ปัจจัยภายใน - ปัจจัยภายนอก by Invisible hand
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 554
- ผู้ติดตาม: 1
ปัจจัยภายใน - ปัจจัยภายนอก by Invisible hand
โพสต์ที่ 1
http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic
ผมเองให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเรา ได้แก่ เสถียรภาพการเมือง ความเชื่อมั่นกำลังซื้อของผู้บริโภค มากกว่าปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจต่างประเทศมากกว่า เพราะสิ่งที่เกิดจากต่างประเทศแล้วมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศเราจะกระทบตลาดการเงินมากกว่าที่จะกระทบกำลังซื้อหรือความมั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้นสิ่งที่กระทบก็จะเป็น p/e ของหุ้นที่ลดต่ำลงมากกว่ากระทบต่อ EPS ของหุ้น ความตกต่ำของอสังหาฯ และภาคการเงินของสหรัฐอันเนื่องจาก subprime นั้นผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของคนไทยส่วนใหญ่ ผมคิดว่าปีนี้ปัจจัยที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคบ้านเราน่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองและราคาน้ำมัน ในกรณีที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวนั้นก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันและ commodity ต่างๆ จะไม่ขึ้นสูงมากเกินไปซึ่งก็มีผลดีต่อการบริโภคเช่นกัน
การที่ตลาดหุ้นลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วนั้น ผมคิดว่าในรอบนี้เราอาจจะต้องระวังหุ้นส่งออกเพราะอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจสหรัฐ และหุ้น commodity ซึ่งได้แก่ เรือ ปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งผลกำไรจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหากการเมืองในบ้านเราเริ่มมีความแน่นอนและเสถียรภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคก็น่าจะเป็นการบริโภคขั้นพื้นฐานที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงแน่นอน
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้หากดูราคาหุ้นรายตัวหลายๆ ตัวก็อาจจะยังไม่ถึงกับถูกมากนัก แม้หุ้นจะลงมามากอาจจะมีบางตัวยังแพงอยู่หน่อย หลายๆ ตัวเริ่มน่าสนใจ ดังนั้นคงจะต้องเลือกซื้อเป็นตัวๆ ไปครับ หุ้นที่มีปันผลมากกว่า 4% ต่อปีผมคิดว่าน่าสนใจเพราะยังมากกว่าเงินฝากธนาคารอยู่พอสมควรครับ
ปกติวันที่หุ้นลงมากๆ ผมจะชอบดูตาราง top loser แล้วดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่เราเคยอยากซื้อแต่รู้สึกว่ายังแพง แต่ตอนนี้ลงมามากๆ หรือเปล่า อย่างตอนที่เขียนกระทู้นี้หุ้นลง 29 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานบางตัวราคาลดลงถึง 6-8% นับว่าเริ่มน่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ
ผมคิดว่าถ้าหุ้นลงวันละ 25 จุดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะลงได้ถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ ดังนั้นหุ้นลงยังไงถ้าเศรษฐกิจไม่เป็นเหมือนปี 40 ซึ่งในปี 51 นี้ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจจะไปเป็นเหมือนปี 40 ครับ
ผมเองให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเรา ได้แก่ เสถียรภาพการเมือง ความเชื่อมั่นกำลังซื้อของผู้บริโภค มากกว่าปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจต่างประเทศมากกว่า เพราะสิ่งที่เกิดจากต่างประเทศแล้วมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศเราจะกระทบตลาดการเงินมากกว่าที่จะกระทบกำลังซื้อหรือความมั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้นสิ่งที่กระทบก็จะเป็น p/e ของหุ้นที่ลดต่ำลงมากกว่ากระทบต่อ EPS ของหุ้น ความตกต่ำของอสังหาฯ และภาคการเงินของสหรัฐอันเนื่องจาก subprime นั้นผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของคนไทยส่วนใหญ่ ผมคิดว่าปีนี้ปัจจัยที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคบ้านเราน่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองและราคาน้ำมัน ในกรณีที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวนั้นก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันและ commodity ต่างๆ จะไม่ขึ้นสูงมากเกินไปซึ่งก็มีผลดีต่อการบริโภคเช่นกัน
