ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 1
ที่มีคนเคยพูดมันก็มีเหตุผล...แต่ไม่ทั้งหมดครับ ผมคิดว่าที่เก็งกำไรได้มากกว่านั้นเห็นด้วย สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อย(ไม่เกิน10ล้าน (ส่วนมากจะหลักแสน หรือหมื่น)) เพราะซื้อง่ายขายคล่อง ปีนึงอาจได้มากกว่า100% (ถ้า โชคดี ฉลาดกว่าแมงเม่า ไวพอๆขาใหญ่) ที่เก็ง(อยากมีกำไร ไวๆ อันนี้เขาใจครับ ....แต่มันมีเหตุผลอะไรมาเทียบกับนักลงทุน vi
ส่วนนักลงทุนแบบ vi (เซียน)นั้นมีเงินมากกว่าหลาย10ล้าน บางทีก็ร้อย พัน ล้านก็มี
จะให้มานั่งเก็งกำไรแบบพวกนักเก็งกำไรตลาดคงแย่ครับ (ซื้อขายบ่อยๆแบบเก็งกำไรอาจเข้าข่ายปั่นหุ้นได้เลยเพราะทุนที่สูงครับ)
อย่างคนมีเงิน100ล้าน จะมานั่งเล่นหุ้นร้อนอย่าง sam mlink live millฯลฯ นั้นเขาขี้เกียจครับ เพราะอะไรเหรอ ใช้แค่ไม่กี่แสนก็ตบๆหุ้นขึ้นได้แล้ว บางทีไม่กี่ล้าน ก็ทำติดเพดานแล้ว แล้วมั้นจะได้ซักกี่บาทครับ (บางที่ก็ถูกแขวนป้ายอีก ปั่นบ่อย) ....กับเล่นแบบ vi (มีหลากหลายวิธี แต่หัวใจเดียวกัน) ปีนึงกำไร20-30% ของ100 ล้าน หรือ 1000ล้าน สบายกว่าเห็นๆ
นักลงทุนแบบ vi ถูกพิสูจน์ในหลายยุดหลายสมัย แล้วว่าได้ผลจริง แม้ในยาม ที่ตลาดวิกฤต......แต่ก็ไม่พ้นที่จะถูกวิจารษ์ ว่าไม่ทันสมัยมั่ง ได้กำไรน้อยมั่ง หรือต่างๆนานา...........
แต่สุดท้าย ยังไง ตำนาน ก็คือ ตำนาน อยู่วันยังค่ำ
ส่วนนักลงทุนแบบ vi (เซียน)นั้นมีเงินมากกว่าหลาย10ล้าน บางทีก็ร้อย พัน ล้านก็มี
จะให้มานั่งเก็งกำไรแบบพวกนักเก็งกำไรตลาดคงแย่ครับ (ซื้อขายบ่อยๆแบบเก็งกำไรอาจเข้าข่ายปั่นหุ้นได้เลยเพราะทุนที่สูงครับ)
อย่างคนมีเงิน100ล้าน จะมานั่งเล่นหุ้นร้อนอย่าง sam mlink live millฯลฯ นั้นเขาขี้เกียจครับ เพราะอะไรเหรอ ใช้แค่ไม่กี่แสนก็ตบๆหุ้นขึ้นได้แล้ว บางทีไม่กี่ล้าน ก็ทำติดเพดานแล้ว แล้วมั้นจะได้ซักกี่บาทครับ (บางที่ก็ถูกแขวนป้ายอีก ปั่นบ่อย) ....กับเล่นแบบ vi (มีหลากหลายวิธี แต่หัวใจเดียวกัน) ปีนึงกำไร20-30% ของ100 ล้าน หรือ 1000ล้าน สบายกว่าเห็นๆ
นักลงทุนแบบ vi ถูกพิสูจน์ในหลายยุดหลายสมัย แล้วว่าได้ผลจริง แม้ในยาม ที่ตลาดวิกฤต......แต่ก็ไม่พ้นที่จะถูกวิจารษ์ ว่าไม่ทันสมัยมั่ง ได้กำไรน้อยมั่ง หรือต่างๆนานา...........
