กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 1
ผมขอระบายนิดนึงนะครับ
คือผมไม่มีความรู้เรื่องบัญชีเลย จบมาก็ไม่สูง ผมก็อย่างมีอิสระภาพทางการเงินเหมือนๆกับ พี่ชาว vi ทุกๆคน
พี่ๆแนะนำหนังสือเล่มไหนดี ผมก็ไปหาซื้อมาอ่าน ว่างๆก็ไล่อ่านกระทู้เก่าๆ
ใน thaivi ทั้งในกระทู้ตะแกรงของพี่วิบูลย์
และอื่นๆ อ่านๆๆๆทั้งที่รู้เรื่องบางไม่รู้เรื่องบาง
แล้วผมก็คิดว่าอ่านๆไปก่อน สิ่งที่ไม่เข้าใจ เดี๋ยวค่อยมาถามใน thaivi
คงจะมีพี่ๆ vi ใจดี มาให้ความกระจ่าง
และผมก็ถามในลักษณะให้ช่วยสอน"วิธีการตกปลา" ไม่ใช่ "มาขอปลาหรือเศษเนื้อ" จากพี่ๆ
ผมสังเกตว่า ใน "มือใหม่หัดลงทุน" จะมีพี่ๆเข้ามาดู และตอบคำถามมือใหม่ค่อนข้างน้อยมาก
ผมคิดว่าพี่ๆคงจะเบื่อๆ กับคำถามง่ายๆ ซ้ำๆ เดิมๆ
แต่พี่ๆครับ มือใหม่ เขาก็เหมือนกับคนตาบอดนะครับ
แม้เพียงแค่เห็นแสงสว่างน้อยๆเขาก็คิดว่ามันคือดวงอาทิตย์แล้วนะครับ
ถ้าหากไม่มีคนมาตอบคำถามเขาก็อาจจะคิดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันถูก
หรือถ้ามีคนมาตอบ แต่ถ้าเกิดคำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ผิดละ
แล้วตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วครับว่าทำไมถึงมีการโพส์ขอ ปลาหรือเศษเนื้อ(รายชื่อหุ้น) กันมาก
"พี่ๆ มักจะบอกว่า ไม่ชอบให้ใครมาโพส์ขอปลา(ชื่อหุ้น) แต่อย่างจะสอนวิธีการตกปลามากกว่า"
พี่ๆครับผมอยากขอความกรุณาให้พี่ vi รุ่นใหญ่ รุ่นอาจารย์ มาช่วยกับตอบ คำถาม มือใหม่มากๆหน่อยครับ
การที่มีการตอบมากๆ ก็เหมือนเป็นการช่วยยืนยันคำตอบที่ได้รับนั้นถูกต้อง และยังเป็นการให้กำลังใจกับมือใหม่ด้วยนะ
คือผมไม่มีความรู้เรื่องบัญชีเลย จบมาก็ไม่สูง ผมก็อย่างมีอิสระภาพทางการเงินเหมือนๆกับ พี่ชาว vi ทุกๆคน
พี่ๆแนะนำหนังสือเล่มไหนดี ผมก็ไปหาซื้อมาอ่าน ว่างๆก็ไล่อ่านกระทู้เก่าๆ
ใน thaivi ทั้งในกระทู้ตะแกรงของพี่วิบูลย์
และอื่นๆ อ่านๆๆๆทั้งที่รู้เรื่องบางไม่รู้เรื่องบาง
แล้วผมก็คิดว่าอ่านๆไปก่อน สิ่งที่ไม่เข้าใจ เดี๋ยวค่อยมาถามใน thaivi
คงจะมีพี่ๆ vi ใจดี มาให้ความกระจ่าง
และผมก็ถามในลักษณะให้ช่วยสอน"วิธีการตกปลา" ไม่ใช่ "มาขอปลาหรือเศษเนื้อ" จากพี่ๆ
ผมสังเกตว่า ใน "มือใหม่หัดลงทุน" จะมีพี่ๆเข้ามาดู และตอบคำถามมือใหม่ค่อนข้างน้อยมาก
ผมคิดว่าพี่ๆคงจะเบื่อๆ กับคำถามง่ายๆ ซ้ำๆ เดิมๆ
แต่พี่ๆครับ มือใหม่ เขาก็เหมือนกับคนตาบอดนะครับ
แม้เพียงแค่เห็นแสงสว่างน้อยๆเขาก็คิดว่ามันคือดวงอาทิตย์แล้วนะครับ
ถ้าหากไม่มีคนมาตอบคำถามเขาก็อาจจะคิดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันถูก
หรือถ้ามีคนมาตอบ แต่ถ้าเกิดคำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ผิดละ
แล้วตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วครับว่าทำไมถึงมีการโพส์ขอ ปลาหรือเศษเนื้อ(รายชื่อหุ้น) กันมาก
"พี่ๆ มักจะบอกว่า ไม่ชอบให้ใครมาโพส์ขอปลา(ชื่อหุ้น) แต่อย่างจะสอนวิธีการตกปลามากกว่า"
พี่ๆครับผมอยากขอความกรุณาให้พี่ vi รุ่นใหญ่ รุ่นอาจารย์ มาช่วยกับตอบ คำถาม มือใหม่มากๆหน่อยครับ
การที่มีการตอบมากๆ ก็เหมือนเป็นการช่วยยืนยันคำตอบที่ได้รับนั้นถูกต้อง และยังเป็นการให้กำลังใจกับมือใหม่ด้วยนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 2
ผมก็ไม่ได้จบบัญชี หรืออะไรที่เกี่ยวกับการเงินเลย ศึกษาเรื่องหุ้นก็ไม่เท่าไหร่ ก็ได้กระทู้ตระแกรงร่อนหุ้นของพี่วิบูลนี้แหละครับชี้ทางสว่าง
ไอ้วิธีการหามูลค่าหุ้นแบบDCF(ส่วนลดกระแสเงินสด) ผมพอเป็นอยู่บ้าง
เมล์มาคุยกันแก้เซ็งได้ครับ เพื่อพอจะช่วยได้บ้าง (ความรู้สึกคุณfirefoxเหมือนผมตอนแรกๆ ที่เริ่มสนใจในหุ้นเลย เห็นบ่นแล้วคิดถึงตัวเอง)
[email protected]
ไอ้วิธีการหามูลค่าหุ้นแบบDCF(ส่วนลดกระแสเงินสด) ผมพอเป็นอยู่บ้าง
เมล์มาคุยกันแก้เซ็งได้ครับ เพื่อพอจะช่วยได้บ้าง (ความรู้สึกคุณfirefoxเหมือนผมตอนแรกๆ ที่เริ่มสนใจในหุ้นเลย เห็นบ่นแล้วคิดถึงตัวเอง)
[email protected]
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 3
ผมก้อไม่ใช่มือเก่า เก๋า หรือเซียนแต่อย่างใด
ตอนแรกที่เริ่มอยากลงทุนก้อหวังอิสรภาพทางการเงินเหมือนกัน (แต่ไม่ค่อยชัดหรอกว่าคืออะไร)
