คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 6
ตกลงตัวนี้จะเพิ่มทุนหรือแจกวอร์อ่ะครับ :lol: :lol:
เห็น sunrise effect ช่วงนี้มีหลายรูปแบบ
เห็น sunrise effect ช่วงนี้มีหลายรูปแบบ
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 7
ทำไมพี่ฉัตรชัยถึงคิดว่า GC จะไม่สามารถหาแหล่งการเงินทางอื่นได้นอกจากเพิ่มทุนล่ะครับ ถึงแม้ว่า D/E จะเหยียบ 2 แล้ว เงินสดในบริษัทก็เหลือน้อยแล้ว ถึงแม้การขายจะเป็นแบบ ซื้อสด ขายเชื่อ แต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่บริษัทไม่มีการแทงหนี้สูญลูกหนี้การค้าเลย (ยังงงว่า credit ins. มัน cover หมดได้ยังไง เห็นเคยบอกว่า cover เฉพาะลูกหนี้ความเสี่ยงสูง)
แต่ว่าหนี้ครบกำหนดชำระใน 1 เดือนก็ กว่าสองร้อยล้านนะ ผมว่ายังไม่ต้องเพิ่มทุนมั๊ง (แต่ถ้าจะทำก็คงไม่แปลก) น่าจะเอามา cover หนี้สินหมุนเวียนได้ในระดับหนึ่ง แถมผู้บริหารบริษัทนี้เท่าที่ดูก็เก่งในเรื่องจัดการสภาพคล่องพอควรนะครับ
ผมดูคร่าว ๆ นะ ลองพี่ฉัตรชัยคิดว่าน่าจะเพิ่มทุน มีเหตุผลที่ทำให้คิดว่าจะต้องทำเปล่าครับ?
แต่ว่าหนี้ครบกำหนดชำระใน 1 เดือนก็ กว่าสองร้อยล้านนะ ผมว่ายังไม่ต้องเพิ่มทุนมั๊ง (แต่ถ้าจะทำก็คงไม่แปลก) น่าจะเอามา cover หนี้สินหมุนเวียนได้ในระดับหนึ่ง แถมผู้บริหารบริษัทนี้เท่าที่ดูก็เก่งในเรื่องจัดการสภาพคล่องพอควรนะครับ
ผมดูคร่าว ๆ นะ ลองพี่ฉัตรชัยคิดว่าน่าจะเพิ่มทุน มีเหตุผลที่ทำให้คิดว่าจะต้องทำเปล่าครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 8
จะว่าไป working capital ของบริษัทนี้ ก็สูงจริง ๆ ไม่รู้ต้องทำกำไรอีกเท่าไหร่ เติมเงินไปอีกเท่าไหร่ จึงจะอยู่ตัวพอให้กระแสเงินสด เป็น + ขึ้นมาได้ ถ้าบริษัทยังคงนโยบายเดิม ยิ่งยอดขายมากขึ้น working capital ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว พวกบริหารความเสี่ยงของ GC นี่คงทำงานหนักน่าดู
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 11
เป็น ซัน แล้วน้อยใจ.....
พี่ฉัตรชัยยังแซว....
ผมยังไม่เคยดูจริงๆจังๆครับ
แต่เพือความสบายใจของพี่ ถ้าผมซื้อจะ pm ไปขออนุญาติก่อนนะครับ
พี่ฉัตรชัยยังแซว....
ผมยังไม่เคยดูจริงๆจังๆครับ
แต่เพือความสบายใจของพี่ ถ้าผมซื้อจะ pm ไปขออนุญาติก่อนนะครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 14
ผมไม่ได้ถือ gc นะครับ แต่ผมช่วยแก้ต่างให้เค้า
พี่ chatchai อาจจะเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกันการทำธุรกิจของ gc แล้วรึเปล่าครับ
สาเหตุที่ gc นั้นมีหนี้ระยะสั้นสูงมากเพราะเนื่องจากเค้าได้ส่วนลดจากการจ่ายเป็นเงินสดในการซื้อของการ supplier เยอะ กว่าต้นทุนเงินทุนในการกู้ระยะสั้นจากธนาคาร
เช่นซื้อของได้ credit 3 เดือน ถ้าซื้อสดได้ส่วนลด 2% คิดเป็นส่วนลดคร่าวๆประมาณ 8% ต่อปี (จริงๆเยอะกว่า 8 นิดหน่อยเพราะต้องคิดทบต้น)
ทีนี้ต้นทุนการกู้ของ gc อยู่ที่ประมาณ 4.25% ต่อปี (ถ้าจำไม่ผิด) เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดก็คือกู้มา 4.25 เพื่อรับส่วนลด 8% ทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมาพอสมควร ...
แต่ถ้ามองว่าบริษัทจะขยายต่อไปเรื่อยๆ แล้วธนาคารไม่ให้กู้แล้ว (ซึ่งผมเห็นว่ายังมีวงเงินกู้อยู่อีกเยอะมากๆ เพราะประวัติของ gc ดีมาก) การที่ gc จะเพิ่มทุนจะเป็นทางเลือกที่ดีมั๊ย ... ลองมาดูกันต่อนะครับ
ถ้าจ่ายสดได้ผลตอบแทน 8% แต่ไม่มีเงินเลยไปเพิ่มทุนมา .. แต่การเพิ่มทุนนั้นต้นทุนเงินทุนนั้นสูงกว่าการกู้ที่ 4.25% เยอะ อาจจะมากถึง 15% เพราะนั้นการเพิ่มทุนมาเพื่อจ่ายเงินสดคงไม่ใช่ทางเลือกที่ควรจะทำอยู่แล้ว ผมเลยมองว่าการเพิ่มทุนนั้นคงไม่ใช้ประเด็นที่จะให้กังวลใจอยู่แล้วล่ะครับ กรณีนี้ทางเลือกที่ดีก็คือเลือกที่จะจ่ายเป็นเงินเชื่อไปแทน แล้วก็ทำธุรกิจเหมือนปกติ
การที่บริษัทจ่ายปันผลออกมา ก็ไม่ใช่เกิดจากการกู้มาจ่ายปันผลเช่นกัน เพราะคนมักจะติดกับดักเรื่อง Mental accounting โดยการแยกบัญชีเงินออกเป็นหลายๆส่วน ทั้งที่จริงๆแล้วเงินทั้งหมดนั้นในการตัดสินใจมันคือเงินก้อนเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่บริษัทมีเงินกู้ แล้วจ่ายปันผล ก็ไม่ได้มีความหมายว่าบริษัทกู้มาจ่ายปันผลเลย ... ตรงอธิบายแล้วก็งงเอง ลองไปอ่านหนังสือของพี่พรชัยเรื่องจิตวิทยาการลงทุนดูอีกทีนะครับ
กรณีคล้ายๆแบบนี้ก็มีให้เห็นในบริษัทที่ซื้อมาขายไปอยู่เป็นปกติ ลองไปดูในงบ ums ก็ได้ครับ แนวจะออกมาคล้ายๆกัน คือมีเงินกู้ระยะสั้นเยอะ แต่มีเจ้าหนี้การค้าน้อย เพราะเค้าเลือกที่จะกู้เงินมาแล้วจ่ายเป็นเงินสด เพื่อรับส่วนลดทางการค้าที่มากขึ้น ...
ปล. พี่ซันของเราโดนเล่นอีกแล้ว :lol:
พี่ chatchai อาจจะเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกันการทำธุรกิจของ gc แล้วรึเปล่าครับ
สาเหตุที่ gc นั้นมีหนี้ระยะสั้นสูงมากเพราะเนื่องจากเค้าได้ส่วนลดจากการจ่ายเป็นเงินสดในการซื้อของการ supplier เยอะ กว่าต้นทุนเงินทุนในการกู้ระยะสั้นจากธนาคาร
เช่นซื้อของได้ credit 3 เดือน ถ้าซื้อสดได้ส่วนลด 2% คิดเป็นส่วนลดคร่าวๆประมาณ 8% ต่อปี (จริงๆเยอะกว่า 8 นิดหน่อยเพราะต้องคิดทบต้น)
ทีนี้ต้นทุนการกู้ของ gc อยู่ที่ประมาณ 4.25% ต่อปี (ถ้าจำไม่ผิด) เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดก็คือกู้มา 4.25 เพื่อรับส่วนลด 8% ทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมาพอสมควร ...
แต่ถ้ามองว่าบริษัทจะขยายต่อไปเรื่อยๆ แล้วธนาคารไม่ให้กู้แล้ว (ซึ่งผมเห็นว่ายังมีวงเงินกู้อยู่อีกเยอะมากๆ เพราะประวัติของ gc ดีมาก) การที่ gc จะเพิ่มทุนจะเป็นทางเลือกที่ดีมั๊ย ... ลองมาดูกันต่อนะครับ
ถ้าจ่ายสดได้ผลตอบแทน 8% แต่ไม่มีเงินเลยไปเพิ่มทุนมา .. แต่การเพิ่มทุนนั้นต้นทุนเงินทุนนั้นสูงกว่าการกู้ที่ 4.25% เยอะ อาจจะมากถึง 15% เพราะนั้นการเพิ่มทุนมาเพื่อจ่ายเงินสดคงไม่ใช่ทางเลือกที่ควรจะทำอยู่แล้ว ผมเลยมองว่าการเพิ่มทุนนั้นคงไม่ใช้ประเด็นที่จะให้กังวลใจอยู่แล้วล่ะครับ กรณีนี้ทางเลือกที่ดีก็คือเลือกที่จะจ่ายเป็นเงินเชื่อไปแทน แล้วก็ทำธุรกิจเหมือนปกติ
การที่บริษัทจ่ายปันผลออกมา ก็ไม่ใช่เกิดจากการกู้มาจ่ายปันผลเช่นกัน เพราะคนมักจะติดกับดักเรื่อง Mental accounting โดยการแยกบัญชีเงินออกเป็นหลายๆส่วน ทั้งที่จริงๆแล้วเงินทั้งหมดนั้นในการตัดสินใจมันคือเงินก้อนเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่บริษัทมีเงินกู้ แล้วจ่ายปันผล ก็ไม่ได้มีความหมายว่าบริษัทกู้มาจ่ายปันผลเลย ... ตรงอธิบายแล้วก็งงเอง ลองไปอ่านหนังสือของพี่พรชัยเรื่องจิตวิทยาการลงทุนดูอีกทีนะครับ
กรณีคล้ายๆแบบนี้ก็มีให้เห็นในบริษัทที่ซื้อมาขายไปอยู่เป็นปกติ ลองไปดูในงบ ums ก็ได้ครับ แนวจะออกมาคล้ายๆกัน คือมีเงินกู้ระยะสั้นเยอะ แต่มีเจ้าหนี้การค้าน้อย เพราะเค้าเลือกที่จะกู้เงินมาแล้วจ่ายเป็นเงินสด เพื่อรับส่วนลดทางการค้าที่มากขึ้น ...
ปล. พี่ซันของเราโดนเล่นอีกแล้ว :lol:
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 15
8) จริงๆเขาไม่ซื้อเป็นเงินสดก็ไม่ได้หรอกyoyo เขียน: เช่นซื้อของได้ credit 3 เดือน ถ้าซื้อสดได้ส่วนลด 2% คิดเป็นส่วนลดคร่าวๆประมาณ 8% ต่อปี (จริงๆเยอะกว่า 8 นิดหน่อยเพราะต้องคิดทบต้น)
ทีนี้ต้นทุนการกู้ของ gc อยู่ที่ประมาณ 4.25% ต่อปี (ถ้าจำไม่ผิด) เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดก็คือกู้มา 4.25 เพื่อรับส่วนลด 8% ทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมาพอสมควร ...
เพราะคู่แข่งเขาซื้อเป็นเงินสดทั้งหมดเหมือนกัน
ทุนมันจะสู้คู่แข่งไม่ได้ครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 16
การทำธุรกิจคล้ายๆกับ IT เลยนะครับyoyo เขียน:ผมไม่ได้ถือ gc นะครับ แต่ผมช่วยแก้ต่างให้เค้า
พี่ chatchai อาจจะเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกันการทำธุรกิจของ gc แล้วรึเปล่าครับ
สาเหตุที่ gc นั้นมีหนี้ระยะสั้นสูงมากเพราะเนื่องจากเค้าได้ส่วนลดจากการจ่ายเป็นเงินสดในการซื้อของการ supplier เยอะ กว่าต้นทุนเงินทุนในการกู้ระยะสั้นจากธนาคาร
เช่นซื้อของได้ credit 3 เดือน ถ้าซื้อสดได้ส่วนลด 2% คิดเป็นส่วนลดคร่าวๆประมาณ 8% ต่อปี (จริงๆเยอะกว่า 8 นิดหน่อยเพราะต้องคิดทบต้น)
ทีนี้ต้นทุนการกู้ของ gc อยู่ที่ประมาณ 4.25% ต่อปี (ถ้าจำไม่ผิด) เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดก็คือกู้มา 4.25 เพื่อรับส่วนลด 8% ทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมาพอสมควร ......
ลองคิดดูว่า
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 17
8) จริงๆเขาไม่ซื้อเป็นเงินสดก็ไม่ได้หรอกpor_jai เขียน:
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 19
มันแปลกนะครับ ที่บริษัทซื้อของเงินสด เพื่อส่วนลดประมาณ 8% แล้วนำมาขายต่อ หักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เหลือกำไร 3-7% มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอเนี่ย ถ้าอนาคตเกิดอะไรกับลูกหนี้กลุ่มนี้ขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น เพราะเท่าที่ดูเรื่องการทำประกันเงินกู้ ต้นทุนส่วนนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน ที่สำคัญ บริษัทก็ไม่ได้ทำประกันกับลูกหนี้ทั้งหมด แต่ทำไว้กับลูกหนี้ความเสี่ยงสูงเท่านั้นใช่รึเปล่าครับ?
ส่วนเรื่อง working capital ก็เห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัย ถ้าบริษัทยังคงนโยบายแบบนี้ต่อไป หนทางเดียวที่จะทำให้กระแสเงินสดเป็นบวกได้คือ คงยอดขาย แล้วรอให้ผลกำไรทบเข้ากับ WC จนอยู่ตัว แล้วก็จะเริ่มมี CF เป็นบวก แต่ข้อเสียอย่างหนักคือก็จะไม่มี growth ซึ่งโอกาสนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยอดขาย เพิ่มขึ้นตลอด แต่ D/E ก็เพิ่มขึ้นยิ่งกว่า อย่างนี้ ถ้าเมื่อถึงจุดที่ D/E เป็น 4 แล้ว จะทำอย่างไรครับ ถ้ายังคงนโยบายปันผลสูง ซื้อสดขายเชื่อต่อไป ผมว่าไม่เกิน 2 ปี ได้มี surprise.
ส่วนเรื่อง working capital ก็เห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัย ถ้าบริษัทยังคงนโยบายแบบนี้ต่อไป หนทางเดียวที่จะทำให้กระแสเงินสดเป็นบวกได้คือ คงยอดขาย แล้วรอให้ผลกำไรทบเข้ากับ WC จนอยู่ตัว แล้วก็จะเริ่มมี CF เป็นบวก แต่ข้อเสียอย่างหนักคือก็จะไม่มี growth ซึ่งโอกาสนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยอดขาย เพิ่มขึ้นตลอด แต่ D/E ก็เพิ่มขึ้นยิ่งกว่า อย่างนี้ ถ้าเมื่อถึงจุดที่ D/E เป็น 4 แล้ว จะทำอย่างไรครับ ถ้ายังคงนโยบายปันผลสูง ซื้อสดขายเชื่อต่อไป ผมว่าไม่เกิน 2 ปี ได้มี surprise.
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 20
yoyo เขียน: ถ้าจ่ายสดได้ผลตอบแทน 8% แต่ไม่มีเงินเลยไปเพิ่มทุนมา .. แต่การเพิ่มทุนนั้นต้นทุนเงินทุนนั้นสูงกว่าการกู้ที่ 4.25% เยอะ อาจจะมากถึง 15% เพราะนั้นการเพิ่มทุนมาเพื่อจ่ายเงินสดคงไม่ใช่ทางเลือกที่ควรจะทำอยู่แล้ว ผมเลยมองว่าการเพิ่มทุนนั้นคงไม่ใช้ประเด็นที่จะให้กังวลใจอยู่แล้วล่ะครับ กรณีนี้ทางเลือกที่ดีก็คือเลือกที่จะจ่ายเป็นเงินเชื่อไปแทน แล้วก็ทำธุรกิจเหมือนปกติ
chatchai เขียน: ลองคิดดูว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 21
ที่ผ่านมา เม็ดพลาสติคอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นติดต่อกัน 4-5 ปีแล้ว
บริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
เพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
แถมบริษัทยังใจป้ำขายให้ลูกค้าในราคาสต็อคเดิม
ไม่ได้ปรับตามราคาใหม่ที่ปรับตัวขึ้นเรื่อยๆแต่อย่างไร
บริษัทบอกว่า
ต้องการซื้อใจลูกค้า
ต้องการให้ความเป็นธรรมกับคู่ค้า
ตรงนี้ผมหนักใจแทน
หนักใจเพราะว่าลูกค้าเอง
ย่อมมองเรื่องธุรกิจเป็นธุรกิจ
การที่จะให้ซื่อสัตย์ต่อ GC ตลอดไป
เป็นเรื่องที่คาดหวังได้ยาก
วันใดวันหนึ่ง
ถ้ามีคนให้ข้อเสนอที่ดีกว่ามากๆ
ผมว่าเขาก็ไปนะ
ตอนนี้เขายังไม่ไปเพราะ GC ให้ข้อเสนอที่ดีกว่าใช่หรือไม่
หนักใจอีกเรื่องหนึ่งคือ
เหตุผลจริงๆที่จำเป็นต้องให้ราคาเดิมกับลูกค้านั้น
จะเป็นเพราะต้องการรักษาน้ำใจต่อกัน
ต้องการให้ความเป็นธรรม
หรือที่จริงแล้วเป็นเพราะเหตุผลอื่น
ที่เราไม่ทราบ
และบริษัทไม่สะดวกที่จะบอกเรา
ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ
อำนาจในการต่อรองหรือพลังที่สี่
จริงๆแล้วเป็นของใคร
วัฏจักรปิโตรเคมีหอมหวานชื่นใจมา 5 ปีแล้ว
ไม่มีใครบอกได้ว่าจะไปต่อหรือจะหมดแค่นี้
แต่วัฏจักรก็คือวัฏจักร
ถ้าไปต่ออย่างเดียวโดยไม่ลงมาเลย
เขาจะเรียกว่าวัฏจักรหรือ
แล้ววันหนึ่ง
เมื่อวัฏจักรขาลงมาเยือน
สต็อคก็จะด้อยค่าลงทุกๆเดือน
จะมีลูกค้ากี่ราย
ที่จะยอมซื้อของแพงๆจากสต็อคเดิม
ถ้ามีใครขายตามราคาตลาด
ลูกค้าจะยังจงรักภักดีต่อบริษัทอย่างนั้นหรือ
เวลาวัฏจักรขาลงมาเยือน
อย่าว่าแต่บริษัทเล็กๆอย่าง GC เลยครับที่จะขาดทุน
แม้ยิ่งใหญ่ขนาด ATC TOP PTTCH ก็ขาดทุนกันทั้งนั้น
และเมื่อมองราคา GC ตอนนี้
ผมก็นึกไม่ออกว่าราคานี้ undervalue อย่างไร :?: :?: :?:
บริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
เพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
แถมบริษัทยังใจป้ำขายให้ลูกค้าในราคาสต็อคเดิม
ไม่ได้ปรับตามราคาใหม่ที่ปรับตัวขึ้นเรื่อยๆแต่อย่างไร
บริษัทบอกว่า
ต้องการซื้อใจลูกค้า
ต้องการให้ความเป็นธรรมกับคู่ค้า
ตรงนี้ผมหนักใจแทน
หนักใจเพราะว่าลูกค้าเอง
ย่อมมองเรื่องธุรกิจเป็นธุรกิจ
การที่จะให้ซื่อสัตย์ต่อ GC ตลอดไป
เป็นเรื่องที่คาดหวังได้ยาก
วันใดวันหนึ่ง
ถ้ามีคนให้ข้อเสนอที่ดีกว่ามากๆ
ผมว่าเขาก็ไปนะ
ตอนนี้เขายังไม่ไปเพราะ GC ให้ข้อเสนอที่ดีกว่าใช่หรือไม่
หนักใจอีกเรื่องหนึ่งคือ
เหตุผลจริงๆที่จำเป็นต้องให้ราคาเดิมกับลูกค้านั้น
จะเป็นเพราะต้องการรักษาน้ำใจต่อกัน
ต้องการให้ความเป็นธรรม
หรือที่จริงแล้วเป็นเพราะเหตุผลอื่น
ที่เราไม่ทราบ
และบริษัทไม่สะดวกที่จะบอกเรา
ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ
อำนาจในการต่อรองหรือพลังที่สี่
จริงๆแล้วเป็นของใคร
วัฏจักรปิโตรเคมีหอมหวานชื่นใจมา 5 ปีแล้ว
ไม่มีใครบอกได้ว่าจะไปต่อหรือจะหมดแค่นี้
แต่วัฏจักรก็คือวัฏจักร
ถ้าไปต่ออย่างเดียวโดยไม่ลงมาเลย
เขาจะเรียกว่าวัฏจักรหรือ
แล้ววันหนึ่ง
เมื่อวัฏจักรขาลงมาเยือน
สต็อคก็จะด้อยค่าลงทุกๆเดือน
จะมีลูกค้ากี่ราย
ที่จะยอมซื้อของแพงๆจากสต็อคเดิม
ถ้ามีใครขายตามราคาตลาด
ลูกค้าจะยังจงรักภักดีต่อบริษัทอย่างนั้นหรือ
เวลาวัฏจักรขาลงมาเยือน
อย่าว่าแต่บริษัทเล็กๆอย่าง GC เลยครับที่จะขาดทุน
แม้ยิ่งใหญ่ขนาด ATC TOP PTTCH ก็ขาดทุนกันทั้งนั้น
และเมื่อมองราคา GC ตอนนี้
ผมก็นึกไม่ออกว่าราคานี้ undervalue อย่างไร :?: :?: :?:
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 22
บริษัทบอกว่าเคยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดแผ่วเบา เขียน:บริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
เพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
กับการสต็อคของมากๆ
แล้วขาดทุนย่อยยับ
เมื่อสมัยที่เป็นวัฏจักรขาลง
และจะไม่ยอมเก็งกำไรแบบนั้นอีก
ผมพิจารณาแล้วก็ยังติดความสงสัยเรื่อยมาจนบัดนี้
ว่าบริษัทย่อมทราบดีว่า
ช่วงขาลงนั้น ยิ่งสต็อคเยอะก็ยิ่งเจ็บตัว
แต่ช่วงขาขึ้น กลับไม่ใช่
เหตุผลนี้ผมว่าใครๆก็รู้นะครับ
ใครๆก็รู้ทั้งนั้น
แล้วมืออาชีพขนาด GC จะไม่รู้เชียวหรือ
เหตุผลว่า "ไม่อยากเก็งกำไร" ก็พอฟังขึ้น
แต่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
จะมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่
ความสงสัยนี้ไม่เคยได้รับคำตอบ
จนกระทั่งวันนี้
ได้อ่านกระทู้พี่ฉัตรชัย
จึงเห็นเลาๆว่า
แท้จริงอาจจะเป็นเรื่องสภาพคล่องนี้เอง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 23
ความเห็นของพี่ฉัตรชัย ผมต้องอ่านเสมอๆ
ไม่ใช่ผมอ่านเพราะชื่อ แต่เป็นเพราะเหตุและผลที่พี่เค้าโพสต์
ถึงแม้จะทำให้คนที่ถือหุ้นไม่สบายใจ แต่การที่มีคนอย่างพี่ฉัตรออกมาทักด้วยเหตุด้วยผล ผมคิดว่าก็เหมือนมีคนมาชี้ขุมทรัพย์ให้เรา แม้ระยะสั้นอาจจะทำให้คนถือหุ้นเดือดร้อน แต่ระยะยาวผมว่าเป็นผลดีแน่นอน
จริงๆระยะหลังๆ ถ้าผมเห็นว่าหุ้นบางตัวไม่ได้ดีจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากจะไปทักท้วงครับ ผิดใจกันเปล่าๆ ยอมรับว่าเห็นแก่ตัวหน่อยครับ ดังนั้นผมชื่นชมพี่ฉัตรกรณีนี้ครับ
ตัว gc ผมเคยคอมเมนต์ใน 100 คนร้อยหุ้น เหมือนที่พี่ฉัตรชัยให้ข้อสังเกตุไว้ครับ แต่ก็เป็นแค่ความเห็นในมิติหนึ่งนะครับ อาจจะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้หุ้นวิ่งก็ได้
ไม่ใช่ผมอ่านเพราะชื่อ แต่เป็นเพราะเหตุและผลที่พี่เค้าโพสต์
ถึงแม้จะทำให้คนที่ถือหุ้นไม่สบายใจ แต่การที่มีคนอย่างพี่ฉัตรออกมาทักด้วยเหตุด้วยผล ผมคิดว่าก็เหมือนมีคนมาชี้ขุมทรัพย์ให้เรา แม้ระยะสั้นอาจจะทำให้คนถือหุ้นเดือดร้อน แต่ระยะยาวผมว่าเป็นผลดีแน่นอน
จริงๆระยะหลังๆ ถ้าผมเห็นว่าหุ้นบางตัวไม่ได้ดีจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากจะไปทักท้วงครับ ผิดใจกันเปล่าๆ ยอมรับว่าเห็นแก่ตัวหน่อยครับ ดังนั้นผมชื่นชมพี่ฉัตรกรณีนี้ครับ
ตัว gc ผมเคยคอมเมนต์ใน 100 คนร้อยหุ้น เหมือนที่พี่ฉัตรชัยให้ข้อสังเกตุไว้ครับ แต่ก็เป็นแค่ความเห็นในมิติหนึ่งนะครับ อาจจะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้หุ้นวิ่งก็ได้
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 24
พี่แผวเบาครับ .. จริงๆแล้วถ้าเป็นขาขึ้นมันต้อง stock ของไม่ใช่เหรอครับถึงจะได้ประโยชน์จากขาขึ้นบริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
เพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
เรื่อง gc นี่ที่ผมมาถกด้วยอยู่นอกเหนือเรื่อง ความถูกความแพงของหุ้น .. เพราะผมก็ไม่ได้ตามละเอียดเหมือนกันว่ามูลค่าของมันควรจะเป็นเท่าไหร่ แพงไปหรือว่าถูกเกินไป
แต่ถกด้วยเพราะเป็นเรื่องปกติการทำธุรกิจที่เป็นซื้อมาขายไป การที่มีหนี้ระยะสั้นเยอะๆ แล้วเจ้าหนี้การค้าน้อยๆนั้นเป็นปกติของการค้าครับ การที่จะเอา d/e ของธุรกิจนี้ไปเทียบกับธุรกิจที่อาจจะมองว่า d/e 2 นั้นอาจจะต้องเพิ่มทุนแล้วจะทำให้เห็นภาพของธุรกิจที่อาจจะผิดไป เพราะธุรกิจซื้อมาขายไปนั้นลงทุนหลักอยู่ที่เรื่องของ working cap เป็นหลัก ซึ่งแตกต่างกับธุรกิจการผลิตที่ต้องลงทุนในโรงงานและเครื่องจักรเยอะๆ
อย่าง snc ที่ d/e 2 เท่าผมก็มองแล้วว่ามีโอกาสที่จะเพิ่มทุนค่อนข้างสูง ใครจะซื้อผมก็จะเตือนไว้เหมือนกัน ...
แต่ในขณะที่ gc นั้น de 1.8 กว่าออกมาเตือนกันไว้ก็ดีแล้วครับ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าโอกาสมันเป็นอย่างไร มีมากน้อยแค่ไหนมีมากก็ระวัง ถ้าโอกาสเพิ่มทุนมีน้อยก็สบายใจหน่อย ...
ต้องขอโทษนะครับ ... ที่ post ของผมดูเหมือนกับจะเถียงพี่ฉัตรชัยหัวชนฝา ผมเชื่อว่าพี่ฉัตรชัยมีเจตนาที่ดีในการออกมาเตือนเพื่อนๆน้องๆ เพราะเป็นอย่างที่พี่ลูกอีสานบอก ว่าการออกมาเตือนหุ้นที่คนอื่นถือนี่ต้องนับว่าเสียสละ เพราะอาจจะมีคนไม่พอใจได้ ผมเองไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจอะไร เพียงแค่ได้ฟังมาผู้ที่มีประสบการณ์พูดถึงเรื่องการบริหาร working cap คล้ายๆกรณีนี้ และอาศัยจากธุรกิจที่บ้านที่เป็นลักษณะซื้อมาขายไปเหมือนกัน ก็เลย post ไปตามที่เข้าใจ และได้ยินมา
ความคิดเห็นของผมอาจจะผิดก็เป็นได้ .. gc อาจจะเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีเงินทุนไม่พอ จนต้องเพิ่มทุนอย่างที่พี่ฉัตรชัยเตือนก็ได้ครับ ยังไงเพื่อนๆพี่ๆก็ฟังความเห็นแล้วพิจารณากันเองอีกทีล่ะกันนะครับ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนผมไม่มีส่วนได้เสียกับหุ้นตัวนี้อยู่แล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย yoyo เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 8:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 26
การที่บริษัทจ่ายปันผลออกมาเยอะๆนั้นผมว่าเป็นเรื่องของการ maximize shareholder return ครับ .. คือการจ่ายปันผลนั้นทำให้ ROE สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการที่จ่ายปันผลเยอะๆก็ทำให้ d/e เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันซึ่งจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นในกรณีนี้สิ่งเหมาะสมที่ควรทำคือ Maximize return ในขณะที่บริหารความเสี่ยงในอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ .. ผมเชื่อว่าบริษัทอาจจะมองว่า de ที่ 2 เท่านั้นยังยอมรับได้ เพราะธนาคารนั้นเปิดวงเงินกู้ให้ถึง 4 เท่า บริษัทจึงยังจ่ายปันผลเป็น payour ratio ในระดับที่เยอะอยู่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทมี de เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า หรือ 4 เท่าจริงๆ บริษัทก็คงจะลด payout ratio ลง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าการทำการค้าเป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีลูกหนี้สูญผิดปกติ การมี de เพิ่มขึ้นก็จะมาจากการที่บริษัทขายของได้มากขึ้น กำไรก็น่าจะมากขึ้น เพราะฉะนั้นการลด payout ratio ลงก็อาจจะไม่ได้เป็นการลดปันผลเป็นจำนวนบาทลงก็ได้ ผู้ถือหุ้นเองก็คงจะพอใจ
พี่ฉัตรชัยนี่ขยันแกะงบจังครับ .. ขนาดบริษัทที่ไม่ได้ถือยังแกะละเอียดขนาดนี้ ... นับถือครับ นับถือ
เพราะฉะนั้นในกรณีนี้สิ่งเหมาะสมที่ควรทำคือ Maximize return ในขณะที่บริหารความเสี่ยงในอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ .. ผมเชื่อว่าบริษัทอาจจะมองว่า de ที่ 2 เท่านั้นยังยอมรับได้ เพราะธนาคารนั้นเปิดวงเงินกู้ให้ถึง 4 เท่า บริษัทจึงยังจ่ายปันผลเป็น payour ratio ในระดับที่เยอะอยู่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทมี de เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า หรือ 4 เท่าจริงๆ บริษัทก็คงจะลด payout ratio ลง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าการทำการค้าเป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีลูกหนี้สูญผิดปกติ การมี de เพิ่มขึ้นก็จะมาจากการที่บริษัทขายของได้มากขึ้น กำไรก็น่าจะมากขึ้น เพราะฉะนั้นการลด payout ratio ลงก็อาจจะไม่ได้เป็นการลดปันผลเป็นจำนวนบาทลงก็ได้ ผู้ถือหุ้นเองก็คงจะพอใจ
พี่ฉัตรชัยนี่ขยันแกะงบจังครับ .. ขนาดบริษัทที่ไม่ได้ถือยังแกะละเอียดขนาดนี้ ... นับถือครับ นับถือ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 27
คุณ YOYO
ขอเรียนถามความเห็นของคุณ YOYO หน่อยนะครับว่า การจ่ายปันผลเกี่ยวข้องอะไรกับการทำ Maximize shareholder return ครับ เพราะความเห็นของผมก็คือ การจ่ายปันผล มันเป็นเรื่องนโยบายของบริษัทที่ดูความเหมาะสมว่า หากบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ บริษัทมีทางเลือกที่จะนำเงินส่วนเกินดังกล่าวไปลงทุนเพิ่ม หากเห็นว่าการลงทุนต่อในบริษัทจะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการจ่ายปันผลออกไปให้กับผู้ถือหุ้น หรือหากบริษัทต้องการเน้นความมั่นคงหรือฐานะการเงิน ก็อาจจะนำไปชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ DE ดีขึ้น เมื่อฐานะการเงินดีขึ้น ธนาคารที่ให้กู้ก็มีแนวโน้มที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำกว่าบริษัทที่มี DE ที่สูงครับ หากอยู่ในสมมุติฐานคือ ธุรกิจประเภทเดียวกัน อัตราการเติบโตของกำไรใกล้เคียงกัน เป็นต้น
ดังนั้น ประเด็นที่จ่ายปันผลแล้วช่วยสร้าง Maximize shareholder return นั้นก็เลยทำให้ผมงง ๆ เพราะ การ Mazimize shareholder return นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องการจ่ายปันผล แต่น่าจะเป็นเรื่องผลตอบแทนรวมทั้งปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น ซึ่งเกิดจากราคาที่สะท้อนตามปัจจัยพื้นฐานคือจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย เช่น Growth stock ทั้งหลาย หลาย ๆ ตัวก็ไม่จ่ายปันผลในระยะแรก ๆ ก็ได้ เพราะถ้าบริษัทมีความจำเป็นต้องนำเงินไปงินไปลงทุนในธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าที่จะจ่ายปันผลครับ
อีกเรื่องคือ การจ่ายปันผลสูง ๆ เกี่ยวข้องอะไรกับการทำให้ ROE สูงขึ้นครับ เพราะหากมีการจ่ายปันผลสูง ๆ ก็ทำให้เงินทุนในกิจการลดลง ยิ่งหากบริษัทยังต้องมีการกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุนขยายกิจการหรือลงทุนใน Working Cap ที่สูงขึ้นตามอัตราการเติบโตของธุรกิจ ยิ่งหากกู้ยืมเงินไปถึงจุดหนึ่งที่ De เริ่มสูงขึ้นมาก ความเสี่ยงการให้กู้ก็จะเริ่มสูงขึ้น ธนาคารก็อาจพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตามความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้ด้วย ก็จะทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่คิดจากปริมาณเงินต้นที่สูงต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นครับ ก็เลยอยากถามประเด็นนี้ว่า ทำไมคุณ Yoyo ถึงคิดว่าจ่ายปันผลสูง ๆ จะทำให้ Roe สูงขึ้นครับ
ขอบคุณอีกครั้งนะครับ อยากถามเป็นความรู้เพิ่มเติมครับ ผมอาจคิดผิดก็ได้นะครับ :D
ขอร่วมสนุกด้วยคนนะครับ เห็นกระทู้นี้คุยเรื่องการเงินน่าสนใจดีครับการที่บริษัทจ่ายปันผลออกมาเยอะๆนั้นผมว่าเป็นเรื่องของการ maximize shareholder return ครับ .. คือการจ่ายปันผลนั้นทำให้ ROE สูงขึ้น
ขอเรียนถามความเห็นของคุณ YOYO หน่อยนะครับว่า การจ่ายปันผลเกี่ยวข้องอะไรกับการทำ Maximize shareholder return ครับ เพราะความเห็นของผมก็คือ การจ่ายปันผล มันเป็นเรื่องนโยบายของบริษัทที่ดูความเหมาะสมว่า หากบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ บริษัทมีทางเลือกที่จะนำเงินส่วนเกินดังกล่าวไปลงทุนเพิ่ม หากเห็นว่าการลงทุนต่อในบริษัทจะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการจ่ายปันผลออกไปให้กับผู้ถือหุ้น หรือหากบริษัทต้องการเน้นความมั่นคงหรือฐานะการเงิน ก็อาจจะนำไปชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ DE ดีขึ้น เมื่อฐานะการเงินดีขึ้น ธนาคารที่ให้กู้ก็มีแนวโน้มที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำกว่าบริษัทที่มี DE ที่สูงครับ หากอยู่ในสมมุติฐานคือ ธุรกิจประเภทเดียวกัน อัตราการเติบโตของกำไรใกล้เคียงกัน เป็นต้น
ดังนั้น ประเด็นที่จ่ายปันผลแล้วช่วยสร้าง Maximize shareholder return นั้นก็เลยทำให้ผมงง ๆ เพราะ การ Mazimize shareholder return นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องการจ่ายปันผล แต่น่าจะเป็นเรื่องผลตอบแทนรวมทั้งปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น ซึ่งเกิดจากราคาที่สะท้อนตามปัจจัยพื้นฐานคือจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย เช่น Growth stock ทั้งหลาย หลาย ๆ ตัวก็ไม่จ่ายปันผลในระยะแรก ๆ ก็ได้ เพราะถ้าบริษัทมีความจำเป็นต้องนำเงินไปงินไปลงทุนในธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าที่จะจ่ายปันผลครับ
อีกเรื่องคือ การจ่ายปันผลสูง ๆ เกี่ยวข้องอะไรกับการทำให้ ROE สูงขึ้นครับ เพราะหากมีการจ่ายปันผลสูง ๆ ก็ทำให้เงินทุนในกิจการลดลง ยิ่งหากบริษัทยังต้องมีการกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุนขยายกิจการหรือลงทุนใน Working Cap ที่สูงขึ้นตามอัตราการเติบโตของธุรกิจ ยิ่งหากกู้ยืมเงินไปถึงจุดหนึ่งที่ De เริ่มสูงขึ้นมาก ความเสี่ยงการให้กู้ก็จะเริ่มสูงขึ้น ธนาคารก็อาจพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตามความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้ด้วย ก็จะทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่คิดจากปริมาณเงินต้นที่สูงต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นครับ ก็เลยอยากถามประเด็นนี้ว่า ทำไมคุณ Yoyo ถึงคิดว่าจ่ายปันผลสูง ๆ จะทำให้ Roe สูงขึ้นครับ
ขอบคุณอีกครั้งนะครับ อยากถามเป็นความรู้เพิ่มเติมครับ ผมอาจคิดผิดก็ได้นะครับ :D
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 28
[quote="yoyo"]ต้องขอโทษนะครับ ... ที่ post ของผมดูเหมือนกับจะเถียงพี่ฉัตรชัยหัวชนฝา ผมเชื่อว่าพี่ฉัตรชัยมีเจตนาที่ดีในการออกมาเตือนเพื่อนๆน้องๆ เพราะเป็นอย่างที่พี่ลูกอีสานบอก ว่าการออกมาเตือนหุ้นที่คนอื่นถือนี่ต้องนับว่าเสียสละ เพราะอาจจะมีคนไม่พอใจได้ ผมเองไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจอะไร เพียงแค่ได้ฟังมาผู้ที่มีประสบการณ์พูดถึงเรื่องการบริหาร working cap คล้ายๆกรณีนี้ และอาศัยจากธุรกิจที่บ้านที่เป็นลักษณะซื้อมาขายไปเหมือนกัน ก็เลย post ไปตามที่เข้าใจ และได้ยินมา
ความคิดเห็นของผมอาจจะผิดก็เป็นได้
ความคิดเห็นของผมอาจจะผิดก็เป็นได้
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- doodeemak
- Verified User
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 29
ขออนุญาตแสดงความเห็นเรื่อง dividend กับ ROE กับการ maximize share holder value หน่อยนะครับ
จากที่เรียนมา ถ้าเราลองใช้ dividend discount model จะพบว่า
Value = Dividend/(k - g)
= (1-RR)x profit / (k- RR*ROE)
โดยคิด g = RR x ROE (sustainable growth, การเติบโตสูงสุดที่เป็นไปได้โดยที่คงอัตราส่วน D/E เหมือนเดิม)
RR คือ Retention rate (อัตราการ safe เงินไปลงทุนต่อ)
ซึ่งจะเห็นว่ามี conflict กันอยู่ในสูตรนี้คือตัว RR
เมื่อพิจารณาด้านเศษ ถ้า RR เพิ่ม จะทำให้ Value ลด
แต่ถ้าพิจารณาด้านส่วน ถ้า RR เพิ่ม จะทำให้ Value เพิ่ม
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการจ่ายปันผลมาก (RR ต่ำ) จะทำให้ตัวเศษมาก แต่ก็จะทำให้ตัวหารมากด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ตัวที่จะตัดสินว่าควรจะ pay หรือควรจะ keep profit ก็คือ การเปรียบเทียบกันระหว่าง ROE กับ k
1. ถ้า ROE > k การจ่ายปันผลมาก จะทำให้ value ลด
2. ถ้า ROE < k การจ่ายปันผลมาก จะทำให้ Value เพิ่ม
3. ถ้า ROE = k .... Value จะเท่าเดิม ไม่ว่าจะจ่ายปันผลเท่าใดก็ตาม
ลองผูกสูตรเล่นดูใน Excel ก็ได้นะครับ
ซึ่งก็เป็น common sense นะครับผมว่า เพราะถ้าบริษัทสามารถสร้าง Return ให้ผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า k หรือผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นต้องการ ก็ควรจะ keep กำไรไว้ลงทุนต่อ (ยกเว้นธุรกิจที่ไม่สามารถโตได้ตาม Sustainable growth เช่น โรงแรมที่มี capacity เต็มแล้ว)
ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทไม่สามารถทำ ROE ให้สูงกว่า k ก็ควรจะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นเพื่อไปหาโอกาสลงทุนในบริษัทอื่น
ผมแค่ลอกตามตำรามาน่ะครับ ผิดถูกยังไง รบกวนแนะนำด้วยครับ
จากที่เรียนมา ถ้าเราลองใช้ dividend discount model จะพบว่า
Value = Dividend/(k - g)
= (1-RR)x profit / (k- RR*ROE)
โดยคิด g = RR x ROE (sustainable growth, การเติบโตสูงสุดที่เป็นไปได้โดยที่คงอัตราส่วน D/E เหมือนเดิม)
RR คือ Retention rate (อัตราการ safe เงินไปลงทุนต่อ)
ซึ่งจะเห็นว่ามี conflict กันอยู่ในสูตรนี้คือตัว RR
เมื่อพิจารณาด้านเศษ ถ้า RR เพิ่ม จะทำให้ Value ลด
แต่ถ้าพิจารณาด้านส่วน ถ้า RR เพิ่ม จะทำให้ Value เพิ่ม
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการจ่ายปันผลมาก (RR ต่ำ) จะทำให้ตัวเศษมาก แต่ก็จะทำให้ตัวหารมากด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ตัวที่จะตัดสินว่าควรจะ pay หรือควรจะ keep profit ก็คือ การเปรียบเทียบกันระหว่าง ROE กับ k
1. ถ้า ROE > k การจ่ายปันผลมาก จะทำให้ value ลด
2. ถ้า ROE < k การจ่ายปันผลมาก จะทำให้ Value เพิ่ม
3. ถ้า ROE = k .... Value จะเท่าเดิม ไม่ว่าจะจ่ายปันผลเท่าใดก็ตาม
ลองผูกสูตรเล่นดูใน Excel ก็ได้นะครับ
ซึ่งก็เป็น common sense นะครับผมว่า เพราะถ้าบริษัทสามารถสร้าง Return ให้ผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า k หรือผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นต้องการ ก็ควรจะ keep กำไรไว้ลงทุนต่อ (ยกเว้นธุรกิจที่ไม่สามารถโตได้ตาม Sustainable growth เช่น โรงแรมที่มี capacity เต็มแล้ว)
ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทไม่สามารถทำ ROE ให้สูงกว่า k ก็ควรจะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นเพื่อไปหาโอกาสลงทุนในบริษัทอื่น
ผมแค่ลอกตามตำรามาน่ะครับ ผิดถูกยังไง รบกวนแนะนำด้วยครับ
Inactive investor
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
คุณ sunrise สนใจ GC ไหมครับ
โพสต์ที่ 30
ครับ ถูกต้องแล้วครับyoyo เขียน:พี่แผวเบาครับ .. จริงๆแล้วถ้าเป็นขาขึ้นมันต้อง stock ของไม่ใช่เหรอครับถึงจะได้ประโยชน์จากขาขึ้น
การสต็อคของในช่วงขาขึ้นจะได้ประโยชน์
ผมก็เขียนด้วยความหมายนี้นะครับ
ผมเขียนว่า
fact คือ บริษัทไม่มีนโยบายสต็อคของบริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
เพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
fact คือ การสต็อคของในช่วงขาขึ้นย่อมเป็นประโยชน์
fact คือ ช่วงขาขึ้นนั้นเป็น opprtunity ที่น่าจะคว้าเอาไว้
รวมกันก็เป็น
อ้อ.......ผมนึกออกแล้วบริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
เพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
พี่โยจับสองประโยคนี้มาเชื่อมกันเลยกระมังครับ
เป็น
เพราะพอเอามาเชื่อมติดกันก็สามารถตีความได้ตามที่พี่โยว่าจริงๆ เพราะจะกลายเป็นการไม่สต็อคนั่นแหละที่เป็นการเพิ่มกำไรบริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของเพื่อเพิ่มกำไรจาก opportunity ของวัฏจักรขาขึ้น
ถ้าทำให้พี่โยเข้าใจผิดก็ต้องขออภัยด้วยครับ
และที่ถูก
ผมควรจะเขียนใหม่ว่า
บริษัทมีนโยบายไม่สต็อคของ
ซึ่งน่าเสียดาย
เพราะถ้าสต็อค
จะเป็นการไประโยชน์จากวัฏจักรขาขึ้น