แต่สุดท้าย ยังไง ตำนาน ก็คือ ตำนาน อยู่วันยังค่ำ
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 2
ขอเสริมครับ เงินน้อย VI ก็ได้มากกว่าครับ ดูหลายๆคนในนี้สิครับ บ้างปีหลาย 100% ผมหละ อิจฉาๆ :oops: :oops:
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
- Pn3um0n1a
- Verified User
- โพสต์: 1935
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 4
อ้อ มาป่วนไม่มีไร
เรียก ป๋ามาช่วยสร้างเสริมความสนุก
อย่าเครียดกันครับ
ทางใครทางมัน
เชื่อทางไหน ไปทางนั้น
ไม่มีทางไหนถูก ทางไหนผิด
แต่ อย่าผิด กาละ (เวลา) และ เทศะ (สถานที่)
เพราะ สิ่งที่ถูก จะไม่ถูกได้ (เพราะ ตีนมาก เอ้ย คนส่วนมาก ถูกต้องเสมอ 555)
เรียก ป๋ามาช่วยสร้างเสริมความสนุก
อย่าเครียดกันครับ
ทางใครทางมัน
เชื่อทางไหน ไปทางนั้น
ไม่มีทางไหนถูก ทางไหนผิด
แต่ อย่าผิด กาละ (เวลา) และ เทศะ (สถานที่)
เพราะ สิ่งที่ถูก จะไม่ถูกได้ (เพราะ ตีนมาก เอ้ย คนส่วนมาก ถูกต้องเสมอ 555)
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 5
ลองมั่ง อิ อิ
VS เรือลาดตระเวนขนาดเล็กติดปืนกล เครื่องไม้เครื่องมือไม่มากนัก คล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกและเข้ากระทำแบบประชิดตัว ถ้าพลาดก็โดนสวนหมดสภาพได้ง่าย พื้นที่หวังผลระดับร้อยเมตรพันเมตร ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นได้ง่าย ไม่ต้องการข้อมูลมากนักเพราะออกทำการตามสถานการณ์เฉพาะหน้า โต้คลืนลมแรงไม่ค่อยได้ มีโอกาสเกยตื้นได้ง่ายหากพลขับไม่ไวพอ ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานจำนวนมาก แต่เหลือรอดกลับอู่ไม่มาก
ส่วน VI เป็นเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือหลากหลายครบครัน ติดอาวุธนำวิถี พิสัยต่อตีระดับร้อยระดับพันกิโลเมตร ค่อยๆคลืบคลานกินพื้นที่แบบว่าศัตรูไม่iรู้ตัว แต่มีข้อมูลพื้นที่หวังผลเพียบ กว่าจะออกทำการใช้เวลาเตรียมการนานเพราะต้องวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์มากหน่อย บ่ยั่นคลื่นยักษ์ใดๆ ถูกสร้างขึ้นมาไม่กี่สิบลำ รอดกลับฐานทัพเกือบทั้งหมด ไอ้ลำที่ไม่รอดเพราะเชื้อเพลิงนิวเคลียร์(ไฟ)หมดกลางทาง ลมพัดไปทางไหนก็ไม่ไป เพราะจมอยู่ใต้น้ำ 5 5 5
VS เรือลาดตระเวนขนาดเล็กติดปืนกล เครื่องไม้เครื่องมือไม่มากนัก คล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกและเข้ากระทำแบบประชิดตัว ถ้าพลาดก็โดนสวนหมดสภาพได้ง่าย พื้นที่หวังผลระดับร้อยเมตรพันเมตร ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นได้ง่าย ไม่ต้องการข้อมูลมากนักเพราะออกทำการตามสถานการณ์เฉพาะหน้า โต้คลืนลมแรงไม่ค่อยได้ มีโอกาสเกยตื้นได้ง่ายหากพลขับไม่ไวพอ ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานจำนวนมาก แต่เหลือรอดกลับอู่ไม่มาก
ส่วน VI เป็นเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือหลากหลายครบครัน ติดอาวุธนำวิถี พิสัยต่อตีระดับร้อยระดับพันกิโลเมตร ค่อยๆคลืบคลานกินพื้นที่แบบว่าศัตรูไม่iรู้ตัว แต่มีข้อมูลพื้นที่หวังผลเพียบ กว่าจะออกทำการใช้เวลาเตรียมการนานเพราะต้องวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์มากหน่อย บ่ยั่นคลื่นยักษ์ใดๆ ถูกสร้างขึ้นมาไม่กี่สิบลำ รอดกลับฐานทัพเกือบทั้งหมด ไอ้ลำที่ไม่รอดเพราะเชื้อเพลิงนิวเคลียร์(ไฟ)หมดกลางทาง ลมพัดไปทางไหนก็ไม่ไป เพราะจมอยู่ใต้น้ำ 5 5 5
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 6
ชอบคับ เป็ยนักเขียนป่าวคับเนี่ย :lol:ด๊กดิงด่าง เขียน:ลองมั่ง อิ อิ
VS เรือลาดตระเวนขนาดเล็กติดปืนกล เครื่องไม้เครื่องมือไม่มากนัก คล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกและเข้ากระทำแบบประชิดตัว ถ้าพลาดก็โดนสวนหมดสภาพได้ง่าย พื้นที่หวังผลระดับร้อยเมตรพันเมตร ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นได้ง่าย ไม่ต้องการข้อมูลมากนักเพราะออกทำการตามสถานการณ์เฉพาะหน้า โต้คลืนลมแรงไม่ค่อยได้ มีโอกาสเกยตื้นได้ง่ายหากพลขับไม่ไวพอ ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานจำนวนมาก แต่เหลือรอดกลับอู่ไม่มาก
ส่วน VI เป็นเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือหลากหลายครบครัน ติดอาวุธนำวิถี พิสัยต่อตีระดับร้อยระดับพันกิโลเมตร ค่อยๆคลืบคลานกินพื้นที่แบบว่าศัตรูไม่iรู้ตัว แต่มีข้อมูลพื้นที่หวังผลเพียบ กว่าจะออกทำการใช้เวลาเตรียมการนานเพราะต้องวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์มากหน่อย บ่ยั่นคลื่นยักษ์ใดๆ ถูกสร้างขึ้นมาไม่กี่สิบลำ รอดกลับฐานทัพเกือบทั้งหมด ไอ้ลำที่ไม่รอดเพราะเชื้อเพลิงนิวเคลียร์(ไฟ)หมดกลางทาง ลมพัดไปทางไหนก็ไม่ไป เพราะจมอยู่ใต้น้ำ 5 5 5
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 11
ตำนานผมไม่กลัว กลัวตำไม่เสร็จ 5 5 5
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 13
เปิดโผ "ผู้ให้" ของโลก เศรษฐี-บริษัทเห่อเทรนด์ใจบุญเพิ่ม ช่วงหลังๆ มานี้ การบริจาคเพื่อการกุศลกลายเป็นของคู่กับบรรดา มหาเศรษฐีระดับโลก รวมถึงบริษัทชั้นนำไปเสียแล้ว ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเงินบริจาคเพื่อสังคมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด "บิสซิเนส วีก" ได้จัดอันดับผู้ให้ของโลกประจำปี 2550 โดยทำเนียบผู้ให้ครั้งนี้ได้แบ่ง การจัดอันดับผู้ให้ทั้งในส่วนที่เป็นบุคคลและบริษัท ซึ่งในส่วนของผู้ให้ที่เป็นบุคคลนั้น บิสซิเนส วีก ได้จัดอันดับเศรษฐีใจบุญที่สุดในโลก 50 อันดับ (The 50 Most Generous Philanthropists) โดยวัดจากจำนวนเงินบริจาคของผู้ให้แต่ละราย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลการจัดอันดับพบว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮตอะเวย์ ครองแชมป์มหาเศรษฐีใจบุญของโลกไปตามความ คาดหมาย หลังจากที่สร้างความฮือฮาให้แก่แวดวง ซูเปอร์ริชระดับโลก ด้วยการประกาศเจตนารมณ์ในการบริจาคทรัพย์สินสูงถึง 31 พันล้านดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ ฟาวน์เดชั่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ทำให้ใน ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา "บัฟเฟตต์" บริจาคเงินรวม ไปแล้วกว่า 40.6 พันล้านดอลลาร์ และหากประเมินทรัพย์สินที่บริจาคให้การ กุศลตลอดชีวิตของเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40.8 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 78% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ราว 52.0 พันล้านดอลลาร์ส่วนอันดับ 2 ของทำเนียบผู้ให้ก็หนีไม่พ้น เจ้าพ่อไอที "บิลล์ เกตส์" และภรรยา "เมลินดา" ผู้ก่อตั้ง "ไมโครซอฟท์" ที่นับตั้งแต่ปี 2546-2550 บริจาคเงินไปราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ และบริจาคเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่องไปแล้วกว่า 28.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 48% ของ ทรัพย์สินทั้งหมด 59 พันล้านดอลลาร์
สำหรับอันดับ 3 ได้แก่ จอร์จ ไคเซอร์ นักธุรกิจด้านน้ำมัน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ที่บริจาคเงินกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตามมาด้วย "จอร์จ โซรอส" พ่อมด การเงินที่อยู่ในอันดับ 4 ของตาราง ด้วยเม็ดเงินบริจาคในรอบ 5 ปีที่อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ และกอร์ดอน และเบตตี้ มัวร์ ผู้ก่อตั้งอินเทล ที่บริจาคเงินไปราว 2.0 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 5 ปี แต่รวมเงินบริจาคตลอดมาน่าจะอยู่ที่ 7.4 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 165% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์
น่าสังเกตว่า แม้มหาเศรษฐีหลายราย ทั้งบิลล์ และเมลินดา เกตส์ ไมเคิล และซูซาน เดลล์ รวมถึงจอร์จ โซรอส จะทุ่มเม็ดเงินมหาศาล ในการช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ทั้งในด้านสุขภาพ การพัฒนา และส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มหาเศรษฐีอเมริกันอีกหลายรายกลับให้ความสำคัญกับการพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้รับบริจาคในปีนี้เป็นองค์กรเมริกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะผู้บริจาคต้องการดูแลเงินที่ให้ไปอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าเงินจำนวนนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ"จอน ฮันต์สแมน" ประธาน บริษัทฮันต์สแมน มหาเศรษฐีใจบุญ อันดับ 10 ของทำเนียบ เป็น ตัวอย่างของเศรษฐีที่ทุ่มเม็ดเงินในการพัฒนาบ้านเกิด เพราะเงินบริจาคส่วนใหญ่ของเขามุ่งไปที่ การวิจัยโรคมะเร็ง โดยเขาเพิ่งบริจาคเงินกว่า 700 ล้านดอลลาร์ให้แก่สถาบันโรคมะเร็ง ฮันต์สแมนในรัฐยูทาห์ และราว 3 ใน 4 ของเงินบริจาคทั้งหมดในชีวิตของเขาก็โฟกัสอยู่ที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในรัฐนี้ที่เขาอาศัยอยู่
ในส่วนของผู้ให้ที่เป็นบริษัทนั้น บิสซิเนส วีก รวบรวมข้อมูลการบริจาคจากบริษัทที่มีชื่ออยู่ ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ทั้งในรูปเงินสด และสิ่งของอย่างอื่นที่ไม่ได้เป็นตัวเงิน อาทิ ยา และซอฟต์แวร์ ในปีงบประมาณ 2549 โดยพบว่า บริษัทจำนวนมากให้ความสำคัญกับ การเป็นพลเมืองที่ดี และสนับสนุนให้พนักงานเอาใจใส่กับเรื่องนี้ควบคู่กันไปด้วย
ผลสำรวจระบุว่า บริษัทจำนวนมากได้บริจาคเงินให้แก่การกุศลตามที่ได้ให้คำมั่นเอาไว้มากขึ้น โดยมีบริษัทราว 200 แห่งที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 28 ข้อที่เกี่ยวกับจำนวนเงินที่บริษัทบริจาค และเป้าหมายที่ต้องการบริจาค ซึ่ง 190 บริษัท ระบุว่า มีการบริจาคในรูปของเงินสด ส่วนอีก 125 บริษัทบริจาคในรูปของสิ่งของอย่างอื่น เมื่อแยกออกมาเป็นหมวดๆ พบว่า ออราเคิล เป็นบริษัทที่บริจาคในรูปของสิ่งของอื่นๆ มากที่สุด โดยในปี 2549 บริษัทไอทีแห่งนี้บริจาคสิ่งของต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 151 ล้านดอลลาร์ในปี 2547 นอกจากนี้ ยังมีโครงการบริจาค ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะด้านการศึกษา แต่หากประเมินในแง่ของการบริจาคในรูป ของเงินสด "ฮาร์ราห์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์" บริษัทกาสิโนรายใหญ่กลายเป็นบริษัทที่ติดอันดับ ผู้ให้ที่มีน้ำใจมากสุด โดยบริจาคเงินสดสูงถึง 76.8 ล้านดอลลาร์ หรือราว 9.2% ของกำไร ก่อนหักภาษีให้แก่องค์กรเพื่อสังคมต่างๆ แต่การบริจาคของฮาร์ราห์ฯก็ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความ สมัครใจเพียงอย่างเดียว เพราะใน 5 รัฐที่ฮาร์ราห์ฯ ดำเนินกิจการอยู่นั้น บริษัทต้อง ปฏิบัติตามกฎของรัฐที่กำหนดให้ต้องบริจาค หรือจ่ายเงิน หรือลงทุนตามสัดส่วนที่กำหนด ให้แก่องค์กรการกุศล หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อนำเงินเหล่านี้กลับไปทำประโยชน์คืนสู่สังคมน่าสนใจว่า เทรนด์ใจบุญกำลังเป็นที่นิยมของบริษัทต่างๆ มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจ ที่มีบริษัทยอมใส่เรื่องการบริจาคเพื่อส่วนรวมไว้ ในโมเดลธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยในบางองค์กรมีการ จัดตั้งหน่วยงานดูแลด้านนี้ขึ้นมาอยู่ในโครงสร้างขององค์กร อาทิ ยักษ์สีฟ้า "ไอบีเอ็ม" ที่มีการตั้ง "สแตนลีย์ ลิโตว์" ประธานไอบีเอ็ม ฟาวน์เดชั่น และรองประธานฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ขึ้นมา โดยเฉพาะ ซึ่งรายงานตรงต่อรองประธาน ฝ่ายนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเทคโนโลยีที่ ไอบีเอ็มพัฒนาสำหรับใช้ในโครงการการกุศลสามารถทำรายได้ราว 100 ล้านดอลลาร์ ในปี 2549 หลังจากที่มีลูกค้าสนใจนำไปใช้
:D :D
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 14
[quote="Linsu_th"]
เปิดโผ "ผู้ให้" ของโลก เศรษฐี-บริษัทเห่อเทรนด์ใจบุญเพิ่ม ช่วงหลังๆ มานี้ การบริจาคเพื่อการกุศลกลายเป็นของคู่กับบรรดา มหาเศรษฐีระดับโลก รวมถึงบริษัทชั้นนำไปเสียแล้ว ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเงินบริจาคเพื่อสังคมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด "บิสซิเนส วีก" ได้จัดอันดับผู้ให้ของโลกประจำปี 2550 โดยทำเนียบผู้ให้ครั้งนี้ได้แบ่ง การจัดอันดับผู้ให้ทั้งในส่วนที่เป็นบุคคลและบริษัท ซึ่งในส่วนของผู้ให้ที่เป็นบุคคลนั้น บิสซิเนส วีก ได้จัดอันดับเศรษฐีใจบุญที่สุดในโลก 50 อันดับ (The 50 Most Generous Philanthropists) โดยวัดจากจำนวนเงินบริจาคของผู้ให้แต่ละราย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลการจัดอันดับพบว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮตอะเวย์ ครองแชมป์มหาเศรษฐีใจบุญของโลกไปตามความ คาดหมาย หลังจากที่สร้างความฮือฮาให้แก่แวดวง ซูเปอร์ริชระดับโลก ด้วยการประกาศเจตนารมณ์ในการบริจาคทรัพย์สินสูงถึง 31 พันล้านดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ ฟาวน์เดชั่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ทำให้ใน ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา "บัฟเฟตต์" บริจาคเงินรวม ไปแล้วกว่า 40.6 พันล้านดอลลาร์ และหากประเมินทรัพย์สินที่บริจาคให้การ กุศลตลอดชีวิตของเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40.8 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 78% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ราว 52.0 พันล้านดอลลาร์ส่วนอันดับ 2 ของทำเนียบผู้ให้ก็หนีไม่พ้น เจ้าพ่อไอที "บิลล์ เกตส์" และภรรยา "เมลินดา" ผู้ก่อตั้ง "ไมโครซอฟท์" ที่นับตั้งแต่ปี 2546-2550 บริจาคเงินไปราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ และบริจาคเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่องไปแล้วกว่า 28.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 48% ของ ทรัพย์สินทั้งหมด 59 พันล้านดอลลาร์
สำหรับอันดับ 3 ได้แก่ จอร์จ ไคเซอร์ นักธุรกิจด้านน้ำมัน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ที่บริจาคเงินกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตามมาด้วย "จอร์จ โซรอส" พ่อมด การเงินที่อยู่ในอันดับ 4 ของตาราง ด้วยเม็ดเงินบริจาคในรอบ 5 ปีที่อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ และกอร์ดอน และเบตตี้ มัวร์ ผู้ก่อตั้งอินเทล ที่บริจาคเงินไปราว 2.0 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 5 ปี แต่รวมเงินบริจาคตลอดมาน่าจะอยู่ที่ 7.4 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 165% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์
น่าสังเกตว่า แม้มหาเศรษฐีหลายราย ทั้งบิลล์ และเมลินดา เกตส์ ไมเคิล และซูซาน เดลล์ รวมถึงจอร์จ โซรอส จะทุ่มเม็ดเงินมหาศาล ในการช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ทั้งในด้านสุขภาพ การพัฒนา และส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มหาเศรษฐีอเมริกันอีกหลายรายกลับให้ความสำคัญกับการพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนมากขึ้น
เปิดโผ "ผู้ให้" ของโลก เศรษฐี-บริษัทเห่อเทรนด์ใจบุญเพิ่ม ช่วงหลังๆ มานี้ การบริจาคเพื่อการกุศลกลายเป็นของคู่กับบรรดา มหาเศรษฐีระดับโลก รวมถึงบริษัทชั้นนำไปเสียแล้ว ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเงินบริจาคเพื่อสังคมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด "บิสซิเนส วีก" ได้จัดอันดับผู้ให้ของโลกประจำปี 2550 โดยทำเนียบผู้ให้ครั้งนี้ได้แบ่ง การจัดอันดับผู้ให้ทั้งในส่วนที่เป็นบุคคลและบริษัท ซึ่งในส่วนของผู้ให้ที่เป็นบุคคลนั้น บิสซิเนส วีก ได้จัดอันดับเศรษฐีใจบุญที่สุดในโลก 50 อันดับ (The 50 Most Generous Philanthropists) โดยวัดจากจำนวนเงินบริจาคของผู้ให้แต่ละราย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลการจัดอันดับพบว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮตอะเวย์ ครองแชมป์มหาเศรษฐีใจบุญของโลกไปตามความ คาดหมาย หลังจากที่สร้างความฮือฮาให้แก่แวดวง ซูเปอร์ริชระดับโลก ด้วยการประกาศเจตนารมณ์ในการบริจาคทรัพย์สินสูงถึง 31 พันล้านดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ ฟาวน์เดชั่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ทำให้ใน ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา "บัฟเฟตต์" บริจาคเงินรวม ไปแล้วกว่า 40.6 พันล้านดอลลาร์ และหากประเมินทรัพย์สินที่บริจาคให้การ กุศลตลอดชีวิตของเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40.8 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 78% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ราว 52.0 พันล้านดอลลาร์ส่วนอันดับ 2 ของทำเนียบผู้ให้ก็หนีไม่พ้น เจ้าพ่อไอที "บิลล์ เกตส์" และภรรยา "เมลินดา" ผู้ก่อตั้ง "ไมโครซอฟท์" ที่นับตั้งแต่ปี 2546-2550 บริจาคเงินไปราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ และบริจาคเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่องไปแล้วกว่า 28.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 48% ของ ทรัพย์สินทั้งหมด 59 พันล้านดอลลาร์
