LST ซึ่งทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม โรงหีบน้ำมันปาล์มดิบ ผักผลไม้กระป๋องufc และถือหุ้นใน UPOIC 70%
UPOIC ทำธุรกิจปลูกสวนปาล์ม มีโรงหีบน้ำมันปาล์มดิบ มีพื้นที่ปลูกประมาณ 40,000 ไร่ ครึ่งนึงเป็นพื้นที่สัมปทาน
เมื่อเร็วๆนี้ LST แจ้งว่าได้ทำเรื่องขายส่วนธุรกิจโรงหีบให้กับ UPOIC ในราคา 166 ล้าน โดย UPOIC ต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น 3 ใน 4 โดยที่ lst ต้องงดออกเสียง เพราะเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน
ประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้น UPOIC จะได้รับที่แจ้งตลาดค่อนข้างคลุมเคลือประมาณว่าทำให้ธุรกิจชัดเจนใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกัน สต็อคอะไหล่ร่วม แต่ที่ไม่แจ้งทั้งที่ควรจะแจ้งคือ ธุรกิจที่รับซื้อมาจากบริษัทแม่ทำกำไรหรือเปล่า ไม่ได้แจ้ง ดังนั้นหากมีการประชุมเพื่อขออนุมัติรายการนี้ ผู้ถือหุ้น upoic น่าจะถามสักหน่อยว่าโรงงานนี้มีกำไรหรือไม่ (สมมุติว่าบริษัทตอบความจริง)
1.ถ้าไม่มีกำไร เท่ากับว่าจ่ายเงิน 166 ล.ให้ lst ฟรีๆ แถมเสียประโยชน์จากการนำเงิน 166 ล.ไปหาผลตอบแทน นอกจากนั้นยังทำให้กำไรลดลงด้วย
2.ถ้าธุรกิจไม่ขาดทุนไม่กำไร หรือนิดหน่อย เท่ากับว่า upoic ให้เงิน lst ฟรีๆ เสียโอกาสได้ดอกเบี้ย ดีหน่อยที่ไม่มาเพิ่มขาดทุน
3.ถ้ากำไร ก็คงเป็นรายการที่สมเหตุสมผล และควรจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% ของเงินลงทุนคือประมาณ 16-17 ล.ต่อปี
เท่าที่ผมดูจากข้อมูลและจากที่ติดตามประวัติของ lst อย่างที่หลายท่านทราบคือเป็นสีเทา (เรื่องค่าตอบแทนกรรมการตัวแทนผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวนมาก) ผลประโยชน์ใดๆที่เป็นของ lst ผู้ถือหุ้นใหญ่ล่ำสูงจะได้ประโยชน์ตามสัดส่วนถือหุ้นคือประมาณ 80% แต่ผลประโยชน์ใดๆของ upoic ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์แค่(0.8*0.7)= 56% เท่านั้น ดังนั้นแรงจูงใจที่จะรักษาประโยชน์ของ lst ย่อมสูงกว่า
โรงงานที่ซื้อมานี้อยู่ที่จังหวัดตรัง มีกำลังการผลิตแค่ 30% และ 18% ของกำลังการผลิตผลปาล์มและเมล็ดในปาล์มเท่านั้น และยังต้องซื้อผลปาล์มจากชาวสวนทั้งสิ้น ตามความเห็นส่วนตัวโรงงานนี้ไม่น่าจะกำไรหรือกำไรไม่มาก เพราะ
ราคารับซื้อผลปาล์ม 5 กก.เพื่อผลิตน้ำมันปาล์มดิบ 1 กก.ต้นทุนกับราคาก็พอๆกันแล้ว แล้วจะกำไรได้อย่างไร กรณี uvan ใช้กำลังการผลิตเกิน 100% ก็ยังเหนื่อยครับ ต้องหากำไรจากการขายไฟฟ้าเอา และที่ uvan และ upoic ยังทำกำไรได้ น่าจะเป็นเพราะมีสวนปาล์มเอง ซึ่งต้นทุนต่อกก.ประมาณ 1.8 บาท เปรียบเทียบกับที่ซื้อจากชาวสวน 4-5 บ./กก.ราคาผลปาล์มน้ำมันวันนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
Source - กรมประชาสัมพันธ์
Tuesday, 02 October 2007 16:07
นายอรุณ ไม้ทิพย์ การค้าภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี รายงานราคาซื้อ-ขาย สินค้าปาล์มน้ำมันในวันนี้ ( 2 ต.ค.50) ดังนี้ ผลปาล์มทะลายคละ ราคากิโลกรัมละ 4.50 4.60 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนกิโลกรัมละ 10 15 สตางค์ ผลปาล์มร่วง ราคากิโลกรัมละ 5.50 5.90 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนกิโลกรัมละ 10 สตางค์
ทางด้านราคาน้ำมันปาล์มดิบ เกรด เอ ราคากิโลกรัมละ 24.00 25.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง และน้ำมันปาล์มดิบ เกรด บี ราคากิโลกรัมละ 24.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
สรุปภาวะการค้าปาล์มน้ำมันในวันนี้( 2 ต.ค.50) ผลปาล์มน้ำมัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามภาวะความต้องการของตลาด ส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบทรงตัว
งบดุลของ upoic แข็งแกร่งมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ lst อาจจะเป็นสมมุติฐานได้ไหมว่าแม่ต้องการถ่ายเทเงินจากลูก หลังจากได้ถ่ายเทเงินจากแม่ไปยังผู้ถือหุ้นใหญ่ ผ่านค่าตอบแทนกรรมการไปแล้ว
ผมยอมรับว่าอาจจะมีอคติต่อ lst นะครับ เพราะมีประวัติมาก่อน ส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือของ upoic ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ก่อนโหวตก็ลองพิจารณา ความสมเหตุสมผล และรักษาผลประโยชน์ของตัวท่านด้วยนะครับ...
1 บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 22,671,511 69.96
2 บริษัท วัฒนโชติ จำกัด 2,407,217 7.43
3 บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ 740,500 2.29
4 นายสมเกียรติ พีตกานนท์ 662,800 2.05
5 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) 602,774 1.86
6 นายธรรมนูญ สหดิษฐดำรงค์ 400,000 1.23
7 บริษัท วัฒนโสภณพนิช จำกัด 362,100 1.12
8 บริษัท กรีนสปอต จำกัด 247,200 0.76
9 นายชวลิต เชาว์ 230,000 0.71
10 นายบุญเสริม คุ้มพวงเพชร 217,000 0.67
11 นายดุษฎี ธนิสสรานนท์ 213,700 0.66