เปิดสูตรหุ้นเก็งกำไร 3-5-7 เผ่น
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
เปิดสูตรหุ้นเก็งกำไร 3-5-7 เผ่น
โพสต์ที่ 1
เปิดสูตรหุ้นเก็งกำไร 3-5-7 เผ่น
กูรูชี้หลังเลือกตั้ง หุ้นไทยยังไม่ใส ชี้กว่าการเมืองจะลงตัวใช้เวลาอีกยาว งานนี้หุ้นเก็งกำไรถูกงัดขึ้นมาแก้คันมืออีกครั้ง พร้อมเปิดสูตร 3-5-7 ช่องเผ่นเอากำไรก่อนดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะ PAE-IEC-SEAFCO ที่ขึ้นแบบไร้ปัจจัย เจนิเฟอร์ UOBKH ให้หุ้นเทคนิคเด็ด EMC-TKS ฟาก ปีเตอร์ แห่ง บีฟิท มอบหุ้น TYM-S2Y เป็นของขวัญคริสมาสต์
แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะได้ทราบกันอย่างไม่เป็นทางการในเร็วๆนี้ และตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณในทางบวก โดยปรับตัวขึ้นแรงและปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 831.60 จุด เพิ่มขึ้น 21.89 จุด หรือ % แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 13,098.81 ล้านบาท จุด และหากพิจารณาถึงนักลงทุนรายกลุ่มแล้ว ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีกถึง 1,593.26 ล้านบาท ขณะที่สถาบันซื้อสุทธิ 1,256.95 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 336.31 ล้านบาท
ทั้งนี้หากนับรวมทั้งสัปดาห์ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 12,405.19 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. หลังจากศาลฯเริ่มนัดไต่สวนคดีแปรรูป ปตท. ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 18,137.13 ล้านบาท
ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า แรงดันหุ้นบิ๊กแคปเมื่อวันศุกร์ เป็นเพียงความหวังของนักลงทุนในประเทศทั้งรายย่อยและสถาบันเท่านั้น ด้วยหวังว่าหลังการเลือกตั้งเม็ดเงินต่างชาติน่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันยังมีอีกหลายกระแสเสียงที่ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. ผ่านพ้นไป การเมืองไทยอาจไม่สงบอย่างที่คิด เพราะต้องยอมรับว่าเมืองไทย ประเทศไทย ยังแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับ พลังประชาชน หรือ ไทยรักไทยเดิม ดังนั้นแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านไป ในสายตาของต่างชาติแล้ว ภาพของการเมืองไทยก็ยังไม่ชัด เพราะกังวลถึงกระแสต่อต้านที่จะตามมา หากพรรคที่ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนน้อย แต่อาจได้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ยามนี้การเล่นหุ้นบิ๊กแคปจึงถือว่ายังมีความเสี่ยง และหุ้นเก็งกำไรอาจกลับมาครอบครองกระดานหุ้นอีกครั้ง
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส (SYRUS) ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อหุ้นบิ๊กแคป ดักเม็ดเงินต่างชาติ ที่เชื่อว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็ถือว่าประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เปิดเผยว่า แม้ว่าดัชนีฯในวันศุกร์จะปรับตัวขึ้นแรง แต่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง และต่างชาติยังขายสุทธิ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนในประเทศเองที่เข้ามาซื้อหุ้นบิ๊กแคปดักเงินต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาหลังการเลือกตั้ง อีกทั้งที่ผ่านมามีแรงขายหุ้นออกมามากจนดัชนีฯและหุ้นบิ๊กแคปหลายตัวปรับตัวลดลงแรงจนถึงระดับที่น่าสนใจ นักลงทุนบางส่วนจึงเข้ามาซื้อดัก เพื่อเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป กว่าการเมืองไทยจะลงตัวอาจต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน เนื่องจากการเมืองไทยยังแบ่งเป็นขั้ว ซึ่งหากขั้วใดขั้วหนึ่งได้ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อาจเกิดการต้อต้านจากอีกขั้วหนึ่ง
"คิดว่าถ้าประชาธิปัตย์มา การเมืองจะไม่วุ่นวายมาก และหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแรง เพราะกระแสต้านจะน้อยกว่า แต่หากพลังประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีฐานเสียงต่างจังหวัดมากได้เป็นแกนนำ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น เพราะการต่อต้าน และจะทำให้ภาพรวมตลาดฯผันผวนมาก"
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่จึงยังไม่น่าสนใจและยังมีความเสี่ยงในการลงทุน และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความนิยมีกครั้ง โดยในส่วนของหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคเป็นบวก และมีแนวโน้มว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีก ได้แก่ EMC และ TKS
โดยในส่วนของ EMC ก่อนหน้านี้เคยขึ้นทะลุ 4 บาท แล้วโดนทุบลงมาเหลือ 3 บาทกว่า หลังจากนั้นราคาก็เริ่มนิ่งเพื่อสร้างฐาน ซึ่งจากกราฟทางเทคนิค มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ แนวรับอยู่ที่ 3.30-3.20 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 4-4.50 บาท
TKS สัญญาณเทคนิค เริ่มเข้าสู่ภาวะกระทิง หลังจากผ่านแนวต้านที่ 3.60-3.70 บาทได้ โครงสร้างใหญ่ของกราฟมีโอกาสจะไปถึง 5-6 บาท
ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ ไม่ว่าจะเป็น PAE IEC และ SEAFCO เป็นหุ้นที่มีนักลงทุนไล่ราคาขึ้นมา ซึ่งอาจจะมีการล่วงรู้ข้อมูลภายใน หรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นการเก็งกำไรต้องเน้นเข้าเร็วออกเร็ว หรือขายหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีกำไรเพื่อลดความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวลดลง โดย PAE มีแนวรับที่ 1.30 บาท แนวต้าน 1.40 บาท IEC แนวรับ 1.20 บาท แนวต้าน 1.30 บาท SEAFCO แนวรับ 5.40 บาท ต้าน 5.80 บาท โดนมีแนวต้านใหญ่อยู่ที่ 6 บาท และเป็นหุ้นที่สามารถถือเล่นรอบได้
"เล่นหุ้นช่วงนี้อาจต้องเน้นเล่นสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีคนลากขึ้นมา เพราะเราไม่รู้ข้อมูลลึกๆ หากได้กำไรซัก 3-5-7 ช่องก็น่าจะขายทำกำไรก่อน แล้วค่อยกลับมารับเมื่อราคาอ่อนตัว"
นายอภิสิทธิ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ในส่วนของการเมืองยังไม่มีความแน่นอน ว่าจะออกหัวหรือก้อย ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาทำให้นักลงทุนผิดหวัง ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลดลงไปถึงระดับ 740 จุด แต่ถ้าผลออกมาเป็นบวก ดัชนีฯมีโอกาสดีดขึ้นแตะ 840-850 จุดได้ นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้มากแค่ไหน
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อาจยังไม่น่าสนใจที่จะเข้าซื้อลงทุน เพราะตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง โดยในส่วนของหุ้นที่แนะนำซื้อเก็งกำไรทางเทคนิค ได้แก่ TYM ให้แนวรับ 4.48 บาท แนวต้าน 4.66-5 บาท และ S2Y แนวรับ 1.76 บาท แนวต้าน 1.90 บาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัยพ์ฯช่วงนี้เบาบาง และดัชนีฯเคลื่อนไหวผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาหนาแน่นดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับความสนใจ น่าจะเป็นหุ้นที่มีแรงซื้อปิดงวดบัญชี (Window Dressing) รวมถึงแรงซื้อกลับในหุ้นที่มีการปรับลดลงมามากก่อนหน้านี้ อาทิ CWT, KSL, SIAM, AKR, RAIMON, ขณะเดียวกันหุ้นที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็น่าจะยังได้รับความสนใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น MJD, BGT และ SIMAT
"จับตาหุ้นเล็กจะมาแรงช่วงนี้ เพราะหุ้นใหญ่แม้มีแรงซื้อดันราคาเพิ่ม แต่เชื่อว่านักลงทุนกังวลและอาจมีแรงขายออกมา จากเรื่องปตท.ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซที่ต้องจ่ายให้กระทรวงคลัง โดยมองว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอย่างมาก"นายวีระชัย กล่าว " นายวีระชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กดังกล่าว นักลงทุนระยะสั้นที่สนใจสามารถเก็งกำไรได้ แต่ก็ให้ระมัดระวังในการลงทุน และเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น
**BLISS-IEC-LIVE ติดโผเทิร์นโอเวอร์ ลิสต์ ต้องรายงาน ก.ล.ต.
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผย Turnover List ของสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ธันวาคม 2550 มี 3 หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต. คือ BLISS, IEC และ LIVE เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่ติดใน Turnover List และ มีผลการดำเนินงานขาดทุน
อันดับ หุ้น %1W-Turnover P/E ratioหรือบริษัทที่มีผล Non-Compliance การดำเนินงานขาดทุน
1 BLISS 97.01 ขาดทุน
2 IEC 37.14 ขาดทุน
3 LIVE 35.50 ขาดทุน
กูรูชี้หลังเลือกตั้ง หุ้นไทยยังไม่ใส ชี้กว่าการเมืองจะลงตัวใช้เวลาอีกยาว งานนี้หุ้นเก็งกำไรถูกงัดขึ้นมาแก้คันมืออีกครั้ง พร้อมเปิดสูตร 3-5-7 ช่องเผ่นเอากำไรก่อนดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะ PAE-IEC-SEAFCO ที่ขึ้นแบบไร้ปัจจัย เจนิเฟอร์ UOBKH ให้หุ้นเทคนิคเด็ด EMC-TKS ฟาก ปีเตอร์ แห่ง บีฟิท มอบหุ้น TYM-S2Y เป็นของขวัญคริสมาสต์
แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะได้ทราบกันอย่างไม่เป็นทางการในเร็วๆนี้ และตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณในทางบวก โดยปรับตัวขึ้นแรงและปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 831.60 จุด เพิ่มขึ้น 21.89 จุด หรือ % แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 13,098.81 ล้านบาท จุด และหากพิจารณาถึงนักลงทุนรายกลุ่มแล้ว ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีกถึง 1,593.26 ล้านบาท ขณะที่สถาบันซื้อสุทธิ 1,256.95 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 336.31 ล้านบาท
ทั้งนี้หากนับรวมทั้งสัปดาห์ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 12,405.19 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. หลังจากศาลฯเริ่มนัดไต่สวนคดีแปรรูป ปตท. ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 18,137.13 ล้านบาท
ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า แรงดันหุ้นบิ๊กแคปเมื่อวันศุกร์ เป็นเพียงความหวังของนักลงทุนในประเทศทั้งรายย่อยและสถาบันเท่านั้น ด้วยหวังว่าหลังการเลือกตั้งเม็ดเงินต่างชาติน่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันยังมีอีกหลายกระแสเสียงที่ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. ผ่านพ้นไป การเมืองไทยอาจไม่สงบอย่างที่คิด เพราะต้องยอมรับว่าเมืองไทย ประเทศไทย ยังแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับ พลังประชาชน หรือ ไทยรักไทยเดิม ดังนั้นแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านไป ในสายตาของต่างชาติแล้ว ภาพของการเมืองไทยก็ยังไม่ชัด เพราะกังวลถึงกระแสต่อต้านที่จะตามมา หากพรรคที่ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนน้อย แต่อาจได้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ยามนี้การเล่นหุ้นบิ๊กแคปจึงถือว่ายังมีความเสี่ยง และหุ้นเก็งกำไรอาจกลับมาครอบครองกระดานหุ้นอีกครั้ง
