลงทุนสร้างฐานะเป็นงานของคนหนุ่มสาว ส่วนงานของคนแก่เฒ่าคือจะใช้ทรัพย์สินเงินทองอย่างไร
คนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันมีค่านิยมอย่างหนึ่งนั่นคือ เมื่อยังหนุ่มแน่นขอหาความสุขให้เต็มที่ รอจนแก่ตัวลงค่อยคิดลงทุนสร้างฐานะก็ยังไม่สาย นี่เป็นแนวความคิดการลงทุนที่ผิดพลาด คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่เห็นว่ายังอีกนานกว่าจะเกษียณอายุ เงินเก็บออมมีไม่มาก ไม่นึกถึงการลงทุนสร้างฐานะ เป็นเหตุให้พลาดโอกาสสร้างความร่ำรวยแต่เนิ่น ๆ ในความเป็นจริง ถ้ารอจนแก่ตัวลง ถึงแม้จะมีเงินเหลือเก็บ แต่เวลาที่เหลือของชีวิตก็ไม่เอื้ออำนวยให้แล้ว
โปรดจำไว้ว่ามีเงินเล็กน้อยก็ต้องเริ่มลงทุนสร้างฐานะ ช่วงแรกเงินน้อยหน่อย หนทางสู่ความร่ำรวยค่อนข้างยาวนานและยากลำบาก แต่ผลที่สุดยังบรรลุเป้าหมาย ทั้งยังเป็นระยะเวลาแห่งการต่อสู้ที่มีค่าเป็นพิเศษ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้นวอลสตรีทตัวจริง ความร่ำรวยของเขามาจากการเล่นหุ้นอย่างเดียว เขาเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ใช้เวลากว่าหกสิบปีสร้างฐานะตัวเองเป็นมหาเศรษฐีของโลก
คนหนุ่นสาวมีต้นทุนสำคัญในการลงทุนสร้างฐานะ นั่นคือ เวลา คนหนุ่มสาวจึงเหมาะกับการประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เวลานี้ไม่ต้องรับภาระทางครอบครัวมากนัก จึงควรมีความกล้าพอที่จะเสี่ยง เพราะต้นทุนของความล้มเหลวค่อนข้างต่ำ ต่อให้ล้มลงก็ลุกขึ้นใหม่ได้
อีกอย่างนึงช่วงหนุ่มสาวมีเงินทุนจำกัด ถึงแม้ว่าเสียหาย ก็เสียหายไม่เท่าไหร่ ควรฉวยโอกาสที่ยังหนุ่มแน่น ใช้เงินก้อนเล็กบ่มเพาะสร้างประสบการณ์การลงทุน ประการสำคัญคือคนหนุ่มสาวมีเวลามากพอที่จะใช้ประโยชน์ของดอกเบี้ยทบต้นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
คนเราก่อนที่จะมีอายุถึง 50 ปี เวลาที่ลงทุนไม่ควรยึดหลัก ตั้งรับ มากเกินไป จังหวะที่เหมาะกับการฝึกลงทุน ยิ่งหนุ่มแน่นยิ่งดี เพราะการกำหนดแผนลงทุนที่ถูกทางมาจากประสบการณ์ และประสบการณ์ต้องผ่านการคำนวณที่ผิดพลาดเป็นครั้งคราว ทำไมไม่คว้าโอกาสที่ยังหนุ่มแน่นมีเงินลงทุนไม่มาก ผ่านเหตุการณ์ที่คำนวณผิดเสียก่อน
เมื่อรู้ว่าการลงทุนให้ได้ผล ต้องผ่านกรรมวิธีของดอกเบี้ยทบต้นเป็นเวลานาน ประการสำคัญควรเริ่มลงทุนทันที คนหนุ่มสาวอย่าเอาแต่ใช้เงิน หากแต่ความตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บออม เมื่อมีเงินเหลือเก็บ ให้เริ่มมองหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ถึงแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างก็ตาม
บางคนเห็นว่าตัวเองผ่านวัยหนุ่มสาวมาแล้ว เวลานี้รายได้ก็ไม่มาก ไม่มีเงินเหลือให้ลงทุน จริงอยู่ คนที่อายุมากขึ้น ไม่มีโอกาสหาประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นที่ผ่านระยะเวลาอันยาวนาน แต่ก็ไม่ต้องท้อใจ เงินทองสามารถแทนที่เวลา ถ้าพบว่ายังมีโอกาสก็บริการเงินตามหลักการลงทุน คุณจะได้ผลลัพธ์อย่างคาดไม่ถึง
แต่ถ้าคุณย่างเข้าวัยชรา ก็ลองช่วยเหลือลูกหลานคุณ ให้พวกเขาเรียนรู้แนวความคิดพื้นฐานของการลงทุน จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด การทิ้งเงินทองไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง สู้ให้ความรู้การลงทุนทำกำไรแก่พวกเขาจะดีกว่า
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา
ครั้งต่อไปเราจะมาดูกันว่า ถ้าหากคุณเก็บเงินปีละ 14,000 บาท เป็นเวลา 40 ปีติดต่อกัน ไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% ผ่านไป 40 ปีให้หลัง คุณจะมีทรัพย์สินในวัยหลังเกษียณทั้งสิ้นเท่าไหร่ ?
