มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 31
ไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆขนาดนั้นนี่ครับ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อๆขายๆเข้าๆออกๆด้วย
ลองนึกเอาง่ายๆว่า ถ้าผมซื้อหุ้น ปตท ไม่ขายเลยกอดไว้ห้าปี การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นปตท คิดย้อนหลังห้าปี นี่เกิน 20% ต่ิิอปีแล้วครับ แล้วก็ไม่ต้องเดือดร้อนหาหุ้นใหม่ด้วย
กำไรในราคาหุ้นที่ไม่ขาย ผมก็ว่าเป็นกำไร เพราะขายไป ถ้าเอาเงินกลับมา re-invest มันก็กลับไปอยู่ในหุ้นอยู่ดี ไม่ได้เอาเงินไปใช้เหมือนกัน เพราะงั้น เหตุผลที่เปลี่ยนตัวหุ้น น่าจะเป็นเหตุผลที่มากกว่า เพื่อ รับรู้กำไรเป็นเงินสด
ลองนึกเอาง่ายๆว่า ถ้าผมซื้อหุ้น ปตท ไม่ขายเลยกอดไว้ห้าปี การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นปตท คิดย้อนหลังห้าปี นี่เกิน 20% ต่ิิอปีแล้วครับ แล้วก็ไม่ต้องเดือดร้อนหาหุ้นใหม่ด้วย
กำไรในราคาหุ้นที่ไม่ขาย ผมก็ว่าเป็นกำไร เพราะขายไป ถ้าเอาเงินกลับมา re-invest มันก็กลับไปอยู่ในหุ้นอยู่ดี ไม่ได้เอาเงินไปใช้เหมือนกัน เพราะงั้น เหตุผลที่เปลี่ยนตัวหุ้น น่าจะเป็นเหตุผลที่มากกว่า เพื่อ รับรู้กำไรเป็นเงินสด
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 32
house เขียน:ไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆขนาดนั้นนี่ครับ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อๆขายๆเข้าๆออกๆด้วย
ลองนึกเอาง่ายๆว่า ถ้าผมซื้อหุ้น ปตท ไม่ขายเลยกอดไว้ห้าปี การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นปตท คิดย้อนหลังห้าปี นี่เกิน 20% ต่ิิอปีแล้วครับ แล้วก็ไม่ต้องเดือดร้อนหาหุ้นใหม่ด้วย
กำไรในราคาหุ้นที่ไม่ขาย ผมก็ว่าเป็นกำไร เพราะขายไป ถ้าเอาเงินกลับมา re-invest มันก็กลับไปอยู่ในหุ้นอยู่ดี ไม่ได้เอาเงินไปใช้เหมือนกัน เพราะงั้น เหตุผลที่เปลี่ยนตัวหุ้น น่าจะเป็นเหตุผลที่มากกว่า เพื่อ รับรู้กำไรเป็นเงินสด
กรณีที่คุณ House คิดในหุ้น PTT เป็นการโตปีละกว่า 20% นั้นถูกต้องครับ
แต่ต่างกับกรณีการโต 20% ทบต้น ในกรณีของคุณ HOUSE เงินต้นจะคง
ที่ตลอดช่วงเวลาที่ถือหุ้น คือ 35 บาท( ถ้าซื้อตอน IPO) แต่ในกรณีทบต้น
เงินต้นปีที่ 2 สองต้องมากกว่าปีแรก 20% ปีที่ 3 ต้องมากกว่าปีที่ 2 ,20%
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ในกรณีของคุณ HOUSE 35 บาท 20% 5ปี=70 บาท
ในกรณีทบต้น 20% 35 บาท 5ปี = 35X72/20=128 บาท
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 33
เดี๋ยวนะครับ งงๆอยู่แหะ สื่อตรงกันรึเปล่าเนี่ย?
เอาราคาปิดเลยดีกว่า ตอนนี้ 328 บาท ถามว่าถ้าต้องการผลตอบแทนย้อนหลังทบต้นปีละ 20% จะต้องซื้อที่ราคาเท่าไหร่?
= 328/1.2^4 = 158 บาท
หมายความว่าถ้าซื้อหุ้น ปตท ได้ ในราคาต่ำกว่า 158 บาทแล้วกอดไว้เฉยๆห้าปี ราคาหุ้นปัจจุบัน จะมีการเติบโตเฉลี่ยเกินกว่้า ปีละ 20% ทบต้นครับ
หาหุ้นแบบนี้ให้ได้ซักตัว ก็น่าจะไม่ต้องเดือดร้อนหาหุ้นไปได้อีกหลายปี ไม่ต้องเพิ่มทุนด้วย(ใครหาเจอบอกผมด้วยน้า)
เอาราคาปิดเลยดีกว่า ตอนนี้ 328 บาท ถามว่าถ้าต้องการผลตอบแทนย้อนหลังทบต้นปีละ 20% จะต้องซื้อที่ราคาเท่าไหร่?
= 328/1.2^4 = 158 บาท
หมายความว่าถ้าซื้อหุ้น ปตท ได้ ในราคาต่ำกว่า 158 บาทแล้วกอดไว้เฉยๆห้าปี ราคาหุ้นปัจจุบัน จะมีการเติบโตเฉลี่ยเกินกว่้า ปีละ 20% ทบต้นครับ
หาหุ้นแบบนี้ให้ได้ซักตัว ก็น่าจะไม่ต้องเดือดร้อนหาหุ้นไปได้อีกหลายปี ไม่ต้องเพิ่มทุนด้วย(ใครหาเจอบอกผมด้วยน้า)
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 35
เงิน 158บาททบต้น 20%, 72/20=3.6ปีจะได้ 1 เท่าตัวคือ 316บาทhouse เขียน:เดี๋ยวนะครับ งงๆอยู่แหะ สื่อตรงกันรึเปล่าเนี่ย?