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส (SYRUS) ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อหุ้นบิ๊กแคป ดักเม็ดเงินต่างชาติ ที่เชื่อว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็ถือว่าประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เปิดเผยว่า แม้ว่าดัชนีฯในวันศุกร์จะปรับตัวขึ้นแรง แต่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง และต่างชาติยังขายสุทธิ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนในประเทศเองที่เข้ามาซื้อหุ้นบิ๊กแคปดักเงินต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาหลังการเลือกตั้ง อีกทั้งที่ผ่านมามีแรงขายหุ้นออกมามากจนดัชนีฯและหุ้นบิ๊กแคปหลายตัวปรับตัวลดลงแรงจนถึงระดับที่น่าสนใจ นักลงทุนบางส่วนจึงเข้ามาซื้อดัก เพื่อเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป กว่าการเมืองไทยจะลงตัวอาจต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน เนื่องจากการเมืองไทยยังแบ่งเป็นขั้ว ซึ่งหากขั้วใดขั้วหนึ่งได้ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อาจเกิดการต้อต้านจากอีกขั้วหนึ่ง
"คิดว่าถ้าประชาธิปัตย์มา การเมืองจะไม่วุ่นวายมาก และหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแรง เพราะกระแสต้านจะน้อยกว่า แต่หากพลังประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีฐานเสียงต่างจังหวัดมากได้เป็นแกนนำ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น เพราะการต่อต้าน และจะทำให้ภาพรวมตลาดฯผันผวนมาก"
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่จึงยังไม่น่าสนใจและยังมีความเสี่ยงในการลงทุน และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความนิยมีกครั้ง โดยในส่วนของหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคเป็นบวก และมีแนวโน้มว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีก ได้แก่ EMC และ TKS
โดยในส่วนของ EMC ก่อนหน้านี้เคยขึ้นทะลุ 4 บาท แล้วโดนทุบลงมาเหลือ 3 บาทกว่า หลังจากนั้นราคาก็เริ่มนิ่งเพื่อสร้างฐาน ซึ่งจากกราฟทางเทคนิค มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ แนวรับอยู่ที่ 3.30-3.20 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 4-4.50 บาท
TKS สัญญาณเทคนิค เริ่มเข้าสู่ภาวะกระทิง หลังจากผ่านแนวต้านที่ 3.60-3.70 บาทได้ โครงสร้างใหญ่ของกราฟมีโอกาสจะไปถึง 5-6 บาท
ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ ไม่ว่าจะเป็น PAE IEC และ SEAFCO เป็นหุ้นที่มีนักลงทุนไล่ราคาขึ้นมา ซึ่งอาจจะมีการล่วงรู้ข้อมูลภายใน หรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นการเก็งกำไรต้องเน้นเข้าเร็วออกเร็ว หรือขายหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีกำไรเพื่อลดความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวลดลง โดย PAE มีแนวรับที่ 1.30 บาท แนวต้าน 1.40 บาท IEC แนวรับ 1.20 บาท แนวต้าน 1.30 บาท SEAFCO แนวรับ 5.40 บาท ต้าน 5.80 บาท โดนมีแนวต้านใหญ่อยู่ที่ 6 บาท และเป็นหุ้นที่สามารถถือเล่นรอบได้
"เล่นหุ้นช่วงนี้อาจต้องเน้นเล่นสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีคนลากขึ้นมา เพราะเราไม่รู้ข้อมูลลึกๆ หากได้กำไรซัก 3-5-7 ช่องก็น่าจะขายทำกำไรก่อน แล้วค่อยกลับมารับเมื่อราคาอ่อนตัว"
นายอภิสิทธิ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ในส่วนของการเมืองยังไม่มีความแน่นอน ว่าจะออกหัวหรือก้อย ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาทำให้นักลงทุนผิดหวัง ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลดลงไปถึงระดับ 740 จุด แต่ถ้าผลออกมาเป็นบวก ดัชนีฯมีโอกาสดีดขึ้นแตะ 840-850 จุดได้ นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้มากแค่ไหน
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อาจยังไม่น่าสนใจที่จะเข้าซื้อลงทุน เพราะตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง โดยในส่วนของหุ้นที่แนะนำซื้อเก็งกำไรทางเทคนิค ได้แก่ TYM ให้แนวรับ 4.48 บาท แนวต้าน 4.66-5 บาท และ S2Y แนวรับ 1.76 บาท แนวต้าน 1.90 บาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัยพ์ฯช่วงนี้เบาบาง และดัชนีฯเคลื่อนไหวผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาหนาแน่นดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับความสนใจ น่าจะเป็นหุ้นที่มีแรงซื้อปิดงวดบัญชี (Window Dressing) รวมถึงแรงซื้อกลับในหุ้นที่มีการปรับลดลงมามากก่อนหน้านี้ อาทิ CWT, KSL, SIAM, AKR, RAIMON, ขณะเดียวกันหุ้นที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็น่าจะยังได้รับความสนใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น MJD, BGT และ SIMAT
"จับตาหุ้นเล็กจะมาแรงช่วงนี้ เพราะหุ้นใหญ่แม้มีแรงซื้อดันราคาเพิ่ม แต่เชื่อว่านักลงทุนกังวลและอาจมีแรงขายออกมา จากเรื่องปตท.ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซที่ต้องจ่ายให้กระทรวงคลัง โดยมองว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอย่างมาก"นายวีระชัย กล่าว " นายวีระชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กดังกล่าว นักลงทุนระยะสั้นที่สนใจสามารถเก็งกำไรได้ แต่ก็ให้ระมัดระวังในการลงทุน และเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น
**BLISS-IEC-LIVE ติดโผเทิร์นโอเวอร์ ลิสต์ ต้องรายงาน ก.ล.ต.
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผย Turnover List ของสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ธันวาคม 2550 มี 3 หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต. คือ BLISS, IEC และ LIVE เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่ติดใน Turnover List และ มีผลการดำเนินงานขาดทุน
อันดับ หุ้น %1W-Turnover P/E ratioหรือบริษัทที่มีผล Non-Compliance การดำเนินงานขาดทุน
1 BLISS 97.01 ขาดทุน
2 IEC 37.14 ขาดทุน
3 LIVE 35.50 ขาดทุน
- MANEKI
- Verified User
- โพสต์: 1005
- ผู้ติดตาม: 0
เปิดสูตรหุ้นเก็งกำไร 3-5-7 เผ่น
โพสต์ที่ 6
ขึ้น 3ช่อง ให้ขายทันทีค่ะ
เช่นซื้อ IEC 1.2 ขาย 1.23 ขึ้นก็อย่าเพิ่งตาม
แต่ตามเทคนิคยังเป็นขาขึ้นอยู่
ส่วนขึ้น 5ช่อง 7ช่อง ก็ต้องใจถึงหน่อย
เช่น ซื้อ LIVE 13ขาย 13.5 หรือ 13.7
หุ้นที่มาก่อนและหลังเลือกตั้งก็ BLISS LIVE IEC TRAF
มาแบบชัดเจนมาก ส่วนใครที่เข้าไปซื้อบลูชิพ
ก็ถือว่าเลือกผิด ส่วนหุ้นที่ขึ้นแล้วมีปันผลรองรับก็
TKS SIS แต่ก็ใช้สูตร 3-5-7เหมือนกัน
เช่นซื้อ IEC 1.2 ขาย 1.23 ขึ้นก็อย่าเพิ่งตาม
แต่ตามเทคนิคยังเป็นขาขึ้นอยู่
ส่วนขึ้น 5ช่อง 7ช่อง ก็ต้องใจถึงหน่อย
เช่น ซื้อ LIVE 13ขาย 13.5 หรือ 13.7
หุ้นที่มาก่อนและหลังเลือกตั้งก็ BLISS LIVE IEC TRAF
มาแบบชัดเจนมาก ส่วนใครที่เข้าไปซื้อบลูชิพ
ก็ถือว่าเลือกผิด ส่วนหุ้นที่ขึ้นแล้วมีปันผลรองรับก็
TKS SIS แต่ก็ใช้สูตร 3-5-7เหมือนกัน