อย่าแปลกใจว่าลงทุนในอะไร ถึงจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงปีละ 20% ถ้าติดตามกระทู้ในสินธร จะพบคำตอบอยู่มากมายครับ ลองค้นหาขุมทรัพย์ล้ำค่านี้ดูสิครับ
< มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ >
มีคนบางคนเห็นว่า การลงทุนเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคนรวยหรือผู้มีรายได้สูง จริงอยู่ การลงทุนคือการใช้เงินต่อเงิน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เนรมิตก้อนหินเป็นทองคำขึ้นมา ฉะนั้นต้องมีเงินจึงลงทุนได้
แต่บางท่านยังไม่รู้ว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความร่ำรวยในอนาคต อยู่ที่การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงหรือต่ำ บวกกับระยะเวลาการลงทุนยาวหรือสั้น หาใช่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินมากน้อยไม่
บนเส้นทางการลงทุน ต่อให้เป็นเงินจำนวนน้อย ขอเพียงลงทุนอย่างถูกต้อง วันข้างหน้าสามารถสร้างความร่ำรวยได้ ดังตัวอย่างที่ว่าปีนึงลงทุนแค่ 14,000 บาท 40 ปีให้หลังได้เป็นเศรษฐีร้อยล้าน (คราวหน้าจะยกบทความนี้มาให้อ่านกันแบบเจาะลึกนะครับ)
บางทีคุณเคยคิดจะลงทุน แต่ติดขัดที่จำนวนเงินน้อยเกินไป จึงเลิกล้มความคิดลงทุน เท่ากับคุณพลาดโอกาสในการเรียนรู้เทคนิคของการลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย
จุดสำคัญของการลงทุน ไม่ใช่ดูที่ กำไรเงินมากน้อยแค่ไหน หากแต่ดูที่ ผลตอบแทนการลงทุน ยกตัวอย่างเงินลงทุน 100,000 บาท ปีนึงกำไร 5,000 บาท กับเงินลงทุน 10,000 บาท ปีนึงกำไรแค่ 2,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกัน แบบแรกกำไรมากกว่าแบบหลัง แต่ได้ผลตอบแทนแค่ 5% ส่วนแบบหลังให้ผลตอบแทนถึง 20%
ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป วันข้างหน้าแบบหลังจะทำกำไรมากกว่าแบบแรก เพราะฉะนั้นยิ่งเรียนรู้หลักการลงทุน ยิ่งช่วยให้ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น ทำกำไรจนน่าแปลกใจ
อาจมีคนสงสัยว่า มีเงินไม่กี่พันหรือไม่กี่หมื่น จะลงทุนอย่างไร ? ความจริงตลาดหุ้นมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เงินหลักพันหรือหลักหมื่นก็สามารถซื้อหุ้น หรือซื้อกองทุนหุ้นทั้งแบบเปิดและปิดได้
ถึงแม้เป็นคนที่ไม่มีเงินเหลือติดกระเป๋า หรือผู้ที่ไม่แน่ใจว่า ในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็อย่าได้น้อยใจ หรือเลิกล้มความคิดลงทุน คนรวยหรือผู้มีรายได้สูง แม้ว่าอยู่จุดสตาร์ทซึ่งเอื้อต่อการลงทุน แต่คนที่ทุนไม่หนาหรือรายได้ไม่สู้ดี ยิ่งควรที่จะเรียนรู้หนทางการลงทุนและสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อชดเชยกับความขาดแคลนเงินทอง ช่วยให้ฐานะการเงินของตัวเองดีขึ้น
อีกอย่างหนึ่ง คนที่เกิดมาจน มีรายได้น้อย ถ้าสามารถลงทุนสร้างฐานะจนร่ำรวย ชีวิตนี้ค่อยมีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ เหมือนกับฝรั่งมีสุภาษิตบทหนึ่งว่า คนที่ถือไพ่ดีเล่นไพ่ได้ดี ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ คนที่ถือไพ่แย่แต่เล่นไพ่ได้ดี จึงควรแก่การเลื่อมใส
ถ้าหากคุณไม่มีเงินจริง ๆ ก็ต้องหาทางประหยัดค่าใช้จ่าย เก็บออมเงินสำหรับลงทุน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ไม่ใช่นึกแต่เสพสุขอย่างเดียว เพราะแนวความคิดที่ถูกต้องคือ การลงทุนสร้างฐานะเป็นงานของคนหนุ่มสาว ส่วนงานของคนแก่เฒ่าคือจะใช้ทรัพย์สินเงินทองอย่างไร
คนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันมีค่านิยมอย่างหนึ่งนั่นคือ เมื่อยังหนุ่มแน่นขอหาความสุขให้เต็มที่ รอจนแก่ตัวลงค่อยคิดลงทุนสร้างฐานะก็ยังไม่สาย นี่เป็นแนวความคิดการลงทุนที่ผิดพลาด คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่เห็นว่ายังอีกนานกว่าจะเกษียณอายุ เงินเก็บออมมีไม่มาก ไม่นึกถึงการลงทุนสร้างฐานะ เป็นเหตุให้พลาดโอกาสสร้างความร่ำรวยแต่เนิ่น ๆ ในความเป็นจริง ถ้ารอจนแก่ตัวลง ถึงแม้จะมีเงินเหลือเก็บ แต่เวลาที่เหลือของชีวิตก็ไม่เอื้ออำนวยให้แล้ว
โปรดจำไว้ว่ามีเงินเล็กน้อยก็ต้องเริ่มลงทุนสร้างฐานะ ช่วงแรกเงินน้อยหน่อย หนทางสู่ความร่ำรวยค่อนข้างยาวนานและยากลำบาก แต่ผลที่สุดยังบรรลุเป้าหมาย ทั้งยังเป็นระยะเวลาแห่งการต่อสู้ที่มีค่าเป็นพิเศษ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้นวอลสตรีทตัวจริง ความร่ำรวยของเขามาจากการเล่นหุ้นอย่างเดียว เขาเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ใช้เวลากว่าหกสิบปีสร้างฐานะตัวเองเป็นมหาเศรษฐีของโลก
คนหนุ่นสาวมีต้นทุนสำคัญในการลงทุนสร้างฐานะ นั่นคือ เวลา คนหนุ่มสาวจึงเหมาะกับการประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เวลานี้ไม่ต้องรับภาระทางครอบครัวมากนัก จึงควรมีความกล้าพอที่จะเสี่ยง เพราะต้นทุนของความล้มเหลวค่อนข้างต่ำ ต่อให้ล้มลงก็ลุกขึ้นใหม่ได้
อีกอย่างนึงช่วงหนุ่มสาวมีเงินทุนจำกัด ถึงแม้ว่าเสียหาย ก็เสียหายไม่เท่าไหร่ ควรฉวยโอกาสที่ยังหนุ่มแน่น ใช้เงินก้อนเล็กบ่มเพาะสร้างประสบการณ์การลงทุน ประการสำคัญคือคนหนุ่มสาวมีเวลามากพอที่จะใช้ประโยชน์ของดอกเบี้ยทบต้นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
คนเราก่อนที่จะมีอายุถึง 50 ปี เวลาที่ลงทุนไม่ควรยึดหลัก ตั้งรับ มากเกินไป จังหวะที่เหมาะกับการฝึกลงทุน ยิ่งหนุ่มแน่นยิ่งดี เพราะการกำหนดแผนลงทุนที่ถูกทางมาจากประสบการณ์ และประสบการณ์ต้องผ่านการคำนวณที่ผิดพลาดเป็นครั้งคราว ทำไมไม่คว้าโอกาสที่ยังหนุ่มแน่นมีเงินลงทุนไม่มาก ผ่านเหตุการณ์ที่คำนวณผิดเสียก่อน
เมื่อรู้ว่าการลงทุนให้ได้ผล ต้องผ่านกรรมวิธีของดอกเบี้ยทบต้นเป็นเวลานาน ประการสำคัญควรเริ่มลงทุนทันที คนหนุ่มสาวอย่าเอาแต่ใช้เงิน หากแต่ความตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บออม เมื่อมีเงินเหลือเก็บ ให้เริ่มมองหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ถึงแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างก็ตาม
บางคนเห็นว่าตัวเองผ่านวัยหนุ่มสาวมาแล้ว เวลานี้รายได้ก็ไม่มาก ไม่มีเงินเหลือให้ลงทุน จริงอยู่ คนที่อายุมากขึ้น ไม่มีโอกาสหาประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นที่ผ่านระยะเวลาอันยาวนาน แต่ก็ไม่ต้องท้อใจ เงินทองสามารถแทนที่เวลา ถ้าพบว่ายังมีโอกาสก็บริการเงินตามหลักการลงทุน คุณจะได้ผลลัพธ์อย่างคาดไม่ถึง
แต่ถ้าคุณย่างเข้าวัยชรา ก็ลองช่วยเหลือลูกหลานคุณ ให้พวกเขาเรียนรู้แนวความคิดพื้นฐานของการลงทุน จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด การทิ้งเงินทองไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง สู้ให้ความรู้การลงทุนทำกำไรแก่พวกเขาจะดีกว่า
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา
ครั้งต่อไปเราจะมาดูกันว่า ถ้าหากคุณเก็บเงินปีละ 14,000 บาท เป็นเวลา 40 ปีติดต่อกัน ไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% ผ่านไป 40 ปีให้หลัง คุณจะมีทรัพย์สินในวัยหลังเกษียณทั้งสิ้นเท่าไหร่ ?