การที่ตลาดหุ้นลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วนั้น ผมคิดว่าในรอบนี้เราอาจจะต้องระวังหุ้นส่งออกเพราะอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจสหรัฐ และหุ้น commodity ซึ่งได้แก่ เรือ ปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งผลกำไรจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหากการเมืองในบ้านเราเริ่มมีความแน่นอนและเสถียรภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคก็น่าจะเป็นการบริโภคขั้นพื้นฐานที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงแน่นอน
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้หากดูราคาหุ้นรายตัวหลายๆ ตัวก็อาจจะยังไม่ถึงกับถูกมากนัก แม้หุ้นจะลงมามากอาจจะมีบางตัวยังแพงอยู่หน่อย หลายๆ ตัวเริ่มน่าสนใจ ดังนั้นคงจะต้องเลือกซื้อเป็นตัวๆ ไปครับ หุ้นที่มีปันผลมากกว่า 4% ต่อปีผมคิดว่าน่าสนใจเพราะยังมากกว่าเงินฝากธนาคารอยู่พอสมควรครับ
ปกติวันที่หุ้นลงมากๆ ผมจะชอบดูตาราง top loser แล้วดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่เราเคยอยากซื้อแต่รู้สึกว่ายังแพง แต่ตอนนี้ลงมามากๆ หรือเปล่า อย่างตอนที่เขียนกระทู้นี้หุ้นลง 29 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานบางตัวราคาลดลงถึง 6-8% นับว่าเริ่มน่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ
ผมคิดว่าถ้าหุ้นลงวันละ 25 จุดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะลงได้ถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ ดังนั้นหุ้นลงยังไงถ้าเศรษฐกิจไม่เป็นเหมือนปี 40 ซึ่งในปี 51 นี้ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจจะไปเป็นเหมือนปี 40 ครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ปัจจัยภายใน - ปัจจัยภายนอก by Invisible hand
โพสต์ที่ 2
อยากจะมาสนับสนุนสักหน่อยว่าคุณ IH แกว่าไว้ได้ดี
หากเรายังเชื่อใน globalization หรือเชื่อว่าโลกนี้มันแบน ก็อาจจะคิดได้ว่า งานนี้เดือดร้อนกันไปทั่วโลกแน่ แต่ขอให้ข้อมูลหน่อยว่า หลายปีมานี้เราโครงสร้างเศรษฐกิจโลกแยกเป็นสองขั่ว(Global decoubling) เราอยู่ในเอเซียค้าขายกันเองมากขึ้น พึ่งพิงUSAน้อยลง ฐานะการคลังเราก็ยังดี ส่งออกก็ยังไปได้ดี แม้ว่าคาดว่าจะลดลงบ้างในปีนี้เพราะเรายังส่งออกไปUSAประมาณ 12-15% เมื่อ10ปีที่แล้วมันมาซื้อของถูกๆจากเอเซีย คราวนี้เอเซียขอเอาคืนบ้างนะ
มาบอกนี่ก็เพื่อให้เตรียมตัวกันไว้ จะได้ไม่ตื่นไปตามอารมณ์ ตอนนี้ต่างชาติต้องขายลูกเดียวแหละ ก็เงินไม่พอใช้นี่หว่า
หากเรายังเชื่อใน globalization หรือเชื่อว่าโลกนี้มันแบน ก็อาจจะคิดได้ว่า งานนี้เดือดร้อนกันไปทั่วโลกแน่ แต่ขอให้ข้อมูลหน่อยว่า หลายปีมานี้เราโครงสร้างเศรษฐกิจโลกแยกเป็นสองขั่ว(Global decoubling) เราอยู่ในเอเซียค้าขายกันเองมากขึ้น พึ่งพิงUSAน้อยลง ฐานะการคลังเราก็ยังดี ส่งออกก็ยังไปได้ดี แม้ว่าคาดว่าจะลดลงบ้างในปีนี้เพราะเรายังส่งออกไปUSAประมาณ 12-15% เมื่อ10ปีที่แล้วมันมาซื้อของถูกๆจากเอเซีย คราวนี้เอเซียขอเอาคืนบ้างนะ
มาบอกนี่ก็เพื่อให้เตรียมตัวกันไว้ จะได้ไม่ตื่นไปตามอารมณ์ ตอนนี้ต่างชาติต้องขายลูกเดียวแหละ ก็เงินไม่พอใช้นี่หว่า