เอาราคาปิดเลยดีกว่า ตอนนี้ 328 บาท ถามว่าถ้าต้องการผลตอบแทนย้อนหลังทบต้นปีละ 20% จะต้องซื้อที่ราคาเท่าไหร่?
= 328/1.2^4 = 158 บาท
หมายความว่าถ้าซื้อหุ้น ปตท ได้ ในราคาต่ำกว่า 158 บาทแล้วกอดไว้เฉยๆห้าปี ราคาหุ้นปัจจุบัน จะมีการเติบโตเฉลี่ยเกินกว่้า ปีละ 20% ทบต้นครับ
หาหุ้นแบบนี้ให้ได้ซักตัว ก็น่าจะไม่ต้องเดือดร้อนหาหุ้นไปได้อีกหลายปี ไม่ต้องเพิ่มทุนด้วย(ใครหาเจอบอกผมด้วยน้า)
ครบ 5 ปี จะกลายเป็น = 316/(2/3.6)=316X3.6/2=568.8 บาท
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 36
จะได้กำไรทบต้นไม่เห็นต้องขายหุ้นนี่ครับ .. ผมว่าผมเข้าใจเหมือน house นะ ...
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- Hwamei
- Verified User
- โพสต์: 396
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 37
เห็นด้วยครับผลตอบแทนเฉลี่ย 20 % ทุกปีตลอดนะครับ มันไม่ง่ายหรอก หรือ แทบเป็นไปไม่ได้ เอาแค่ ตลอด 10 ปีก็พอนักลงทุน 1000 คน จะได้ซะ 1-10 คน รึเปล่า ยิ่งถ้าเราไม่ซื้อไม่ขายเลยยิ่งเป็นไปไม่ได้ ผมจึงคิดว่าอาจต้องกัน ส่วนหนึ่งมาลงทุนแบบ aggressive มากขึ้น
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 39
แล้วการขายเปลี่ยนตัวละครับ พี่ Radio
ถ้าเราเห็นชัดเจนว่าหุ้นที่ถือมันโตปีละ 20% ไม่ได้ และตัวใหม่มีความน่าจะเป็นสูงกว่าอย่างชัดเจน ผมว่ามันควรจะย้ายตัวมากกว่าเติมเงินนะ
ถ้าเราเห็นชัดเจนว่าหุ้นที่ถือมันโตปีละ 20% ไม่ได้ และตัวใหม่มีความน่าจะเป็นสูงกว่าอย่างชัดเจน ผมว่ามันควรจะย้ายตัวมากกว่าเติมเงินนะ
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 40
ผมว่าเข้าใจความหมายคำว่ากำไร 20% ทบต้นผิดกันไปใหญ่แล้ว
1. ไม่ได้แปลว่าคุณต้องได้กำไร = 20% ทุกปีนะครับ
อาจจะมีบวก 50 บ้าง ,ลบ 10 บ้าง ,บวก 5 บ้าง ก็ได้ครับ
แต่พอคิดโดยรวมแล้วได้เกิน 20%ทบต้น
2. ไม่ได้แปลว่าต้องขายหุ้นเปลี่ยนตัวทุกปี เพื่อแสดงตัวเงินเป็นกำไรจริงๆ
ตย.ของคุณ house ก็ถูกแล้วครับ
ถ้าถือไปเรื่อยๆ5-6ปีแล้วราคามันขึ้นมาเหมือน ปตท มันก็คือการทบต้นเหมือนกันแหละครับ
ปกติผมจะคิดผลตอบแทนทุกสิ้นปีโดยใช้ราคา ณ วันสิ้นปีมาคิดมูลค่าพอร์ทครับ
3.และก็ไม่ได้แปลว่าต้องถือหุ้นตัวเดิมไปตลอดกาลครับ
การเปลี่ยนหุ้นหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเราที่ทำกำไรได้ถึง20%หรือยังเลยครับ
1. ไม่ได้แปลว่าคุณต้องได้กำไร = 20% ทุกปีนะครับ
อาจจะมีบวก 50 บ้าง ,ลบ 10 บ้าง ,บวก 5 บ้าง ก็ได้ครับ
แต่พอคิดโดยรวมแล้วได้เกิน 20%ทบต้น
2. ไม่ได้แปลว่าต้องขายหุ้นเปลี่ยนตัวทุกปี เพื่อแสดงตัวเงินเป็นกำไรจริงๆ
ตย.ของคุณ house ก็ถูกแล้วครับ
ถ้าถือไปเรื่อยๆ5-6ปีแล้วราคามันขึ้นมาเหมือน ปตท มันก็คือการทบต้นเหมือนกันแหละครับ
ปกติผมจะคิดผลตอบแทนทุกสิ้นปีโดยใช้ราคา ณ วันสิ้นปีมาคิดมูลค่าพอร์ทครับ
3.และก็ไม่ได้แปลว่าต้องถือหุ้นตัวเดิมไปตลอดกาลครับ
การเปลี่ยนหุ้นหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเราที่ทำกำไรได้ถึง20%หรือยังเลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 41
เห็นด้วยกับคุณ HouseและคุณAtsuhouse เขียน:แล้วการขายเปลี่ยนตัวละครับ พี่ Radio
ถ้าเราเห็นชัดเจนว่าหุ้นที่ถือมันโตปีละ 20% ไม่ได้ และตัวใหม่มีความน่าจะเป็นสูงกว่าอย่างชัดเจน ผมว่ามันควรจะย้ายตัวมากกว่าเติมเงินนะ
- Hwamei
- Verified User
- โพสต์: 396
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 42
house เขียน:แล้วการขายเปลี่ยนตัวละครับ พี่ Radio
ถ้าเราเห็นชัดเจนว่าหุ้นที่ถือมันโตปีละ 20% ไม่ได้ และตัวใหม่มีความน่าจะเป็นสูงกว่าอย่างชัดเจน ผมว่ามันควรจะย้ายตัวมากกว่าเติมเงินนะ