อย่าแปลกใจว่าลงทุนในอะไร ถึงจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงปีละ 20% ถ้าติดตามกระทู้ในสินธร จะพบคำตอบอยู่มากมายครับ ลองค้นหาขุมทรัพย์ล้ำค่านี้ดูสิครับ
" อะไรก็ตามที่เคยมีคนทำได้
แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "
แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "
-
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 28
ตามด้วยบทความเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ (ภาคแรก)
< เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ จากการลงทุนปีละ 14,000 บาท (ภาคแรก) >
ความ ร่ำรวย แทบเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ในขณะที่คนทั่วไปเข้าใจว่า แต่ละเดือนมีรายได้ไม่มาก เหลือเงินเก็บไม่เท่าไหร่ ภายใต้การเก็บสะสมเหล่านี้ไม่มีวันร่ำรวยได้ แต่ในความเป็นจริง ถ้าหากมีเวลาเพียงพอ และรู้หลักการลงทุน ก็จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการลงทุนประสบความร่ำรวย ประกอบไปด้วยเงื่อนไขพื้นฐาน 3 ประการคือ เงินออมที่แน่นอน การค้นหาผลตอบแทนสูง และการรอคอยระยะยาว
ถ้าหากคนหนุ่มสาวสามารถเก็บเงินปีละ 14,000 บาท เก็บทุกปีติดต่อกัน 40 ปี หากนำเงินที่เก็บไว้ในแต่ละปีไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์หรืออื่น ๆ ที่ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% คล้อยหลังไป 40 ปี จะมีทรัพย์สินเท่าไร ?
คำตอบที่ได้รับคือ 102,810,000 บาท (หนึ่งร้อยสองล้านแปดแสนหนึ่งหมื่นบาท)
เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก ถ้าหากเป็นหนุ่มสาวเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปี ขอเพียงเก็บเงินปีละ 14,000 บาท หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1,167 บาท ลงทุนทั้งสิ้น 40 ปี เท่ากับ 560,000 บาท ถ้านำเงินเหล่านี้ไปลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% เมื่อเกษียณที่อายุ 65 ปี จะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
ตัวเลขร้อยล้านนี้มาจากวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังไปนี้
14,000 x (1x20%)^40 / 20% = 102,810,000
สูตรตัวเลขนี้เพียงบ่งชี้ว่า เงินจำนวนเล็กน้อย พอผ่านการลงทุนจะทำกำไรเป็นเงินมหาศาลอย่างไร คุณอาจจะยังไม่เข้าใจสูตรตัวเลขนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าผู้ที่ลงทุนจนกลายเป็นเศรษฐีส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจสูตรนี้เช่นกัน และคนที่เข้าใจสูตรตัวเลขนี้ก็ใช่ว่าจะลงทุนแล้วร่ำรวยกันทุกคน
ขอเพียงคุณยังหนุ่มยังสาว มีความตั้งใจอยากร่ำรวย รู้จักลงทุนให้ถูกทาง ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ต้องได้เป็นเศรษฐี ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 3 ข้อที่ว่า
1. ปีนึงต้องเก็บเงิน 14,000 บาท หรือเท่ากับเดือนละ 1,167 บาท เชื่อว่าสำหรับคนทั่วไปอยู่ในวิสัยที่ทำได้
2. นำเงินออมไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ ให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% และถือครองระยะยาว ซึ่งรูปแบบการลงทุนเช่นนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิง ยากดีมีจนอย่างไร ล้วนลงทุนได้
3. ระยะเวลาในการสร้างฐานะ 40 ปี ดูเหมือนว่ายาวนาน แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แทบทุกคนสามารถทำได้
หนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 20 25 ปี เวลานี้เริ่มเก็บออมเงินได้แล้ว เมื่อมีอายุถึง 60 65 ปี เท่ากับว่าทำงาน 40 ปีพอดี
ถ้าหากยังไม่เข้าใจ โปรดดูข้อมูลตัวเลขข้างล่างนี้ ซึ่งอธิบายวิธีการลงทุนสร้างฐานะว่า ลงทุนทุกปี ปีละ 14,000 บาท ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 20% ทุก 10 ปีจะมียอดเงินสะสมดังนี้
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
นั่นหมายความว่าหากคุณมีเงินเก็บสะสมอยู่แล้ว 360,000 บาท ก็ขอแสดงความยินดีที่คุณสามารถ ลดระยะเวลาของการลงทุนไป 10 ปี ขอเพียงคุณลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนอย่างงาม (20%ขึ้นไป) อีก 30 ปีคุณจะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้าน หากคุณมีเงินทองอยู่แล้ว 2,610,000 บาท ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะว่าคุณลดระยะเวลาการลงทุนไป 20 ปี หรือหากคุณมียอดเงินอยู่แล้ว 16,550,000 บาท ก็ยิ่งวิเศษใหญ่ เพราะว่าคุณลดระยะเวลาการลงทุนถึง 30 ปี อีก 10 ปีคุณก็จะเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
มีคนทั่วไปเห็นว่า เมื่อฝากเงินกับธนาคารจะได้รับดอกเบี้ย เมื่อทบดอกเบี้ยเข้าไป จะได้ดอกทวีคูณ เมื่อนานเข้าน่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่ คนที่มีความคิดเช่นนี้ เป็นเพราะไม่เข้าใจวิธีการคำนวณดอกเบี้ยทบต้น ถ้าพบว่าภายใต้เงินก้อนเดียวกัน ผ่านระยะเวลาดอกเบี้ยทบต้นเท่ากัน แต่ดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นแตกต่างอย่างมหาศาลน่าแปลกใจมาก
ตัวอย่างคน ๆ นึงฝากเงินกับธนาคารทุกปี ปีละ 14,000 บาท เป็นเวลา 40 ปี รับดอกเบี้ยเฉลี่ยปีละ 5% แล้วนำดอกเบี้ยทบต้นเข้าไป คุณคิดว่า 40 ปีให้หลัง คน ๆ นี้จะมีเงินสะสมเท่าไร ? คำตอบคือ 1,690,000 บาทเท่านั้น
คำตอบที่ได้มาจากวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังนี้
14,000 x (1x5%)^40 / 5% = 1,690,000
ในขณะที่ตัวอย่างร้อยล้านจากวิธีคำนวณข้างต้น แต่ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี
14,000 x (1x20%)^40 / 20% = 102,810,000
ทั้งสองรายการนี้ใช้เงินลงทุนเท่ากัน ระยะเวลานานเท่ากัน ต่างกันที่ผลตอบแทน 5% กับ 20% ทั้งสองรายการได้ผลตอบแทนต่างกันถึง 70 กว่าเท่า นี่คือลักษณะเฉพาะของ ดอกเบี้ยทบต้น
จากตัวอย่างที่ยกมานี้แสดงว่า เคล็ดลับข้อหนึ่งของการลงทุนสร้างฐานะ อยู่ที่ให้ผลตอบแทนสูงต่ำแค่ไหน ฉะนั้นจุดสำคัญของการลงทุนไม่ใช่อยู่ที่นำเงินไปลงทุนหรือยัง หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณลงทุนอย่างไร และให้ผลตอบแทนสูงต่ำแค่ไหน
สมมติว่าคน ๆ นึงเก็บเงินปีละ 500,000 บาท แล้วนำไปฝากประจำดอกเบี้ย 5% กับธนาคาร ขอถามว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ค่อยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน คำตอบคืออีก 200 ปี คิดดูสิว่าคน ๆ นึงเก็บเงินปีละ 500,000 บาท ก็ว่ายากอยู่แล้ว คิดมีอายุถึง 200 ปีนี่เป็นไปไม่ได้เลย โดยทั่วไปคนเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี สองชาติเท่ากับ 150 ปี ถ้าอย่างนั้นคนที่ฝากเงินกับธนาคาร ต้องรอถึงชาติที่สามจึงได้เป็นเศรษฐี
ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณรู้จักลงทุนอย่างถูกทาง ใช้เวลา 40 ปี หรือประมาณครึ่งชีวิต ก็มีสิทธิเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา
ครั้งต่อไปเราจะมาดูภาคจบของบทความ เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ จากการลงทุนปีละ 14,000 บาท รับรองว่าอ่านสนุกจนไม่อยากละสายตาเลยครับ
< เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ จากการลงทุนปีละ 14,000 บาท (ภาคแรก) >
ความ ร่ำรวย แทบเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ในขณะที่คนทั่วไปเข้าใจว่า แต่ละเดือนมีรายได้ไม่มาก เหลือเงินเก็บไม่เท่าไหร่ ภายใต้การเก็บสะสมเหล่านี้ไม่มีวันร่ำรวยได้ แต่ในความเป็นจริง ถ้าหากมีเวลาเพียงพอ และรู้หลักการลงทุน ก็จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการลงทุนประสบความร่ำรวย ประกอบไปด้วยเงื่อนไขพื้นฐาน 3 ประการคือ เงินออมที่แน่นอน การค้นหาผลตอบแทนสูง และการรอคอยระยะยาว
ถ้าหากคนหนุ่มสาวสามารถเก็บเงินปีละ 14,000 บาท เก็บทุกปีติดต่อกัน 40 ปี หากนำเงินที่เก็บไว้ในแต่ละปีไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์หรืออื่น ๆ ที่ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% คล้อยหลังไป 40 ปี จะมีทรัพย์สินเท่าไร ?
คำตอบที่ได้รับคือ 102,810,000 บาท (หนึ่งร้อยสองล้านแปดแสนหนึ่งหมื่นบาท)
เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก ถ้าหากเป็นหนุ่มสาวเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปี ขอเพียงเก็บเงินปีละ 14,000 บาท หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1,167 บาท ลงทุนทั้งสิ้น 40 ปี เท่ากับ 560,000 บาท ถ้านำเงินเหล่านี้ไปลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% เมื่อเกษียณที่อายุ 65 ปี จะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
ตัวเลขร้อยล้านนี้มาจากวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังไปนี้
14,000 x (1x20%)^40 / 20% = 102,810,000
สูตรตัวเลขนี้เพียงบ่งชี้ว่า เงินจำนวนเล็กน้อย พอผ่านการลงทุนจะทำกำไรเป็นเงินมหาศาลอย่างไร คุณอาจจะยังไม่เข้าใจสูตรตัวเลขนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าผู้ที่ลงทุนจนกลายเป็นเศรษฐีส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจสูตรนี้เช่นกัน และคนที่เข้าใจสูตรตัวเลขนี้ก็ใช่ว่าจะลงทุนแล้วร่ำรวยกันทุกคน
ขอเพียงคุณยังหนุ่มยังสาว มีความตั้งใจอยากร่ำรวย รู้จักลงทุนให้ถูกทาง ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ต้องได้เป็นเศรษฐี ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 3 ข้อที่ว่า
1. ปีนึงต้องเก็บเงิน 14,000 บาท หรือเท่ากับเดือนละ 1,167 บาท เชื่อว่าสำหรับคนทั่วไปอยู่ในวิสัยที่ทำได้
2. นำเงินออมไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ ให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% และถือครองระยะยาว ซึ่งรูปแบบการลงทุนเช่นนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิง ยากดีมีจนอย่างไร ล้วนลงทุนได้
3. ระยะเวลาในการสร้างฐานะ 40 ปี ดูเหมือนว่ายาวนาน แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แทบทุกคนสามารถทำได้
หนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 20 25 ปี เวลานี้เริ่มเก็บออมเงินได้แล้ว เมื่อมีอายุถึง 60 65 ปี เท่ากับว่าทำงาน 40 ปีพอดี
ถ้าหากยังไม่เข้าใจ โปรดดูข้อมูลตัวเลขข้างล่างนี้ ซึ่งอธิบายวิธีการลงทุนสร้างฐานะว่า ลงทุนทุกปี ปีละ 14,000 บาท ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 20% ทุก 10 ปีจะมียอดเงินสะสมดังนี้
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
นั่นหมายความว่าหากคุณมีเงินเก็บสะสมอยู่แล้ว 360,000 บาท ก็ขอแสดงความยินดีที่คุณสามารถ ลดระยะเวลาของการลงทุนไป 10 ปี ขอเพียงคุณลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนอย่างงาม (20%ขึ้นไป) อีก 30 ปีคุณจะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้าน หากคุณมีเงินทองอยู่แล้ว 2,610,000 บาท ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะว่าคุณลดระยะเวลาการลงทุนไป 20 ปี หรือหากคุณมียอดเงินอยู่แล้ว 16,550,000 บาท ก็ยิ่งวิเศษใหญ่ เพราะว่าคุณลดระยะเวลาการลงทุนถึง 30 ปี อีก 10 ปีคุณก็จะเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
มีคนทั่วไปเห็นว่า เมื่อฝากเงินกับธนาคารจะได้รับดอกเบี้ย เมื่อทบดอกเบี้ยเข้าไป จะได้ดอกทวีคูณ เมื่อนานเข้าน่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่ คนที่มีความคิดเช่นนี้ เป็นเพราะไม่เข้าใจวิธีการคำนวณดอกเบี้ยทบต้น ถ้าพบว่าภายใต้เงินก้อนเดียวกัน ผ่านระยะเวลาดอกเบี้ยทบต้นเท่ากัน แต่ดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นแตกต่างอย่างมหาศาลน่าแปลกใจมาก
ตัวอย่างคน ๆ นึงฝากเงินกับธนาคารทุกปี ปีละ 14,000 บาท เป็นเวลา 40 ปี รับดอกเบี้ยเฉลี่ยปีละ 5% แล้วนำดอกเบี้ยทบต้นเข้าไป คุณคิดว่า 40 ปีให้หลัง คน ๆ นี้จะมีเงินสะสมเท่าไร ? คำตอบคือ 1,690,000 บาทเท่านั้น
คำตอบที่ได้มาจากวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังนี้
14,000 x (1x5%)^40 / 5% = 1,690,000
ในขณะที่ตัวอย่างร้อยล้านจากวิธีคำนวณข้างต้น แต่ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี
14,000 x (1x20%)^40 / 20% = 102,810,000
ทั้งสองรายการนี้ใช้เงินลงทุนเท่ากัน ระยะเวลานานเท่ากัน ต่างกันที่ผลตอบแทน 5% กับ 20% ทั้งสองรายการได้ผลตอบแทนต่างกันถึง 70 กว่าเท่า นี่คือลักษณะเฉพาะของ ดอกเบี้ยทบต้น
จากตัวอย่างที่ยกมานี้แสดงว่า เคล็ดลับข้อหนึ่งของการลงทุนสร้างฐานะ อยู่ที่ให้ผลตอบแทนสูงต่ำแค่ไหน ฉะนั้นจุดสำคัญของการลงทุนไม่ใช่อยู่ที่นำเงินไปลงทุนหรือยัง หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณลงทุนอย่างไร และให้ผลตอบแทนสูงต่ำแค่ไหน
สมมติว่าคน ๆ นึงเก็บเงินปีละ 500,000 บาท แล้วนำไปฝากประจำดอกเบี้ย 5% กับธนาคาร ขอถามว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ค่อยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน คำตอบคืออีก 200 ปี คิดดูสิว่าคน ๆ นึงเก็บเงินปีละ 500,000 บาท ก็ว่ายากอยู่แล้ว คิดมีอายุถึง 200 ปีนี่เป็นไปไม่ได้เลย โดยทั่วไปคนเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี สองชาติเท่ากับ 150 ปี ถ้าอย่างนั้นคนที่ฝากเงินกับธนาคาร ต้องรอถึงชาติที่สามจึงได้เป็นเศรษฐี
ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณรู้จักลงทุนอย่างถูกทาง ใช้เวลา 40 ปี หรือประมาณครึ่งชีวิต ก็มีสิทธิเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
-----------------------------------------------------------
เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา
ครั้งต่อไปเราจะมาดูภาคจบของบทความ เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ จากการลงทุนปีละ 14,000 บาท รับรองว่าอ่านสนุกจนไม่อยากละสายตาเลยครับ
" อะไรก็ตามที่เคยมีคนทำได้
แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "
แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 29
ผมนึกขึ้นได้ว่าการที่จะกำไร 20% มันยากยังไง
ปีแรกลงทุนหุ้น 4 ตัว ทำได้ 20% ขายออกหมดปลายปี ได้เงินส่วนต่างกับปันผลเอามาทบต้น ลงทุนใหม่ ?
ปีที่สอง ลงทุนหุ้น 5 ตัวใหม่หมด ทำกำไรได้ 20% ขายออกหมดปลายปี
ได้เงินส่วนต่างกับปันผลมาตบต้น ลงททุนใหม่อีก
ปีที่สาม ลงทุน 3 ตัวใหม่หมด ทำกำไรได้ 20% ขายออกหมด
ส่วนตา่งกับปันผล เอามาทบต้น หาหุ้นลงทุนใหม่
ปีที่สี่ หาหุ้นดีๆที่เหลือไม่เจอแล้ว เท่าที่เจอลงทุน 1 ตัว และตัวนี้กำไร 30%
แต่ไม่ขายออก และตัวนี้ปันผลให้กำไรได้ไม่มากเท่ากับการขายทิ้งพอร์ททั้งหมด สรุปแล้วปันผลอย่างเดียวเท่ากับกำไร 10%
ปีที่ห้า หาหุ้นดีๆเพิ่มได้อีก 1 ตัว พอปลายปี แต่สองตัวนี้อนาคตไกล กะถือยาว
ปีที่หก ไม่ซือเพิม และรอปันผลปีที่แล้ว มาซื้อเพิ่ม
ปีที่เจ็ด ซื้อเพิ่ม กลายเป็น 3 ตัวในพอร์ท และก็ไม่ขายออก รอกำไรจากปันผลอย่างเดียว
ปีที่แปดเริมคิดแล้วว่าพอร์ทเราตอนนี้ตั้งแต่ปีที่ 5 เรากำไรราคาหุ้น 60% และปันผลอีก 30% แต่ กำไร 60% ก็จริงแต่ว่าเราไม่ได้ขาย นั่นหมายความว่า 60% กำไร"ไม่ใช่เงินจริง" มันยังคงเป็นตัวเลขอยู่
เลยตัดสินใจขายไป
ปีที่เก้า หาหุ้นดีๆที่ราคาเหมาะสมในตลาดหุ้นไม่ได้แล้ว
ปีที่พยายามหาเต็มที่ ได้มา 1 ตัว และ ขาดทุนไป
และก็หาหุ้นดีๆราคาเหมาะสมไม่ได้อีกเลย เพราะว่าตอนราคาดีๆเราซื้อไปและขายออกที่ราาคาสูงสุดเหมาะสมที่สุดมหดแล้ว
ต่อๆไปเราจะทำยังไงครับ
หลักการ 20% หรือ 30% ทุกปีปันผลทบต้นลงทุนเพิ่ม จะใช้ได้ดีก็วิธีถือหุ้น ปีต่อปี เท่านั้นถึงจะวางแผนกำไรได้แบบนั้น ถ้าไม่ขายปีต่อปีก็ยากที่จะมีเงินกำไรมาทบต้น
ปีแรกลงทุนหุ้น 4 ตัว ทำได้ 20% ขายออกหมดปลายปี ได้เงินส่วนต่างกับปันผลเอามาทบต้น ลงทุนใหม่ ?
ปีที่สอง ลงทุนหุ้น 5 ตัวใหม่หมด ทำกำไรได้ 20% ขายออกหมดปลายปี
ได้เงินส่วนต่างกับปันผลมาตบต้น ลงททุนใหม่อีก
ปีที่สาม ลงทุน 3 ตัวใหม่หมด ทำกำไรได้ 20% ขายออกหมด
ส่วนตา่งกับปันผล เอามาทบต้น หาหุ้นลงทุนใหม่
ปีที่สี่ หาหุ้นดีๆที่เหลือไม่เจอแล้ว เท่าที่เจอลงทุน 1 ตัว และตัวนี้กำไร 30%
แต่ไม่ขายออก และตัวนี้ปันผลให้กำไรได้ไม่มากเท่ากับการขายทิ้งพอร์ททั้งหมด สรุปแล้วปันผลอย่างเดียวเท่ากับกำไร 10%
ปีที่ห้า หาหุ้นดีๆเพิ่มได้อีก 1 ตัว พอปลายปี แต่สองตัวนี้อนาคตไกล กะถือยาว
ปีที่หก ไม่ซือเพิม และรอปันผลปีที่แล้ว มาซื้อเพิ่ม
ปีที่เจ็ด ซื้อเพิ่ม กลายเป็น 3 ตัวในพอร์ท และก็ไม่ขายออก รอกำไรจากปันผลอย่างเดียว
ปีที่แปดเริมคิดแล้วว่าพอร์ทเราตอนนี้ตั้งแต่ปีที่ 5 เรากำไรราคาหุ้น 60% และปันผลอีก 30% แต่ กำไร 60% ก็จริงแต่ว่าเราไม่ได้ขาย นั่นหมายความว่า 60% กำไร"ไม่ใช่เงินจริง" มันยังคงเป็นตัวเลขอยู่
เลยตัดสินใจขายไป
ปีที่เก้า หาหุ้นดีๆที่ราคาเหมาะสมในตลาดหุ้นไม่ได้แล้ว
ปีที่พยายามหาเต็มที่ ได้มา 1 ตัว และ ขาดทุนไป
และก็หาหุ้นดีๆราคาเหมาะสมไม่ได้อีกเลย เพราะว่าตอนราคาดีๆเราซื้อไปและขายออกที่ราาคาสูงสุดเหมาะสมที่สุดมหดแล้ว
ต่อๆไปเราจะทำยังไงครับ
หลักการ 20% หรือ 30% ทุกปีปันผลทบต้นลงทุนเพิ่ม จะใช้ได้ดีก็วิธีถือหุ้น ปีต่อปี เท่านั้นถึงจะวางแผนกำไรได้แบบนั้น ถ้าไม่ขายปีต่อปีก็ยากที่จะมีเงินกำไรมาทบต้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 30
เห็นด้วยกับคุณ Gnomeller ในปีแรกๆของการลงทุนกำไร20% UP
เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในปีหลังๆจะหาตัวหุ้นดีๆยากมาก ผมมีประสบการณ์
เช่นเดียวกับคุณ Gnomeller ต้องหาเงินก้อนใหม่ใส่เข้าใน PORT เพราะ
หุ้นเก่าที่ดีๆก็เก้บไว้กินปันผลซึ่งปันผลก็ไม่เกิน 20% ดังนั้นในระยะยาว
Port จะโตเกิน 20% แทบเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใส่เงินใหม่เข้าไปในPort
เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในปีหลังๆจะหาตัวหุ้นดีๆยากมาก ผมมีประสบการณ์
เช่นเดียวกับคุณ Gnomeller ต้องหาเงินก้อนใหม่ใส่เข้าใน PORT เพราะ
หุ้นเก่าที่ดีๆก็เก้บไว้กินปันผลซึ่งปันผลก็ไม่เกิน 20% ดังนั้นในระยะยาว
Port จะโตเกิน 20% แทบเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใส่เงินใหม่เข้าไปในPort