ผมว่าถ้าจะลองเริ่มก้อลองจากกระทู้พี่วิบูลย์ แล้วก้อพอจะเริ่มเลือกหุ้นก้อลองเข้าห้องร้อยคนร้อยหุ้นดูนะครับ เพราะในนั้นข้อมูลวิเคราะห์เจาะลึกชนิดโบรกไหนก้อให้ไม่ได้ครับ
ผมก้อเจอหุ้นสุดยอดในดวงใจก้อเพราะข้อมูลของพี่ๆในนั้นครับ
ตอนแรกที่เริ่มอยากลงทุนก้อหวังอิสรภาพทางการเงินเหมือนกัน (แต่ไม่ค่อยชัดหรอกว่าคืออะไร)
ผมว่าถ้าจะลองเริ่มก้อลองจากกระทู้พี่วิบูลย์ แล้วก้อพอจะเริ่มเลือกหุ้นก้อลองเข้าห้องร้อยคนร้อยหุ้นดูนะครับ เพราะในนั้นข้อมูลวิเคราะห์เจาะลึกชนิดโบรกไหนก้อให้ไม่ได้ครับ
ผมก้อเจอหุ้นสุดยอดในดวงใจก้อเพราะข้อมูลของพี่ๆในนั้นครับ
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 4
ลองค่อยๆ ถามดูว่าตรงไหนไม่เข้าใจ
จะมาตอบให้จ้า
จะมาตอบให้จ้า
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 5
เป็นมือใหม่มากเหมือนกันค่ะ อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลย
ที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาในห้องมือใหม่ เพราะคำถามที่ถามอาจไม่ใหม่ ต้องลอง search ดูนะคะ อาจมีคนถามตอบไว้แล้ว ถ้าไม่มีก็ post มา รับรองมีคนมาช่วยแน่แน่ค่ะ
ถ้าเกี่ยวกับบัญชีที่พอตอบได้ เราจะพยายามช่วย ลองถามมานะคะ
จากความเห็นส่วนตัว Learning by Doing เนี่ยขลังสุด เข้าไปดูห้องร้อยคนร้อยหุ้น ตัวไหนดีกระทู้มันจะมีคนตอบเสมอ ศึกษาบริษัทที่ชอบ ตัวไหนงงก็ค่อยมาหาในห้องมือใหม่ ส่วน DCF เราทำไม่เป็นค่ะ ตอนนี้เราใช้พวกบทวิเคราะห์ไปก่อน เลือกโบรกดีดีหน่อย เอาไว้เป็นมือใหม่น้อยกว่านี้จะเข้าไปศึกษาอย่างละเอียด เราว่าการที่วางบันไดการเรียนรู้ก็จำเป็น ค่อยๆเดินเดี๋ยวล้ม และการลงทุนควรมาจากความมั่นใจ เราเข้ามาได้แค่ 3 เดือน (ครบวันนี้พอดี) ตอนนี้เลือกหุ้นที่ชอบไว้บ้างแต่ราคายังไม่พอใจ (ตามการคำนวณงูๆปลาๆแต่ดีที่สุดเท่าที่เราเข้าใจ) เราก็รอค่ะ เวลาที่รอเราใช้ไปในการเก็บตัวข้อมูลหุ้นตัวอื่นเพิ่ม เผื่อวันนึงต้องใช้ เราจะได้ไปดูข้อมูลน้อยหน่อย
การที่คุณอ่านกระทู้ตะแกรงร่อนหุ้นจบเนี่ยก็ถือว่าความพยายามดีมาก พยายามแล้วก็จะสำเร็จเองนะคะ (ตามที่คนเคยว่ากัน) เราอ่านไม่จบสักทีได้แค่ 10 หน้าเอง
วิธีหาปลามันเป็น Know-how มันเป็นของที่เหมาะกับเราที่สุดและเราก็ทำได้ดีที่สุด อย่าใจร้อนนะคะ คำตอบของมือเก่าเป็นคำตอบที่ดีแต่เราว่าอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเรา เรายังฟังเสียงมือเก่าเสมอค่ะ แต่ก็หา know-how ของตัวเองอยู่ตลอด ให้กำลังใจคุณนะคะ
ปล. หา know-how มา 3 เดือนได้แค่แนวคิด วิธีการเพื่อให้ได้ผลตามแนวคิด ยังคิดไม่ออกเลย
ที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาในห้องมือใหม่ เพราะคำถามที่ถามอาจไม่ใหม่ ต้องลอง search ดูนะคะ อาจมีคนถามตอบไว้แล้ว ถ้าไม่มีก็ post มา รับรองมีคนมาช่วยแน่แน่ค่ะ
ถ้าเกี่ยวกับบัญชีที่พอตอบได้ เราจะพยายามช่วย ลองถามมานะคะ
จากความเห็นส่วนตัว Learning by Doing เนี่ยขลังสุด เข้าไปดูห้องร้อยคนร้อยหุ้น ตัวไหนดีกระทู้มันจะมีคนตอบเสมอ ศึกษาบริษัทที่ชอบ ตัวไหนงงก็ค่อยมาหาในห้องมือใหม่ ส่วน DCF เราทำไม่เป็นค่ะ ตอนนี้เราใช้พวกบทวิเคราะห์ไปก่อน เลือกโบรกดีดีหน่อย เอาไว้เป็นมือใหม่น้อยกว่านี้จะเข้าไปศึกษาอย่างละเอียด เราว่าการที่วางบันไดการเรียนรู้ก็จำเป็น ค่อยๆเดินเดี๋ยวล้ม และการลงทุนควรมาจากความมั่นใจ เราเข้ามาได้แค่ 3 เดือน (ครบวันนี้พอดี) ตอนนี้เลือกหุ้นที่ชอบไว้บ้างแต่ราคายังไม่พอใจ (ตามการคำนวณงูๆปลาๆแต่ดีที่สุดเท่าที่เราเข้าใจ) เราก็รอค่ะ เวลาที่รอเราใช้ไปในการเก็บตัวข้อมูลหุ้นตัวอื่นเพิ่ม เผื่อวันนึงต้องใช้ เราจะได้ไปดูข้อมูลน้อยหน่อย
การที่คุณอ่านกระทู้ตะแกรงร่อนหุ้นจบเนี่ยก็ถือว่าความพยายามดีมาก พยายามแล้วก็จะสำเร็จเองนะคะ (ตามที่คนเคยว่ากัน) เราอ่านไม่จบสักทีได้แค่ 10 หน้าเอง
วิธีหาปลามันเป็น Know-how มันเป็นของที่เหมาะกับเราที่สุดและเราก็ทำได้ดีที่สุด อย่าใจร้อนนะคะ คำตอบของมือเก่าเป็นคำตอบที่ดีแต่เราว่าอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเรา เรายังฟังเสียงมือเก่าเสมอค่ะ แต่ก็หา know-how ของตัวเองอยู่ตลอด ให้กำลังใจคุณนะคะ
ปล. หา know-how มา 3 เดือนได้แค่แนวคิด วิธีการเพื่อให้ได้ผลตามแนวคิด ยังคิดไม่ออกเลย
.....Give Everything but not Give Up.....
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 6
ขอขอบพระคุณมากครับสำหรับทุกๆกำลังใจ และความกรุณาที่มีให้
หากมีข้อสงสัยอะไรก็ จะขอรบกวนมาเรื่อยๆนะครับ
ขอรบกวนพี่ stocksindormด้วยครับ พอจะช่วยแนะนำหนังสือที่ีมีรายละเอี่ยด และอธิบายเกี่ยวกับ ratio ต่างๆที่พี่ให้มา
1]current ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)=ทรัพย์สินหมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน,
2]quick ratio(อัตราส่วนหมุนเร็ว)=(เงินสด+เงิน่ลงทุนระยะสั้น+ลูกหนี้การค้า)/หนี้สินหมุนเวียน,
3]account receivable turnover(อัตราการหมุนของลูกหนี้)= 2*ยอดขาย/(ลูกหนี้การค้าต้นงวด+ลูกหนี้การปลาย),
4]days receive(ระยะเวลาเก็บหนี้)=365/อัตราการหมุนของลูกหนี้,
5]inventory turnnover(อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ)=2*ต้นทุนการขาย/(สินค้าคงเหลือต้นงวด+สินค้าคงเหลือปลายงวด),
6]inventory days(ระยะเวลาขายสินค้า)=365/อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ,
7]interest coverage ratio(ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย)=กำไรก่อนหักดอกเบี้ย/ดอกเบี้ย,
8]payable turnover(อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้)=2*ต้นทุนการขาย/(เจ้าหนี้การค้าต้นงวด+เจ้าหนี้การค้าปลายงวด),
9]payable payment period(ระยะเวลาจ่ายหนี้)=365/อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้,
10]fixed asset turnover(อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)=2*รายได้จากการขาย/(ที่ดิน,อาคาร,อุปกรณ์ต้นงวด+ปลายงวด),
11]gross profit margin(อัตรากำไรขั้นต้น)=กำไรขั้นต้น/ยอดขาย,
12]net profit margin(อัตรากำไรสุทธิ)=(กำไรขั้นต้น-ดอกเบี้ย-ผู้ถือหุ้นสว่นน้อย)/ยอดขาย,
13]debt to equity ratio=หนี้สิน/ทุน
หากมีข้อสงสัยอะไรก็ จะขอรบกวนมาเรื่อยๆนะครับ
ขอรบกวนพี่ stocksindormด้วยครับ พอจะช่วยแนะนำหนังสือที่ีมีรายละเอี่ยด และอธิบายเกี่ยวกับ ratio ต่างๆที่พี่ให้มา
1]current ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)=ทรัพย์สินหมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน,
2]quick ratio(อัตราส่วนหมุนเร็ว)=(เงินสด+เงิน่ลงทุนระยะสั้น+ลูกหนี้การค้า)/หนี้สินหมุนเวียน,
3]account receivable turnover(อัตราการหมุนของลูกหนี้)= 2*ยอดขาย/(ลูกหนี้การค้าต้นงวด+ลูกหนี้การปลาย),
4]days receive(ระยะเวลาเก็บหนี้)=365/อัตราการหมุนของลูกหนี้,
5]inventory turnnover(อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ)=2*ต้นทุนการขาย/(สินค้าคงเหลือต้นงวด+สินค้าคงเหลือปลายงวด),
6]inventory days(ระยะเวลาขายสินค้า)=365/อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ,
7]interest coverage ratio(ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย)=กำไรก่อนหักดอกเบี้ย/ดอกเบี้ย,
8]payable turnover(อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้)=2*ต้นทุนการขาย/(เจ้าหนี้การค้าต้นงวด+เจ้าหนี้การค้าปลายงวด),
9]payable payment period(ระยะเวลาจ่ายหนี้)=365/อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้,
10]fixed asset turnover(อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)=2*รายได้จากการขาย/(ที่ดิน,อาคาร,อุปกรณ์ต้นงวด+ปลายงวด),
11]gross profit margin(อัตรากำไรขั้นต้น)=กำไรขั้นต้น/ยอดขาย,
12]net profit margin(อัตรากำไรสุทธิ)=(กำไรขั้นต้น-ดอกเบี้ย-ผู้ถือหุ้นสว่นน้อย)/ยอดขาย,
13]debt to equity ratio=หนี้สิน/ทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 7
เป็นกำลังใจให้ครับ
ผมเองยังเป็นมือใหม่ครับ ความรู้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก
แต่ก็พยายามเข้ามาตอบคำถามพี่ๆ เพื่อนๆ ในห้องมือใหม่อยู่เนืองๆ
คำถามไหนรู้ก็จะตอบ ถ้าไม่รู้จริงๆก็ต้องรอให้ท่านผู้รู้เข้ามาตอบให้
จริงๆแล้วการเริ่มต้นลงทุนในหุ้น หลายๆคนจะมุ่งเน้นไปที่งบการเงิน
เท่าที่ผมรู้มาจากพี่ๆหลายท่าน แนะนำให้ดูในสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราที่เราสนใจ
อาจเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา หรือบริษัทที่ขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
เป็นว่าถ้าเราศึกษาอุตสาหกรรมที่เรารู้จัก จะเป็นการง่ายในการวิเคราะห์อุตสาหกรรมมากกว่าอุตสาหกรรมที่เราไม่รู้จัก
หลังจากวิเคราะห์อุตสาหกรรมแล้วจึงดูเป็นรายบริษัท ถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์งบการเงิน
ผมเองยังเป็นมือใหม่ครับ ความรู้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก
แต่ก็พยายามเข้ามาตอบคำถามพี่ๆ เพื่อนๆ ในห้องมือใหม่อยู่เนืองๆ
คำถามไหนรู้ก็จะตอบ ถ้าไม่รู้จริงๆก็ต้องรอให้ท่านผู้รู้เข้ามาตอบให้
จริงๆแล้วการเริ่มต้นลงทุนในหุ้น หลายๆคนจะมุ่งเน้นไปที่งบการเงิน
เท่าที่ผมรู้มาจากพี่ๆหลายท่าน แนะนำให้ดูในสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราที่เราสนใจ
อาจเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา หรือบริษัทที่ขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
เป็นว่าถ้าเราศึกษาอุตสาหกรรมที่เรารู้จัก จะเป็นการง่ายในการวิเคราะห์อุตสาหกรรมมากกว่าอุตสาหกรรมที่เราไม่รู้จัก
หลังจากวิเคราะห์อุตสาหกรรมแล้วจึงดูเป็นรายบริษัท ถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์งบการเงิน
สติมา ปัญญาเกิด
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 8
หลักการลงทุน by ศ. พัชรี ขุมทรัพย์firefox เขียน:ขอขอบพระคุณมากครับสำหรับทุกๆกำลังใจ และความกรุณาที่มีให้
หากมีข้อสงสัยอะไรก็ จะขอรบกวนมาเรื่อยๆนะครับ
ขอรบกวนพี่ stocksindormด้วยครับ พอจะช่วยแนะนำหนังสือที่ีมีรายละเอี่ยด และอธิบายเกี่ยวกับ ratio ต่างๆที่พี่ให้มา
1]current ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)=ทรัพย์สินหมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน,
2]quick ratio(อัตราส่วนหมุนเร็ว)=(เงินสด+เงิน่ลงทุนระยะสั้น+ลูกหนี้การค้า)/หนี้สินหมุนเวียน,
3]account receivable turnover(อัตราการหมุนของลูกหนี้)= 2*ยอดขาย/(ลูกหนี้การค้าต้นงวด+ลูกหนี้การปลาย),
4]days receive(ระยะเวลาเก็บหนี้)=365/อัตราการหมุนของลูกหนี้,
5]inventory turnnover(อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ)=2*ต้นทุนการขาย/(สินค้าคงเหลือต้นงวด+สินค้าคงเหลือปลายงวด),
6]inventory days(ระยะเวลาขายสินค้า)=365/อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ,
7]interest coverage ratio(ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย)=กำไรก่อนหักดอกเบี้ย/ดอกเบี้ย,
8]payable turnover(อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้)=2*ต้นทุนการขาย/(เจ้าหนี้การค้าต้นงวด+เจ้าหนี้การค้าปลายงวด),
9]payable payment period(ระยะเวลาจ่ายหนี้)=365/อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้,
10]fixed asset turnover(อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)=2*รายได้จากการขาย/(ที่ดิน,อาคาร,อุปกรณ์ต้นงวด+ปลายงวด),
11]gross profit margin(อัตรากำไรขั้นต้น)=กำไรขั้นต้น/ยอดขาย,
12]net profit margin(อัตรากำไรสุทธิ)=(กำไรขั้นต้น-ดอกเบี้ย-ผู้ถือหุ้นสว่นน้อย)/ยอดขาย,
13]debt to equity ratio=หนี้สิน/ทุน
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 9
ไอ้พวกratioเหล่านี้เป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณนะครับ ส่วนทางคุณภาพก็ตามที่คุณsattayaบอกเลยหรือไม่ก็ตระแกรงร่อนหุ้นพี่วิบูลเลยครับ
เอาแบบคร่าวๆนะครับ ตามความคิดของผม พี่ๆท่านอื่นว่าอย่างไรก็แนะนำเพิ่มเติมครับ(ควรเปรียบเทียบกับอดีตของบริษัทและบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน)
1]current ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)=ทรัพย์สินหมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน; .=ใช้เพื่อดูความคล่องตัวทางการเงินของบริษัท ค่ายิ่งมากยิ่งดี ถ้าค่าที่ได้น้อยกว่า1 แสดงว่ามีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
2]quick ratio(อัตราส่วนหมุนเร็ว)=(เงินสด+เงิน่ลงทุนระยะสั้น+ลูกหนี้การค้า)/หนี้สินหมุนเวียน;=ใช้เพื่อดูสภาพคล่องทางการเงินเหมือนcurrent ratioแต่จะเข้มข้นกว่าเพราะไม่ได้เอาสินค้าคงเหลือมารวมด้วย เพราะบางบริษัทอาจมีสินค้าคงเหลือจำนวนมากที่ตกรุ่น กว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้กินเวลานานหรือไม่ได้ราคา
3]account receivable turnover(อัตราการหมุนของลูกหนี้)= 2*ยอดขาย/(ลูกหนี้การค้าต้นงวด+ลูกหนี้การปลาย);=ค่ายิ่งมากยิ่งดี เป็นการดูว่างวดบัญชีหนึ่งๆยอดขายที่เห็นเป็นการจ่ายหนี้ทั้งหมดกี่รอบ
4]days receive(ระยะเวลาเก็บหนี้)=365/อัตราการหมุนของลูกหนี้;=ใช้คู่กับaccount receivable turnoverเพื่อดูการบริหารลูกหนี้ของบริษัท ควรดูนโยบายของบรษัทก่อนว่าอุตสาหกรรมแบบนี้ควรให้เครดิตลูกหนี้กี่วัน แล้วลองเอามาดูกับบริษัทที่เราสนใจ เช่น คู่แข่งกับเรายอดขายเท่าๆกัน แต่คู่แข่งให้เครดิต30วัน เราให้90วัน กว่าเราจะได้เก็บหนี้ก็คางเหลืองพอดี
5]inventory turnnover(อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ)=2*ต้นทุนการขาย/(สินค้าคงเหลือต้นงวด+สินค้าคงเหลือปลายงวด);=5.1 เป็นการดูว่าอัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือเป็นอย่างไร สินค้าได้รับความนิยมแค่ไหน ถ้าค่านี้มากแสดงว่าบริษัทมีการหมุนเวียนของสต๊อกสินค้าเร็วสั่งวัถุดิบเข้ามาก็แปรรูปขายไปหมด ต้องสั่งlotใหม่เรื่อยๆ ค่าของinventory turnnoverจะบอกว่างวดบัญชีที่ศึกษามีการหมุนเวียนของสินค้ากี่รอบ (แต่ควรจะเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น พวกอสังหากว่าจะปลูกบ้านจนขาย อาจใช้เวลา1-2ปี แต่พวกอาหารอาจใช้เวลาน้อยกว่ามาก รอบจึงอาจจะถี่กว่า)
5.2)ถ้าเป็นค่าต่ำๆ(ต่ำกว่า1ลงมา)แสดงว่ามีการสต๊อกวัตถุดิบไว้มากกว่ายอดขาย อาจเกิดความเสี่ยงที่วัตถุดิบจะด้อยค่า หรือตกรุ่นไปเลย แต่จะใช้ไม่ได้กับพวกที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เช่นน้ำมัน การมีสต๊อกเป็นจำนวนมากอาจกลับกลายเป็นข้อดีเพราะซื้อมาในราคาที่ต่ำ ในขณะที่ราคาตลาดปรับตัวขึ้น
6]inventory days(ระยะเวลาขายสินค้า)=365/อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ;=ระยะเวลาจากนำวัตถุดิบเข้ามาจนแปรรูปขายออกไปเฉลี่ยกี่วัน
7]interest coverage ratio(ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย)=กำไรก่อนหักดอกเบี้ย/ดอกเบี้ย;=ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ถ้านัอยกว่า1แสดงว่ากำไรได้มา จ่ายดอกเบี้ยยังไม่พอ บริษัทแบบนี้ก็ไม่ต้องไปยุ่งมัน
8]payable turnover(อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้)=2*ต้นทุนการขาย/(เจ้าหนี้การค้าต้นงวด+เจ้าหนี้การค้าปลายงวด);=ดูว่าวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อเข้ามาในงวดบัญชีนั้น เราแบ่งจ่ายเงินเจ้าหนี้ไปกี่รอบ ยิ่งน้อยยิ่งดี
9]payable payment period(ระยะเวลาจ่ายหนี้)=365/อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้;=ระยะเวลาที่เจ้าหนี้ให้เครดิตเรา ยิ่งมากยิ่งดีเพราะการเป็นหนี้แบบนี้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ทำให้สามารถเอาเงินมาหมุนก่อนได้
10]fixed asset turnover(อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)=2*รายได้จากการขาย/(ที่ดิน,อาคาร,อุปกรณ์ต้นงวด+ปลายงวด);=เป็นการเปรียบเทียบยอดขายกับสินทรัพย์ถาวร ถ้ามีค่ามากๆจะบอกได้ว่ามีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์สินถาวรสร้างยอดขาย
11]gross profit margin(อัตรากำไรขั้นต้น)=กำไรขั้นต้น/ยอดขาย;=ดูว่ากำไรขั้นต้นเป็นกี่เท่าของยอดขาย
12]net profit margin(อัตรากำไรสุทธิ)=(กำไรขั้นต้น-ดอกเบี้ย-ภาษีจ่าย-ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย)/ยอดขาย;=กำไรสุทธิเป็นกี่เท่าของยอดขาย
13]debt to equity ratio=หนี้สิน/ทุน;=จากสมการสินทรัพย์=หนี้สิน+ทุนถ้าd/e=1แสดงว่าสินทรัพย์100บาทมีหนี้50ทุน50 บริษัทไหนมีค่านี้ต่ำจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าในยามเกิดวิกฤตเศษฐกิจ
เอาแบบคร่าวๆนะครับ ตามความคิดของผม พี่ๆท่านอื่นว่าอย่างไรก็แนะนำเพิ่มเติมครับ(ควรเปรียบเทียบกับอดีตของบริษัทและบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน)
1]current ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)=ทรัพย์สินหมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน; .=ใช้เพื่อดูความคล่องตัวทางการเงินของบริษัท ค่ายิ่งมากยิ่งดี ถ้าค่าที่ได้น้อยกว่า1 แสดงว่ามีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
2]quick ratio(อัตราส่วนหมุนเร็ว)=(เงินสด+เงิน่ลงทุนระยะสั้น+ลูกหนี้การค้า)/หนี้สินหมุนเวียน;=ใช้เพื่อดูสภาพคล่องทางการเงินเหมือนcurrent ratioแต่จะเข้มข้นกว่าเพราะไม่ได้เอาสินค้าคงเหลือมารวมด้วย เพราะบางบริษัทอาจมีสินค้าคงเหลือจำนวนมากที่ตกรุ่น กว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้กินเวลานานหรือไม่ได้ราคา
3]account receivable turnover(อัตราการหมุนของลูกหนี้)= 2*ยอดขาย/(ลูกหนี้การค้าต้นงวด+ลูกหนี้การปลาย);=ค่ายิ่งมากยิ่งดี เป็นการดูว่างวดบัญชีหนึ่งๆยอดขายที่เห็นเป็นการจ่ายหนี้ทั้งหมดกี่รอบ
4]days receive(ระยะเวลาเก็บหนี้)=365/อัตราการหมุนของลูกหนี้;=ใช้คู่กับaccount receivable turnoverเพื่อดูการบริหารลูกหนี้ของบริษัท ควรดูนโยบายของบรษัทก่อนว่าอุตสาหกรรมแบบนี้ควรให้เครดิตลูกหนี้กี่วัน แล้วลองเอามาดูกับบริษัทที่เราสนใจ เช่น คู่แข่งกับเรายอดขายเท่าๆกัน แต่คู่แข่งให้เครดิต30วัน เราให้90วัน กว่าเราจะได้เก็บหนี้ก็คางเหลืองพอดี
5]inventory turnnover(อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ)=2*ต้นทุนการขาย/(สินค้าคงเหลือต้นงวด+สินค้าคงเหลือปลายงวด);=5.1 เป็นการดูว่าอัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือเป็นอย่างไร สินค้าได้รับความนิยมแค่ไหน ถ้าค่านี้มากแสดงว่าบริษัทมีการหมุนเวียนของสต๊อกสินค้าเร็วสั่งวัถุดิบเข้ามาก็แปรรูปขายไปหมด ต้องสั่งlotใหม่เรื่อยๆ ค่าของinventory turnnoverจะบอกว่างวดบัญชีที่ศึกษามีการหมุนเวียนของสินค้ากี่รอบ (แต่ควรจะเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น พวกอสังหากว่าจะปลูกบ้านจนขาย อาจใช้เวลา1-2ปี แต่พวกอาหารอาจใช้เวลาน้อยกว่ามาก รอบจึงอาจจะถี่กว่า)
5.2)ถ้าเป็นค่าต่ำๆ(ต่ำกว่า1ลงมา)แสดงว่ามีการสต๊อกวัตถุดิบไว้มากกว่ายอดขาย อาจเกิดความเสี่ยงที่วัตถุดิบจะด้อยค่า หรือตกรุ่นไปเลย แต่จะใช้ไม่ได้กับพวกที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เช่นน้ำมัน การมีสต๊อกเป็นจำนวนมากอาจกลับกลายเป็นข้อดีเพราะซื้อมาในราคาที่ต่ำ ในขณะที่ราคาตลาดปรับตัวขึ้น
6]inventory days(ระยะเวลาขายสินค้า)=365/อัตรการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ;=ระยะเวลาจากนำวัตถุดิบเข้ามาจนแปรรูปขายออกไปเฉลี่ยกี่วัน
7]interest coverage ratio(ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย)=กำไรก่อนหักดอกเบี้ย/ดอกเบี้ย;=ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ถ้านัอยกว่า1แสดงว่ากำไรได้มา จ่ายดอกเบี้ยยังไม่พอ บริษัทแบบนี้ก็ไม่ต้องไปยุ่งมัน
8]payable turnover(อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้)=2*ต้นทุนการขาย/(เจ้าหนี้การค้าต้นงวด+เจ้าหนี้การค้าปลายงวด);=ดูว่าวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อเข้ามาในงวดบัญชีนั้น เราแบ่งจ่ายเงินเจ้าหนี้ไปกี่รอบ ยิ่งน้อยยิ่งดี
9]payable payment period(ระยะเวลาจ่ายหนี้)=365/อัตรการหมุนเวียนเจ้าหนี้;=ระยะเวลาที่เจ้าหนี้ให้เครดิตเรา ยิ่งมากยิ่งดีเพราะการเป็นหนี้แบบนี้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ทำให้สามารถเอาเงินมาหมุนก่อนได้
10]fixed asset turnover(อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)=2*รายได้จากการขาย/(ที่ดิน,อาคาร,อุปกรณ์ต้นงวด+ปลายงวด);=เป็นการเปรียบเทียบยอดขายกับสินทรัพย์ถาวร ถ้ามีค่ามากๆจะบอกได้ว่ามีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์สินถาวรสร้างยอดขาย
11]gross profit margin(อัตรากำไรขั้นต้น)=กำไรขั้นต้น/ยอดขาย;=ดูว่ากำไรขั้นต้นเป็นกี่เท่าของยอดขาย
12]net profit margin(อัตรากำไรสุทธิ)=(กำไรขั้นต้น-ดอกเบี้ย-ภาษีจ่าย-ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย)/ยอดขาย;=กำไรสุทธิเป็นกี่เท่าของยอดขาย
13]debt to equity ratio=หนี้สิน/ทุน;=จากสมการสินทรัพย์=หนี้สิน+ทุนถ้าd/e=1แสดงว่าสินทรัพย์100บาทมีหนี้50ทุน50 บริษัทไหนมีค่านี้ต่ำจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าในยามเกิดวิกฤตเศษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 10
ถ้าอยากหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมก็แนะนำ 'การวิเคราะห์งบการเงิน' เล่มนี้เป็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย จะออกแนววิชาการหน่อยแต่ไม่ยากครับค่อนข้างครบสำหรับวิธีอ่านงบ และวิเคราะห์พื้นฐาน
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 11
ถ้าไม่อยากซื้อหนังสือ เราแนะนำให้ไปหาใน google เราลองหาดูแล้ว มีเยอะมากจนอ่านไม่ไหวค่ะ
ถ้าอยากซื้อและขี้เกียจหา (เพราะมันเยอะ) แนะนำของ ดร. ภาพร จำชื่อไม่ได้ แต่หาไม่ยากๆ ไป se-ed มีแน่นอน
เราไม่เคยอ่านนะคะ เพราะเราจบทางนี้ แต่เคยเปิดดู เขียนได้ดี เพราะเค้าเป็นระดับโตๆของสมาคมนักบัญชีแห่งประเทศไทย
ถ้าอยากซื้อและขี้เกียจหา (เพราะมันเยอะ) แนะนำของ ดร. ภาพร จำชื่อไม่ได้ แต่หาไม่ยากๆ ไป se-ed มีแน่นอน
เราไม่เคยอ่านนะคะ เพราะเราจบทางนี้ แต่เคยเปิดดู เขียนได้ดี เพราะเค้าเป็นระดับโตๆของสมาคมนักบัญชีแห่งประเทศไทย
.....Give Everything but not Give Up.....
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 13
ขอขอบคุณในความกรุณา ขอทุกท่านครับ
ไม่ทราบว่า ในการคำนวณเพื่อการวิเคราะห์เชิงปริมาณจากงบการเงิน จะใช่้ข้อมูลในส่วนของข้อมูล column ไหนครับ ระหว่าง "งบการเงินรวม" หรือ "งบการเงินเฉพาะกิจการ" หรือทั้ง 2 column เลย
ไม่ทราบว่า ในการคำนวณเพื่อการวิเคราะห์เชิงปริมาณจากงบการเงิน จะใช่้ข้อมูลในส่วนของข้อมูล column ไหนครับ ระหว่าง "งบการเงินรวม" หรือ "งบการเงินเฉพาะกิจการ" หรือทั้ง 2 column เลย
- กระทิงแดง
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 14
ส่วนตัว จะดูจากงบรวมเป็นสำคัญ เพราะมันจะตัด พวกลูกหนี้ หรือยอดขายที่ซื้อกันเองในบริษัทย่อยออกหมด
แต่ถ้าบริษัทหลัก มีธุรกิจ ที่ไม่ค่อยเกี่ยวเนื่องกันมาก เช่น SATTEL ผมก็จะดูงบเฉพาะธุรกิจเหมือนกัน เพื่อที่จะรู้ว่า บริษัทหลักมีควมสามารถในการทำกำไรได้ดีเท่าไร ถ้าบ.ย่อยทำๆด้ดีมากกว่า ก็หาสาเหตุครับ
แต่ถ้าบริษัทหลัก มีธุรกิจ ที่ไม่ค่อยเกี่ยวเนื่องกันมาก เช่น SATTEL ผมก็จะดูงบเฉพาะธุรกิจเหมือนกัน เพื่อที่จะรู้ว่า บริษัทหลักมีควมสามารถในการทำกำไรได้ดีเท่าไร ถ้าบ.ย่อยทำๆด้ดีมากกว่า ก็หาสาเหตุครับ
"The enemy is a very good teacher" Dalai Lama
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 15
แนะนำหนังสือบัญชีให้อ่านก่อนดีกว่าครับ
เอาไปสองเล่นก่อนครับ
อ่านงบการเงิน แบบไม่จบบัญชี แปลมาจาก understanding finanical statements โดย อ.โอฬาร กลีบพุฒ
กะ อ่านงบการเงินให้เป็น โดย ดร.ภาพร เอกอรรถพร
และที่เหลือถ้าสนใจ อ่านง่ายๆก็ของ ดร.ภาพร เนี้ยแหละครับดีๆทั้งนั้น
เอาไปสองเล่นก่อนครับ
อ่านงบการเงิน แบบไม่จบบัญชี แปลมาจาก understanding finanical statements โดย อ.โอฬาร กลีบพุฒ
กะ อ่านงบการเงินให้เป็น โดย ดร.ภาพร เอกอรรถพร
และที่เหลือถ้าสนใจ อ่านง่ายๆก็ของ ดร.ภาพร เนี้ยแหละครับดีๆทั้งนั้น
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 17
โอ้ว แอบดูมานานละคับ จะแอบดูต่อ งิงิ ถ้ามีปัญหาอันใจะมาถามนะคับ
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 18
หายไปนานครับ ไม่ได้ไปไหน ไปทำการบ้าน
เพราะผมคิดว่าการที่จะให้ใครสอบอะไร เราควรจะต้องมีความรู้เองบางเหมือนกัน
ผมไปศึกษาการหามูลค่าหุ้นด้วย วิธีอัตราคิดลดกระแสเงินสดอิสระ (DCF)
ผมมีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับ การคิดค่า WACC(ตัวที่จะนำมาคิดลดกระแสเงินสด)
WACC = [(D/D+E)Kd(1-T)] + [(E/D+E)Ke]
D = มูลค่าของหนี้สิน (หาได้จาก หนี้สินหมุนเวียน+หนี้สินไม่หมุนเวียนในบัญชีงบดุลบริษัท)
E = มูลค่าของส่วนผู้ถือหุ้น (หาได้จาก รวมส่วนของผู้ถือหุ้นในบัญชีงบดุลบริษัท)
T = อัตราภาษีเงินได้ (ผมไม่ทราบว่าจะต้องหาอย่างไร?)
Kd = ต้นทุนหนี้สินของกิจการ (ผมไม่ทราบว่าจะหาอย่างไร?)
Ke = ต้นทุนเงินทุนของบริษัท หาได้จากสูตร:
Ke = Rf + Beta(Rm-Rf)
Rf = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (ใช้อัตราดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี )
ผมไม่ทราบว่าจะหาอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลได้จากไหนครับ?
Rm = อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (ผมใช้ค่า 7.39%)
Beta = หาจากไหนหรือครับ?
รบกวนพี่ๆ แค่นี้ก่อนครับ
ไม่ทราบว่า ที่พิมพ์มาผมเข้าใจนี้ถูกต้องแล้วหรือยังครับ
มีอะไรที่ต้องแก้ไขหรือเข้าใจผิด กรุณาช่วยแน่นำด้วยครับ
ขอขอบคุณกำลังใจและความปรารถนาดีจากทุกๆท่านครับ
เพราะผมคิดว่าการที่จะให้ใครสอบอะไร เราควรจะต้องมีความรู้เองบางเหมือนกัน
ผมไปศึกษาการหามูลค่าหุ้นด้วย วิธีอัตราคิดลดกระแสเงินสดอิสระ (DCF)
ผมมีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับ การคิดค่า WACC(ตัวที่จะนำมาคิดลดกระแสเงินสด)
WACC = [(D/D+E)Kd(1-T)] + [(E/D+E)Ke]
D = มูลค่าของหนี้สิน (หาได้จาก หนี้สินหมุนเวียน+หนี้สินไม่หมุนเวียนในบัญชีงบดุลบริษัท)
E = มูลค่าของส่วนผู้ถือหุ้น (หาได้จาก รวมส่วนของผู้ถือหุ้นในบัญชีงบดุลบริษัท)
T = อัตราภาษีเงินได้ (ผมไม่ทราบว่าจะต้องหาอย่างไร?)
Kd = ต้นทุนหนี้สินของกิจการ (ผมไม่ทราบว่าจะหาอย่างไร?)
Ke = ต้นทุนเงินทุนของบริษัท หาได้จากสูตร:
Ke = Rf + Beta(Rm-Rf)
Rf = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (ใช้อัตราดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี )
ผมไม่ทราบว่าจะหาอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลได้จากไหนครับ?
Rm = อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (ผมใช้ค่า 7.39%)
Beta = หาจากไหนหรือครับ?
รบกวนพี่ๆ แค่นี้ก่อนครับ
ไม่ทราบว่า ที่พิมพ์มาผมเข้าใจนี้ถูกต้องแล้วหรือยังครับ
มีอะไรที่ต้องแก้ไขหรือเข้าใจผิด กรุณาช่วยแน่นำด้วยครับ
ขอขอบคุณกำลังใจและความปรารถนาดีจากทุกๆท่านครับ
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 19
โค้ด: เลือกทั้งหมด
Rf = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (ใช้อัตราดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี )
ผมไม่ทราบว่าจะหาอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลได้จากไหนครับ?
โค้ด: เลือกทั้งหมด
Beta = หาจากไหนหรือครับ?
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 20
firefox Posted: Wed Dec 26, 2007 12:03 pm Post subject:
T = อัตราภาษีเงินได้ (ผมไม่ทราบว่าจะต้องหาอย่างไร?)
;=ถ้าแบบง่ายๆใช้T=0.25ก็ได้ครับ(เสียภาษี25%ของกำไร)แต่ถ้าเอาแบบเวอร์หน่อยก็ตามนี้เลย www.phukettechno.ac.th/article/acb.doc (บางบริษัทได้รับการยกเว้นภาษีอีก ถ้าจะเอาแบบเป๊ะๆผมว่าไม่จำเป็นหรอก)
Kd = ต้นทุนหนี้สินของกิจการ (ผมไม่ทราบว่าจะหาอย่างไร?)
;=เอาแบบง่ายๆก็เรทดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพานิชย์ทั่วไป
Rf = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (ใช้อัตราดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10ปี)ผมไม่ทราบว่าจะหาอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลได้จากไหนครับ?
;= www.thaibma.or.th
Rm = อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (ผมใช้ค่า 7.39%)
;=ผมว่ามันน้อยไปนะ หาRmง่ายๆก็ใช้[ (setปลายปี*100/setต้นปี)-100]ก็ได้
Beta = หาจากไหนหรือครับ?
;=ตามที่พี่ oattyบอกเลยครับ
ไม่ทราบว่า ที่พิมพ์มาผมเข้าใจนี้ถูกต้องแล้วหรือยังครับ
มีอะไรที่ต้องแก้ไขหรือเข้าใจผิด กรุณาช่วยแน่นำด้วยครับ
ขอขอบคุณกำลังใจและความปรารถนาดีจากทุกๆท่านครับ
;=ค่าDควรใช้เฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเท่านั้น (เจ้าหนี้การค้ามันไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย)
ตามความคิดของผม wacc นี่ไม่ต้องไปเป๊ะมากหรอกครับเพราะแต่ละคนหาได้ไม่เท่ากันหรอก มันเป็นแค่ตัวเลขที่มาใช้คิดลด ให้เงินอนาคตเป็นเงินปัจจุบัน เอาตัวอย่างแบบง่ายๆ
สมมุติ
-ทำร้านก๋วยเตียว 100,000บาท
-เงินเราเอง ( E=80%ของร้าน) 80,000บาท(ถ้าไม่ทำร้านก๋วยเตี๋ยวก็คงเอาไปซื้อพันธบัตรได้ดอกร้อยละ5) ( Rf=5%)
-กู้เงินเพื่อนมา( D=20%ของร้าน) 20,000บาท (เพื่อนคิดดอกร้อยละ 15)
-ต้นทุนค่าเสียโอกาศของเงินกู้ 15% (kd)
-ต้นทุนค่าเสียโอกาสเงินเราเอง(เรามาทำร้านเองทั้งที ต้องขอผลตอบแทนมากกว่าพันธัตร ซัก6%ถึงจะพอใจ)จากสูตร Ke = Rf +
-จะได้ke=Rf+ค่าความเสี่ยงที่เปิดร้านเอง=5%+6%=11%
แทนค่าทั้งหมดในสูตร WACC = [(D/D+E)Kd(1-T)] + [(E/D+E)Ke]
WACC=[(0.2)(15%)]+[(0.8)(11%)]
WACCที่ผมพอใจที่จะนำมาคิดลด=11.8%(แปลเป็นไทยว่าผมต้องได้กำไรอย่างต่ำ11.8%ต่อปีผมจึงจะพอใจ คุ้มกับความเสี่ยง จะเห็นได้ว่าไอ้ตัวเลข6%(rick premium)ผมคิดขึ้นมาเอง แต่จาก"Beta(Rm-Rf)"มันก็คือหาค่า(rick premium)โดยเอาค่าความเสี่ยงของบริษัทคูณกับอัตราผลตอบแทนของตลาดนั้นเอง )
โดยส่วนตัวผมว่าไอ้DCFนี้มันยากตอนประมาณการกระแสเงินสด ผมว่าวิธีPEGมันเข้าท่ากว่านะ
T = อัตราภาษีเงินได้ (ผมไม่ทราบว่าจะต้องหาอย่างไร?)
;=ถ้าแบบง่ายๆใช้T=0.25ก็ได้ครับ(เสียภาษี25%ของกำไร)แต่ถ้าเอาแบบเวอร์หน่อยก็ตามนี้เลย www.phukettechno.ac.th/article/acb.doc (บางบริษัทได้รับการยกเว้นภาษีอีก ถ้าจะเอาแบบเป๊ะๆผมว่าไม่จำเป็นหรอก)
Kd = ต้นทุนหนี้สินของกิจการ (ผมไม่ทราบว่าจะหาอย่างไร?)
;=เอาแบบง่ายๆก็เรทดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพานิชย์ทั่วไป
Rf = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (ใช้อัตราดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10ปี)ผมไม่ทราบว่าจะหาอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลได้จากไหนครับ?
;= www.thaibma.or.th
Rm = อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (ผมใช้ค่า 7.39%)
;=ผมว่ามันน้อยไปนะ หาRmง่ายๆก็ใช้[ (setปลายปี*100/setต้นปี)-100]ก็ได้
Beta = หาจากไหนหรือครับ?
;=ตามที่พี่ oattyบอกเลยครับ
ไม่ทราบว่า ที่พิมพ์มาผมเข้าใจนี้ถูกต้องแล้วหรือยังครับ
มีอะไรที่ต้องแก้ไขหรือเข้าใจผิด กรุณาช่วยแน่นำด้วยครับ
ขอขอบคุณกำลังใจและความปรารถนาดีจากทุกๆท่านครับ
;=ค่าDควรใช้เฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเท่านั้น (เจ้าหนี้การค้ามันไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย)
ตามความคิดของผม wacc นี่ไม่ต้องไปเป๊ะมากหรอกครับเพราะแต่ละคนหาได้ไม่เท่ากันหรอก มันเป็นแค่ตัวเลขที่มาใช้คิดลด ให้เงินอนาคตเป็นเงินปัจจุบัน เอาตัวอย่างแบบง่ายๆ
สมมุติ
-ทำร้านก๋วยเตียว 100,000บาท
-เงินเราเอง ( E=80%ของร้าน) 80,000บาท(ถ้าไม่ทำร้านก๋วยเตี๋ยวก็คงเอาไปซื้อพันธบัตรได้ดอกร้อยละ5) ( Rf=5%)
-กู้เงินเพื่อนมา( D=20%ของร้าน) 20,000บาท (เพื่อนคิดดอกร้อยละ 15)
-ต้นทุนค่าเสียโอกาศของเงินกู้ 15% (kd)
-ต้นทุนค่าเสียโอกาสเงินเราเอง(เรามาทำร้านเองทั้งที ต้องขอผลตอบแทนมากกว่าพันธัตร ซัก6%ถึงจะพอใจ)จากสูตร Ke = Rf +
-จะได้ke=Rf+ค่าความเสี่ยงที่เปิดร้านเอง=5%+6%=11%
แทนค่าทั้งหมดในสูตร WACC = [(D/D+E)Kd(1-T)] + [(E/D+E)Ke]
WACC=[(0.2)(15%)]+[(0.8)(11%)]
WACCที่ผมพอใจที่จะนำมาคิดลด=11.8%(แปลเป็นไทยว่าผมต้องได้กำไรอย่างต่ำ11.8%ต่อปีผมจึงจะพอใจ คุ้มกับความเสี่ยง จะเห็นได้ว่าไอ้ตัวเลข6%(rick premium)ผมคิดขึ้นมาเอง แต่จาก"Beta(Rm-Rf)"มันก็คือหาค่า(rick premium)โดยเอาค่าความเสี่ยงของบริษัทคูณกับอัตราผลตอบแทนของตลาดนั้นเอง )
โดยส่วนตัวผมว่าไอ้DCFนี้มันยากตอนประมาณการกระแสเงินสด ผมว่าวิธีPEGมันเข้าท่ากว่านะ
เราจะโต้ เราจะโต
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 21
แก้ไข WACC=[(0.2)(15%)]+[(0.8(11%)]
เราจะโต้ เราจะโต
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 22
ขอบคุณมากครับสำหรับคำอธิบาย
ผมเคยเข้าไปในกระทู้ตะแกรงร่อนของพี่วิบูลย์
จำได้ว่าพี่วิบูลย์จะใช้ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล 30 ปีบวก กับอัตราเงินเฝ้อ
แทนค่า WACC ในการหา Cost of Capital
พี่ๆว่ามัน จะดีกว่าไหม? ครับ
อย่างขอให้พี่ stocksindorm ช่วยกรุณาขยายความเกี่ยวกับการประมาณราคาหุ้นด้วยวิธี PEG ด้วยครับ
ผมเคยเข้าไปในกระทู้ตะแกรงร่อนของพี่วิบูลย์
จำได้ว่าพี่วิบูลย์จะใช้ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล 30 ปีบวก กับอัตราเงินเฝ้อ
แทนค่า WACC ในการหา Cost of Capital
พี่ๆว่ามัน จะดีกว่าไหม? ครับ
อย่างขอให้พี่ stocksindorm ช่วยกรุณาขยายความเกี่ยวกับการประมาณราคาหุ้นด้วยวิธี PEG ด้วยครับ
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 24
ขออนุญาตนำกระทู้นี้ไปเผยแพร่ที่เว็บบอร์ดอื่นนะครับ
ชอบคำตอบของพี่พอใจมากครับ
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ
ชอบคำตอบของพี่พอใจมากครับ
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ
รักในหลวงครับ
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 25
[quote="por_jai"]8) สนใจโมเดล DCF
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 27
ผมขอชื่นชม และ ยอมรับในความพยายามของคุณ por_jai มากๆครับ
และก็ขอยอมรับผมว่ายังมีความพยายามไม่เท่าคุณ por_jai เลย
แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า สมาชิก Thaivi มือใหม่
ทุกคนไม่ได้อยู่ใน"กรุงเทพฯ"นะครับ
แต่สำหรับคนที่อยู่ "บ้านนอก" สิ่งที่เขาสามารถพึ่่งได้ก็มีเพียง "หนังสือ" กับ "net"(ก็ยังโชคดีที่มี net ให้ใช้)
มันก็เหมือนกับ เรื่องเอนทรานซ์ ทำไมในมหาวิทยาลัยดังๆ คณะเด่นๆ
จึงมีสัดส่วนของนักศึกษาที่อยู่ในเมืองหลวงเข้าเรียนได้มากว่านักศึกษาต่างจังหวัด
(ขอโทษนะครับที่นอกเรื่องแล้ว)
แต่ถ้าคุณ por_jai ได้อ่านที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่แรกหรือกระทู้ต่างๆที่เคยโพสไว้ก็จะเห็นผมทำการบ้าน
มาก่อนทุกครั้งครับ (ไม่เคยงอมืองอเท้ารอโอกาส)
ซี่งสิ่งที่ผมต้องการก็เพียงแค่ใหเข้า้มาช่วยกัน confirmสิ่งที่อ่านได้มาว่าเราเข้าใจถูกต้องแล้วหรือยัง และมีสิ่งไหนบ้างที่ควรแก้ไข เพิ่มเติม
ซึ่งมันก็แค่นี้เองครับ....
และผมก็ขอขอบคุณ พี่ stocksindorm มากๆ เลยครับที่ยอมเสียเวลามาให้ความกระจ่างกระผมเรื่อยๆ
และก็ขอยอมรับผมว่ายังมีความพยายามไม่เท่าคุณ por_jai เลย
แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า สมาชิก Thaivi มือใหม่
ทุกคนไม่ได้อยู่ใน"กรุงเทพฯ"นะครับ
แต่สำหรับคนที่อยู่ "บ้านนอก" สิ่งที่เขาสามารถพึ่่งได้ก็มีเพียง "หนังสือ" กับ "net"(ก็ยังโชคดีที่มี net ให้ใช้)
มันก็เหมือนกับ เรื่องเอนทรานซ์ ทำไมในมหาวิทยาลัยดังๆ คณะเด่นๆ
จึงมีสัดส่วนของนักศึกษาที่อยู่ในเมืองหลวงเข้าเรียนได้มากว่านักศึกษาต่างจังหวัด
(ขอโทษนะครับที่นอกเรื่องแล้ว)
แต่ถ้าคุณ por_jai ได้อ่านที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่แรกหรือกระทู้ต่างๆที่เคยโพสไว้ก็จะเห็นผมทำการบ้าน
มาก่อนทุกครั้งครับ (ไม่เคยงอมืองอเท้ารอโอกาส)
ซี่งสิ่งที่ผมต้องการก็เพียงแค่ใหเข้า้มาช่วยกัน confirmสิ่งที่อ่านได้มาว่าเราเข้าใจถูกต้องแล้วหรือยัง และมีสิ่งไหนบ้างที่ควรแก้ไข เพิ่มเติม
ซึ่งมันก็แค่นี้เองครับ....
และผมก็ขอขอบคุณ พี่ stocksindorm มากๆ เลยครับที่ยอมเสียเวลามาให้ความกระจ่างกระผมเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 28
อย่าเรียกผมพี่เลยครับ ผมเพิ่ง25-26 เอง(น่าจะอ่อนกว่าพี่นะ) เพียงแต่เพื่อนๆของผมมันไม่มีใครสนใจเรื่องการลงทุนเลย ทำให้โลกทางnetเท่านั้นที่ผมจะได้แลกเปลี่ยนความคิดได้บ้าง แล้วก็อย่าให้เรื่องที่อยู่ต่างจังหวัดมันเป็นอุปสรรคเลยครับ บางอย่างต้องมั่นใจในตัวเองครับ(ผมก็เด็กต่างจังหวัด)
พอดีผมจบวิศวโยธามา ไอ้เรื่อง งบการเงิน biz model หรือการตลาด การผลิตนี่ ผมต้องเริ่มต้นศึกษาเองทั้งหมด กำลังหัดอยู่ครับ (ยังงูๆปลาๆ)
แต่ก่อนในtviนี่ผมอ่านอย่างเดียว แต่บังเอิญได้ตอบกระทู้ของพี่ firefox แล้วรู้สึกสนุกดี ทำให้รู้สึกว่าการpostมันดีกว่าอ่านอย่างเดียว อะไรที่ผมตอบได้ก็เลยตอบ เดียวผิดถูกอย่างไรให้ผู้รู้เค้ามาแนะนำอีกที(มีอะไรpmมาก็ได้ครับถ้าช่วยตอบได้จะตอบ)
ส่วนเรื่องpegก็ลอง searchดูในเว็บนี้ก็ได้ครับ มีหลายกระทู้เลย หรือไม่ก็ลองไปดูในblogของคุณyoyo ก็ได้ครับพี่แกเขียนไว้เข้าใจง่ายดี(ถือวิสาสะแนะนำ :lol: )
พอดีผมจบวิศวโยธามา ไอ้เรื่อง งบการเงิน biz model หรือการตลาด การผลิตนี่ ผมต้องเริ่มต้นศึกษาเองทั้งหมด กำลังหัดอยู่ครับ (ยังงูๆปลาๆ)
แต่ก่อนในtviนี่ผมอ่านอย่างเดียว แต่บังเอิญได้ตอบกระทู้ของพี่ firefox แล้วรู้สึกสนุกดี ทำให้รู้สึกว่าการpostมันดีกว่าอ่านอย่างเดียว อะไรที่ผมตอบได้ก็เลยตอบ เดียวผิดถูกอย่างไรให้ผู้รู้เค้ามาแนะนำอีกที(มีอะไรpmมาก็ได้ครับถ้าช่วยตอบได้จะตอบ)
ส่วนเรื่องpegก็ลอง searchดูในเว็บนี้ก็ได้ครับ มีหลายกระทู้เลย หรือไม่ก็ลองไปดูในblogของคุณyoyo ก็ได้ครับพี่แกเขียนไว้เข้าใจง่ายดี(ถือวิสาสะแนะนำ :lol: )
เราจะโต้ เราจะโต
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 29
แหม สงขลาไม่ใช่บ้านนอกสักหน่อย เพราะเราก็อยู่สงขลา
ตอนนี้เน้น internet และหนังสือเหมือนกัน แต่ส่วนมากเน้น Net เราว่าคุณพอใจคงไม่ได้ว่าคุณไม่พยายาม งอมืองอเท้าหรอกค่ะ เพราะเราอ่านแล้ว เรารู้สึกว่า อืม เส้นทางการเรียนรู้ยังอยู่อีกไกลแฮะ
แต่อย่างไรก็ตาม เราพยายามวางบันไดการเรียนรู้เรื่องการลงทุนอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เน้นธรรมชาติของตลาด อิอิ เพราะมันวิ่งไร้ทิศทางน่าดู
มีพี่ที่รู้จักบอกว่า กิจกรรมต่างๆที่จัดที่กรุงเทพ ถึงอยู่ตจว. ก็ไม่ได้ลำบากที่จะไปสักหน่อย นั่งเครื่องไปกลับได้ (เพราะเค้าฐานะดี) เราว่า นานาจิตตัง แต่ส่วนตัวจะชั่งน้ำหนักก่อน ถ้าคุ้มแล้วถึงจะไป การลงทุนที่ขาดทุนทันทีเพราะมันใช้ประโยชน์ในอนาคตได้น้อย มันก็ไม่น่าทำ แต่จริงๆ เราว่ากิจกรรมพวกนี้จะทำให้เครือข่ายการลงทุนกว้างขึ้นนะคะ ได้เพื่อน พี่ น้อง คุยเรื่องที่ไม่คุยผ่าน net ได้ เรากะว่า เอาไว้ให้คุยกะคนอื่นรู้เรื่องกว่านี้แล้วจะไป เอาไว้ถึงตอนนั้น คุณ firefox ก็คงเก่งแล้ว สนใจจะไปด้วยกันไหมคะ
ปล. ไม่ได้ชวนเดทน้า
ตอนนี้เน้น internet และหนังสือเหมือนกัน แต่ส่วนมากเน้น Net เราว่าคุณพอใจคงไม่ได้ว่าคุณไม่พยายาม งอมืองอเท้าหรอกค่ะ เพราะเราอ่านแล้ว เรารู้สึกว่า อืม เส้นทางการเรียนรู้ยังอยู่อีกไกลแฮะ
แต่อย่างไรก็ตาม เราพยายามวางบันไดการเรียนรู้เรื่องการลงทุนอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เน้นธรรมชาติของตลาด อิอิ เพราะมันวิ่งไร้ทิศทางน่าดู
มีพี่ที่รู้จักบอกว่า กิจกรรมต่างๆที่จัดที่กรุงเทพ ถึงอยู่ตจว. ก็ไม่ได้ลำบากที่จะไปสักหน่อย นั่งเครื่องไปกลับได้ (เพราะเค้าฐานะดี) เราว่า นานาจิตตัง แต่ส่วนตัวจะชั่งน้ำหนักก่อน ถ้าคุ้มแล้วถึงจะไป การลงทุนที่ขาดทุนทันทีเพราะมันใช้ประโยชน์ในอนาคตได้น้อย มันก็ไม่น่าทำ แต่จริงๆ เราว่ากิจกรรมพวกนี้จะทำให้เครือข่ายการลงทุนกว้างขึ้นนะคะ ได้เพื่อน พี่ น้อง คุยเรื่องที่ไม่คุยผ่าน net ได้ เรากะว่า เอาไว้ให้คุยกะคนอื่นรู้เรื่องกว่านี้แล้วจะไป เอาไว้ถึงตอนนั้น คุณ firefox ก็คงเก่งแล้ว สนใจจะไปด้วยกันไหมคะ
ปล. ไม่ได้ชวนเดทน้า
.....Give Everything but not Give Up.....
- firefox
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 1
กรุณาสอนวิธีการตกปลาให้ผมด้วยครับ
โพสต์ที่ 30
ขอโทษคุณ krisy ที่พาดพิง ผมไม่มีเจตนาที่จะกล่าวหา จังหวัดของเราว่าเป็นบ้านนอกเลยจริง
(เพราะผมก็กลัวถูกเรียกเป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน)
หมอดูบอกผมว่าจะเจอส้มหล่นก่อนปีใหม่ เดี๋ยวผมต้องกลับไปถามหมอดูก่อนว่าจะช้อนดีหรือเปล่า (กลัวช้อนหัก)
(เพราะผมก็กลัวถูกเรียกเป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน)
หมอดูบอกผมว่าจะเจอส้มหล่นก่อนปีใหม่ เดี๋ยวผมต้องกลับไปถามหมอดูก่อนว่าจะช้อนดีหรือเปล่า (กลัวช้อนหัก)