ถ้าคิดว่ามีตัวที่ดีกว่าจริงๆ ก็ควรย้าย แต่อย่างว่าแหละ จะทำได้ทุกปียังไง แล้วเราจะมั่นใจได้รึเปล่าว่าตัวที่ย้าย จะให้ผลตอบแทนตามนั้นทุกปี warren beffet มีแค่คนเดียวในโลก ทางทีดีผมว่าเราอย่าหวังสูงอย่างนั้นเลย เอาแค่ได้ผลตอบแทนที่ดี ที่เราพอใจก็ โอแล้ว แค่ได้เป็น เจ้าของกิจการชั้นเลิศในราคาที่ถูก คำนี้ก็คลอบคลุมทุกอย่างแล้ว
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 43
ใช่ครับ หุ้นดีๆแบบนั้นหายาก ยังไงซะในการลงทุนตลอด 20 ปีบางทีคุณอาจจะเจอหุ้นแบบนั้นไม่กี่ครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าคุณเจอมันตอนไหนด้วย ถ้าเจอตอนช่วงปีแรกๆก็ไม่ค่อยเป้นผลอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าเจอตอนพอร์ทใหญ่แล้วก็ ลอยตัว เอาแค่ตอนนี้ จาก 350 ไป 420 ก็ยากแล้ว ถามว่าเราจะถือไว้จนกว่า 420 บาทหรอ ผมว่าไม่ใช่ปีสองปีนี้แน่ๆ ดังนั้นถ้าถือไว้สองสามปี คิดๆรวมกันแล้วอาจจะได้กำไรปีละนิดเดียว แถมยังไม่ได้เอากำไรมาทบต้นซื้อ อีกอย่างถึงจะเอาปันผลมาซื้อเพิ่มก็ได้ไม่มากพออีกRadio เขียน: ครับผมเห็นด้วย แม้แต่หุ้นชั้นเลิศอย่าง PTT ก็เป็นไปไม่ได้, 5-6 ปีแรก
อาจโตทบต้น 20% ได้ (เริ่มจาก 35 บาท) แต่ตอนนี้ราคา 350 บาท
จะให้โต 70 บาท ( เป็น 420บาท) ยาก! ยิ่งปีหน้าโตอีก 84 บาทยิ่ง
เป็นไปไม่ได้ ปีต่อๆไปยิ่งเป็นไปไม่ได้ เราต้องเพิ่มเงินไปใน Port
เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มจะได้โต 20% ทบต้น
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 44
ผมว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดนะครับ ผมเข้าใจว่าบทความนี้ต้องการสืออะไร อย่างแจ่มแจ้ง เพียงแต่ว่า ผมรู้สึกว่าวิธีการกอดหุ้นเอาไว้โดยที่ไม่ขายแล้วนำเงินไปทบต้นลงทนใหม่ มันขัดกับแนวคิดที่พวกเราใช้ในการเลือกลงทุนครับatsu เขียน:ผมว่าเข้าใจความหมายคำว่ากำไร 20% ทบต้นผิดกันไปใหญ่แล้ว
1. ไม่ได้แปลว่าคุณต้องได้กำไร = 20% ทุกปีนะครับ
อาจจะมีบวก 50 บ้าง ,ลบ 10 บ้าง ,บวก 5 บ้าง ก็ได้ครับ
แต่พอคิดโดยรวมแล้วได้เกิน 20%ทบต้น
2. ไม่ได้แปลว่าต้องขายหุ้นเปลี่ยนตัวทุกปี เพื่อแสดงตัวเงินเป็นกำไรจริงๆ
ตย.ของคุณ house ก็ถูกแล้วครับ
ถ้าถือไปเรื่อยๆ5-6ปีแล้วราคามันขึ้นมาเหมือน ปตท มันก็คือการทบต้นเหมือนกันแหละครับ
ปกติผมจะคิดผลตอบแทนทุกสิ้นปีโดยใช้ราคา ณ วันสิ้นปีมาคิดมูลค่าพอร์ทครับ
3.และก็ไม่ได้แปลว่าต้องถือหุ้นตัวเดิมไปตลอดกาลครับ
การเปลี่ยนหุ้นหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเราที่ทำกำไรได้ถึง20%หรือยังเลยครับ
ถ้าคิดในอีกแง่หนึง "ถ้าเราทำให้ได้ 30% จริงๆ และเห็นเป้นตัวเงินจริงๆหล่ะครับ" อันนี้เป็นแนวคิดส่วนตัวของผมนะครับ ผมจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่หรอกที่พอร์ดผมกำไรมาก เพราะยังไงผมก็ยังไม่ได้ขายมัน เงินนั้นมันแค่ตัวเลข ผมมองว่าเราน่าจะมองภาพของกำไรของเราให้ไกล้เคียงกับ "กระแสเงินสดหมุนเวียน" นะครับ เวลาเราดูว่าใครมีกำไรเรายังต้องดูเฉพาะที่เป็นเงินสดจริงๆ และสภาพคล่องสูงจริงๆเท่านั้น ดังนั้นเราก็ควรจะคิดเงินกำไรจาก "เงินจริงๆ" เท่านั้น
ที่นี้ถ้าเทียบกัน การทำให้พอร์ทมีกำไรปีละ 50% แต่ไม่ได้ขาย
กับพอร์ทที่ ทำกำไร ได้เงินสดทบต้นทุกปีปีละ 30% คุณคิดว่าแบบใหนดีกว่า
ที่ผมบอกแบบนี้เพราะว่าหลายต่อหลายครั้งที่หุ้นที่ผมถือนั้นทำ new high แล้วผมกอดมันเอาไว้ แล้วพอราคามันลงมาสู่ความปกติ จึงค่อยคิดได้ว่า รอปันผล+มูลค่าหุ้น อีก5 ปี ถึงจะทำกำไรเท่ากับ new high ครั้งนั้นครั้งเดียว ถ้าพูดในแง่ความมั่นคง มันมั่นคงกว่าแน่นอน แต่ถ้าเราขายออกไปตอน newhigh ครั้งก่อนแล้วได้เงินกำไรมา 50% แล้วทบต้น หาลงทุนใหม่หล่ะ ?