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยภายใน - ปัจจัยภายนอก by Invisible hand
โพสต์ที่ 12
pLS KEEP IN MIND THAT NOT ONLY set decrease more than 10%,the other makets do too,so the comparative P/E is still in the same as it did be4 the plunge.When the investors loose the confidence,they need cheaper n safer.Can do เขียน:http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic
ผมเองให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเรา ได้แก่ เสถียรภาพการเมือง ความเชื่อมั่นกำลังซื้อของผู้บริโภค มากกว่าปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจต่างประเทศมากกว่า เพราะสิ่งที่เกิดจากต่างประเทศแล้วมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศเราจะกระทบตลาดการเงินมากกว่าที่จะกระทบกำลังซื้อหรือความมั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้นสิ่งที่กระทบก็จะเป็น p/e ของหุ้นที่ลดต่ำลงมากกว่ากระทบต่อ EPS ของหุ้น ความตกต่ำของอสังหาฯ และภาคการเงินของสหรัฐอันเนื่องจาก subprime นั้นผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของคนไทยส่วนใหญ่- NOT AGREE,If the US market collapse,all bourses will follow(Pls look back the BLACK MONDAY period,Thai economy was still good,but SET down from 459 to 244,or 47%.That time he sentiment n the confidence were erased.
ผมคิดว่าปีนี้ปัจจัยที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคบ้านเราน่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองและราคาน้ำมัน ในกรณีที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวนั้นก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันและ commodity ต่างๆ จะไม่ขึ้นสูงมากเกินไปซึ่งก็มีผลดีต่อการบริโภคเช่นกัน
การที่ตลาดหุ้นลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วนั้น ผมคิดว่าในรอบนี้เราอาจจะต้องระวังหุ้นส่งออกเพราะอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจสหรัฐ และหุ้น commodity ซึ่งได้แก่ เรือ ปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งผลกำไรจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง-AGREE
ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหากการเมืองในบ้านเราเริ่มมีความแน่นอนและเสถียรภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคก็น่าจะเป็นการบริโภคขั้นพื้นฐานที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงแน่นอน
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้หากดูราคาหุ้นรายตัวหลายๆ ตัวก็อาจจะยังไม่ถึงกับถูกมากนัก แม้หุ้นจะลงมามากอาจจะมีบางตัวยังแพงอยู่หน่อย หลายๆ ตัวเริ่มน่าสนใจ ดังนั้นคงจะต้องเลือกซื้อเป็นตัวๆ ไปครับ หุ้นที่มีปันผลมากกว่า 4% ต่อปีผมคิดว่าน่าสนใจเพราะยังมากกว่าเงินฝากธนาคารอยู่พอสมควรครับ
ปกติวันที่หุ้นลงมากๆ ผมจะชอบดูตาราง top loser แล้วดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่เราเคยอยากซื้อแต่รู้สึกว่ายังแพง แต่ตอนนี้ลงมามากๆ หรือเปล่า อย่างตอนที่เขียนกระทู้นี้หุ้นลง 29 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานบางตัวราคาลดลงถึง 6-8% นับว่าเริ่มน่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ
ผมคิดว่าถ้าหุ้นลงวันละ 25 จุดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะลงได้ถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ ดังนั้นหุ้นลงยังไงถ้าเศรษฐกิจไม่เป็นเหมือนปี 40 ซึ่งในปี 51 นี้ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจจะไปเป็นเหมือนปี 40 ครับ
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน