กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/11/07

โพสต์ที่ 151

โพสต์

ยอดใช้แก๊สโซฮอล์พุ่ง ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 02, 2007
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพลังงาน บมจ.ปตท. บอกว่า ยอดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นเป็น 52 ล้านลิตรต่อเดือน จากยอดขายเฉลี่ย 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 42 ล้านลิตรต่อเดือน ขณะที่ยอดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มียอดจำหน่ายประมาณ 10 ล้านลิตรต่อเดือน ปตท.จึงตั้งเป้าขยายสถานีให้บริการแก๊สโซฮอล์ 91 ให้ได้ 500 แห่งภายในสิ้นปีนี้ จากที่ขณะนี้ให้บริการแล้ว 300 แห่งทั่วประเทศ

ด้านนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. บอกว่า ปตท.ได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในปริมาณสูงสุดวันละ 1.14 แสนล้านบีทียูต่อวัน จากแหล่งก๊าซฯจากพื้นที่ร่วม ไทย-มาเลเซีย(JDA) เป็นเวลา 25 ปี เริ่มในเดือนพฤษภาคมปี 2551 คิดเป็นมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาท และเป็นการสนับสนุนการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงสะอาด ที่ไม่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และลดการนำเข้าน้ำมันเตาได้ 2.3 หมื่นล้านลิตร ตลอดอายุสัญญา ประหยัดเงินนำเข้าน้ำมันเตาได้กว่า 1.8 แสนล้านบาท

ขณะที่นายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการ กฟผ. บอกว่า การซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าจะนะ เป็นการจัดหาก๊าซฯสำหรับผลิตพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้ โดยเฉพาะภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่ากำลังการผลิตของระบบ ทำให้ลดต้นทุนในภาคการผลิตไฟฟ้าของประเทศ และลดการพึ่งพาการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน คิดเป็นมูลค่า 5.04 หมื่นล้านบาท ตลอดอายุสัญญา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/11/07

โพสต์ที่ 152

โพสต์

เก็งกำไรน้ำมันปั่นหุ้นพลังงาน 10เดือนมาร์เก็ตแคป1.1ล้านล.

หุ้นกลุ่มพลังงานดันตลาดหุ้นไทยติดเทอร์โบ 10 เดือนมาร์เก็ตแคปพุ่งขึ้น 2 ล้านล้านเป็น 7 ล้านล้านบาท รับอานิสงส์เก็งกำไรราคาน้ำมัน ยอดซื้อขายซื้อหุ้นพลังงาน 2 เดือนเทรดกระจาย 1 ใน 3 ของตลาดรวม มูลค่าหุ้นพลังงาน ขึ้นพรวดกว่า 6.4 แสนล้าน โบรกเกอร์-ผู้จัดการกองทุนเชียร์หุ้นพลังงานยังถูก สามารถวิ่งต่อ ได้อีก 2-3 ปี คาดราคาน้ำมันตลาดโลกยังวิ่งขึ้นจากความต้องการของประเทศเศรษฐกิจใหญ่จีน-อินเดีย-ญี่ปุ่น ขณะที่มอร์แกนฯตั้งเป้าหุ้น ปตท. 470 บ. ส่วนบ้านปู 475 บาท

ตลาดหุ้นไทยปีนี้ปรับตัวขึ้นแรงมาจากหุ้นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคเป็นหลัก โดยในช่วง 10 เดือนแรกปี 2550 (ข้อมูล ณ 29 ต.ค.) ตลาดโดยรวมมีมูลค่าราคาตลาด (market capitalization) เพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 2549 ที่อยู่ 5.08 ล้านล้านบาท ขึ้นมาเป็น 7.05 ล้านล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของมาร์เก็ตแคปหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้นถึง 1.14 แสนล้านบาท

สำหรับกลุ่มพลังงานขณะนี้มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 2.57 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 2549 อยู่ที่ 1.43 ล้านล้านบาท แรงซื้อขายในหุ้นกลุ่มนี้มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26.48% ของปริมาณการซื้อขายตลาดรวม จากปี 2549 ที่มีสัดส่วนซื้อขายอยู่เพียง 18.95% ของปริมาณการซื้อขายตลาดรวม ส่งผลให้ปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น 38.79% มาปิดที่ 915.03 จุด (จาก 659.25 จุด ณ 3 ม.ค.2550) ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 1.07 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนต่างชาติปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40%

โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนหลังนี้ (ก.ย.-ต.ค.) หุ้นกลุ่มพลังงานขึ้นแรงมาก จากแรงหนุนเก็งกำไรราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง จนทำให้สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของหุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 35.6% ของปริมาณการซื้อขายตลาดรวม หุ้นใหญ่หลักๆ ในกลุ่มนี้ปรับราคาขึ้นพรวดพราดทั้ง ปตท., ปตท.สผ. และบ้านปู ที่ปรับขึ้น 41%, 36% และ 60% ตามลำดับ ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปหุ้นพลังงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.57 ล้านล้านบาท จากที่ 31 ส.ค.2550 มีมาร์เก็ตแคปเพียง 1.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 6.4 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยมีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นเป็น 7.05 ล้านล้านบาท จาก 31 ส.ค.2550 ตลาดมีมาร์เก็ตแคปที่ 6.28 ล้านล้านบาท โดยมาร์เก็ตแคปที่ปรับขึ้น 7.7 แสนล้านบาท เป็นการเพิ่มขึ้นของมาร์เก็ตแคปกลุ่มพลังงานเป็นหลักถึง 80%

ปรับเป้าหุ้นพลังงาน

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอมรับว่าหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมาแรงหลายตัว ซึ่งตรงกับทางมอร์แกน สแตนเลย์มองมาก่อนหน้านี้ว่า ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นสูงตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันเท่าเดิม บวกกับเศรษฐกิจสหรัฐชะลอลง ยิ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้น จะยิ่งกดดันค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ความต้องการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐลดน้อยลง ซึ่งส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดภูมิภาคนี้รวมถึงตลาดหุ้นไทย เพื่อมาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มน้ำมัน โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2551 ถึง 10% จึงให้เป้าราคาหุ้น ปตท. 470 บาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 440 บาท, บ้านปู 475 บาท จากปัจจุบันที่อยู่ 170 บาท และไทยออยล์ 104 บาท จากปัจจุบันที่อยู่ 97.50 บาท

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8-11 ตุลาคม 2550 บริษัทได้เชิญมอร์แกนฯเยี่ยมบริษัทจดทะเบียนไทยและวิเคราะห์ให้ทางสถาบันในประเทศไทยฟัง ได้ให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มพลังงานมากที่สุด นอกจากนี้ยังมองว่า แม้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัว แต่ไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรงจนถึงติดลบ และที่สำคัญใน 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกไม่ได้พึ่งพิงตลาดอเมริกา 100% เหมือนอดีต แต่มีการกระจายมายังเอเชียมากขึ้น ทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่เป็นตลาดซื้อขายขึ้นมาแทนที่ ดังนั้นเศรษฐกิจโลกจึงไม่ได้ถูกกระทบมากนัก

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตอนนี้พอร์ตการลงทุนในหุ้นของไอเอ็นจีซื้อหุ้นเต็มพอร์ตแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำกว่า 800 จุด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะยังปรับขึ้นแรง ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานยังลงทุนได้อีก 2-3 ปี

"ตอนนี้กองทุนหุ้นในไทยส่วนใหญ่มีผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ 30-40% ถือว่าชนะตลาด ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาดัชนีอยู่ที่ 700 จุด นักลงทุนกลัวเลยมีการขายเอากำไรออกไปบ้าง แต่ปรากฏว่าดัชนีกลับขึ้นไปที่ 800-900 จุด แต่นักลงทุนก็ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนเพราะกลัวว่าจะสูงเกินไป กลุ่มที่ยังเห็นว่าน่าลงทุนนอกจากกลุ่มพลังงานก็มองกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อย่างถ่านหิน ทองคำ และเหล็ก" นายมาริษกล่าว

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย มองว่าถ้าวัดความน่าลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานของไทย จะพบว่าอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของกลุ่มพลังงานไทยยังถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในแถบภูมิภาคนี้ ประกอบกับช่วงนี้ยังมีแรงซื้อจากนักลงทุนในแถบตะวันออกกลาง เพราะเมื่อมีการทำกำไรราคาน้ำมันกันในตลาดโลก ต่างเห็นทางเดียวกันว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ไม่อยากถือครองเงินดอลลาร์เก็บไว้ จึงหันมาเปลี่ยนเป็นลงทุนในตลาดหุ้นแทน โดยเลือกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เป็นหลัก

ธปท.เกาะติดน้ำมันพุ่ง 2 เดือนนี้

นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ ยังอยู่ในกรอบที่ ธปท.กำหนดไว้ แต่คงต้องติดตามดูว่าราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือใน 2 เดือนนี้ ถ้าราคาน้ำมันยังเคลื่อนไหวในระดับสูง อาจกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งต่อไปวันที่ 4 ธันวาคม 2550 คงพิจารณาปัจจัยต่างๆ ประกอบกันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สำหรับไตรมาส 4 นี้ ธปท.จะใช้สมมติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ย 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 4.4% แต่หากราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เศรษฐกิจจะขยายตัวลดลงอยู่ที่ 4.3%

สศอ.ชี้ราคาน้ำมันกระทบอุตฯ 760 ล้านบาท

ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำมันที่มีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมว่า เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 1% ผลกระทบทำให้อัตราการเติบโต (GDP) ภาคการผลิตลดลง 0.09% ตั้งแต่ต้นปี 2550 ถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น 57% ส่งผลให้ GDP ภาคการผลิตลดลง 5.1% หรือประมาณ 86,603 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 น้ำมันเพิ่มขึ้น 3.8% GDP ภาคการผลิตลดลงประมาณ 0.34% หรือประมาณ 760 ล้านบาท

อุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเป็นพลังงานเชื้อเพลิงหลักๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ใช้เตาอบ และเตาเผาได้รับผลกระทบประมาณ 5.6%, เซรามิก 2.37%, กระดาษ 1.32%, คอนกรีต ซีเมนต์ 1.18%, เบียร์ 1.14% ขณะที่ภาคการขนส่งที่ต้องใช้น้ำมันเป็นหลักได้รับผลกระทบถึง 70%
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/11/07

โพสต์ที่ 153

โพสต์

น้ำมันโลกหมดยุค "ของถูก" เฮดจ์ฟันด์เดิมพัน 100 ดอลล์

ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบโลกจะถูกแรงเทขายทำกำไรระยะสั้น สกัดราคาไม่ให้ทะยานเร็วเกินไป แต่นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์คาดการณ์ตรงกันว่า ระดับราคายังมีโอกาสวิ่งขึ้นไปได้อีก และระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตลาดโลกในระยะหลังๆ กลับผูกติดกับการตัดสินอนาคตดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกลางสหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์อ่อน และแรงเก็งกำไรของกองทุนบริหารความเสี่ยง (hedge fund)

เว็บไซต์ CNNMoney.com เสนอมุมมองผ่านบทวิเคราะห์เรื่อง "How a Fed rate cut raises oil prices" โดยได้โยงการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐเข้ากับแนวโน้มการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน ดังที่ อดัม ไซมินสกี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงาน ของธนาคารดอยช์ แบงก์ ตั้งข้อสังเกตว่า หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยลง มีความเป็นไปได้ที่จะผลักราคาน้ำมันให้สูงขึ้น

เขาอธิบายถึงเหตุผลที่อัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ประการแรก เป็นเพราะอัตราดอกเบี้ย เป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยถูก จะทำให้เงินที่กู้ยืมมาลงทุนถูกลง ประกอบกับเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ก็มีแนวโน้มจะกระตุ้นให้คนใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในตลาดจึงมีแต่คำสั่งซื้อหนุนเข้ามา เพราะเชื่อว่าดีมานด์น้ำมันจะเพิ่มขึ้น

อีกประการหนึ่ง ไซมินสกีบอกว่า โดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยต่ำ มักกระทบต่อดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง เนื่องจากจะทำให้การลงทุนในสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ไม่น่าลงทุนในสายตานักลงทุนต่างประเทศ

ประกอบกับโดยปกติ น้ำมันก็ไม่แตกต่างจากสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ ดังนั้น หากราคาดอลลาร์ยิ่งอ่อนลง ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อาทิ กลุ่มโอเปก ต้องการให้ราคาน้ำมันต่อบาร์เรลสูงขึ้นเพื่อรักษาระดับรายได้ให้คงเดิม ซึ่งในทางปฏิบัติ ประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถควบคุมราคาได้โดยตรง แต่จะใช้วิธีควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมัน ถือเป็นเรื่องปกติที่ในช่วงดอลลาร์อ่อน ผู้ผลิตมีแนวโน้มจะไม่เพิ่มการผลิต แม้แต่ในฝั่งของประเทศผู้บริโภค พวกเขาไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะลดการบริโภคน้ำมันหากดอลลาร์อ่อนทำให้การนำเข้าถูกลง (เมื่อเทียบเป็นเงินสกุลท้องถิ่น)

ในอีกมุมหนึ่ง แรงทะยานของราคาน้ำมันยังมาจากแรงเก็งกำไรของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อาหรับนิวส์ อ้างมุมมองของ ฟรานซิส ฮัดสัน จากสแตนดาร์ด ไลฟ์ อินเวสต์เมนต์ ที่ระบุว่า ในขณะนี้มีแรงเก็งกำไรจำนวนมากจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ล้วนแต่พุ่งเป้าไปที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งหากภาวะผันผวนในตลาดลดลงไปมากพอ พวกเขาจะหยุดเล่น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางหลายแห่งได้อัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดการเงินเพื่อลดวิกฤตการณ์สินเชื่อ และมีความเป็นไปได้ว่า ส่วนใหญ่ของเงินเหล่านั้นได้ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ตลาดโภคภัณฑ์ล่วงหน้า และพลังงาน

ราคาน้ำมันดิบโลกเริ่มทำสถิติใหม่ ทะลุ 92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่หากนับจากต้นเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นกว่า 30%

อย่างไรก็ตาม หากบวกรวมอัตราเงินเฟ้อเข้าไปในราคา พบว่าราคายังอยู่ต่ำกว่า 101 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2523 (ราคาคำนวณใหม่ โดยประเมินจากมูลค่าดอลลาร์ ณ ปัจจุบัน)

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ราคา น้ำมันมีแนวโน้มจะพุ่งแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ดัง เดวิด มัวร์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ล่วงหน้า จากธนาคารคอมมอนเวลท์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย ที่ยอมรับว่า แม้โดยส่วนตัว จะไม่เชื่อว่าราคาจะไปได้ไกลถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ อะไรก็สามารถเป็นไปได้
http://matichon.co.th/prachachat/prachachat.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/11/07

โพสต์ที่ 154

โพสต์

ย้ำโรงฯถ่านหิน จำเป็นต้องเกิด ดีกว่าซื้อมาใช้

โพสต์ทูเดย์ ปิยสวัสดิ์ ย้ำลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินในไทยดีกว่าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแล้วซื้อกลับเข้ามาใช้ในไทย


นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง นโยบายพลังงานไฟฟ้ากับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับราคาขึ้น 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในระยะนี้ เป็นปรากฏการณ์ขึ้นราคาที่ไม่เห็นมานานแล้ว และต้องยอมรับว่าไทยกำลังเผชิญกับภาวะน้ำมันราคาแพง ซึ่งการแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น ต้องเลิกคิดการช่วยเหลือประชาชนในช่วงสั้นๆ เพราะเมื่อน้ำมันแพง แก๊สแพง คนต้องประหยัด ส่วนรัฐบาลก็เร่งพัฒนาระบบขนส่งและระบบราง

ทั้งนี้ ในระยะสั้น ไทยยังไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในไทยเพิ่มได้ ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คงต้องไปสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา แล้วส่งเข้ามาขายในไทย ถึงเวลานั้นแล้วคนไทยคงเสียดายที่ไม่ลงทุนในไทย ตั้งแต่แรก

ประเทศไทยมีมาตรฐาน สิ่งแวดล้อมด้านพลังงานทั้งจากรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมันสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย แต่มีประชาธิปไตยที่เบ่งบาน เมื่อโรงไฟฟ้าจะเกิดขึ้นก็มีแรงคัดค้านสูง ทั้งที่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าสมัยใหม่มีมาตรฐาน สิ่งแวดล้อมในระดับสูง และมีการ จัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลพื้นที่รอบ โรงไฟฟ้าด้วย นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

ในส่วนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาดูแล ซึ่งภายใน 3 ปีจากนี้จะเป็นการเตรียมการเรื่องสถานที่ตั้ง กฎหมาย และบุคลากร และหวังว่าจะมีคำตอบชัดเจน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201399
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 155

โพสต์

น้ำมันดิบนิวยอร์ก ปิดเข้าใกล้ 96 เหรียญที่นิวยอร์ก และ 92 เหรียญที่อังกฤษ

ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบร็นท์ อังกฤษ ทะยานสูงขึ้นต่อเนื่องในสุดท้ายของการซื้อขายสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยราคาปิดของทั้ง 2 ตลาดสำคัญ กลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ทะยานขึ้นปิดที่บาร์เรลละ 95.93 เหรียญ พุ่งขึ้นกว่า 2 เหรียญ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ปิดทะลุกว่าบาร์เรลละ 92 เหรียญเป็นครั้งแรก โดยซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 92.21 เหรียญ ก่อนจะอ่อนตัวเล็กน้อยมาปิดที่ 91 .92 เหรียญ เพิ่มสูงขึ้นถึง 2.4%

ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 63% จากต้นปีถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบร็นท์ อังกฤษทะเลเหนือ ทะยานพุ่งเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 2 พ.ย.ไม่เพียงเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 ปี และ 19 ปี ตามลำดับ แต่ยังทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 40% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน และทะยานขึ้น 63% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญเกิดจาก ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ไม่มีสัญญาฯแข็งค่าขึ้นในระยะยาวแต่อย่างใด และตัวเลขการจ้างงานเมื่อวันศุกร์ที่ออกมาดี ทำให้ตลาดมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังดีอยู่

http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 156

โพสต์

สถานการณ์ราคาน้ำมัน

5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:58:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

   น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 1.83 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก

    ตลาดทวีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตสินเชื่อของสหรัฐอเมริกา หลังจากบริษัทโบรกเกอร์หลายแห่งปรับลดอันดับความน่าลงทุนของ 2 ธนาคารชั้นนำของสหรัฐฯ สาเหตุจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารดังกล่าวต้องขายสินทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อเพิ่มทุน

    ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางชของสหรัฐฯ จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือน ธ.ค.

    นักวิเคราะห์ทางด้านพลังงานกล่าวว่า นักค้าน้ำมันจะยังคงเทขายทำกำไรระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้ายังคงอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่า ราคาอาจจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 2-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลไปอีกระยะหนึ่ง

    มีการคาดการณ์ว่า สภาพอากาศในเดือน ต.ค. ในปีนี้จะค่อนข้างอบอุ่น และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ฤดูหนาวในปีนี้จะอบอุ่นกว่าปกติและอาจจะหนาวเย็นไม่นานนัก

    อย่างไรก็ตาม ตลาดทวีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังจาก EIA ประกาศว่า อุปทานน้ำมันดิบในตลาดอาจจะอยู่ในภาวะตึงตัวในช่วงต้นปีหน้า และอาจกดดันให้กลุ่มโอเปกต้องเพิ่มระดับเพดานการผลิต

    น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.72 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง

    โรงกลั่นของไต้หวันมีแผนจะลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซินสำหรับการส่งมอบเดือน ธ.ค. ในตลาดจร เนื่องจากมีแผนปิดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตน้ำมันเบนซินในเดือน ธ.ค. 50 - ม.ค. 51

    ตลาดน้ำมันเบนซินในภูมิภาคยังได้รับแรงสนับสนุนจากการลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน โดยจีนจะส่งออกน้อยลงและมีแนวโน้มว่าจะนำเข้าน้ำมันดังกล่าว ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังประจำสัปดาห์ของสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้น 8.9% มาอยู่ที่ระดับ 7.251 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ต.ค. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์

    น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.43 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง

    อุปสงค์น้ำมันอากาศยานในภูมิภาคเอเชียปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุปสงค์จากจีนและแถบตะวันตก เฉียงเหนือของยุโรป

    ปริมาณน้ำมันก๊าดคงคลังประจำสัปดาห์ของญี่ปุ่นปรับลดลง 5% มาอยู่ที่ระดับ 26.27 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ต.ค. ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำกว่าปริมาณน้ำมันดังกล่าวคงคลังเฉลี่ยในรอบ 4 ปี ส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องเริ่มสำรองน้ำมันดังกล่าวคงคลังเพิ่มขึ้น

    โรงกลั่นของไต้หวันยกเลิกการเสนอขายน้ำมันก๊าดและอากาศยานสำหรับการส่งมอบเดือน ธ.ค. หลังจากมีการปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นเป็นเวลา 3 สัปาดาห์ หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาน้ำมัน   ดีเซล : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.46 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง

     จีนนำเข้าน้ำมันดีเซลในปริมาณที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันดีเซลในประเทศ

    โรงกลั่นของไต้หวันจะลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือน ธ.ค. ลง 115,000 บาร์เรลจากปริมาณที่เคยส่งออกในเดือน พ.ย. เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคปรับลดลง

    ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังประจำสัปดาห์ของสิงคโปร์ปรับลดลง 0.7% มาอยู่ที่ระดับ 7.66 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ต.ค. เนื่องจากอุปสงค์จากจีนปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่เกาหลีใต้ลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดังกล่าว

    น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.37 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง

    ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันตกเข้ามาขายในภูมิภาคลดลงจากที่รายงานวันก่อนมาอยู่ที่ระดับ 1.4 ล้านตัน หลังจากมีเรือขนส่งน้ำมันเตา 2 ลำจะเดินเรือเข้ามาในภูมิภาคล่าช้ากว่ากำหนด โดยจะขนย้ายเข้ามาในเดือน ม.ค.

    มีปริมาณการซื้อขายน้ำมันเตาในตลาดค่อนข้างหนาแน่น โดยมีการซื้อขายน้ำมันเตาความหนืดสูงจำนวน 2 รายการ และน้ำมันเตาความหนืดต่ำจำนวน 1 รายการ รวมปริมาณทั้งสิ้น 60,000 ตันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันเตาคงคลังประจำสัปดาห์ของสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้น 15.3% มาอยู่ที่ระดับ 12.947 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ต.ค. เนื่องจากราคาน้ำมันดังกล่าวยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันเตาที่ใช้เติมเรือในตลาดสิงคโปร์ปรับลดลง

    ตลาดคาดการณ์ว่า จีนจะลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเตาลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 49 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาในภูมิภาคยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง

    ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/0 ... sid=199070
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 157

โพสต์

เริ่มลดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันวันนี้

โดย Post Digital 5 พฤศจิกายน 2550 11:05 น.

พลังงาน เริ่มวันนี้ ลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 40ส.ต./ลิตร เว้นเบนซิน95 เพื่อให้ผู้ค้าชะลอปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ และจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทางเลือกทดแทน

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนนท์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้ปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 40 สตางค์ต่อลิตรจากน้ำมันทุกผลิตภัณฑ์ ยกเว้นน้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ประกอบการจะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ชนิดเดียว แต่ะน่าจะมีการปรับขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ไปพร้อมกัน ส่วนการยกเลิกขายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ค้าแต่ละราย

รมว.พลังงาน กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกคาดว่ายังไม่ปรับลดลง ทำให้มีโอกาสที่ราคาน้ำมันในประเทศจะปรับขึ้นอีก ส่วนจะมีการลดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้นก็ต้องพิจารณาอีกครั้ง เพราะกองทุนน้ำมันฯ ยังมีภาระหนี้อีก 5,500 ล้านบาท แต่การปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวจะไม่กระทบแผนนำเงินไปสมทบการก่อสร้างรถไฟฟ้าในอนาคต เพราะคาดว่าจะสามารถใช้หนี้กองทุนน้ำมันฯ ได้หมดภายในเดือน ม.ค.51 จากเดิมที่คาดว่าจะใช้หนี้หมดในวันที่ 17 ธ.ค.50
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=201752
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 158

โพสต์

บล. บีฟิท ชี้หุ้นกลุ่มพลังงานยังสดใสหลังราคาผลิตภัณฑ์ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง

Posted on Monday, November 05, 2007
ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน-แรงเก็งกำไรหนุนราคาน้ำมันพุ่ง

นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. บีฟิท กล่าวผ่านรายการ Stock in Focus ว่า ราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่นักเก็งกำไรมักจะพิจารณาปัจจัยทั้ง 2 ข้อควบคู่กันก่อนตัดสินใจเข้าซื้อขาย โดยอาจสามารถจำแนกได้เป็น

- ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ภาวะอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในตลาดโลก สภาพดินฟ้าอากาศ ทั้งความหนาวเย็น การเกิดพายุ ปัจจัยด้านจิตวิทยาที่มีต่อข่าว และ ปัญหาความไม่สงบของประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มีผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลกโดยตรง เป็นต้น

- ปัจจัยทางเทคนิค โดยหากเส้นกราฟได้แสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันได้ปรับสูงขึ้นในระดับสูงแล้ว ก็จะมีการขายทำกำไรออกมา และหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็ถือเป็นสัญญาณเข้าซื้อ

ทั้งนี้ จากการเก็งกำไรในราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากหลังเกิดความไม่สงบในตะวันออกกลาง สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีแนวโน้มชะลอตัว เงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถคาดการณ์ได้โดยง่ายว่าราคาน้ำมันตามปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงมีมูลค่าเท่าไร อย่างไรก็ตาม จากการที่ค่าการกลั่นของปี 2550 ยังเป็นตัวเลขที่ดีเกินคาด โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง จะสะท้อนออกมาในผลประกอบการของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันในไตรมาส 3/50 ด้วย

คาดราคาก๊าซธรรมชาติ-ถ่านหิน-ปิโตรเคมียังทรงตัวในระดับสูงได้

สำหรับก๊าซธรรมชาตินั้น ที่ผ่านมามีราคาที่ผันผวนน้อยกว่าราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล แต่ก็เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับน้ำมันเตาด้วย ส่วนราคาถ่านหินยังมีราคาที่ดีมากตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่ของโลกในต่างประเทศเกิดปัญหาในกระบวนการผลิตและการขนส่ง ขณะที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้ถ่านหิน 40% ของปริมาณถ่านหินทั้งโลก ที่แม้ว่าจะมีเหมืองถ่านหินภายในประเทศแล้วก็ตาม แต่จีนก็ยังต้องนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้น และเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาถ่านหินยังคงทรงตัวในระดับสูงด้วย

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินนั้น ก่อนหน้านี้ได้มีกระแสคาดการณ์กันมานานแล้วว่า ราคาจำหน่ายโอเลฟินจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมาย เพราะยังคงทรงตัวในระดับสูง ซึ่งเกิดจากความต้องการใช้ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาด ทำให้ราคาโอเลฟินยังทรงตัวในระดับสูงต่อไปอีก ซึ่งการที่ราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะอิงตามราคาน้ำมัน จึงสามารถปรับลดราคาจำหน่ายได้ยากหากราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แนวทางการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมี จึงยังควรติดตามต่อไปว่า ปริมาณการผลิตใหม่จะล่าช้าออกไปอีกหรือไม่ รวมทั้งยังควรพิจารณาความต้องการใช้ในตลาดโลกด้วย เพราะจะมีผลโดยตรงต่อราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และอาจทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสในการเข้าลงทุนได้อีกด้วย

ส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดอะโรเมติกส์ มีวัตถุดิบเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันเช่นกัน จึงเกิดการควบรวมกิจการระหว่างบมจ. โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) และบมจ. อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) (ATC) กันขึ้น เพื่อให้สามารถใช้วัตถุดิบให้เกิดประโยชน์สูงสุด

กลุ่มพลังงานไทยโดยเฉพาะ PTT ยังมีพื้นฐานที่ดี

นายอนุพนธ์กล่าวว่า กลุ่มพลังงานของไทยในปัจจุบันยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่นักลงทุนก็ควรพิจารณาด้วยว่า บริษัทเหล่านี้จะมีการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศหรือไม่ เนื่องจากการจำหน่ายในประเทศจะมีต้นทุนต่ำกว่าส่งออก ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้ แต่การนำปัจจัยราคาน้ำมันมาพิจารณาเพียงอย่างเดียว ก็จะคาดการณ์ได้ยาก เพราะมีราคาผันผวนตามการเก็งกำไรที่มีขึ้นตลอดเวลา

สำหรับบมจ. ปตท. (PTT) และ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) นั้น ที่ผ่านมานักลงทุนได้เก็งกำไรในหุ้นตามราคาน้ำมันไปมากแล้ว ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนอาจมองว่า PTTEP มีรายได้จากการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จึงเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมัน แต่ที่ผ่านมา PTTEP มีค่าใช้จ่ายจากการทำประกันความเสี่ยงของราคาน้ำมัน ทำให้ผลประกอบการของ PTTEP อาจไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

ส่วน PTT นั้น ถือเป็นบริษัทใหญ่ที่รวมธุรกิจพลังงานหลายประเภทไว้ด้วยกัน ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะทำให้ PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจต้นน้ำ แต่ก็จะเสียประโยชน์จากธุรกิจปั๊มน้ำมันซึ่งเป็นธุรกิจปลายน้ำด้วย เพราะไม่สามารถขึ้นราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันได้ แต่การที่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ PTT ถือเป็นธุรกิจขนาดเล็ก จึงมีผลต่อกำไรสุทธิของ PTT น้อย ทำให้เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ขณะที่ PTT จะมีรายได้อิงกับค่าการกลั่นเป็นหลักมากกว่า ส่งผลให้ในปีนี้ PTT ได้รับผลดีจากโรงกลั่นน้ำมันค่อนข้างมาก นอกจากนี้ บริษัทปิโตรเคมีของ PTT ยังได้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์ขั้นปลายอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้ลดความเสี่ยงของธุรกิจลงได้

สำหรับมูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้น PTT นั้น บล. บีฟิทเคยทำประมาณการณ์ไว้ที่น้อยกว่า 400 บาท ส่วนราคาที่ซื้อขายกันในขณะนี้ถือเป็นราคาของปีหน้า ดังนั้น นายอนุพันธ์จึงแนะนำว่า เมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลงแล้ว ก็ควรขายทำกำไรหุ้นออกมาบ้าง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 159

โพสต์

กรมธุรกิจพลังงาน รุก NGV เต็มสูบ [ ฉบับที่ 842 ประจำวันที่ 3-11-2007 ถึง 6-11-2007]  
> เร่งพัฒนาคนและสถานประกอบการ

นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่ากรมธุรกิจพลังงาน ได้มีการส่งเสริมการใช้ NGV อย่างรอบด้าน โดยได้เปิดสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงานที่จังหวัดชลบุรี กำหนดโครงสร้างการพัฒนา NGV ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

1.ด้านการพัฒนาบุคลากร ซึ่งประกอบด้วย การผลิตช่างผู้ชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยกรมธุรกิจพลังงานจะเพิ่มจำนวนช่างผู้ชำนาญการ ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต พร้อมทั้งการรับสมัครประชาชนทั่วไป เพื่อเข้าอบรม ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ซึ่งตั้งเป้าหมายจะผลิตบุคลากรเพิ่มขึ้น 400 คน ภายในปี 2551 (โดยจากผลการดำเนิน การที่ผ่านมา มีจำนวนช่างที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว 480 คน) การผลิตวิทยากรติดตั้งอุปกรณ์ NGV (Training the Trainer) เพื่อขยายขีดความสามารถในการฝึกอบรมช่างติดตั้งฯ โดยตั้งเป้าหมายฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 150 คน เพื่อไปเป็นครูสอนช่างติดตั้ง และกระจายทั่วประเทศ ภายในปี 2551 และการผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV โดยจะเพิ่มจำนวนสถานีตรวจ และทดสอบไปทั่วประเทศ (เน้นที่จังหวัดที่มีสถานี NGV ตั้งอยู่) ปัจจุบันได้มีบันทึกความตกลงร่วมกับทางสำนักงานคณะกรรม การการอาชีวศึกษา และกรมการขนส่ง ทางบก ตั้งเป้าหมายมีวิทยาลัยเทคนิคเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 35 จังหวัด

2.ด้านการพัฒนากฎหมาย และกฎระเบียบ ได้แก่ โครงการพัฒนากฎหมาย อาทิ การปรับปรุงกฎหมายสถานีบริการ NGV ร่างกฎหมายเกี่ยวกับสถานี LCNG และการใช้ LNG ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการขนส่งก๊าซธรรมชาติ และร่างกฎหมายเกี่ยวกับคุณภาพก๊าซ NGV การปรับปรุงกฎระเบียบจัดตั้งศูนย์ทดสอบอุปกรณ์ NGV เพื่อจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อทำหน้าที่ทดสอบอุปกรณ์ถัง NGV ให้กับภาคราชการและเอกชนขึ้นเป็นแห่งแรกของ ประเทศไทย โดยจะทำการตรวจรับรองถังและอุปกรณ์ NGV ตามกฎหมาย (ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคารและการจัดหาเครื่องมือของ ผู้รับจ้าง)

3.ด้านการพัฒนาภาคธุรกิจ ได้แก่ การรับรองมาตรฐานให้กับสถาน ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก และ ปตท. ในการตรวจสอบ และรับรองสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยปัจจุบันมีการรับรองจากทางกรมฯ แล้ว จำนวน 21 แห่ง และภายในปี 2551 คาดว่าจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ทั่วประเทศ การติดตั้งรถราชการ ในระยะที่ 2 ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีรถที่เข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 900 คัน นอกจากนี้ยังมีนโยบายสนับสนุนการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ใช้ LPG เป็น NGV อีก 50,000 คัน โดยจะดำเนินการติดตั้งฟรี รวมทั้งการเพิ่มจำนวนสถานีและอู่ติดตั้งมาตรฐาน NGV เพิ่มขึ้นด้วย  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=8372
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 160

โพสต์

สหรัฐปรับประมาณการราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ข่าว 12.00 น.

Posted on Wednesday, November 07, 2007
รัฐบาลสหรัฐปรับเพิ่มประมาณการราคาน้ำมันดิบที่ตลาดเวสต์เท็กซัสเฉลี่ยในปีนี้อีก 3.7% มาอยู่ที่ 71.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล พร้อมกันนี้ยังปรับประมาณการ ราคาน้ำมันดิบในปีหน้ามาอยู่ที่ 79.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 8.7% จากการประมาณการไว้เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ที่ 73.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

กระทรวงพลังงานสหรัฐยังระบุในรายงานแนวโน้มพลังงานระยะสั้นประจำเดือนว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะยังคงมีแนวโน้มที่จะยืนสูงกว่าระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปอีกหลายเดือน เนื่องจากความต้องการน้ำมันจากทั่วโลกยังสูงกว่าปริมาณอุปทาน

สำหรับปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.5% และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวปีนี้ที่ต่ำกว่าปีก่อน

ขณะที่ราคาน้ำมันเตาในฤดูหนาวปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1,841 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 26% จากช่วงฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 900 ดอลลาร์ต่อ 1 พันลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงฤดูหนาวปีที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 161

โพสต์

น้ำมันดิบทะลุกว่า 97 เหรียญ ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

Posted on Wednesday, November 07, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์ก สูงสุดระหว่างวันทะลุ 97.10 เหรียญ เบรนท์ ทะลุ 93.56 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ทะยานสูงขึ้นสร้างสถิติเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ทั้งราคาปิด และราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันของทั้ง 2 ตลาดสำคัญ น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน พุ่งขึ้นทะลุบาร์เรลละ 97.10 เหรียญ ก่อนอ่อนตัวลงเล็กน้อยมาปิดที่บาร์เรลละ 96.70 เหรียญ พุ่งขึ้นเกือบ 3 เหรียญ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษ พุ่งขึ้นสูงสุดระหว่างวันทะลุบาร์เรลละ 93.56 เหรียญ ก่อนอ่อนตัวเล็กน้อยมาปิดที่ 93.26 เหรียญ เพิ่มสูงขึ้นเฉียด 3 เหรียญ

น้ำมันดิบนิวยอร์ก อาจใกล้เคียงในปี 1980 เมื่อคิดรวมเงินเฟ้อปัจจุบัน
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ทะยานพุ่งเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่เพียงเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 ปี และ 19 ปี ตามลำดับ แต่ยังทำให้ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ อาจเป็นราคาที่ใกล้เคียง หรืออาจเป็นราคาที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อไม่นับรวมค่าเงินเฟ้อ โดยเปรียบเทียบย้อนกลับไปในปี 1980 ในยุคปฏิวัติที่ประเทศอิหร่าน นอกจากนี้ ราคาปิดคืนที่ผ่านมายังพุ่งขึ้นถึง 39% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน และทะยานขึ้น 58% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนนี้

น้ำมันดิบนิวยอร์ก กลับพุ่งขึ้น 58% ตั้งแต้ต้นปี และเกือบ 5 เท่าในรอบ 6 ปี
เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินที่แตกต่างกัน และอัตราการอ่อนค่าลงของเงินเหรียญสหรัฐ บนราคาปิดเมื่อคืนที่ผ่านมาของทั้งตลาดนิวยอร์กสหรัฐ จะพบว่า ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อคืนนี้ ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 20% สกุลเงินเหรียญยูโร เพิ่มขึ้น 44% สกุลเงินเยนญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 52% และสกุลเงินปอนด์สเตอริง เพิ่มขึ้น 49% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญ ถีบตัวสูงขึ้นเกือบ 5 เท่า นับตั้งแต่ปี 2002 หรือปี 2545 หรือในรอบ 6 ปีจนถึงเมื่อคืนนี้

2 โรงกลั่นยักษ์ในทะเลเหนือลดการผลิต หวั่นพายุถล่มหนัก
สาเหตุสำคัญเกิดจาก การพยากรณ์คลื่นทะเลที่จะมีความสูงถึง 36 ฟุต ซึ่งเกิดจากพายุก่อตัวในบริเวณทะเลเหนือ พัดเข้าบริเวณแหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบ ทำให้บริษัท บีพี ออยล์ และบริษัท โคโนโค่ ฟิลลิปส์ ตัดสินใจหยุดการผลิต และอพยพคนงานจำนวน 150 คน ออกจากแท่นขุดเจาะอย่างฉุกเฉิน ทั้งนี้ แหล่งขุดเจาะและผลิตน้ำมันในทะเลเหนือ มีกำลังการผลิตวันละ 4.4 ล้านบาร์เรลในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกำลังการผลิตที่มีมากกว่ากำลังการผลิตของประเทศอิหร่านทั้งประเทศ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ในกลุ่มโอเปก

คาด น้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลงอีก และค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ 2 เกิดจากการคาดการณ์ว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐ ที่จะประกาศในค่ำคืนนี้ตามเวลาในประเทศไทย อาจลดลงอีกมากถึง 1.5 ล้านบาร์เรล หลังจากที่ในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ลดลงเหนือความคาดหมายมากถึง 9 แสนบาร์เรล ด้านโรงกลั่นน้ำมันของรัฐวิสาหกิจเพร็มเม็กซ์ในเม็กซิโก ยังคงลดดำลังการผลิตต่อเนื่อง และค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ไม่มีสัญญาฯแข็งค่าขึ้นในระยะยาวแต่อย่างใด โดยยังคงทำสถิติอ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญเมื่อคืนที่ผ่านมา

อีไอเอ ชี้ ราคาเฉลี่ยน้ำมันทั้งปีนี้เพิ่มขึ้นเฉียด 80 เหรียญ
นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานสารสนเทศสหรัฐ หรืออีไอเอ เปิดเผยการคาดการณ์เกี่ยวกับปริมาณน้ำมันดิบที่กลุ่มประเทศชั้นนำอุตสาหกรรมใช้อยู่นั้น พบว่า จะมีปริมาณลดต่ำลงมากถึง 20 ล้านบาร์เรลในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำสุดในค่าเฉลี่ยรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น อีไอเอ ยังตัดสินใจปรับเพิ่มขึ้นราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบตลอดทั้งปีนี้ใหม่ จากเดิมที่ระดับบาร์เรลละ 73.50 เหรียญ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆจากกลุ่มโอเปก หลังราคาน้ำมันดิบทะลุสูงกว่า 97 เหรียญสหรัฐ

ไอเอ็มเอฟ มั่นใจ น้ำมันเหนือกว่า 97 เหรียญ กระทบเศรษฐกิจโลกวงจำกัด
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทั่วโลก ซึ่งทะยานพุ่งสูงขึ้นกว่า 97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในขณะนี้ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงจำกัดเท่านั้น เนื่องจาก แม้ค่าเงินเหรียญสหรัฐ จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่กองทุนประกันความเสี่ยง หรือเฮ็ดจ์ฟันด์ ใช้ตัดสินใจเข้าเก็งกำไรแทนตลาดเงิน แต่ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลง กลับทำให้ประเทศที่ต้องสั่งซื้อน้ำมันดิบในราคาถูก และโครงสร้างเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน มีทางเลือกในการใช้พลังงานทั้งทดแทน เมื่อเปรียบเทียบกับในยุคปี 1970
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 162

โพสต์

กลุ่มต้านโรงไฟฟ้า ยื่น สนช แก้ไขร่างพระราชบัญญัติกิจการพลังงานในประเด็นบทลงโทษ ระบุจำกัดสิทธิเสรีภาพ

Posted on Wednesday, November 07, 2007

นายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำกลุ่มต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และสมาชิกกว่า 200 คน จาก จ.ราชบุรี กลุ่มรักษ์แม่บาง ,กลุ่มบางปะกงรักบ้านเกิด ,เครือข่ายคนรักแม่กลอง ,เครือข่ายประชาชน จ.ระยองเป็นต้น ได้เข้ายื่นหนังสือถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ระบุให้ สนช. ช่วยปรับปรุงและแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน ที่เข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 ของ สนช.แล้ว โดยให้เหตุผลว่า หลังจากที่ได้ศึกษารายละเอียดของกฎหมายฉบับใหม่แล้ว พบว่า ในมาตรา 134 กระทรวงพลังงานได้ร่างข้อความเอาไว้ว่า ผู้ใดกระทำการให้เกิดการรบกวน หรือขัดขวางต่อการประกอบกิจการพลังงานที่ได้รับใบอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งข้อความดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ซึ่งบัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นการส่อเจตนาของรัฐในการสร้างเครื่องมือจำกัดการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกิจการพลังงาน จึงเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกำหนดบทลงโทษ และจำกัดสิทธิของประชาชนเป็นกรณีพิเศษในกฎหมายการประกอบกิจการพลังงานอีก

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายอีกหลายฉบับ ที่บังคับใช้อยู่แล้ว โดยเน้นไปที่ประเด็นบทลงโทษประชาชนที่กระทำผิด ไม่ว่าจะป็น พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พระราชบัญญัติการปิโตรเลียม หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 มาตรา 363 มาตรา 364 และมาตรา 370  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 163

โพสต์

อินโดฯเล็งจำกัดการขายน้ำมันให้ผู้ใช้รถ ข่าว 18.00 น.

Posted on Wednesday, November 07, 2007
นายปาสคาห์ ซูเซตต้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนเพื่อการพัฒนาอินโดนีเซีย บอกว่า อินโดนีเซียอาจพิจารณาจำกัดการจำหน่ายน้ำมันให้กับรถส่วนบุคคล หากไม่สามารถแบกรับการให้เงินชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันได้ หลังราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นใกล้แตะระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และการผลิตน้ำมันในประเทศยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.03 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่หากการผลิตน้ำมันเป็นไปตามเป้าหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการกล่าว

ทั้งนี้ อินโดนีเซียคาดว่า ในปีนี้รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันตามสูงถึง 90 ล้านล้านรูปี หรือ 9.9 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/11/07

โพสต์ที่ 164

โพสต์

น้ำมันดิบนิวยอร์ก แตะสูงสุด 98.62 เหรียญ เป็นประวัติการณ์
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ยังคงทะยานสูงขึ้นสร้างสถิติเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เฉพาะในส่วนของราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายสูงสุดระหว่างวันคืนที่ผ่านมา พุ่งขึ้นทะลุบาร์เรลละ 98.62 เหรียญ ก่อนอ่อนตัวลงพอสมควรมาปิดที่บาร์เรลละ 96.37 เหรียญ ส่งผลราคาปิดคืนที่ผ่านมายังคงเพิ่มขึ้นถึง 40% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงคืนที่ผ่านมา นักวิเคราห์มองว่า เป็นการปรับฐานเพื่อการไต่ระดับขึ้นครั้งใหม่

ไออีเอ ชี้ ราคาน้ำมันดิบอาจแตะ 159 เหรียญใน 23 ปีหน้า
ราคาน้ำมันดิบคืนที่ผ่านมา เมื่อคิดรวมกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน พบว่า มีราคาเท่ากับบาร์เรลละ 100.70 เหรียญ ในปี 1980 หรือในยุคปฏิวัติอิหร่าน ซึ่งเป็นการทำลายสถิติเดิมลงอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) โดยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ นายฟาทิช ไบรัล เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า หากปัจจัยต่าง ๆ ยังคงรุมเร้าต่อไป โดยเฉพาะความต้องการในการใช้น้ำมันดิบทั่วโลก จะทำให้ราคาน้ำมันดิบดังกล่าวพุ่งขึ้นไปถึง 159 เหรียญสหรัฐ ในอีก 23 ปีข้างหน้า หรือในปี 2023
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/11/07

โพสต์ที่ 165

โพสต์

เบนซิน 95 ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ที่ 31.69 บาท

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน แจ้งว่า บริษัทเชลล์ ปิโตรนาส และซัสโก้ 3 บริษัทผู้ค้าน้ำมัน ได้ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 อีกลิตรละ 50 สตางค์ มีผลวันนี้ หลังราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์ทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ค่าการตลาดสำหรับเบนซิน ออกเทน 95 ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ของทั้ง 3 บริษัท น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 อยู่ที่ 31.69 บาท/ลิตรทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

ส่วนราคาน้ำมันประเภทอื่นยังคงเดิม โดยราคาขายปลีก ดีเซล อยู่ที่ลิตรละ 28.14 บาท,เบนซิน ออกเทน 91 อยู่ที่ 30.39 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 27.69 บาท

นายศัลยา สุคนธทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายราคาการตลาดขายปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด บอกว่า บริษัทจำเป็นต้องขึ้นราคาเบนซิน 95 อีกลิตรละ 50 สตางค์ เพราะการที่รัฐลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในน้ำมันประเภทอื่นๆ 40 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นเบนซิน 95 ส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการขายเบนซิน 95 ทุกลิตร ลิตรละ 2 บาท และสถานการณ์น้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ โดยเฉพาะเบนซิน 95 ตั้งแต่วันที่ 1-7 พฤศจิกายน ปิดที่ 99.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นถึง 5.6 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.23 บาท สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง พายุในอ่าวเม็กซิโกและทะเลเหนือ ตลอดจนฤดูหนาวที่กำลังมาถึง

ด้านนายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บอกว่า ปตท.ยังไม่ขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในวันนี้ แม้ค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งเบนซินและดีเซลติดลบลิตรละ 55 สตางค์ ส่งผลให้ ปตท.ต้องรับภาระขาดทุน 60 ล้านบาทต่อวัน แต่แนวโน้มคงต้องปรับขึ้นไม่เกินสัปดาห์นี้และปรับขึ้นทุกตัว ทั้งเบนซินและดีเซล ส่วนการที่เชลล์นำปรับขึ้นไปก่อนคงเป็นเพราะรับภาระไม่ไหวแล้ว

แหล่งข่าวจาก ปตท. ระบุว่า การลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของกระทรวงพลังงานช่วยชะลอการปรับราคาขายปลีกเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์น้ำมันตลาดโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และหากราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ช่วง 1-2 วันปรับเพิ่มขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ค้าน้ำมันต้องขึ้นราคาในปลายสัปดาห์นี้ทุกชนิด 40 สตางค์ต่อลิตร

ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันมีค่าการตลาดน้ำมันดีเซลติดลบ 40-50 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่เบนซินยังบวก 50-60 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุนมาตลอด โดย ปตท.รับภาระการปรับราคาน้ำมันตั้งแต่ต้นปี 2,000 กว่าล้านบาท คาดปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 3,000 ล้านบาท เพราะถ้าปรับราคาขายปลีกเบนซินให้สะท้อนต้นทุนจริงต้องปรับเพิ่มอีกลิตรละ 2 บาท ส่วนดีเซลต้องปรับอีกลิตรละ 1.50 บาท หรืออยู่ในระดับลิตรละ 29.64 บาท ถ้าไม่คำนวณกรณีกองทุนน้ำมันฯ ลดเก็บเงินอีกลิตรละ 40 สตางค์ ราคาขายปลีกดีเซลอยู่ในระดับลิตรละ 30 บาท ส่วนเบนซิน 95 อยู่ที่ประมาณลิตรละ 33 บาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 166

โพสต์

กลุ่มโอเปก วอน เพิ่มความเข้มนักเก็งกำไรราคาน้ำมันดิบ
เลขาธิการกลุ่มโอเปก นาย อับดุลลาห์ อัล บาดรี เรียกร้อง ให้มีการเพิ่มมาตรการคุมเข้มในตลาดซื้อขายส่งมอบน้ำมันดิบ เพื่อเป้าหมายในการลดการเก็งกำไร เนื่องจาก ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดในขณะนี้ อยู่นอกเหนือการควบคุม ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปลงทุนของบรรดานักการเงิน และกองทุนต่างๆ นอกจากนี้ เลขาธิการกลุ่มโอเปก ยังกล่าวเสริมว่า ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับกำลังการผลิตที่คิดว่าจะขาดแคลนแต่อย่างใด ทั้งนี้ กลุ่มโอเปก จะมีการประชุมวาระประจำปีในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ คาดอาจหารือถึงสภาพตลาดด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 167

โพสต์

แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมัน

จากประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันพบว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2549 เป็นต้นมา กองทุนน้ำมันมีรายรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 4 พันล้านบาท/เดือน ขณะที่รายจ่ายซึ่งได้แก่ รายจ่ายชดเชยก๊าซ LPG และ ไบโอดีเซล (B100) มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันจะเป็นบวกประมาณกลางเดือน ธ.ค. 2550

ทั้งนี้ ได้มีการสะสมเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับใช้หนี้พันธบัตรงวดที่ 2 จำนวน 8.8 พันล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเวลาการจ่ายเงินคืนในเดือน ต.ค. 2551 ไว้ครบถ้วนแล้ว และมีการโอนให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 พันล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2550 ภายในเดือน ธ.ค. 2550 แล้ว

หลักการ ควรใช้เงินกองทุนน้ำมันไปสนับสนุนการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบการขนส่งที่ช่วยลดการใช้น้ำมันของประเทศ และที่ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงตามสัดส่วนของการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่
1) การสร้างระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่
2) การพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟ รวมถึงรถไฟรางคู่
3) การพัฒนาระบบสนับสนุนการขนส่งสินค้า (Logistic) เช่น การปรับปรุงท่าเรือและสร้างคลังสินค้า เป็นต้น


ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมไปจัดทำหลักเกณฑ์การพิจารณาโครงการระบบขนส่งที่จะนำมาพัฒนา และข้อเสนอแผนงานและกรอบงบประมาณของโครงการพัฒนาระบบการขนส่งที่ต้องการ เสนอต่อกระทรวงพลังงานเพื่อประกอบการพิจารณาของ กพช. ในการอนุมัติให้นำเงินกองทุนน้ำมันไปพัฒนาระบบขนส่ง

แนวทาง ปัจจุบันมีการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันของน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในระดับ 1.5-4 บาท/ลิตร โดยน้ำมันแก๊สโซฮอล์และน้ำมันไบโอดีเซล บี 5 จัดเก็บในระดับต่ำ ตามมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทดแทนที่ผลิตหรือหาได้ในประเทศ ผลการหารือได้ข้อสรุปแนวทางการบริหารกองทุนน้ำมันภายหลังการใช้หนี้หมดแล้ว โดยจะจัดสรรอัตราการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันในปัจจุบันออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1. ส่วนที่ 1 โอนอัตราการเก็บเงินกองทุนน้ำมัน ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดเก็บแทน ในอัตราประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจากส่วนนี้ ในระดับ 1 พันล้านบาทต่อเดือน เพื่อนำไปสนับสนุนการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ทั้งนี้ เมื่อกองทุนน้ำมันมีเงินสะสมถึง 1 หมื่นล้านบาท จะจัดสรรเงินเพิ่มให้อีก 20 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจะทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปสนับสนุนการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งถึง 1.4 พันล้านบาทต่อเดือน

2. ส่วนที่ 2 ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน

3. ส่วนที่ 3 ส่วนที่เหลือเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อ (ก) สะสมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินที่อาจจำเป็นต้องมีการตรึงราคาน้ำมันในช่วงสั้นๆ และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการชดเชยราคาก๊าซปิโตเลียมเหลว (ข) ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซลและเชื้อเพลิงสะอาดอื่นๆ (ค) เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติของกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

โครงการที่คาดว่าจะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุน

กระทรวงคมนาคมได้เสนอโครงการพัฒนาระบบขนส่งที่ขอให้งบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 10 โครงการ รวมเป็นเงินงบประมาณรวม 414,377 ล้านบาท โดยแยกเป็น

โครงการที่พร้อมดำเนินการได้ทันที (พ.ศ. 2550-2555) จำนวนเงิน 97,075 ล้านบาท

(1) โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวนเงิน 52,220 ล้านบาท

(2) ก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย จำนวนเงิน 7,648 ล้านบาท

(3) ปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ 5 และระยะที่ 6 จำนวนเงิน 14,607 ล้านบาท

(4) โครงการรถไฟชานเมือง ช่วงรังสิต-บ้านภาชี จำนวนเงิน 22,600 ล้านบาท

โครงการที่ต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม จำนวนเงิน 317,302 ล้านบาท

(1) ก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย จำนวนเงิน 69,860 ล้านบาท

(2) ปรับปรุงแนวทางรถไฟ (Realignment) จำนวนเงิน 21,810 ล้านบาท ช่วงศิลาอาสน์-ลำพูน, รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา จำนวนเงิน 125,352 ล้านบาท (Standard Gauge), ก่อสร้างและปรับปรุงทางรถไฟสายใต้ จำนวนเงิน 28,832 ล้านบาท

1) ก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายใต้ จำนวนเงิน 26,172 ล้านบาท ช่วงประจวบคีรีขันธ์-สุราษฎร์ธานี

2) ปรับปรุงทางสายกันตัง จำนวนเงิน 2,660 ล้านบาท

(5) ก่อสร้างและปรับปรุงทางรถไฟสายตะวันออก จำนวนเงิน 8,298 ล้านบาท แยกเป็น

1) ก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออก จำนวนเงิน 2,155 ล้านบาท ช่วงคลองสิบเก้า-ปราจีนบุรี

2) ปรับปรุงทางสายตะวันออก จำนวนเงิน 6,143 ล้านบาท

(6) โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย บ้านภาชี-นครราชสีมา จำนวนเงิน 63,150 ล้านบาท

นี่คือโครงการที่รัฐบาลมีแนวคิดจะนำกองทุนน้ำมันมาลงทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202519
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 168

โพสต์

BCPกำไรพุ่ง1,800%

โพสต์ทูเดย์ บางจาก ไตรมาส 3 กำไร 507 ล้านบาท กระโดด ขึ้น 1,801% ได้ดีน้ำมันแพงหนุน ค่ากลั่น 4.67 เหรียญ IRPC กำไร โต 18%


นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) กล่าวว่า ผลงานไตรมาส 3 ปี 2550 มีกำไรสุทธิ507.77 ล้านบาท โตขึ้น 1,801.64% จากงวดปีก่อนขาดทุนสุทธิ 29.84 ล้านบาท ขณะงวด 9 เดือนกำไรสุทธิ 1,346.48 ล้านบาท โตขึ้น 53.36% จากงวดปีก่อนกำไร 877.96 ล้านบาท

ผลงานที่ดีขึ้นอย่างมากเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลถึงภาวะอุปทานตึงตัวในช่วงไตรมาส 4 จากการก่อการร้ายและเข้าโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบหลายแห่งทั้งในประเทศไนจีเรียและเม็กซิโก กรณีความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกและปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐที่ต่ำกว่า คาดการณ์ทำให้น้ำมันดิบดูไบขึ้นมาอยู่ที่ 70.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากไตรมาส 2 อยู่ที่ 64.82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐทำให้กองทุนระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์) หันเข้ามาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้นและเป็นแรงผลักให้น้ำมันแพง จึงทำให้อัตราค่าการกลั่นเมื่อรวมกับกำไรจากสต๊อกน้ำมันของบริษัทขึ้นมาอยู่ที่ 4.67 เหรียญสหรัฐ จาก 2.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ การกลั่นเฉลี่ยขึ้นมาอยู่ที่ 7.13 หมื่นบาร์เรลต่อวันจากช่วงก่อนอยู่ที่ 6.04 หมื่นบาร์เรลต่อวัน

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังได้รับผลดีจากการขายน้ำมันเตาให้จีนโดยขายเฉลี่ยเดือนละ 100-120 ล้านลิตร และการที่ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นและราคาดีขึ้นด้วย และได้เซ็นสัญญาขายต่อไปจนถึงปี 2551

ด้านนายบรรลือ ฉันทาดิศัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบัญชีและการเงินบริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) กล่าวว่า ไตรมาส 3 ปี 2550 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,484.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.49% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,940.74 ล้าน บาท ขณะที่งวด 9 เดือนมีกำไร สุทธิ 11,507.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.66% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,948.64 ล้านบาท

บริษัทมีรายได้จากการขาย 55,640.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากงวดปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 54,545.29 ล้านบาท เพราะสามารถกลั่นน้ำมันดิบต่อวันเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.87 แสนบาร์เรลต่อวัน จากก่อนหน้าอยู่ที่ 1.84 แสนบาร์เรลต่อวัน และมี กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 3 จำนวนเงิน 510.04 ล้านบาท

นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) กล่าวถึงความคืบหน้าในการ ก่อสร้างหน่วยกลั่นส่วนขยายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 (Crude Distillation Unit 3 หรือ CDU-3) จะแล้วเสร็จในต้นเดือน ธ.ค. 2550 ซึ่งทำให้ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยกำลังกลั่นจะเพิ่มจาก 2.25 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่วนปิโตรเคมีกำลังการผลิตจะเพิ่มจาก 4.7 แสนตันต่อปี เป็น 9 แสนตันต่อปี ซึ่งจะทำให้ปีหน้าผลประกอบการจะเติบโตมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202771
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 169

โพสต์

แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีปี' 51 เผชิญความเสี่ยง...ภายใต้การแข่งขันที่สูงขึ้น

9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 14:38:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :   อุตสาหกรรมปิโตรเคมีถือเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐาน (Base Industry) ที่มีความสำคัญมากอุตสาหกรรมหนึ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ อุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมสิ่งทอ ชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ก่อสร้าง รวมไปถึงปุ๋ยในอุตสาหกรรมเกษตร นอกจากนั้นยังเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูง และก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกจำนวนมาก

   จากแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในประเทศไทยที่เฟื่องฟูสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 ถึงช่วงกลางปี 2549 และเริ่มชะลอตัวเข้าสู่วัฏจักรขาลงตั้งแต่ปลายปี 2549 เป็นต้นมา บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยในปี 2551 ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากหลากหลายด้าน แม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวจากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่นซึ่งมีแนวโน้มที่จะขยายตัวจากการเลื่อนเปิดดำเนินโครงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลายโครงการในประเทศจีน และการเริ่มดำเนินการตามข้อตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - ญี่ปุ่น แต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลกที่คาดว่าจะชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมาด้วยปัญหา subprime ในสหรัฐอเมริกาที่จะขยายผลกระทบสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตลอดจนอุปทานผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของประเทศต่างๆ รวมถึงแนวโน้มการแข็งค่าต่อเนื่องของค่าเงินบาทอันจะทำให้การแข่งขันยากลำบากขึ้น

ปัจจัยหนุน...ส่วนกระตุ้นการขยายตัวของอุตสาหกรรม

    แม้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2549 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยได้เข้าสู่วัฏจักรขาลง แต่ในปี 2551 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยอาจจะสามารถขยายตัวจากปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญดังนี้

ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในระดับขั้นต่างๆ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้น (แม้ว่าผลิตภัณฑ์ในสายโอเลฟินส์จะสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้ แต่ประเทศไทยยังใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตค่อนข้างต่ำ โดยใช้ผลิตเอทิลีนประมาณร้อยละ 23) ซึ่งจะสังเกตได้ว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น (upstream) ทั้งสายโอเลฟินส์ เช่น เอทิลีน และสายอะโรเมติกส์ เช่น เบนซีน มีความผันผวนของราคาในระดับสูงกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางและขั้นปลาย แต่ราคายังคงมีแนวโน้มเคลื่อนตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

  สำหรับราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง (intermediate) เช่น VCM และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย (downstream) เช่น HDPE และ ABS ราคาตลาดค่อนข้างทรงตัว ราคามีการปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบ (รายละเอียดแสดงในภาพที่ 1 2) ซึ่งจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในทุกปี จึงคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในทุกระดับขั้นจะมีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นตาม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายที่มีความผันผวนต่ำ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยรวม

   การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวโดยเฉพาะการส่งออกไปยังจีนและญี่ปุ่น ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีในประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศได้สูง ด้วยการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง  รวมทั้งการขยายสาย และระดับขั้นการผลิตให้มีความครบวงจรมากขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาประเทศไทยมีแนวโน้มการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางและขั้นปลายเกินดุลมากขึ้นเรื่อยๆ (รายละเอียดแสดงในตารางที่ 1) โดยผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นมีแนวโน้มขาดดุลการค้า จากการนำเข้าพาราไซลีนที่เพิ่มขึ้นมากเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศ และเพื่อเป็นวัตถุดิบในการ ผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางและขั้นปลาย

  ซึ่งในปีหน้ากำลังการผลิต  ผลิตภัณฑ์ขั้นต้นภายในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตทั้งเอทิลีนจำนวน 100,000 ตันต่อปี โพรพิลีนจำนวน 50,000 ตันต่อปี และพาราไซลีนประมาณ 160,000 ตันต่อปี จึงอาจบรรเทาปัญหาการนำเข้าลงไปได้เล็กน้อย แต่ยังคงต้องการการลงทุนขยายกำลังการผลิตในปริมาณที่สูง ขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีขั้นต้นมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากต่างประเทศได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อผลิตไว้ใช้ภายในประเทศเองเพิ่มมากขึ้น

  ซึ่งจากสถานการณ์การเลื่อนแผนการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีระดับต่างๆ ของจีน อาทิ การสร้างเอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 800,000 ตันต่อปี และหน่วยผลิตโพลิเอทิลีน โพลิโพรพิลีน และพาราไซลีน กำลังการผลิตรวม 300,000 400,000 และ 700,000 ตันต่อปีตามลำดับ ที่คาดว่าจะสามารถผลิตออกสู่ตลาดในปี 2550 2552 เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศรวมถึงการเตรียมการจัดงานโอลิมปิกที่ประเทศจีนในปีหน้า และการผลิตปริมาณมากเพื่อให้ได้ราคาต่อหน่วยที่ต่ำเพื่อส่งออก มีความจำเป็นที่ต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนดเนื่องจากปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากรโดยเฉพาะวิศวกรด้านปิโตรเคมี จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยในปีหน้าที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นในทุกระดับขั้นของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายจำพวกเม็ดพลาสติก ซึ่งประเทศไทยส่งออกเม็ดพลาสติกไปยังประเทศจีนมากที่สุด รวมถึงการเริ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย ญี่ปุ่น

  ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สำคัญของประเทศไทยอีกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยในปี 2549 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ส่งออกเพียงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายไปยังญี่ปุ่น อาทิ โพลิเอทิลีน      โพลิคาบอร์เนต รวมมูลค่าประมาณ 206.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการตามข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย ญี่ปุ่น โดยไทยจะได้รับประโยชน์จากการที่ญี่ปุ่นปรับลดอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต่างๆ ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไปยังญี่ปุ่นโดยเฉพาะในปีหน้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากข้อตกลงที่ญี่ปุ่นได้เคยลงนามกับประเทศอื่น อาทิ กลุ่มอาเซียนยังไม่สิ้นสุด

ปัจจัยเสี่ยง...ประเด็นที่พึงระวัง

    อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2551 ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่


   อุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีภายในประเทศขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีลักษณะเป็นความต้องการที่ต่อเนื่อง (Derived Demand) จากอุตสาหกรรมต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต อาทิ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ชิ้นส่วนรถยนต์ การขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจ เมื่อใดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูงจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น และลักษณะโครงสร้างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของประเทศไทยในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่จะผลิตเพื่อการใช้ในประเทศมากกว่าเพื่อการส่งออกโดยผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น (upstream) และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย (downstream) มีปริมาณการผลิตเพื่อใช้ในประเทศมากกว่าร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตรวม  และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง (intermediate) มีกำลังการผลิตเพื่อใช้ในประเทศอยู่ระหว่างร้อยละ 40 70 ตลาดภายในประเทศจึงเป็นตลาดสำคัญสำหรับปิโตรเคมีไทย อีกทั้งปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี (รายละเอียดในตารางที่ 2) แต่ในปี 2550 มีแนวโน้มหดตัวจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวในช่วงเวลาที่ขาดความชัดเจนทางการเมือง

   ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีภายในประเทศในปีหน้ายังคงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยน่าจะมีปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัวจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่จะมีความชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยลดความกังวล สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น

  นอกจากนั้นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล (mega project) ที่จะดำเนินการชัดเจนขึ้นในปีหน้า ทำให้คาดการณ์ได้ว่าปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในระดับต่างๆ ในปีหน้าอาจจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายที่นำไปแปรรูปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ HDPE ที่มีคุณสมบัติเหนียว ทนแรงกระแทกได้สูง ทนต่อสารเคมี จึงนำไปใช้ในงานขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น งานผลิตท่อร้อยสายไฟฟ้า ท่อน้ำประปา  ABS และ SBR ที่มีคุณสมบัติทนแรงกระแทก ทนความร้อนได้สูงนำไปใช้เป็นวัตถุดิบผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง และขั้นต้นที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายด้วย

  อย่างไรก็ตามประเด็นด้านเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง และภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งประเด็นทั้งสองอาจจะส่งผลต่อการลงทุนและกำลังซื้อของประชาชนภายในประเทศให้ลดต่ำลง อันจะกระทบต่อปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีให้ลดลงได้ในที่สุด

  อุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลกชะลอตัวและอุปทานขยายตัว ในปี 2551 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมาด้วยปัญหา subprime ในสหรัฐอเมริกาที่จะขยายตัวสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อจากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมัน และผลกระทบภาคการเกษตรจากภาวะโลกร้อน แต่ทั้งนี้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในระดับที่สูงพอสมควรจากการขยายตัวในระดับสูงของประเทศจีน อินเดีย และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงภาวะการค้าที่ยังคงทรงตัวจากปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลก แต่คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในประเทศจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง  

จากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจแม้จะชะลอตัวลงบ้างในบางช่วงเวลา การขยายกำลังการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิตด้วยการประหยัดจากขนาดในการผลิต (economies of scale) เพื่อให้สามารถแข่งขันทางด้านราคากับผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น และยังเป็นการลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในต่างประเทศมีแผนดำเนินการขยายกำลังการผลิตมาโดยตลอด โดยรายละเอียดของการขยายกำลังการผลิตของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียที่จะสามารถดำเนินการผลิตได้ในปีหน้า ได้แก่

   - ประเทศอินเดีย จะเริ่มเดินเครื่องหน่วยผลิต PP กำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนสร้างคอมเพล็กซ์เอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1.2 ล้านตัน/ปี หน่วยผลิตสารอะโรมาติกส์ กำลังการผลิตประมาณ 800,000 ตัน/ปี

   - ประเทศญี่ปุ่น วางแผนสร้างหน่วยเมทาธีสิสที่สามารถผลิตโพรพิลีนได้ 150,000 ตัน/ปี มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551

   - ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต ลงทุนสร้างคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีที่สามารถผลิตโพรพิลีนได้  752,000 ตัน/ปี โดยโพรพิลีนที่ผลิตได้จะใช้ป้อนหน่วยผลิต PP 2หน่วย กำลังการผลิตรวม 800,000  ตัน/ปี ในคอมเพล็กซ์เดียวกัน และสามารถผลิตบิวทีน-1 ได้ 39,000 ตัน/ปี  มีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2553

   อย่างไรก็ตามอุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้ายังคงอยู่ในระดับที่มีอุปสงค์รองรับได้ โดย Chemical Market Associates, Inc. (CMAI) ได้คาดการณ์สถานการณ์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในสายโอเลฟินส์ที่สำคัญคือ อุปทานของเอทิลีนในปีหน้าจะขยายตัวจากปีที่ผ่านมาจากการขยายกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศในเอเชีย และตะวันออกกลาง แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าอุปสงค์

  ขณะที่ผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย อาทิ HDPE อุปทานในตลาดโลกจะยังคงต่ำกว่าอุปสงค์มาก เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปีหน้าของประเทศต่างๆ ยังไม่แล้วเสร็จ จะส่งผลให้ราคา เอทิลีน และ HDPE ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่โครงการขยายกำลังการผลิต PVC และ VCM ในประเทศจีนที่ดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 ที่สามารถผลิต PVC และ VCM ได้เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของไทยลดต่ำลง

  นอกจากนั้น PCI consulting group ได้คาดการณ์อุปสงค์และอุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในสายอะโรเมติกส์ โดยคาดว่ากำลังการผลิตพาราไซลีนของโลกในปีหน้าที่จะเพิ่มสูงขึ้นมากจากการขยายกำลังการผลิตในประเทศจีน และประเทศในตะวันออกกลาง ที่จะมีปริมาณมากเกินกว่าการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก จะส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มพาราไซลีนไม่เพิ่มสูงมากนักเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์กลุ่มเบนซีนที่มีการขยายตัวของอุปสงค์จากประเทศจีน อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนามากกว่าอุปทาน

  นอกจากนี้การขาดแคลน MEG ได้ส่งผลให้การผลิตโพลีเอสเตอร์ลดน้อยลง จึงทำให้ความต้องการ PTA ซึ่งเป็นวัตถุดิบอีกตัวหนึ่งลดลงตามไปด้วย และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงความต้องการพาราไซลีน แต่คาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปีกำลังการผลิต MEG ในตลาดโลกจะมีเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.1 ล้านตัน ซึ่งโดยสรุปในภาพรวมในปีหน้าแม้ว่าอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะเริ่มชะลอตัว แต่การขยายตัวของอุปทานในภาพรวมจะยังคงเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

  ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง เนื่องด้วยลักษณะของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดเดียวกันที่ผลิตภายในประเทศและต่างประเทศมีลักษณะคล้ายกันมากสามารถทดแทนกันได้สูง ปัจจัยราคาจึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการแข่งขัน การที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องย่อมกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไทยให้ลดลง โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจะทำให้ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไทยมีราคาที่สูงในต่างประเทศทำให้การส่งออกอาจจะชะลอตัวลง

  อย่างไรก็ตามเนื่องจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยมีการนำเข้าวัตถุดิบบางส่วนจากต่างประเทศ (สัดส่วนการนำเข้าหรือ import content อยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 45 ของมูลค่าผลผลิตรวม) การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบนำเข้า อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง

  ประเด็นที่เป็นกังวลคือ ด้วยลักษณะอุปสงค์และอุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในแต่ละช่วงเวลาที่อาจจะไม่สอดคล้องกัน โดยปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีแนวโน้มขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่ปริมาณกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มเป็นช่วงๆ เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตต้องใช้เงินทุนและเวลามากในการเตรียมการและก่อสร้าง อีกทั้งปริมาณการผลิตที่ผลิตเพิ่มได้แต่ละครั้งจะมีปริมาณมากเพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดในการผลิต ซึ่งจากแนวโน้มการขยายกำลังการผลิตของแต่ละประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศที่จะเสร็จสมบูรณ์ประมาณปี 2553 -2554  อาจส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกินในตลาด และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอาจจะมีแนวโน้มลดลง โดยอุปทานจำนวนมากจากต่างประเทศจะไหลเข้าสู่ประเทศด้วยราคาที่ต่ำกว่าที่ผลิตได้ภายในประเทศ

  ในขณะที่การส่งออกอาจจะทำได้น้อยลง ผู้ประกอบการจึงควรเร่งปรับตัวด้วยการขยายการผลิตให้ครบวงจรตามห่วงโซ่การผลิตให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และกระจายความเสี่ยงจากบางผลิตภัณฑ์ อีกทั้งภาครัฐควรให้การสนับสนุนในการลงทุน และมาตรการทางภาษีอย่างใกล้ชิด

ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/0 ... sid=200729
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/11/07

โพสต์ที่ 170

โพสต์

ซาอุดิอาระเบีย และคูเวต ชี้ เร็วเกินไปที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
นายอาลิ อัล ไนอามี่ รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มโอเปก และของโลก เปิดเผยว่า เป็นการเร็วเกินไป ที่จะชี้ว่ากลุ่มโอเปกทั้ง หมด 13 สมาชิก จะตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของทั้งกลุ่ม แต่ในฐานะ 1 ในสมาชิกกลุ่มดังกล่าว ยอมรับว่า อาจมีการหารือในประเด็นดังกล่าวในการประชุมวันที่ 17 - 18 พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย ย้ำว่า กลุ่มโอเปก ไม่ได้ควบคุมราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่มีหน้าที่ในการให้ความมั่นใจว่าปริมาณน้ำมันดิบมีพอพร้อมเสถียรภาพ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/11/07

โพสต์ที่ 171

โพสต์

ทำใจน้ำมันขึ้นอีกสัปดาห์หน้า หลังเชลล์ส่งสัญญาณขึ้นเบนซิน ออกเทน 95 อีก 30 สตางค์ มีผลเสาร์นี้
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 09, 2007

จับตาราคาน้ำมันกันต่อไป อาจเห็นการปรับขึ้นราคาอีกระลอก หลังจากที่วันนี้ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 อีกลิตรละ 30 สตางค์ มีผล 05.00 น. เช้าวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน หลังค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ยังอยู่ในระดับสูงเกิน บาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้น ราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ของเชลล์ วันพรุ่งนี้ น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 จะปรับเพิ่มเป็น ลิตรละ 31.99 บาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่

ส่วนราคาน้ำมันประเภทอื่น ยังคงเดิม โดย ดีเซล อยู่ที่ ลิตรละ 28.64 บาท ส่วนน้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 อยู่ที่ ลิตรละ 30.89 บาท ขณะที่แก๊สโซฮอลล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 28.19 บาท และแก๊สโซฮอลล์ 91 อยู่ที่ ลิตรละ 27.39 บาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/11/07

โพสต์ที่ 172

โพสต์

ผู้ว่า กฟผ. คนใหม่เร่งทำความเข้าใจเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน-นิวเคลียร์ - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, November 12, 2007
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บอกหลังการเข้ารับตำแหน่งว่า ภารกิจหลักที่จะเร่งดำเนินการ คือ การพัฒนาศักยภาพด้านผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศให้มีความมั่นคง และยั่งยืน และกระจายสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้มีความเหมาะสม รวมถึงการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินและนิวเคลียร์ โดย กฟผ. คาดว่า จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวน 4 โรง กำลังการผลิตร่วม 3,200 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในปี 2557 - 2559 ส่วนจะก่อสร้างสถานที่ใด ก็จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนก่อน ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4 โรง น่าจะก่อสร้างในปี 2563

สำหรับสาเหตุที่ต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน เพราะต้องการลดการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าถึง 70% และคาดว่าในอนาคตก๊าซธรรมชาติอาจจะไม่เพียงพอในการผลิตไฟฟ้า จึงจำเป็นจะต้องมีการนำเข้า และราคาก๊าซธรรมชาติก็ปรับสูงขึ้นเป็น 10 - 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ตามราคาน้ำมัน รวมทั้งต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติแพงกว่าถ่านหิน โดยการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย แต่ถ่านหินอยู่ที่ 2.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีราคาต่างกันถึง 50 สตางค์ โดย กฟผ.ก็จะเร่งทำความเข้าใจ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการก่อสร้าง

ผู้ว่าการ กฟผ.บอกด้วยว่า หากไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศได้ ก็จะรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านแทน ซึ่งปัจจุบันมีการรับซื้อประมาณ 15% แต่สามารถขยายได้ถึง 20% โดยให้บริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นตัวแทนในการลงทุนในต่างประเทศ และเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การเจรจาเข้าร่วมทุนในโครงการหงสาลิกไนท์ในประเทศลาว กับ บมจ.บ้านปู คาดว่าจะเข้าถือหุ้นประมาณ 20-25% ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปการร่วมทุนภายในไตรมาสแรกของปีหน้า

ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำเงี๊ยบในลาว ขนาด 200 เมกะวัตต์ เริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าในปี 2557 สัดส่วนการถือหุ้นในโครงการดังกล่าวไม่น่าจะต่ำกว่า 25% นอกจากนี้ก็จะศึกษาการเข้าลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศภูฎาน เพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศอินเดียด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/11/07

โพสต์ที่ 173

โพสต์

ตรึงราคา NGV ไว้ที่กก.ละ 8.50 บาทถึงสิ้นปีหน้า ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, November 12, 2007
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจผลิตและก๊าซธรรมชาติ บมจ. ปตท. บอกว่า การใช้ก๊าซ NGV ในภาคขนส่งขณะนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV มีจำนวนประมาณ 5 หมื่นคันแล้ว และมีสถานีบริการทั้งหมด 160 แห่ง และคาดว่าประชาชนจะหันมาใช้เพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า โดย ปตท. ยืนยันที่จะตรึงราคาจำหน่าย ก๊าซ NGV ที่กิโลกรัมละ 8.50 บาท ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2551 ส่วนจะมีการปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่หลังจากนั้น ต้องมาพิจารณาต้นทุนอีกที โดยยอมรับว่า ราคาก๊าซธรรมชาติ ในภาพรวม มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกตามราคาน้ำมัน แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบไม่มากนัก เพราะราคาก๊าซธรรมชาติอ้างอิงราคาน้ำมันเพียง 30%

นายจิตรพงษ์บอกด้วยว่า ในปีหน้า ปตท. จะสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้นจากแหล่งอาทิตย์ ในเดือนกุมภาพันธ์- มีนาคม จำนวน 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจะขยายกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA จากจำนวน 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนมีนาคม - เมษายน โดยก๊าซที่ได้จะจัดส่งให้แก่ โรงไฟฟ้าสงขลา และโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยบรรเทาให้ค่าไฟฟ้าไม่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกกว่าน้ำมันเตา ซึ่งปตท.จะเร่งจัดหาก๊าซธรรมชาติให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศในอนาคต โดยมีแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) จากประเทศเพื่อนบ้านด้วย

นอกจากนี้ ปตท.ยังได้จัดงานแสดงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และการประชุมสัมมนาแห่งผู้มีภาคเอเชีย ครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 - 29 พฤศจิกายนนี้ ที่ไบเทคบางนา เพื่อเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนประสบการณ์นวัตกรรม ความก้าวหน้าเทคโนโลยี NGV และเป็นการจับคู่ธุรกิจในอนาคตอีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/11/07

โพสต์ที่ 174

โพสต์

โอเปคส่งสัญญาณ ไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมปลายสัปดาห์นี้แน่

Posted on Tuesday, November 13, 2007

นายอาลี อัล ไนมิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันซาอุดีอาระเบีย ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่กรุงริยาดห์ในวันที่ 17 - 18 พฤศจิกายนนี้ กลุ่มโอเปก จะไม่มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างแน่นอน โดยหากจะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตครั้งใหม่ น่าจะเกิดขึ้นภายหลังการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันในวันที่ 5 ธันวาคม เสร็จสิ้นลงไป

ที่เป็นเช่นนี้ ได้รับการอธิบายจากนายชาคิบ เคลิล รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานแอลจีเรีย และรองประธานกลุ่มโอเปค ว่า กลุ่มโอเปค ต้องการให้การประชุมที่กรุงริยาดห์ครั้งนี้ หาข้อสรุปเกี่ยวกับกลไกในการสร้างเสถียรภาพของราคาน้ำมันในตลาด ให้สอดคล้องไปกับปริมาณการผลิต และการรักษาความมั่นคงด้านรายได้ของกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ใช้น้ำมัน ให้ได้ก่อน

และถ้อยแถลงดังกล่าว ก็ดูเหมือนจะส่งสัญญาณกลาย ๆ ว่า ในระยะสั้น ๆ นี้ ทุกฝ่ายน่าจะเห็นราคาน้ำมันแกว่งตัวในระดับ บาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อไป
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/11/07

โพสต์ที่ 175

โพสต์

น้ำมันดิบร่วงปิดต่ำกว่า 94 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทั่วโลกถูกเทขายตลอดคืนที่ผ่านมา โดยราคาปิดน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ มาอยู่ที่บาร์เรลละกว่า 94 เหรียญ สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษทะเลเหนือ ร่วงลงเหลือเกือบ 92 เหรียญสหรัฐ จากปัจจัยการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบียว่า กลุ่มโอเปกอาจมีการหารือในประเด็นการเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง และยังเหลือการประชุมประจำปีครั้งสุดท้ายวันที่ 5 ธ.ค. ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค. ถึงคืนที่ผ่านมามากถึง 40%

ล่าสุด ซาอุดิอาระเบีย ปฏิเสธเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มโอเปกสุดสัปดาห์นี้
ล่าสุด สำนักข่าวไฟแนนเชียล ไทมส์ ในอังกฤษ เปิดเผยว่า รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย นาย อาลิ อัล ไนอามี่ ยืนยันอย่างหนักแน่ และชัดเจนว่า กลุ่มโอเปก อาจไม่ตัดสินใจปรับเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตตามกระแสข่าวที่เคลื่อนไหวในขณะนี้ โดยเฉพาะในการประชุมที่เมืองริยาดในวันเสาร์และอาทิตย์ที่จะถึงนี้ รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย กล่าวเริมว่า แน่นอนที่สุดในการประชุมสุดสัปดาห์นี้ ไม่มีการหารือในประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตามในการประชุมประจำปีของโอเปกในวันที่ 5 ธันวาคม อาจมีการหารือเรื่องดังกล่าว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/11/07

โพสต์ที่ 176

โพสต์

สิงคโปร์ทุ่มทุนพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มภายในปี 2558
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้พยายามลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับภาคพลังงาน จากปัจจุบันที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ให้ได้ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ภายในปี 2558 และขยายการจ้างงานในอุตสาหกรรมพลังงานขึ้นสามเท่า จากเดิมที่ 5,700 อัตรา เป็น 15,300 อัตรา นอกจากจะมีการขยายภาคการกลั่นน้ำมันและการซื้อขายพลังงานแล้ว สิงคโปร์ยังพยายามขยายการดำเนินงานในด้านพลังงานสะอาดและสนุบสนุนให้เกิดการแข่งขันในตลาดพลังงานในประเทศซึ่งจะส่งผลให้พลังงานมีราคาถูกลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/11/07

โพสต์ที่ 177

โพสต์

น้ำมันดิบดิ่งลงต่ำสุดเกือบ 2 เดือน ปิดต่ำกว่า 92 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทั่วโลกถูกเทขายอย่างหนักตลอดคืนที่ผ่านมา ทำสถิติราคาปิดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีราคาดิ่งลงมากกว่า 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีราคาปิดน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ทรุดลงต่ำกว่าบาร์เรลละ 92 เหรียญสหรัฐ ยังนับเป็นการตกต่ำของราคาปิดใน 1 วันทำการที่มากที่สุดในรอบ 3 เดือน หรือนตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคมอีกด้วย สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ร่วงลงเหลือกว่า 88 เหรียญสหรัฐ จากปัจจัยของการปรับลดความต้องการใช้น้ำมัน

ไออีเอ ชี้ น้ำมันแพง กระทบผู้บริโภคชัดเจน
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ กล่าวว่า ได้ปรับลดการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบลงอย่างมากในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปีหน้า โดยคาดว่าการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในไตรมาสที่ 4 นี้ จะเหลือเพียงวันละ 5.7 แสนบาร์เรล และจะลดลงเหลือเพียงวันละ 1.8 แสนบาร์เรลในช่วงไตมาสที่ 1 ในปี 2551 นอกจากนี้ ไออีเอ กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ทะยานพุ่งสูงขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ทำให้เกิดภาวะตกใจระยะสั้น ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคพยายามปรับพฤติกรรมการใช้น้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น

ไออีเอปรับลดการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกอย่างมาก
ไออีเอกล่าวต่อไปว่า นับตั้งแต่ปี 2002 หรือในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบไต่ระดับสะสมมากถึง 70 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมากกว่า 5 เท่า ทำให้ไออีเอมั่นใจ มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ระดับราคาน้ำมันดิบในขณะนี้ กระทบต่อความต้องการในการใช้น้ำมัน ดังนั้น ไออีเอ จึงได้ตัดลดตัวเลขประมาณการณ์การใช้น้ำมันดิบลงอย่างมากถึง 9 แสนบาร์เรลต่อวัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และยังตัดลดในช่วงไตรมาสที่ 1 ลงมากถึง 2.2 แสนบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ การตัดลดตัวเลขในครั้งนี้ สอดคล้องกับตัวเลขของกลุ่มโอเปกเช่นกัน

ประธานโอเปก เผย ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตหรือไม่ ในเดือนหน้า
นายโมฮัมหมัด บิน ดาเฮ็ม อัล แฮมลิ รัฐมนตรีน้ำมันสหรัฐอาหรับเอมิเรต และยังดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มโอเปก เปิดเผยว่า กลุ่มโอเปก จะตัดสินใจบนปัจจัยพื้นฐานตลาดน้ำมันดิบเป็นหลักสำคัญ ก่อนจะตัดสินใจในการประชุมประจำปีในวันที่ 5 ธันวาคมที่เมืองอาบูดาบี ทั้งนี้ นับเป็นการให้สัมภาษณ์ล่าสุด และชัดเจนมากที่สุดถึงท่าทีของกลุ่มโอเปก ต่อกระแสข่าวที่ว่า ในการพบปะหารือกันระหว่างรัฐมนตรีน้ำมันของกลุ่มโอเปกในวันเสาร์ และอาทิตย์ที่จะถึงนี้ อาจมีการพูดถึงประเด็นการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม

รัฐมนตรีพลังงานสหรัฐวอนโอเปกเพิ่มการผลิตในสุดสัปดาห์นี้
นายซามัวร์ บ๊อดแมน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐ กล่าวว่า ต้องการให้กลุ่มโอเปก ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม ในการประชุมสุดยอดของกลุ่มโอเปกในวันเสาร์ และอาทิตย์ที่จะถึงนี้ รัฐมนตรีพลังงานดังกล่าว ชี้ว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบถีบตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของประเทศที่พัฒนาแล้วลดต่ำลงอย่างมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ต่ำสกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/11/07

โพสต์ที่ 178

โพสต์

ราคาขายปลีกน้ำมันพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เชลล์โอดขาดทุนกว่า 250 ล.

นายศัลยา สุคนธทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายราคา การตลาดขายปลีกบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด บอกว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ผันผวน ทำให้เชลล์ขาดทุนต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถปรับราคาขายปลีกในประเทศให้สอดคล้องราคาตลาดโลกได้ ตลอดเดือนตุลาคมขาดทุนกว่า 100 ล้านบาท เดือนพฤศจิกายน เฉพาะวันที่ 1- 7 พฤศจิกายนขาดทุนไปแล้วกว่า 250 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก

"หากจะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศ สอดคล้องกับความจริงต้องปรับถึง 4 ครั้ง หรือไม่ก็ลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ 4 ครั้ง แต่เป็นเรื่องยาก" นายศัลยา กล่าว และว่า การลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ต้องบริหารจัดการให้สมดุล เพราะมีการปรับลดการเก็บเงินต่อเนื่อง ขณะที่เงินรายได้หลักที่เข้ามา คือ การเก็บจากเบนซิน 95 ที่ลิตรละ 4 บาทแและเบนซิน 91 ที่ระดับ 3.3 บาทต่อลิตร

ส่วนมร.ราล์ฟ เพอรี่ ประธานกรรมการ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด บอกว่า ได้ติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด และประวิงเวลาให้นานที่สุดก่อนขึ้นราคาน้ำมัน โดยที่ผ่านมา พยายามพยุงราคาน้ำมันไว้ ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันที่ขายในสถานีบริการไม่สามารถชดเชยต้นทุนการประกอบการได้ และจะปรับลดราคาลงเมื่อตลาดโลกเอื้ออำนวย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/11/07

โพสต์ที่ 179

โพสต์

กระทรวงพลังงานย้ำต้องสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
Posted on Thursday, November 15, 2007
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกว่า ในอนาคตราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่ก๊าซธรรมชาติก็หายากขึ้น ประเทศไทยคงหลีกไม่พ้นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และนิวเคลียร์ เพราะมีต้นทุนต่ำกว่า แม้จะมีการต่อต้าน ก็จะต้องทำความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ยอมรับ

ด้านนายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะกรรมการเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ บอกว่า แม้แผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งการตัดสินใจว่าจะก่อสร้างหรือไม่ ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อน โดยสาเหตุที่ต้องใช้พลังงานนิวเคลียร์ เพราะปัจจุบันไทยผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติสูงถึง 70% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่ปริมาณสำรองก๊าซของไทยมีใช้เพียง 30 ปี และที่สำคัญ คือ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ต่ำสุดที่ 2.08 บาทต่อหน่วย

ด้านนายเดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า ข้อมูลของภาครัฐไม่ได้พูดถึงค่าเสียโอกาสทางการเงิน และค่ารื้อถอนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนการกำจัดกากกัมมันตภาพรังสี และต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม จึงต้องทบทวนว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถูกจริงหรือไม่ โดยภาครัฐควรกระจายสัดส่วนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าให้เพิ่มสัดส่วนไปยังเชื้อเพลิงชนิดอื่น เช่น พลังงานทดแทน ชีวมวล พลังงานลม น้ำจากเขื่อน รวมถึงให้ส่งเสริมการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงประมาณ 20% เพื่อไม่ต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2563

ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจโต 4 - 5% ต่อปี ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องขยายตัวไม่เกิน 4% เช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/11/07

โพสต์ที่ 180

โพสต์

สนพ.ระบุน้ำมันเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 15, 2007
นายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) บอกว่า จากการประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกแล้ว พบว่า ปัจจุบันราคาน้ำมันได้ถึงจุดสูงสุดของรอบนี้แล้ว จากนี้ไปราคาน้ำมันน่าเริ่มจะทยอยปรับตัวลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวลงตาม ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันในประเทศทยอยปรับลดลงตาม โดยราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยจะไม่ถึงลิตรละ 30 บาท ขณะที่ราคาดีเซลเฉลี่ยจะไม่ถึงลิตรละ 28 บาท

อย่างไรก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้ที่จะลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของน้ำมันดีเซลอีก เพราะน้ำมันดีเซลมีส่วนกระทบต่อประชาชนและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx