กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 181
อิหร่านหนุนโอเปกไม่เพิ่มการผลิต - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 15, 2007
นายโกลัม ฮุสเซน โนซารี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกนำมัน (โอเปค) บอกว่า โอเปคไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มการผลิต เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันดิบในขณะนี้ มีเพียงพอต่อความต้องการในตลาด ถึงแม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เกือบ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ก็ตาม ทั้งนี้ แม้โอเปกจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง
รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่านบอกด้วยว่า การอ่อนค่าลงอย่างมากของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้น โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนวานนี้ หลังจากที่เลขาธิการโอเปคปฎิเสธเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมันลง
ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าที่ตลาดนิวยอร์ก สัญญาส่งมอบในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 2.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปปิดที่ 94.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 15, 2007
นายโกลัม ฮุสเซน โนซารี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกนำมัน (โอเปค) บอกว่า โอเปคไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มการผลิต เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันดิบในขณะนี้ มีเพียงพอต่อความต้องการในตลาด ถึงแม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เกือบ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ก็ตาม ทั้งนี้ แม้โอเปกจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง
รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่านบอกด้วยว่า การอ่อนค่าลงอย่างมากของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้น โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนวานนี้ หลังจากที่เลขาธิการโอเปคปฎิเสธเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมันลง
ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าที่ตลาดนิวยอร์ก สัญญาส่งมอบในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 2.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปปิดที่ 94.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 182
น้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งกลับ 3 เหรียญ ทะลุกว่า 94 เหรียญต่อบาเรล ด้านผู้ว่าแบงก์ชาติอังกฤษ เตือน ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจทรุด
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 15, 2007
น้ำมันดิบย้อนพุ่งสูงเฉียด 3 เหรียญ ปิดทะลุกว่า 94 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ย้อนกับทะยานสูงขึ้นเฉียด 3 เหรียญสหรัฐคืนที่ผ่านมา โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ พุ่งขึ้นซื้อขายสูงสุดระหว่างวันทะลุบาร์เรลละ 94.37 เหรียญ ก่อนอ่อนตัวลงเล็กน้อยมาปิดที่บาร์เรลละ 94.09 เหรียญ สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษ พุ่งขึ้นสูงสุดยืนเหนือกว่าบาร์เรลละ 91 เหรียญสหรัฐครั้งใหม่ ก่อนลงมาปิดที่บาร์เรลละ 91.36 เหรียญ ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เหรียญ ทำให้ในภาพรวมราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นถึง 3% ชั่วข้ามคืนที่ผ่านมา
3 ปัจจัยบวก หนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งสูง โอเปก เมินไม่เพิ่มการผลิต
ปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบย้อนกลับทะยานสูงขึ้นครั้งใหม่ มาจาก แนวโน้มที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์จะลดลงมากถึง 8 แสนบาร์เรล ซึ่งจะประกาศในคืนนี้ตามเวลาในสหรัฐ ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ย้อนกลับอ่อนค่าลงครั้งใหม่ กระตุ้นนักลงทุนชดเชยผลตอบแทนกับตลาดน้ำมันดิบ และเลขาธิการกลุ่มโอเปก นายอัลดุลลาห์ อัล บาดริ กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นในคืนที่ผ่านมาว่า กลุ่มโอเปกไม่มีการจัดวาระการประชุมเกี่ยวกับการปรับขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันดิบในการประชุมสุดยอดของกลุ่มในวันเสาร์ และอาทิตย์นี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 15, 2007
น้ำมันดิบย้อนพุ่งสูงเฉียด 3 เหรียญ ปิดทะลุกว่า 94 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ย้อนกับทะยานสูงขึ้นเฉียด 3 เหรียญสหรัฐคืนที่ผ่านมา โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ พุ่งขึ้นซื้อขายสูงสุดระหว่างวันทะลุบาร์เรลละ 94.37 เหรียญ ก่อนอ่อนตัวลงเล็กน้อยมาปิดที่บาร์เรลละ 94.09 เหรียญ สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษ พุ่งขึ้นสูงสุดยืนเหนือกว่าบาร์เรลละ 91 เหรียญสหรัฐครั้งใหม่ ก่อนลงมาปิดที่บาร์เรลละ 91.36 เหรียญ ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เหรียญ ทำให้ในภาพรวมราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นถึง 3% ชั่วข้ามคืนที่ผ่านมา
3 ปัจจัยบวก หนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งสูง โอเปก เมินไม่เพิ่มการผลิต
ปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบย้อนกลับทะยานสูงขึ้นครั้งใหม่ มาจาก แนวโน้มที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์จะลดลงมากถึง 8 แสนบาร์เรล ซึ่งจะประกาศในคืนนี้ตามเวลาในสหรัฐ ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ย้อนกลับอ่อนค่าลงครั้งใหม่ กระตุ้นนักลงทุนชดเชยผลตอบแทนกับตลาดน้ำมันดิบ และเลขาธิการกลุ่มโอเปก นายอัลดุลลาห์ อัล บาดริ กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นในคืนที่ผ่านมาว่า กลุ่มโอเปกไม่มีการจัดวาระการประชุมเกี่ยวกับการปรับขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันดิบในการประชุมสุดยอดของกลุ่มในวันเสาร์ และอาทิตย์นี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 183
ไฟเขียวก๊าซหุงต้มขึ้นกก.ละ 1.29 บาทมีผลธ.ค.นี้
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มว่า ขณะนี้ได้พิจารณาปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มก่อนสิ้นเดือนธันวาคมนี้แน่นอน โดยมีแนวทางที่จะขยับราคาขึ้นไปอย่างน้อย 1.29 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นระดับที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้าไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้มขณะนี้เพื่อลดภาระของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนการชดเชยของโรงกลั่น ที่เกิดจากการกำหนดเพดานไม่ให้จำหน่ายเกิน 315 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้เกิดส่วนต่างจากราคาส่งออกถึง 13.6 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากขณะนี้ราคาต่างประเทศพุ่งสูงขึ้นไปถึง 740 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้ราคาในประเทศกับราคาต่างประเทศเกิดส่วนต่างในระดับที่มากขึ้น ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะปรับเพดานส่วนนี้อย่างไรบ้าง แต่คงจะปรับเพิ่มเพดานไปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพประชาชนมากเกินไป
หากไม่ปรับราคาก๊าซหุงต้มจะทำให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซหุงต้มในรถยนต์เพิ่มขึ้น หากปล่อยไปอย่างนี้ไม่เกิน 2 ปี ไทยต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มแน่นอน ซึ่งราคานำเข้าจะสูงกว่าตลาดโลก
กระทรวงพาณิชย์ชี้ยังไม่มีสินค้าขอขึ้นราคา
นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน บอกถึงการปรับราคาน้ำมันซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าว่า ขณะนี้ได้คำนวณราคาน้ำมันดีเซลที่จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าไว้แล้ว โดยประเมินราคาน้ำมันสูงสุดลิตรละ 31-31.50 บาท ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าที่กรมการค้าภายในดูแลอยู่ 200 รายการเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 0.0359-4.4290%
ราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันอยู่ที่ลิตรละ28.94 บาท จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าที่ 0.0204-2.5170% โดยสินค้าที่กระทบมากสุดคือ ปูนซีเมนต์ ทั้งนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะใช้น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตเล็กน้อย ส่วนราคาวัตถุดิบจะเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ในการผลิตสินค้า ดังนั้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับการผลิตน้อยมาก
นางวัชรี บอกว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดขอปรับขึ้นราคาสินค้าเพิ่มอีก นอกจากรายที่ขอปรับขึ้นราคาก่อนหน้านี้ 13 สินค้าจาก 588 รายการ ได้แก่ ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ ปุ๋ยเคมี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ยารักษาโรค น้ำมันพืช ผงซักฟอก ยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ผลิตภัณฑ์ล้างจาน น้ำอัดลม ผลิตภัณฑ์นม (นมผง นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยว) และรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกเล็ก
กรมการขนส่งทางบกสั่งรถแท็กซี่ใหม่ใช้เอ็นจีวีปีใหม่นี้
นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รองอธิบดีและโฆษกกรมการขนส่งทางบก บอกว่า กระทรวงคมนาคมได้ประกาศใช้กฎกระทรวงเกี่ยวกับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน(แท็กซี่) พ.ศ.2550 โดยกำหนดให้รถยนต์ที่จะนำมาจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้าง(แท็กซี่) ในเขตกรุงเทพฯจะต้องเป็นรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด (เอ็นจีวี) หรือใช้ก๊าซธรรมชาติอัดร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเจ้าของรถหรือ ผู้ประกอบการจะต้องนำรถไปติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถนำมาจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้างได้ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม2550 เป็นต้นไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มว่า ขณะนี้ได้พิจารณาปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มก่อนสิ้นเดือนธันวาคมนี้แน่นอน โดยมีแนวทางที่จะขยับราคาขึ้นไปอย่างน้อย 1.29 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นระดับที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้าไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้มขณะนี้เพื่อลดภาระของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนการชดเชยของโรงกลั่น ที่เกิดจากการกำหนดเพดานไม่ให้จำหน่ายเกิน 315 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้เกิดส่วนต่างจากราคาส่งออกถึง 13.6 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากขณะนี้ราคาต่างประเทศพุ่งสูงขึ้นไปถึง 740 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้ราคาในประเทศกับราคาต่างประเทศเกิดส่วนต่างในระดับที่มากขึ้น ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะปรับเพดานส่วนนี้อย่างไรบ้าง แต่คงจะปรับเพิ่มเพดานไปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพประชาชนมากเกินไป
หากไม่ปรับราคาก๊าซหุงต้มจะทำให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซหุงต้มในรถยนต์เพิ่มขึ้น หากปล่อยไปอย่างนี้ไม่เกิน 2 ปี ไทยต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มแน่นอน ซึ่งราคานำเข้าจะสูงกว่าตลาดโลก
กระทรวงพาณิชย์ชี้ยังไม่มีสินค้าขอขึ้นราคา
นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน บอกถึงการปรับราคาน้ำมันซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าว่า ขณะนี้ได้คำนวณราคาน้ำมันดีเซลที่จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าไว้แล้ว โดยประเมินราคาน้ำมันสูงสุดลิตรละ 31-31.50 บาท ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าที่กรมการค้าภายในดูแลอยู่ 200 รายการเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 0.0359-4.4290%
ราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันอยู่ที่ลิตรละ28.94 บาท จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าที่ 0.0204-2.5170% โดยสินค้าที่กระทบมากสุดคือ ปูนซีเมนต์ ทั้งนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะใช้น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตเล็กน้อย ส่วนราคาวัตถุดิบจะเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ในการผลิตสินค้า ดังนั้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับการผลิตน้อยมาก
นางวัชรี บอกว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดขอปรับขึ้นราคาสินค้าเพิ่มอีก นอกจากรายที่ขอปรับขึ้นราคาก่อนหน้านี้ 13 สินค้าจาก 588 รายการ ได้แก่ ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ ปุ๋ยเคมี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ยารักษาโรค น้ำมันพืช ผงซักฟอก ยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ผลิตภัณฑ์ล้างจาน น้ำอัดลม ผลิตภัณฑ์นม (นมผง นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยว) และรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกเล็ก
กรมการขนส่งทางบกสั่งรถแท็กซี่ใหม่ใช้เอ็นจีวีปีใหม่นี้
นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รองอธิบดีและโฆษกกรมการขนส่งทางบก บอกว่า กระทรวงคมนาคมได้ประกาศใช้กฎกระทรวงเกี่ยวกับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน(แท็กซี่) พ.ศ.2550 โดยกำหนดให้รถยนต์ที่จะนำมาจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้าง(แท็กซี่) ในเขตกรุงเทพฯจะต้องเป็นรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด (เอ็นจีวี) หรือใช้ก๊าซธรรมชาติอัดร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเจ้าของรถหรือ ผู้ประกอบการจะต้องนำรถไปติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถนำมาจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้างได้ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม2550 เป็นต้นไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 184
ปิยสวัสดิ์สั่งเร่งหาแหล่ง ก๊าซแอลเอ็นจีแทนอิหร่าน
โพสต์ทูเดย์ ปิยสวัสดิ์ เร่งรัดจัดหาแหล่งก๊าซแอลเอ็นจี หวั่นกรณีนำเข้าก๊าซอิหร่านอืด ส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า ยอมรับอาจได้ราคาที่แพงกว่าปกติ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้การเจรจาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากประเทศอิหร่านของบริษัท ปตท. ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และได้สั่งการให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการจัดหาจากประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ทดแทน เนื่องจากเกรงว่าการนำเข้าแอลเอ็นจีจากอิหร่านจะล่าช้ากว่ากำหนด และอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้ ซึ่งหากจำเป็นก็ต้องซื้อแอลเอ็นจีราคาตลาดจร ในราคาประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ที่สูงกว่าปกติ แต่เมื่อเทียบกับค่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นก็ยังต่ำกว่าการใช้น้ำมันเตาผลิตไฟฟ้า เพราะแอลเอ็นจีจะมีต้นทุนประมาณ 2.70 บาท/หน่วย ในขณะที่น้ำมันเตาประมาณ 4 บาท/หน่วย
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 16 พ.ย. จะพิจารณาโครงการทำข้อตกลงเบื้องต้น (เอ็มโอยู) กับประเทศลาว ในการซื้อขายไฟฟ้า โรงไฟฟ้าน้ำอู กำลังผลิต 1 พันเมกะวัตต์ ส่วนกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เจรจากับกัมพูชา เพื่อร่วมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ เกาะกงนั้น ก็นับว่าเป็นโครงการที่จะสร้างประโยชน์ที่ดีต่อทั้ง 2 ประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้ที่โครงการรับซื้อก๊าซแอลเอ็นจีจากอิหร่านจะต้องเลื่อนไปไม่มีกำหนดเนื่องจากบริษัท โททาล จากฝรั่งเศสที่ได้รับสัมปทานแหล่งก๊าซจากอิหร่าน ถูกขอร้องจากรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ให้เข้าไปลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบกับต้นทุนการก่อสร้างของโครงการขนส่งก๊าซมีราคาสูงขึ้น 3 เท่า
ด้านนายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้อำนวยการอาวุโส สายตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม กล่าวว่า ขณะนี้ค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค้าเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ประมาณ 70 สต./ลิตร ซึ่งหากจะให้คุ้มทุนจำเป็นต้องมีค่าการตลาดอย่างน้อย 1.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกค่อนข้างผันผวนหนักมีการขึ้นและลงค่อนข้างแรง ดังนั้นสัปดาห์นี้คาดว่าผู้ค้ารายใหญ่คงจะไม่ปรับราคาเพิ่ม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203915
โพสต์ทูเดย์ ปิยสวัสดิ์ เร่งรัดจัดหาแหล่งก๊าซแอลเอ็นจี หวั่นกรณีนำเข้าก๊าซอิหร่านอืด ส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า ยอมรับอาจได้ราคาที่แพงกว่าปกติ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้การเจรจาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากประเทศอิหร่านของบริษัท ปตท. ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และได้สั่งการให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการจัดหาจากประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ทดแทน เนื่องจากเกรงว่าการนำเข้าแอลเอ็นจีจากอิหร่านจะล่าช้ากว่ากำหนด และอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้ ซึ่งหากจำเป็นก็ต้องซื้อแอลเอ็นจีราคาตลาดจร ในราคาประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ที่สูงกว่าปกติ แต่เมื่อเทียบกับค่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นก็ยังต่ำกว่าการใช้น้ำมันเตาผลิตไฟฟ้า เพราะแอลเอ็นจีจะมีต้นทุนประมาณ 2.70 บาท/หน่วย ในขณะที่น้ำมันเตาประมาณ 4 บาท/หน่วย
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 16 พ.ย. จะพิจารณาโครงการทำข้อตกลงเบื้องต้น (เอ็มโอยู) กับประเทศลาว ในการซื้อขายไฟฟ้า โรงไฟฟ้าน้ำอู กำลังผลิต 1 พันเมกะวัตต์ ส่วนกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เจรจากับกัมพูชา เพื่อร่วมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ เกาะกงนั้น ก็นับว่าเป็นโครงการที่จะสร้างประโยชน์ที่ดีต่อทั้ง 2 ประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้ที่โครงการรับซื้อก๊าซแอลเอ็นจีจากอิหร่านจะต้องเลื่อนไปไม่มีกำหนดเนื่องจากบริษัท โททาล จากฝรั่งเศสที่ได้รับสัมปทานแหล่งก๊าซจากอิหร่าน ถูกขอร้องจากรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ให้เข้าไปลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบกับต้นทุนการก่อสร้างของโครงการขนส่งก๊าซมีราคาสูงขึ้น 3 เท่า
ด้านนายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้อำนวยการอาวุโส สายตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม กล่าวว่า ขณะนี้ค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค้าเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ประมาณ 70 สต./ลิตร ซึ่งหากจะให้คุ้มทุนจำเป็นต้องมีค่าการตลาดอย่างน้อย 1.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกค่อนข้างผันผวนหนักมีการขึ้นและลงค่อนข้างแรง ดังนั้นสัปดาห์นี้คาดว่าผู้ค้ารายใหญ่คงจะไม่ปรับราคาเพิ่ม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203915
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 185
รมต.น้ำมันอัลจีเรียคาดราคาน้ำมันทรงตัวถึง Q1/51 - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 16, 2007
นายชากิป เคลิล รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานอัลจีเรีย บอกในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ว่า ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันจนกระทั่งถึงสิ้นไตรมาสแรกของปีหน้า แต่ไม่น่าจะสูงเกินระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก รวมถึงความหวั่นวิตกเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย เว้นแต่จะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นเข้ามาในพื้นที่ทางตอนเหนือของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ความต้องการน้ำมันสูงขึ้น
รัฐมนตรีพลังงานอัลจีเรียบอกด้วยว่า ความต้องการน้ำมันดิบของจีนและสหรัฐฯ เริ่มที่จะอ่อนตัวลง และในไตรมาส 2/2551 น่าจะได้เห็นราคาน้ำมันทรงตัวหรือลดลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 16, 2007
นายชากิป เคลิล รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานอัลจีเรีย บอกในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ว่า ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันจนกระทั่งถึงสิ้นไตรมาสแรกของปีหน้า แต่ไม่น่าจะสูงเกินระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก รวมถึงความหวั่นวิตกเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย เว้นแต่จะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นเข้ามาในพื้นที่ทางตอนเหนือของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ความต้องการน้ำมันสูงขึ้น
รัฐมนตรีพลังงานอัลจีเรียบอกด้วยว่า ความต้องการน้ำมันดิบของจีนและสหรัฐฯ เริ่มที่จะอ่อนตัวลง และในไตรมาส 2/2551 น่าจะได้เห็นราคาน้ำมันทรงตัวหรือลดลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 186
กพช. อนุมัตินำเงินกองทุนน้ำมันลงทุนระบบขนส่ง ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 16, 2007
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน บอกว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติเห็นชอบการพิจารณาปรับแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ช่วงระหว่างปี 2551-2555 โดยส่วนแรกจะวางแนวทางและหลักเกณฑ์การใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานหรือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบัน ส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่ง ในช่วงปี 2551-2555 วงเงินประมาณ 70,967 ล้านบาท
ส่วนที่ 2 ให้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประมาณ 750 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผลักดันงานด้านเตรียมความพร้อมในช่วงปี 2551 - 2553 ทั้ง ด้านกฎหมาย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน บอกว่า การประชุม กพช. ครั้งนี้ ยังมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) อื่น ๆ อีกด้วย คือ
- รับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำอู จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำลังผลิตรวมประมาณ 1,053 เมกะวัตต์ จ่ายพลังงานไฟฟ้าเข้าระบบประมาณ 4,273 ล้านหน่วยต่อปี ในอัตราค่าไฟฟ้าที่รับซื้อเฉลี่ย 2.07 บาทต่อหน่วย อายุสัญญา 27 ปี โดยกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558
- ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจากประเทศไทย(กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก(SPP) ที่ใช้ระบบผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกันโดยให้สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้มากกว่าที่ประกาศไว้ 500 เมกะวัตต์ ปริมาณรับซื้อโดยรวมไม่เกิน 4,000 เมกะวัตต์
- สนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจากโครงการพลังงานลม และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าและกำหนดระยะเวลาสนับสนุนมากขึ้น และขยายเวลาการสนับสนุนจาก 7 ปี เป็น 10 ปี
นายวีระพลบอกอีกว่า กพช. ยังอนุมัติให้มีการแก้ไขการกำหนดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก จากเดิมกำหนดอายุสัญญาปีต่อปี เป็นอายุสัญญา 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น และเป็นการแก้ไขปัญหาให้สามารถจัดหาแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 16, 2007
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน บอกว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติเห็นชอบการพิจารณาปรับแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ช่วงระหว่างปี 2551-2555 โดยส่วนแรกจะวางแนวทางและหลักเกณฑ์การใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานหรือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบัน ส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่ง ในช่วงปี 2551-2555 วงเงินประมาณ 70,967 ล้านบาท
ส่วนที่ 2 ให้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประมาณ 750 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผลักดันงานด้านเตรียมความพร้อมในช่วงปี 2551 - 2553 ทั้ง ด้านกฎหมาย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน บอกว่า การประชุม กพช. ครั้งนี้ ยังมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) อื่น ๆ อีกด้วย คือ
- รับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำอู จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำลังผลิตรวมประมาณ 1,053 เมกะวัตต์ จ่ายพลังงานไฟฟ้าเข้าระบบประมาณ 4,273 ล้านหน่วยต่อปี ในอัตราค่าไฟฟ้าที่รับซื้อเฉลี่ย 2.07 บาทต่อหน่วย อายุสัญญา 27 ปี โดยกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558
- ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจากประเทศไทย(กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก(SPP) ที่ใช้ระบบผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกันโดยให้สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้มากกว่าที่ประกาศไว้ 500 เมกะวัตต์ ปริมาณรับซื้อโดยรวมไม่เกิน 4,000 เมกะวัตต์
- สนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจากโครงการพลังงานลม และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าและกำหนดระยะเวลาสนับสนุนมากขึ้น และขยายเวลาการสนับสนุนจาก 7 ปี เป็น 10 ปี
นายวีระพลบอกอีกว่า กพช. ยังอนุมัติให้มีการแก้ไขการกำหนดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก จากเดิมกำหนดอายุสัญญาปีต่อปี เป็นอายุสัญญา 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น และเป็นการแก้ไขปัญหาให้สามารถจัดหาแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 187
โอเปก ลดเป้าการใช้น้ำมันดิบทั่วโลก 3 เดือนสุดท้ายปีนี้
กลุ่มโอเปก เปิดเผยรายงานภาวะน้ำมันดิบรายเดือน ล่าสุดประจำเดือนพฤศจิกายน พบว่า กลุ่มโอเปกประเมินเศรษฐกิจสหรัฐใน 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ชะลอตัวลง สาเหตุจาก ราคาน้ำมันดิบที่ทะยานพุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้น้ำมันดิบในเอชีย โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ และในตะวันออกกลางกลับเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มโอเปก ยังปรับลดปริมาณการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ลงอีกวันละ 1 แสนบาร์เรล ในขณะที่ ยังคงปริมาณการใช้น้ำมันดิบในไตรมาสที่ 1 ปีหน้าทั่วโลกไว้เช่นเดิม
ประธานโอเปก ชี้ ราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน อันตราย
ประธานกลุ่มโอเปก นาย โมฮัมหมัด อัล แฮมลิ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีน้ำมันของสหรัฐ อาหรับ เอมริเรต มีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มโอเปก กล่าวว่า ระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบัน อยู่ในระดับที่อันตรายมาก เนื่องจาก ราคาดังกล่าวถูกกดดันอย่างหนัก โดยปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของกลุ่มโอเปกทั้ง 12 ประเทศสมาชิก ประธานกลุ่มโอเปก ยืนยันว่า ในปีนี้ ราคาน้ำมันดิบทะยานเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางกำลังการผลิตมีเพียงพอ ทั้งนี้ กลุ่มโอเปก พร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดความเหมาะสมในตลาดทั้งผู้ผลิต และผู้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
กลุ่มโอเปก เปิดเผยรายงานภาวะน้ำมันดิบรายเดือน ล่าสุดประจำเดือนพฤศจิกายน พบว่า กลุ่มโอเปกประเมินเศรษฐกิจสหรัฐใน 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ชะลอตัวลง สาเหตุจาก ราคาน้ำมันดิบที่ทะยานพุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้น้ำมันดิบในเอชีย โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ และในตะวันออกกลางกลับเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มโอเปก ยังปรับลดปริมาณการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ลงอีกวันละ 1 แสนบาร์เรล ในขณะที่ ยังคงปริมาณการใช้น้ำมันดิบในไตรมาสที่ 1 ปีหน้าทั่วโลกไว้เช่นเดิม
ประธานโอเปก ชี้ ราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน อันตราย
ประธานกลุ่มโอเปก นาย โมฮัมหมัด อัล แฮมลิ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีน้ำมันของสหรัฐ อาหรับ เอมริเรต มีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มโอเปก กล่าวว่า ระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบัน อยู่ในระดับที่อันตรายมาก เนื่องจาก ราคาดังกล่าวถูกกดดันอย่างหนัก โดยปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของกลุ่มโอเปกทั้ง 12 ประเทศสมาชิก ประธานกลุ่มโอเปก ยืนยันว่า ในปีนี้ ราคาน้ำมันดิบทะยานเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางกำลังการผลิตมีเพียงพอ ทั้งนี้ กลุ่มโอเปก พร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดความเหมาะสมในตลาดทั้งผู้ผลิต และผู้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 188
รัฐศึกษาตลาดไฟฟ้าสีเขียว ชี้ปลายปีก๊าซหุงต้มขึ้นราคา
กระทรวงพลังงาน ระบุการขยายพลังงานทดแทนในไทยยังมีข้อจำกัด เล็งศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าพลังงานทดแทน คาดขึ้นราคาก๊าซหุงต้มปลายปีนี้มากกว่า 1.29 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน 100 เมกะวัตต์ ใน 4 ปี
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการสัมมนาประจำปีมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยยอมรับว่า การขยายพลังงานทดแทนในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนส่วนใหญ่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงกว่าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งกระทรวงพลังงานเตรียมนำผลการศึกษาของมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมเรื่องตลาดไฟฟ้าสีเขียวมาใช้
ทั้งนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อไฟฟ้าซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในราคาที่สูงกว่า โดยในปัจจุบันมีหลายประเทศนำมาใช้ สำหรับผู้ที่ต้องการแสดงความรักต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรูปแบบที่นำมาใช้จะมีความแตกต่างจากต่างประเทศ เพราะว่าไทยยังใช้ระบบการผูกขาดการซื้อไฟฟ้าด้วยผู้ซื้อเพียงรายเดียว และเงินที่ได้ก็จะนำมาพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้มีต้นทุนที่ถูกลง และสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงเชิงพาณิชย์ได้
พร้อมกันนี้ นายปิยสวัสดิ์ ยอมรับว่า จะต้องศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมเพื่อจูงใจให้ประชาชน และองค์กรที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมหันมาใช้ โดยเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีเอกชน 10 รายที่สนใจ ส่วนการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มนั้นคาดว่าปลายปีนี้รัฐบาลอาจปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มมากกว่า 1.29 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราที่เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยให้อยู่ในขณะนี้
สำหรับผลจากการจัดสัมมนาที่ จ.ขอนแก่น ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังทดแทน กระทรวงพลังงาน เนื่องจากปัญหาขยะชุมชน มีข้อสรุปว่า ปัญหาขยะชุมชนได้ส่งผลกระทบหลายด้าน ทางกระทรวงพลังงานจึงกำหนดเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน จำนวน 100 เมกะวัตต์ ในปี 2554 ซึ่งปัจจุบันนี้การผลิตพลังงานจากขยะยังไม่แพร่หลาย มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย กระทรวงพลังงานจึงมีมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ ได้แก่ สนับสนุนด้านการประกันราคาในการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม 2.50 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ใช้ผลิตพลังงานทดแทน พร้อมทั้งยกเว้นภาษีรายได้เป็นเวลา 8 ปี ซึ่งโครงการผลิตพลังงานจากขยะจะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเธนออกสู่บรรยากาศ เป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อน
ขณะเดียวกัน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ ยังได้ระบุว่า ปัจจุบันนี้มีขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นประมาณ 40,000 ตันต่อวัน ซึ่งร้อยละ 50 เป็นขยะอินทรีย์ที่ผลิตก๊าซชีวภาพได้ ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่ชุมชนมีขยะเกิน 100 ตันต่อวัน ก็จะมีโครงการสาธิตการผลิตพลังงาน ซึ่งขณะนี้ได้ทำต้นแบบใน 5 จังหวัดไว้แล้ว ได้แก่ เทศบาลเมืองกำแพงเพชร เทศบาลตำบลสามชุก จ.สุพรรณบุรี เทศบาลเมืองสกลนคร เทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเทศบาลเมืองทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
กระทรวงพลังงาน ระบุการขยายพลังงานทดแทนในไทยยังมีข้อจำกัด เล็งศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าพลังงานทดแทน คาดขึ้นราคาก๊าซหุงต้มปลายปีนี้มากกว่า 1.29 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน 100 เมกะวัตต์ ใน 4 ปี
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการสัมมนาประจำปีมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยยอมรับว่า การขยายพลังงานทดแทนในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนส่วนใหญ่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงกว่าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งกระทรวงพลังงานเตรียมนำผลการศึกษาของมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมเรื่องตลาดไฟฟ้าสีเขียวมาใช้
ทั้งนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อไฟฟ้าซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในราคาที่สูงกว่า โดยในปัจจุบันมีหลายประเทศนำมาใช้ สำหรับผู้ที่ต้องการแสดงความรักต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรูปแบบที่นำมาใช้จะมีความแตกต่างจากต่างประเทศ เพราะว่าไทยยังใช้ระบบการผูกขาดการซื้อไฟฟ้าด้วยผู้ซื้อเพียงรายเดียว และเงินที่ได้ก็จะนำมาพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้มีต้นทุนที่ถูกลง และสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงเชิงพาณิชย์ได้
พร้อมกันนี้ นายปิยสวัสดิ์ ยอมรับว่า จะต้องศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมเพื่อจูงใจให้ประชาชน และองค์กรที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมหันมาใช้ โดยเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีเอกชน 10 รายที่สนใจ ส่วนการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มนั้นคาดว่าปลายปีนี้รัฐบาลอาจปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มมากกว่า 1.29 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราที่เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยให้อยู่ในขณะนี้
สำหรับผลจากการจัดสัมมนาที่ จ.ขอนแก่น ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังทดแทน กระทรวงพลังงาน เนื่องจากปัญหาขยะชุมชน มีข้อสรุปว่า ปัญหาขยะชุมชนได้ส่งผลกระทบหลายด้าน ทางกระทรวงพลังงานจึงกำหนดเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน จำนวน 100 เมกะวัตต์ ในปี 2554 ซึ่งปัจจุบันนี้การผลิตพลังงานจากขยะยังไม่แพร่หลาย มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย กระทรวงพลังงานจึงมีมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ ได้แก่ สนับสนุนด้านการประกันราคาในการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม 2.50 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ใช้ผลิตพลังงานทดแทน พร้อมทั้งยกเว้นภาษีรายได้เป็นเวลา 8 ปี ซึ่งโครงการผลิตพลังงานจากขยะจะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเธนออกสู่บรรยากาศ เป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อน
ขณะเดียวกัน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ ยังได้ระบุว่า ปัจจุบันนี้มีขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นประมาณ 40,000 ตันต่อวัน ซึ่งร้อยละ 50 เป็นขยะอินทรีย์ที่ผลิตก๊าซชีวภาพได้ ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่ชุมชนมีขยะเกิน 100 ตันต่อวัน ก็จะมีโครงการสาธิตการผลิตพลังงาน ซึ่งขณะนี้ได้ทำต้นแบบใน 5 จังหวัดไว้แล้ว ได้แก่ เทศบาลเมืองกำแพงเพชร เทศบาลตำบลสามชุก จ.สุพรรณบุรี เทศบาลเมืองสกลนคร เทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเทศบาลเมืองทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 189
เบื้องหลังน้ำมันโลกพุ่ง
16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 00:00:00
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเดินหน้าทำสถิติสูงสุดและมีการคาดหมายว่ากำลังมุ่งหน้าสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ แม้ขณะนี้จะปรับตัวลดลงบ้างก็ตาม
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สาเหตุประการหนึ่งสืบเนื่องมาจากที่รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดในโลก กล่าวว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะหารือประเด็นเพิ่มการผลิตเพื่อยับยั้งการพุ่งขึ้นของราคา โดยรัฐมนตรีน้ำมันกลุ่มโอเปคจะประชุมเพื่อกำหนดนโยบายในวันที่ 5 ธ.ค. จริงๆ แล้วในการประชุมเมื่อเดือน ต.ค. โอเปคก็ได้ตัดสินใจเพิ่มการผลิตขึ้นแล้ววันละ 500,000 บาร์เรล มีผลตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. แต่การเคลื่อนไหวนี้ดูเหมือนมีผลเล็กน้อยต่อราคาน้ำมัน
มาในครั้งนี้เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์หลายรายจึงมองกันว่า หากกลุ่มโอเปคเพิ่มการผลิตอีกจริง ก็อาจมีผลที่จำกัดต่อราคาน้ำมัน เพราะน้ำมันดิบซื้อขายล่วงหน้าที่ทะยานขึ้นทำลายสถิติอยู่ในระยะหลัง เป็นผลมาจากการเก็งกำไร มากกว่าสืบเนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบที่แท้จริง โดยมีนักวิเคราะห์เพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานเรื่องของอุปทานและอุปสงค์ เป็นตัวผลักดันให้ราคาทะยานขึ้น
ในทางกลับกัน หลายคนมองว่าการลงทุนเพื่อเก็งกำไรผลจากดอลลาร์อ่อนค่า เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาพุ่งทำลายสถิติ ทั้งนี้เพราะการซื้อขายน้ำมันในตลาดล่วงหน้าเป็นแหล่งหลบภัยที่ดีในยามเงินดอลลาร์อ่อนค่า นอกจากนั้น การซื้อ-ขายน้ำมันล่วงหน้าในรูปเงินดอลลาร์ยังเป็นสิ่งจูงใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่เงินดอลลาร์กำลังอ่อนค่า
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางส่วนก็เชื่อว่าอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและอินเดีย เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อช่วงต้นเดือน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศได้เตือนว่าความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในโลก โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย อาจทำให้เกิดความตึงตัวด้านการจัดหาในช่วงต้นปี 2558 ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศผู้ผลิตมีการผลิตน้ำมันวันละประมาณ 85 ล้านบาร์เรล ขณะที่กระทรวงพลังงานสหรัฐระบุว่าการบริโภคอยู่ที่ระดับ 85-86 ล้านบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการกลุ่มโอเปคระบุว่าไม่ควรโทษจีนกับอินเดียว่าเป็นต้นเหตุให้ราคาน้ำมันโลกทะยานลิ่ว เพราะการบริโภคน้ำมันของทั้งสองประเทศอยู่ในระดับปกติ สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศ ขณะที่อิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ในกลุ่มโอเปค ก็ระบุว่ามีน้ำมันมากพอในตลาดขณะนี้ และการเพิ่มโควตาการผลิตจะไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลก พร้อมระบุว่าการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นเหตุผลหลักประการหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งลิ่ว
ในช่วงที่ราคาน้ำมันกำลังพุ่งทำสถิติไม่หยุดหย่อนนี้ มีการมองว่าราคาอาจจะปรับฐานลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ อย่างกรณีที่คำพูดของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มจะชะลอตัวในครึ่งแรกของปีหน้า ปรากฏว่าคำพูดนี้สร้างความวิตกแก่เทรดเดอร์ในตลาดน้ำมันอย่างมาก เพราะหวั่นว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะกระทบต่อความต้องการน้ำมัน
นอกจากนั้น นักวิเคราะห์บางคนยังมองว่าหากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ การขยายตัวด้านการบริโภคน้ำมันก็น่าจะชะลอตัวลง แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ที่ลดการคาดหมายความต้องการน้ำมันสำหรับไตรมาส 4 ลง 500,000 บาร์เรลต่อวัน และลดความต้องการน้ำมันสำหรับปีหน้าลงวันละ 300,000 บาร์เรล
อีกทั้งยังมีการมองว่า การที่จีนและอินเดียอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ ทำให้ผู้บริโภคไม่ค่อยรู้สึกถึงผลกระทบจากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันมากนัก แต่รัฐวิสาหกิจน้ำมันกำลังเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้จีนก็ได้ขึ้นราคาค้าปลีกน้ำมันประมาณ 10% ซึ่งหากสถานการณ์เป็นไปในแง่ที่ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระมากขึ้น ความต้องการน้ำมันก็อาจลดลงได้ในที่สุด สำหรับผู้บริโภคชาวไทยนั้น ก็คงจะตระหนักกันดีแล้วว่าการใช้ชีวิตและการบริโภคแบบพอเพียง เป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสถานการณ์น้ำมันแพงในยุคปัจจุบัน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=202730
16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 00:00:00
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเดินหน้าทำสถิติสูงสุดและมีการคาดหมายว่ากำลังมุ่งหน้าสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ แม้ขณะนี้จะปรับตัวลดลงบ้างก็ตาม
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สาเหตุประการหนึ่งสืบเนื่องมาจากที่รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดในโลก กล่าวว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะหารือประเด็นเพิ่มการผลิตเพื่อยับยั้งการพุ่งขึ้นของราคา โดยรัฐมนตรีน้ำมันกลุ่มโอเปคจะประชุมเพื่อกำหนดนโยบายในวันที่ 5 ธ.ค. จริงๆ แล้วในการประชุมเมื่อเดือน ต.ค. โอเปคก็ได้ตัดสินใจเพิ่มการผลิตขึ้นแล้ววันละ 500,000 บาร์เรล มีผลตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. แต่การเคลื่อนไหวนี้ดูเหมือนมีผลเล็กน้อยต่อราคาน้ำมัน
มาในครั้งนี้เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์หลายรายจึงมองกันว่า หากกลุ่มโอเปคเพิ่มการผลิตอีกจริง ก็อาจมีผลที่จำกัดต่อราคาน้ำมัน เพราะน้ำมันดิบซื้อขายล่วงหน้าที่ทะยานขึ้นทำลายสถิติอยู่ในระยะหลัง เป็นผลมาจากการเก็งกำไร มากกว่าสืบเนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบที่แท้จริง โดยมีนักวิเคราะห์เพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานเรื่องของอุปทานและอุปสงค์ เป็นตัวผลักดันให้ราคาทะยานขึ้น
ในทางกลับกัน หลายคนมองว่าการลงทุนเพื่อเก็งกำไรผลจากดอลลาร์อ่อนค่า เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาพุ่งทำลายสถิติ ทั้งนี้เพราะการซื้อขายน้ำมันในตลาดล่วงหน้าเป็นแหล่งหลบภัยที่ดีในยามเงินดอลลาร์อ่อนค่า นอกจากนั้น การซื้อ-ขายน้ำมันล่วงหน้าในรูปเงินดอลลาร์ยังเป็นสิ่งจูงใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่เงินดอลลาร์กำลังอ่อนค่า
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางส่วนก็เชื่อว่าอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและอินเดีย เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อช่วงต้นเดือน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศได้เตือนว่าความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในโลก โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย อาจทำให้เกิดความตึงตัวด้านการจัดหาในช่วงต้นปี 2558 ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศผู้ผลิตมีการผลิตน้ำมันวันละประมาณ 85 ล้านบาร์เรล ขณะที่กระทรวงพลังงานสหรัฐระบุว่าการบริโภคอยู่ที่ระดับ 85-86 ล้านบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการกลุ่มโอเปคระบุว่าไม่ควรโทษจีนกับอินเดียว่าเป็นต้นเหตุให้ราคาน้ำมันโลกทะยานลิ่ว เพราะการบริโภคน้ำมันของทั้งสองประเทศอยู่ในระดับปกติ สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศ ขณะที่อิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ในกลุ่มโอเปค ก็ระบุว่ามีน้ำมันมากพอในตลาดขณะนี้ และการเพิ่มโควตาการผลิตจะไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลก พร้อมระบุว่าการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นเหตุผลหลักประการหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งลิ่ว
ในช่วงที่ราคาน้ำมันกำลังพุ่งทำสถิติไม่หยุดหย่อนนี้ มีการมองว่าราคาอาจจะปรับฐานลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ อย่างกรณีที่คำพูดของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มจะชะลอตัวในครึ่งแรกของปีหน้า ปรากฏว่าคำพูดนี้สร้างความวิตกแก่เทรดเดอร์ในตลาดน้ำมันอย่างมาก เพราะหวั่นว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะกระทบต่อความต้องการน้ำมัน
นอกจากนั้น นักวิเคราะห์บางคนยังมองว่าหากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ การขยายตัวด้านการบริโภคน้ำมันก็น่าจะชะลอตัวลง แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ที่ลดการคาดหมายความต้องการน้ำมันสำหรับไตรมาส 4 ลง 500,000 บาร์เรลต่อวัน และลดความต้องการน้ำมันสำหรับปีหน้าลงวันละ 300,000 บาร์เรล
อีกทั้งยังมีการมองว่า การที่จีนและอินเดียอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ ทำให้ผู้บริโภคไม่ค่อยรู้สึกถึงผลกระทบจากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันมากนัก แต่รัฐวิสาหกิจน้ำมันกำลังเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้จีนก็ได้ขึ้นราคาค้าปลีกน้ำมันประมาณ 10% ซึ่งหากสถานการณ์เป็นไปในแง่ที่ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระมากขึ้น ความต้องการน้ำมันก็อาจลดลงได้ในที่สุด สำหรับผู้บริโภคชาวไทยนั้น ก็คงจะตระหนักกันดีแล้วว่าการใช้ชีวิตและการบริโภคแบบพอเพียง เป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสถานการณ์น้ำมันแพงในยุคปัจจุบัน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=202730
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 190
สถานการณ์ราคาน้ำมัน
14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:14:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 1.74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก
รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดิอาระเบียแถลงว่า กลุ่มโอเปกจะมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงริยารด์ ในวันที่ 17 - 18 พ.ย.นี้ เพื่อหารือกันถึงการเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันดิบ
รัฐมนตรีน้ำมันของคูเวตออกมาแถลงว่า กลุ่มโอเปกอาจจะพิจารณาเพิ่มเพดานการผลิต หากตลาดต้องการ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี ในการซื้อขายระหว่างวันเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร แต่ก็มีการวิเคราะห์ว่าการแข็งค่าดังกล่าวอาจเกิดจากการที่นักลงทุนพากันเข้ามาซื้อขายทำกำไรในระยะนี้
Total กลับมาเปิดดำเนินการโรงกลั่นในฝรั่งเศส กำลังการผลิต 328,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งช่วยทำให้ตลาดคลายความกังวลในเรื่องอุปทานน้ำมันที่ใช้ทำความร้อนที่จะมารองรับฤดูหนาวนี้
น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.29 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินเดียขายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 จำนวน 300,000 บาร์เรล สำหรับการส่งมอบกลางเดือนพ.ย. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
มีการขายน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 50,000 บาร์เรล สำหรับการส่งมอบปลายเดือนพ.ย. คิดเป็นปริมาณรวม 400,000 บาร์เรล นับจากครึ่งเดือนหลังของเดือนต.ค. มีส่วนให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม อุปทานในภูมิภาคยังอยู่ในภาวะตึงตัว เนื่องจากจีนลดการส่งออกน้ำมันเบนซินลง
ตลาดคาดว่าอินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันเบนซินออกเทน 88 และออกเทน 92 จำนวนรวมกัน 4.2-4.4 ล้านบาร์เรล สำหรับงวดเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับที่นำเข้าในเดือน พ.ย. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวลดลง 1.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง รวมทั้ง
มีการเทขายน้ำมันอากาศยาน จำนวน 300,000 บาร์เรล สำหรับงวดปลายเดือนพ.ย. แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ มีส่วนกดดันราคาให้ปรับลดลง
อุปสงค์น้ำมันอากาศยานจากจีนที่ขาดหายไปในช่วงนี้ ส่งผลให้ตลาดซบเซาลง
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีแผนจะซื้อน้ำมันอากาศยานจำนวน 140,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบกลางเดือน พ.ย. เนื่องจากโรงกลั่น Dumai (กำลังการผลิต 120,000 บาร์เรลต่อวัน) ปิดซ่อมบำรุงในเดือน พ.ย. มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
โรงกลั่นน้ำมันในจีนรายงานถึงกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 3 % ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลจีนปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้จีนอาจจะนำเข้าน้ำมันดีเซลน้อยลง ทำให้อุปทานในภูมิภาคลดความตึงตัวลงได้บ้าง
อินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันดีเซลในปริมาณปกติที่จำนวน 6 ล้านบาร์เรล สำหรับงวดเดือนธันวาคม ซึ่งต่ำกว่าที่เคยนำเข้าที่จำนวน 8 ล้านบาร์เรล สำหรับงวดเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงสุดในรอบ 2 ปี ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
มีการเสนอขายน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.5 % แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงสภาพตลาดที่ไม่สดใสนัก
อย่างไรก็ตามอุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงตึงตัว เนื่องจากประเทศในเขตหนาวพากันสำรองไว้ใช้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังมาถึง
น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวลดลง 0.46 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินเดียเสนอขายน้ำมันเตาความหนืดสูง จำนวน 25,000 - 30,000 ตัน สำหรับการส่งมอบกลางเดือนธ.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
ไทยเสนอขายน้ำมันเตาความหนืดสูงจำนวน 40,000 ตัน เป็นน้ำมันเตาเที่ยวที่ 2 แล้ว ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามมีผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งเข้ามาซื้อน้ำมันเตาความหนืดต่ำจำนวน 60,000 ตัน สำหรับงวดปลายเดือน พ.ย. คิดเป็นปริมาณรวมทั้งสิ้น 1 ล้านตันแล้ว ส่งผลให้น้ำมันเตาในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง
ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=202043
14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:14:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 1.74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก
รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดิอาระเบียแถลงว่า กลุ่มโอเปกจะมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงริยารด์ ในวันที่ 17 - 18 พ.ย.นี้ เพื่อหารือกันถึงการเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันดิบ
รัฐมนตรีน้ำมันของคูเวตออกมาแถลงว่า กลุ่มโอเปกอาจจะพิจารณาเพิ่มเพดานการผลิต หากตลาดต้องการ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี ในการซื้อขายระหว่างวันเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร แต่ก็มีการวิเคราะห์ว่าการแข็งค่าดังกล่าวอาจเกิดจากการที่นักลงทุนพากันเข้ามาซื้อขายทำกำไรในระยะนี้
Total กลับมาเปิดดำเนินการโรงกลั่นในฝรั่งเศส กำลังการผลิต 328,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งช่วยทำให้ตลาดคลายความกังวลในเรื่องอุปทานน้ำมันที่ใช้ทำความร้อนที่จะมารองรับฤดูหนาวนี้
น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.29 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินเดียขายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 จำนวน 300,000 บาร์เรล สำหรับการส่งมอบกลางเดือนพ.ย. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
มีการขายน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 50,000 บาร์เรล สำหรับการส่งมอบปลายเดือนพ.ย. คิดเป็นปริมาณรวม 400,000 บาร์เรล นับจากครึ่งเดือนหลังของเดือนต.ค. มีส่วนให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม อุปทานในภูมิภาคยังอยู่ในภาวะตึงตัว เนื่องจากจีนลดการส่งออกน้ำมันเบนซินลง
ตลาดคาดว่าอินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันเบนซินออกเทน 88 และออกเทน 92 จำนวนรวมกัน 4.2-4.4 ล้านบาร์เรล สำหรับงวดเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับที่นำเข้าในเดือน พ.ย. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวลดลง 1.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง รวมทั้ง
มีการเทขายน้ำมันอากาศยาน จำนวน 300,000 บาร์เรล สำหรับงวดปลายเดือนพ.ย. แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ มีส่วนกดดันราคาให้ปรับลดลง
อุปสงค์น้ำมันอากาศยานจากจีนที่ขาดหายไปในช่วงนี้ ส่งผลให้ตลาดซบเซาลง
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีแผนจะซื้อน้ำมันอากาศยานจำนวน 140,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบกลางเดือน พ.ย. เนื่องจากโรงกลั่น Dumai (กำลังการผลิต 120,000 บาร์เรลต่อวัน) ปิดซ่อมบำรุงในเดือน พ.ย. มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
โรงกลั่นน้ำมันในจีนรายงานถึงกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 3 % ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลจีนปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้จีนอาจจะนำเข้าน้ำมันดีเซลน้อยลง ทำให้อุปทานในภูมิภาคลดความตึงตัวลงได้บ้าง
อินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันดีเซลในปริมาณปกติที่จำนวน 6 ล้านบาร์เรล สำหรับงวดเดือนธันวาคม ซึ่งต่ำกว่าที่เคยนำเข้าที่จำนวน 8 ล้านบาร์เรล สำหรับงวดเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงสุดในรอบ 2 ปี ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
มีการเสนอขายน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.5 % แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงสภาพตลาดที่ไม่สดใสนัก
อย่างไรก็ตามอุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงตึงตัว เนื่องจากประเทศในเขตหนาวพากันสำรองไว้ใช้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังมาถึง
น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวลดลง 0.46 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินเดียเสนอขายน้ำมันเตาความหนืดสูง จำนวน 25,000 - 30,000 ตัน สำหรับการส่งมอบกลางเดือนธ.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
ไทยเสนอขายน้ำมันเตาความหนืดสูงจำนวน 40,000 ตัน เป็นน้ำมันเตาเที่ยวที่ 2 แล้ว ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามมีผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งเข้ามาซื้อน้ำมันเตาความหนืดต่ำจำนวน 60,000 ตัน สำหรับงวดปลายเดือน พ.ย. คิดเป็นปริมาณรวมทั้งสิ้น 1 ล้านตันแล้ว ส่งผลให้น้ำมันเตาในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง
ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=202043
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/11/07
โพสต์ที่ 191
ผู้นำอิหร่านชี้ ราคาน้ำมันตอนนี้ยังไม่ใช่ราคาที่แท้จริง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2550 18:14 น.
เอเอฟพี ประธานาธิบดีมาห์มุด อะห์มาดิเนจัดของอิหร่านเผย ราคาน้ำมันดิบ ที่ทะยานขึ้นสูงเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอรายงาน
แรงกดดันในตลาดค้าพลังงานฟอสซิล (น้ำมัน) ไม่ใช่เรื่องกุขึ้น และราคาน้ำมันที่ซื้อขายกันนั้นก็ยังต่ำกว่าราคาที่แท้จริงอยู่ด้วย อะห์มาดิเนจัดกล่าวก่อนออกเดินทางจากเตหะรานไปร่วมประชุมโอเปคซัมมิตที่ซาอุดีอาระเบีย
อะห์มาดิเนจัดยังชี้ว่า ราคาน้ำมันที่ใช้ค่าเงินดอลลาร์นั้นส่งผลต่อประเทศผู้ผลิตน้ำมันด้วย
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันสูงขึ้นมากกว่า 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ (16) ที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าโอเปคจะไม่หารือเรื่องการเพิ่มจำนวนผลิตน้ำมัน ในการประชุมซัมมิตดังกล่าว รวมถึงความตึงเครียดเกี่ยวกับอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกด้วย
ด้วยการสนับสนุนของทางเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯ อิหร่านเรียกร้องการประกาศครั้งสุดท้ายของการประชุมสุดยอด เพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์ที่ตกต่ำ และผลกระทบต่อรายได้จากการค้าน้ำมัน
ทว่า เลขาธิการโอเปค อับดัลลาห์ ซาเล็ม เอบาดรี กล่าวภายหลังว่า ประเด็นค่าเงินดอลลาร์จะไม่ถูกกล่าวถึงในแถลงการณ์ของการประชุมท้ายสุด
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000136574
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2550 18:14 น.
เอเอฟพี ประธานาธิบดีมาห์มุด อะห์มาดิเนจัดของอิหร่านเผย ราคาน้ำมันดิบ ที่ทะยานขึ้นสูงเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอรายงาน
แรงกดดันในตลาดค้าพลังงานฟอสซิล (น้ำมัน) ไม่ใช่เรื่องกุขึ้น และราคาน้ำมันที่ซื้อขายกันนั้นก็ยังต่ำกว่าราคาที่แท้จริงอยู่ด้วย อะห์มาดิเนจัดกล่าวก่อนออกเดินทางจากเตหะรานไปร่วมประชุมโอเปคซัมมิตที่ซาอุดีอาระเบีย
อะห์มาดิเนจัดยังชี้ว่า ราคาน้ำมันที่ใช้ค่าเงินดอลลาร์นั้นส่งผลต่อประเทศผู้ผลิตน้ำมันด้วย
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันสูงขึ้นมากกว่า 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ (16) ที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าโอเปคจะไม่หารือเรื่องการเพิ่มจำนวนผลิตน้ำมัน ในการประชุมซัมมิตดังกล่าว รวมถึงความตึงเครียดเกี่ยวกับอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกด้วย
ด้วยการสนับสนุนของทางเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯ อิหร่านเรียกร้องการประกาศครั้งสุดท้ายของการประชุมสุดยอด เพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์ที่ตกต่ำ และผลกระทบต่อรายได้จากการค้าน้ำมัน
ทว่า เลขาธิการโอเปค อับดัลลาห์ ซาเล็ม เอบาดรี กล่าวภายหลังว่า ประเด็นค่าเงินดอลลาร์จะไม่ถูกกล่าวถึงในแถลงการณ์ของการประชุมท้ายสุด
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000136574
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 192
จี้โรงกลั่นเร่งเครื่องผลิตแก๊สโซฮอล์91
โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพลังงาน เตรียมเรียกประชุมโรงกลั่นน้ำมันบีบ ผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ให้เวลาปรับปรุงกระบวนการผลิต 6 เดือน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ กระทรวงพลังงานจะเรียกผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมด มาหารือถึงนโยบายส่งเสริมการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 โดยจะสอบถามถึงความพร้อมของแต่ละโรงกลั่นในการที่จะปรับกระบวนการผลิต ให้สามารถผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ได้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
โดยเบื้องต้นต้องการให้โรงกลั่นปรับกระบวนการผลิตให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเริ่มจำหน่าย แก๊สโซฮอล์ 91 ได้เต็มที่ในช่วงเดือน มิ.ย. 2551 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงพลังงานต้องการเร่งให้จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 เร็วขึ้น เพื่อทดแทนการจำหน่ายเบนซิน 91 หลังจากที่นโยบายแก๊สโซฮอล์ 95 ประสบความสำเร็จ จนมีบริษัทน้ำมันหลายค่ายมีแผนชัดเจนที่จะยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95
จากการศึกษาของกระทรวงพลังงานพบว่า กระบวนการผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 สามารถดำเนินการได้ไม่ยุ่งยาก โดยเปลี่ยนชนิดน้ำมันดิบที่ใช้อยู่ จากเดิมที่มีการซื้อน้ำมันดิบชนิดที่กลั่นแล้วเบนซินระเหยเร็วมาเป็นชนิดที่กลั่นแล้วได้เบนซินที่ระเหยได้ช้า เพียงแต่มีราคาที่สูงกว่าปกติเท่านั้นเพราะเมื่อผสมเอทานอลแล้วจะได้ไม่มีปัญหาการทำปฏิกิริยาที่ระเหยเร็วเกินไปต่อการเผาผลาญ ส่วนการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์หอกลั่นสามารถนำเข้าเครื่องมาจากต่างประเทศได้ ใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน
สำหรับยอดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 95 ขณะนี้ถือว่ามีการขยายตัว ต่อเนื่องในระดับ 5 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากมีแรงจูงใจจากส่วนต่างราคาที่ถูกกว่าเบนซิน 95 อยู่ 3.50 บาท ในขณะที่ผู้ค้าน้ำมันได้ผลตอบแทนจากค่าการตลาดที่ดี โดยปัจจุบันค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์ 95 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร แต่เบนซิน 95 เหลือเพียง 60 สต./ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 มีค่าการตลาดอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร และเบนซิน 91 อยู่ที่ 60 สต./ลิตร
แหล่งข่าว เปิดเผยว่า ในปี 2551 กระทรวงพลังงานจะส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ 91 เพื่อลดสัดส่วนการจำหน่ายเบนซิน 91 ให้ลดลงไปด้วย ซึ่งจะทำให้หัวจ่ายน้ำมันในปั๊ม มีแก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91 พร้อมๆ กัน
ขณะเดียวกันยังมีแผนส่งเสริมการจำหน่ายอี 20 ด้วย เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 มติ ครม.ที่ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ที่ใช้น้ำมันอี 20 โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ในขณะที่มีค่ายรถยนต์ 4 แห่งที่จะนำรถยนต์ที่ใช้อี 20 ได้มาเปิดตลาดในปีหน้า จำนวน 6 หมื่นคัน และจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากได้รับการปรับลดภาษีสรรพสามิต
อย่างไรก็ ตามการจำหน่ายเบนซิน 91 จะเหลือในปั๊มบางแห่งเท่านั้น เหมือนกรณีของเบนซิน 95 เนื่องจากยังมีรถยนต์เก่าจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถเติมแก๊สโซฮอล์ได้ รวมทั้งรถมอเตอร์ไซค์ด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204394
โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพลังงาน เตรียมเรียกประชุมโรงกลั่นน้ำมันบีบ ผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ให้เวลาปรับปรุงกระบวนการผลิต 6 เดือน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ กระทรวงพลังงานจะเรียกผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมด มาหารือถึงนโยบายส่งเสริมการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 โดยจะสอบถามถึงความพร้อมของแต่ละโรงกลั่นในการที่จะปรับกระบวนการผลิต ให้สามารถผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ได้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
โดยเบื้องต้นต้องการให้โรงกลั่นปรับกระบวนการผลิตให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเริ่มจำหน่าย แก๊สโซฮอล์ 91 ได้เต็มที่ในช่วงเดือน มิ.ย. 2551 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงพลังงานต้องการเร่งให้จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 เร็วขึ้น เพื่อทดแทนการจำหน่ายเบนซิน 91 หลังจากที่นโยบายแก๊สโซฮอล์ 95 ประสบความสำเร็จ จนมีบริษัทน้ำมันหลายค่ายมีแผนชัดเจนที่จะยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95
จากการศึกษาของกระทรวงพลังงานพบว่า กระบวนการผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 สามารถดำเนินการได้ไม่ยุ่งยาก โดยเปลี่ยนชนิดน้ำมันดิบที่ใช้อยู่ จากเดิมที่มีการซื้อน้ำมันดิบชนิดที่กลั่นแล้วเบนซินระเหยเร็วมาเป็นชนิดที่กลั่นแล้วได้เบนซินที่ระเหยได้ช้า เพียงแต่มีราคาที่สูงกว่าปกติเท่านั้นเพราะเมื่อผสมเอทานอลแล้วจะได้ไม่มีปัญหาการทำปฏิกิริยาที่ระเหยเร็วเกินไปต่อการเผาผลาญ ส่วนการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์หอกลั่นสามารถนำเข้าเครื่องมาจากต่างประเทศได้ ใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน
สำหรับยอดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 95 ขณะนี้ถือว่ามีการขยายตัว ต่อเนื่องในระดับ 5 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากมีแรงจูงใจจากส่วนต่างราคาที่ถูกกว่าเบนซิน 95 อยู่ 3.50 บาท ในขณะที่ผู้ค้าน้ำมันได้ผลตอบแทนจากค่าการตลาดที่ดี โดยปัจจุบันค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์ 95 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร แต่เบนซิน 95 เหลือเพียง 60 สต./ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 มีค่าการตลาดอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร และเบนซิน 91 อยู่ที่ 60 สต./ลิตร
แหล่งข่าว เปิดเผยว่า ในปี 2551 กระทรวงพลังงานจะส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ 91 เพื่อลดสัดส่วนการจำหน่ายเบนซิน 91 ให้ลดลงไปด้วย ซึ่งจะทำให้หัวจ่ายน้ำมันในปั๊ม มีแก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91 พร้อมๆ กัน
ขณะเดียวกันยังมีแผนส่งเสริมการจำหน่ายอี 20 ด้วย เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 มติ ครม.ที่ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ที่ใช้น้ำมันอี 20 โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ในขณะที่มีค่ายรถยนต์ 4 แห่งที่จะนำรถยนต์ที่ใช้อี 20 ได้มาเปิดตลาดในปีหน้า จำนวน 6 หมื่นคัน และจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากได้รับการปรับลดภาษีสรรพสามิต
อย่างไรก็ ตามการจำหน่ายเบนซิน 91 จะเหลือในปั๊มบางแห่งเท่านั้น เหมือนกรณีของเบนซิน 95 เนื่องจากยังมีรถยนต์เก่าจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถเติมแก๊สโซฮอล์ได้ รวมทั้งรถมอเตอร์ไซค์ด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204394
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 193
ราคาน้ำมันดิบพุ่ง รับโอเปกไม่เพิ่มกำลังการผลิต แถมยังมีความกังวลข่าวสหรัฐพร้อมก่อสงครามกับอิหร่าน
Posted on Monday, November 19, 2007
ถึงแม้การประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) จะปิดฉากลงไปแล้ว โดยการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีกลุ่มโอเปกไม่มีการหารือกันเรื่องการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน และไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเรื่องผลผลิตน้ำมันในระยะสั้น นอกจากการให้คำมั่นสัญญาว่า พร้อมจัดหาน้ำมันให้เพียงพอกับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้น้ำมันในซีกโลกตะวันตก
โดยกษัตริย์อับดุลเลาะห์ แห่งซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า พระองค์ค่อนข้างพอพระทัยกับราคาน้ำมันในระดับปัจจุบัน และกล่าวว่า ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากระดับในช่วงทศวรรษที่ 1980 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้หลายกลุ่มประเทศผู้ใช้น้ำมันหลายประเทศเรียกร้องให้โอเปคผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นก็ตาม
แต่ขณะเดียวกัน ที่ประชุมกลับยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในเรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียล ระบุว่า การอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ บาร์เรลละ 98.62 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 7 พฤศจากายนที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มผู้ใช้น้ำมันในประเทศตะวันตก ออกมาเรียกร้องให้โอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อกดราคาน้ำมันให้ลดต่ำลง
โดยประธานาธิบดีมาห์หมุด อามาดิเนจ้าด ของอิหร่าน เสนอให้โอเปก หันมาค้าขายน้ำมันโดยใช้เงินสกุลอื่น แทนเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และการที่ธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มประเทศตะวันตก กำหนดภาษีในระดับสูงนั้น ทำให้โอเปกไม่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวยืนยันว่า อิหร่านไม่เคยคิดที่จะใช้น้ำมันเป็นอาวุธถ้าหากสหรัฐตัดสินใจโจมตีอิหร่าน อันเนื่องจากความขัดแย้งเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางราย กลับประเมินว่า ในการประชุมครั้งหน้า วันที่ 5 ธันวาคม ณ เมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลุ่มโอเปคอาจไม่ปรับเพิ่มปริมาณการผลิต เพราะจับเอาสัญญาณที่บรรดารัฐมนตรีโอเปกส่วนใหญ่มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในตลาดโลก ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจนเกือบแตะระดับ บาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ
และข่าวกลุ่มโอเปกยังไม่เห็นความจำเป็นในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ก็มีผลให้ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีท ส่งมอบเดือนมกราคม ซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตลาดสิงคโปร์ ล่าสุดปรับตัวขึ้น 66 เซนต์ มาเคลื่อนไหวระหว่าง บาร์เรลละ 94 - 95 ดอลลาร์สหรัฐ อีกครั้ง
แต่กระนั้น นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพลังงานระดับแนวหน้าของไทย ได้ออกมาให้ความเห็นด้วยว่า ราคาน้ำมันน่าจะมีความผันผวนต่อไป โดยปัญหาเรื่องราคาน้ำมันต่อไป จะขึ้นอยู่กับประเด็นเรื่องสงครามระหว่างสหรัฐ กับอิหร่าน ซึ่งหากสหรัฐเปิดฉากทำสงครามกับอิหร่านจริง ทั่วโลกน่าจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทะบยานตัวแตะบาร์เรลละ 200 ดอลลาร์สหรัฐได้ เพราะอิหร่านอยู่ใกล้พื้นที่ในการขนส่งน้ำมัน สูงถึง 20% ของการผลิตน้ำมันในตลาดโลก
ซึ่งในราคาระดับนั้น ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศ จะดีดตัวขึ้นไปแตะลิตรละ 70 บาทได้ตามกันไป
ซึ่งความเห็นของนายปิยสวัสดิ์ ก็สอดคล้องกับประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ที่กล่าวในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) ในสัปดาห์ก่อนเช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, November 19, 2007
ถึงแม้การประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) จะปิดฉากลงไปแล้ว โดยการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีกลุ่มโอเปกไม่มีการหารือกันเรื่องการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน และไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเรื่องผลผลิตน้ำมันในระยะสั้น นอกจากการให้คำมั่นสัญญาว่า พร้อมจัดหาน้ำมันให้เพียงพอกับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้น้ำมันในซีกโลกตะวันตก
โดยกษัตริย์อับดุลเลาะห์ แห่งซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า พระองค์ค่อนข้างพอพระทัยกับราคาน้ำมันในระดับปัจจุบัน และกล่าวว่า ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากระดับในช่วงทศวรรษที่ 1980 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้หลายกลุ่มประเทศผู้ใช้น้ำมันหลายประเทศเรียกร้องให้โอเปคผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นก็ตาม
แต่ขณะเดียวกัน ที่ประชุมกลับยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในเรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียล ระบุว่า การอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ บาร์เรลละ 98.62 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 7 พฤศจากายนที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มผู้ใช้น้ำมันในประเทศตะวันตก ออกมาเรียกร้องให้โอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อกดราคาน้ำมันให้ลดต่ำลง
โดยประธานาธิบดีมาห์หมุด อามาดิเนจ้าด ของอิหร่าน เสนอให้โอเปก หันมาค้าขายน้ำมันโดยใช้เงินสกุลอื่น แทนเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และการที่ธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มประเทศตะวันตก กำหนดภาษีในระดับสูงนั้น ทำให้โอเปกไม่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวยืนยันว่า อิหร่านไม่เคยคิดที่จะใช้น้ำมันเป็นอาวุธถ้าหากสหรัฐตัดสินใจโจมตีอิหร่าน อันเนื่องจากความขัดแย้งเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางราย กลับประเมินว่า ในการประชุมครั้งหน้า วันที่ 5 ธันวาคม ณ เมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลุ่มโอเปคอาจไม่ปรับเพิ่มปริมาณการผลิต เพราะจับเอาสัญญาณที่บรรดารัฐมนตรีโอเปกส่วนใหญ่มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในตลาดโลก ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจนเกือบแตะระดับ บาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ
และข่าวกลุ่มโอเปกยังไม่เห็นความจำเป็นในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ก็มีผลให้ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีท ส่งมอบเดือนมกราคม ซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตลาดสิงคโปร์ ล่าสุดปรับตัวขึ้น 66 เซนต์ มาเคลื่อนไหวระหว่าง บาร์เรลละ 94 - 95 ดอลลาร์สหรัฐ อีกครั้ง
แต่กระนั้น นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพลังงานระดับแนวหน้าของไทย ได้ออกมาให้ความเห็นด้วยว่า ราคาน้ำมันน่าจะมีความผันผวนต่อไป โดยปัญหาเรื่องราคาน้ำมันต่อไป จะขึ้นอยู่กับประเด็นเรื่องสงครามระหว่างสหรัฐ กับอิหร่าน ซึ่งหากสหรัฐเปิดฉากทำสงครามกับอิหร่านจริง ทั่วโลกน่าจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทะบยานตัวแตะบาร์เรลละ 200 ดอลลาร์สหรัฐได้ เพราะอิหร่านอยู่ใกล้พื้นที่ในการขนส่งน้ำมัน สูงถึง 20% ของการผลิตน้ำมันในตลาดโลก
ซึ่งในราคาระดับนั้น ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศ จะดีดตัวขึ้นไปแตะลิตรละ 70 บาทได้ตามกันไป
ซึ่งความเห็นของนายปิยสวัสดิ์ ก็สอดคล้องกับประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ที่กล่าวในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) ในสัปดาห์ก่อนเช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 194
PTT ยอมรับสุดอั้นตรึงราคาน้ำมันเบนซิน ตั้งแต่ กย. ส่งผลปีหน้า ยกเลิกขายเบนซิน ออกเทน 95 --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, November 19, 2007
นายกฤษณะพล โกมลบุณย์ กรรมการ บมจ.ปตท.(PTT) เปิดเผยว่า หากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผู้ประกอบการน้ำมัน ทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ประสบภาวะขาดทุนในการทำธุรกิจทันที ไม่ตำกว่าลิตรละ 1.20 บาท ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว และเห็นว่าการที่กลุ่มโอเปค ประกาศไม่ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ในช่วงฤดูหนาวนี้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ เขาเชื่อว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันรายเล็ก จะได้รับความเสียหายมากที่สุด ดังนั้น เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์มากขึ้น
ขณะเดียวกัน PTT ก็พร้อมจะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ช่วงต้นปีหน้า แต่จะเหลือให้บริการบางสถานีเท่านั้น
นายกฤษณะพล ยังบอกด้วยว่า หากจะให้ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันทั่วประเทศ มีกำไรจากการจำหน่ายน้ำมันในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ จะต้องปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกอีกไม่ต่ำกว่า ลิตรละ 1.00 - 1.50 บาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, November 19, 2007
นายกฤษณะพล โกมลบุณย์ กรรมการ บมจ.ปตท.(PTT) เปิดเผยว่า หากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผู้ประกอบการน้ำมัน ทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ประสบภาวะขาดทุนในการทำธุรกิจทันที ไม่ตำกว่าลิตรละ 1.20 บาท ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว และเห็นว่าการที่กลุ่มโอเปค ประกาศไม่ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ในช่วงฤดูหนาวนี้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ เขาเชื่อว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันรายเล็ก จะได้รับความเสียหายมากที่สุด ดังนั้น เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์มากขึ้น
ขณะเดียวกัน PTT ก็พร้อมจะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ช่วงต้นปีหน้า แต่จะเหลือให้บริการบางสถานีเท่านั้น
นายกฤษณะพล ยังบอกด้วยว่า หากจะให้ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันทั่วประเทศ มีกำไรจากการจำหน่ายน้ำมันในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ จะต้องปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกอีกไม่ต่ำกว่า ลิตรละ 1.00 - 1.50 บาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 195
กลุ่มโอเปกยืนยัน ผลิตน้ำมันดิบเพียงพอ และทันเวลา
กลุ่มโอเปก แถลงผลการประชุมสุดยอดที่เมืองริยาด โดยให้คำมั่นว่า จะผลิตน้ำมันดิบให้เพียงพอ ตรงกำหนดเวลา และเหมาะสมกับความต้องการในการบริโภคของตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปก ไม่ได้แถลงเกี่ยวกับแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบที่มีราคาแพงในขณะนี้ ร่วมถึงไม่มีประเด็นหารือเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิตตามที่ผู้บริหารกลุ่มโอเปกเคยใหสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เวเนซูเอล่า ชี้ น้ำมันดิบอาจะทะลุ 200 เหรียญ ถ้าสหรัฐโจมตีอิหร่านกรณีโครงการนิวเคลียร์และดำเนินท่าทีที่ดุดันต่อเวเนซูเอล่า
กลุ่มโอเปกจัดหารือค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า กระทบเศรษฐกิจทั้งกลุ่ม
กลุ่มโอเปก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จะจัดให้มีการประชุมวาระพิเศษ ก่อนถึงการประชุมประจำปีของกลุ่มโอเปกในวันที่ 5 ธันวาคม ในประเด็นค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ปรับอ่อนค่าลงอย่างไม่สิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของผู้ผลิตน้ำมันดิบทั้งกลุ่มอย่างไร หลังมีข้อเสนอแนะจาก 2 ประเทศสมาชิก ได้แก่ อิหร่าน และเวเนซูเอล่า เสนอให้กลุ่มโอเปก กำหนดราคาขายน้ำมันดิบอ้างอิงกับระบบตะกร้าเงิน นอกจากนี้ ยังเสนอให้ยกเลิกการตั้งราคาขายน้ำมันดิบในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ การประชุมครั้งนี้ จะเน้นไปที่รัฐมนตรีคลังของทั้งโอเปก
6 ประเทศอาหรับ เตรียมหารืออาจยกเลิกผูกติดค่าเงินกับเหรียญสหรัฐ
กลุ่มประเทศอาหรับในดินแดนตะวันออกกลางทั้งหมด 6 ชาติสมาชิก ซึ่งดำเนินมาตรการตรึงสกุลเงินภายในประเทศของแต่ละสมาชิก กับค่าเงินเหรียญสหรัฐมาเป็นเวลานาน เตรียมประชุมครั้งสำคัญ ในการพิจารณานโยบายดังกล่าว โดยอาจปรับเปลี่ยนสกุลเงินสำคัญของชาติสมาชิกอาหรับ เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงมากขึ้น และรายได้ที่ลดลง ทั้งนี้ เลขาธิการสภาความร่วมมือแห่งกลุ่มประเทศอาหรับ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ จะมีขึ้นในวันที่ 3-4 ธันวาคม ที่เมืองโดฮา ประเทศการ์ตา ล่าสุด ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธเข้าร่วม
ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ชี้ กลุ่มโอเปก สนใจเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐในทุนสำรอง
นายมามุ๊ด อามาดิเนจั๊ด ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวภายหลังสิ้นสุดการประชุมสุดยอดกลุ่มโอเปกว่า สมาชิกกลุ่มโอเปก มีความสนใจอย่างมาก หากจะมีการตัดสินใจปรับเปลี่ยนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของสมาชิกจากสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ไปสำรองในสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งผู้น้ำสูงสุดอิหร่านเรียกเงินเหรียญสหรัฐว่า เศษกระดาษไร้ค่า นอกจากนี้ นายมามุ๊ด อามาดิเนจั๊ด กล่าวเสริมว่า สมาชิกบางประเทศ เสนอให้มีการกำหนดสกุลเงินเดียวของกลุ่มโอเปก เพื่อสร้างอำนาจต่อรองราคา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
กลุ่มโอเปก แถลงผลการประชุมสุดยอดที่เมืองริยาด โดยให้คำมั่นว่า จะผลิตน้ำมันดิบให้เพียงพอ ตรงกำหนดเวลา และเหมาะสมกับความต้องการในการบริโภคของตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปก ไม่ได้แถลงเกี่ยวกับแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบที่มีราคาแพงในขณะนี้ ร่วมถึงไม่มีประเด็นหารือเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิตตามที่ผู้บริหารกลุ่มโอเปกเคยใหสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เวเนซูเอล่า ชี้ น้ำมันดิบอาจะทะลุ 200 เหรียญ ถ้าสหรัฐโจมตีอิหร่านกรณีโครงการนิวเคลียร์และดำเนินท่าทีที่ดุดันต่อเวเนซูเอล่า
กลุ่มโอเปกจัดหารือค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า กระทบเศรษฐกิจทั้งกลุ่ม
กลุ่มโอเปก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จะจัดให้มีการประชุมวาระพิเศษ ก่อนถึงการประชุมประจำปีของกลุ่มโอเปกในวันที่ 5 ธันวาคม ในประเด็นค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ปรับอ่อนค่าลงอย่างไม่สิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของผู้ผลิตน้ำมันดิบทั้งกลุ่มอย่างไร หลังมีข้อเสนอแนะจาก 2 ประเทศสมาชิก ได้แก่ อิหร่าน และเวเนซูเอล่า เสนอให้กลุ่มโอเปก กำหนดราคาขายน้ำมันดิบอ้างอิงกับระบบตะกร้าเงิน นอกจากนี้ ยังเสนอให้ยกเลิกการตั้งราคาขายน้ำมันดิบในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ การประชุมครั้งนี้ จะเน้นไปที่รัฐมนตรีคลังของทั้งโอเปก
6 ประเทศอาหรับ เตรียมหารืออาจยกเลิกผูกติดค่าเงินกับเหรียญสหรัฐ
กลุ่มประเทศอาหรับในดินแดนตะวันออกกลางทั้งหมด 6 ชาติสมาชิก ซึ่งดำเนินมาตรการตรึงสกุลเงินภายในประเทศของแต่ละสมาชิก กับค่าเงินเหรียญสหรัฐมาเป็นเวลานาน เตรียมประชุมครั้งสำคัญ ในการพิจารณานโยบายดังกล่าว โดยอาจปรับเปลี่ยนสกุลเงินสำคัญของชาติสมาชิกอาหรับ เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงมากขึ้น และรายได้ที่ลดลง ทั้งนี้ เลขาธิการสภาความร่วมมือแห่งกลุ่มประเทศอาหรับ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ จะมีขึ้นในวันที่ 3-4 ธันวาคม ที่เมืองโดฮา ประเทศการ์ตา ล่าสุด ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธเข้าร่วม
ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ชี้ กลุ่มโอเปก สนใจเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐในทุนสำรอง
นายมามุ๊ด อามาดิเนจั๊ด ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวภายหลังสิ้นสุดการประชุมสุดยอดกลุ่มโอเปกว่า สมาชิกกลุ่มโอเปก มีความสนใจอย่างมาก หากจะมีการตัดสินใจปรับเปลี่ยนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของสมาชิกจากสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ไปสำรองในสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งผู้น้ำสูงสุดอิหร่านเรียกเงินเหรียญสหรัฐว่า เศษกระดาษไร้ค่า นอกจากนี้ นายมามุ๊ด อามาดิเนจั๊ด กล่าวเสริมว่า สมาชิกบางประเทศ เสนอให้มีการกำหนดสกุลเงินเดียวของกลุ่มโอเปก เพื่อสร้างอำนาจต่อรองราคา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/11/07
โพสต์ที่ 196
น้ำมันดิบพุ่งกลับกว่า 3 เหรียญ ทะลุ 98 เหรียญ ส่งผลแบงก์ชาติสหรัฐ ลดเป้า GDP ปีหน้าเหลือโต 1.8%
Posted on Wednesday, November 21, 2007
น้ำมันดิบย้อนพุ่งสูงกว่า 3 เหรียญ ปิดทะลุกว่า 98 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ย้อนกับทะยานสูงขึ้นกว่า 3 เหรียญสหรัฐคืนที่ผ่านมา แม้น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ พุ่งขึ้นซื้อขายสูงสุดระหว่างวันทะลุบาร์เรลละ 98.30 เหรียญ ซึ่งยังไม่ทำลายสถิติเดิมเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ 98.62 เหรียญ แต่มีราคาปิดที่บาร์เรลละ 98.03 เหรียญ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 24 ปี ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่บาร์เรลละ 95.75 เหรียญ ก่อนปิดที่บาร์เรลละ 95.49 เหรียญ ทั้ง 2 แห่งทะยานสูงขึ้นกว่า 3%
เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าในรอบ 8 ปีกับเหรียญูโร กดดันราคาน้ำมันดิบ
ราคาปิดคืนที่ผ่านมาของทั้งตลาดนิวยอร์ก สหรัฐ และตลาดเบรนท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 45% รอบเกือบ 4 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมของปีนี้ ปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบย้อนกลับทะยานสูงขึ้นครั้งใหม่ มาจาก ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ย้อนกลับอ่อนค่าลง สร้างสถิติอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญยูโรในคืนที่ผ่านมา กระตุ้นให้นักลงทุนชดเชยผลตอบแทนกับตลาดน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้จะมีการประกาศตัวเลขการคาดการณ์ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่เชื่อกันว่าจะลดลง
แนวโน้มลดดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐเดือนหน้า กดดันราคาน้ำมันดิบพุ่งต่อ
ปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ยังคงกดดันราคาน้ำมันดิบทะยานเพิ่มสูงมากขึ้น ได้แก่ แนวโน้มการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่จะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกเป็นครั้งที่ 3 อย่างต่อเนื่องในการประชุมช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ และยังเกิดเหตุเพลิงไหม้ในโรงกลั่นน้ำมันดิบของบริษัท รอยัล ดัชท์เชลล์ ที่ประเทศแคนาดา และในเม็กซิโก โดยที่ประเทศเม็กซิโก ส่งผลให้ฉุดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงไปวันละ 422 บาร์เรล และอาจมีแนวโน้ม ที่จะเสียหายเพิ่มมากขึ้นในอีก 48 ชั่วโมง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
Posted on Wednesday, November 21, 2007
น้ำมันดิบย้อนพุ่งสูงกว่า 3 เหรียญ ปิดทะลุกว่า 98 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ย้อนกับทะยานสูงขึ้นกว่า 3 เหรียญสหรัฐคืนที่ผ่านมา แม้น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ พุ่งขึ้นซื้อขายสูงสุดระหว่างวันทะลุบาร์เรลละ 98.30 เหรียญ ซึ่งยังไม่ทำลายสถิติเดิมเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ 98.62 เหรียญ แต่มีราคาปิดที่บาร์เรลละ 98.03 เหรียญ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 24 ปี ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่บาร์เรลละ 95.75 เหรียญ ก่อนปิดที่บาร์เรลละ 95.49 เหรียญ ทั้ง 2 แห่งทะยานสูงขึ้นกว่า 3%
เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าในรอบ 8 ปีกับเหรียญูโร กดดันราคาน้ำมันดิบ
ราคาปิดคืนที่ผ่านมาของทั้งตลาดนิวยอร์ก สหรัฐ และตลาดเบรนท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 45% รอบเกือบ 4 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมของปีนี้ ปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบย้อนกลับทะยานสูงขึ้นครั้งใหม่ มาจาก ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ย้อนกลับอ่อนค่าลง สร้างสถิติอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญยูโรในคืนที่ผ่านมา กระตุ้นให้นักลงทุนชดเชยผลตอบแทนกับตลาดน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้จะมีการประกาศตัวเลขการคาดการณ์ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่เชื่อกันว่าจะลดลง
แนวโน้มลดดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐเดือนหน้า กดดันราคาน้ำมันดิบพุ่งต่อ
ปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ยังคงกดดันราคาน้ำมันดิบทะยานเพิ่มสูงมากขึ้น ได้แก่ แนวโน้มการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่จะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกเป็นครั้งที่ 3 อย่างต่อเนื่องในการประชุมช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ และยังเกิดเหตุเพลิงไหม้ในโรงกลั่นน้ำมันดิบของบริษัท รอยัล ดัชท์เชลล์ ที่ประเทศแคนาดา และในเม็กซิโก โดยที่ประเทศเม็กซิโก ส่งผลให้ฉุดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงไปวันละ 422 บาร์เรล และอาจมีแนวโน้ม ที่จะเสียหายเพิ่มมากขึ้นในอีก 48 ชั่วโมง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/11/07
โพสต์ที่ 197
IEA จี้โอเปคผลิตน้ำมันเพิ่ม ข่าว 16.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 22, 2007
นายเฟธ ไบรอล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) เพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น เพื่อรองรับอุปสงค์และช่วยสกัดราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ และไม่เห็นด้วยกับโอเปคที่ระบุว่า ปริมาณน้ำมันดิบในขณะนี้มีเพียงพอ และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นนั้น เกิดจากการเก็งกำไร
เนื่องจาก กำลังการผลิตน้ำมันของประเทศผู้ผลิตน้ำมันในขณะนี้ไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของตลาดโลก ดังนั้น โอเปค ควรเพิ่มกำลังการผลิตโดยเร็ว และร่วมมือกับ IEA เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน ซึ่งในระยะยาวราคาน้ำมันที่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 22, 2007
นายเฟธ ไบรอล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) เพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น เพื่อรองรับอุปสงค์และช่วยสกัดราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ และไม่เห็นด้วยกับโอเปคที่ระบุว่า ปริมาณน้ำมันดิบในขณะนี้มีเพียงพอ และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นนั้น เกิดจากการเก็งกำไร
เนื่องจาก กำลังการผลิตน้ำมันของประเทศผู้ผลิตน้ำมันในขณะนี้ไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของตลาดโลก ดังนั้น โอเปค ควรเพิ่มกำลังการผลิตโดยเร็ว และร่วมมือกับ IEA เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน ซึ่งในระยะยาวราคาน้ำมันที่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/11/07
โพสต์ที่ 198
ปิยสวัสดิ์เลือดเย็นขึ้นLPG ดันครม.ฟันธง1.07บาท/กก.
"ปิยสวัสดิ์"เตรียมชงครม.27 พ.ย.นี้ ดันปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นอีก 1.07 บาทต่อกิโลกรัม อ้างต้องการลดภาระกองทุนน้ำมันฯ 260 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่ปรับขึ้นไปรัฐบาลชุดนี้ โอกาสการลอยตัวก๊าซหุงต้มไม่เกิดขึ้น ยันมีมาตรการลดผลกระทบให้กลุ่มแท็กซี่หันไปใช้เอ็นจีวีแทน ด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ผู้เชี่ยวชาญระบุยังพุ่งต่อ จับตาสัปดาห์นี้ขายปลีกในประเทศปรับอีก
จากกรณีที่นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีความพยายามที่จะปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไปอีก 1.29 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนธันวาคม 2550 เพื่อต้องการลดภาระเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชดเชยอยู่ และป้องกันปัญหาการขาดแคลนก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยที่ผ่านมาทางคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้เห็นชอบในหลักการไปแล้วนั้น
ล่าสุดแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ว่าเป็นการยื่นยันที่แน่นอนแล้วว่า การผลักดันของนายปิยสวัสดิ์ จะบรรลุผลในเร็วๆ นี้ เนื่องจากในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 นี้ ทางกระทรวงพลังงานจะเสนอวาระการปรับราคาก๊าซหุงต้มให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเห็นชอบในหลักการให้มีการปรับก๊าซหุงต้มขึ้นไปได้ ส่วนจะประกาศเวลาใดนั้น ขึ้นกับนายปิยสวัสดิ์ จะไปกำหนดวันที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันร้านค้าก๊าซหุงต้มกักตุน
อย่างไรก็ตาม ในการปรับราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้ จุดประสงค์หลัก เพื่อต้องการลดเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เวลานี้ชดเชยอยู่ที่ประมาณ 260 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 0.87 บาทต่อกิโลกรัม เพราะหากไม่มีการทยอยปรับราคาขึ้นไป จะไม่สามารถนำไปสู่ขั้นตอนการลอยตัวก๊าซหุงต้มทั้งระบบได้ เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลกเวลานี้อยู่ที่ 730 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในขณะที่ภาครัฐควบคุมเพาดานหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ 320 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้เกิดส่วนต่างอยู่ประมาณ 13 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อมีการทยอยปรับราคาขึ้นไปได้แล้ว หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาดูแล จะไปกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นใหม่แทน
ส่วนการปรับราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้ไม่น่าจะขึ้นไปถึง 1.29 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากตัวเลขที่กำหนดออกมาเป็นการตั้งสมมุติฐานขึ้นมา เพื่อเป็นกรอบให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)พิจารณา แต่น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.07 บาทต่อกิโลกรัม โดยจะเป็นการยกเลิกเงินชดเชย 0.87 บาทต่อกิโลกรัม และบวกค่าขนส่งอีก 0.20 บาทต่อกิโลกรัม แต่จะยังไม่เป็นราคาที่แน่นอนมากนัก เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทในขณะนั้นด้วยจะเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้ค่าเงินบาทที่นำมาอ้างอิงอยู่ที่ประมาณ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐสหรัฐ
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับผลกระทบของการปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไป ในส่วนของภาคครัวเรือนน่าจะกระทบไม่มาก เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มจะเพิ่มขึ้นสำหรับถัง 15 กิโลกรัมเพียง 16.05 บาทต่อถังเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มรถแท็กซี่ จะกระทบ 49 บาทต่อวันจากการวิ่ง 600 กิโลเมตรแต่ทางกระทรวงพลังงานก็ได้มีมาตรการลดผลกระทบนี้ โดยจะให้รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีจำนวน 50,000 คันเปลี่ยนมาเป็นก๊าซเอ็นจีวีให้ได้ทั้งหมดภายใน 2 ปี โดยทางบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)จะออกค่าใช้จ่ายจำนวน 40,000 บาทต่อคันให้ฟรีภายในระยะเวลา 1 ปี
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับกลุ่มรถแท็กซี่ไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งมีข้อตกลงร่วมกันว่า จะจัดหาปั้มเอ็นจีวีในเขตกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นอีก 130 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี จากปัจจุบันมีอยู่ 90 แห่ง จะจะจัดสร้างปั๊มขนาดใหญ่ 30 หัวจ่าย จำนวน 7 แห่ง ตั้งกระจายอยู่รอบนอก ซึ่งในจำนวนปั๊มที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ได้มีการประชุมหารือร่วมกับปั๊มแอลพีจีเดิมให้เปลี่ยนมาเป็นปั๊มเอ็นจีวีแทนรวมอยู่ด้วย รวมถึงขยายเวลาติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีให้ฟรีออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่มีระยะเวลาถึงสิ้นปีนี้เท่านั้นโดยตั้งเป้าไว้ว่าในปีหน้าจะสามารถเปลี่ยนรถแท็กซี่มาเป็นเอ็นจีวีได้ประมาณ 18,000 คัน และในปีถัดไปจำนวน 32,000 คัน
ส่วนทางด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันนั้น นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมน้ำมัน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีก หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับตัวมาอยู่ที่ 86.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ 91.69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส 95.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับตัวมาอยู่ที่ 101.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล 106.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยทางความรู้สึก และข่าวรายวันที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานน้ำมัน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันอาจตึงตัวในช่วงฤดูหนาวของปีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ อุณหภูมิในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาจะมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาวเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกันกลุ่มประเทศโอเปคยังคงยืนยันที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มเติมหลังจากได้มีการประชุมไปครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งตลาดกำลังเฝ้าจับตาว่าในการประชุมในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 โอเปคจะปรับเพิ่มเพดานกำลังการผลิตหรือไม่ นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงทำสถิติต่ำสุดต่อเนื่อง และปัญหาซับไพร์ม ที่ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯ
จากปัจจัยดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันชนิดอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามด้วย โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ที่มีความต้องการมากในช่วงหน้าหนาว คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ส่วนน้ำมันเบนซินคาดว่าจะทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการต่ำเพราะหมดฤดูการท่องเที่ยวไปแล้ว
ส่วนกรณีที่ผู้นำเวเนซูเอลา ได้มีการประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นไปถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น ก็มีความเป็นไปได้ หากเกิดสงครามขึ้น แต่จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากประเทศผู้ใช้น้ำมันจะมีการนำน้ำมันสำรองทางยุทธ์ศาสตร์มาใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้
นายมนูญ กล่าวอีกว่า ส่วนราคาขายปลีกในประเทศนั้น คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันทุกผลิตภัณฑ์น่าจะมีการปรับราคาขึ้นอีก 40-50 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินเมื่อวันก่อนได้ปรับขึ้นมา 2.35 ดอลลาร์สหรัฐ และดีเซลปรับขึ้นมา 2.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือปรับเพิ่มขึ้นมาอีก 60-70 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันเริ่มติดลบแล้ว หากราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้หรือปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าทางผู้ค้าน้ำมันจะปรับราคาขายปลีกในอีก 1-2 วันนี้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2272
"ปิยสวัสดิ์"เตรียมชงครม.27 พ.ย.นี้ ดันปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นอีก 1.07 บาทต่อกิโลกรัม อ้างต้องการลดภาระกองทุนน้ำมันฯ 260 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่ปรับขึ้นไปรัฐบาลชุดนี้ โอกาสการลอยตัวก๊าซหุงต้มไม่เกิดขึ้น ยันมีมาตรการลดผลกระทบให้กลุ่มแท็กซี่หันไปใช้เอ็นจีวีแทน ด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ผู้เชี่ยวชาญระบุยังพุ่งต่อ จับตาสัปดาห์นี้ขายปลีกในประเทศปรับอีก
จากกรณีที่นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีความพยายามที่จะปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไปอีก 1.29 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนธันวาคม 2550 เพื่อต้องการลดภาระเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชดเชยอยู่ และป้องกันปัญหาการขาดแคลนก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยที่ผ่านมาทางคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้เห็นชอบในหลักการไปแล้วนั้น
ล่าสุดแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ว่าเป็นการยื่นยันที่แน่นอนแล้วว่า การผลักดันของนายปิยสวัสดิ์ จะบรรลุผลในเร็วๆ นี้ เนื่องจากในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 นี้ ทางกระทรวงพลังงานจะเสนอวาระการปรับราคาก๊าซหุงต้มให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเห็นชอบในหลักการให้มีการปรับก๊าซหุงต้มขึ้นไปได้ ส่วนจะประกาศเวลาใดนั้น ขึ้นกับนายปิยสวัสดิ์ จะไปกำหนดวันที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันร้านค้าก๊าซหุงต้มกักตุน
อย่างไรก็ตาม ในการปรับราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้ จุดประสงค์หลัก เพื่อต้องการลดเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เวลานี้ชดเชยอยู่ที่ประมาณ 260 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 0.87 บาทต่อกิโลกรัม เพราะหากไม่มีการทยอยปรับราคาขึ้นไป จะไม่สามารถนำไปสู่ขั้นตอนการลอยตัวก๊าซหุงต้มทั้งระบบได้ เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลกเวลานี้อยู่ที่ 730 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในขณะที่ภาครัฐควบคุมเพาดานหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ 320 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้เกิดส่วนต่างอยู่ประมาณ 13 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อมีการทยอยปรับราคาขึ้นไปได้แล้ว หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาดูแล จะไปกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นใหม่แทน
ส่วนการปรับราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้ไม่น่าจะขึ้นไปถึง 1.29 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากตัวเลขที่กำหนดออกมาเป็นการตั้งสมมุติฐานขึ้นมา เพื่อเป็นกรอบให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)พิจารณา แต่น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.07 บาทต่อกิโลกรัม โดยจะเป็นการยกเลิกเงินชดเชย 0.87 บาทต่อกิโลกรัม และบวกค่าขนส่งอีก 0.20 บาทต่อกิโลกรัม แต่จะยังไม่เป็นราคาที่แน่นอนมากนัก เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทในขณะนั้นด้วยจะเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้ค่าเงินบาทที่นำมาอ้างอิงอยู่ที่ประมาณ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐสหรัฐ
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับผลกระทบของการปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไป ในส่วนของภาคครัวเรือนน่าจะกระทบไม่มาก เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มจะเพิ่มขึ้นสำหรับถัง 15 กิโลกรัมเพียง 16.05 บาทต่อถังเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มรถแท็กซี่ จะกระทบ 49 บาทต่อวันจากการวิ่ง 600 กิโลเมตรแต่ทางกระทรวงพลังงานก็ได้มีมาตรการลดผลกระทบนี้ โดยจะให้รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีจำนวน 50,000 คันเปลี่ยนมาเป็นก๊าซเอ็นจีวีให้ได้ทั้งหมดภายใน 2 ปี โดยทางบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)จะออกค่าใช้จ่ายจำนวน 40,000 บาทต่อคันให้ฟรีภายในระยะเวลา 1 ปี
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับกลุ่มรถแท็กซี่ไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งมีข้อตกลงร่วมกันว่า จะจัดหาปั้มเอ็นจีวีในเขตกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นอีก 130 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี จากปัจจุบันมีอยู่ 90 แห่ง จะจะจัดสร้างปั๊มขนาดใหญ่ 30 หัวจ่าย จำนวน 7 แห่ง ตั้งกระจายอยู่รอบนอก ซึ่งในจำนวนปั๊มที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ได้มีการประชุมหารือร่วมกับปั๊มแอลพีจีเดิมให้เปลี่ยนมาเป็นปั๊มเอ็นจีวีแทนรวมอยู่ด้วย รวมถึงขยายเวลาติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีให้ฟรีออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่มีระยะเวลาถึงสิ้นปีนี้เท่านั้นโดยตั้งเป้าไว้ว่าในปีหน้าจะสามารถเปลี่ยนรถแท็กซี่มาเป็นเอ็นจีวีได้ประมาณ 18,000 คัน และในปีถัดไปจำนวน 32,000 คัน
ส่วนทางด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันนั้น นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมน้ำมัน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีก หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับตัวมาอยู่ที่ 86.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ 91.69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส 95.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับตัวมาอยู่ที่ 101.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล 106.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยทางความรู้สึก และข่าวรายวันที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานน้ำมัน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันอาจตึงตัวในช่วงฤดูหนาวของปีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ อุณหภูมิในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาจะมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาวเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกันกลุ่มประเทศโอเปคยังคงยืนยันที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มเติมหลังจากได้มีการประชุมไปครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งตลาดกำลังเฝ้าจับตาว่าในการประชุมในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 โอเปคจะปรับเพิ่มเพดานกำลังการผลิตหรือไม่ นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงทำสถิติต่ำสุดต่อเนื่อง และปัญหาซับไพร์ม ที่ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯ
จากปัจจัยดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันชนิดอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามด้วย โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ที่มีความต้องการมากในช่วงหน้าหนาว คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ส่วนน้ำมันเบนซินคาดว่าจะทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการต่ำเพราะหมดฤดูการท่องเที่ยวไปแล้ว
ส่วนกรณีที่ผู้นำเวเนซูเอลา ได้มีการประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นไปถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น ก็มีความเป็นไปได้ หากเกิดสงครามขึ้น แต่จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากประเทศผู้ใช้น้ำมันจะมีการนำน้ำมันสำรองทางยุทธ์ศาสตร์มาใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้
นายมนูญ กล่าวอีกว่า ส่วนราคาขายปลีกในประเทศนั้น คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันทุกผลิตภัณฑ์น่าจะมีการปรับราคาขึ้นอีก 40-50 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินเมื่อวันก่อนได้ปรับขึ้นมา 2.35 ดอลลาร์สหรัฐ และดีเซลปรับขึ้นมา 2.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือปรับเพิ่มขึ้นมาอีก 60-70 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันเริ่มติดลบแล้ว หากราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้หรือปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าทางผู้ค้าน้ำมันจะปรับราคาขายปลีกในอีก 1-2 วันนี้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2272
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/11/07
โพสต์ที่ 199
"ปิยะสวัสดิ์"ย้ำไม่ลดเก็บค่าต๋งน้ำมัน [/b
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550
รมว.พลังงาน ย้ำอีก ไม่ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แม้ ดีเซล จะใกล้แตะ 30 บาท หนุน ผู้ประกอบการขนส่งหันใช้เอ็นจีวี
นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน กล่าวถึงการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ว่า คงเป็นเรื่องยาก แม้ว่า ราคาน้ำมันโดยเฉพาะดีเซล ใกล้แตะ 30 บาทก็ตาม เพราะหากชะลอการเก็บเงินในช่วงนี้ สุดท้ายก็ต้องมาเก็บเพิ่มในภายหลัง และปัจจุบันกองทุนน้ำมันก็มีหนี้เสียสะสมกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งหากกองทุนน้ำมันมีเงินสะสมก็จะช่วยลดราคาน้ำมันได้บ้าง ส่วนที่พรรคการเมืองใดที่ประกาศจะไม่เก็บเงินเข้ากองทนุน้ำมัน ตนก็จะดูว่าจะมีพรรคการเมืองใดที่จะนำเงินส่วนตัวเข้ามาสนับสนุนกองทุนน้ำมันเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว
"ต้องไม่ลืมว่า วันนี้ กองทุนน้ำมันยังมีหนี้อยู่ แต่ถ้าเผื่อว่าการใช้หนี้ช้าออกไป วันข้างหน้าก็ต้องใช้หนี้อยู่ดี หรือว่าจะมีหัวหน้าพรรคการเมืองไหนที่เสนอว่จะเอาเงินส่วนตัวมาใช้หนี้ ให้" รมว.พลังงงาน กล่าว และว่า ทั้งนี้ปัญหาของกองทุนน้ำมัน เกิดจากการที่สถาบันกองทุนพลังงาน สามารถกู้เงินและออกพันธบัตรได้ ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาชดเชยราคาน้ำมัน และทำให้กองทุนมีหนี้สินกว่า 8 หมื่นล้านบาท
รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เร่งสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีในภาคการขนส่งทั้งการเร่งขยายเครือข่ายปั้มเอ็นจีวีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศและส่งเสริมเงินในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์สำหรับรถแท็กซี่และตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวีที่กิโลกรัมละ 8.50 บาทต่อไปจนถึงเดือน ธ.ค.51
ด้านนายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรมธุรกิจพลังงานได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การลักลอบนำเข้าและส่งออกน้ำมันในช่วงราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเบื้องต้นยังไม่พบสิ่งผิดปกติเพราะราคาน้ำมันในประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
ส่วนกรณีการเร่งก่อสร้างปั้มเอ็นจีวีนั้นได้เพิ่มในส่วนสถานที่ราชการ 10 แห่ง และก่อสร้างปั้มเอ็นจีวีขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของรถบรรทุกไม่ให้มาใช้กับปั้มของรถแท็กซี่ และได้สั่งการให้ บมจ.ปตท.(PTT)เร่งการจัดส่งเอ็นจีวีให้เพียงพอกับความต้องการโดยยืนยันว่ามีก๊าซเอ็นจีวีเพียงพอกับความต้องการของประชาชน
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=205300
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550
รมว.พลังงาน ย้ำอีก ไม่ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แม้ ดีเซล จะใกล้แตะ 30 บาท หนุน ผู้ประกอบการขนส่งหันใช้เอ็นจีวี
นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน กล่าวถึงการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ว่า คงเป็นเรื่องยาก แม้ว่า ราคาน้ำมันโดยเฉพาะดีเซล ใกล้แตะ 30 บาทก็ตาม เพราะหากชะลอการเก็บเงินในช่วงนี้ สุดท้ายก็ต้องมาเก็บเพิ่มในภายหลัง และปัจจุบันกองทุนน้ำมันก็มีหนี้เสียสะสมกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งหากกองทุนน้ำมันมีเงินสะสมก็จะช่วยลดราคาน้ำมันได้บ้าง ส่วนที่พรรคการเมืองใดที่ประกาศจะไม่เก็บเงินเข้ากองทนุน้ำมัน ตนก็จะดูว่าจะมีพรรคการเมืองใดที่จะนำเงินส่วนตัวเข้ามาสนับสนุนกองทุนน้ำมันเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว
"ต้องไม่ลืมว่า วันนี้ กองทุนน้ำมันยังมีหนี้อยู่ แต่ถ้าเผื่อว่าการใช้หนี้ช้าออกไป วันข้างหน้าก็ต้องใช้หนี้อยู่ดี หรือว่าจะมีหัวหน้าพรรคการเมืองไหนที่เสนอว่จะเอาเงินส่วนตัวมาใช้หนี้ ให้" รมว.พลังงงาน กล่าว และว่า ทั้งนี้ปัญหาของกองทุนน้ำมัน เกิดจากการที่สถาบันกองทุนพลังงาน สามารถกู้เงินและออกพันธบัตรได้ ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาชดเชยราคาน้ำมัน และทำให้กองทุนมีหนี้สินกว่า 8 หมื่นล้านบาท
รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เร่งสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีในภาคการขนส่งทั้งการเร่งขยายเครือข่ายปั้มเอ็นจีวีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศและส่งเสริมเงินในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์สำหรับรถแท็กซี่และตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวีที่กิโลกรัมละ 8.50 บาทต่อไปจนถึงเดือน ธ.ค.51
ด้านนายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรมธุรกิจพลังงานได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การลักลอบนำเข้าและส่งออกน้ำมันในช่วงราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเบื้องต้นยังไม่พบสิ่งผิดปกติเพราะราคาน้ำมันในประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
ส่วนกรณีการเร่งก่อสร้างปั้มเอ็นจีวีนั้นได้เพิ่มในส่วนสถานที่ราชการ 10 แห่ง และก่อสร้างปั้มเอ็นจีวีขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของรถบรรทุกไม่ให้มาใช้กับปั้มของรถแท็กซี่ และได้สั่งการให้ บมจ.ปตท.(PTT)เร่งการจัดส่งเอ็นจีวีให้เพียงพอกับความต้องการโดยยืนยันว่ามีก๊าซเอ็นจีวีเพียงพอกับความต้องการของประชาชน
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=205300
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/11/07
โพสต์ที่ 200
วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมัน
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 15:04:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ไม่มีความเคลื่อนไหว เนื่องจากตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าในสหรัฐอเมริกาปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (22 พ.ย. 50)
น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.88 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ตลาดคาดการณ์ว่า ในปี 2551 อินโดนีเซียจะปรับลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเบนซินเฉลี่ยต่อเดือนลงเหลือเพียง 2.8 ล้านบาร์เรลจากปริมาณที่เคยนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2550 ที่ 4.29 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นในประเทศ 9 แห่ง (กำลังการผลิตรวม 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน) มีแผนจะเพิ่มระดับเพดานการผลิตน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อจำหน่ายในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของเวียดนามประกาศปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศขึ้น 15% ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อช่วยลดภาระการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันเบนซินที่มีราคาสูงเข้ามาขายในประเทศ ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันเบนซินจากเวียดนามมีแนวโน้มปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันจากอินโดนีเซียซื้อน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 200,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบปลายเดือน พ.ย. เพื่อชดเชยการลดการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศจากปัญหาการนำเข้าน้ำมันดิบที่มีราคาสูงในขณะนี้ มีส่วนช่วยให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลงบ้าง
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.41 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ทำสถิติใหม่ สวนทางกับราคาน้ำมันดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก
อินโดนีเซียซื้อน้ำมันอากาศยานประมาณ 1 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน ธ.ค. เนื่องจากอัตราการท่องเที่ยวทางอากาศที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคปรับลดลง
อุปสงค์น้ำมันอากาศยานของจีนในไตรมาสที่ 4 ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากอัตราการท่องเที่ยวทางอากาศในช่วงปลายปีปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันอากาศยานในประเทศปรับลดลง เนื่องจากจีนหันไปเน้นการผลิตน้ำมันดีเซลแทน
ปริมาณน้ำมันก๊าดคงคลังประจำสัปดาห์ของญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในขณะนี้ ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มนำเข้าน้ำมันก๊าดจากเกาหลีใต้เข้ามาในประเทศ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันก๊าดในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินโดนีเซียจะลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดีเซลเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2551 ลงเหลือเพียง 4.5 ล้านบาร์เรลจากปริมาณที่เคยนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2550 ที่ 5.6 ล้านบาร์เรล มีส่วนกดดันราคาน้ำมันดีเซลในตลาดภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบแข็งค่าขึ้น เนื่องจากจีนซื้อน้ำมันดีเซลจำนวน 2.3 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน ธ.ค. เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังในประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำในขณะนี้
ปริมาณน้ำมัน Middle Distillate คงคลังของสิงคโปร์ปรับลดลง 0.67% มาอยู่ที่ระดับ 7.382 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 21 พ.ย. สาเหตุจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีการสำรองน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการส่งน้ำมันดังกล่าวเข้ามาขายในภูมิภาคน้อยลง
อุปทานน้ำมันดีเซลในเอเชียและยุโรปที่อยู่ในภาวะตึงตัว มีส่วนสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลในภูมิภาคในขณะนี้
น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวลดลง 1.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ตลาดคาดการณ์ว่า จะมีการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. เนื่องจาก Saudi Aramco ยังคงขายน้ำมันเตาเข้ามาในตลาดสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
ขาดแรงซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในภูมิภาค หลังจากที่ผู้ค้ารายดังกล่าวซื้อน้ำมันเตาถึง 1.7 ล้านตันเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ทำให้ตลาดค่อนข้างเงียบหงา
ปริมาณน้ำมันเตาคงคลังประจำสัปดาห์ของสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้น 3.3% สิ้นสุด ณ วันที่ 21 พ.ย. สาเหตุจากมีการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันออกกลางและเกาหลีใต้เข้ามาในภูมิภาคเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันเตากำมะถันต่ำที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจากทางเอเชียเหนือจะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว มีส่วนช่วยให้แนวโน้มน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลง
ที่มา : บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205204
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 15:04:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ไม่มีความเคลื่อนไหว เนื่องจากตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าในสหรัฐอเมริกาปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (22 พ.ย. 50)
น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.88 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ตลาดคาดการณ์ว่า ในปี 2551 อินโดนีเซียจะปรับลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเบนซินเฉลี่ยต่อเดือนลงเหลือเพียง 2.8 ล้านบาร์เรลจากปริมาณที่เคยนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2550 ที่ 4.29 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นในประเทศ 9 แห่ง (กำลังการผลิตรวม 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน) มีแผนจะเพิ่มระดับเพดานการผลิตน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อจำหน่ายในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของเวียดนามประกาศปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศขึ้น 15% ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อช่วยลดภาระการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันเบนซินที่มีราคาสูงเข้ามาขายในประเทศ ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันเบนซินจากเวียดนามมีแนวโน้มปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันจากอินโดนีเซียซื้อน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 200,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบปลายเดือน พ.ย. เพื่อชดเชยการลดการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศจากปัญหาการนำเข้าน้ำมันดิบที่มีราคาสูงในขณะนี้ มีส่วนช่วยให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลงบ้าง
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.41 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ทำสถิติใหม่ สวนทางกับราคาน้ำมันดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก
อินโดนีเซียซื้อน้ำมันอากาศยานประมาณ 1 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน ธ.ค. เนื่องจากอัตราการท่องเที่ยวทางอากาศที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคปรับลดลง
อุปสงค์น้ำมันอากาศยานของจีนในไตรมาสที่ 4 ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากอัตราการท่องเที่ยวทางอากาศในช่วงปลายปีปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันอากาศยานในประเทศปรับลดลง เนื่องจากจีนหันไปเน้นการผลิตน้ำมันดีเซลแทน
ปริมาณน้ำมันก๊าดคงคลังประจำสัปดาห์ของญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในขณะนี้ ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มนำเข้าน้ำมันก๊าดจากเกาหลีใต้เข้ามาในประเทศ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันก๊าดในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินโดนีเซียจะลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดีเซลเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2551 ลงเหลือเพียง 4.5 ล้านบาร์เรลจากปริมาณที่เคยนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2550 ที่ 5.6 ล้านบาร์เรล มีส่วนกดดันราคาน้ำมันดีเซลในตลาดภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบแข็งค่าขึ้น เนื่องจากจีนซื้อน้ำมันดีเซลจำนวน 2.3 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน ธ.ค. เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังในประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำในขณะนี้
ปริมาณน้ำมัน Middle Distillate คงคลังของสิงคโปร์ปรับลดลง 0.67% มาอยู่ที่ระดับ 7.382 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 21 พ.ย. สาเหตุจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีการสำรองน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการส่งน้ำมันดังกล่าวเข้ามาขายในภูมิภาคน้อยลง
อุปทานน้ำมันดีเซลในเอเชียและยุโรปที่อยู่ในภาวะตึงตัว มีส่วนสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลในภูมิภาคในขณะนี้
น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวลดลง 1.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ตลาดคาดการณ์ว่า จะมีการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. เนื่องจาก Saudi Aramco ยังคงขายน้ำมันเตาเข้ามาในตลาดสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
ขาดแรงซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในภูมิภาค หลังจากที่ผู้ค้ารายดังกล่าวซื้อน้ำมันเตาถึง 1.7 ล้านตันเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ทำให้ตลาดค่อนข้างเงียบหงา
ปริมาณน้ำมันเตาคงคลังประจำสัปดาห์ของสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้น 3.3% สิ้นสุด ณ วันที่ 21 พ.ย. สาเหตุจากมีการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันออกกลางและเกาหลีใต้เข้ามาในภูมิภาคเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันเตากำมะถันต่ำที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจากทางเอเชียเหนือจะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว มีส่วนช่วยให้แนวโน้มน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลง
ที่มา : บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205204
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/11/07
โพสต์ที่ 201
ถล่มโรงไฟฟ้าถ่านหิน GLOW-LOXLEY-ITD
หวั่นไอพีพีเกิดไม่ได้ ประชาชนในพื้นที่ต่อต้าน โดยเฉพาะเขตมาบตาพุด เพราะ พลังงานให้ถ่านหินเข้ารอบเปิดซองราคา ถูกใจเสนอขายไฟให้รัฐในราคาต่ำกว่าก็าซ โกลว์ ล็อกซเล่ย์ อิตาเลียนไทย ผ่านฉลุย
ด้านโกลว์ มั่นใจไม่มีปัญหา ชุมชนในพื้นที่เข้าใจและยอมรับได้ ส่วนราชบุรี ตีปีกได้กลับเข้าเปิดซองเทคนิคใหม่ รออีก 2 สัปดาห์รู้ผล
โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่หรือ ไอพีพี เริ่มมีปัญหา จะเกิดขึ้นไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล ถ้ากระทรวงพลังงานเลือกให้โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นผู้ชนะประมูล เพราะขณะนี้มีกระแสข่าวระบุว่า กระทรวงเปิดซองราคาแล้ว และเลือกรายที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ให้อยู่ในอันดับต้นๆมีโอกาสผ่านเข้ารอบ ถ้าทางการใช้ราคาขายไฟเป็นตัวตัดสินชี้ขาด แต่ไม่ได้มองถึงปัญหาที่จะตามมาอีกมากมาย จนทำให้โรงไฟฟ้าไอพีพีเกิดขึ้นไม่ได้
สำหรับเอกชนที่คาดว่า น่าจะผ่านรอบการเปิดซองราคา โดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง 1.โกลว์ ที่ร่วมมือกับเหมราช 2.บริษัท Babcock & Brown ร่วมกับบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ Loxley เสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกกะวัตต์ ที่สมุทรสงคราม 3.บริษัท Gheco-one เสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง 4.บริษัท อิตาเลียน-ไทย ดิเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกกะวัตต์ ที่บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และ5.บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย (National Power Supply) เสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 540 เมกกะวัตต์ จำนวน 3 โรง ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และร้อยเอ็ด
ส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เช่น บมจ.เอ็กโก้ ที่ผ่านรอบเทคนิคทั้ง 3 โครงการ บมจ.ไทยออยล์ ถูกจัดอยู่อันดับรองจากผู้ใช้ถ่านหิน
เหตุผลที่จะทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหิน สร้างไม่ได้ เนื่องจากประชาชนในพื้นที่คัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มเอ็นจีโอในท้องถิ่น ขณะนี้มีทุกพื้นที่และพร้อมจะชุมนุมประท้วงถ้ามีโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้น แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าเอกชนหลายแห่ง ที่จะใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คนในพื้นที่ยังไม่รับทราบข่าวประเด็นดังกล่าว
ดังนั้นถ้าพลังงานให้โรงไฟฟ้าถ่านหินผ่านการคัดเลือก อาจทำให้โรงไฟฟ้าไอพีพีเกิดไม่ได้ เพราะแม้จะทำรายงานเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ผ่าน แต่ต้องเจอประชาชนในพื้นที่ต่อต้านอย่างแน่นอน
นายสุทธิพงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ กระแสหุ้น อย่างมั่นใจว่า หากบริษัทชนะการประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ยื่นในนามบริษัท โกลว์-เหมราช เอนเนอร์ยี จำกัดในรอบนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ประท้วงตามมาทีหลัง เนื่องจากก่อนหน้าการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหินรอบนี้ บริษัทได้ทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงมาบตาพุด
รวมทั้งได้จัดทำประชาพิจารณ์ เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งทางชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงมาบตาพุดแสดงความเห็นด้วยในการสร้างโรงไฟฟ้าถึง 75% และไม่เห็นด้วยเพียง 3% เท่านั้น เนื่องจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นการขยายจากโรงไฟฟ้าเดิมที่ทำอยู่ปัจจุบัน และไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขึ้นมา ประกอบกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตจึงทำให้ชุมชนใกล้เคียงเข้าใจการดำเนินงานของบริษัทมากขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าปัจจุบันรายงานเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของบริษัทที่ยื่นให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สผ.พิจารณาจะยังไม่ได้รับการอนุมัติ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะที่ผ่านมาบริษัทได้ตอบทุกข้อซักถามจากทาง สผ.ตลอด และคาดว่าจะได้ข้อสรุป EIA ในเร็วนี้
เรื่องประท้วงเราคงคาดเดาได้ยากเพราะเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การประท้วงที่เกิดจากบริษัทนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน แต่อาจจะมีในลักษณะประท้วงรายอื่นแต่มาพ่วงของเราด้วย ซึ่งหากดูแผนของเราที่เน้นเรื่องกำจัดมลพิษนั้นน่าจะคลายความกังวลได้แน่นอน และหลังจากนี้เราก็จะเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ชุนชนในจังหวัดระยองเข้าใจการดำเนินงานของเรามากขึ้น นายสุทธิพงศ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดเม็ดเงินลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินครั้งนี้ อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท โดยมาจากการกู้เงินจากสถาบันการเงินไทยและต่างประเทศ ราว 75% ส่วนที่เหลืออีก 25% เป็นกระแสเงินสดของบริษัท ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินนี้บริษัทได้ยื่นประมูลร่วมกับบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ 65% และ HEMRAJ ถือ 35%
นายสุทธิพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลหลักที่ต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหินคือ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงถ่านหินถูกกว่าก๊าซถึง 65% รวมทั้งราคาก๊าซปัจจุบัน 40% อ้างอิงราคาน้ำมันดังนั้นหากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องราคาก๊าซก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในอนาคตแพงขึ้นได้ ดังนั้นการทำโรงไฟฟ้าถ่านหินแม้จะมีมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมแต่หากมีระบบบริหารจัดการโรงไฟฟ้าให้ดีเชื่อว่าไม่ก่อให้เกิดมลพิษแน่นอน และด้วยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกกว่าก๊าซดังนั้นจึงไม่กระทบค่าไฟฟ้าในอนาคตด้วย
โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นทางเลือกที่ดี หากเทียบกับการใช้พลังงานทดแทนอื่นๆที่มีต้นทุนสูงกว่าถ่านหินมาก เพียงแต่ผู้ที่จะทำถ่านหินต้องควบคุมและกำจัดมลพิษให้ดีมาก รวมทั้งฟื้นฟูชุมชนต่อเนื่อง นายสุทธิพงศ์ กล่าว
นายณรงค์ สีตสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เชื่อว่าบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด บริษัทลูกจะได้รับสิทธิในการเข้าประเมินด้านเทคนิคและการเสนอราคาอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.50 ที่ผ่านมา ได้ถอนฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงพลังงานที่ตัดสิทธิให้เข้าร่วมประมูลคัดเลือกการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่ หรือ ไอพีพี เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา
เราถอนฟ้องเพราะคณะกรรมการบริษัทประเมินสถานการณ์แล้วว่าหากยังดำเนินการฟ้องร้องต่อไปกระบวนการดังกล่าวอาจจะล่าช้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นบริษัทจึงตัดสินใจเข้าไปเจรจากับ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแทน โดยหลังจากที่ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีฯพบว่ามีท่าทีที่พอใจเกี่ยวกับข้อมูลที่บริษัทนำเสนอ ซึ่งหวังว่าจะมีแนวทางที่ดีของบริษัทในการเข้าร่วมประมูลโครงการ IPP และคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาพิจารณาไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์คงจะมีข้อสรุปที่ชัดเจน นายณรงค์ กล่าว
โดยกระบวนการดำเนินงานในเบื้องต้น คือ ทางกระทรวงพลังงานจะดำเนินการยื่นเรื่องให้กฤษฎีกาตีความเกี่ยวกับกองทุนประกันสังคมถือเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ ซึ่งระหว่างการยื่นเรื่องดังกล่าว ทางกระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการอนุมัติข้อเสนอด้านเทคนิคของบริษัท หากผ่านการพิจารณาบริษัทก็จะผ่านเข้าสู่กระบวนการพิจารณาด้านราคา
ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าราคาที่ได้เสนอไปจะชนะคู่แข่งขันได้แน่นอน และน่าจะทำให้บริษัทผ่านเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติด้านผลกระสบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งปัจจุบันบริษัทผ่านเรื่องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องทำประชาพิจารณ์ เนื่องจากเป็นการประมูลโครงการภาคเอกชน ไม่ใช่การประมูลของโครงการรัฐ ดังนั้นขั้นตอนสุดท้ายคือการอนุมัติจากทางสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. เท่านั้น
สำหรับกรณีที่ บริษัทสามารถผ่านการพิจารณาในกระบวนการต่างๆจนเข้ารอบการตัดสินสุดท้ายแล้วทาง กฤษฏีกาตีความว่า บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้บริษัทตกรอบการคัดเลือกสุดท้ายก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าบริษัทต่อสู้จนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงยืนยันตามเดิมว่าบริษัทลูกมีคุณสมบัติครบไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะทางประกันสังคมออกมายืนยันว่าบริษัทไม่เข้าข่ายรัฐวิสาหกิจมีคุณสมบัติครบน่าจะเข้าร่วมประมูล IPP ได้
กระบวนการดำเนินงานของรัฐก็สามารถทำไปพร้อมกันได้ ทั้งการตีความและการอนุมัติด้านเทคนิค สมมุติเราผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้วกฤษฏีกาตีความแล้วว่าเราเป็นรัฐวิสาหกิจค่อยตกรอบก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพียงแต่ขอให้เราได้เป็นหนึ่งในการพิจารณาด้วยเท่านั้น นายณรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ตามจากกำไรปกติงวด 9 เดือนที่ผ่านมา ที่ 3,311 ล้านบาท ไม่รวมกำไรจาก FX ที่ 412 ล้านบาท ลดลง 4% เทียบจากปีก่อน คิดเป็น 74% ของกำไรปกติทั้งปีนี้ที่ 4,476 ล้านบาท เป็นไปตามคาดจึงยังคงกำไรปกติปี 50-51 เดิมไว้ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ประเมินเบื้องต้น หาก GLOW ชนะประมูล IPP (700 เมกะวัตต์) จะเพิ่มมูลค่าหุ้นราว 2.7-3 บาทต่อหุ้น ดังนั้นคงแนะนำซื้อลงทุน GLOW โดยเน้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัว จากแนวโน้มตลาดหุ้นที่ไม่สดใส โดยราคาหุ้นที่ 33.25 บาท มี upside gain อยู่ 14% จากราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 38 บาท อย่างไรก็ดี GLOW มีความเสี่ยงตรงที่ราคาถ่านหินโลกค่อนข้างผันผวน ซึ่งเป็นต้นทุนผลิตที่ไม่อาจผลักให้กับผู้ซื้อ
ด้านบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด แนะนำซื้อลงทุน GLOW โดยเน้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัว ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 38 บาท ทั้งนี้หลังการประชุมนักวิเคราะห์ ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดว่า GLOW จะชนะประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1 โรง จากการยื่นประมูล IPP 2 โรง โดยเป็น 1.โรงไฟฟ้าก๊าซ 1 โรง กำลังผลิต 747 เมกะวัตต์ (MW) และได้รับอนุมัติ EIA แล้ว โดย GLOW ถือหุ้น 100%
และ 2.ยื่นประมูลร่วมกับ HEMARAJ โดยบริษัทถือหุ้น 65% ในโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1 โรง กำลังผลิต 660 MW ซึ่งมีผลตอบแทนจากการลงทุนของโครงการสูงกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แม้บริษัทมีค่าใช้จ่ายลงทุนในการก่อสร้างและลดมลพิษในนิคมฯมาบตาพุด ประมาณ 1.3 ล้านเหรียญต่อเมกกะวัตต์ และ 600 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แต่เนื่องจากต้นทุนถ่านหินต่ำกว่าราคาก๊าซในระยะยาว เพราะก๊าซส่วนเพิ่มที่ใช้มาจากก๊าซนำเข้า LNG ที่มีราคาแพง จึงทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหินมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
รวมทั้งยังเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเพียงแห่งเดียวที่ยื่นประมูลในปี 55 ขณะที่คู่แข่งที่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่อื่นเช่น LOXLEY และ ITD ได้ยื่นประมูลส่งไฟฟ้าเข้าระบบในปี 56-57 รวมทั้ง GLOW มีการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ในการลดมลพิษและการจัดตั้ง Energy Fund ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินสมทบจำนวน 100 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาและลดผลกระทบเชิงลบต่อชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมฯ มาบตาพุด GLOW จึงคาดว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่น่าจะได้รับอนุมัติ EIA ในไตรมาส 1/51
ส่วนการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP คาดว่าจะประกาศผลประมูล SPP ในพื้นที่ จ.ระยอง ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากการประกาศผู้ชนะประมูล IPP ช่วงต้นเดือน ธ.ค.50แล้ว เนื่องจากรัฐบาลต้องการประเมินระบบสายส่งที่จำเป็นต้องขยายให้เพียงพอกับปริมาณไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ จ.ระยอง ดังนั้นคาดว่า GLOW จะชนะประมูล SPP ขั้นต่ำ 74 เมกกะวัตต์ กำหนดเริ่มผลิตปี 54 จากการยื่นเสนอประมูลทั้งสิ้น 2 โรง จำนวน 164 เมกกะวัตต์ (74+90 เมกกะวัตต์) จากที่เปิดประมูล 500 เมกกะวัตต์ แต่มีผู้ยื่นเสนอประมูลทั้งหมด 1,600 เมกกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม GLOW มีโอกาสชนะประมูลทั้ง 164 เมกกะวัตต์ เนื่องจากรัฐบาลอาจรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เพิ่มเติมอีก 1,700 เมกกะวัตต์
ทั้งนี้คาด GLOW จะเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ประมาณ 250-350 เมกกะวัตต์ กับลูกค้าเดิมและรายใหม่ในไตรมาส 1/51 กำหนดเริ่มผลิต (COD) ประมาณไตรมาส 3/54 จากการขยายฐานลูกค้าในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายน้ำและลูกค้าเดิมในกลุ่ม PTT คือ PTTCH และ ATC ซึ่งคาดว่าจะมีการต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (กำลังผลิต 100 เมกกะวัตต์) กับ GLOW จากเดิมที่คาดว่าจะไม่ต่ออายุสัญญาที่จะทยอยสิ้นสุดลงในปี 53-54
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
หวั่นไอพีพีเกิดไม่ได้ ประชาชนในพื้นที่ต่อต้าน โดยเฉพาะเขตมาบตาพุด เพราะ พลังงานให้ถ่านหินเข้ารอบเปิดซองราคา ถูกใจเสนอขายไฟให้รัฐในราคาต่ำกว่าก็าซ โกลว์ ล็อกซเล่ย์ อิตาเลียนไทย ผ่านฉลุย
ด้านโกลว์ มั่นใจไม่มีปัญหา ชุมชนในพื้นที่เข้าใจและยอมรับได้ ส่วนราชบุรี ตีปีกได้กลับเข้าเปิดซองเทคนิคใหม่ รออีก 2 สัปดาห์รู้ผล
โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่หรือ ไอพีพี เริ่มมีปัญหา จะเกิดขึ้นไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล ถ้ากระทรวงพลังงานเลือกให้โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นผู้ชนะประมูล เพราะขณะนี้มีกระแสข่าวระบุว่า กระทรวงเปิดซองราคาแล้ว และเลือกรายที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ให้อยู่ในอันดับต้นๆมีโอกาสผ่านเข้ารอบ ถ้าทางการใช้ราคาขายไฟเป็นตัวตัดสินชี้ขาด แต่ไม่ได้มองถึงปัญหาที่จะตามมาอีกมากมาย จนทำให้โรงไฟฟ้าไอพีพีเกิดขึ้นไม่ได้
สำหรับเอกชนที่คาดว่า น่าจะผ่านรอบการเปิดซองราคา โดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง 1.โกลว์ ที่ร่วมมือกับเหมราช 2.บริษัท Babcock & Brown ร่วมกับบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ Loxley เสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกกะวัตต์ ที่สมุทรสงคราม 3.บริษัท Gheco-one เสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง 4.บริษัท อิตาเลียน-ไทย ดิเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกกะวัตต์ ที่บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และ5.บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย (National Power Supply) เสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 540 เมกกะวัตต์ จำนวน 3 โรง ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และร้อยเอ็ด
ส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เช่น บมจ.เอ็กโก้ ที่ผ่านรอบเทคนิคทั้ง 3 โครงการ บมจ.ไทยออยล์ ถูกจัดอยู่อันดับรองจากผู้ใช้ถ่านหิน
เหตุผลที่จะทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหิน สร้างไม่ได้ เนื่องจากประชาชนในพื้นที่คัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มเอ็นจีโอในท้องถิ่น ขณะนี้มีทุกพื้นที่และพร้อมจะชุมนุมประท้วงถ้ามีโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้น แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าเอกชนหลายแห่ง ที่จะใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คนในพื้นที่ยังไม่รับทราบข่าวประเด็นดังกล่าว
ดังนั้นถ้าพลังงานให้โรงไฟฟ้าถ่านหินผ่านการคัดเลือก อาจทำให้โรงไฟฟ้าไอพีพีเกิดไม่ได้ เพราะแม้จะทำรายงานเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ผ่าน แต่ต้องเจอประชาชนในพื้นที่ต่อต้านอย่างแน่นอน
นายสุทธิพงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ กระแสหุ้น อย่างมั่นใจว่า หากบริษัทชนะการประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ยื่นในนามบริษัท โกลว์-เหมราช เอนเนอร์ยี จำกัดในรอบนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ประท้วงตามมาทีหลัง เนื่องจากก่อนหน้าการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหินรอบนี้ บริษัทได้ทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงมาบตาพุด
รวมทั้งได้จัดทำประชาพิจารณ์ เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งทางชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงมาบตาพุดแสดงความเห็นด้วยในการสร้างโรงไฟฟ้าถึง 75% และไม่เห็นด้วยเพียง 3% เท่านั้น เนื่องจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นการขยายจากโรงไฟฟ้าเดิมที่ทำอยู่ปัจจุบัน และไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขึ้นมา ประกอบกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตจึงทำให้ชุมชนใกล้เคียงเข้าใจการดำเนินงานของบริษัทมากขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าปัจจุบันรายงานเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของบริษัทที่ยื่นให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สผ.พิจารณาจะยังไม่ได้รับการอนุมัติ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะที่ผ่านมาบริษัทได้ตอบทุกข้อซักถามจากทาง สผ.ตลอด และคาดว่าจะได้ข้อสรุป EIA ในเร็วนี้
เรื่องประท้วงเราคงคาดเดาได้ยากเพราะเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การประท้วงที่เกิดจากบริษัทนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน แต่อาจจะมีในลักษณะประท้วงรายอื่นแต่มาพ่วงของเราด้วย ซึ่งหากดูแผนของเราที่เน้นเรื่องกำจัดมลพิษนั้นน่าจะคลายความกังวลได้แน่นอน และหลังจากนี้เราก็จะเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ชุนชนในจังหวัดระยองเข้าใจการดำเนินงานของเรามากขึ้น นายสุทธิพงศ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดเม็ดเงินลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินครั้งนี้ อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท โดยมาจากการกู้เงินจากสถาบันการเงินไทยและต่างประเทศ ราว 75% ส่วนที่เหลืออีก 25% เป็นกระแสเงินสดของบริษัท ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินนี้บริษัทได้ยื่นประมูลร่วมกับบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ 65% และ HEMRAJ ถือ 35%
นายสุทธิพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลหลักที่ต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหินคือ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงถ่านหินถูกกว่าก๊าซถึง 65% รวมทั้งราคาก๊าซปัจจุบัน 40% อ้างอิงราคาน้ำมันดังนั้นหากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องราคาก๊าซก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในอนาคตแพงขึ้นได้ ดังนั้นการทำโรงไฟฟ้าถ่านหินแม้จะมีมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมแต่หากมีระบบบริหารจัดการโรงไฟฟ้าให้ดีเชื่อว่าไม่ก่อให้เกิดมลพิษแน่นอน และด้วยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกกว่าก๊าซดังนั้นจึงไม่กระทบค่าไฟฟ้าในอนาคตด้วย
โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นทางเลือกที่ดี หากเทียบกับการใช้พลังงานทดแทนอื่นๆที่มีต้นทุนสูงกว่าถ่านหินมาก เพียงแต่ผู้ที่จะทำถ่านหินต้องควบคุมและกำจัดมลพิษให้ดีมาก รวมทั้งฟื้นฟูชุมชนต่อเนื่อง นายสุทธิพงศ์ กล่าว
นายณรงค์ สีตสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เชื่อว่าบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด บริษัทลูกจะได้รับสิทธิในการเข้าประเมินด้านเทคนิคและการเสนอราคาอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.50 ที่ผ่านมา ได้ถอนฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงพลังงานที่ตัดสิทธิให้เข้าร่วมประมูลคัดเลือกการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่ หรือ ไอพีพี เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา
เราถอนฟ้องเพราะคณะกรรมการบริษัทประเมินสถานการณ์แล้วว่าหากยังดำเนินการฟ้องร้องต่อไปกระบวนการดังกล่าวอาจจะล่าช้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นบริษัทจึงตัดสินใจเข้าไปเจรจากับ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแทน โดยหลังจากที่ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีฯพบว่ามีท่าทีที่พอใจเกี่ยวกับข้อมูลที่บริษัทนำเสนอ ซึ่งหวังว่าจะมีแนวทางที่ดีของบริษัทในการเข้าร่วมประมูลโครงการ IPP และคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาพิจารณาไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์คงจะมีข้อสรุปที่ชัดเจน นายณรงค์ กล่าว
โดยกระบวนการดำเนินงานในเบื้องต้น คือ ทางกระทรวงพลังงานจะดำเนินการยื่นเรื่องให้กฤษฎีกาตีความเกี่ยวกับกองทุนประกันสังคมถือเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ ซึ่งระหว่างการยื่นเรื่องดังกล่าว ทางกระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการอนุมัติข้อเสนอด้านเทคนิคของบริษัท หากผ่านการพิจารณาบริษัทก็จะผ่านเข้าสู่กระบวนการพิจารณาด้านราคา
ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าราคาที่ได้เสนอไปจะชนะคู่แข่งขันได้แน่นอน และน่าจะทำให้บริษัทผ่านเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติด้านผลกระสบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งปัจจุบันบริษัทผ่านเรื่องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องทำประชาพิจารณ์ เนื่องจากเป็นการประมูลโครงการภาคเอกชน ไม่ใช่การประมูลของโครงการรัฐ ดังนั้นขั้นตอนสุดท้ายคือการอนุมัติจากทางสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. เท่านั้น
สำหรับกรณีที่ บริษัทสามารถผ่านการพิจารณาในกระบวนการต่างๆจนเข้ารอบการตัดสินสุดท้ายแล้วทาง กฤษฏีกาตีความว่า บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้บริษัทตกรอบการคัดเลือกสุดท้ายก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าบริษัทต่อสู้จนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงยืนยันตามเดิมว่าบริษัทลูกมีคุณสมบัติครบไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะทางประกันสังคมออกมายืนยันว่าบริษัทไม่เข้าข่ายรัฐวิสาหกิจมีคุณสมบัติครบน่าจะเข้าร่วมประมูล IPP ได้
กระบวนการดำเนินงานของรัฐก็สามารถทำไปพร้อมกันได้ ทั้งการตีความและการอนุมัติด้านเทคนิค สมมุติเราผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้วกฤษฏีกาตีความแล้วว่าเราเป็นรัฐวิสาหกิจค่อยตกรอบก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพียงแต่ขอให้เราได้เป็นหนึ่งในการพิจารณาด้วยเท่านั้น นายณรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ตามจากกำไรปกติงวด 9 เดือนที่ผ่านมา ที่ 3,311 ล้านบาท ไม่รวมกำไรจาก FX ที่ 412 ล้านบาท ลดลง 4% เทียบจากปีก่อน คิดเป็น 74% ของกำไรปกติทั้งปีนี้ที่ 4,476 ล้านบาท เป็นไปตามคาดจึงยังคงกำไรปกติปี 50-51 เดิมไว้ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ประเมินเบื้องต้น หาก GLOW ชนะประมูล IPP (700 เมกะวัตต์) จะเพิ่มมูลค่าหุ้นราว 2.7-3 บาทต่อหุ้น ดังนั้นคงแนะนำซื้อลงทุน GLOW โดยเน้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัว จากแนวโน้มตลาดหุ้นที่ไม่สดใส โดยราคาหุ้นที่ 33.25 บาท มี upside gain อยู่ 14% จากราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 38 บาท อย่างไรก็ดี GLOW มีความเสี่ยงตรงที่ราคาถ่านหินโลกค่อนข้างผันผวน ซึ่งเป็นต้นทุนผลิตที่ไม่อาจผลักให้กับผู้ซื้อ
ด้านบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด แนะนำซื้อลงทุน GLOW โดยเน้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัว ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 38 บาท ทั้งนี้หลังการประชุมนักวิเคราะห์ ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดว่า GLOW จะชนะประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1 โรง จากการยื่นประมูล IPP 2 โรง โดยเป็น 1.โรงไฟฟ้าก๊าซ 1 โรง กำลังผลิต 747 เมกะวัตต์ (MW) และได้รับอนุมัติ EIA แล้ว โดย GLOW ถือหุ้น 100%
และ 2.ยื่นประมูลร่วมกับ HEMARAJ โดยบริษัทถือหุ้น 65% ในโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1 โรง กำลังผลิต 660 MW ซึ่งมีผลตอบแทนจากการลงทุนของโครงการสูงกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แม้บริษัทมีค่าใช้จ่ายลงทุนในการก่อสร้างและลดมลพิษในนิคมฯมาบตาพุด ประมาณ 1.3 ล้านเหรียญต่อเมกกะวัตต์ และ 600 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แต่เนื่องจากต้นทุนถ่านหินต่ำกว่าราคาก๊าซในระยะยาว เพราะก๊าซส่วนเพิ่มที่ใช้มาจากก๊าซนำเข้า LNG ที่มีราคาแพง จึงทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหินมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
รวมทั้งยังเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเพียงแห่งเดียวที่ยื่นประมูลในปี 55 ขณะที่คู่แข่งที่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่อื่นเช่น LOXLEY และ ITD ได้ยื่นประมูลส่งไฟฟ้าเข้าระบบในปี 56-57 รวมทั้ง GLOW มีการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ในการลดมลพิษและการจัดตั้ง Energy Fund ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินสมทบจำนวน 100 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาและลดผลกระทบเชิงลบต่อชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมฯ มาบตาพุด GLOW จึงคาดว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่น่าจะได้รับอนุมัติ EIA ในไตรมาส 1/51
ส่วนการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP คาดว่าจะประกาศผลประมูล SPP ในพื้นที่ จ.ระยอง ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากการประกาศผู้ชนะประมูล IPP ช่วงต้นเดือน ธ.ค.50แล้ว เนื่องจากรัฐบาลต้องการประเมินระบบสายส่งที่จำเป็นต้องขยายให้เพียงพอกับปริมาณไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ จ.ระยอง ดังนั้นคาดว่า GLOW จะชนะประมูล SPP ขั้นต่ำ 74 เมกกะวัตต์ กำหนดเริ่มผลิตปี 54 จากการยื่นเสนอประมูลทั้งสิ้น 2 โรง จำนวน 164 เมกกะวัตต์ (74+90 เมกกะวัตต์) จากที่เปิดประมูล 500 เมกกะวัตต์ แต่มีผู้ยื่นเสนอประมูลทั้งหมด 1,600 เมกกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม GLOW มีโอกาสชนะประมูลทั้ง 164 เมกกะวัตต์ เนื่องจากรัฐบาลอาจรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เพิ่มเติมอีก 1,700 เมกกะวัตต์
ทั้งนี้คาด GLOW จะเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ประมาณ 250-350 เมกกะวัตต์ กับลูกค้าเดิมและรายใหม่ในไตรมาส 1/51 กำหนดเริ่มผลิต (COD) ประมาณไตรมาส 3/54 จากการขยายฐานลูกค้าในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายน้ำและลูกค้าเดิมในกลุ่ม PTT คือ PTTCH และ ATC ซึ่งคาดว่าจะมีการต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (กำลังผลิต 100 เมกกะวัตต์) กับ GLOW จากเดิมที่คาดว่าจะไม่ต่ออายุสัญญาที่จะทยอยสิ้นสุดลงในปี 53-54
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 202
เปลี่ยนชื่อน้ำมันยกแผง
โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพลังงานเตรียมเปลี่ยนชื่อน้ำมันใหม่ทั้งระบบ รองรับปีหน้า เพิ่ม เบนซินอี 20 และดีเซล บี 2
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดี กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีชนิดน้ำมันที่มาจาก กลุ่มพลังงานทดแทนเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มแก๊สโซฮอล์ และ ไบโอดีเซล ซึ่งแยกประเภทตามสัดส่วนของพลังงานทดแทนที่นำไปผสม อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการเลือกใช้ รวมทั้งคุณภาพของน้ำมันที่จะเหมาะกับรถยนต์แต่ละประเภท
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนสับสน กระทรวงพลังงานเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนชื่อชนิดน้ำมัน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
เบื้องต้นในส่วนของกลุ่มเบนซิน ประกอบไปด้วย 1.เบนซินออกเทน 95 2.เบนซินออกเทน 91 3.เบนซินอี 10/95 เปลี่ยนมาจาก แก๊สโซฮอล์ 95 ที่มีส่วนผสมของเอทานอลในอัตรา 10% 4.เบนซิน อี 10/91 เปลี่ยนมาจาก แก๊สโซฮอล์ 91 ที่มีส่วนผสมของเอทานอล 10% และ 5.เบนซิน อี 20/95 เป็นเบนซินผสมเอทานอลสัดส่วน 20% ชนิดใหม่ล่าสุด จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นไป
ส่วนกลุ่มของดีเซล กระทรวงพลังงานได้กำหนดสูตรน้ำมันใหม่ จะมีผลตั้งแต่เดือน เม.ย. 2551 โดยบังคับให้ผสมไบโอดีเซลบริสุทธิ์ 100% ลงไปในสัดส่วน 2% จะเรียกกว่า ดีเซล บี 2 และดีเซลที่ผสม ไบโอดีเซลในสัดส่วน 5% จะถูกเรียกว่า ดีเซลบี 5
ยอมรับว่าตอนนี้ผู้ใช้รถหลายคนยังสับสนกับชนิดของแก๊สโซฮอล์ ที่มีทั้ง อี 10 และอี 20 แต่กำลังพิจารณาอยู่ว่าควรจะเติมคำว่าเบนซินไว้ข้างหน้าดีหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ในขณะที่กลุ่มดีเซลก็มีทั้ง บี 2 และ บี 5 ก็อาจจะเติมดีเซลไว้ข้างหน้า ซึ่งชื่อเรียกเหล่านี้ เป็นการหารือในเบื้องต้น โดยจะได้ข้อสรุปทั้งหมดเร็วๆ นี้ นายเมตตา กล่าว
สำหรับยอดการใช้พลังงานช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.2550) ในกลุ่มของพลังงานทดแทน มียอดการ ใช้เพิ่มมากขึ้น ทั้งแก๊สโซฮอล์และ ไบโอดีเซล
ในขณะที่ตัวเลขของกลุ่มเบนซินและดีเซลได้ปรับลดลง โดยยอดจำหน่ายบี 5 อยู่ที่ 1.34 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,393% ดีเซลมียอดจำหน่าย 51.1 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 2.2%
กลุ่มแก๊สโซฮอล์ ทั้ง 95 และ 91 มียอดรวม 20.2 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 2.8% แยกเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 เฉลี่ย 4.8 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 7% และแก๊สโซฮอล์ 91 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 แสนลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 16%
ยอดการนำเข้าน้ำมันดิบ 10 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) มีปริมาณ 814 ล้านลิตร/วัน ลดลง 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 5.76 แสนล้านบาท หรือลดลง 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปัจจัยสำคัญมาจากภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205922
โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพลังงานเตรียมเปลี่ยนชื่อน้ำมันใหม่ทั้งระบบ รองรับปีหน้า เพิ่ม เบนซินอี 20 และดีเซล บี 2
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดี กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีชนิดน้ำมันที่มาจาก กลุ่มพลังงานทดแทนเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มแก๊สโซฮอล์ และ ไบโอดีเซล ซึ่งแยกประเภทตามสัดส่วนของพลังงานทดแทนที่นำไปผสม อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการเลือกใช้ รวมทั้งคุณภาพของน้ำมันที่จะเหมาะกับรถยนต์แต่ละประเภท
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนสับสน กระทรวงพลังงานเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนชื่อชนิดน้ำมัน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
เบื้องต้นในส่วนของกลุ่มเบนซิน ประกอบไปด้วย 1.เบนซินออกเทน 95 2.เบนซินออกเทน 91 3.เบนซินอี 10/95 เปลี่ยนมาจาก แก๊สโซฮอล์ 95 ที่มีส่วนผสมของเอทานอลในอัตรา 10% 4.เบนซิน อี 10/91 เปลี่ยนมาจาก แก๊สโซฮอล์ 91 ที่มีส่วนผสมของเอทานอล 10% และ 5.เบนซิน อี 20/95 เป็นเบนซินผสมเอทานอลสัดส่วน 20% ชนิดใหม่ล่าสุด จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นไป
ส่วนกลุ่มของดีเซล กระทรวงพลังงานได้กำหนดสูตรน้ำมันใหม่ จะมีผลตั้งแต่เดือน เม.ย. 2551 โดยบังคับให้ผสมไบโอดีเซลบริสุทธิ์ 100% ลงไปในสัดส่วน 2% จะเรียกกว่า ดีเซล บี 2 และดีเซลที่ผสม ไบโอดีเซลในสัดส่วน 5% จะถูกเรียกว่า ดีเซลบี 5
ยอมรับว่าตอนนี้ผู้ใช้รถหลายคนยังสับสนกับชนิดของแก๊สโซฮอล์ ที่มีทั้ง อี 10 และอี 20 แต่กำลังพิจารณาอยู่ว่าควรจะเติมคำว่าเบนซินไว้ข้างหน้าดีหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ในขณะที่กลุ่มดีเซลก็มีทั้ง บี 2 และ บี 5 ก็อาจจะเติมดีเซลไว้ข้างหน้า ซึ่งชื่อเรียกเหล่านี้ เป็นการหารือในเบื้องต้น โดยจะได้ข้อสรุปทั้งหมดเร็วๆ นี้ นายเมตตา กล่าว
สำหรับยอดการใช้พลังงานช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.2550) ในกลุ่มของพลังงานทดแทน มียอดการ ใช้เพิ่มมากขึ้น ทั้งแก๊สโซฮอล์และ ไบโอดีเซล
ในขณะที่ตัวเลขของกลุ่มเบนซินและดีเซลได้ปรับลดลง โดยยอดจำหน่ายบี 5 อยู่ที่ 1.34 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,393% ดีเซลมียอดจำหน่าย 51.1 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 2.2%
กลุ่มแก๊สโซฮอล์ ทั้ง 95 และ 91 มียอดรวม 20.2 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 2.8% แยกเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 เฉลี่ย 4.8 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 7% และแก๊สโซฮอล์ 91 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 แสนลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 16%
ยอดการนำเข้าน้ำมันดิบ 10 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) มีปริมาณ 814 ล้านลิตร/วัน ลดลง 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 5.76 แสนล้านบาท หรือลดลง 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปัจจัยสำคัญมาจากภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205922
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 203
วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมัน
27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.88 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจาก
ราคาน้ำมันที่ใช้ทำความร้อนปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากมีการคาดการณ์ว่า สภาพอากาศในสัปดาห์หน้าจะหนาวเย็นกว่าปกติ ขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน สาเหตุจากตลาดคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันจากการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดพักผ่อนจะปรับเพิ่มสูงขึ้น มีส่วนสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้น
ตลาดกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบของยุโรป หลังจากเหตุเพลิงไหม้ที่แหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบในทะเลเหนือส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบ Brent ขาดหายไปราว 5,000 บาร์เรลต่อวัน แม้ว่าผู้ขนส่งน้ำมันทางเรือจะกล่าวว่า ปริมาณน้ำมันที่ขาดหายไปดังกล่าวถือเป็นปริมาณเพียงเล็กน้อยและไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกก็ตาม
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาอ่อนตัวลงทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ส่งผลให้ตลาดทวีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม บริษัท Petrologistic บริษัทยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมการขนส่งน้ำมันของตะวันออกกลางคาดการณ์ว่า อุปทานของกลุ่มโอเปกในเดือน พ.ย. จะปรับเพิ่มขึ้น 350,000 บาร์เรลต่อวัน หลังจากที่อิรักส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบลงบ้าง
น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันเบนซินลดลงประมาณ 35% สำหรับไตรมาสแรกของปี 2551 เมื่อเทียบกับปริมาณการนำเข้าเฉลี่ยของปีนี้ โดยจะหันไปเพิ่มผลผลิตในประเทศแทน
โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งของไทยขายน้ำมันเบนซิน 92 จำนวน 1 ลำเรือสำหรับการส่งมอบเดือนธ.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันเบนซินในตลาดจรในภูมิภาคยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว เนื่องจากจีนยังระงับการส่งออกน้ำมันดังกล่าว และมีการขนย้ายน้ำมันเบนซินจากอินเดียไปขายยังตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง
ผู้ค้าน้ำมัน 2 รายประมูลซื้อน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน100,000 บาร์เรลสำหรับงวดต้นเดือน ธ.ค. มีส่วนช่วยหนุนราคาน้ำมันเบนซินในภูมิภาคให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวลดลง 0.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามกับราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง เนื่องจาก
จีนจะนำเข้าน้ำมันอากาศยานจำนวน 2.19 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน ม.ค. 51 หรือปรับลดลง 28% เมื่อเทียบกับปริมาณที่เคยนำเข้าที่ 3.02 ล้านบาร์เรลในเดือน ม.ค. 50 เนื่องจากโรงกลั่นในประเทศเน้นการผลิตน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
ไต้หวันยกเลิกสัญญาการเสนอขายน้ำมันอากาศยานสำหรับปี 2551 หลังจากมีปริมาณการเสนอซื้อในตลาดเบาบาง สะท้อนให้เห็นถึงสภาพตลาดน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคที่ไม่สดใสนัก
มีการเสนอขายน้ำมันอากาศยานจำนวน 100,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบงวดกลางเดือน ธ.ค. แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ มีส่วนกดดันราคาน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคให้ปรับลดลง
น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ผู้ค้าน้ำมันเสนอขายน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.5% จำนวน 150,000 บาร์เรลสำหรับงวดกลางเดือน ธ.ค. ในราคาที่ต่ำกว่าการขายก่อนหน้านี้ มีส่วนกดดันราคาในตลาด
ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศเวียดนามปรับเพิ่มขึ้น 15-17% ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อช่วยลดภาระการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันเบนซินที่มีราคาสูงเข้ามาขายในประเทศ อาจส่งผลให้แนวโน้มปริมาณการนำเข้าน้ำมันดังกล่าวของเวียดนามในเดือน พ.ย. ปรับลดลงบ้าง
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากจีนมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลในปริมาณที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปีที่จำนวน 3.9 ล้านบาร์เรลในเดือน ธ.ค. ซึ่งเกือบแตะสถิติสูงสุดที่เคยนำเข้าในเดือน ธ.ค. 2547 มีส่วนช่วยให้ภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวในประเทศคลี่คลายลงบ้าง และส่งผลให้ตลาดน้ำมันดีเซลในภูมิภาคอยู่ในภาวะตึงตัว
ศรีลังกากำลังมองหาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.25% จำนวน 150,000 ตันสำหรับการส่งมอบงวดปลายเดือน ธ.ค. ถึงต้นเดือน ม.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวลดลง 1.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ตลาดคาดการณ์ว่า อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. เนื่องจากมีการขนย้ายน้ำมันจากอินเดีย เกาหลีใต้ และตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
โรงกลั่นของอินเดียมีแผนจะขายน้ำมันเตาความหนืดสูงจำนวน 80,000 ตันสำหรับการส่งมอบกลางเดือน ม.ค. 51 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่เข้ามาซื้อน้ำมันเตาจำนวน 20,000 ตันสำหรับการส่งมอบกลางเดือน ธ.ค. หลังจากห่างหายไปจากตลาดกว่า 3 วัน ส่งผลให้ผู้ค้ารายดังกล่าวซื้อน้ำมันเตาคิดเป็นปริมาณทั้งสิ้น 1.7 ล้านตันนับตั้งแต่สิ้นเดือน ต.ค. เป็นต้นมา มีส่วนช่วยให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลงบ้าง
ภูมิภาคเอเชียเหนือกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันเตากำมะถันต่ำปรับเพิ่มขึ้น โดยไต้หวันกำลังมองหาน้ำมันดังกล่าวจำนวน 38,000 ตันสำหรับการส่งมอบเดือน ม.ค. 2551 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตากำมะถันต่ำในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง
ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205782
27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.88 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจาก
ราคาน้ำมันที่ใช้ทำความร้อนปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากมีการคาดการณ์ว่า สภาพอากาศในสัปดาห์หน้าจะหนาวเย็นกว่าปกติ ขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน สาเหตุจากตลาดคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันจากการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดพักผ่อนจะปรับเพิ่มสูงขึ้น มีส่วนสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้น
ตลาดกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบของยุโรป หลังจากเหตุเพลิงไหม้ที่แหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบในทะเลเหนือส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบ Brent ขาดหายไปราว 5,000 บาร์เรลต่อวัน แม้ว่าผู้ขนส่งน้ำมันทางเรือจะกล่าวว่า ปริมาณน้ำมันที่ขาดหายไปดังกล่าวถือเป็นปริมาณเพียงเล็กน้อยและไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกก็ตาม
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาอ่อนตัวลงทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ส่งผลให้ตลาดทวีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม บริษัท Petrologistic บริษัทยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมการขนส่งน้ำมันของตะวันออกกลางคาดการณ์ว่า อุปทานของกลุ่มโอเปกในเดือน พ.ย. จะปรับเพิ่มขึ้น 350,000 บาร์เรลต่อวัน หลังจากที่อิรักส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบลงบ้าง
น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
อินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันเบนซินลดลงประมาณ 35% สำหรับไตรมาสแรกของปี 2551 เมื่อเทียบกับปริมาณการนำเข้าเฉลี่ยของปีนี้ โดยจะหันไปเพิ่มผลผลิตในประเทศแทน
โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งของไทยขายน้ำมันเบนซิน 92 จำนวน 1 ลำเรือสำหรับการส่งมอบเดือนธ.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันเบนซินในตลาดจรในภูมิภาคยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว เนื่องจากจีนยังระงับการส่งออกน้ำมันดังกล่าว และมีการขนย้ายน้ำมันเบนซินจากอินเดียไปขายยังตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง
ผู้ค้าน้ำมัน 2 รายประมูลซื้อน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน100,000 บาร์เรลสำหรับงวดต้นเดือน ธ.ค. มีส่วนช่วยหนุนราคาน้ำมันเบนซินในภูมิภาคให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวลดลง 0.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามกับราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง เนื่องจาก
จีนจะนำเข้าน้ำมันอากาศยานจำนวน 2.19 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน ม.ค. 51 หรือปรับลดลง 28% เมื่อเทียบกับปริมาณที่เคยนำเข้าที่ 3.02 ล้านบาร์เรลในเดือน ม.ค. 50 เนื่องจากโรงกลั่นในประเทศเน้นการผลิตน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
ไต้หวันยกเลิกสัญญาการเสนอขายน้ำมันอากาศยานสำหรับปี 2551 หลังจากมีปริมาณการเสนอซื้อในตลาดเบาบาง สะท้อนให้เห็นถึงสภาพตลาดน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคที่ไม่สดใสนัก
มีการเสนอขายน้ำมันอากาศยานจำนวน 100,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบงวดกลางเดือน ธ.ค. แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ มีส่วนกดดันราคาน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคให้ปรับลดลง
น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ผู้ค้าน้ำมันเสนอขายน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.5% จำนวน 150,000 บาร์เรลสำหรับงวดกลางเดือน ธ.ค. ในราคาที่ต่ำกว่าการขายก่อนหน้านี้ มีส่วนกดดันราคาในตลาด
ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศเวียดนามปรับเพิ่มขึ้น 15-17% ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อช่วยลดภาระการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันเบนซินที่มีราคาสูงเข้ามาขายในประเทศ อาจส่งผลให้แนวโน้มปริมาณการนำเข้าน้ำมันดังกล่าวของเวียดนามในเดือน พ.ย. ปรับลดลงบ้าง
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากจีนมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลในปริมาณที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปีที่จำนวน 3.9 ล้านบาร์เรลในเดือน ธ.ค. ซึ่งเกือบแตะสถิติสูงสุดที่เคยนำเข้าในเดือน ธ.ค. 2547 มีส่วนช่วยให้ภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวในประเทศคลี่คลายลงบ้าง และส่งผลให้ตลาดน้ำมันดีเซลในภูมิภาคอยู่ในภาวะตึงตัว
ศรีลังกากำลังมองหาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.25% จำนวน 150,000 ตันสำหรับการส่งมอบงวดปลายเดือน ธ.ค. ถึงต้นเดือน ม.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคปรับลดลง
น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวลดลง 1.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ
ตลาดคาดการณ์ว่า อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. เนื่องจากมีการขนย้ายน้ำมันจากอินเดีย เกาหลีใต้ และตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
โรงกลั่นของอินเดียมีแผนจะขายน้ำมันเตาความหนืดสูงจำนวน 80,000 ตันสำหรับการส่งมอบกลางเดือน ม.ค. 51 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่เข้ามาซื้อน้ำมันเตาจำนวน 20,000 ตันสำหรับการส่งมอบกลางเดือน ธ.ค. หลังจากห่างหายไปจากตลาดกว่า 3 วัน ส่งผลให้ผู้ค้ารายดังกล่าวซื้อน้ำมันเตาคิดเป็นปริมาณทั้งสิ้น 1.7 ล้านตันนับตั้งแต่สิ้นเดือน ต.ค. เป็นต้นมา มีส่วนช่วยให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลงบ้าง
ภูมิภาคเอเชียเหนือกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันเตากำมะถันต่ำปรับเพิ่มขึ้น โดยไต้หวันกำลังมองหาน้ำมันดังกล่าวจำนวน 38,000 ตันสำหรับการส่งมอบเดือน ม.ค. 2551 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตากำมะถันต่ำในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง
ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205782
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 204
หุ้นโรงกลั่นยังสวยTOP-RRCสุดถูก
โบรกฯชี้หุ้นโรงกลั่นยังน่าสนใจ รับค่าการกลั่นแตะระดับ 8.35 เหรียญต่อบาร์เรล หนุนผลประกอบการโต TOP-RRC ราคาสุดถูกแนะทยอยซื้อ TOP ราคาเป้าหมาย 97 บาท ส่วน RRC ราคาเป้าหมายก่อนควบรวม ที่ 31 บาท อิงจากราคาเหมาะสมของหุ้นใหม่ PTTAR ที่ 57 บาท ด้านแหล่งข่าว TOP ยันเดินเครื่อง CDU-3 ต้นธ.ค.เร็วกว่ากำหนดเดิม รับกำลังการผลิตเพิ่ม หนุนไตรมาส 4 เล็กน้อย แต่สะท้อนผลดีสุดปีหน้า
นางสาวมุกดา ม่วงหม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นกลุ่มโรงกลั่นยังคงไม่ปรับเพิ่มขึ้นหวือหวา เนื่องจากค่าการกลั่นยังอยู่ในช่วงอ่อนตัวลง ปัจจุบันอยู่ที่ 8.35 เหรียญต่อบาร์เรล จากช่วงต้นเดือนพ.ย.ค่าการกลั่นอยู่ที่ 10 กว่าเหรียญต่อบาร์เรลแต่ถือว่าสูงกว่าค่าการกลั่นปีก่อน ประกอบกับแม้ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวระดับสูงแต่กลับสะท้อนผลดีให้กับ PTTEP มากกว่าไม่ได้สะท้อนผลดียังหุ้นโรงกลั่นโดยตรง ดังนั้นระยะสั้นราคาหุ้น TOP-RRC จึงยังไม่สะท้อนผลบวกมากนัก
สำหรับหุ้นกลุ่มโรงกลั่น คงแนะนำซื้อลงทุน TOP ราคาเป้าหมาย 97 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างน่าสนใจตรงที่ปรับลดลงต่ำ แต่อาจรอจังหวะซื้อที่ระดับ 80-83.50 บาทต่อหุ้น และค่าการกลั่นทรงตัวระดับสูง โดยคาดค่าการกลั่นเฉลี่ย ปีนี้ อยู่ที่ 7 เหรียญต่อบาร์เรล ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 4/50 น่าจะดีกว่าไตรมาส 3/50 แม้ว่าไตรมาส 4 TOP จะมีการหยุดซ่อมหน่วยโรงกลั่นที่ 3 ทำให้กำลังการผลิตลดลงแต่ไตรมาส 3/50 ผลประกอบการกลับแย่กว่าที่คาดเพราะนำลองเลสสิดิวซึ่งเป็นน้ำมันเตาชนิดหนึ่งไปกลั่นต่อในไตรมาส 4/50 ทำให้ไตรมาส 3 กำไรลดลง ดังนั้นค่าว่าไตรมาส 4 จะมีรายได้จากส่วนดังกล่าว
ประกอบกับอาจได้รับผลบวกจากการเปิดเดินเครื่องหน่วยกลั่นที่ 3 ช่วงต้นธ.ค.ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า TOP จะได้รับผลบวกเพียงเล็กน้อยเพราะแม้จะเดินเครื่องเร็วกว่าคาดการก็จริงแต่เป็นลักษณะการทดลองผลิต และกว่าจะเดินเครื่องผลิตเต็มที่คาดว่าจะเป็นต้นปี 51 ดังนั้นผลบวกของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะสะท้อนผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 1/51
สำหรับ หุ้นของบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC คงแนะนำทยอยซื้อ ราคาเป้าหมายปี 51 ก่อนควบรวมที่ 31 บาท โดยอิงจากราคาเหมาะสมของหุ้นบริษัทใหม่อยู่ที่ 57 บาท ซึ่งคาดว่าการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมบริษัทกับ ATC คาดดำเนินการแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.50 และหุ้นบริษัทใหม่จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในเดือน ม.ค.51 ถือเป็นข่าวดีกับ RRC จากผลสำเร็จในการควบรวมกับ ATC แต่ราคาหุ้นมีแนวโน้มอ่อนตัวในระยะสั้นตามภาวะตลาดหุ้นโดยรวมที่ไม่ค่อยดีนัก
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า หุ้น TOP เหมาะสำหรับการซื้อถือลงทุนระยะยาว เนื่องจากด้านปัจจัยพื้นฐาน TOP ถือเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพดีสุด โดยเฉพาะปีหน้าหลังจากหยุดซ่อมโรงกลั่นหน่วย 3 ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อผลประกอบการปีหน้าเพิ่มขึ้น คาดค่าการกลั่นเฉลี่ยไตรมาส 4/50 ทรงตัวสูงกว่า 8 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาปัจจุบันลดลง 18%จากราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 100 บาท
ส่วน RRC เหมาะสำหรับซื้อลงทุนใน 1-2 เดือน และมีประเด็นการควบรวมกิจการทำให้ต้องพิจารณาผลการดำเนินงานรวมกับ ATC ซึ่งปัจจุบันมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นที่ทำให้ Product to Feed ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามราคาปัจจุบันมีลดลงสูงถึง 37% ขณะที่ ATC ราคาลดลง 41% แนะนำลงทุนเพื่อรอไปแลกเป็นหุ้น PTTAR ระยะยาวเชื่อว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมยังดี
อย่างไรก็ตามคงแนะนำ Neutral กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากความกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการปรับตัวขึ้นที่น้อยลงของราคาน้ำมันที่เข้าใกล้ 100 เหรียญต่อบาร์เรล การชะลอลงของการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และราคาหุ้นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาสูง ทำให้ฝ่ายวิจัยเห็นว่าหุ้นในกลุ่มน้ำมันมีโอกาสถูกขายทำกำไรและมีการปรับ Outlook หุ้นกลุ่มพลังงานเป็น Neutral ในช่วงเดือนพ.ย.50 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ย้ำมาเสมอว่ายังคงมองทิศทางราคาน้ำมันว่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องโดยเฉพาะในไตรมาส 1/50 ซึ่งยังเป็นช่วงที่อุปสงค์น้ำมันอยู่ในระดับสูง ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่มพลังงานหลายตัวได้ปรับลงมาพอสมควรจนมี Discount จากราคาเหมาะสมในปี 2550 ที่น่าสนใจ ทำให้ฝ่ายวิจัยเห็นว่าน่าจะเริ่มเป็นโอกาสในการเริ่มสะสมหุ้นพลังงานที่น่าสนใจอีกครั้ง ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็น Defensive stock โดยมีอัตราเงินปันผลที่น่าสนใจรองรับ ปัจจุบัน EGCO มีdiscount 22% และ RATCH มี discount 18%
สำหรับหุ้นกลุ่มน้ำมัน มี discount สูงขึ้น ได้แก่ PTTEP ซึ่งปรับตัวลดลงมา 14% จากระดับราคาสูงสุด สวนทางกับระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 19% ในไตรมาส 4/50 และมี discount 11% จากราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 163บาท, PTT ราคาปัจจุบันมี discount 10% จากราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 395 บาท สำหรับ BCP-DR1 เป็นหุ้นทีมองประเด็นลงทุนจากการ Turnaround ในปี 2552 ราคาปัจจุบันมี discount 19% จากราคาเหมาะสมปี 2550
อย่างไรก็ตามสำหรับหุ้นถ่านหินถือว่ามีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ BANPU ซึ่งยังคงมีราคาถ่านหินที่ทำ New High ต่อเนื่องเป็นปัจจัยสนับสนุน outlook ของราคาถ่านหินยังคงดีมากในระยะยาว ขณะที่ราคาที่ลดลงมาเริ่มมี discount 15% จากราคาเหมาะสมกรณี Best Case ปี2550 ที่ 445 บาท
แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องโรงกลั่นหน่วยที่ 3 (CDU-3) ได้ทันช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่คาดว่าจะเดินเครื่องในวันที่ 19 ธ.ค. หลังหยุดซ่อมแซมตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.-10 ธ.ค. ซึ่งจะช่วยให้ช่วง 1 เดือนที่เปิดดำเนินงานนี้บริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาอีก 5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็น 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน สมมุติว่าค่าการกลั่นยืนอยู่ที่ 5 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาเบื้องต้น 2.5 แสนเหรียญต่อวัน
ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะเปิดเดินเครื่องเร็วกว่ากำหนด และรับรู้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเดินเครื่องระยะสั้นเพียง 1 เดือนก่อนสิ้นปีเท่านั้น ดังนั้นคาดว่าจะสะท้อนผลบวกจากปัจจัยดังกล่าวในไตรมาส 4/50 เพียงเล็กน้อยแต่จะเห็นผลบวกชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 1/51
อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีที่กระทรวงพลังงานเรียกผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันเข้าพบในเดือนธ.ค.นี้ เป็นเพียงการหารือเกี่ยวกับการปรับกระบวนการผลิตให้สามารถผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ทดแทนการจำหน่ายเบนซิน 91 โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเริ่มจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ตั้งแต่เดือน มิ.ย.51 เท่านั้น ยังไม่มีประเด็นข้อหารือเพิ่มเติมมากกว่านี้แน่นอน
นางนิธิมา เทพวนังกูร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ การเงิน การบัญชี และงบประมาณ บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2550 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในการแจ้งมติดังกล่าว บริษัทได้แจ้งว่าจะมีการรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นของ บริษัทในการรับจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบกันระหว่างบริษัท และ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC ซึ่งวันดังกล่าวคาดว่าจะเป็นวันที่ 21 ธันวาคม 2550 นั้น บริษัทใคร่ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า บริษัทจะมีการแจ้งอย่างเป็นทางการสำหรับวันที่ที่จะมีการรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ในวันที่ 6 ธันวาคม 2550
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
โบรกฯชี้หุ้นโรงกลั่นยังน่าสนใจ รับค่าการกลั่นแตะระดับ 8.35 เหรียญต่อบาร์เรล หนุนผลประกอบการโต TOP-RRC ราคาสุดถูกแนะทยอยซื้อ TOP ราคาเป้าหมาย 97 บาท ส่วน RRC ราคาเป้าหมายก่อนควบรวม ที่ 31 บาท อิงจากราคาเหมาะสมของหุ้นใหม่ PTTAR ที่ 57 บาท ด้านแหล่งข่าว TOP ยันเดินเครื่อง CDU-3 ต้นธ.ค.เร็วกว่ากำหนดเดิม รับกำลังการผลิตเพิ่ม หนุนไตรมาส 4 เล็กน้อย แต่สะท้อนผลดีสุดปีหน้า
นางสาวมุกดา ม่วงหม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นกลุ่มโรงกลั่นยังคงไม่ปรับเพิ่มขึ้นหวือหวา เนื่องจากค่าการกลั่นยังอยู่ในช่วงอ่อนตัวลง ปัจจุบันอยู่ที่ 8.35 เหรียญต่อบาร์เรล จากช่วงต้นเดือนพ.ย.ค่าการกลั่นอยู่ที่ 10 กว่าเหรียญต่อบาร์เรลแต่ถือว่าสูงกว่าค่าการกลั่นปีก่อน ประกอบกับแม้ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวระดับสูงแต่กลับสะท้อนผลดีให้กับ PTTEP มากกว่าไม่ได้สะท้อนผลดียังหุ้นโรงกลั่นโดยตรง ดังนั้นระยะสั้นราคาหุ้น TOP-RRC จึงยังไม่สะท้อนผลบวกมากนัก
สำหรับหุ้นกลุ่มโรงกลั่น คงแนะนำซื้อลงทุน TOP ราคาเป้าหมาย 97 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างน่าสนใจตรงที่ปรับลดลงต่ำ แต่อาจรอจังหวะซื้อที่ระดับ 80-83.50 บาทต่อหุ้น และค่าการกลั่นทรงตัวระดับสูง โดยคาดค่าการกลั่นเฉลี่ย ปีนี้ อยู่ที่ 7 เหรียญต่อบาร์เรล ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 4/50 น่าจะดีกว่าไตรมาส 3/50 แม้ว่าไตรมาส 4 TOP จะมีการหยุดซ่อมหน่วยโรงกลั่นที่ 3 ทำให้กำลังการผลิตลดลงแต่ไตรมาส 3/50 ผลประกอบการกลับแย่กว่าที่คาดเพราะนำลองเลสสิดิวซึ่งเป็นน้ำมันเตาชนิดหนึ่งไปกลั่นต่อในไตรมาส 4/50 ทำให้ไตรมาส 3 กำไรลดลง ดังนั้นค่าว่าไตรมาส 4 จะมีรายได้จากส่วนดังกล่าว
ประกอบกับอาจได้รับผลบวกจากการเปิดเดินเครื่องหน่วยกลั่นที่ 3 ช่วงต้นธ.ค.ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า TOP จะได้รับผลบวกเพียงเล็กน้อยเพราะแม้จะเดินเครื่องเร็วกว่าคาดการก็จริงแต่เป็นลักษณะการทดลองผลิต และกว่าจะเดินเครื่องผลิตเต็มที่คาดว่าจะเป็นต้นปี 51 ดังนั้นผลบวกของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะสะท้อนผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 1/51
สำหรับ หุ้นของบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC คงแนะนำทยอยซื้อ ราคาเป้าหมายปี 51 ก่อนควบรวมที่ 31 บาท โดยอิงจากราคาเหมาะสมของหุ้นบริษัทใหม่อยู่ที่ 57 บาท ซึ่งคาดว่าการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมบริษัทกับ ATC คาดดำเนินการแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.50 และหุ้นบริษัทใหม่จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในเดือน ม.ค.51 ถือเป็นข่าวดีกับ RRC จากผลสำเร็จในการควบรวมกับ ATC แต่ราคาหุ้นมีแนวโน้มอ่อนตัวในระยะสั้นตามภาวะตลาดหุ้นโดยรวมที่ไม่ค่อยดีนัก
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า หุ้น TOP เหมาะสำหรับการซื้อถือลงทุนระยะยาว เนื่องจากด้านปัจจัยพื้นฐาน TOP ถือเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพดีสุด โดยเฉพาะปีหน้าหลังจากหยุดซ่อมโรงกลั่นหน่วย 3 ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อผลประกอบการปีหน้าเพิ่มขึ้น คาดค่าการกลั่นเฉลี่ยไตรมาส 4/50 ทรงตัวสูงกว่า 8 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาปัจจุบันลดลง 18%จากราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 100 บาท
ส่วน RRC เหมาะสำหรับซื้อลงทุนใน 1-2 เดือน และมีประเด็นการควบรวมกิจการทำให้ต้องพิจารณาผลการดำเนินงานรวมกับ ATC ซึ่งปัจจุบันมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นที่ทำให้ Product to Feed ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามราคาปัจจุบันมีลดลงสูงถึง 37% ขณะที่ ATC ราคาลดลง 41% แนะนำลงทุนเพื่อรอไปแลกเป็นหุ้น PTTAR ระยะยาวเชื่อว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมยังดี
อย่างไรก็ตามคงแนะนำ Neutral กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากความกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการปรับตัวขึ้นที่น้อยลงของราคาน้ำมันที่เข้าใกล้ 100 เหรียญต่อบาร์เรล การชะลอลงของการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และราคาหุ้นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาสูง ทำให้ฝ่ายวิจัยเห็นว่าหุ้นในกลุ่มน้ำมันมีโอกาสถูกขายทำกำไรและมีการปรับ Outlook หุ้นกลุ่มพลังงานเป็น Neutral ในช่วงเดือนพ.ย.50 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ย้ำมาเสมอว่ายังคงมองทิศทางราคาน้ำมันว่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องโดยเฉพาะในไตรมาส 1/50 ซึ่งยังเป็นช่วงที่อุปสงค์น้ำมันอยู่ในระดับสูง ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่มพลังงานหลายตัวได้ปรับลงมาพอสมควรจนมี Discount จากราคาเหมาะสมในปี 2550 ที่น่าสนใจ ทำให้ฝ่ายวิจัยเห็นว่าน่าจะเริ่มเป็นโอกาสในการเริ่มสะสมหุ้นพลังงานที่น่าสนใจอีกครั้ง ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็น Defensive stock โดยมีอัตราเงินปันผลที่น่าสนใจรองรับ ปัจจุบัน EGCO มีdiscount 22% และ RATCH มี discount 18%
สำหรับหุ้นกลุ่มน้ำมัน มี discount สูงขึ้น ได้แก่ PTTEP ซึ่งปรับตัวลดลงมา 14% จากระดับราคาสูงสุด สวนทางกับระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 19% ในไตรมาส 4/50 และมี discount 11% จากราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 163บาท, PTT ราคาปัจจุบันมี discount 10% จากราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 395 บาท สำหรับ BCP-DR1 เป็นหุ้นทีมองประเด็นลงทุนจากการ Turnaround ในปี 2552 ราคาปัจจุบันมี discount 19% จากราคาเหมาะสมปี 2550
อย่างไรก็ตามสำหรับหุ้นถ่านหินถือว่ามีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ BANPU ซึ่งยังคงมีราคาถ่านหินที่ทำ New High ต่อเนื่องเป็นปัจจัยสนับสนุน outlook ของราคาถ่านหินยังคงดีมากในระยะยาว ขณะที่ราคาที่ลดลงมาเริ่มมี discount 15% จากราคาเหมาะสมกรณี Best Case ปี2550 ที่ 445 บาท
แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องโรงกลั่นหน่วยที่ 3 (CDU-3) ได้ทันช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่คาดว่าจะเดินเครื่องในวันที่ 19 ธ.ค. หลังหยุดซ่อมแซมตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.-10 ธ.ค. ซึ่งจะช่วยให้ช่วง 1 เดือนที่เปิดดำเนินงานนี้บริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาอีก 5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็น 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน สมมุติว่าค่าการกลั่นยืนอยู่ที่ 5 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาเบื้องต้น 2.5 แสนเหรียญต่อวัน
ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะเปิดเดินเครื่องเร็วกว่ากำหนด และรับรู้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเดินเครื่องระยะสั้นเพียง 1 เดือนก่อนสิ้นปีเท่านั้น ดังนั้นคาดว่าจะสะท้อนผลบวกจากปัจจัยดังกล่าวในไตรมาส 4/50 เพียงเล็กน้อยแต่จะเห็นผลบวกชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 1/51
อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีที่กระทรวงพลังงานเรียกผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันเข้าพบในเดือนธ.ค.นี้ เป็นเพียงการหารือเกี่ยวกับการปรับกระบวนการผลิตให้สามารถผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ทดแทนการจำหน่ายเบนซิน 91 โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเริ่มจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ตั้งแต่เดือน มิ.ย.51 เท่านั้น ยังไม่มีประเด็นข้อหารือเพิ่มเติมมากกว่านี้แน่นอน
นางนิธิมา เทพวนังกูร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ การเงิน การบัญชี และงบประมาณ บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2550 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในการแจ้งมติดังกล่าว บริษัทได้แจ้งว่าจะมีการรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นของ บริษัทในการรับจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบกันระหว่างบริษัท และ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC ซึ่งวันดังกล่าวคาดว่าจะเป็นวันที่ 21 ธันวาคม 2550 นั้น บริษัทใคร่ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า บริษัทจะมีการแจ้งอย่างเป็นทางการสำหรับวันที่ที่จะมีการรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ในวันที่ 6 ธันวาคม 2550
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 205
-กระทรวงพลังงาน ประกาศชัด ไม่มีการปรับลดเงินจัดเก็บสมทบกองทุนน้ำมันเอีกแล้ว หลังจากลดวันนี้ 20 สตางค์ [/b
Posted on Wednesday, November 28, 2007
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หลังจากลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนดีเซลและไบโอดีเซลลงอีกลิตรละ 20 สตางค์ ในวันนี้แล้ว กระทรวงพลังงาน จะไม่ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนน้ำมันอีกแล้ว เพราะไม่ต้องการสร้างผลกระทบต่อแผนใช้หนี้ของกองทุนน้ำมัน ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ปลอดหนี้ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพราะปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินเหลือแค่ 2,393 ล้านบาท เท่านั้น
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมัน มีรายได้ลดลงเดือนละประมาณ 315 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเงินสดสุทธิ 13,201 ล้านบาท เทียบกับหนี้สินค้างชำระ 15,594 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท จ่ายชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมัน 990 ล้านบาท ชำระหนี้ชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม ( แอลพีจี ) 5,288 ล้านบาท จ่ายชดเชยภาระดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี จำนวน 516 ล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Wednesday, November 28, 2007
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หลังจากลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนดีเซลและไบโอดีเซลลงอีกลิตรละ 20 สตางค์ ในวันนี้แล้ว กระทรวงพลังงาน จะไม่ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนน้ำมันอีกแล้ว เพราะไม่ต้องการสร้างผลกระทบต่อแผนใช้หนี้ของกองทุนน้ำมัน ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ปลอดหนี้ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพราะปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินเหลือแค่ 2,393 ล้านบาท เท่านั้น
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมัน มีรายได้ลดลงเดือนละประมาณ 315 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเงินสดสุทธิ 13,201 ล้านบาท เทียบกับหนี้สินค้างชำระ 15,594 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท จ่ายชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมัน 990 ล้านบาท ชำระหนี้ชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม ( แอลพีจี ) 5,288 ล้านบาท จ่ายชดเชยภาระดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี จำนวน 516 ล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 206
น้ำมันดิบร่วงปิดต่ำกว่า 94 เหรียญ ทรุดลงกว่า 3% หลัง 2 ชาติยักษ์ในโอเปก หนุนเพิ่มการผลิต
Posted on Wednesday, November 28, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์ก ร่วงหนักกว่า 3% ปิดต่ำกว่า 94 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ร่วงลงอย่างหนักกว่า 3% ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายต่ำสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 94.21 เหรียญ ก่อนขยับขึ้นเล็กน้อยมาปิดที่ 94.42 เหรียญเช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทรุดลงอย่างหนักเกือบ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาปิดที่บาร์เรลละ 92.52 เหรียญ ทั้งนี้ เปรียบเทียบราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นที่บาร์เรลละ 99.29 เหรียญในสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนราคาทรุดลงเกือบ 5 เหรียญสหรัฐ
ซาอุดิอาระเบียจับมืออินโดนีเซียส่งสัญญาณปรับเพิ่มการผลิต
สาเหตุสำคัญมาจากการส่งสัญญาณของรัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับ 1 ของกลุ่มโอเปก และของโลก กล่าวว่า อาจจะสนับสนุนให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ในการประชุมประจำปีครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ สอดคล้องกับ รัฐมนตรีน้ำมันประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มโอเปกเช่นกัน กล่าวว่า อินโดนีเซีย อาจเสนอให้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอีกวันละ 5 แสนบาร์เรล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปแล้ว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
Posted on Wednesday, November 28, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์ก ร่วงหนักกว่า 3% ปิดต่ำกว่า 94 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ร่วงลงอย่างหนักกว่า 3% ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายต่ำสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 94.21 เหรียญ ก่อนขยับขึ้นเล็กน้อยมาปิดที่ 94.42 เหรียญเช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทรุดลงอย่างหนักเกือบ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาปิดที่บาร์เรลละ 92.52 เหรียญ ทั้งนี้ เปรียบเทียบราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นที่บาร์เรลละ 99.29 เหรียญในสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนราคาทรุดลงเกือบ 5 เหรียญสหรัฐ
ซาอุดิอาระเบียจับมืออินโดนีเซียส่งสัญญาณปรับเพิ่มการผลิต
สาเหตุสำคัญมาจากการส่งสัญญาณของรัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับ 1 ของกลุ่มโอเปก และของโลก กล่าวว่า อาจจะสนับสนุนให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ในการประชุมประจำปีครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ สอดคล้องกับ รัฐมนตรีน้ำมันประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มโอเปกเช่นกัน กล่าวว่า อินโดนีเซีย อาจเสนอให้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอีกวันละ 5 แสนบาร์เรล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปแล้ว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 207
ผลผลิตน้ำมันอินโดนีเซียปีนี้เพิ่ม 7.2 % - ข่าว 18.00 น.
Posted on Thursday, November 29, 2007
นายซูมาร์โน ประธานบริษัทเพอร์ทามินา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซของรัฐบาลอินโดนีเซีย คาดว่า ผลผลิตน้ำมันของอินโดนีเซียในปีนี้ จะเพิ่มขึ้น 7.2% มาอยู่ที่ระดับ 146,000 บาร์เรลต่อวัน โดยเมื่อ 2 ปีที่แล้วผลผลิตน้ำมันของประเทศก็เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 7.2% เช่นเดียวกัน ซึ่งมีการผลิตเฉลี่ยที่ 130,000 บาร์เรลต่อวัน
นายซูมาร์โนบอกด้วยว่า ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กลุ่มประเทศสมาชิกโอเปกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเร่งเพิ่มผลผลิตน้ำมัน
ทั้งนี้ อินโดนีเซียคาดว่า ผลผลิตน้ำมันในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 170,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบ่อน้ำมันเซปูในจังหวัดชวาตะวันออก เมืองเบกาซีทางชวาตะวันตก และจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 29, 2007
นายซูมาร์โน ประธานบริษัทเพอร์ทามินา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซของรัฐบาลอินโดนีเซีย คาดว่า ผลผลิตน้ำมันของอินโดนีเซียในปีนี้ จะเพิ่มขึ้น 7.2% มาอยู่ที่ระดับ 146,000 บาร์เรลต่อวัน โดยเมื่อ 2 ปีที่แล้วผลผลิตน้ำมันของประเทศก็เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 7.2% เช่นเดียวกัน ซึ่งมีการผลิตเฉลี่ยที่ 130,000 บาร์เรลต่อวัน
นายซูมาร์โนบอกด้วยว่า ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กลุ่มประเทศสมาชิกโอเปกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเร่งเพิ่มผลผลิตน้ำมัน
ทั้งนี้ อินโดนีเซียคาดว่า ผลผลิตน้ำมันในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 170,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบ่อน้ำมันเซปูในจังหวัดชวาตะวันออก เมืองเบกาซีทางชวาตะวันตก และจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 208
น้ำมันดิบตลาดโลก ทรุดอีก4% ปิดต่ำกว่า 91 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ร่วงลงอย่างหนักอีก 4% ตลอดคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายต่ำสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 90.33 เหรียญ ก่อนขยับขึ้นเล็กน้อยมาปิดที่ 90.62 เหรียญ เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทรุดลงอย่างหนักกว่า 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาปิดที่บาร์เรลละ 89.95 เหรียญ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทรุดลงเกือบ 7 เหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สาเหตุจาก ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลงเล็กน้อย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ร่วงลงอย่างหนักอีก 4% ตลอดคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายต่ำสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 90.33 เหรียญ ก่อนขยับขึ้นเล็กน้อยมาปิดที่ 90.62 เหรียญ เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทรุดลงอย่างหนักกว่า 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาปิดที่บาร์เรลละ 89.95 เหรียญ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทรุดลงเกือบ 7 เหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สาเหตุจาก ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลงเล็กน้อย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 209
ซาอุดิอาระเบียชี้ปัจจัยพื้นฐานในตลาดไม่ใช่สาเหตุราคาน้ำมันแพง
นายอาลี อัล-ไนมี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย ได้แสดงความคิดเห็นก่อนที่การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกมีอยู่มากเพียงพอ และปัจจัยพื้นฐานในตลาดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันและราคาน้ำมันไม่เกี่ยวข้องกัน เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกัน และปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เราเชื่อว่าปริมาณน้ำมันในตลาดโลกมีอยู่มากเพียงพอ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายอาลี อัล-ไนมี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย ได้แสดงความคิดเห็นก่อนที่การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกมีอยู่มากเพียงพอ และปัจจัยพื้นฐานในตลาดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันและราคาน้ำมันไม่เกี่ยวข้องกัน เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกัน และปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เราเชื่อว่าปริมาณน้ำมันในตลาดโลกมีอยู่มากเพียงพอ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/11/07
โพสต์ที่ 210
พลังงานประกาศลอยตัวก๊าซหุงต้มแล้ววันนี้
โดย Post Digital วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550
ก.พลังงาน ประกาศลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มแล้วมีผลวันนี้ ทำราคาขายส่งก๊าซหุงต้มปรับขึ้นทันที 1.20 บาท/กก. ส่วนราคาขายปลีกคาดว่าจะปรับขึ้นภายใน 1-2 วันนี้
นายวีระพล จิระประดิษฐ์กุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ.กล่าวว่า สนพ.ได้ประกาศลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีแล้ว มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะยกเลิกการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยราคาก๊าซทันที ทำให้ราคา ขายส่งปรับขึ้น 1.20 บาท/กก.ตั้งแต่วันนี้ ส่วนราคาขายปลีกนั้นผู้ค้าก๊าซจะต้องแจ้งต่อกรมการค้าภายในก่อน จึงคาดว่าจะปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นในอัตราเดียวกันภายใน 1-2 วันนี้
นายวีระพล กล่าวว่า การลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มโดยยกเลิกการอุดหนุนด้วยเงินกองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ เป็นเพียง ระยะแรก ส่วนการยกเลิกชดเชยราคาที่หน้าโรงกลั่นโรงแยกก๊าซจะเป็นระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีครั้งนี้ จะมีผลกระทบไม่มาก โดยราคาอาหารอาทิ ข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวจะมีต้นทุนสูงขึ้นเพียงจานละ 4 สตางค์ ส่วนรถแท็กซี่ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเพียงวันละ 20 บาทเท่านั้น
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=206570
โดย Post Digital วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550
ก.พลังงาน ประกาศลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มแล้วมีผลวันนี้ ทำราคาขายส่งก๊าซหุงต้มปรับขึ้นทันที 1.20 บาท/กก. ส่วนราคาขายปลีกคาดว่าจะปรับขึ้นภายใน 1-2 วันนี้
นายวีระพล จิระประดิษฐ์กุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ.กล่าวว่า สนพ.ได้ประกาศลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีแล้ว มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะยกเลิกการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยราคาก๊าซทันที ทำให้ราคา ขายส่งปรับขึ้น 1.20 บาท/กก.ตั้งแต่วันนี้ ส่วนราคาขายปลีกนั้นผู้ค้าก๊าซจะต้องแจ้งต่อกรมการค้าภายในก่อน จึงคาดว่าจะปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นในอัตราเดียวกันภายใน 1-2 วันนี้
นายวีระพล กล่าวว่า การลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มโดยยกเลิกการอุดหนุนด้วยเงินกองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ เป็นเพียง ระยะแรก ส่วนการยกเลิกชดเชยราคาที่หน้าโรงกลั่นโรงแยกก๊าซจะเป็นระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีครั้งนี้ จะมีผลกระทบไม่มาก โดยราคาอาหารอาทิ ข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวจะมีต้นทุนสูงขึ้นเพียงจานละ 4 สตางค์ ส่วนรถแท็กซี่ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเพียงวันละ 20 บาทเท่านั้น
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=206570