มายาภาพในตลาดหุ้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
MindTrick
Verified User
โพสต์: 1288
ผู้ติดตาม: 0

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 1

โพสต์

มายาภาพในตลาดหุ้น

   วัฎจักร เศรษฐกิจเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า  ฟื้นตัว  สูงสุด  ถดถอย  ตกต่ำ  มันเกิดไปทุกประเทศทั่วโลก  แต่ทุกครั้งที่เศรษฐกิจตกต่ำ  นักธุรกิจ  นักลงทุน  นับหมื่นนับแสนราย  ต้องตกเป็นเหยื่อความโหดร้ายอย่างแสนสาหัส

   ท่าน เคยสงสัยหรือไม่ว่า  นักลงทุนผู้น่าสงสารเหล่านี้  เขาไม่เคยรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยหรือว่า  เศรษฐกิจได้ขึ้นมาสู่จุดสูงสุดแล้ว  และกำลังจะดำดิ่งลง  ไม่มีสัญญานบอกเหตุ   หรือไม่มีแม้แต่การนึกสังหรณ์ใจบ้างเลยหรือ  ว่าความวิบัติกำลังรออยู่เบื้องหน้า

   ท่าน จำสมัยที่  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยทะยานขึ้นไป  1,700  จุดในต้นปี 2537  ได้หรือไม่  ก่อนหน้านั้นเพียง  1  ปี  ดัชนีอยู่ที่ประมาณ  800  จุดเท่านั้น  แต่ความรู้สึกของนักลงทุนไทย  ตอบรับกับการไหลบ่ามาของเงินลงทุนต่างประเทศอย่างมาก  ปริมาณการซื้อขายที่พุ่งพรวดขึ้นมา  สร้างความมั่นใจให้พวกเรามากยิ่งขึ้น

   แต่แล้วในวันเปิด ทำการแรกของเดือนมกราคม ปี2537  นักลงทุนฝรั่งก็เทขายหุ้นธนาคารอย่างหนักจนปริมาณการซื้อขายพุ่งพรวด  ขณะที่นักลงทุนไทยซื้อสวนในกลุ่มหลักทรัพย์  ด้วยความเชื่อว่าปริมาณซื้อขายที่สูงโดดเด่นย่อมนำกำไรมาให้บริษัทเหล่า นั้น

   เช้าวัน รุ่งขึ้นนักลงทุนฝรั่งกลับเทขายหุ้นกลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์กันแทบเกลี้ยง พอร์ต  ตามมาด้วยการเทขายหุ้นทุกกลุ่มที่ลงทุนในประเทศไทย  ด้วยเขาเห็นว่าหุ้นไทย  ราคาขึ้นไปเกินพื้นฐานมากแล้ว  อัตราส่วนของราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น  ( PE ratio ) ของตลาดขึ้นไปถึง  30 กว่าๆ   กำไรที่วิ่งขึ้นมา  100%  ภายใน 1  ปี  เป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก

   เขา ปล่อยให้นักลงทุนไทยฝันลมๆแล้งๆว่า  อนาคตอันสดใสกำลังรออยู่เบื้องหน้า  พวกเราเองกลับไม่รู้ว่า  เรากำลังยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวัฎจักรที่กำลังจะดิ่งหัวลงแล้ว

   ยุค ที่ดินบูมในสมัย  นายกฯชาติชาย  ชุณหะวัณ  ราคาที่ดินพุ่งขึ้น  จนราคาเปลี่ยนแทบทุกวัน  เมื่อถึงจุดสูงสุด นักลงทุนต่างประเทศมองว่าราคาที่ดินสูงเกินพื้นฐานแล้ว  หากซื้อมาสร้างโรงงานผลิตสินค้า  กำไรที่ได้ยังสู้เอาเงินก้อนนั้นไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยไม่ได้  เขาเลยไม่ซื้อเพิ่มและย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

   แต่ นักลงทุนรายย่อยถูกโฆษณาชวนเชื่อว่า  ราคาที่ดินในเมืองไทยยังต่ำกว่าเมืองนอกมาก  บ้างก็เชื่อว่า  ที่ดินเป็นสินทรัพย์เดียวที่ราคาไม่เคยลดลง  เพราะมีจำนวนจำกัด   แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นตลอดเวลา  เพราะคนเกิดเพิ่มขึ้นทุกวัน  ต้องมีบ้าน  ต้องสร้างครอบครัว

   มายา ภาพบดบังข้อเท็จจริง  นำไปสู่การถดถอยครั้งใหญ่ของราคาที่ดิน  ที่ดินบางแปลง  เวลาผ่านมาแล้วนับสิบปี  ราคายังไม่สามารถกลับไปยืนที่จุดเดิมของวันนั้นได้

   มายา ภาพยังไม่หยุดเท่านั้น  มีคนไปโฆษณาชวนเชื่อว่า  ราคาที่ดินกรุงเทพนั้นอาจจะแพงเกินไปบ้าง  แต่ที่ดินต่างจังหวัด  หัวเมืองใหญ่  เช่น  เพชรบุรี ระยอง  เขาใหญ่    หาดใหญ่  ราคายังต่ำอยู่  เพชรบุรีจะกลายเป็นมหานครใหญ่  มีโรงเรียนนานาชาติ  มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่  มีฝรั่งมาเที่ยวมากมาย  ระยอง ,เขาใหญ่  จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศมาพักผ่อนเดือนละนับแสนคน  หาดใหญ่จะกลายเป็นเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ  นักลงทุนจะแห่กันมาลงทุน  ราคาที่ดินย่อมต้องสูงขึ้นอีกมาก

   เขา ไม่นึกสังหรณ์ใจกันเลยว่า  เมื่อกรุงเทพที่เป็นศูนย์กลางการเงินของประเทศ  เกิดภาวะฟองสบู่แตก  มหันตภัยก็จะคืบคลานออกไป  คล้ายแรงกระเพื่อมของคลื่นจากศูนย์กลางกระจายออกเป็นวงนอก  แล้วความวิบัติก็เกิดขึ้น  ทุกวันเรายังพบเห็นซากอาคารเหล่านั้น ทั้งที่  ระยอง  ชะอำ  หรือ  เขาใหญ่

   เมื่อ เร็วๆนี้  คงจำกันได้ว่าในยุค  นายกฯทักษิณ  ชินวัตร  ดัชนีหุ้นวิ่งฉิวจาก  350  จุดไปถึง  780  จุดในช่วงปี  2546  ถึงต้นปี  2547  คนจำนวนมากเชื่อกันว่า  อัศวินขี่ม้าขาวมากู้เศรษฐกิจไทยแล้ว

   สารพัด โครงการถูกผลักดันออกมา  ประชาชนใช้จ่ายกันอย่างสนุกมือ  การเมืองมั่นคง  เงินลงทุนต่างประเทศไหลมาเทมา  ปริมาณการซื้อขายหุ้นพุ่งเป็นประวัติการณ์วันละ  50,000 - 60,000  ล้านบาท  มายาภาพเหล่านี้เข้ามาบดบังตาของนักลงทุนรายย่อย  ผนวกกับคำยืนยันหนักแน่นของคนในฟากฝั่งรัฐบาลว่า  "ถ้าวันนี้ผมมีเงินสัก  3  พันล้านบาท  ผมจะเข้าไปซื้อหุ้นให้หมด  "

   แต่ แล้วต้นปี  2547  นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ๆก็ขายหุ้นอย่างหนักมือจนเกือบหมดพอร์ต  ทำกำไรได้เป็นเท่าตัว  ปล่อยให้นักลงทุนรายย่อยเบิกตาค้าง  และติดหุ้นราคาสูงในที่สุด

   คุณวิสิฐ  ตันติสุนทร   เลขาธิการคณะกรรมการ  กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ( กบข. ) เคยกล่าวไว้นานมาแล้วว่า  " เวลาจะขายหุ้น  อย่าไปขายที่จุดสูงสุด  ต้องขายในขณะที่ยังมีคนคิดว่าหุ้นจะไปได้อีก  เพราะถ้าทุกคนคิดว่าตอนนี้เป็นราคาสูงสุดแล้ว  ใครจะซื้อหุ้นต่อจากเรา  ต้องรีบขายในขณะที่ยังมีคนอยากซื้ออยู่  ยอมให้เขากำไรบ้าง  แต่เขาต้องไปรับความเสี่ยงเอาเอง"  คำพูดนี้คงจะให้แง่คิดอะไรกับเราได้บ้าง

   มายา ภาพไม่ใช่จะมีแต่ในเมืองไทย  คงจำกันได้ว่าช่วงฟองสบู่อินเตอร์เน็ตแตกที่อเมริกา  ผู้ถือหุ้นของบริษัทออนไลน์ต่างขาดทุนกันย่อยยับ  หุ้นบางตัวราคาลดลงเหลือ 10 - 15%  ของราคาสูงสุด  มูลค่าหุ้นบางตัวก็เหลือแค่ใบกระดาษเปล่า  เพราะบริษัทขาดทุนจนล้มละลาย

   นัก ลงทุนรายย่อยจำนวนมากหลงเชื่อว่า  โลกยุคใหม่จากนี้ไป  ธุรกรรมทุกอย่างจะผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต  เช่น ธุรกรรมทางการเงิน  การสั่งซื้อสินค้า  การส่งข้อมูลข่าวสาร จากนี้ไปพอกเก็ตบุ๊ค  หนังสือพิมพ์กระดาษ อาจสูญพันธุ์  คนจะอ่านข่าว  อ่านนิยายจากหน้าจอคอมพิวเตอร์  ทุกอย่างจะออนไลน์หมด

   แต่นักลงทุนผู้เจนจัดบางคน  เช่น  นายวอร์เร็น  บัฟเฟตต์  เขามีหลักการที่ยึดถือมานานแล้วว่า  อะไรที่ตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจได้  ไม่สามารถคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นได้  ให้ถอยห่างเอาไว้  ตอนแรก ใครต่อใครต่างโจมตี  นายบัฟเฟตต์ว่า  อนุรักษ์นิยมเกินไป  เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี  แต่แล้วเมื่อฟองสบู่แตก  ใครๆก็ยอมรับในหลักการของนายบัฟเฟตต์ว่า  ต้องลงทุนในสิ่งที่ตนเองรู้ข้อมูลอย่างกระจ่างแจ้งแล้วเท่านั้น  ถึงจะช้าไปบ้างแต่มั่นใจได้ว่าปลอดภัย

   เหตุการณ์ต่างๆที่ยกตัวอย่างมา  ให้บทเรียนอะไรกับเราได้บ้าง

   1. วัฎจักรเศรษฐกิจ  หรือวงจรธุรกิจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ  ไม่มีเศรษฐกิจของประเทศใดที่อยู่ในภาวะขาขึ้นตลอดเวลา  โดยไม่ชะลอตัว  หรือ  พักตัว  ความโลภของนักลงทุนจะทำให้เศรษฐกิจเคลื่อนตัวไปเกินจริงเสมอ  พึงสังเกตว่า  เมื่อไหร่  เศรษฐกิจหรือการลงทุนร้อนแรงเกินไปแล้ว ให้ถอยออกห่าง

   2. หลักการเดิมๆยังใช้ได้เสมอ  อย่าไปหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อว่า  โลกยุคใหม่  สินค้าชิ้นนี้หรือหุ้นตัวนี้  จะลบล้างทฤษฎีเก่าๆ  มันจะให้ผลตอบแทนอย่างมโหฬาร  ไม่จำกัด  อย่าไปหลงเชื่อ  แม้คนทั้งตลาดจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน  หรือนักเศรษฐศาสตร์  นักวิเคราะห์หุ้นจะส่งเสียงเชียร์ว่า  เศรษฐกิจจะไปได้อีกไกล  เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา  ทุกคนล้วนถูกมายาภาพบังตามาแล้วทั้งสิ้น  ถ้า PE ของตลาดเกิน 25 , ดอกเบี้ยเงินฝากเกิน 10 % หรือ ดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นมา 100 % ภายใน 1 ปี  พึงระวัง

   3.ช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ  หุ้นหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์  จะผันผวน  ขึ้นลงแรงเสมอ  เพราะ เมื่อนักลงทุนสถาบันรู้สึกว่า  ราคาได้ขึ้นไปเกินพื้นฐานมากแล้ว  เขาจะเทขายครั้งใหญ่  ทำให้หุ้นลงแรง  แต่นักลงทุนรายย่อย หรือคนส่วนใหญ่กลับมองโลกสดใส  จะแห่เข้าไปซื้อเพิ่ม  ยิ่งราคาลงแรง  จะยิ่งซื้อมาก  ราคาจึงตีกลับแรง  นักลงทุนสถาบันก็จะเทขายหุ้นที่เหลือแบบเทหน้าตัก  ราคาจึงดิ่งเหวอีกครั้ง  จนความเชื่อมั่นของรายย่อยเริ่มสั่นคลอน  และเทขายตามในที่สุด  ดังนั้น  ปลายตลาดขาขึ้นจึงเกิดสัญญานขายรูปแบบ Double top หรือ Head and shoulder จากเหตุผลข้างต้นอยู่เสมอ

   ล่า สุด  นายอลัน  กรีนสแปน  อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และ  นายวอร์เรน  บัฟเฟตต์  นักลงทุนชื่อดังได้ออกมาเตือนว่า  เศรษฐกิจสหรัฐฯจะพบกับปัญหา  ถ้าสหรัฐฯยังคงขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง  และมีจำนวนมหาศาลถึงปีละ  860,000  ล้านเหรียญสหรัฐฯคิดเป็น  6.5 %  ของ  GDP  โดยในปี 2549 ยังมีปัญหากระแสการลงทุนขาดดุลถึง 7,300 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 77 ปี

   แต่ คนในวงการค้าหุ้นก็ยังเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะรับมืออยู่  แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร  คุณคิดว่าสหรัฐอเมริกาประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกจะ ประสบปัญหาไหม
   ผู้เขียนมีลางสังหรณ์ว่า  ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ฟองสบู่สหรัฐ  น่าจะแตกโพ๊ะได้เท่ากับตอนนี้

            1.ดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์ทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ทุกวัน
            2.ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงมากเป็นเวลานาน
            3.เศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อนแรง 10 % มาหลายปี  P/Eตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้สูงถึง 40
            4.นักลงทุนอยู่ในภาวะอ่อนไหว  ตลาดหุ้นใหญ่ๆพร้อมจะล่วง  500-1000 จุดได้ ตลอดเวลา
             บางที  การถือหลักอนุรักษ์นิยมไว้บ้าง  น่าจะดี  แล้วตอนนี้มายาภาพบางอย่าง  กำลังบังตาคุณอยู่หรือเปล่าครับ
   
     

โดย บรรยง
วันที่ อังคาร พฤษภาคม 2550
พิมพ์หน้านี้
มาถึงตอนนี้
-ดัชนี ดาวโจนส์ new high รอบแรกเดือน กค.50 และ new high 14100 อีกที พย.50 หลังจากนั้น ลงเหว ดิ่งมาราว 2000จุดแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะกลับตัวได้ในปีนี้

-ตลาดหุ้นจีน peak 6000จุด ตอน ตค.07 แล้วตอนนี้ ดิ่งเหว ลงกว่า 1600จุด

-ตลาดอินเดีย peak 21000 กว่าจุด เมื่อวันที่ 10มค.08 แล้วดิ่งเหว ลงไปกว่า 6000 จุดภายใน 8วัน

ผมเห็นวันที่เค้าเขียนบทความนี้แล้ว ซึ้งเลย...อยากอ่านเกมส์ได้แบบนี้บ้าง

เลยต้องไปต่อที่นี่ครับ http://www.oknation.net/blog/banyong
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 2

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ผมเห็นวันที่เค้าเขียนบทความนี้แล้ว ซึ้งเลย...อยากอ่านเกมส์ได้แบบนี้บ้าง 
เป็นบทความที่เตือนสติได้ดีครับ แต่ถ้าบอกว่าเค๊าอ่านเกมได้ดี ไม่แน่ใจ
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ  ซื้อแห่ตามกัน  ได้เพื่อนไม่ได้ตังค์
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 4

โพสต์

[quote="Oatarm"]ขอบคุณครับ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
ภาพประจำตัวสมาชิก
pavilion
Verified User
โพสต์: 1726
ผู้ติดตาม: 0

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ภาพที่ดูดีเกินความเป็นจริงมันก็พร้อมที่จะหลอกเราได้ทุกเมื่อ อย่าไปหลงกับภาพหลอกหลวง มองภาพตามความเป็นจริง อย่าโลภ  8)
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว  มองย้อนหลังย่อมง่ายเสมอ

แต่ถ้าจะพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันย่อมไม่ง่ายนัก

สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ  นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายก็ออกมาพูดถึงปัญหามาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว  แต่สถานการณ์ก็ยังคงเดินต่อไปได้เรื่อยๆ

ถ้าเราขายหุ้นก่อนเมื่อมีการเตือนครั้งแรกๆ  คงต้องนั่งดูเพื่อนๆกำไรกันอีกมาก  :oops:  

ทุกแห่งย่อมมีปัญหาอยู่บ้าง  ถ้าเกิดวิกฤต  แล้วนำปัญหาเหล่านั้นมาพูด  ย่อมง่าย  แต่ถ้าไม่เกิดวิกฤต  ปัญหาเหล่านั้นก็จะถูกมองข้ามไป

ใครๆก็พูดว่า  สหรัฐแย่แน่ๆ  และแย่นานด้วย  แต่ทำไมหุ้นในสหรัฐถึงยังคงมีคนซื้ออยู่อีก  ทำไมไม่ขายออกให้หมด  ในเมื่อมีทุกคนบอกว่ามีหายนะใหญ่หลวงรออยู่เบื้องหน้า  :?:
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
pavilion
Verified User
โพสต์: 1726
ผู้ติดตาม: 0

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 7

โพสต์

อ่านคอมเม้นท์ของคุณฉัตรชัยแล้วนึกถึงพวกที่ขายของผิดกฎหมายมีคนไปถามว่าทำไมพวกเขายังทำอยู่ ไม่กลัวโดนจับเหรอ พวกเขาก็ตอบกลับไปว่า ก็เพราะว่า อาจจะไม่ ถูกจับนะซิ  :)
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

มายาภาพในตลาดหุ้น

โพสต์ที่ 8

โพสต์

[quote="RONNAPUM"][quote="chatchai"]
ใครๆก็พูดว่า
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
โพสต์โพสต์