เคล็ดไม่ลับรวยหุ้นอย่าง'วอร์เรน บัฟเฟตต์'

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
<< New >>
Verified User
โพสต์: 1147
ผู้ติดตาม: 0

เคล็ดไม่ลับรวยหุ้นอย่าง'วอร์เรน บัฟเฟตต์'

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เคล็ดไม่ลับบลจ.บัวหลวง รวยหุ้นอย่าง'วอร์เรน บัฟเฟตต์'

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2550 12:52 น.


      *ปัจจัยพื้นฐานดี-ถือยาว-ไม่หวั่นราคาวูบวาบ
     
      การลงทุนหุ้นในสไตล์วอร์เรน บัฟเฟตต์ เลือกหุ้นที่ดีที่สุด เน้นพื้นฐานดี และมีกิจการดี สามารถสร้างผลกำไรได้ในระยะยาว โดยไม่หวั่นไหวต่อราคาที่เคลื่อนไหววูบวาบในตลาดหุ้น นอกจากนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจที่สนใจลงทุน
     
      ในโลกของการลงทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ คงเป็นบุคคลในลำดับแรกๆ ที่นักลงทุนคนนึกถึง เพราะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นเป็นอย่างดี จนสามารถสร้างฐานะเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก การลงทุนหุ้นในสไตล์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงมีอะไรที่น่าศึกษาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ผู้จัดการรายฉบับนี้ ขอพานักลงทุนไปรู้จักแนวทางการลงทุนและนักลงทุนของเมืองไทยที่ยึดหลักและชื่นชอบการลงทุนหุ้นสไตล์วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าต้องทำอย่างไรกันบ้าง
      คุณวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนหุ้นสไตล์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะต้องเลือกหุ้นที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ และเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีกิจการที่ดี สามารถสร้างผลกำไรได้ในระยะยาว และไม่มีความหวือหวาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพื่อป้องกันเวลาที่เข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้นแล้วก็เจ๊ง
     
      ดังนั้น การลงทุนหุ้นสไตล์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ต้องเป็นหุ้นที่มีมูลค่าที่ดี และราคาที่แท้จริงน่าจะอยู่ในระดับสูง เพียงแต่ว่าราคาตลาดในขณะนั้นจะต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริง และเมื่อมองเห็นหุ้นถึงศักยภาพของหุ้นตัวนั้น โดยอย่างน้อยที่สุดก็สามารถให้ปันผลที่ดีแก่เราได้
     
      ขณะเดียวกัน นักลงทุนต้องถามตัวเองให้ได้ว่าหากมูลค่าของหุ้นตัวนั้นลดลงไป 50% จะขายทิ้งหรือไม่ และจะถือในระยะยาว 10 ปีขึ้นไปได้หรือไม่ โดยต้องไม่หวั่นไหวต่อราคาที่เคลื่อนไหววูบวาบในตลาดหุ้นด้วย
     
      ธุรกิจอะไรที่บัฟเฟตต์ไม่รู้จักไม่มั่นใจจะไม่ลงทุน คืออย่างน้อยต้องรู้จักว่าเป็นยังไง ขายได้มั้ย ขายที่ไหน การจัดการ บริษัทที่ผลิต เข้าใจง่าย สามารถจับต้องได้ มองเห็นได้ เพราะว่าถ้าไปทำอะไรที่ไม่รู้จัก ฟังจากคนอื่นพูด ซึ่งทำให้ไม่ได้วิเคราะห์เอง คุณวรวรรณ กล่าว
     
      ทั้งนี้ นักลงทุนจะต้องทำความเข้าใจว่าการลงทุนหุ้นในสไตล์บัฟเฟตต์นั้นเป็นการลงทุนในระยะยาว 10-30 ปี ด้วยการเข้าลงทุนในหุ้นตัวนั้น เพราะต้องการเป็นเจ้าของกิจการ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปทำงาน แต่ได้กิจการนั้นมาเป็นสินทรัพย์
      นอกจากนี้ นักลงทุนจะต้องเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจะได้รับในอนาคตกับผลตอบแทนที่แน่นอนในปัจจุบันด้วย ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล และอัตราเงินเฟ้อ ว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหรือไม่ หากคำนวณแล้วได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า ก็ถือว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะต้องเพิ่มความเสี่ยงเป็นราคาพรีเมี่ยมเข้าไปด้วย และต้องเป็นธุรกิจที่มีอนาคต
      "ก่อนที่นักลงทุนจะเริ่มเข้าไปลงทุน จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานในธุรกิจที่สนใจลงทุน โดยมีข้อสังเกตว่าไม่ว่าจะใช้ระยะเวลาในการศึกษาสักกี่ปีก็ตาม การเข้าลงทุนก็ยังสามารถลงทุนได้ เพราะตลาดหุ้นรอเราได้เสมอ ซึ่งดีกว่าการที่นักลงทุนรีบร้อนลงทุน ซึ่งใช้เวลาแค่ 5 นาที แต่แบกรับความเสี่ยงสูง ดังนั้นนักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีความรู้และการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ถูกต้อง ไม่ใช่พึ่งแต่โบรกเกอร์หรือกองทุนรวมมาตัดสินใจลงทุนให้ตัวเอง อย่างเดียว"คุณวรวรรณ กล่าวแนะนำ
      อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบการบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุนกับสไตล์
      วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะพบว่ามีความกดดันที่แตกแตกต่างกัน โดยกองทุนรวมจะมีการบริหารที่ยากกว่า เพราะว่ามีปัจจัยที่มากดดันหลายอย่าง อาทิ เช่น จะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในช่วงนั้นหรือเปล่า หรือสภาพตลาดหุ้นในขณะนั้น มีความเหมาะกับการลงทุนในหุ้นตัวนั้นมากน้อยเพียงใด และความกดดันทางเรื่องของผลตอบแทนของกองทุนรวมที่จะมีการจัดอันดับทุกเดือน ซึ่งจะถูกสะท้อนไปที่ผู้ลงทุน และกลับมายังกองทุนรวมเองด้วย เนื่องจากนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมไม่ได้มองเพียงแค่ปัจจุบันเหมือนนักลงทุนรายย่อยทั่วไป แต่กองทุนรวมจะมองไปที่การลงทุนในระยะยาว ดังนั้น ความหวั่นไหวของนักลงทุนจึงมากดดันผู้จัดการกองทุนอีกทอดหนึ่งด้วย
     
      นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นของกองทุนรวมยังติดกฎเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่กำหนดให้ บลจ.ต้องมีการกระจายสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 1 ตัวไม่เกิน 15% ขณะที่กองทุนพิเศษกำหนดให้ลงทุนไม่เกิน 25% ดังนั้น การเข้าไปลงทุนแบบกระจุกตัวในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจึงเป็นไปได้ยาก เพราะเกินระดับที่กำหนดไว้ เช่น การจะลงทุนในหุ้น 20% จำนวน 5 ตัว ทำให้กองทุนต้องมีปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง
     
      ส่วนปัจจัยสุดท้าย คือ การเข้าออกของผู้ลงทุน ซึ่งการที่ลูกค้าเข้ามาถอนเงินลงทุนจากกองทุน ทำให้จำเป็นต้องขายหุ้น เพื่อนำเงินสดไปคืนให้แก่ผู้ลงทุน หรือหากผู้ลงทุนเข้ามาซื้อ ทาง บลจ.ก็ต้องเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มเติม และอาจทำให้มีผลกระทบต่อการจ่ายปันผลซึ่งอาจจะน้อยกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทุก บลจ.มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหาร ด้วยการลดสัดส่วนในหุ้นจาก 30-50 ตัว เหลือเพียง 10 ตัว ขณะที่ บลจ.บัวหลวงปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 10 ตัวเป็น 10-20 ตัว
     
      นายตุล ไวฑูรเกียรติ นักร้องวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า เปิดเผยว่า ได้เริ่มลงทุนตั้งแต่ต้นปี 2546 ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูมมาก โดยเริ่มลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล็ก อะโรเมติกส์ ร้านหนังสือ โดยจะเริ่มศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองจนเข้าใจ และจะนิยมถือในระยะยาว และเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นปรับขึ้นจนเกินไป ก็จะเทขายเพื่อทำกำไร โดยมองว่าควรปล่อยให้เงินทำงานไป ดีกว่าจะเก็บไว้นิ่งแบบเงินฝาก
     
      ส่วนสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือการลงทุนในแต่ละครั้งจะต้องไม่หวั่นไหวไปกับกระแสข่าวในห้องค้า หรือข่าวจากแหล่งต่างๆ ด้วย เพราะจะทำให้มีความลังเล ดังนั้นควรเชื่อมั่นในตัวเอง และหมั่นศึกษารายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม
     
      นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการที่ราคาหุ้นปรับลดลงมาที่ 50% เป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนควรเข้าไปลงทุนมากที่สุด พร้อมยกอุปมาคล้ายการลดราคาสินค้าในห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะมีแต่คนแห้เข้าไปซื้อสินค้านั้น โดยผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 7-8% ต่อปี
     
      สำหรับการลงทุนในรูปแบบอื่น นักร้องหนุ่มกล่าวว่า จะมีการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยาว (LTF) ทุก 3 เดือน เป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว เนื่องจากได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้ ซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตที่ 30% ส่วนการลงทุนในรูปแบบอื่นเห็นว่ายังไม่เหมาะกับช่วงอายุของตนเอง โดยยังอยู่ในช่วงที่ไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้มาก
     
      นายมรกต โกมลบุตร ดีเจคลื่นแฟต เรดิโอ 104.5 MHz. เปิดเผยว่าเริ่มลงทุนหุ้นครั้งแรก โดยได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสนิทที่ทำงานที่ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นการลงทุนหุ้นผ่านพอร์ตการลงทุนของเพื่อน ปัจจุบัน จะนำรายได้ที่ได้จากการทำงานมาแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรก เป็นเงินที่เก็บไว้โดยเฉพาะ ส่วนที่2. เป็นเงินที่เก็บไว้ใช้จ่ายประจำวัน และส่วนสุดท้ายเป็นเงินที่ไว้ใช้จ่ายแบบเบ็ดเตล็ด ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากเหมาะสมกับช่วงอายุของตัวเองที่สามารถรับความเสี่ยงได้ แต่เนื่องจากเงินลงทุนในปัจจุบัน เป็นเงินที่ตนเองทยอยสะสมทีละเล็กละน้อย เวลาจะใช้เงินลงทุนในแต่ละครั้งจึงค่อนข้างระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

Re: เคล็ดไม่ลับรวยหุ้นอย่าง'วอร์เรน บัฟเฟตต์'

โพสต์ที่ 2

โพสต์

[quote="nandeandw"]
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
โพสต์โพสต์