สำหรับอันดับ 3 ได้แก่ จอร์จ ไคเซอร์ นักธุรกิจด้านน้ำมัน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ที่บริจาคเงินกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตามมาด้วย "จอร์จ โซรอส" พ่อมด การเงินที่อยู่ในอันดับ 4 ของตาราง ด้วยเม็ดเงินบริจาคในรอบ 5 ปีที่อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ และกอร์ดอน และเบตตี้ มัวร์ ผู้ก่อตั้งอินเทล ที่บริจาคเงินไปราว 2.0 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 5 ปี แต่รวมเงินบริจาคตลอดมาน่าจะอยู่ที่ 7.4 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 165% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์
น่าสังเกตว่า แม้มหาเศรษฐีหลายราย ทั้งบิลล์ และเมลินดา เกตส์ ไมเคิล และซูซาน เดลล์ รวมถึงจอร์จ โซรอส จะทุ่มเม็ดเงินมหาศาล ในการช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ทั้งในด้านสุขภาพ การพัฒนา และส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มหาเศรษฐีอเมริกันอีกหลายรายกลับให้ความสำคัญกับการพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนมากขึ้น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 16
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตามมาด้วย "จอร์จ โซรอส" พ่อมด การเงินที่อยู่ในอันดับ 4 ของตาราง ด้วยเม็ดเงินบริจาคในรอบ 5 ปีที่อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 17
จอร์จ โซรอส บริจาคเยอะครับ มีช่วงนึงให้เงินสนับสนุนอีกพรรค เพื่อต่อต้าน Bush ด้วยครับJeng เขียน:โห นึกไม่ถึงว่า จอร์จ โซรอส บริจาคอันดับสี่ของโลก นับถือจริงๆโค้ด: เลือกทั้งหมด
ตามมาด้วย "จอร์จ โซรอส" พ่อมด การเงินที่อยู่ในอันดับ 4 ของตาราง ด้วยเม็ดเงินบริจาคในรอบ 5 ปีที่อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 18
คนเหล่านี้เมื่อถึงจุดหนึ่ง มีเงินไป ถ้าบริจาคหรือมีอันต้องหดหายหมด...เค้าก็ไม่จนครับ
คนพวกนี้มีความรวยอยู่ในตัว คือ ความสามารถในการมองหาเงินและทำเงิน งอกเงย ..ไม่มีวันจน 8) (ถ้าสมองไม่เสื่อมนะ)
คนพวกนี้มีความรวยอยู่ในตัว คือ ความสามารถในการมองหาเงินและทำเงิน งอกเงย ..ไม่มีวันจน 8) (ถ้าสมองไม่เสื่อมนะ)
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
- zolomon
- Verified User
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 19
โซรอส บริจาคเยอะครับ
เค้าถือว่าเรื่องการทำงานเป็นเรื่องหนึ่ง (หมายถึง การหาเงิน แม้จะเป็นการโจมตีค่าเงิน เก็งกำไร หรือ อื่น ๆ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน เป็นธุรกิจ) แต่นอกเรื่องงานเป็นคนหนึ่งที่ใจบุญครับ เค้าบริจาคให้บ้านเกิดเค้าเยอะมาก ๆ ให้มานานแล้วด้วย
เค้าถือว่าเรื่องการทำงานเป็นเรื่องหนึ่ง (หมายถึง การหาเงิน แม้จะเป็นการโจมตีค่าเงิน เก็งกำไร หรือ อื่น ๆ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน เป็นธุรกิจ) แต่นอกเรื่องงานเป็นคนหนึ่งที่ใจบุญครับ เค้าบริจาคให้บ้านเกิดเค้าเยอะมาก ๆ ให้มานานแล้วด้วย
“If we wait for the moment when everything, absolutely everything is ready, we shall never begin.”
Ivan Turgenev
Ivan Turgenev
-
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 20
"จอร์จ โซรอส".......
โจมตีค่าเงินประเทศอื่นฉิบหาย แล้ว บริจาคให้เมืองตัวเอง.....
ได้ทั้งบุญเยอะ(บริจาคให้บ้านเมืองตัวเอง) และ ก็บาปเยอะด้วยครับ(โจมตีค่าเงินให้ประเทศอื่นเสียหายกระทบคนในประเทศนั้นให้เดือดร้อน)........
ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยพวกเราก็คงเคยได้บทเรียนกันแล้ว..
โจมตีค่าเงินประเทศอื่นฉิบหาย แล้ว บริจาคให้เมืองตัวเอง.....
ได้ทั้งบุญเยอะ(บริจาคให้บ้านเมืองตัวเอง) และ ก็บาปเยอะด้วยครับ(โจมตีค่าเงินให้ประเทศอื่นเสียหายกระทบคนในประเทศนั้นให้เดือดร้อน)........
ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยพวกเราก็คงเคยได้บทเรียนกันแล้ว..
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 21
เราขายหุ้นให้คนอื่นในราคาแพงเกินพื้นฐาน ทำให้คนอื่นติดดอย เราบาปหรือเปล่าหนอ
ดีที่ผมมักขายหมูประจำ สงสัยจะได้บุญแฮะ
แต่เอ แล้วที่เราซื้อหุ้นราคาถูกแสนถูกจากคนอื่น เราแย่งกำไรมาจากเขาหรือเปล่า แล้วเราจะบาปหรือเปล่าหนอ
สงสัยจะฟุ้งซ่านแฮะ
ดีที่ผมมักขายหมูประจำ สงสัยจะได้บุญแฮะ
แต่เอ แล้วที่เราซื้อหุ้นราคาถูกแสนถูกจากคนอื่น เราแย่งกำไรมาจากเขาหรือเปล่า แล้วเราจะบาปหรือเปล่าหนอ
สงสัยจะฟุ้งซ่านแฮะ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ใครว่า นักลงทุน vi ได้น้อยกว่าเก็งกำไร
โพสต์ที่ 22
ผมว่า ถ้า โซรอสไม่ทำ คนอื่นก็ทำครับ จริงๆไม่ใช่ โซรอสคนเดียว คนไทยก็ได้ไปเยอะนะครับ แล้วอีกอย่าง สมัยนั้นระบบการเงินเราแย่มาก กู้กันไม่ลืมหูลืมตาครับ ใช้ดี เยอะกว่า หุ้น เป็นร้อยเท่าก็ยังมี (จารย์ผมบอกมาครับ)shogun_law เขียน:"จอร์จ โซรอส".......
โจมตีค่าเงินประเทศอื่นฉิบหาย แล้ว บริจาคให้เมืองตัวเอง.....
ได้ทั้งบุญเยอะ(บริจาคให้บ้านเมืองตัวเอง) และ ก็บาปเยอะด้วยครับ(โจมตีค่าเงินให้ประเทศอื่นเสียหายกระทบคนในประเทศนั้นให้เดือดร้อน)........
ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยพวกเราก็คงเคยได้บทเรียนกันแล้ว..
ผมว่าก็ดีที่ทำให้เรามีความระวังและมีวินัยมากขึ้นครับ
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment