SC
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 31
นักวิเคราะห์คนนี้พิมพ์ข้อมูลผิดเยอะแยะมากมาย
marketcap ก็ผิด ชื่อคุณพจมานก็ผิด แถมที่ไม่น่าจะผิดเลยก็คือพิมพ์หุ้นผิด จาก SC เป็น SPALI
ดูแล้วแสดงให้เห็นถึงคุณภาพนักวิเคราะห์และค่าย Broker
พิมพ์ผิดแบบนี้ไม่รู้ว่าผ่านออกมาได้ยังไง
marketcap ก็ผิด ชื่อคุณพจมานก็ผิด แถมที่ไม่น่าจะผิดเลยก็คือพิมพ์หุ้นผิด จาก SC เป็น SPALI
ดูแล้วแสดงให้เห็นถึงคุณภาพนักวิเคราะห์และค่าย Broker
พิมพ์ผิดแบบนี้ไม่รู้ว่าผ่านออกมาได้ยังไง
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 35
อสซี แอสเสท เผยแผนปี 51 เดินหน้าพัฒนา 13 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮม-คอนโดฯ ทั้งกลางเมือง-ปริมณฑล ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมเตรียมงบ 1 พันล้านบาท ซื้อที่ดินลุยพัฒนาโครงการ ด้วยจุดขายใหม่ "คอมพลีทลิฟวิ่ง : ชุมชนคุณภาพ" หลังรีแบรนด์กวาดยอดขายปี 50 กว่า 2.6 พันล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงทิศทางและแผนการดำเนินงานในปี 2551 ว่า บริษัทฯมีแผนงานจะเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ และมีโครงการที่ขายต่อเนื่องจากปีที่แล้วอีก 5 โครงการ รวมเป็น 13 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท โดยจะเน้นการพัฒนาทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงควบคู่กันไป ซึ่งจะกระจายออกไปในหลายๆ ทำเลที่มีศักยภาพ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง โดยระดับราคาในส่วนของบ้านเดี่ยวจะเริ่มต้นที่ 4-12 ล้านบาท สำหรับโครงการทาวน์โฮมจะเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท ส่วนโครงการประเภทคอนโดมิเนียมจะเริ่มต้นที่ราคา 1.9 ล้านบาทขึ้นไป แบ่งสัดส่วนโครงการเพื่อขายและเพี่อเช่าในสัดส่วนร้อยละ 75 / 25 ตามลำดับ ซึ่งการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตขยายตัวในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20%
อย่างไรก็ดี ถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใน 3 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวบางกอก บูเลอวาร์ด, โครงการคอนโดมิเนียม เซ็นทริค ซีน และโครงการทาวน์โฮมวิสต้า ปาร์ค ซึ่งตั้งอยู่ในหลายทำเล และพร้อมจะปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และสร้างความแตกต่างของจุดขายที่ชัดเจน ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มของชุมชนที่ดีให้กับลูกบ้าน พร้อมเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้พักอาศัยในโครงการ(CRM) ให้มากขึ้น ภายใต้สแกน “ ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เพื่อวันนี้และวันข้างหน้า” หรือ “Completed Living for Today & Tomorrow” ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการสื่อสารภาพรวมขององค์กร
การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Series Home 2008” ที่สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ของเอสซี แอสเสทฯ หลังจากการรีแบรนด์องค์กรใหม่ ทั้งในส่วนของคอนเซ็ปต์และแบบบ้าน รวมถึงพัฒนาสังคมที่ดีให้กับลูกบ้าน โดยสอดรับกับ 5 จุดขาย ซึ่งครอบคลุมในทุกโครงการ ได้แก่ 1.Practical Design ที่คำนึงถึงหลักในการปรับเปลี่ยนอย่างลงตัวในทุกช่วงของชีวิต 2.Accessible Location โดดเด่นเรื่องทำเล เข้าออกง่ายทุกเส้นทางกลางทำเลศักยภาพ 3.Lively Neighborhood มีความสุขกับสังคมคุณภาพด้วยมิตรภาพที่อบอุ่น 4.Security Care มั่นใจในความปลอดภัย และ 5.Intelligent Home ตอบโจทย์เรื่องเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อชีวิตที่เปี่ยมประสิทธิภาพ
แบบบ้านของโครงการทั้งหมดที่จะพัฒนาในปีนี้เป็น “New Series Home 2008” ซึ่งมีการพัฒนาในด้านดีไซน์ที่เน้นสไตล์โมเดิร์น รีสอร์ท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งในส่วนของทาวน์โฮม ได้มีการพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น โดยขยายกลุ่มลูกค้าไปยังระดับกลางมากยิ่งขึ้น แต่รูปแบบยังคงทันสมัย และ ฟังก์ชั่นเหมือนบ้านเดี่ยว นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาโครงการใหม่ในรูปแบบ “New Community”
เตรียมงบพันล.ซื้อที่ดิน
ในปี 2551 นี้บริษัทได้นำที่ดินที่มีอยู่แล้วในหลายๆทำเลมาพัฒนาโครงการใหม่ และ มีงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินใหม่อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยในในครึ่งปีแรก บริษัทมีแผนงานที่จะเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ คือ 1) โครงการเซ็นทริค ซีน รัชวิภา คอนโดมิเนียมสูง 2 อาคาร จำนวน 700 ยูนิต บนเนื้อที่ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท และ 2) โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา - รามอินทรา บ้านเดี่ยว จำนวน 92 ยูนิต บนเนื้อที่ 26 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท และ
นอกจาก 2 โครงการที่จะเปิดใหม่ บริษัทมีโครงการขายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา, บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์ -พระราม 5, บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ, โครงการทาวน์โฮม วิสต้า ปาร์ค อเวนิว วัชรพล ทาวน์โฮม 2 ชั้น และ โครงการคอนโดมิเนียม เซ็นทริค ซีน สุขุมวิท 64
สำหรับในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนจะพัฒนาโครงการใหม่อีก 6 โครงการ หนึ่งในโครงการดังกล่าว จะเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ในรูปแบบ “New Community” บนถนนเพชรเกษม 81 บนเนื้อที่ 72 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่มีการจัดโซนและผังโครงการออกเป็น 3 ส่วน มีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวรูปแบบใหม่,ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น และ อาคารพาณิชย์ พร้อมสวนสาธารณะ และ คลับเฮ้าส์
นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำการพัฒนาโครงการตามแนวคิดหลัก “Completed Living for Today & Tomorrow” ภายในโครงการยังพัฒนาพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น “Community Mall” โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความแตกต่างให้กับเอสซียิ่งขึ้นไป
โชว์ยอดขาย 2.6 พันล.ในปี50
“ภายหลังจากที่เอสซี แอสเสทฯ ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยในปี 2550 บริษัท สามารถปิดการขายรวม 5 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการทาวน์โฮม 3 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ บริษัททำยอดขายเติบโตสูงขึ้นทุกไตรมาส มียอดขายรวมทั้งปีประมาณ 2,600 ล้านบาท เติบโตจากปี 2549 ประมาณ 60 % ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามจากปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งภายใน และ ภายนอกประเทศ รวมถึงภาวการณ์แข่งขันที่สูงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้มองแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมปี 2551 น่าจะเติบโตไม่มากนัก แต่เอสซี แอสเสท ยังเชื่อมั่น และพร้อมรุกอย่างเต็มที่เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20%” นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าว
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงทิศทางและแผนการดำเนินงานในปี 2551 ว่า บริษัทฯมีแผนงานจะเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ และมีโครงการที่ขายต่อเนื่องจากปีที่แล้วอีก 5 โครงการ รวมเป็น 13 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท โดยจะเน้นการพัฒนาทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงควบคู่กันไป ซึ่งจะกระจายออกไปในหลายๆ ทำเลที่มีศักยภาพ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง โดยระดับราคาในส่วนของบ้านเดี่ยวจะเริ่มต้นที่ 4-12 ล้านบาท สำหรับโครงการทาวน์โฮมจะเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท ส่วนโครงการประเภทคอนโดมิเนียมจะเริ่มต้นที่ราคา 1.9 ล้านบาทขึ้นไป แบ่งสัดส่วนโครงการเพื่อขายและเพี่อเช่าในสัดส่วนร้อยละ 75 / 25 ตามลำดับ ซึ่งการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตขยายตัวในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20%
อย่างไรก็ดี ถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใน 3 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวบางกอก บูเลอวาร์ด, โครงการคอนโดมิเนียม เซ็นทริค ซีน และโครงการทาวน์โฮมวิสต้า ปาร์ค ซึ่งตั้งอยู่ในหลายทำเล และพร้อมจะปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และสร้างความแตกต่างของจุดขายที่ชัดเจน ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มของชุมชนที่ดีให้กับลูกบ้าน พร้อมเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้พักอาศัยในโครงการ(CRM) ให้มากขึ้น ภายใต้สแกน “ ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เพื่อวันนี้และวันข้างหน้า” หรือ “Completed Living for Today & Tomorrow” ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการสื่อสารภาพรวมขององค์กร
การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Series Home 2008” ที่สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ของเอสซี แอสเสทฯ หลังจากการรีแบรนด์องค์กรใหม่ ทั้งในส่วนของคอนเซ็ปต์และแบบบ้าน รวมถึงพัฒนาสังคมที่ดีให้กับลูกบ้าน โดยสอดรับกับ 5 จุดขาย ซึ่งครอบคลุมในทุกโครงการ ได้แก่ 1.Practical Design ที่คำนึงถึงหลักในการปรับเปลี่ยนอย่างลงตัวในทุกช่วงของชีวิต 2.Accessible Location โดดเด่นเรื่องทำเล เข้าออกง่ายทุกเส้นทางกลางทำเลศักยภาพ 3.Lively Neighborhood มีความสุขกับสังคมคุณภาพด้วยมิตรภาพที่อบอุ่น 4.Security Care มั่นใจในความปลอดภัย และ 5.Intelligent Home ตอบโจทย์เรื่องเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อชีวิตที่เปี่ยมประสิทธิภาพ
แบบบ้านของโครงการทั้งหมดที่จะพัฒนาในปีนี้เป็น “New Series Home 2008” ซึ่งมีการพัฒนาในด้านดีไซน์ที่เน้นสไตล์โมเดิร์น รีสอร์ท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งในส่วนของทาวน์โฮม ได้มีการพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น โดยขยายกลุ่มลูกค้าไปยังระดับกลางมากยิ่งขึ้น แต่รูปแบบยังคงทันสมัย และ ฟังก์ชั่นเหมือนบ้านเดี่ยว นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาโครงการใหม่ในรูปแบบ “New Community”
เตรียมงบพันล.ซื้อที่ดิน
ในปี 2551 นี้บริษัทได้นำที่ดินที่มีอยู่แล้วในหลายๆทำเลมาพัฒนาโครงการใหม่ และ มีงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินใหม่อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยในในครึ่งปีแรก บริษัทมีแผนงานที่จะเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ คือ 1) โครงการเซ็นทริค ซีน รัชวิภา คอนโดมิเนียมสูง 2 อาคาร จำนวน 700 ยูนิต บนเนื้อที่ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท และ 2) โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา - รามอินทรา บ้านเดี่ยว จำนวน 92 ยูนิต บนเนื้อที่ 26 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท และ
นอกจาก 2 โครงการที่จะเปิดใหม่ บริษัทมีโครงการขายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา, บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์ -พระราม 5, บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ, โครงการทาวน์โฮม วิสต้า ปาร์ค อเวนิว วัชรพล ทาวน์โฮม 2 ชั้น และ โครงการคอนโดมิเนียม เซ็นทริค ซีน สุขุมวิท 64
สำหรับในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนจะพัฒนาโครงการใหม่อีก 6 โครงการ หนึ่งในโครงการดังกล่าว จะเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ในรูปแบบ “New Community” บนถนนเพชรเกษม 81 บนเนื้อที่ 72 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่มีการจัดโซนและผังโครงการออกเป็น 3 ส่วน มีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวรูปแบบใหม่,ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น และ อาคารพาณิชย์ พร้อมสวนสาธารณะ และ คลับเฮ้าส์
นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำการพัฒนาโครงการตามแนวคิดหลัก “Completed Living for Today & Tomorrow” ภายในโครงการยังพัฒนาพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น “Community Mall” โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความแตกต่างให้กับเอสซียิ่งขึ้นไป
โชว์ยอดขาย 2.6 พันล.ในปี50
“ภายหลังจากที่เอสซี แอสเสทฯ ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยในปี 2550 บริษัท สามารถปิดการขายรวม 5 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการทาวน์โฮม 3 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ บริษัททำยอดขายเติบโตสูงขึ้นทุกไตรมาส มียอดขายรวมทั้งปีประมาณ 2,600 ล้านบาท เติบโตจากปี 2549 ประมาณ 60 % ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามจากปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งภายใน และ ภายนอกประเทศ รวมถึงภาวการณ์แข่งขันที่สูงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้มองแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมปี 2551 น่าจะเติบโตไม่มากนัก แต่เอสซี แอสเสท ยังเชื่อมั่น และพร้อมรุกอย่างเต็มที่เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20%” นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 36
รายได้รวม
46 1,020.05 ราคาทั้งบริษัท 11235
47 1,706.18
48 1,635.19
49 1,986.52
50 9 เดือน ยอดขาย 2570.53 ราคาทั้งบริษัท ณ เวลานี้ 3627.30 ( ณ ราคา 11.30 )
51 บอกว่าจะโตไม่น้อยกว่า 20 % - 30 % เปิดใหม่ 8 โครงการ และโครงการเดิม 5 โครงการ รวม 13 โครงการ ขายได้แล้ว 2600 มูลค่าโครงการ ทั้งหมด 6500 ล้าน และเตรียมซื้อที่ดินอีก 1000 ล้าน
อืม ลุยแหลกเลยนะ sc ไม่เห็นกัว subprime เลยหรือ
46 1,020.05 ราคาทั้งบริษัท 11235
47 1,706.18
48 1,635.19
49 1,986.52
50 9 เดือน ยอดขาย 2570.53 ราคาทั้งบริษัท ณ เวลานี้ 3627.30 ( ณ ราคา 11.30 )
51 บอกว่าจะโตไม่น้อยกว่า 20 % - 30 % เปิดใหม่ 8 โครงการ และโครงการเดิม 5 โครงการ รวม 13 โครงการ ขายได้แล้ว 2600 มูลค่าโครงการ ทั้งหมด 6500 ล้าน และเตรียมซื้อที่ดินอีก 1000 ล้าน
อืม ลุยแหลกเลยนะ sc ไม่เห็นกัว subprime เลยหรือ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 38
ถอดรหัส จากการให้สัมภาษณ์ ยอดขายเฉพาะบ้านในปี 2550 เท่ากับ 2600 ซึ่งงบ 9 เดือน ทำยอดขายบ้านได้ 1878.743 ล้าน ทำให้ยอดขายบ้านใน q4 เท่ากับ 721.257 และค่าเช่า ในงบ 9 เดือนเท่ากับ 582.973 หาร 9 คูณ 12 เท่ากับ 777.297 ล้านบาท
รวมยอดขายในปี 2550 เท่ากับ 2600+777.297 = 3377 ล้าน
เป็นตัวเลขคร่าวๆ ไม่นับ รายได้อื่นๆ
เท่ากับยอดขายโตกว่าปี 2549 ที่ทำได้ 1986.52
สูงถึง 70 %
การให้สัมภาษณ์ว่ามียอดขาย ในปี 2550 เท่ากับ 2600 ล้าน ยังไม่ได้รวมค่าเช่า
ถ้านำค่าเช่า 777 + ยอดขาย 2600 เท่ากับ 3377 ค่าเช่าจะคิดเป็น 23 % ซึ่งบทสัมภาษณ์บอกว่า ประมาณ 25 % ใกล้เคียง
และถ้านำค่าเช่า 777 + ยอดขายปี 2551 3200 เท่ากับ 3977 ค่าเช่าจะคิดเป็น 19.53 % ซึ่งก็ใกล้เคียงกับบทสัมภาษณ์ ที่บอกว่า
1. ยอดขายบ้านในปี 2551 จะโตขึ้น 20 % เป็นอย่างน้อย คือโตจาก 2600 เป็น 3200
2. ค่าเช่าจะคิดเป็นสัดส่วน 20 % จากการยอดขายทั้งหมด
รวมยอดขายในปี 2550 เท่ากับ 2600+777.297 = 3377 ล้าน
เป็นตัวเลขคร่าวๆ ไม่นับ รายได้อื่นๆ
เท่ากับยอดขายโตกว่าปี 2549 ที่ทำได้ 1986.52
สูงถึง 70 %
การให้สัมภาษณ์ว่ามียอดขาย ในปี 2550 เท่ากับ 2600 ล้าน ยังไม่ได้รวมค่าเช่า
ถ้านำค่าเช่า 777 + ยอดขาย 2600 เท่ากับ 3377 ค่าเช่าจะคิดเป็น 23 % ซึ่งบทสัมภาษณ์บอกว่า ประมาณ 25 % ใกล้เคียง
และถ้านำค่าเช่า 777 + ยอดขายปี 2551 3200 เท่ากับ 3977 ค่าเช่าจะคิดเป็น 19.53 % ซึ่งก็ใกล้เคียงกับบทสัมภาษณ์ ที่บอกว่า
1. ยอดขายบ้านในปี 2551 จะโตขึ้น 20 % เป็นอย่างน้อย คือโตจาก 2600 เป็น 3200
2. ค่าเช่าจะคิดเป็นสัดส่วน 20 % จากการยอดขายทั้งหมด
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้พัฒนาโครงการต่อเนื่องอีก 5 โครงการมูลค่า 1.8 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าการเติบโตด้านยอดขายไว้ที่ 4 พันล้านบาท หรือเติบโต 50% และ รับรู้รายได้ 3.2 พันล้านบาท หรือเติบโต 20%
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 39
สรุปว่ายอดขายรวมที่จะประกาศ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ไม่ใช่ 2600 ล้าน
ผมคิดว่ายังไม่รวมค่าเช่า ด้วยเหตุผล
ยอดขายรวม 9 เดือน ก็ซัดเข้าไป 2570 ล้านเข้าไปแล้ว
และค่าเช่า ต่อ q ใน q2 เท่ากับ 192 ใน q3 เท่ากับ 193
และจากบทสัมภาษณ์ ที่บอกว่า ยอดขายบ้านเติบโตทุกไตรมาส ซึ่งยอดขายบ้านในไตรมาส 3 เท่ากับ 726.942 ไตรมาส 4 ก็ต้องสูงกว่า
อิอิ
ผมคิดว่ายังไม่รวมค่าเช่า ด้วยเหตุผล
ยอดขายรวม 9 เดือน ก็ซัดเข้าไป 2570 ล้านเข้าไปแล้ว
และค่าเช่า ต่อ q ใน q2 เท่ากับ 192 ใน q3 เท่ากับ 193
และจากบทสัมภาษณ์ ที่บอกว่า ยอดขายบ้านเติบโตทุกไตรมาส ซึ่งยอดขายบ้านในไตรมาส 3 เท่ากับ 726.942 ไตรมาส 4 ก็ต้องสูงกว่า
อิอิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 40
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)SC เปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายทั้งหมดในปี 2550 อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 60% จากปี 2549 ที่มียอดขาย 1,600 ล้านบาท และบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2551 ไว้จำนวน 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 20% อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทมียอดขายอยู่ในมือ(Backlog)จำนวน 3,200 ล้านบาท
การเติบโตที่เพิ่มขึ้นมาจากการรีแบรนดิ้งองค์กรใหม่ จากนั้นบริษัทมีโครงการที่หลากหลายมากขึ้นหรือฐานโตเยอะทั้งที่ปี 2550 มีปัจจัยเข้ามากระทบพอสมควรและรูปแบบที่เป็นตัวเองของเราลูกค้าให้การตอบรับและนี่เป็นตัวเลขเฉพาะยอดขายโครงการยังไม่รวมรายได้จากค่าเช่า นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าว
การเติบโตที่เพิ่มขึ้นมาจากการรีแบรนดิ้งองค์กรใหม่ จากนั้นบริษัทมีโครงการที่หลากหลายมากขึ้นหรือฐานโตเยอะทั้งที่ปี 2550 มีปัจจัยเข้ามากระทบพอสมควรและรูปแบบที่เป็นตัวเองของเราลูกค้าให้การตอบรับและนี่เป็นตัวเลขเฉพาะยอดขายโครงการยังไม่รวมรายได้จากค่าเช่า นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 149
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 41
การที่ fed ลดดอกอย่างแรง
คงเป็นผลดี กับหุ้นอสังหา
โดยเฉพาะ sc ที่น่าซื้อเก็บเป็นที่สุด
ถ้าคิดถึงปันผลในอนาคตที่จะได้รับ
ในระดับราคาหุ้นไม่เกิน 12 บาท
เปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่จะลดลง
รอลุ้นเหมือนกันครับ
คงเป็นผลดี กับหุ้นอสังหา
โดยเฉพาะ sc ที่น่าซื้อเก็บเป็นที่สุด
ถ้าคิดถึงปันผลในอนาคตที่จะได้รับ
ในระดับราคาหุ้นไม่เกิน 12 บาท
เปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่จะลดลง
รอลุ้นเหมือนกันครับ
เงินทองไม่เข้าใครออกใคร
จะซื้อจะขายหุ้นก็รับผิดชอบกันเองอย่าไปโทษใคร
จะซื้อจะขายหุ้นก็รับผิดชอบกันเองอย่าไปโทษใคร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 42
ราคา 12
กำไร q4 สมมุติ ได้แค่ q3 ก็ได้เท่ากับ .38 กำไรทั้งปี ก็ 1.78 ( น่าจะเกิน .38 เพราะบทสัมภาษณ์ บอกว่าโตทุกไตรมาส )
ราคา 12 นี่ pe 6.74
แถมมี growth 20 %
ปีหน้า กำไร 1.78*1.20 เท่ากับ 2.13
ราคา 12 เหลือ pe 5.63
เมือทุกอย่างเข้าที่ ถ้าตลาด ให้ pe สัก 10 ราคาจะเท่ากับ 17.80
กำไร q4 สมมุติ ได้แค่ q3 ก็ได้เท่ากับ .38 กำไรทั้งปี ก็ 1.78 ( น่าจะเกิน .38 เพราะบทสัมภาษณ์ บอกว่าโตทุกไตรมาส )
ราคา 12 นี่ pe 6.74
แถมมี growth 20 %
ปีหน้า กำไร 1.78*1.20 เท่ากับ 2.13
ราคา 12 เหลือ pe 5.63
เมือทุกอย่างเข้าที่ ถ้าตลาด ให้ pe สัก 10 ราคาจะเท่ากับ 17.80
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 43
สอบถามพี่ๆ ที่ถือตัวนี้มานานแล้วหน่อยครับ
กำไร Q1 Q2 Q3 Q4
0.69 0.33 0.38 .....
กำไร Q1 ปี50 ที่เยอะแตกต่างจาก Q อื่นๆ นี่เกิดจากอะไรเหรอครับ? เป็นเพราะไตรมาสนี้เป็นฤดูกาลที่ขายดีกว่าไตรมาสอื่น หรือเพราะเปิดโครงการใหม่หลายๆ โครงการพร้อมกันในไตรมาสนี้ หรือ...เพราะอะไร?? แล้วพี่ๆ คิดว่า Q1 ปี 51 จะยังรักษาระดับกำไรได้เท่าเดิมหรือเปล่า ถ้าเทียบ Q ต่อ Q
ส่วน Q4 ปีนี้ถ้าไม่ผิดพลาดเป็นไปตามที่พี่เจ๋งคำนวณน่าจะเห็นกำไร 0.40 ขึ้นไป รวมทั้งปีก็ 1.80 ปันผลสัก 40% ก็ประมาณ 0.70 บาท ณ ราคาวันนี้ 11.60 ก็คิดเป็นปันผลประมาณ 6% :ep: ถ้าตลาดให้ PE ที่ 8.5 ก็น่าจะราคา 15.30 บาท แถมปีหน้าเติบโตอีก 20% :ep:
แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังมีจุดที่กังวลอยู่อีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องของคดีที่ยังติดค้างอยู่ เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่า SC จะมีการตั้งสำรองสำหรับหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเปล่าครับในปีนี้ ถ้าตั้งจะตั้งอย่างไร ตู้มเดียวครบถ้วนอย่าง STPI หรือค่อยๆ ทยอยกันสำรอง หรือ..?? ใครคิดเห็นอย่างไรลองแชร์ไอเดียกันดูนะครับอยากทราบความเห็นของหลายๆ คน
กำไร Q1 Q2 Q3 Q4
0.69 0.33 0.38 .....
กำไร Q1 ปี50 ที่เยอะแตกต่างจาก Q อื่นๆ นี่เกิดจากอะไรเหรอครับ? เป็นเพราะไตรมาสนี้เป็นฤดูกาลที่ขายดีกว่าไตรมาสอื่น หรือเพราะเปิดโครงการใหม่หลายๆ โครงการพร้อมกันในไตรมาสนี้ หรือ...เพราะอะไร?? แล้วพี่ๆ คิดว่า Q1 ปี 51 จะยังรักษาระดับกำไรได้เท่าเดิมหรือเปล่า ถ้าเทียบ Q ต่อ Q
ส่วน Q4 ปีนี้ถ้าไม่ผิดพลาดเป็นไปตามที่พี่เจ๋งคำนวณน่าจะเห็นกำไร 0.40 ขึ้นไป รวมทั้งปีก็ 1.80 ปันผลสัก 40% ก็ประมาณ 0.70 บาท ณ ราคาวันนี้ 11.60 ก็คิดเป็นปันผลประมาณ 6% :ep: ถ้าตลาดให้ PE ที่ 8.5 ก็น่าจะราคา 15.30 บาท แถมปีหน้าเติบโตอีก 20% :ep:
แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังมีจุดที่กังวลอยู่อีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องของคดีที่ยังติดค้างอยู่ เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่า SC จะมีการตั้งสำรองสำหรับหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเปล่าครับในปีนี้ ถ้าตั้งจะตั้งอย่างไร ตู้มเดียวครบถ้วนอย่าง STPI หรือค่อยๆ ทยอยกันสำรอง หรือ..?? ใครคิดเห็นอย่างไรลองแชร์ไอเดียกันดูนะครับอยากทราบความเห็นของหลายๆ คน
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 44
โค้ด: เลือกทั้งหมด
แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังมีจุดที่กังวลอยู่อีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องของคดีที่ยังติดค้างอยู่ เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่า SC จะมีการตั้งสำรองสำหรับหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเปล่าครับในปีนี้ ถ้าตั้งจะตั้งอย่างไร ตู้มเดียวครบถ้วนอย่าง STPI หรือค่อยๆ ทยอยกันสำรอง หรือ..?? ใครคิดเห็นอย่างไรลองแชร์ไอเดียกันดูนะครับอยากทราบความเห็นของหลายๆ คน
ส่วนเรื่อง ผลประกอบการณ์เป็น Q นั้น พี่ว่า ดูยากนะ เนื่องจากการทำบ้านขาย มีลักษณะเฉพาะตัว
ให้ดูเป็น ปี ไปเลย ว่าแต่ละปี มีแนวโน้มโตขึ้นอย่างไร Little Boy
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 45
เมื่อก่อนการบันทึกรายได้บันทึกเป็น 3 วิธี คือ
1 บันทึกตามยอดจอง
2 บันทึกตามงวดงานที่ทำเสร็จ
3 บันทึกตามยอดโอน
ต่อไปตลาดหลักทรัพย์ จะให้บันทึกตามยอดโอนเหมือนกันหมด
จะได้ไม่สับสน ดังนั้นช่วงเปลี่ยนผ่านจะมีหลายบริษัทที่มีรายได้
ทางบัญชีลดลง มีใครทราบบ้างไหมว่า SC บันทึกรายได้แบบไหน
อยากทราบครับ
1 บันทึกตามยอดจอง
2 บันทึกตามงวดงานที่ทำเสร็จ
3 บันทึกตามยอดโอน
ต่อไปตลาดหลักทรัพย์ จะให้บันทึกตามยอดโอนเหมือนกันหมด
จะได้ไม่สับสน ดังนั้นช่วงเปลี่ยนผ่านจะมีหลายบริษัทที่มีรายได้
ทางบัญชีลดลง มีใครทราบบ้างไหมว่า SC บันทึกรายได้แบบไหน
อยากทราบครับ
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 46
Jeng เขียน:โค้ด: เลือกทั้งหมด
คดียังไม่ถูกสั่งฟ้องศาล ยังตั้งสำรองไม่ได้เด้อ ส่วนเรื่อง ผลประกอบการณ์เป็น Q นั้น พี่ว่า ดูยากนะ เนื่องจากการทำบ้านขาย มีลักษณะเฉพาะตัว ให้ดูเป็น ปี ไปเลย ว่าแต่ละปี มีแนวโน้มโตขึ้นอย่างไร Little Boy[/quote] ขอบคุณมากครับพี่เจ๋งสำหรับข้อมูล งั้นปีนี้ผมก็มั่นใจได้เลยว่าไม่มีการกันสำรองแน่นอน จนกว่า DSI จะพิจารณาว่าผิดจริงแล้วส่งฟ้องศาล ทำให้ปีนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากระทบปันผล :B
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
SC
โพสต์ที่ 47
โค้ด: เลือกทั้งหมด
Jeng wrote:
[code]
คดียังไม่ถูกสั่งฟ้องศาล ยังตั้งสำรองไม่ได้เด้อ
ส่วนเรื่อง ผลประกอบการณ์เป็น Q นั้น พี่ว่า ดูยากนะ เนื่องจากการทำบ้านขาย มีลักษณะเฉพาะตัว
ให้ดูเป็น ปี ไปเลย ว่าแต่ละปี มีแนวโน้มโตขึ้นอย่างไร Little Boy
ขอบคุณมากครับพี่เจ๋งสำหรับข้อมูล งั้นปีนี้ผมก็มั่นใจได้เลยว่าไม่มีการกันสำรองแน่นอน จนกว่า DSI จะพิจารณาว่าผิดจริงแล้วส่งฟ้องศาล ทำให้ปีนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากระทบปันผล
ต้องรอนักกฎหมาย มาตอบคร๊าบ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 51
การตั้งสำรอง ต้องขอมติคณะกรรมการในบริษัท ครับ เป็นมติพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะหุ้นส่วน-บริษัท
ยังไม่ถูกฟ้องศาล จึงตั้งสำรองเงินไม่ได้ ผมว่าไม่ใช่ประเด็น ครับ
บางทีคณะกรรมการอาจ Conservative มากๆ กลัวถูกฟ้อง เลยตั้งสำรองไว้ก่อน ก้อเป็นได้
คดีอยู่ในศาลชั้นต้น ยังไม่ตั้งสำรอง ก้อได้ เพราะบริษัทอาจสู้ถึงฎีกา ในระหว่างนี้ก้อไม่ต้องจ่ายอะไรหนิครับ ไม่ต้องตั้งสำรองก้อเป็นได้
ศาลชั้นต้น ไปศาลฎีกา ก้อหลายปีอยู่ (ดู case CK กับการทางพิเศษฯ เป็นตัวอย่างได้ครับ)
8) ...
ยังไม่ถูกฟ้องศาล จึงตั้งสำรองเงินไม่ได้ ผมว่าไม่ใช่ประเด็น ครับ
บางทีคณะกรรมการอาจ Conservative มากๆ กลัวถูกฟ้อง เลยตั้งสำรองไว้ก่อน ก้อเป็นได้
คดีอยู่ในศาลชั้นต้น ยังไม่ตั้งสำรอง ก้อได้ เพราะบริษัทอาจสู้ถึงฎีกา ในระหว่างนี้ก้อไม่ต้องจ่ายอะไรหนิครับ ไม่ต้องตั้งสำรองก้อเป็นได้
ศาลชั้นต้น ไปศาลฎีกา ก้อหลายปีอยู่ (ดู case CK กับการทางพิเศษฯ เป็นตัวอย่างได้ครับ)
8) ...
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 53
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment, EIA) หมายถึง
การวิเคราะห์ผลกระทบจากโครงการหรือกิจการประเภทต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมที่อาจจะมีผลกระทบต่อโครงการหรือกิจการนั้น ทั้งในทางบวกและทางลบ เพื่อเป็นการเตรียมการควบคุม ป้องกัน และแก้ไขก่อนการตัดสินใจดำเนินโครงการหรือกิจการนั้นๆ
EIA (Environmental Impact Assessment) คือ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยการประเมิน 4 หัวข้อด้วยกัน คือ
1. การประเมินผลกระทบทางกายภาพ
2. การประเมินผลกระทบทางชีวภาพ
3. คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์
4. คุณค่าคุณภาพชีวิต
พระราช-บัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการปรับปรุงเกี่ยวกับขั้นตอนและกลไกการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมใหม่ และได้มีประกาศกระทรวงฯ กำหนดให้โครงการพัฒนา 22 ประเภท ต้องจัดทำรายงานฯ ก่อนการก่อสร้างดำเนินการ ในแต่ละปีจะมีโครงการที่เสนอรายงานฯ เข้าสู่การพิจารณาประมาณ ปีละ 300 โครงการ หรือประมาณ 900 ฉบับ
และหนึ่งใน 22 ประเภทนั้นก็คือ โครงการบริการชุมชนและที่พักอาศัย ซึ่งเข้าข่ายต้องจัดทำรายงาน EIA ได้แก่
โครงการโรงแรมหรือสถานที่พักตากอากาศที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป
โครงการอยู่อาศัยรวมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป
โครงการอาคารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ฝั่งทะเล ทะเลสาบหรือชายหาดหรือที่อยู่ใกล้หรือในอุทยานแห่งชาติ หรืออุทยานประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นบริเวณที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวลด้อม โดยเป็นอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 236 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งในหลังเดียวกัน ตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป
นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงการจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการพาณิชย์ที่มีจำนวนที่ดินแปลงย่อย
ตั้งแต่ 500 แปลงขึ้นไปหรือเนื้อที่เกินกว่า 100 ไร่
โครงการโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไปหรือ 60 เตียงขึ้นไปแล้วแต่พื้นที่ กลุ่มโครงการประเภทนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เช่น ผลกระทบน้ำเสีย ผลกระทบด้านการจราจร ผลกระทบต่อการใช้ที่ดินในบริเวณใกล้เคียงโดยเฉพาะกรณีโครงการจัดสรรที่ดิน ผลกระทบด้านทัศนียภาพในกรณีที่เป็นการก่อสร้างโรงแรมหรืออาคารที่มีความสูง ซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งกับสถานที่โดยรอบได้
การวิเคราะห์ผลกระทบจากโครงการหรือกิจการประเภทต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมที่อาจจะมีผลกระทบต่อโครงการหรือกิจการนั้น ทั้งในทางบวกและทางลบ เพื่อเป็นการเตรียมการควบคุม ป้องกัน และแก้ไขก่อนการตัดสินใจดำเนินโครงการหรือกิจการนั้นๆ
EIA (Environmental Impact Assessment) คือ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยการประเมิน 4 หัวข้อด้วยกัน คือ
1. การประเมินผลกระทบทางกายภาพ
2. การประเมินผลกระทบทางชีวภาพ
3. คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์
4. คุณค่าคุณภาพชีวิต
พระราช-บัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการปรับปรุงเกี่ยวกับขั้นตอนและกลไกการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมใหม่ และได้มีประกาศกระทรวงฯ กำหนดให้โครงการพัฒนา 22 ประเภท ต้องจัดทำรายงานฯ ก่อนการก่อสร้างดำเนินการ ในแต่ละปีจะมีโครงการที่เสนอรายงานฯ เข้าสู่การพิจารณาประมาณ ปีละ 300 โครงการ หรือประมาณ 900 ฉบับ
และหนึ่งใน 22 ประเภทนั้นก็คือ โครงการบริการชุมชนและที่พักอาศัย ซึ่งเข้าข่ายต้องจัดทำรายงาน EIA ได้แก่
โครงการโรงแรมหรือสถานที่พักตากอากาศที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป
โครงการอยู่อาศัยรวมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป
โครงการอาคารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ฝั่งทะเล ทะเลสาบหรือชายหาดหรือที่อยู่ใกล้หรือในอุทยานแห่งชาติ หรืออุทยานประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นบริเวณที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวลด้อม โดยเป็นอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 236 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งในหลังเดียวกัน ตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป
นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงการจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการพาณิชย์ที่มีจำนวนที่ดินแปลงย่อย
ตั้งแต่ 500 แปลงขึ้นไปหรือเนื้อที่เกินกว่า 100 ไร่
โครงการโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไปหรือ 60 เตียงขึ้นไปแล้วแต่พื้นที่ กลุ่มโครงการประเภทนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เช่น ผลกระทบน้ำเสีย ผลกระทบด้านการจราจร ผลกระทบต่อการใช้ที่ดินในบริเวณใกล้เคียงโดยเฉพาะกรณีโครงการจัดสรรที่ดิน ผลกระทบด้านทัศนียภาพในกรณีที่เป็นการก่อสร้างโรงแรมหรืออาคารที่มีความสูง ซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งกับสถานที่โดยรอบได้
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
SC
โพสต์ที่ 54
[quote="ทองม้วน"]ใจยังคงหวัง SC 9 บาทปลายๆ
LPN AP เละเป็นโจ๊กเลย
เจอ EIA เมื่อปลายปีเข้าไป
ถามผู้รู้ กระทบ SC มากน้อยแค่ไหน
LPN AP เละเป็นโจ๊กเลย
เจอ EIA เมื่อปลายปีเข้าไป
ถามผู้รู้ กระทบ SC มากน้อยแค่ไหน
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด