ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 1
ผมว่ารอบนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นมาแรงและเร็วมาก
เมืองไทยดูจะแรงช่วงท้ายนี้ เพราะเริ่มเร่ง speed ให้ทันคนอื่น
ผมรู้สึกว่า การขึ้นรอบนี้ผิดปกติมากๆ
เพราะมันเริ่มขึ้นมาหลังจากวิกฤต subprime ถูกเปิดเผยออกมา
ในความเห็นผม
ผมคิดว่าเรื่อง subprime นี้ ไม่จบง่ายๆแน่นอน
ผลกระทบน่าจะกว้างขวางและรุนแรง
แต่อยู่ๆ ความกลัวเรื่องนี้ก็เงียบหายไปกระทันหัน
ติดตามมาด้วยการวิ่งเป็นกระทิงของหุ้นทั่วโลกรวมทั้งราคาน้ำมัน
ราวกับว่า เงินกำลังไหลออกมาจากตลาดเงิน
เข้ามาสู่ตลาดทุนและ commodity อย่างมากมาย
เป้าหมาย: สร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด ในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้
เพื่อเตรียมรับมือกับผลขาดทุนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจุดๆหนึ่งแล้ว
ก็ย่อมต้องมีการถอนเงินออก เพื่อ take profit
คำถาม: จะเกิดขึ้นเมื่อไร ?
คงไม่มีใครตอบได้
แต่ที่แน่ๆ เมื่อมันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบคงตามมาเป็นลูกโซ่
ลองจินตนาการถึงเวลาที่ Hedge fund ทั้งหลายเลิกเก็งกำไรราคาน้ำมัน
แล้วเริ่มทยอยขายกันออกมา
อะไรจะเกิดขึ้น ?
โดยเฉพาะประเทศไทย ถ้าน้ำมันเริ่มลง
หุ้นพลังงานทั้งหลายจะเป็นยังไงเนี่ย ?
ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยนะ
มันคงยังไม่ร่วงเร็วๆนี้นะ
check ตาม board ต่างๆยังมีคน post ว่า
PTT สูงไปแล้ว BUNPU ดอยสุดๆ
แสดงว่ายังไม่ peak จริง 555
เอาไว้มีคน post
PTT+BANPU ซื้อได้ทุกราคา
เมื่อไรนะ คงได้เวลา ล้าง port รอ
นับถอยหลัง...
เมืองไทยดูจะแรงช่วงท้ายนี้ เพราะเริ่มเร่ง speed ให้ทันคนอื่น
ผมรู้สึกว่า การขึ้นรอบนี้ผิดปกติมากๆ
เพราะมันเริ่มขึ้นมาหลังจากวิกฤต subprime ถูกเปิดเผยออกมา
ในความเห็นผม
ผมคิดว่าเรื่อง subprime นี้ ไม่จบง่ายๆแน่นอน
ผลกระทบน่าจะกว้างขวางและรุนแรง
แต่อยู่ๆ ความกลัวเรื่องนี้ก็เงียบหายไปกระทันหัน
ติดตามมาด้วยการวิ่งเป็นกระทิงของหุ้นทั่วโลกรวมทั้งราคาน้ำมัน
ราวกับว่า เงินกำลังไหลออกมาจากตลาดเงิน
เข้ามาสู่ตลาดทุนและ commodity อย่างมากมาย
เป้าหมาย: สร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด ในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้
เพื่อเตรียมรับมือกับผลขาดทุนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจุดๆหนึ่งแล้ว
ก็ย่อมต้องมีการถอนเงินออก เพื่อ take profit
คำถาม: จะเกิดขึ้นเมื่อไร ?
คงไม่มีใครตอบได้
แต่ที่แน่ๆ เมื่อมันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบคงตามมาเป็นลูกโซ่
ลองจินตนาการถึงเวลาที่ Hedge fund ทั้งหลายเลิกเก็งกำไรราคาน้ำมัน
แล้วเริ่มทยอยขายกันออกมา
อะไรจะเกิดขึ้น ?
โดยเฉพาะประเทศไทย ถ้าน้ำมันเริ่มลง
หุ้นพลังงานทั้งหลายจะเป็นยังไงเนี่ย ?
ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยนะ
มันคงยังไม่ร่วงเร็วๆนี้นะ
check ตาม board ต่างๆยังมีคน post ว่า
PTT สูงไปแล้ว BUNPU ดอยสุดๆ
แสดงว่ายังไม่ peak จริง 555
เอาไว้มีคน post
PTT+BANPU ซื้อได้ทุกราคา
เมื่อไรนะ คงได้เวลา ล้าง port รอ
นับถอยหลัง...
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 2
ผมเองก้อพยายามทยอยล้างปอดอยู่ครับ แต่คงต้องยอมคัทลอสหุ้นที่ถืออยู่ตอนนี้ก่อนเพราะดูแล้วอนาคตไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่ กะเก็บเงินสดไว้ชอปเต็มที่เพราะขึ้นรอบนี้ไม่เกี่ยวกะพื้นฐานเศรษฐกิจเลย ว่ากันด้วยเงินฝรั่งเพียวๆ
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 7
ช่วงนี้ผลประกอบการดีสุดๆ กำไรเยอะมากๆ หุ้นพลังงานก็ต้องขึ้นเป็นธรรมดา
ไม่มี"เจ้ามือ"ลากหรอกครับ :D
หุ้นมัน"ไม่มีแนวต้าน" :D
เศรษฐกิจบ้านเรามันดีเยี่ยม
คนขับ benz กันทุกคน อ้าว คุณไม่ได้ขับหรือครับ
.... ที่พูดมาเนี่ย ความจริงทั้งนั้น ไม่ได้ประชดเลยนะ :D :lol: :lol:
ไม่มี"เจ้ามือ"ลากหรอกครับ :D
หุ้นมัน"ไม่มีแนวต้าน" :D
เศรษฐกิจบ้านเรามันดีเยี่ยม
คนขับ benz กันทุกคน อ้าว คุณไม่ได้ขับหรือครับ
.... ที่พูดมาเนี่ย ความจริงทั้งนั้น ไม่ได้ประชดเลยนะ :D :lol: :lol:
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 211
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 9
ส่วนตัวผมเชื่อว่ารอบนี้น่าจะเป็นช่วงเริ่มของขาขึ้นครับ อาจจะวิเคราะห์ไม่ค่อยเหมือน VI ซักเท่าไหร่ (แต่ยกเว้นบางตัวที่ราคาแพงเกินไปแล้วนะครับ)
ในระยะสั้นถึงกลางอาจจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่ได้ เพราะขึ้นมาเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะปตท. แต่ยังไม่น่าเข้าสู่ขาลงของตลาดหุ้นไทย
สาเหตุที่เชื่อแบบนั้น เพราะเงินจากตลาดสหรัฐและยุโรปน่าจะเข้ามาที่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนสูงโดยความเสี่ยงต่ำกว่า สังเกตได้จากตลาดใกล้ๆบ้านเราที่ขึ้นเอาๆ เพราะเงินต่างชาติเข้าและทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ
ดูๆไปผมก็ยังไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ฟองสบู่แตกนะครับ เรื่องน้ำมันทุกประเทศก็เจอเหมือนกันหมด
ในระยะสั้นถึงกลางอาจจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่ได้ เพราะขึ้นมาเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะปตท. แต่ยังไม่น่าเข้าสู่ขาลงของตลาดหุ้นไทย
สาเหตุที่เชื่อแบบนั้น เพราะเงินจากตลาดสหรัฐและยุโรปน่าจะเข้ามาที่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนสูงโดยความเสี่ยงต่ำกว่า สังเกตได้จากตลาดใกล้ๆบ้านเราที่ขึ้นเอาๆ เพราะเงินต่างชาติเข้าและทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ
ดูๆไปผมก็ยังไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ฟองสบู่แตกนะครับ เรื่องน้ำมันทุกประเทศก็เจอเหมือนกันหมด
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 12
ผมว่า ยังนะครับ GDP จีนยังโต 11.5% มั้งครับ q ที่ผ่านมา ไม่แน่ใจว่า เลขนี้เปล่า demand ในจีน กับ india ยังสู้ น่าจะทำให้ ความต้องการ ใช้พวก commodities เยอะอยู่ แล้วประกอบกับ หน้าหนาว ทางด้านอเมริกา ก็ต้องมีการ ใช้ พลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะ พวก heating oil หนะครับ ซึ่งราคามันก็เกี่ยวกับ น้ำมันดิบด้วยอยู่แล้ว แล้ว ปริมาณสำรองน้ำมัน สหรัฐที่พึ่งประกาศ ดันต่ำสุดในรอบ สองปีอีก นี้ก็น่าจะเป็น demand ให้ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงอยู่นะครับ แต่ถ้าเรื่อง ที่ชายแดน อิรัก ตุรกีสงบลง ราคาน่าจะ ลดลงมาได้แหละครับ แต่ผมว่า ยังไงๆ ช่วงนี้ก็น่าจยังสูงอยู่ ถ้าหมดหน้าหนาว หรือ จีนกับแขก เจ๊ง ค่อยว่ากันอีกทีครับ :lol: :lol: :lol:
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 13
หุ้นผมก็ยังไม่ทันขึ้นเลยเหมือนกัน จะรีบวงแตกกันไปไหน :D
แต่สงสัยรอบนี้จะหมดรอบแล้วจริงๆนะ
ไม่เชื่อดูข่าวนี้เลย
:lol: :lol: :lol:
แต่สงสัยรอบนี้จะหมดรอบแล้วจริงๆนะ
ไม่เชื่อดูข่าวนี้เลย
คุณก้องเกียรติแกออกมาส่งสัญญาณแล้ว ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"ก้องเกียรติ" มองแนวโน้มเงินบาท มีโอกาสแข็งค่าแตะระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลา 3-4 ปี ข้างหน้า ส่วนตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทะลุ 1 พันจุด
วันนี้(31 ต.ค.) นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส (ASP) กล่าวว่า การไหลเข้าของเม็ดเงินยังมีต่อเนื่องจากผลกระทบของปัญหาซับไพรม์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ อยู่ในช่วงขาลง หรืออ่อนค่าลง ขณะที่ยุโรปก็มีอัตราเติบโตของเศรษฐกิจไม่มาก หรืออยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้มีการโยกย้ายมาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย จากปัจจัยดังกล่าว และมองว่าค่าเงินในเอเชียจะแข็งค่าขึ้น และจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียปรับสูงขึ้นด้วย
นายก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า หากพิจารณาถึงเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย พบว่า กว่า 2 หมื่นล้านเหรียญฯเป็นการเข้ามาลงทุนในประเทศอินเดียและฮ่องกง ในขณะที่ประเทศไทยก็มีเม็ดเงินไหลเข้ามาเช่นกัน กว่า 1 แสนล้านบาท
สำหรับปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่าค่าเงินเอเชีย รวมถึงค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยประเมินว่าใน 3-4 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าไปถึงระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการและประชาชนจะต้องระวังการแข็งค่าของเงินบาท
อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของค่าเงินก็เป็นประโยชน์ ทำให้เงินเฟ้อของประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีนี้มองว่า มีโอกาสจะได้เห็นการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยไปที่ระดับ 1 พันจุด หลังจากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย โดยเฉพาะการเมือง และการเข้ามาของเม็ดเงิน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทปีนี้ปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,656.10 ล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากค่านายหน้ากว่า 60% รวมทั้งการที่บริษัทกระจายการลงทุนจากพอร์ตลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้บริษัทมีรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการปรับตัวขึ้นของรายได้ดังกล่าวเชื่อว่าจะทำมาร์เก็ตแชร์เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ในสิ้นปีนี้ที่ระดับ 6%
"การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีเป็นเรื่องที่ดีและทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่สนใจแต่ยังกังวลว่ากลุ่มที่ปรับสูงขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งโดยส่วนตัวอยากจะเห็นนักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆปรับตัวขึ้นบ้าง เพราะหากราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะต้องมีการปรับตัวลงมา"นายก้องเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย
:lol: :lol: :lol:
- เจก
- Verified User
- โพสต์: 331
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 14
ตอนแรกวันนี้กะจะไปโอนเงินออสกลับไทยเสียหน่อย เห็นขึ้นมาเยอะเหลือเกิน พอเห็นข่าวก้องเกียรติว่าเงินไทยจะไป ๒๕ บาทต่อดอลล่าร์นี่ผมเปลี่ยนใจเลย เก็บไว้ที่นี่ก่อน กินดอก ๖ เปอร์เซนดีก่า ท่าทางมันน่าจะได้ลงไป ๔๐ มากกว่า
เจก
เจก
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 15
เอ่อ...Blueblood เขียน: อารมเดียวกันเลยพี่
ของท่าน Eto และท่าน Blueblood เรียกว่าขึ้นนิดเดียว
แล้วของผมจะเรียกอะไรเนี่ย ? 8)
อันนี้หมายถึงว่า ท่านก้องพูดว่า 1000 จุด ทีไร หุ้นร่วงทุกทีใช่มั้ยครับatsu เขียน:คุณก้องเกียรติแกออกมาส่งสัญญาณแล้ว ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
:lol: :lol: :lol:
- BOONPARUEY
- Verified User
- โพสต์: 184
- ผู้ติดตาม: 0
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 16
......คิดว่ายังหรอก......
.......เพราะขาใหญ่ยังดิ้นไม่สุดเป้า ( GOAL SETTING ).......
.......ถ้าจะพังลงมาก็น่าจะก่อนเลือกตั้งสักเล็กน้อย ........
.......ก็แค่เป็นความเห็นแบบเพี้ยน ๆ น่ะ .......
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
.......เพราะขาใหญ่ยังดิ้นไม่สุดเป้า ( GOAL SETTING ).......
.......ถ้าจะพังลงมาก็น่าจะก่อนเลือกตั้งสักเล็กน้อย ........
.......ก็แค่เป็นความเห็นแบบเพี้ยน ๆ น่ะ .......
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
... " บุญ คือ เสบียงของคนไม่ประมาท " พุทธตรัส ...
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
ฟองสบู่ใกล้แตกรึยังครับ
โพสต์ที่ 18
ว่าแล้ว
คุณก้องเกียรตินี่ของแกแรงจริงๆ
แต่จริงๆแล้ว set ขึ้น(และกำลังจะลง )รอบนี้
มูลค่าพอร์ทผมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ
คิดว่าหลายๆคนก็คงคล้ายๆกัน
เพราะมันขึ้นแต่หุ้นพลังงานแล้วตอนนี้ก็ลงแต่หุ้นพลังงาน
ดังนั้นคนไม่มีหุ้นพลังงานก็นั่งดูอย่างเดียว(น้ำลายหกเป็นระยะๆ :lol: )
คุณก้องเกียรตินี่ของแกแรงจริงๆ
แต่จริงๆแล้ว set ขึ้น(และกำลังจะลง )รอบนี้
มูลค่าพอร์ทผมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ
คิดว่าหลายๆคนก็คงคล้ายๆกัน
เพราะมันขึ้นแต่หุ้นพลังงานแล้วตอนนี้ก็ลงแต่หุ้นพลังงาน
ดังนั้นคนไม่มีหุ้นพลังงานก็นั่งดูอย่างเดียว(น้ำลายหกเป็นระยะๆ :lol: )
-
- Verified User
- โพสต์: 48
- ผู้ติดตาม: 0
กระ(ทิง)เทียม
โพสต์ที่ 20
Monday, 5 November 2007
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นมาในช่วงนี้อาจทำให้คนทั่วไปคิดว่าคนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหุ้นคงรวยกันทั่วหน้า เพราะดัชนีปรับตัวขึ้นมาจากสิ้นปีที่แล้วที่ 680 จุด ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2550 เป็น 907 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 33% มูลค่าหุ้นทั้งตลาดหรือ Market Cap. ก็เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท เป็น 7 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านล้านบาท แต่นักลงทุน โดยเฉพาะ Value Investor หลายคนกลับรู้สึกว่าหุ้นของตนเองมีมูลค่าเพิ่มขึ้นน้อยมากทั้ง ๆ ที่การเพิ่มขึ้นของดัชนีในระดับนี้ต้องถือว่าเป็นตลาด กระทิง เต็มตัว
ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงลองทำวิจัยเล็ก ๆ ดูว่า กระทิง ตัวนี้มาจากไหน เป็นกระทิงจริง ๆ หรือเปล่า นั่นคือ เป็นตลาดที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นไปในระดับสูงไม่ใช่เป็นการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่ตัวในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น
วิธีการดูของผมก็ทำแบบง่าย ๆ โดยผมเลือกเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นมากที่สุด 10 ตัว นับตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2550 เมื่อกำหนดได้แล้วก็จะมาดูว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นกลุ่มไหน และทำไมมูลค่าจึงเพิ่มขึ้นมาก และดูต่อไปว่ามันมีราคาเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ มากหรือน้อยกว่า 33% ที่เป็นค่าเฉลี่ย จากนั้นก็ไปดูต่อว่า หุ้นที่เหลือทั้งหมดกว่า 500 ตัว สร้างมูลค่าเพิ่มเท่าไรและราคาเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะดูว่า ถ้าเราบังเอิญไม่ได้เล่นหรือถือหุ้น 10 ตัวดังกล่าว เราน่าจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยกี่เปอร์เซ็นต์
เรียงลำดับตั้งแต่หุ้นที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุดก็คือ หุ้นของ ปตท. ซึ่งใช้เวลาเพียง 10 เดือนมีมูลค่าเพิ่มจาก 589,034 ล้านบาท เป็น 1,205,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 616,066 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 105% และทำให้หุ้น ปตท. กลายเป็นอภิมหาหุ้นในตลาด คือ ตัวเดียวมีมูลค่าตลาดถึง 17% ของหุ้นทั้งตลาด
หุ้นที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นในลำดับที่สอง ก็คือ ลูกของหุ้น ปตท. หรือ ปตท.สผ. ซึ่งสร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 213,562 ล้านบาท และทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 317,099 เป็น 530,661 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 67% และปตท.สผ. ก็กลายเป็นอภิมหาหุ้นอีกตัวหนึ่งที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 8% ซึ่งเมื่อรวมกับ ปตท. ก็จะกลายเป็น 25% หรือเป็น 1 ใน 4 ของหุ้นทั้งตลาด
นอกจาก ปตท. และ ปตท.สผ. แล้ว หุ้นในกลุ่มของ ปตท. ที่เข้าอยู่ในบัญชี 10 บริษัทที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มสูงสุดยังประกอบด้วยหุ้นไทยออยล์หรือ TOP ซึ่งมาในอันดับที่ 4 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 91,801 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 86% หุ้น ปตท. เคมีคอล หรือ PTTCH ที่มาในอันดับ 5 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 90,172 ล้านบาท หุ้นอะโรเมติกส์ หรือ ATC ซึ่งมาในอันดับ 9 มีมูลค่าเพิ่ม 39,235 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 125% และหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ซึ่งมาในอันดับที่ 10 มีมูลค่าเพิ่ม 25,797 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 53% รวมแล้วหุ้นที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุด 10 อันดับ เป็นหุ้นในกลุ่ม ปตท. ถึง 6 บริษัท และทั้งหมดเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานหรือปิโตรเคมี
หุ้นในลำดับที่ 6 และเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นกันก็คือ หุ้นบ้านปู (BANPU) ซึ่งจากเดิมเป็นหุ้นขนาดกลางมีมูลค่าตลาดเพียง 49,458 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 127,178 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 77,720 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 157% ภายในเวลาเพียง 10 เดือน ถึงจุดนี้เราน่าจะพูดได้เต็มปากว่า การขึ้นของหุ้นรอบนี้ หรือกระทิงตัวนี้ หลัก ๆ มาจากกลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมันและถ่านหิน และปิโตรเลียม ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงปีที่ผ่านมา
หุ้นที่เหลืออีก 3 ตัว ต่างก็มาจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยตัวแรกคือ หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาหรือ BAY ที่มาในอันดับที่ 3 สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 106,826 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 197% หุ้นธนาคารกสิกรไทยหรือ KBANK ที่มาในอันดับ 7 สร้างมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้น 61,271 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% และหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ที่มาในอันดับ 8 สร้างมูลค่าตลาดเพิ่ม 60,202 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มแบงค์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มเฉพาะธนาคารเอกชนที่มีปัญหาน้อยหรือมีการจัดการที่ดีในสายตาของนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ
โดยรวมแล้ว 10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มสูงสุด มีมูลค่าตลาดในวันสิ้นปีที่แล้วประมาณ 1,561,906 ล้านบาท และได้สร้างมูลค่าเพิ่ม 1,382,652 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 88.5% และคิดเป็น 76% ของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาด ในขณะที่หุ้นอื่น ๆ ที่เหลือกว่า 500 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 3,516,799 ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มเพียงประมาณ 438,835 ล้านบาท หรือมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 12.5% และคิดเป็นเพียง 24% ของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาด
คนอาจจะสงสัยว่า หุ้นขึ้นเพราะบริษัทสุดยอด 10 บริษัทนั้น มีกำไรดีขึ้นมาก แต่ตัวเลขกำไร 2 ไตรมาศที่ผ่านมาของปีนี้ของทั้ง 10 บริษัทรวมกันเท่ากับ 102,127 ล้านบาท ถ้าเอา 2 คูณก็ประมาณได้ว่าทั้งปีนี้น่าจะได้ 204,254 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้ว 10 บริษัทนี้มีกำไรรวมกันเท่ากับ 203,610 ล้านบาท คิดแล้ว กำไรปีนี้อาจจะไม่เพิ่มเลย เท่ากับว่า ปีนี้ที่ราคาและมูลค่าหุ้นของสุดยอดบริษัทเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวนั้น อาจจะไม่ได้มาจากเรื่องของกำไรเลย การเพิ่มขึ้นอาจจะมาจากการปรับมุมมองของนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ที่มองว่าหุ้นเหล่านี้มีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นคล้าย ๆ กันในต่างประเทศ และอาจจะมองว่าในอนาคต หุ้นเหล่านี้น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น เพราะราคาของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะพลังงานและปิโตรเลียมกำลังมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก
ส่วนหุ้นอีกหลายร้อยตัวซึ่งต่างชาติไม่สนใจ หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ขายให้แก่คนไทยเป็นหลักนั้น ราคาหุ้นก็ไม่ได้ขึ้นโดดเด่นอะไรที่จะเรียกว่าตลาดอยู่ในภาวะกระทิงได้ ดังนั้น ผมจึงขอสรุปว่า กระทิงตัวนี้ เป็น กระ(ทิง)เทียม ครับ
Posted by nivate at 8:57 AM in โลกในมุมมองของ Value Investor
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นมาในช่วงนี้อาจทำให้คนทั่วไปคิดว่าคนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหุ้นคงรวยกันทั่วหน้า เพราะดัชนีปรับตัวขึ้นมาจากสิ้นปีที่แล้วที่ 680 จุด ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2550 เป็น 907 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 33% มูลค่าหุ้นทั้งตลาดหรือ Market Cap. ก็เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท เป็น 7 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านล้านบาท แต่นักลงทุน โดยเฉพาะ Value Investor หลายคนกลับรู้สึกว่าหุ้นของตนเองมีมูลค่าเพิ่มขึ้นน้อยมากทั้ง ๆ ที่การเพิ่มขึ้นของดัชนีในระดับนี้ต้องถือว่าเป็นตลาด กระทิง เต็มตัว
ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงลองทำวิจัยเล็ก ๆ ดูว่า กระทิง ตัวนี้มาจากไหน เป็นกระทิงจริง ๆ หรือเปล่า นั่นคือ เป็นตลาดที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นไปในระดับสูงไม่ใช่เป็นการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่ตัวในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น
วิธีการดูของผมก็ทำแบบง่าย ๆ โดยผมเลือกเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นมากที่สุด 10 ตัว นับตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2550 เมื่อกำหนดได้แล้วก็จะมาดูว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นกลุ่มไหน และทำไมมูลค่าจึงเพิ่มขึ้นมาก และดูต่อไปว่ามันมีราคาเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ มากหรือน้อยกว่า 33% ที่เป็นค่าเฉลี่ย จากนั้นก็ไปดูต่อว่า หุ้นที่เหลือทั้งหมดกว่า 500 ตัว สร้างมูลค่าเพิ่มเท่าไรและราคาเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะดูว่า ถ้าเราบังเอิญไม่ได้เล่นหรือถือหุ้น 10 ตัวดังกล่าว เราน่าจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยกี่เปอร์เซ็นต์
เรียงลำดับตั้งแต่หุ้นที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุดก็คือ หุ้นของ ปตท. ซึ่งใช้เวลาเพียง 10 เดือนมีมูลค่าเพิ่มจาก 589,034 ล้านบาท เป็น 1,205,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 616,066 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 105% และทำให้หุ้น ปตท. กลายเป็นอภิมหาหุ้นในตลาด คือ ตัวเดียวมีมูลค่าตลาดถึง 17% ของหุ้นทั้งตลาด
หุ้นที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นในลำดับที่สอง ก็คือ ลูกของหุ้น ปตท. หรือ ปตท.สผ. ซึ่งสร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 213,562 ล้านบาท และทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 317,099 เป็น 530,661 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 67% และปตท.สผ. ก็กลายเป็นอภิมหาหุ้นอีกตัวหนึ่งที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 8% ซึ่งเมื่อรวมกับ ปตท. ก็จะกลายเป็น 25% หรือเป็น 1 ใน 4 ของหุ้นทั้งตลาด
นอกจาก ปตท. และ ปตท.สผ. แล้ว หุ้นในกลุ่มของ ปตท. ที่เข้าอยู่ในบัญชี 10 บริษัทที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มสูงสุดยังประกอบด้วยหุ้นไทยออยล์หรือ TOP ซึ่งมาในอันดับที่ 4 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 91,801 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 86% หุ้น ปตท. เคมีคอล หรือ PTTCH ที่มาในอันดับ 5 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 90,172 ล้านบาท หุ้นอะโรเมติกส์ หรือ ATC ซึ่งมาในอันดับ 9 มีมูลค่าเพิ่ม 39,235 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 125% และหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ซึ่งมาในอันดับที่ 10 มีมูลค่าเพิ่ม 25,797 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 53% รวมแล้วหุ้นที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุด 10 อันดับ เป็นหุ้นในกลุ่ม ปตท. ถึง 6 บริษัท และทั้งหมดเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานหรือปิโตรเคมี
หุ้นในลำดับที่ 6 และเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นกันก็คือ หุ้นบ้านปู (BANPU) ซึ่งจากเดิมเป็นหุ้นขนาดกลางมีมูลค่าตลาดเพียง 49,458 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 127,178 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 77,720 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 157% ภายในเวลาเพียง 10 เดือน ถึงจุดนี้เราน่าจะพูดได้เต็มปากว่า การขึ้นของหุ้นรอบนี้ หรือกระทิงตัวนี้ หลัก ๆ มาจากกลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมันและถ่านหิน และปิโตรเลียม ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงปีที่ผ่านมา
หุ้นที่เหลืออีก 3 ตัว ต่างก็มาจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยตัวแรกคือ หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาหรือ BAY ที่มาในอันดับที่ 3 สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 106,826 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 197% หุ้นธนาคารกสิกรไทยหรือ KBANK ที่มาในอันดับ 7 สร้างมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้น 61,271 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% และหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ที่มาในอันดับ 8 สร้างมูลค่าตลาดเพิ่ม 60,202 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มแบงค์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มเฉพาะธนาคารเอกชนที่มีปัญหาน้อยหรือมีการจัดการที่ดีในสายตาของนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ
โดยรวมแล้ว 10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มสูงสุด มีมูลค่าตลาดในวันสิ้นปีที่แล้วประมาณ 1,561,906 ล้านบาท และได้สร้างมูลค่าเพิ่ม 1,382,652 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 88.5% และคิดเป็น 76% ของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาด ในขณะที่หุ้นอื่น ๆ ที่เหลือกว่า 500 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 3,516,799 ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มเพียงประมาณ 438,835 ล้านบาท หรือมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 12.5% และคิดเป็นเพียง 24% ของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาด
คนอาจจะสงสัยว่า หุ้นขึ้นเพราะบริษัทสุดยอด 10 บริษัทนั้น มีกำไรดีขึ้นมาก แต่ตัวเลขกำไร 2 ไตรมาศที่ผ่านมาของปีนี้ของทั้ง 10 บริษัทรวมกันเท่ากับ 102,127 ล้านบาท ถ้าเอา 2 คูณก็ประมาณได้ว่าทั้งปีนี้น่าจะได้ 204,254 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้ว 10 บริษัทนี้มีกำไรรวมกันเท่ากับ 203,610 ล้านบาท คิดแล้ว กำไรปีนี้อาจจะไม่เพิ่มเลย เท่ากับว่า ปีนี้ที่ราคาและมูลค่าหุ้นของสุดยอดบริษัทเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวนั้น อาจจะไม่ได้มาจากเรื่องของกำไรเลย การเพิ่มขึ้นอาจจะมาจากการปรับมุมมองของนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ที่มองว่าหุ้นเหล่านี้มีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นคล้าย ๆ กันในต่างประเทศ และอาจจะมองว่าในอนาคต หุ้นเหล่านี้น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น เพราะราคาของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะพลังงานและปิโตรเลียมกำลังมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก
ส่วนหุ้นอีกหลายร้อยตัวซึ่งต่างชาติไม่สนใจ หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ขายให้แก่คนไทยเป็นหลักนั้น ราคาหุ้นก็ไม่ได้ขึ้นโดดเด่นอะไรที่จะเรียกว่าตลาดอยู่ในภาวะกระทิงได้ ดังนั้น ผมจึงขอสรุปว่า กระทิงตัวนี้ เป็น กระ(ทิง)เทียม ครับ
Posted by nivate at 8:57 AM in โลกในมุมมองของ Value Investor