ผมว่ากระเงินสดในพอร์ทเราเท่านั้นที่จะเป็นตัวบอกเราได้ว่าจริงๆเรารวยจริงๆ หรือว่ารวยด้วยตัวเลข
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 45
[quote="gnomeller"][quote="atsu"]ผมว่าเข้าใจความหมายคำว่ากำไร 20% ทบต้นผิดกันไปใหญ่แล้ว
1. ไม่ได้แปลว่าคุณต้องได้กำไร = 20% ทุกปีนะครับ
อาจจะมีบวก 50 บ้าง ,ลบ 10 บ้าง ,บวก 5 บ้าง ก็ได้ครับ
แต่พอคิดโดยรวมแล้วได้เกิน 20%ทบต้น
2. ไม่ได้แปลว่าต้องขายหุ้นเปลี่ยนตัวทุกปี เพื่อแสดงตัวเงินเป็นกำไรจริงๆ
ตย.ของคุณ house ก็ถูกแล้วครับ
ถ้าถือไปเรื่อยๆ5-6ปีแล้วราคามันขึ้นมาเหมือน ปตท มันก็คือการทบต้นเหมือนกันแหละครับ
ปกติผมจะคิดผลตอบแทนทุกสิ้นปีโดยใช้ราคา ณ วันสิ้นปีมาคิดมูลค่าพอร์ทครับ
3.และก็ไม่ได้แปลว่าต้องถือหุ้นตัวเดิมไปตลอดกาลครับ
การเปลี่ยนหุ้นหรือไม่
1. ไม่ได้แปลว่าคุณต้องได้กำไร = 20% ทุกปีนะครับ
อาจจะมีบวก 50 บ้าง ,ลบ 10 บ้าง ,บวก 5 บ้าง ก็ได้ครับ
แต่พอคิดโดยรวมแล้วได้เกิน 20%ทบต้น
2. ไม่ได้แปลว่าต้องขายหุ้นเปลี่ยนตัวทุกปี เพื่อแสดงตัวเงินเป็นกำไรจริงๆ
ตย.ของคุณ house ก็ถูกแล้วครับ
ถ้าถือไปเรื่อยๆ5-6ปีแล้วราคามันขึ้นมาเหมือน ปตท มันก็คือการทบต้นเหมือนกันแหละครับ
ปกติผมจะคิดผลตอบแทนทุกสิ้นปีโดยใช้ราคา ณ วันสิ้นปีมาคิดมูลค่าพอร์ทครับ
3.และก็ไม่ได้แปลว่าต้องถือหุ้นตัวเดิมไปตลอดกาลครับ
การเปลี่ยนหุ้นหรือไม่
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 46
ผมเลือกข้อแรกครับgnomeller เขียน:ที่นี้ถ้าเทียบกัน การทำให้พอร์ทมีกำไรปีละ 50% แต่ไม่ได้ขายกับพอร์ทที่ ทำกำไร ได้เงินสดทบต้นทุกปีปีละ 30% คุณคิดว่าแบบใหนดีกว่า
ที่ผมบอกแบบนี้เพราะว่าหลายต่อหลายครั้งที่หุ้นที่ผมถือนั้นทำ new high แล้วผมกอดมันเอาไว้ แล้วพอราคามันลงมาสู่ความปกติ จึงค่อยคิดได้ว่า รอปันผล+มูลค่าหุ้น อีก5 ปี ถึงจะทำกำไรเท่ากับ new high ครั้งนั้นครั้งเดียว ถ้าพูดในแง่ความมั่นคง มันมั่นคงกว่าแน่นอน แต่ถ้าเราขายออกไปตอน newhigh ครั้งก่อนแล้วได้เงินกำไรมา 50% แล้วทบต้น หาลงทุนใหม่หล่ะ ?
ผมว่ากระเงินสดในพอร์ทเราเท่านั้นที่จะเป็นตัวบอกเราได้ว่าจริงๆเรารวยจริงๆ หรือว่ารวยด้วยตัวเลข
ถ้าให้ผมกำไร "ตัวเลข"ไปปีละ 50% จริง ผม"ยอม"กำไรตัวเลขดีกว่า
แล้วการขายหุ้นเพื่อให้รู้สึกว่ากำไรเงินจริง แล้วก็เอาเงินนั้นไปซื้อหุ้นต่อ
ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีกระแสเงินสดเพิ่มจากการไม่ขายหุ้นเลย
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 47
เรื่องนี้น่าสนใจดีครับ :) ทั้งการถือครองเงินไว้ กับการนำเงินไปลงทุนต่อ
เรามีประเด็นเพิ่มขึ้นมา เป็นการมองต่างมุมนะครับ
ถ้าขายเพื่อถือเงินสดและทำกำไรไม่ได้เท่าเดิมก็เป็นความเสียงที่จะทำให้เราทำกำไรพอรทต่อปีไม่ถึง 30% เช่นกันแต่อีกทางก็อาจจะกำไรมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ ถ้าหุ้นที่เราไปลงทุนใหม่นั้น ดีกว่าหุ้นตัวเดิม แต่ทั้งสองแบบก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรให้ได้ 30% ต่อปีอยู่ดี
ที่นี้ผมลองแชร์วิธีของผมดูนะครับ ถ้าใครมีวิธีไหนดีๆก็เอามาแชร์กันบ้างก็ดีนะครับ
ผมว่าวิธีนี้จะคล้ายๆกับแนวคิดของหุ้นที่เราลงทุนครับ คือกำไรไตรมาสนี้ดี ก็จ่ายปันผลให้ตัวเองเป็นค่าขนมสมมุติ 0.10 จากกำไร = ปันผล
แต่เราก็อย่าลืมว่าเราต้องมีกระแสเงินสดหมุนเวียนที่ดีด้วยเช่นกัน คือเราควรจะมีเงินสด ค้างไว้ในพอร์ท และควรขายหุ้นให้เป็นเงินบ้าง การขายให้เป้นเงินจะคล้ายกับ การที่เรามีลูกหนี้น้อยลง หรือเรียกเก็บเงินได้เร็วขึ้น ก็เท่ากับว่าเรา รวยในชีวิตจริง มากว่าที่จะรวยในกระดาษจดลูกหนี้ที่ยังเรียกเก็บไม่ได้ = สร้างกระแสเงินสดที่ดี มีสภาพคล่อง
รายการกำจัดจุดอ่อน ขายหุ้นที่ผมคิดว่า ไม่ดีที่สุดออกไป ถ้าในพอร์ทผมมีหุ้นอยู่ 6 ตัว ผมจะเลือกออกมาซะปีละ 2 ตัวที่คิดว่าอ่อนแอที่สุด และขายออกครับ อาจจะนำเงินมาลงทุนเพิ่มใน 4 ตัวที่เหลือ หรือว่าเก็บไว้มองหา กิจการที่ดีๆเข้ามาเพิ่ม และผมจะเลือกกำจัดจุดอ่อน ปีละครั้งโดยที่ผมจะขายมันออกไปอย่างไม่เสียดายเลยครับ = วิจัย และ พัฒนา
ส่วนเงินที่เหลือเราก็เอาไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีเท่า หรือดีกว่า = ขยายโรงงาน และ เพิ่มการผลิด
เรามีประเด็นเพิ่มขึ้นมา เป็นการมองต่างมุมนะครับ
ถ้าขายเพื่อถือเงินสดและทำกำไรไม่ได้เท่าเดิมก็เป็นความเสียงที่จะทำให้เราทำกำไรพอรทต่อปีไม่ถึง 30% เช่นกันแต่อีกทางก็อาจจะกำไรมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ ถ้าหุ้นที่เราไปลงทุนใหม่นั้น ดีกว่าหุ้นตัวเดิม แต่ทั้งสองแบบก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรให้ได้ 30% ต่อปีอยู่ดี
ที่นี้ผมลองแชร์วิธีของผมดูนะครับ ถ้าใครมีวิธีไหนดีๆก็เอามาแชร์กันบ้างก็ดีนะครับ
ผมว่าวิธีนี้จะคล้ายๆกับแนวคิดของหุ้นที่เราลงทุนครับ คือกำไรไตรมาสนี้ดี ก็จ่ายปันผลให้ตัวเองเป็นค่าขนมสมมุติ 0.10 จากกำไร = ปันผล
แต่เราก็อย่าลืมว่าเราต้องมีกระแสเงินสดหมุนเวียนที่ดีด้วยเช่นกัน คือเราควรจะมีเงินสด ค้างไว้ในพอร์ท และควรขายหุ้นให้เป็นเงินบ้าง การขายให้เป้นเงินจะคล้ายกับ การที่เรามีลูกหนี้น้อยลง หรือเรียกเก็บเงินได้เร็วขึ้น ก็เท่ากับว่าเรา รวยในชีวิตจริง มากว่าที่จะรวยในกระดาษจดลูกหนี้ที่ยังเรียกเก็บไม่ได้ = สร้างกระแสเงินสดที่ดี มีสภาพคล่อง
รายการกำจัดจุดอ่อน ขายหุ้นที่ผมคิดว่า ไม่ดีที่สุดออกไป ถ้าในพอร์ทผมมีหุ้นอยู่ 6 ตัว ผมจะเลือกออกมาซะปีละ 2 ตัวที่คิดว่าอ่อนแอที่สุด และขายออกครับ อาจจะนำเงินมาลงทุนเพิ่มใน 4 ตัวที่เหลือ หรือว่าเก็บไว้มองหา กิจการที่ดีๆเข้ามาเพิ่ม และผมจะเลือกกำจัดจุดอ่อน ปีละครั้งโดยที่ผมจะขายมันออกไปอย่างไม่เสียดายเลยครับ = วิจัย และ พัฒนา
ส่วนเงินที่เหลือเราก็เอาไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีเท่า หรือดีกว่า = ขยายโรงงาน และ เพิ่มการผลิด
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 48
1.ลงทุนในกิจการที่ดีอยู่แล้ว ถือยาว
2.การขายเป็นเงินแล้วรีบเอาเงินมาทบลงทุนใหม่
แล้วอย่างงี้วิธีไหนจะมีโอกาษทำ 30% ต่อปีได้มากกว่ากัน ?
เรามาช่วยกัน list ข้อดีข้อเสียของทั้งสองวิธีกันดีกว่าครับ :)
2.การขายเป็นเงินแล้วรีบเอาเงินมาทบลงทุนใหม่
แล้วอย่างงี้วิธีไหนจะมีโอกาษทำ 30% ต่อปีได้มากกว่ากัน ?
เรามาช่วยกัน list ข้อดีข้อเสียของทั้งสองวิธีกันดีกว่าครับ :)
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 49
คือผมต้องการแค่อธิบายว่าการขายหุ้น
เพราะต้องการเห็นเงินกำไรจริงมันเป็นหลักคิดที่ผิดครับ
แต่ถ้าการขายนั้นมาจากการที่เราปรับพอร์ท
โดยการเปลี่ยนหุ้นที่ดีน้อยกว่าไปซื้อดีมากกว่า
มันก็สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
แล้วผมเองก็ยืนยันมาตลอดครับว่าการทำ 20%ทบต้นได้ถึง40ปี
โคตรยากระดับเป็นตำนานเลย
อย่าว่าแต่ 30%เลยครับ
เพราะต้องการเห็นเงินกำไรจริงมันเป็นหลักคิดที่ผิดครับ
แต่ถ้าการขายนั้นมาจากการที่เราปรับพอร์ท
โดยการเปลี่ยนหุ้นที่ดีน้อยกว่าไปซื้อดีมากกว่า
มันก็สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
แล้วผมเองก็ยืนยันมาตลอดครับว่าการทำ 20%ทบต้นได้ถึง40ปี
โคตรยากระดับเป็นตำนานเลย
อย่าว่าแต่ 30%เลยครับ
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 50
[quote="gnomeller"]1.ลงทุนในกิจการที่ดีอยู่แล้ว ถือยาว
2.การขายเป็นเงินแล้วรีบเอาเงินมาทบลงทุนใหม่
แล้วอย่างงี้วิธีไหนจะมีโอกาษทำ 30% ต่อปีได้มากกว่ากัน ?
เรามาช่วยกัน list ข้อดีข้อเสียของทั้งสองวิธีกันดีกว่าครับ
2.การขายเป็นเงินแล้วรีบเอาเงินมาทบลงทุนใหม่
แล้วอย่างงี้วิธีไหนจะมีโอกาษทำ 30% ต่อปีได้มากกว่ากัน ?
เรามาช่วยกัน list ข้อดีข้อเสียของทั้งสองวิธีกันดีกว่าครับ
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 51
เข้าใจครับ ผมอาจจะเขียนผิดๆหน่อย แต่หลักการก็แบบที่เราๆเข้าใจกันแหล่ะครับatsu เขียน:เทียบราคากับมูลค่า[/size]ครับ
ถ้าราคามันเกินมูลค่ามากๆเราก็ควรขายครับ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันถือไปเรื่อย
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 52
มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำยังไงถึงจะทำ 30% ต่อปีได้ :lol:
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 53
[quote="gnomeller"]มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำยังไงถึงจะทำ 30% ต่อปีได้
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 54
ไม่ต้องถึง 20 ปีหรอกครับ ลองใช้เวลาติดตาม TVI อีกสัก 5 ปี แล้วจะพบว่าคนแถวนี้เจอหุ้นหลายเด้งบ่อยมากครับ :lol:gnomeller เขียน:ใช่ครับ หุ้นดีๆแบบนั้นหายาก ยังไงซะในการลงทุนตลอด 20 ปีบางทีคุณอาจจะเจอหุ้นแบบนั้นไม่กี่ครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าคุณเจอมันตอนไหนด้วย ถ้าเจอตอนช่วงปีแรกๆก็ไม่ค่อยเป้นผลอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าเจอตอนพอร์ทใหญ่แล้วก็ ลอยตัว เอาแค่ตอนนี้ จาก 350 ไป 420 ก็ยากแล้ว ถามว่าเราจะถือไว้จนกว่า 420 บาทหรอ ผมว่าไม่ใช่ปีสองปีนี้แน่ๆ ดังนั้นถ้าถือไว้สองสามปี คิดๆรวมกันแล้วอาจจะได้กำไรปีละนิดเดียว แถมยังไม่ได้เอากำไรมาทบต้นซื้อ อีกอย่างถึงจะเอาปันผลมาซื้อเพิ่มก็ได้ไม่มากพออีก
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 55
ชอบความเห้นนี้ครับ R&D ในพอร์ต :Dgnomeller เขียน:เรื่องนี้น่าสนใจดีครับ :) ทั้งการถือครองเงินไว้ กับการนำเงินไปลงทุนต่อ
เรามีประเด็นเพิ่มขึ้นมา เป็นการมองต่างมุมนะครับ
ถ้าขายเพื่อถือเงินสดและทำกำไรไม่ได้เท่าเดิมก็เป็นความเสียงที่จะทำให้เราทำกำไรพอรทต่อปีไม่ถึง 30% เช่นกันแต่อีกทางก็อาจจะกำไรมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ ถ้าหุ้นที่เราไปลงทุนใหม่นั้น ดีกว่าหุ้นตัวเดิม แต่ทั้งสองแบบก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรให้ได้ 30% ต่อปีอยู่ดี
ที่นี้ผมลองแชร์วิธีของผมดูนะครับ ถ้าใครมีวิธีไหนดีๆก็เอามาแชร์กันบ้างก็ดีนะครับ
ผมว่าวิธีนี้จะคล้ายๆกับแนวคิดของหุ้นที่เราลงทุนครับ คือกำไรไตรมาสนี้ดี ก็จ่ายปันผลให้ตัวเองเป็นค่าขนมสมมุติ 0.10 จากกำไร = ปันผล
แต่เราก็อย่าลืมว่าเราต้องมีกระแสเงินสดหมุนเวียนที่ดีด้วยเช่นกัน คือเราควรจะมีเงินสด ค้างไว้ในพอร์ท และควรขายหุ้นให้เป็นเงินบ้าง การขายให้เป้นเงินจะคล้ายกับ การที่เรามีลูกหนี้น้อยลง หรือเรียกเก็บเงินได้เร็วขึ้น ก็เท่ากับว่าเรา รวยในชีวิตจริง มากว่าที่จะรวยในกระดาษจดลูกหนี้ที่ยังเรียกเก็บไม่ได้ = สร้างกระแสเงินสดที่ดี มีสภาพคล่อง
รายการกำจัดจุดอ่อน ขายหุ้นที่ผมคิดว่า ไม่ดีที่สุดออกไป ถ้าในพอร์ทผมมีหุ้นอยู่ 6 ตัว ผมจะเลือกออกมาซะปีละ 2 ตัวที่คิดว่าอ่อนแอที่สุด และขายออกครับ อาจจะนำเงินมาลงทุนเพิ่มใน 4 ตัวที่เหลือ หรือว่าเก็บไว้มองหา กิจการที่ดีๆเข้ามาเพิ่ม และผมจะเลือกกำจัดจุดอ่อน ปีละครั้งโดยที่ผมจะขายมันออกไปอย่างไม่เสียดายเลยครับ = วิจัย และ พัฒนา
ส่วนเงินที่เหลือเราก็เอาไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีเท่า หรือดีกว่า = ขยายโรงงาน และ เพิ่มการผลิด
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 56
[quote="gnomeller"]มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำยังไงถึงจะทำ 30% ต่อปีได้
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 1667
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 57
ต้องมีการเรียนรู้ มากทีเดียวนะครับ
กว่าจะทำได้ ขนาดนั้น
อาจจะทำไม่สำเร็จทุกคน
สำหรับผม ตั้งเป้าแค่ ปีละ 10% ก็พอ
จะมีไปทำไม เงินเยอะแยะ แบบใช้ไม่หมด
ตายไปคนอื่นก็เอาไปใช้หมด
กว่าจะทำได้ ขนาดนั้น
อาจจะทำไม่สำเร็จทุกคน
สำหรับผม ตั้งเป้าแค่ ปีละ 10% ก็พอ
จะมีไปทำไม เงินเยอะแยะ แบบใช้ไม่หมด
ตายไปคนอื่นก็เอาไปใช้หมด
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 59
สุดยอดกันทุกคนเลยครับ
เท่าที่อ่านผมดู ผมว่าทั้งสองทางมีเหตุผลที่ดีทั้งนั้น
ส่วนตัวผมนะครับ คิดว่า
"ตราบใดที่มันยังขยับขึ้น ผมยังไม่ขาย" มากกว่าสนใจว่าขายเพื่อเงินสด
หรือกำไรที่ตัวเลข
เอาจากเหตุการณ์จริง
ตอนนี้ผมเล่น TDEX ตัวเดียวล้วนๆ เพราะเพิ่งเริ่มต้นด้วยเงินไม่กี่หมื่นครับ
วันผมเข้าวันแรก ซื้อที่ 6.09 สมมุติ (เพราะจริงๆ ตอนนั้นจบแค่ 1000)
ผมซื้อไว้ 5000 หุ้น แล้วมันขยับไปถึง 6.45 ผมยังไม่ขาย
แต่... มันร่วงลงมาจนผมต้องปล่อยที่ 6.35 ปล้วไปรับใหม่ที่ 6.25 ที่ 5000
เหมือนเดิม สำหรับคนไม่ปล่อยก็จะบอกว่าสุดท้ายก็ซื้อตัวเดิม แถมแพงขึ้น
ตั้ง 0.16 บาท แต่ในความเป็นจริงคือ ผมเสียเงินที่ผมควรได้ไปแล้ว 0.10 บาท
ตั้งแต่ตอน 6.45 นั่นไง หรืออย่างน้อย ๆ ผมควรปล่อยได้ตั้งแต่ 6.42 แล้ว
ไม่ใช่ใจเย็นเป็นแม่มณีดูมันร่วงรูดๆ เพราะไม่งั้น ผมก็มีเงินก้อนเดิมกับหุ้นที่
ราคา 6.27 บาท ณ วันศุกร์ที่ผ่านมา
อย่างน้อยในบัญชีผมมีเงินสุดจากกำไรที่ขายหุ้นรอบแรก พร้อมด้วยหุ้นจำนวนเดิม
ในความคิดผมนะครับ หุ้นมัน Dynamic มากๆ มันไม่ขึ้นแล้วไม่ลงแน่ๆ
สำหรับผม เราสามารถหากำไรจากหุ้นตัวเดิมไปนานเท่านาน ตราบเท่าที่มัน
ยังมีราคาที่น่าคบหาต่อไป ไม่จำเป็นต้องซื้อแล้วทิ้ง หรือขายแล้วเปลี่ยน
ขอเพียง ราคามันยังไปได้ และมีต้นทุนที่เราใส่เข้าไปเท่าเดิมได้ตลอด
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจภาวะตลาด และรู้จักซื้อในจังหวะที่ควรซื้อ
และขายในจังหวะที่ควรขายครับ :D
ปล.ถ้าดูจากวิธีลงทุน ผมคงเป็นเป็ดมังครับ คือถ้าเห็นว่าลงทุนยาวได้
ก็ทำ แต่ถ้ามันเล่นจังหวะแล้วเข้าทีกว่า ผมก็ขอลุยครับ :P
เท่าที่อ่านผมดู ผมว่าทั้งสองทางมีเหตุผลที่ดีทั้งนั้น
ส่วนตัวผมนะครับ คิดว่า
"ตราบใดที่มันยังขยับขึ้น ผมยังไม่ขาย" มากกว่าสนใจว่าขายเพื่อเงินสด
หรือกำไรที่ตัวเลข
เอาจากเหตุการณ์จริง
ตอนนี้ผมเล่น TDEX ตัวเดียวล้วนๆ เพราะเพิ่งเริ่มต้นด้วยเงินไม่กี่หมื่นครับ
วันผมเข้าวันแรก ซื้อที่ 6.09 สมมุติ (เพราะจริงๆ ตอนนั้นจบแค่ 1000)
ผมซื้อไว้ 5000 หุ้น แล้วมันขยับไปถึง 6.45 ผมยังไม่ขาย
แต่... มันร่วงลงมาจนผมต้องปล่อยที่ 6.35 ปล้วไปรับใหม่ที่ 6.25 ที่ 5000
เหมือนเดิม สำหรับคนไม่ปล่อยก็จะบอกว่าสุดท้ายก็ซื้อตัวเดิม แถมแพงขึ้น
ตั้ง 0.16 บาท แต่ในความเป็นจริงคือ ผมเสียเงินที่ผมควรได้ไปแล้ว 0.10 บาท
ตั้งแต่ตอน 6.45 นั่นไง หรืออย่างน้อย ๆ ผมควรปล่อยได้ตั้งแต่ 6.42 แล้ว
ไม่ใช่ใจเย็นเป็นแม่มณีดูมันร่วงรูดๆ เพราะไม่งั้น ผมก็มีเงินก้อนเดิมกับหุ้นที่
ราคา 6.27 บาท ณ วันศุกร์ที่ผ่านมา
อย่างน้อยในบัญชีผมมีเงินสุดจากกำไรที่ขายหุ้นรอบแรก พร้อมด้วยหุ้นจำนวนเดิม
ในความคิดผมนะครับ หุ้นมัน Dynamic มากๆ มันไม่ขึ้นแล้วไม่ลงแน่ๆ
สำหรับผม เราสามารถหากำไรจากหุ้นตัวเดิมไปนานเท่านาน ตราบเท่าที่มัน
ยังมีราคาที่น่าคบหาต่อไป ไม่จำเป็นต้องซื้อแล้วทิ้ง หรือขายแล้วเปลี่ยน
ขอเพียง ราคามันยังไปได้ และมีต้นทุนที่เราใส่เข้าไปเท่าเดิมได้ตลอด
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจภาวะตลาด และรู้จักซื้อในจังหวะที่ควรซื้อ
และขายในจังหวะที่ควรขายครับ :D
ปล.ถ้าดูจากวิธีลงทุน ผมคงเป็นเป็ดมังครับ คือถ้าเห็นว่าลงทุนยาวได้
ก็ทำ แต่ถ้ามันเล่นจังหวะแล้วเข้าทีกว่า ผมก็ขอลุยครับ :P
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินหมื่นสี่พันบาทก้อเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
โพสต์ที่ 60
หากเป็นคนที่มีงานทำ คงเฝ้าจอทั้งวันไม่ได้wirayuth เขียน:สำหรับผม เราสามารถหากำไรจากหุ้นตัวเดิมไปนานเท่านาน ตราบเท่าที่มัน
ยังมีราคาที่น่าคบหาต่อไป ไม่จำเป็นต้องซื้อแล้วทิ้ง หรือขายแล้วเปลี่ยน
ขอเพียง ราคามันยังไปได้ และมีต้นทุนที่เราใส่เข้าไปเท่าเดิมได้ตลอด
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจภาวะตลาด และรู้จักซื้อในจังหวะที่ควรซื้อ
และขายในจังหวะที่ควรขายครับ
ขายแล้วเปลี่ยนตัว ในที่นี้เป็นราคาที่คิดว่าถือไปก็เหลือส่วนต่างน้อยแล้ว แต่หากราคามันลงหนักๆ จนส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่เหมาะสมกับราคาหุ้นมันกว้าง จุดนี้ก็กลับเข้าไปซื้อหุ้นตัวเดิมได้ ไม่ใช่ขายเพราะเห็นมันขึ้นไป 10 - 20 สตางค์ แล้วเปลี่ยนไปถือตัวอื่น
จังหวะซื้อ-ขาย ยิ่งมากครั้ง แน่ใจอย่างไรว่าถูกต้องหมดทุกครั้ง การหาส่วนต่างเล็กๆ บางทีอาจจะทำให้พลาดครั้งใหญ่