ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 67
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 1
ผมถือหุ้นสองตัวนี้มาปีกว่าที่ต้นทุนดังข้างล่าง
SCC@ 228
[email protected]
ตอนนี้ราคาในตลาดมันต่ำกว่าที่ผมซื้อมาแล้วครับ เมื่อกลางปีเคยคิดจะขาย KTB ที่เกือบๆ 12 บาทและ SCC แถวๆ 260 แล้วจะมารับ KTBที่ต่ำกว่า 11จะรับ SCC แถวๆ 250และ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขายเพราะคิดว่าต้นทุนเราต่ำกว่าคนอื่นเยอะ และลองเดินมาทางแนว VI แล้วไม่ควรขายเพื่อเล่นรอบ
ผมคิดอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือแค่ผมถือผิดตัว ทั้งสองตัวที่ราคาที่ผมซื้อยังไม่ใช่ราคาที่ VI จะเข้าไปซื้อลงทุนเพื่อถือยาว
SCC@ 228
[email protected]
ตอนนี้ราคาในตลาดมันต่ำกว่าที่ผมซื้อมาแล้วครับ เมื่อกลางปีเคยคิดจะขาย KTB ที่เกือบๆ 12 บาทและ SCC แถวๆ 260 แล้วจะมารับ KTBที่ต่ำกว่า 11จะรับ SCC แถวๆ 250และ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขายเพราะคิดว่าต้นทุนเราต่ำกว่าคนอื่นเยอะ และลองเดินมาทางแนว VI แล้วไม่ควรขายเพื่อเล่นรอบ
ผมคิดอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือแค่ผมถือผิดตัว ทั้งสองตัวที่ราคาที่ผมซื้อยังไม่ใช่ราคาที่ VI จะเข้าไปซื้อลงทุนเพื่อถือยาว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
x
โพสต์ที่ 3
scc ใช่ไหมครับ
ผมถือมานานพอๆกับคุณเลยครับ ต้นทุนสูงกว่าอีก
มันเป็นหุ้นวัฐจักรน่ะครับผมก็อ่านเจอตั้งแต่2-3เดือนที่แล้วว่าวัฐจักร ปิโตรเคมี ปูน มันหมดรอบมาพักหนึ่งแล้ว แต่ CEO ก็ยังทำผลงานดีราคาเลยไม่ไหลลง แต่สุดท้ายเจอ subprime เต็มๆ แบบนี้ก็บอกยากแล้วครับว่าราคามันจะลงไปถึงไหน เพราะยังปีหน้าอีกเต็มๆทั้งปีที่ subprime จะแผลงฤทธิ์
สรุปราคาทุนผมเทียบกับปันผลแล้ว ผมคงไม่หนีออกทีี่ราคานี้แล้วครับ ก็รอให้มันผ่านไปแย่สุดๆอาจต้องรอนาน2-3ปี
ผมถือมานานพอๆกับคุณเลยครับ ต้นทุนสูงกว่าอีก
มันเป็นหุ้นวัฐจักรน่ะครับผมก็อ่านเจอตั้งแต่2-3เดือนที่แล้วว่าวัฐจักร ปิโตรเคมี ปูน มันหมดรอบมาพักหนึ่งแล้ว แต่ CEO ก็ยังทำผลงานดีราคาเลยไม่ไหลลง แต่สุดท้ายเจอ subprime เต็มๆ แบบนี้ก็บอกยากแล้วครับว่าราคามันจะลงไปถึงไหน เพราะยังปีหน้าอีกเต็มๆทั้งปีที่ subprime จะแผลงฤทธิ์
สรุปราคาทุนผมเทียบกับปันผลแล้ว ผมคงไม่หนีออกทีี่ราคานี้แล้วครับ ก็รอให้มันผ่านไปแย่สุดๆอาจต้องรอนาน2-3ปี
Kritsada
- doodeemak
- Verified User
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 4
ขออนุญาตตอบตามบทความล่าสุดเรื่องแก่นของ VI นะครับ :D
1) เวลาลงทุนซื้อหุ้น ให้คิดเหมือนกับว่าเรากำลังจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ต้องคิดว่า เรากำลังเข้าเป็นหุ้นส่วนกับเขา เมื่อเราคิดแบบนี้ เราก็จะต้องวิเคราะห์ว่าธุรกิจของเขาทำอะไร สินค้าเป็นอย่างไร ยอดขายเป็นอย่างไร มีกำไรดีไหม ฐานะการเงินเป็นอย่างไร มีหนี้มากน้อยแค่ไหน ธุรกิจมีความสม่ำเสมอไหม ธุรกิจมีการเติบโตหรือไม่และจะเติบโตต่อไปหรือเปล่าและจะเติบโตต่อไปอีกนานเท่าไร ที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้บริหารมีความน่าเชื่อถือหรือเปล่า ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาที่นักเล่นหุ้นมักจะดูก่อนที่จะเข้ามาซื้อขายหุ้นเลย พูดง่าย ๆ ถ้าเป็น Value Investment ธุรกิจต้องมาก่อน
ถ้ามีการวิเคราะห์ธุรกิจก่อนเข้าซื้อเป็นอย่างดี แสดงว่าไม่ผิดครับ
2) หา มูลค่าที่แท้จริง ของธุรกิจหรือหุ้นที่เราวิเคราะห์ มูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value นั้น หาได้จากการคิดส่วนลดเงินสดที่เราจะได้รับในอนาคต นี่ก็คือการหามูลค่าทางทฤษฎีซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมากสำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไป แต่ในทางปฏิบัติเราก็มักจะใช้ค่า PE หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือ ค่า PB หรือ กำไรต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี มาเป็นตัววัดว่าหุ้นมีราคาแพงหรือถูกหรือหุ้นควรมีราคาที่เหมาะสมเท่าไร
ถ้ามีการประเมินราคาที่เหมาะสมก่อนซื้อแสดงว่าไม่ผิดครับ
3) ซื้อหรือขายหุ้นต่อเมื่อมีส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่แท้จริงกับราคาหุ้นในตลาด เพราะในที่สุดแล้ว ราคาหุ้นในตลาดจะวิ่งไปที่มูลค่าที่แท้จริง พูดให้เฉพาะขึ้นก็คือ ถ้าราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก โอกาสที่เราจะกำไรก็จะสูงและโอกาสที่จะขาดทุนก็จะน้อย หรือเรียกว่าเรามีการ เผื่อความปลอดภัย สูง ในภาษาของ Value Investor ก็คือ เรามี Margin Of Safety สูง
ถ้ามีการประเมินราคาที่เหมาะสมของ SCC และ KTB ไว้สูงกว่า 260, 12 และประเมินราคาตอนซื้อว่ามี MOS เพียงพอ ณ ราคา 228, 9.75 ก็ไม่ผิดครับ
4) ตลาดหุ้นนั้น เป็นที่ที่จะรับใช้เราไม่ใช่คนที่จะมาสั่งว่าเราจะต้องทำอะไร โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหุ้นสามารถกำหนดราคาธุรกิจหรือหุ้นต่าง ๆ ในตลาดได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีช่วงเวลาที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ ค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ ซื้อแล้วเก็บไว้รอจนราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงจึงขายออกไป และนี่คือแนวความคิดว่าตลาดหุ้นเป็น ผู้รับใช้ ส่วนแนวความคิดว่าตลาดเป็น ผู้สั่ง เรานั้น หมายความว่า เราตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยดูจากการขึ้นลงของราคาหุ้นโดยที่เราไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจเลย
ข้อนี้อาจจะผิดครับ สังเกตจากคำถามบนกระทู้ :? ส่วนตัวผมคิดว่า
1. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ยังมีมูลค่าสูงกว่าราคา ณ ปัจจุบันมากๆ -- ซื้อเพิ่ม
2. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ใกล้เคียงราคา ณ ปัจจุบัน -- ถือ หรือ ขายเพื่อหาตัวอื่นที่ดีกว่า
3. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ต่ำราคา ณ ปัจจุบันมากๆ -- ขายโลดดดด
1) เวลาลงทุนซื้อหุ้น ให้คิดเหมือนกับว่าเรากำลังจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ต้องคิดว่า เรากำลังเข้าเป็นหุ้นส่วนกับเขา เมื่อเราคิดแบบนี้ เราก็จะต้องวิเคราะห์ว่าธุรกิจของเขาทำอะไร สินค้าเป็นอย่างไร ยอดขายเป็นอย่างไร มีกำไรดีไหม ฐานะการเงินเป็นอย่างไร มีหนี้มากน้อยแค่ไหน ธุรกิจมีความสม่ำเสมอไหม ธุรกิจมีการเติบโตหรือไม่และจะเติบโตต่อไปหรือเปล่าและจะเติบโตต่อไปอีกนานเท่าไร ที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้บริหารมีความน่าเชื่อถือหรือเปล่า ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาที่นักเล่นหุ้นมักจะดูก่อนที่จะเข้ามาซื้อขายหุ้นเลย พูดง่าย ๆ ถ้าเป็น Value Investment ธุรกิจต้องมาก่อน
ถ้ามีการวิเคราะห์ธุรกิจก่อนเข้าซื้อเป็นอย่างดี แสดงว่าไม่ผิดครับ
2) หา มูลค่าที่แท้จริง ของธุรกิจหรือหุ้นที่เราวิเคราะห์ มูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value นั้น หาได้จากการคิดส่วนลดเงินสดที่เราจะได้รับในอนาคต นี่ก็คือการหามูลค่าทางทฤษฎีซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมากสำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไป แต่ในทางปฏิบัติเราก็มักจะใช้ค่า PE หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือ ค่า PB หรือ กำไรต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี มาเป็นตัววัดว่าหุ้นมีราคาแพงหรือถูกหรือหุ้นควรมีราคาที่เหมาะสมเท่าไร
ถ้ามีการประเมินราคาที่เหมาะสมก่อนซื้อแสดงว่าไม่ผิดครับ
3) ซื้อหรือขายหุ้นต่อเมื่อมีส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่แท้จริงกับราคาหุ้นในตลาด เพราะในที่สุดแล้ว ราคาหุ้นในตลาดจะวิ่งไปที่มูลค่าที่แท้จริง พูดให้เฉพาะขึ้นก็คือ ถ้าราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก โอกาสที่เราจะกำไรก็จะสูงและโอกาสที่จะขาดทุนก็จะน้อย หรือเรียกว่าเรามีการ เผื่อความปลอดภัย สูง ในภาษาของ Value Investor ก็คือ เรามี Margin Of Safety สูง
ถ้ามีการประเมินราคาที่เหมาะสมของ SCC และ KTB ไว้สูงกว่า 260, 12 และประเมินราคาตอนซื้อว่ามี MOS เพียงพอ ณ ราคา 228, 9.75 ก็ไม่ผิดครับ
4) ตลาดหุ้นนั้น เป็นที่ที่จะรับใช้เราไม่ใช่คนที่จะมาสั่งว่าเราจะต้องทำอะไร โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหุ้นสามารถกำหนดราคาธุรกิจหรือหุ้นต่าง ๆ ในตลาดได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีช่วงเวลาที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ ค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ ซื้อแล้วเก็บไว้รอจนราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงจึงขายออกไป และนี่คือแนวความคิดว่าตลาดหุ้นเป็น ผู้รับใช้ ส่วนแนวความคิดว่าตลาดเป็น ผู้สั่ง เรานั้น หมายความว่า เราตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยดูจากการขึ้นลงของราคาหุ้นโดยที่เราไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจเลย
ข้อนี้อาจจะผิดครับ สังเกตจากคำถามบนกระทู้ :? ส่วนตัวผมคิดว่า
1. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ยังมีมูลค่าสูงกว่าราคา ณ ปัจจุบันมากๆ -- ซื้อเพิ่ม
2. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ใกล้เคียงราคา ณ ปัจจุบัน -- ถือ หรือ ขายเพื่อหาตัวอื่นที่ดีกว่า
3. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ต่ำราคา ณ ปัจจุบันมากๆ -- ขายโลดดดด
Inactive investor
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 5
หุ้นที่under value ปีนี้ ไม่ใช่ว่าปีหน้าจะUnder valueไม่ได้
หุ้นที่Under valueปีหน้า ก็ใช่ว่าปีถัดไปจะUnder value ไม่ได้
หุ้นที่ Under value ปีถัดไป ก็ใช่ว่าจะ under value ในปีถัดๆไปไม่ได้อีก
งง เปล่า
หุ้นที่Under valueปีหน้า ก็ใช่ว่าปีถัดไปจะUnder value ไม่ได้
หุ้นที่ Under value ปีถัดไป ก็ใช่ว่าจะ under value ในปีถัดๆไปไม่ได้อีก
งง เปล่า
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
ครับ
โพสต์ที่ 6
งงครับพี่..............
แล้วเมื่อไหร่จะหายอันเดอร์แวยู่ซักที่ล่ะครับ
แล้วเมื่อไหร่จะหายอันเดอร์แวยู่ซักที่ล่ะครับ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 7
ผมว่าทั้ง 2 ตัวก็ปัจจัยพื้นฐานดีนะ เพียงแต่ว่า
1.เป็นหุ้นที่ขึ้นลงตามภาวะตลาดและเศรษฐกิจ อัตราการเจริญเติบโตขึ้น
อยู่กับการบริโภคและใช้จ่ายของภาคประชาชน ตอนนี้เท่าๆที่ทราบกันอยู่
ว่าภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเป็นยังไง
2.หากถือเพื่อรอปันผล ผมว่าอย่าง SCC ก็น่าจะได้มา 5-6% แล้ว ปีหน้าเดือน
เมษา ก็รับเพิ่มอีก ดีกว่าอัตราเงินฝาก ต้นทุนก็ลดลงเรื่อยๆ ส่วน KTB ช่วง
นี้ก็เหมือนกับฤดูมรสุม เจอทั้ง การกันสำรองหนี้เสีย การลงทุนซับไฟม์ แต่
ผมมองว่าปีหน้าเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็จะจบไป ลองไปศึกษาอัตราการเจริญเติบ
โตดูนะครับ(เว้นแต่ว่ามีปัญหาเพิ่ม ก็อาจต้องปรับพอร์ตหรือถือลงทุนนานขึ้น)
ตอนนี้ก็ต้องศึกษาหุ้นที่เราลงทุน ว่าเราซื้อเพราะอะไร หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ต้องลดการลงทุน ลงทุนต้อง
ทำใจให้สบายครับ จะได้มีความสุขกับการลงทุน
1.เป็นหุ้นที่ขึ้นลงตามภาวะตลาดและเศรษฐกิจ อัตราการเจริญเติบโตขึ้น
อยู่กับการบริโภคและใช้จ่ายของภาคประชาชน ตอนนี้เท่าๆที่ทราบกันอยู่
ว่าภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเป็นยังไง
2.หากถือเพื่อรอปันผล ผมว่าอย่าง SCC ก็น่าจะได้มา 5-6% แล้ว ปีหน้าเดือน
เมษา ก็รับเพิ่มอีก ดีกว่าอัตราเงินฝาก ต้นทุนก็ลดลงเรื่อยๆ ส่วน KTB ช่วง
นี้ก็เหมือนกับฤดูมรสุม เจอทั้ง การกันสำรองหนี้เสีย การลงทุนซับไฟม์ แต่
ผมมองว่าปีหน้าเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็จะจบไป ลองไปศึกษาอัตราการเจริญเติบ
โตดูนะครับ(เว้นแต่ว่ามีปัญหาเพิ่ม ก็อาจต้องปรับพอร์ตหรือถือลงทุนนานขึ้น)
ตอนนี้ก็ต้องศึกษาหุ้นที่เราลงทุน ว่าเราซื้อเพราะอะไร หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ต้องลดการลงทุน ลงทุนต้อง
ทำใจให้สบายครับ จะได้มีความสุขกับการลงทุน
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 8
หลักการ "ซื้อหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน และถือมันไว้นานเท่านาน" นั้น
เป็นสไตล์การลงทุนของ วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์
ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆสไตล์ของวีไอ
วีไอนั้นมีหลายสไตล์ตามที่ปีเตอร์ ลินช์พูดไว้
เช่นหุ้นเติบโต
หุ้นวัฏจักร
หุ้นสินทรัพย์มาก
หุ้นฟื้นตัว
หุ้นแข็งแกร่ง เป็นต้น
สไตล์ของบัฟเฟตต์นั้นไม่น่าจะเข้ากลุ่มใดของลินช์แบบเป๊ะๆ
แต่ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มให้จงได้
น่าจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหุ้นเติบโต(ที่มีปราการแข็งแกร่ง)
หลักการถือต่อเนื่องอย่างยาวนานจึงจะใช้ได้ผล
กรณี SCC นี้ จัดอยู่ในกลุ่มวัฏจักรทั้งเรื่องปิโตรเคมี(commodity cycle)
และปูน(economical cycle) ตามที่คุณ kit556 พูดไว้ครับ
หุ้นวัฏจักรนั้น ปีเตอร์ ลินช์ นำไปเปรียบเทียบกับการเล่นโป๊กเกอร์
กล่าวคือ
เมื่อได้กำไรจนถึงพีคแล้ว ต้องหยุดเล่น
ถ้านั่งเล่นต่อทั้งคืน
กำไรที่ได้มาอาจจะหายไปหมด
ส่วน KTB ก็ไม่น่าจะเข้าสเป็คของบัฟเฟตต์
เพราะไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนแต่ประการใด
จึงสรุปได้ว่าคุณ Freeze
เลือกวิธีถือนานของบัฟเฟตต์
แต่ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟตต์นั่นเอง
เป็นสไตล์การลงทุนของ วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์
ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆสไตล์ของวีไอ
วีไอนั้นมีหลายสไตล์ตามที่ปีเตอร์ ลินช์พูดไว้
เช่นหุ้นเติบโต
หุ้นวัฏจักร
หุ้นสินทรัพย์มาก
หุ้นฟื้นตัว
หุ้นแข็งแกร่ง เป็นต้น
สไตล์ของบัฟเฟตต์นั้นไม่น่าจะเข้ากลุ่มใดของลินช์แบบเป๊ะๆ
แต่ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มให้จงได้
น่าจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหุ้นเติบโต(ที่มีปราการแข็งแกร่ง)
หลักการถือต่อเนื่องอย่างยาวนานจึงจะใช้ได้ผล
กรณี SCC นี้ จัดอยู่ในกลุ่มวัฏจักรทั้งเรื่องปิโตรเคมี(commodity cycle)
และปูน(economical cycle) ตามที่คุณ kit556 พูดไว้ครับ
หุ้นวัฏจักรนั้น ปีเตอร์ ลินช์ นำไปเปรียบเทียบกับการเล่นโป๊กเกอร์
กล่าวคือ
เมื่อได้กำไรจนถึงพีคแล้ว ต้องหยุดเล่น
ถ้านั่งเล่นต่อทั้งคืน
กำไรที่ได้มาอาจจะหายไปหมด
ส่วน KTB ก็ไม่น่าจะเข้าสเป็คของบัฟเฟตต์
เพราะไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนแต่ประการใด
จึงสรุปได้ว่าคุณ Freeze
เลือกวิธีถือนานของบัฟเฟตต์
แต่ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟตต์นั่นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 9
พี่แผ่วเบาลึกซึ้งจริงๆครับ
ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟต แต่คิดถือยาวแบบบัฟเฟต >> ชอบจริงๆ
ทำให้ผมได้นึกทบทวนการขายหุ้นกลุ่มประกันภัยที่ผมถือด้วย ตอนเข้าซื้อ..ผมเข้าซื้อตอนตลาดกระทิงเต็มตัว set เพิ่งบวกจาก 600 มาเป็น 700-800
แต่หุ้นประกันภัยกลับราคาไม่ขึ้นเลย ทั้งที่พอร์ตของบางบ.ประกันภัย เป็นหุ้นไทยเกือบครึ่ง เลยเก็บไว้
แต่ว่า...ตอนนี้ราคาหุ้นประกันภัยเกือบทุกตัวก็ขึ้นมาเยอะพอควร ถ้าพิจารณาจากเหตุผลการเข้าซื้อของผม ก็สมควรขาย / ถ้าไม่ขาย ก็ต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องความสามารถในการทำกำไรของ บ.ประกัน และการแข่งขัน
ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟต แต่คิดถือยาวแบบบัฟเฟต >> ชอบจริงๆ
ทำให้ผมได้นึกทบทวนการขายหุ้นกลุ่มประกันภัยที่ผมถือด้วย ตอนเข้าซื้อ..ผมเข้าซื้อตอนตลาดกระทิงเต็มตัว set เพิ่งบวกจาก 600 มาเป็น 700-800
แต่หุ้นประกันภัยกลับราคาไม่ขึ้นเลย ทั้งที่พอร์ตของบางบ.ประกันภัย เป็นหุ้นไทยเกือบครึ่ง เลยเก็บไว้
แต่ว่า...ตอนนี้ราคาหุ้นประกันภัยเกือบทุกตัวก็ขึ้นมาเยอะพอควร ถ้าพิจารณาจากเหตุผลการเข้าซื้อของผม ก็สมควรขาย / ถ้าไม่ขาย ก็ต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องความสามารถในการทำกำไรของ บ.ประกัน และการแข่งขัน
เงินทองหน่ะมายา ข้าวปลาสิของจริง
ข้าวของเครื่องใช้ก็มายา สุขีใจกายถึงดีจริง
ข้าวของเครื่องใช้ก็มายา สุขีใจกายถึงดีจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 67
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 10
ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟต แต่คิดถือยาวแบบบัฟเฟต >> ชอบจริงๆ
จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ยึดแนวของบัฟเฟตนะครับ ผมเอาจากหลายๆตำราครับ
ปูนใหญ่นี่ซื้อเพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เกือบเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด ราคานะตอนนั้นมี MOS ค่อนข้างสูง
ส่วนกรุงไทยนี่ผมซื้อเพราะเป็นธนาคารที่มีค่า P/E ต่ำกว่าตัวอื่นในธุรกิจเดียวกัน อีกทั้งข้าราชการทั่วประเทศ ธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ ก็ทำธุรกรรมผ่านแบงค์กรุงไทย
และทั้งสองตัวณ ตอนที่ซื้อ ใน SAS ของ Settrade ไม่มีสำนักไหนให้ต่ำกว่าราคาตลาดตอนนั้นเลย แม้กระทั่งตอนนี้ใน SAS ก็มีแค่ TSC ที่ให้ราคาเป้าหมายของ SCC ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ส่วนของค่ายอื่น ล้วนให้ทั้ง KTB&SCC ราคาสูงกว่าต้นทุนผมทั้งนั้น หลังจากอ่านความเห็นเพื่อนๆดู ก็มาลองคิดดู ผมว่า ผมพลาดที่ไม่ได้ประเมินพื้นฐานของทั้งสองตัวใหม่ และไม่ได้ค่อยติดตามทิศทางของตลาดเพราะกะว่าซื้อแล้วกะถือยาวเลยครับ
จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ยึดแนวของบัฟเฟตนะครับ ผมเอาจากหลายๆตำราครับ
ปูนใหญ่นี่ซื้อเพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เกือบเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด ราคานะตอนนั้นมี MOS ค่อนข้างสูง
ส่วนกรุงไทยนี่ผมซื้อเพราะเป็นธนาคารที่มีค่า P/E ต่ำกว่าตัวอื่นในธุรกิจเดียวกัน อีกทั้งข้าราชการทั่วประเทศ ธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ ก็ทำธุรกรรมผ่านแบงค์กรุงไทย
และทั้งสองตัวณ ตอนที่ซื้อ ใน SAS ของ Settrade ไม่มีสำนักไหนให้ต่ำกว่าราคาตลาดตอนนั้นเลย แม้กระทั่งตอนนี้ใน SAS ก็มีแค่ TSC ที่ให้ราคาเป้าหมายของ SCC ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ส่วนของค่ายอื่น ล้วนให้ทั้ง KTB&SCC ราคาสูงกว่าต้นทุนผมทั้งนั้น หลังจากอ่านความเห็นเพื่อนๆดู ก็มาลองคิดดู ผมว่า ผมพลาดที่ไม่ได้ประเมินพื้นฐานของทั้งสองตัวใหม่ และไม่ได้ค่อยติดตามทิศทางของตลาดเพราะกะว่าซื้อแล้วกะถือยาวเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 11
ผมว่าก็น่าจะตามนี้มั้งครับ แต่เห็นบัฟเฟต์มองหุ้นระยะยาวมากแผ่วเบา เขียน: เลือกวิธีถือนานของบัฟเฟตต์
แต่ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟตต์นั่นเอง
มองไป10ปี หุ้นที่Mr.Freezeถืออาจจะยังไม่ตอบสนองก็ได้นะครับ
ผมก็ไม่แน่ใจว่าMr.Freezeมองอนาคตอีก10ปีออกรึเปล่า
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครับ
โพสต์ที่ 12
SEHJU เขียน:งงครับพี่..............
แล้วเมื่อไหร่จะหายอันเดอร์แวยู่ซักที่ล่ะครับ
ผมว่าหุ้นที่จะตอบสนองราคาให้Fully Value ได้
หุ้นมันต้องแสดงศักยภาพของตัวมันเองให้ได้ซะก่อน
แวลูของหุ้นขึ้นกับตลาด และคนในตลาดมอง
ถ้าปีหน้าหุ้นสองตัวนี้ยังไม่แสดงศักยภาพของบริษัทได้ดีพอ
ปีต่อไปก็น่าจะมีราคาUnder valueต่อไป เพราะราคาวันนี้อาจจะเป็นราคาFully แล้วก็ได้
อย่างTTAบางโบรกตอนนี้ ประเมินแถว60-70
ทำไมราคาตอนนี้แค่49หละครับ?
ง่ายๆก็คือคนเล่นหุ้นไม่สนใจการประเมินราคาของนักวิเคราะห์ไง
ผมก็งงเหมือนกันนะว่าหุ้นวัฐจักรนี่เอามาประเมินValuationได้ด้วยเหรอ
อนาคตครับ อนาคตจริงๆ ถ้าหุ้นตัวนั้นๆ แสดงศักยแสนยานุภาพได้ว่ามีอนาคต ผมรับรองว่าตลาดจะให้ราคาหุ้นมากกว่านี้
สรุปอีกที ก็คือ ถ้ายังมองว่าไม่มีอนาคตหรือการเติบโตได้ยังไง
ปีนี้ก็ยังUndervalue ปีหน้าก็เหมือนเดิม ปีต่อไปก็คงเหมือนเดิม
ที่ผ่านมาราคาขึ้นไปยังไม่ใช่ของจริงครับ
ผมว่าMr.Freeze ต้องทำความเข้าใจกับหุ้นตัวเองให้ดีก่อน
Time Frameในการลงทุนด้วยนะครับ มองออกแค่ไหนก็คิดแค่นั้น
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- bankniti
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 627
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 14
รู้แล้วว่าเหตุใด เหมือนผมตอนเริ่มลงทุนใหม่ๆ เลย ยังวิเคราะห์อะไรไม่ค่อยเป็น อ่านใน settrade นี้เหมือนกัน ทุกสำนักฟันธงหุ้นตัวที่ผมจะซื้อมีอัพไซด์ 20-30% ยังไม่ร่วมปันผมอีก 5-7% ก็เลยซื้อไปเลยกะว่าอย่างน้อย 20% น่าจะได้ ที่ไหนได้ หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่รองานประมูลโดยเฉพาะจากภาครัฐ เมื่อภาครัฐชะลอการลงทุนที่ไม่จำเป็น งานใหม่ก็ไม่ค่อยมีเข้ามา ผ่านไป 6 เดือน ทุกสำนักที่ฟันธงซื้อ เปลี่ยนไปฟันธง ขาย อย่างเดียวเลย สรุปขาดทุนไป 23% แต่ถ้ายังถืออยู่ตอนนี้ก็คงขาดทุนไป 50% แล้วMr.Freeze เขียน: และทั้งสองตัวณ ตอนที่ซื้อ ใน SAS ของ Settrade ไม่มีสำนักไหนให้ต่ำกว่าราคาตลาดตอนนั้นเลย แม้กระทั่งตอนนี้ใน SAS ก็มีแค่ TSC ที่ให้ราคาเป้าหมายของ SCC ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ส่วนของค่ายอื่น ล้วนให้ทั้ง KTB&SCC ราคาสูงกว่าต้นทุนผมทั้งนั้น
เลยได้ข้อคิดว่า อย่าเชื่อนักวิเคราะห์มากนัก บทวิเคราะห์นั้นอ่านได้ แต่ให้รู้จักคิดกับวิเคราะห์ข้อด้อยหรือความเสี่ยงของหุ้นที่นักวิเคราะห์ไม่ได้กล่าวถึงด้วย
ยกตัวอย่างเลย หุ้น CPN ช่วงนี้หลายสำนักก็เชียร์ให้ซื้อ เป้าหมาย 30 บาทขึ้นไป แต่เท่าที่ตามอ่านหลายๆ สำนัก ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องที่ดินที่ลาดพร้าวเลย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เอามาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้วยว่าถ้าไม่ได้ต่อสัญญา ราคาหุ้นควรจะลดหายไปเท่าไร หรือว่ารู้กันวงในว่าจะได้ต่อสัญญาแน่นอน
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4886
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 15
KTB ถ้าซื้อเพราะเหตุผลรอ fund flowจะฟังขึ้นมากกว่าเพราะMr.Freeze เขียน:ผมถือหุ้นสองตัวนี้มาปีกว่าที่ต้นทุนดังข้างล่าง
SCC@ 228
[email protected]
ตอนนี้ราคาในตลาดมันต่ำกว่าที่ผมซื้อมาแล้วครับ เมื่อกลางปีเคยคิดจะขาย KTB ที่เกือบๆ 12 บาทและ SCC แถวๆ 260 แล้วจะมารับ KTBที่ต่ำกว่า 11จะรับ SCC แถวๆ 250และ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขายเพราะคิดว่าต้นทุนเราต่ำกว่าคนอื่นเยอะ และลองเดินมาทางแนว VI แล้วไม่ควรขายเพื่อเล่นรอบ
ผมคิดอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือแค่ผมถือผิดตัว ทั้งสองตัวที่ราคาที่ผมซื้อยังไม่ใช่ราคาที่ VI จะเข้าไปซื้อลงทุนเพื่อถือยาว
ที่ผ่าน ขนาดQ2 ตั้งค่าเผื่อพอมีfund flowมายังขึ้นเลย
แต่Q4นี้สํารองCDOครับ ซึ่งหากไม่มีขาดทุนก็จะ บันทึกกลับรายการค่าเผื่อ
สรุปแล้วหากไม่ตั้งสํารองเพิ่มปีหน้าๆ กําไรจะโตมากๆครับ KTB
รอดูหลังเลือกตั้ง ช่วง มกราก็ยังไม่สายนะไม่แน่อาจมีsurpriseให้ขายได้ดีๆก็ได้
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 16
เอ ราคาปูน มันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ นะคับ
เห็นมีคนบอกว่าราคามันเพิ่มสูงขึ้นมาก
แล้ว มาร์จิ้น มันลดหรือป่าว...
ใครมีกราฟของ ราคาปูน(จริงๆ) บ้างคับ
เห็นมีคนบอกว่าราคามันเพิ่มสูงขึ้นมาก
แล้ว มาร์จิ้น มันลดหรือป่าว...
ใครมีกราฟของ ราคาปูน(จริงๆ) บ้างคับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 104
- ผู้ติดตาม: 0
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 17
ผมว่าเลือกลงทุนผิดตัวนะครับ
ktb เครื่องมือหลักของรัถบาลในการกระตุ้น economy
บางครวไม่ maximize กำไรผู้ถือหุ้น
Scc หุ้นขึ้นกับวัถจักร แต่ยังไม่ weight เรื่อง petro ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ktb เครื่องมือหลักของรัถบาลในการกระตุ้น economy
บางครวไม่ maximize กำไรผู้ถือหุ้น
Scc หุ้นขึ้นกับวัถจักร แต่ยังไม่ weight เรื่อง petro ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์ที่ 18
MOS ค่อนข้างสูง... หมายถึง ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้มากMr.Freeze เขียน:...
ปูนใหญ่นี่ซื้อเพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เกือบเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด ราคานะตอนนั้นมี MOS ค่อนข้างสูง
ส่วนกรุงไทยนี่ผมซื้อเพราะเป็นธนาคารที่มีค่า P/E ต่ำกว่าตัวอื่นในธุรกิจเดียวกัน ...
สำหรับผม MOS สูงนี่ต้องต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้สัก 60% ขึ้น
แต่คำถามที่สำคัญก็คือ มูลค่าที่แท้จริงของ 2 ธุรกิจนี้อยู่ที่ไหน ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่ทราบ และคำนวนไม่ออกจริงๆ เพราะงบของบริษัททั้ง 2 นี้อ่านแล้่วมึนตึบ SCC โครงสร้างธุรกิจใหญ่มาก ทำธุรกิจธุรกิจเยอะเกิน เวลาจะประเมินมูลค่าบริษัทที เหมือนต้องมานั่งประเมินบริษัท 10 บริษัท แถมงบที่มีให้ก็เป็นงบหลังจากที่ผ่านการยำใหญ่มาเสร็จแล้ว อ่านไม่รู้เรื่องจริงๆ
ส่วนงบแบงค์นี่ ผมขอผ่านเลย เอาไว้ Basel II ใช้เป็นที่เรียบร้อยก่อนดีกว่า ค่อยมานั่งอ่านงบอีกทีจะดีกว่า เหตุผลก็คล้ายๆ กับ SCC ที่งบปัจจุบันผ่านการยำใหญ่มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ของแบงค์จะแบ่งเป็น business unit ซึ่งแต่ละอันใหญ่ๆ กันเหลือเกิน เลยทำให้เราไม่สามารถประเมินได้ว่ากำไรของแต่ละ business unit มันเป็นยังไง ก็คงมีแต่ผู้บริหารระดับสูงล่ะครับที่สามารถรู้ได้ว่ากำไรของแต่ละ business unit นั้นเป็นอย่างไร (คือมันต้อง transfer pricing กันยุ่งยากเต็มไปหมด กว่าจะออกมาเป็นผลประกอบการของแต่ละ business unit)
สรุป... ถ้า Mr. Freeze สามารถประเมินมูลค่าออกมาแล้วเชื่อว่าหุ้นสองตัวนี้มี MOS ที่มากเพียงพอในระยะยาวแล้วละก็ ลุยต่อเลยครับ ซื้อเพิ่มอีกถ้ามันลง ในระยะยาวแล้วผมเชื่อว่าราคาน่าจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
แต่สำหรับผม... ผมขอบายครับ อยู่นอก circle of competence จริงๆ