กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/03/08

โพสต์ที่ 301

โพสต์

Morning Brief  

ราคาน้ำมันดิบโลกทะลุกว่า 111 เหรียญต่อบาเรล เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 7 วัน ดันราคาทองคำพุ่งแตะ 1,000 เหรียญต่อออนซ์

Posted on Friday, March 14, 2008
น้ำมันดิบนิวยอร์กทำลายสถิติพุ่งทะลุ 111.70 เหรียญสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กสหรัฐฯทำลายสถิติทั้งราคาปิดและราคาสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 7 ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2526 โดยปิดที่บาเรลละ 110.33 เหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 0.50 เหรียญในชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบยังซื้อขายสูงสุดระหว่างวันแตะระดับบาเรลละ 111.70 เหรียญ พุ่งขึ้นถึง 1.78 เหรียญสามารถทำลายสถิติราคาซื้อขายสูงสุดของเมื่อวานนี้ (13 มี.ค. 51) ที่ 110.20 เหรียญลงได้

น้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษพุ่งทำลายสถิติที่ 107.88 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่ในคืนที่ผ่านมาส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบถีบตัวสูงมากถึง 88% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาสอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือที่สร้างสถิติทั้งราคาปิดและราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2531 เช่นกัน ด้วยราคาปิดที่บาเรลละ 107.54 เหรียญ ทำลายสถิติของเมื่อวานนี้ (13 มี.ค.51) ที่ระดับ 106.27 เหรียญลงได้ และเกิดสถิติราคาสูงสุดระหว่างวันครั้งใหม่ที่บาเรลละ 107.88 เหรียญ

เงินเหรียญสหรัฐฯอ่อนค่าเทียบกับเงินยูโรและเยนกดดันราคาน้ำมันพุ่ง
ระดับราคาน้ำมันดิบที่ยังคงพุ่งทำสถิติเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องครั้งใหม่ในคืนที่ผ่านมา หากคิดเฉพาะในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมานั้น ราคาน้ำมันดิบได้ทะยานขึ้นถึง 25% สาเหตุจากค่าเงินเหรียญสหรัฐฯถูกเทขายอย่างหนัก และเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญ ๆ ทั่วโลก พบว่า เงินเหรียญสหรัฐฯอ่อนค่าลงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 13 ปีต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 2 เมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น และอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 9 ปีเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/03/08

โพสต์ที่ 302

โพสต์

ดันแปรรูปขยะทำน้ำมัน

โพสต์ทูเดย์ พลังงาน หนุนแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ดึงงบกองทุนอนุรักษ์ฯ 105 ล้านบาท ช่วยอีกแรง


พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้กำหนดนโยบายส่งเสริมโครงการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ สนับสนุนใน รูปแบบงานวิจัยและสาธิต เพื่อ เป็นโครงการนำร่อง ใช้งบจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 105 ล้านบาท เป็นเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าในสัดส่วน 32% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการ แต่ไม่เกิน 35 ล้านบาท/ราย

แนวทางที่ 2 จูงใจด้านราคา โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ด้วยการกำหนดส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร เป็นเวลา 5 ปี

ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนต้องจัดทำระบบที่มีความสามารถในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ต่ำกว่า 3,500 ลิตร/วัน และน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ต้องมีค่าความร้อน 95% ของค่าความร้อนของน้ำมันดิบ หรือมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าน้ำมันดิบ ดูไบ

สำนักงานนโยบายและแผน พลังงาน (สนพ.) จะออกประกาศเชิญชวนผู้สนใจ จัดทำรายละเอียดโครงการและยื่นข้อเสนอเพื่อขอ รับการสนับสนุน เดือน เม.ย.เป็น ต้นไป

พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ กล่าวว่า การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน เป็นหนึ่งในนโยบายที่กระทรวงพลังงานให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การนำขยะจากเศษอาหารมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพใช้ทดแทนก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) รวมถึงกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงในอัตรา 2.50 บาท/หน่วย เป็นต้น

ในอนาคตกระทรวงพลังงาน มีแผนที่จะสนับสนุนให้นำขยะประเภทพลาสติกที่ยากต่อการกำจัด และก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมมาผลิตเป็นน้ำมัน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ

ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้น 14 ล้านตัน หรือประมาณ 4 หมื่นตัน/วัน และจากการจัดการขยะไม่ว่าจะรีไซเคิล ฝังกลบ หรือเผา ก็ยังมีขยะประเภทพลาสติกตกค้างอยู่ถึง 30% ของขยะที่รอการกำจัด

ขยะพลาสติกที่ตกค้างอยู่ใน กองขยะ สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำมันดิบได้ ขณะนี้มีหลายประเทศที่ เริ่มทำแล้ว

สำหรับประเทศไทย แม้จะมีการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวมานาน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการจริง ดังนั้นกระทรวงพลังงานจะผลักดันให้มีการนำขยะเศษพลาสติกมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันขึ้นอย่างจริงจัง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=227907
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/03/08

โพสต์ที่ 303

โพสต์

บาร์เคลย์ ปรับเพิ่มราคาเฉลี่ยน้ำมันปีนี้ เหตุจากกำลังการผลิตกลุ่มนอกโอเปกลดลง
บาร์เคลย์ สถาบันวาณิชธนกิจชื่อดังของโลกเปิดเผยว่า ได้ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี้ขึ้นไปมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรล หลังจากมีราคาปิดพุ่งทะลุกว่า 100 เหรียญในช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา บาร์เคลย์ชี้ชัดว่า ราคาเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 100.80 เหรียญจากก่อนหน้านี้ที่ประเมินราคาเฉลี่ยไว้ที่บาเรลละ 97.70 เหรียญ สาเหตุที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมาจากกำลังการผลิตน้ำมันดิบของประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปกลดลงเหลือเพียง 50.36 บาเรล จากเดิมที่ 50.67 บาเรล
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/04/08

โพสต์ที่ 304

โพสต์

จ่อขึ้นก๊าซ8บาท/กก.
ก.ค.นี้ทยอยขยับแอลพีจีรถ พลังงานเล็งหุงต้มคิวต่อไป

โพสต์ทูเดย์ พลังงานส่งสัญญาณ ก.ค. ได้ฤกษ์ขึ้นแอลพีจีภาคขนส่งแน่ 7-8 บาท/กก.


นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวถึงนโยบายปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ว่า เตรียมกำหนดให้มีราคา 2 ระบบแน่นอน คือ ราคาภาคขนส่งและภาคครัวเรือน

ราคาภาคขนส่งจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นทันที ตามสัดส่วน การคำนวณส่วนต่างราคานำเข้าแอลพีจีกับราคาคงที่ในประเทศ หากประเมินเบื้องต้นในเดือน เม.ย. ราคานำเข้าจะสูงกว่า 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาในประเทศถูกกำหนดเป็นอัตราคงที่ 320 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้มีส่วนต่างประมาณ 400 เหรียญสหรัฐ เทียบเป็นราคาขายปลีกต้องขึ้นราคาภาคขนส่ง 7-8 บาท/กก.

จุดประสงค์ของการปรับขึ้นราคาภาคขนส่ง เพื่อลดการใช้แอลพีจีในรถยนต์ แล้วหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) แทน เพราะต้องการใช้นโยบายชดเชยราคาแอลพีจีกับภาคครัวเรือนมากกว่า

การปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งก็เพื่อทำให้เห็นความแตกต่างกับราคาเอ็นจีวี จากปัจจุบันแอลพีจีราคา 11 บาท/กก. ถ้าปรับขึ้นราคาจะเป็น 18-19 บาท/กก. เทียบกับเอ็นจีวีขายแค่ 8.50 บาท/กก. แต่การปรับราคาคงไม่ได้ปรับครั้งเดียว ต้องเฉลี่ยกับราคานำเข้าแอลพีจีในแต่ละเดือน ซึ่งมีขึ้นลงตามตลาดโลก คงทยอยปรับมากกว่า นายเมตตา กล่าว

สำหรับการดูแลราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนนั้น นโยบายหลักของกระทรวงพลังงานคือ ดูแลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากเกินไป ดังนั้น จะประเมินสถานการณ์อีกครั้งในเดือน ก.ค. ว่าควรบริหารจัดการอย่างไร

นายเมตตา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านความพร้อมในการส่งเสริมใช้เอ็นจีวีในภาคขนส่ง ซึ่งจะนำมาทดแทนการใช้แอลพีจีนั้น ปตท.ได้เร่งแก้ปัญหาเรื่องจำนวนปั๊มและระบบจัดส่งก๊าซให้แล้ว คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในเดือน ก.ค. เช่นกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถยนต์ยอมเปลี่ยนจากเติมแอลพีจีมาใช้เอ็นจีวีแทน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=231099
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/04/08

โพสต์ที่ 305

โพสต์

IEA ชี้ตลาดน้ำมันดิบโลกใกล้ถึงจุดสมดุลแล้ว
นายโนบูโอะ ทานากะ กรรมการผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) กล่าวว่า ภาวะสมดุลของน้ำมันดิบในโลกกำลังจะเกิดขึ้นหลังมีสัญญาณชัดเจนว่า ความต้งอการใช้ในโลกเริ่มลดลงมาใกล้เคียงกับกำลังการผลิตในขณะนี้ ดังนั้นราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงหลัง นอกจากนี้กรรมการผู้อำนวยการ IEA ยอมรับว่าระดับราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กพุ่งทะลุกว่า 112 เหรียญสหรัฐฯนั้นสูงเกินไป และมองว่า กลุ่มโอเปกควรจะพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/04/08

โพสต์ที่ 306

โพสต์

Morning Brief  

ราคาน้ำมันดิบฉุดไม่อยู่ทะลุกว่า 114 เหรียญสร้างสถิติใหม่ในรอบ 25 ปีของตลาด

Posted on Wednesday, April 16, 2008
น้ำมันดิบนิวยอร์กสูงสุดระหว่างวันแตะ 114.08 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือ พุ่งขึ้นสร้างทั้งสถิติปิด และราคาซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 25 ปี และรอบ 20 ปีตามลำดับ ในคืนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งซื้อขายในตลาดเอเชีย สามารถสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน โดยราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่ตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นแตะ 114.08 เหรียญต่อบาเรล ตามด้วยราคาปิดที่บาเรลละ 113.79 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2%

น้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษสูงสุดระหว่างวันแตะ 111.31 เหรียญ
ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือมีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยพุ่งแตะบาเรลละ 112.08 เหรียญ ก่อนที่จะมาปิดด้วยราคาแพงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 20 ปีที่ 111.31 เหรียญต่อบาเรล สาเหตุสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งให้พุ่งต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ถึง 2 วันติดต่อกัน ก็เพราะค่าเงินเหรียญสหรัฐฯที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เกิดการโยกเม็ดเงินเข้าลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทพืชเกษตร เช่น ข้าวโพด ข้าว แป้งสาลี ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้

โรงกลั่นเม็กซิโกปิดซ่อม ขณะที่โรงกลั่นดัชท์เกิดวินาศกรรม
หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนจะพบว่าราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 79% ในปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น18%ในปีนี้ นอกจากนี้ กำลังการผลิตในบริเวณอ่าวเม็กซิโกทั้งหมด 2 แห่งปิดทำการซ่อมแซมต่อเนื่องถึงเดือนพฤษภาคม ตามด้วยการเกิดวินาศกรรมในโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทรอยัลดัชท์เชลล์ ส่งผลให้กำลังการผลิตหายจากตลาดทันที ในขณะเดียวกันแนวโน้มการใช้น้ำมันดีเซลในจีนแผ่นดินใหญ่ พุ่งขึ้นต่อเนื่อง หลังจากจีนสั่งซื้อน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นถึง 49% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านไป นอกจากนี้ความต้องการใช้น้ำมันในจีนปีนี้ เพิ่มสูงขึ้นถึงเกือบ 5%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/04/08

โพสต์ที่ 307

โพสต์

นายกรัฐมนตรีอังกฤษวอนโอเปกเพิ่มกำลังการผลิตด่วน
นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวเรียกร้องต่อกลุ่มโอเปกว่า ให้เร่งพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของทั้ง 15 ประเทศสมาชิก เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันดิบในแหล่งสำคัญของโลก พุ่งขึ้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งท่าทีของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในครั้งนี้สอดรับกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช อย่างไรก็ตาม หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโอเปกที่ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในกลุ่มและในโลกคือ ซาอุดิอาระเบีย กลับมองปริมาณการผลิตมีเพียงพอ ส่วนกลุ่มโอเปกย้ำชัดเจนไม่เพิ่มการผลิตจนถึงการประชุมในเดือนกันยายน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/04/08

โพสต์ที่ 308

โพสต์

Morning Brief  

น้ำมันดิบตลาดโลกฉุดไม่อยู่ทะลุกว่า 115 เหรียญ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปีเป็นวันที่ 3

Posted on Thursday, April 17, 2008
น้ำมันดิบนิวยอร์กทะลุ 115.21 เหรียญสหรัฐฯ สูงสุดในรอบ 25 ปี
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ พุ่งขึ้นสร้างสถิติทั้งราคาปิดและราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ หรือในรอบ 25 ปี และในรอบ 20 ปีตามลำดับ โดยเป็นการทำลายสถิติต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 3 โดยราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 115.21 เหรียญ ส่วนราคาปิดอยู่ที่ 114.93 เหรียญ หรือ เพิ่มขึ้น 1% ทำลายสถิติเมื่อวานนี้ลงได้

ราคาน้ำมันดิบคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้นมาแล้วถึง 83% จากปี 50
ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์ก สหรัฐฯ ยังทำลายสถิติซื้อขายสูงสุดระหว่างวันในตลาดเอเชียที่บาเรลละ 114.41 เหรียญส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานสูงขึ้นมากกว่า 3 เท่าของราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดน้ำมันดิบจนถึงคืนที่ผ่านมา พบว่า ราคาได้พุ่งขึ้นถึง 83% จากปี 2550 และเพิ่มขึ้นถึง 20% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นถึง 8% ในสัปดาห์นี้

น้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษพุ่งทะลุ 112.73 เหรียญ ทำสถิติใหม่เช่นกัน
ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือ มีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์ที่ลอนดอน พุ่งแตะที่บาเรลละ 112.73 เหรียญ ก่อนที่จะลงมาปิดด้วยราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 20 ปีที่ 112.02 เหรียญต่อบาเรล สาเหตุสำคัญที่กดดันให้ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งพุ่งต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ถึง 3 วันติดต่อกัน นอกจากจะเกิดจากค่าเงินเหรียญสหรัฐฯที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องไม่สิ้นสุดแล้ว การโยกเม็ดเงินเข้าลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และรายงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯที่ชี้ว่า ปริมาณน้ำมันสำรองรายสัปดาห์ลดลงมาก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/04/08

โพสต์ที่ 309

โพสต์

หุ้นพลังงานฟื้นรอแนวต้าน620จุด

 บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด(มหาชน) หรือ ASP ระบุว่า ตลาดหุ้นเอเซียฟื้นตัวราคาน้ำมันหนุนหุ้นพลังงาน โดยแนวโน้ม  SET50 Index  มีโอกาสได้เห็นดัชนี 610 จุด เนื่องจากการฟื้นตัวของกลุ่มธนาคารและพลังงาน
จากสัปดาห์ที่ผ่านมาภาพรวมตลาดหุ้นเอเซียฟื้นตัวดีขึ้น นำโดยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นไต้หวัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.24% และ 4.59% ตามลำดับ SET50 INDEX มีแรงซื้อหลังผ่านวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.34% หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่กลุ่มปิโตรเคมี PTTCH, TOP กลุ่มพลังงาน PTTEP, PTT, BANPU และกลุ่มธนาคาร BBL, KBANK, SCB, KTB โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.57%, 2.38% และ 2.23% ตามลำดับ
ขณะที่ปัจจัยด้านราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวขึ้น จากการคาดการณ์ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัว โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบ  เบรนท์ส่งมอบเดือน มิ.ย. ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คิดเป็น 0.97% สร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ 112.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกมาจากความกังวลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศเตือนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐกำลังอ่อนแอลง และปัญหาแนวโน้มเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นได้อีกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร, เชื้อเพลิง และวัตถุดิบ ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุน ทางจิตวิทยาระยะสั้นจากข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย วางแผนร่วมมือกับนักธุรกิจราว 20 คน เพื่อจัดตั้งกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย จะเป็นผลดีต่อหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร และหุ้นกลุ่มพลังงานมีโอกาสฟื้นตัวตามเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติ เริ่มกลับมาซื้อสุทธิเดือน เม.ย. 324 ล้านบาท ขณะที่เดือน มี.ค. ขายสุทธิ 10.060  ล้านบาท
 สำหรับภาพรวม SET50 INDEX คาดว่าจะปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 610 และ 620 จุด ขณะที่ปัจจัยการเมืองไทยยังเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นไทย จากกระแสคัดค้านพรรคพลังประชาชน กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของกลุ่มแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สรุปสัปดาห์นี้ SET50 INDEX ยังมีโอกาสแกว่งเชิงบวกต่อเนื่องจากสัปดห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวต้านอยู่ที่บริเวณ 620 จุด
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/04/08

โพสต์ที่ 310

โพสต์

น้ำมันจ่อ120ดอลล์

ทันหุ้น-หุ้นพลังงานเฮราคาน้ำมันทุบสถิ ติใหม่ทะลุ  115 ดอลล์ต่อบาร์เรล ฝรั่งแห่ขนเงินเหมาหุ้นบิ๊กแคปกลุ่มพลังงานดันดัชนีตลาดพุ่ง 12  จุด  วอลุ่มทะลักเฉียด 3 หมื่นล้านบาท  ยอดซื้อสุทธิต่างชาติโหมใส่วันเดียว
2.7 พันล้านบาท มองแนวโน้มราคาน้ำมันเดือดจัดจ่อทะลุ 120 ดอลล์ต่อบาร์เรล  ความต้องการใช้ล้นทะลักหลังเข้า
ช่วงฤดูขับขี่ในสหรัฐ  รอบนี้หุ้นพลังงานคืนฟอร์มสดใสกลับเป็นพระเอกตลาดหุ้นอีกครั้ง ขณะที่แต่ละตัวมีอัพไซด์เกิน 20 % โดดใส่พี่เบิ้มได้เต็มกำลัง เลือกลงทุนได้ทั้ง   PTT- PTTEP-PTTAR-TOP-BANPU ได้อานิสงค์เต็มๆ

    ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้(17เม.ย.) ปิดที่ระดับ 845.43 จุด เพิ่มขึ้น 12.05 จุด หรือ 1.45% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 28,146 ล้านบาท ส่วนดัชนีกลุ่มพลังงานปิดที่ระดับ 20446.04 จุด เพิ่มขึ้น 609.96 จุด หรือ 3.08% โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 2,756 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยขายสุทธิ 2,747 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 9.59 ล้านบาท
    นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีโอกาสปรับตัวไปแตะที่ระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ จากล่าสุดที่ขึ้นไปทำสถิติที่  115.07  ดอลลาร์ห์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการในการใช้ที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ฤดูการขับขี่ของสหรัฐ และการตรึงกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
   
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/04/08

โพสต์ที่ 311

โพสต์

Morning Brief  

น้ำมันดิบตลาดโลกทำลายสถิติซื้อขายระหว่างวันต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ทะลุกว่า 115 เหรียญ

Posted on Friday, April 18, 2008
น้ำมันดิบนิวยอร์กสร้างสถิติระหว่างวันใหม่ทะลุ 115.54 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือ พุ่งขึ้นสร้างทั้งสถิติราคาซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ หรือในรอบ 25 ปี และ 20 ปีตามลำดับ เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยราคาซื้อขายพุ่งทะลุผ่าน 115 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรลอย่างต่อเนื่อง ที่ตลาดนิวยอร์กราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันพุ่งขึ้นแตะ 115.54 เหรียญต่อบาเรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่ 113.38 เหรียญ

กูรูอุตสาหกรรมน้ำมันชี้ราคาน้ำมันมีโอกาสแตะ 150 เหรียญ
นายบูน พิกเค้นส์ มหาเศรษฐีนักลงทุนสินค้าพลังงานชื่อดังของโลกและยังเป็นประธานบริษัท บีพี แคปปิตัล แมนเนจเมนท์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยเฉพาะราคาที่ตลาดนิวยอร์ก สหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงระดับบาเรลละ 125 เหรียญ และในที่สุดจะพุ่งขึ้นไปแตะบาเรลละ 150 เหรียญ จากปัจจัยที่ว่า กำลังการผลิตน้ำมันดิบในโลกไม่สามารถสูงเกินกว่าวันละ 85 ล้านบาเรลจากนี้ไป เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหลุมขุดเจาะน้ำมันดิบแห่งใหม่ไม่ทันกับปริมาณน้ำมันดิบในหลุมขุดเจาะเดิมที่ร่อยหรอลงในปัจจุบัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/04/08

โพสต์ที่ 312

โพสต์

TNITY แนะ ถึงเวลาเก็บหุ้น PTTEP, BANPU, PTT, TOP และ AI เพราะเริ่มมีความนิยมอีกครั้ง

Posted on Monday, April 21, 2008

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) ได้ออกงานวิจัยล่าสุด ในหัวข้อ " Trinity Strategy Roadmap " ระบุว่า หุ้นไทยจะปรับฐานขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นตัวขับเคลื่อน และหุ้นกลุ่มธนาคาร กับหุ้นกลุ่มที่พึงพิงการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ (domestic plays) ต่าง ๆ ไม่ได้ทรุดตัวกลับที่เก่า แต่มีการสร้างฐาน หรือปรับฐานชั่วคราวได้

และในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเริ่มซบเซาตั้งแต่ปลายปี ก่อน และลงหนักในต้นปีนี้ เริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นมาอย่างน่าพอใจ เนื่องจากเหตุผล 3 ประการ ด้วยกัน

ประการแรก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ราคาหุ้นและดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามกัน ทั้งที่ พลังงานถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์เช่นเดียวกัน ทำให้เห็นได้ว่า เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น

ประการที่สอง หุ้นพลังงานถือเป็นหุ้นปลอดภัยจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัทในกลุ่มพลังงาน และสินค้า commodity เป็นการค้าระดับโลก ทำให้การค้าขายจะอิงกับอุปสงค์และอุปทานเป็นหลัก การเมืองอาจสามารถเข้าแทรกได้ แต่ก็จำกัดแค่บางช่วงเวลา หรือแค่ระดับนโยบายเท่านั้น แต่ทิศทางที่เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจะไม่มีผลกระทบ

และประการที่สาม การที่ราคาหุ้นปรับสูงขึ้น ย่อมเกิดจากการคาดหมายผลดำเนินงานไตรมาสแรกออกมาดี ซึ่งก็สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเช่นเดียวกัน โดย TNITY คาดว่า บริษัทที่ผลิตสินค้าเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง คือ น้ำมัน ถ่านหิน โรงกลั่น จะมีผลประกอบการที่ยังดีอยู่ มีแค่บางบริษัทในกลุ่มพลังงานที่อยู่ในฐานะที่ต้องเผชิญภาวะต้นทุนพลังงานสูง เพราะใช้ถ่านหิน และน้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ได้แก่ ธุรกิจไฟฟ้า ที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้า เป็นไปในรูปแบบการรับผิดชอบค่าเชื้อเพลิงเอง ไม่ได้ผลักภาระไปให้ กฟผ. อย่างในกรณีของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (SPP) ของ GLOW หรือธุรกิจปิโตรเคมี ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเป็นวัตถุดิบในการผลิต ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและกำไรลดลง

ทั้งนี้ TNITY ประเมินว่า PTTEP จะมีกำไรไตรมาสแรกปีนี้ เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 50% เป็น 9,713 ล้านบาท ส่วน BANPU เติบโตเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 85% เป็น 2,208 ล้านบาท แต่คาดเป็นกำไรจากการดำเนินงานจริง 2,022 ล้านบาท ขณะที่ AI เติบโตเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน ถึง 317% เป็นกำไร 79 ล้านบาท

สำหรับ TOP คาดว่าผลประกอบการไตรมาสแรก จะลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.8% เป็น 5,370 ล้านบาท ก่อนทะยานทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในไตรมาส 2 ด้วยอัตราขยายตัว 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 7,300 ล้านบาท และมีผลดีต่อเนื่องให้ PTT มีกำไรสวยตามไป จากส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทลูก

สำหรับแนวโน้มผลดำเนินงานทั้งปี TNITY ประเมินว่า PTTEP จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 50% จากปีที่ผ่านมา เป็น 42,943 ล้านบาท และ BANPU เติบโต 23% จากปีที่ผ่านมา เป็น 8,193 ล้านบาท ส่วน AI เติบโต 96% จากปีที่ผ่านมา เป็น 412 ล้านบาท

ดังนั้น เมื่อพิจารณากลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานสัปดาห์นี้ TNITY เชื่อว่า PTTEP, BANPU, PTT, TOP และ AI จะเป็นหุ้นเด่น

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/04/08

โพสต์ที่ 313

โพสต์

Morning Brief  

ซาอุดิอาระเบียย้ำชัดไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ ด้านลิเบียเชื่อเศรษฐกิจโลกรับมือราคาน้ำมัน 120 เหรียญต่อบาเรลได้

Posted on Monday, April 21, 2008
น้ำมันดิบนิวยอร์กสูงสุดระหว่างวันทะลุ 117 เหรียญ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ พุ่งขึ้นสร้างทั้งสถิติราคาซื้อขายสูงสุเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ หรือในรอบ 25 ปี และในรอบ 20 ปีตามลำดับ เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยมีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่ตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นแตะ 117 เหรียญต่อบาเรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือพุ่งขึ้นสร้างสถิติซื้อขายสูงสุดระหว่างวันครั้งใหม่ที่บาเรลละ 114.32 เหรียญเช่นเดียวกัน

ราคาปิดน้ำมันดิบทั้งไนเมกซ์และเบรนท์พุ่ง 85% จากปี 50
ราคาปิดของน้ำมันดิบของทั้ง 2 ตลาดสำคัญในวันศุกร์ สามารถสร้างสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปีและ 20 ปีตามลำดับ โดยราคาปิดไนเม็กซ์ปิดที่บาเรลละ 116.69 เหรียญ ส่วนราคาปิดของเบรนท์อังกฤษ แตะที่บาเรลละ 113.92 เหรียญ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่ผ่านไปพุ่งขึ้น 6% กลายเป็นสถิติที่ทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 หรือในรอบเกือบ 14 เดือน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นมากถึง 85% นับตั้งแต่ในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

ประธานกลุ่มโอเปกชี้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิต
นายชาคิป เคอิล ประธานกลุ่มโอเปก และรัฐมนตรีน้ำมันอัลจีเรีย ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ และถ้าหากมีการเพิ่มกำลังการผลิตจริง ซึ่งโอกาสนั้นเป็นไปได้น้อยมาก ก็แทบจะไม่มีผลในทางบวกกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เนื่องจากโอเปกเชื่อว่าขณะนี้มีความสมดุลเกิดขึ้นระหว่างกำลังการผลิตและความต้องการใช้ทั่วโลก สอดรับกับนายอับดุลลาห์ เอลบาดรี เลขาธิการโอเปกที่ชี้ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯที่อ่อนค่า และการเก็งกำไร เป็นสาเหตุที่ผลักดันให้น้ำมันมีราคาแพง

รมต.น้ำมันซาอุดิอาระเบียชี้เพิ่มกำลังการผลิตไม่ช่วยให้ราคาลดลง
นายอาลิ อัล ไนอามี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในกลุ่มโอเปกและของโลกกล่าวว่า จนถึงขณะนี้ไม่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบแต่อย่างใด เนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิตตามการเรียกร้องของชาติต่าง ๆ ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนี้ลดลงแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้น การเพิ่มกำลังการผลิตอย่างมากมาย โดยที่ไม่ได้อยู่บนความจำเป็นหรือต้องการอย่างแท้จริงนั้น กลับกลายเป็นการทำลายเสถียรภาพตลาดน้ำมันดิบโลก

ลิเบียมองเศรษฐกิจโลกรับมือน้ำมันดิบพุ่งแตะ 120 เหรียญได้
นายโชคริ กราเน็ม ประธานบริษัทลิเบียเนชั่นแนลออยล์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกสามารถรองรับการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับบาเรลละ 120 เหรียญสหรัฐภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้นายกราเน็มยังสนับสนุนกลุ่มโอเปกว่า โอเปกไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคาน้ำมันดิบแต่อย่างใด แต่ตลาดซื้อขายส่งมอบน้ำมันดิบล่วงหน้าต่างหากที่เป็นผู้กำหนดราคาในทุกวันนี้ และขอยืนยันว่าปริมาณน้ำมันดิบมีอยู่อย่างเพียงพอ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/04/08

โพสต์ที่ 314

โพสต์

กฟผ.รับมืออุณหภูมิร้อนสุดแห่งปี [23 เม.ย. 51 - 04:26]

นายพิบูลย์ บัวแช่ม ผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่มีอุณหภูมิร้อนที่สุดของปี ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) อยู่ที่ระดับ 22,568 เมกะวัตต์ เป็นระดับที่สูงสุดในขณะนี้ แต่ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเป้าหมายไฟพีคที่กำหนดไว้ในปีนี้จะอยู่ที่ 23,300 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าระดับพีคน่าจะเกิดขึ้นในเดือน เม.ย.นี้

ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา ระดับพีคเกิดขึ้นในวันที่ 24 เม.ย. 50 ที่ระดับ 22,586 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงกับตัวเลขไฟพีคในปัจจุบัน ซึ่งต้องยอมรับว่าอุณหภูมิของประเทศเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ กฟผ.ต้องมีความพร้อมในการเตรียมโรงไฟฟ้า เดินเครื่องเฉพาะเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนต่ำ เช่น น้ำ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ส่วนน้ำมันเตาจะพยายามใช้ให้น้อยที่สุด แต่ในช่วงวันที่ 2-11 เม.ย. แหล่งก๊าซธรรมชาติในพม่ามีปัญหาทั้งแหล่งเยตากุน และแหล่งอาทิตย์ ไม่สามารถจัดส่งให้ได้ ทำให้ กฟผ.ต้องหันมาใช้น้ำมันเตามากถึง 200 ล้านลิตร จากปกติช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.ของทุกปีจะใช้เพียง 40-50 ล้านลิตร

นอกจากนี้ ในปีนี้ต้องยอมรับว่าปริมาณน้ำในเขื่อนน้อยกว่าปีก่อน เนื่อง จากต้องจัดสรรน้ำไปให้ภาคเกษตรไว้ใช้เพาะปลูกมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาก๊าซธรรมชาติแหล่งอาทิตย์ ยังจัดส่งไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้ต้องหันมาใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น ในช่วงสงกรานต์ 9 วัน 200 ล้านลิตร แต่ช่วงนี้เริ่มทยอยจัดส่งมาให้แล้ว จึงลดปริมาณการใช้น้ำมันเตาลงเหลือ 40-50 ล้านลิตร อย่างไรก็ตาม แม้การผลิตไฟฟ้าต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันเตาแต่กระทรวงพลังงานได้ให้นโยบายมาชัดเจนว่า จะไม่ผลักภาระไปยังค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ไปให้ประชาชนรับผิดชอบ เนื่องจากการจัดส่งก๊าซธรรมชาติที่ล่าช้าตามเงื่อนไขทางผู้รับสัมปทานจะต้องเข้ามาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมกับรับผิดชอบ.
http://www.thairath.co.th/news.php?sect ... tent=87116
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/04/08

โพสต์ที่ 315

โพสต์

ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม                                                            
         ประเด็นข่าว : ปริมาณสำรองถ่านหินโรงไฟฟ้าในจีนลดลงเหลือ 12 วันจากระดับปกติที่ 15 วัน (Xinhua News Agency)

         ความเห็นและคำแนะนำ  : ประเด็นในเรื่องการลดลงของปริมาณสำรองถ่านหินของโรงไฟฟ้าในจีนคาดจะทำให้ความกังวลเกี่ยวกับภาวการณ์ขาดแคลนถ่านหินในตลาดโลกตึงตัวขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากจีนยังคงเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลจากการเป็นผู้บริโภคถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของโลกและที่ผ่านมาการบริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ทำให้อุปทานถ่านหินที่เคยส่งออกสู่ตลาดโลกลดลงเรื่อยๆโดย SCIBS ประเมินว่าในปี 2551 จีนน่าจะมีแนวโน้มเป็น Net Importer จากที่ส่งออกลดจาก 25 ล้านตันในปี 2549 มาเป็น 2.18 ล้านตันในปี 2550 ทั้งนี้ ในระยะสั้นประเด็นดังกล่าวคาดจะทำให้ราคาถ่านหิน BJI พุ่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นถ่านหินอย่าง LANNA (ซื้อ ราคาเหมาะสม 21.50 บาท) และ BANPU (ถือ ราคาเหมาะสม 492 บาท)

         โดยบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด ประจำวันที่ 24 เมษายน 2551
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/04/08

โพสต์ที่ 316

โพสต์

ราคาปิดน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์

Posted on Thursday, April 24, 2008
ราคาปิดน้ำมันดิบทั้ง 2 ตลาดทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์
แม้ว่าราคาน้ำมันดิบซื้อขายสูงสุดระหว่างวันในคืนที่ผ่านมาจะไม่สร้างสถิติใหม่ แต่ราคาปิดของตลาดน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือ ยังคงสร้างสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 25 ปีและ 20 ปีตามลำดับ โดยราคาปิดที่ตลาดไนเม็กซ์ปิดที่ 118.30 เหรียญต่อบาเรล ส่วนราคาปิดน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือก็สร้างสถิติใหม่ที่บาเรลละ 116.46 เหรียญเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีส่วนต่างที่ทะยานเพิ่มสูงขึ้นนับจากต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมาสูงถึง 24% และหากพิจารณาจากราคาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็จะทะยานขึ้นถึง 88% และพุ่งขึ้นกว่า 5 เท่าในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา

เมอร์ริลลินช์ชี้ได้เห็นแน่ราคาน้ำมันดิบ 150 เหรียญต่อบาเรลปีนี้
นายฟรานซิสโก้ แบรนช์ หัวหน้าสายงานวิจัยตลาดลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ริลลินช์ เปิดเผยเกี่ยวกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันดิบจากประเทศเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดียวในคืนที่ผ่านมาว่า 4 ประเทศสำคัญได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย และตะวันออกกลาง จะมีความต้องการใช้น้ำมันดิบรวมกันมากกว่าสหรัฐฯในปีนี้ นายแบรนช์ชี้ว่ามีโอกาสสูงมากที่ราคาน้ำมันดิบส่งมอบล่วงหน้าจะพุ่งขึ้นทำลายสถิติที่บาเรลละ 150 เหรียญในปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/04/08

โพสต์ที่ 317

โพสต์

บีพี เผยเหตุประท้วงที่โรงกลั่นสก๊อตแลนด์ยืดเยื้อ

บริษัท บริติช ปิโตรเลียม (BP) เปิดเผยว่า การประท้วงหยุดงานของแรงงานผลิตน้ำมันที่โรงกลั่นน้ำมันในเมืองเกรนจ์เมาท์ ที่มีขึ้นมาแล้ว 3 วัน และจะต่อเนื่องไปในวันสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบที่ส่งผ่านท่อฟอร์ตี้ส์ หรือท่อส่งน้ำมันดิบทะเลเหนือได้ ซึ่งจะกดดันให้ปริมาณน้ำมันดิบในบริเวณดังกล่าวลดลงอย่างมาก หรือประมาณ 2 แสนบาร์เรลต่อวันที่อาจเริ่มทยอยหายออกจากตลาด หากการประท้วงเกี่ยวกับการตกลงเรื่องเงินบำนาญไม่สามารถหาข้อยุติได้ทันก่อนถึงวันอาทิตย์นี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/04/08

โพสต์ที่ 318

โพสต์

น้ำมัน225ดอลล์ ชี้รอไม่นานแค่4ปี

โพสต์ทูเดย์ น้ำมันร้อนฉ่ายาว คาดอีก 4 ปี ราคาเพิ่มเท่าตัว


ธนาคารซีไอบีซี ของแคนาดาระบุว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะถีบตัวขึ้นมาถึง 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ภายในปี 2553 และถึง 225 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ภายในปี 2555 หรือคิดเป็นเท่าตัวจากระดับราคาในปัจจุบัน

ซีไอบีซีระบุว่า ตัวเลขประมาณการกำลังการผลิตน้ำมันของสำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) มีความผิดพลาด โดยมีอัตราสูงกว่าความเป็นจริงถึง 9% เนื่องจากนับรวมปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้กับยานพาหนะได้

ไม่ว่าเราได้ผ่านถึงช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันถีบตัวถึงระดับสูงสุดหรือไม่นั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตากันต่อไป แต่ขณะนี้เริ่มเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ภาพรวมของปริมาณการผลิตน้ำมันบ่งชี้ถึงภาวะขาดแคลนอย่างเหนือความคาดหมาย เจฟฟ์ รูบิน นักวิเคราะห์ของซีไอบีซี กล่าว

รายงานระบุว่า ปริมาณความต้องการน้ำมันในตลาดโลกจะปรับสูงขึ้นตามปริมาณรถยนต์ที่มียอดขายสูงขึ้นทุกปี โดยเมื่อปีที่แล้วยอดขายรถยนต์ในรัสเซียพุ่งขึ้นถึง 60% และ 30% ในบราซิล ส่วนในจีนเพิ่มขึ้น 20%

นอกจากนี้ การเปิดตัวรถยนต์ราคาถูก เช่น รถยนต์ของทาทา มอเตอร์ ที่มีราคาเพียง 2,500 เหรียญสหรัฐ (ราว 7.8 หมื่นบาท) จะเอื้อให้ชาวอินเดียหลายล้านคนแห่ซื้อรถยนต์มาครอบครอง

ด้านกลุ่มวุฒิสมาชิกของสหรัฐนำโดยชาร์ลส์ ชูเมอร์ ได้ยื่นจดหมายร้องเรียนต่อประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐ ให้ขัดขวางข้อตกลงซื้อขายอาวุธกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (โอเปก) หากทางกลุ่มไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อดึงราคาให้ปรับลดลง

ด้านราคาทองคำในตลาดฮ่องกงปรับลดลงอย่างฮวบฮาบหลังปิดตลาดวันที่ 25 เม.ย. โดยราคาปรับลงมาอยู่ที่ 882.00-883.00 ออนซ์ต่อเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ราคาเคยค้างอยู่ที่ 900 เหรียญสหรัฐ ก่อนหน้านั้น 1 วันที่ 902.00-903.00 ออนซ์ต่อเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=234573
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/04/08

โพสต์ที่ 319

โพสต์

Energy (Oil)  ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อีกครั้ง
         ความเห็นนักวิเคราะห์ :
ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อีกครั้ง จากเหตุการณ์ท้วงนัดหยุดงานของคนงานที่โรงกลั่นอิเนออส ในเมืองแกรนจ์เมาธ์ สกอตแลนด์ ซึ่งเป็นโรงกลั่นหลักที่ซับพลายน้ำมันเบนซินและดีเซลประมาณ 10% ของอังกฤษ ส่งผลให้ BP ต้องปิดท่อลำเลียงน้ำมันในภูมิภาคทะเลเหนือซึ่งส่งน้ำมันราว 40% ของผลผลิตน้ำมันทั้งหมดในอังกฤษ นอกจากนี้ จากข่าวการโจมตีสถานีตำรวจในไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานีตำรวจในบอนนี ไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีส่งออกน้ำมันและก๊าซใหญ่ที่สุดของไนจีเรีย (ไทยโพสต์, ไอ เอ็น เอ็น, IQ BIZ)
         คำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐาน :เหตุการณ์ผิดปกติที่เข้ามากระทบอุปทานน้ำมันยังคงเป็นประเด็นสนับสนุนการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง โดยส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 119.93 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยในระยะสั้นความตึงตัวในตลาดน้ำมันจะยังสนับสนุนให้ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงหุ้นที่ได้รับประโยชน์ยังคงได้แก่ หุ้นกลุ่มน้ำมันโดยเฉพาะ upstreamได้แก่  PTTEP (ซื้อ ราคาเหมาะสม 182 บาท) , PTT (ซื้อ  ราคาเหมาสม 421 บาท ทั้งนี้ PTTEP มีส่วนใน Valuation PTT 29%) สำหรับหุ้นกลุ่มโรงกลั่นราคาน้ำมันที่ทรงตัวสูงมีโอกาสทำให้ไตรมาส 2 มีโอกาสมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน อย่างไรก็ตาม พื้นฐานของโรงกลั่นอิงกับค่าการกลั่นมากกว่าราคาน้ำมัน ทั้งนี้ โรงกลั่นที่ SCIBS แนะนำ ซื้อ ได้แก่ TOP(ราคาเหมาะสม 112 บาท) , PTTAR (ราคาเหมาะสม 56 บาท) BCP-DR1 (ราคาเหมาะสม 21.50 บาท)

         โดยบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด ประจำวันที่ 28 เมษายน 2551
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/04/08

โพสต์ที่ 320

โพสต์

-  เจพีมอร์แกน : เจพีมอร์แกนฯ มองต่างชาติเข้าใจการลงทุนไทยมากขึ้น หลัง รมว.คลังไปโรดโชว์
            > ผู้บริหารกลุ่มธนาคารเจพี มอร์แกน เชส และ บล.เจพี มอร์แกน(ปท.ไทย) มองว่าหลังจาก รมว.คลังไปโรดโชว์ต่างประเทศจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจการลงทุนไทยมากขึ้น โดยกลุ่มเจพี มอร์แกน เองก็ยังให้น้ำหนักการลงทุนในไทย เนื่องจากมองว่าอัตราการเติบโตของกำไร บจ. ใน ตลท. ปีนี้จะสูงถึง 14% และเศรษฐกิจก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นด้วย โดยแนะให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มพลังงานแนะนำให้เข้าซื้อ PTTEP และ BANPU ซึ่งเมื่อวานนี้(28 เม.ย.) กลุ่มธนาคารเจพี มอร์แกนฯ ได้จัดบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับตลาดทุนไทยโดยมีกองทุนเข้าฟังประมาณ 43 กองทุน มูลค่าพอร์ตลงทุนราว 1 แสนล้านบาท (ที่มา : รอยเตอร์ 28 เม.ย.)

    โดยบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด ประจำวันที่ 29 เมษายน 2551
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/04/08

โพสต์ที่ 321

โพสต์

ศก.ซึม-ฝนเร็ว ดึงคนใช้ไฟน้อย คาดเอฟทีไม่ขึ้น

โพสต์ทูเดย์ สนพ.เชื่อยอดใช้ปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมาย 23,300 เมกะวัตต์ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แถมฤดูฝนมาเร็วกว่าปกติ


นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ปริมาณการใช้พลังไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ในภาพรวม 3 เดือนแรกของปี 2551 (ม.ค.-มี.ค.) เพิ่มสูงขึ้น โดยในเดือน ม.ค. 2551 อยู่ที่ 20,733 เมกะวัตต์ สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.95% ส่วนเดือน ก.พ. อยู่ที่ 20,708 เมกะวัตต์ สูงขึ้นจากช่วงเดียวกัน 0.56% และเดือน มี.ค. 2551 อยู่ที่ 22,112 เมกะวัตต์ สูงขึ้นจากช่วงเดียวกัน 0.22% ในขณะที่อัตราการใช้ไฟสูงสุดตอนนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 เม.ย. อยู่ที่ 22,568 เมกะวัตต์ แต่ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขไฟพีคที่คาดการณ์ไว้จะเกิดขึ้นในปีนี้ที่ระดับ 23,300 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นถือว่ามีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีผลจากมาตรการรณรงค์ประหยัดพลังงานของภาครัฐที่รณรงค์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5) ทำให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญการประหยัดพลังงาน

เมื่อพิจารณาตัวเลขไฟพีคที่เกิดขึ้น คาดว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าตลอดปี 2551 จะต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 158,994 ล้านหน่วย และคาดว่าไฟพีคที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 จะต่ำกว่าที่ประมาณไว้ที่ 23,300 เมกะวัตต์ เนื่องจากภาวะฝนตกที่มาเร็วกว่ากำหนด นายวีระพล กล่าว

แหล่งข่าวจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ปริมาณฝนที่มาเร็วกว่าปกติทำให้การผลิตไฟฟ้าหันมาใช้น้ำได้มากขึ้น และช่วยบรรเทาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้บ้าง และในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดถัดไปมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ปรับขึ้น หรือคงอัตราเดิมไว้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=235118
wara
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 243
ผู้ติดตาม: 0

กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

โพสต์ที่ 322

โพสต์

ปัจจัยลบกระหน่ำไบโอดีเซลเอเชีย + ต้นทุนแพง แถมผู้ผลิตในสหรัฐฯแย่งดัมพ์ตลาดยุโรป  
แผนการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซลหลายโครงการของเอเชียกำลังอยู่ในภาวะชะงักงัน โดยเจ้าของโครงการได้ชะลอการลงทุนเอาไว้ก่อนเนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักๆ โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มมีราคาสูงขึ้นมาก





สถานการณ์ดูแย่ลงไปกว่านั้นเมื่อภูมิภาคยุโรปก็กำลังเกิดภาวะไบโอดีเซลล้นตลาดเนื่องจากเจอสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาซึ่งภาครัฐให้เงินอุดหนุน ปัจจัยด้านลบสำหรับอุตสาหกรรมดังกล่าวยังรวมถึงความวิตกกังวลที่มีมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากการรุกพื้นที่ป่าเพื่อหักร้างถางเป็นสวนปลูกปาล์มน้ำมัน





เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ย้อนหลังกลับไปเพียง 1 ปี อุตสาหกรรมผลิตไบโอดีเซลในเอเชียมีความคึกคักเนื่องจากตลาดในโลกตะวันตกนำโดยยุโรปและสหรัฐอเมริกา กำลังต้องการพลังงานทดแทนที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม ทั้งยังมีการให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมดังกล่าว ทำให้หลายบริษัทในภูมิภาคเอเชียมองเห็นโอกาสที่จะร่วมกระแสการเติบโตของอุตสาหกรรมไบโอดีเซล บางโครงการได้เริ่มการก่อสร้างโรงกลั่นไปแล้วและบางโครงการก็ยังคงอยู่ในขั้นการวางแผน มีการประเมินตัวเลขว่า หากโครงการเหล่านี้แล้วเสร็จก็จะทำให้มีกำลังผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น 5 ล้านเมตริกตันต่อปี หรือประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังผลิตของโรงกลั่นในยุโรปเมื่อปี 2550 รายงานข่าวระบุว่า เฉพาะโครงการใหม่ๆ ที่ตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซียและกำลังก่อสร้างอยู่นั้นมีมูลค่าการลงทุนรวมกันสูงถึง 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 395,000 ล้านบาท





ยิ่งในปีที่ผ่านมาเมื่อราคาน้ำมันปิโตรเลียมทะยานสูงขึ้นมาก โครงการสร้างโรงกลั่นน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งมาจากการผสมน้ำมันจากพืชเข้ากับน้ำมันดีเซลธรรมดา ก็ยิ่งสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ แต่อุปสรรคก็เริ่มเกิดขึ้นด้วยเมื่อราคาน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่โรงกลั่นนำมาผสมเพื่อผลิตไบโอดีเซล ไต่ระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โรงกลั่นประสบปัญหาต้นทุนและไม่สามารถทำกำไร แรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นจากตลาดยุโรปซึ่งเป็นผู้บริโภคไบโอดีเซลรายใหญ่ที่สุด เนื่องจากสหภาพยุโรป (อียู) ได้กำหนดกฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยจะไม่ให้การอุดหนุนไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มจากแหล่งผลิตที่มีการทำลายป่า เช่น ในอินโดนีเซียที่มีข่าวการทำลายป่าเพื่อทำเป็นสวนปลูกปาล์มน้ำมันจำนวนมาก





ผู้ผลิตน้ำมันไบโอดีเซลในเอเชียยังระบุถึงความเดือดร้อนที่ได้รับจากผู้ผลิตและส่งออกไบโอดีเซลจากสหรัฐอเมริกา ที่กระหน่ำส่งสินค้าเข้าไปยังอียูจนทำให้เกิดภาวะไบโอดีเซลล้นตลาด ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ผลิตในสหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลและขายในราคาถูกกว่าผู้ผลิตจากเอเชียราว 30% เพราะรัฐให้การอุดหนุนการผลิตไบโอดีเซลซึ่งผสมด้วยน้ำมันจากถั่วเหลืองในรูปของการให้เครดิตภาษีแกลลอนละ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เรื่องนี้ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลในยุโรปได้รับผลกระทบเช่นกัน กระทั่งมีการรวมตัวของผู้ผลิตยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าไบโอดีเซลนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม





ปัจจัยลบที่กล่าวมา ทำให้เจ้าของโครงการก่อสร้างโรงกลั่นไบโอดีเซลในเอเชียหลายราย (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม) ตัดสินใจระงับโครงการไว้ก่อน มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ยังเดินหน้าต่อไป ยกตัวอย่างในมาเลเซีย ปีที่แล้วมีการผลิตไบโอดีเซลปริมาณเพียง 80,000 เมตริกตัน ซึ่งต่ำกว่าความสามารถในการผลิตซึ่งทำได้ถึง 1 ล้านเมตริกตันต่อปี





นายออ คาห์-ซุน โฆษกบริษัท วิลมาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทสิงคโปร์ผู้ดำเนินธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันในมาเลเซีย ให้ความเห็นว่า การที่ราคาน้ำมันปาล์มไต่ระดับสูงในเวลานี้ทำให้อุตสาหกรรมผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มไม่สามารถอยู่ได้ในเชิงพาณิชย์ บริษัทเข้าไปลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นไบโอดีเซลขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย และการก่อสร้างแล้วเสร็จในปีที่ผ่านมา แม้กำลังผลิตสูงสุดของโรงกลั่นจะอยู่ที่ระดับ 1 ล้านเมตริกตันต่อปี แต่สถานการณ์ต้นทุนแพง ก็ทำให้โรงกลั่นใหม่แห่งนี้ต้องลดการผลิต เหลือแค่พอป้อนลูกค้าที่เซ็นสัญญากันไว้เท่านั้น และคาดว่าในปีนี้จะทำรายได้จากไบโอดีเซลเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวม





ด้านบริษัท ซีนาร์ มาส อะโกร รีซอร์สเซส แอนด์ เทคโนโลยีฯ ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียอีกราย ซึ่งมีแผนจะสร้างโรงกลั่นไบโอดีเซลขนาดใหญ่บนเกาะปาปัวด้วยมูลค่าการลงทุน 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะนี้ได้ระงับแผนดังกล่าวไว้แล้ว เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูกกดดันจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย เนื่องจากโครงการนี้ต้องหักร้างพื้นที่ป่าถึง 1 ล้านเฮกตาร์


กระนั้นก็ตาม ในบรรดาเจ้าของโครงการผลิตไบโอดีเซล ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้ที่ไม่มีแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันเป็นของตนเอง เพราะต้องทนแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้นอย่างไม่มีทางเลือกหากต้องการน้ำมันปาล์มมาป้อนโรงกลั่น ปัจจุบันราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย ขยับสูงขึ้นถึง 12% แล้วเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ส่วนปีที่แล้วทั้งปี ราคาน้ำมันปาล์มดิบทะยานขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นาย สวามีนาทาน มาหาลิกัม กรรมการผู้จัดการบริษัท มิชชั่น ไบโอฟิวส์ จำกัด ผู้ผลิตไบโอดีเซลในมาเลเซียยอมรับว่า ขณะนี้โรงกลั่นเดินเครื่องใช้กำลังผลิตเพียงแค่ 40% ของกำลังผลิตสูงสุด (100,000 เมตริกตัน) และเป็นการผลิตเท่าที่มีคำสั่งซื้อเข้ามา เพราะหากจะผลิตมากกว่านั้นก็ไม่คุ้มทุน ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า อาจจะเริ่มเดินเครื่องผลิตไบโอดีเซลอีกครั้งหากราคาน้ำมันดิบทรงอยู่ที่ระดับเหนือ 115 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล





ทั้งนี้บริษัท โกลด์แมน ซากส์ฯ ได้วิเคราะห์ว่า การส่งออกไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มไปยังตลาดยุโรป จะมีความคุ้มทุนก็ต่อเมื่อราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ระดับสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ถ้าจะส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ต้องรอให้ราคาน้ำมันดิบอยู่เหนือระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะคุ้มทุน
เป็น VI มันไม่ง่าย
VI ถือยาว ก็ลงได้
VI ขาดทุนได้
และจะเป็น VI ที่ดี ต้อง "รอ" ให้เป็น
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/05/08

โพสต์ที่ 323

โพสต์

Breaking News  

โอเปกอาจนัดหารือฉุกเฉิน หลังราคาน้ำมันวิ่งทำสถิติสูงสุดไม่หยุด เหนือ 125-126 $

Posted on Saturday, May 10, 2008

การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรํฐ เทียบกับเงินสกุลหลักของโลก ประกอบกับปัญหาภายในไนจีเรีย ก็ยังคงสร้างแรงกดดันให้เกิดการโยกเงินเข้ามาเก็งกำไรราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์ แห่งนิวยอร์ก ส่งมอบเดือนมิถุนายน ทะยานขึ้นทำสถิตสูงสุดใหม่ ที่บาร์เรลละ 126.20 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะอ่อนตัวลงมาซื้อขายใกล้เคียงระดับ 126.00 ดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน ก็พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ นับจากปี 1988 เป็นต้นมา แตะ 125.90 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปรับฐานลงมาปิด บริเวณ 125.40 ดอลลาร์สหรัฐ

การทะยานตัวของราคาน้ำมันดิบทำสถิติสูงสุดใหม่นี้ เกิดขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการของสัปดาห์ คิดเป็นอัตราเร่ง 8% และทำให้เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปีนี้ ราคาน้ำมันดิบกระชากตัวขึ้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 25%

การดีดตัวของราคาน้ำมันครั้งนี้ กลายเป็นประเด็นที่เทรดเดอร์ และนักวิเคราะห์ต้องออกโรงมาติงแล้วว่า มีการเก็งกำไรราคากันรุนแรงเกินไปแล้ว

อย่างนายวิกเตอร์ ชุม หุ้นส่วนอาวุโส แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน เพอร์วิน แอนด์ เกิร์ตซ์ ในสิงคโปร์ บอกว่า ตลาดน้ำมันในเวลานี้เต็มไปด้วยพวกซึ่งต้องการดันราคาให้ขึ้นลิ่ว ๆ

ขณะที่นายทัตสึโอะ นาเกยามะ นักวิเคราะห์จากคาเนตสึ แอสเสต แมเนจเมนต์ ในโตเกียว มีมุมมองว่า การที่มีสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ อย่างเช่น อิหร่าน และไนจีเรีย คอยสร้างความหวาดผวาไม่หยุดหย่อน ตลอดจนราคาน้ำมันเตาที่พุ่งขึ้นมา ก็ถือเป็นเหตุผลทำให้ตลาดไต่ขึ้นไปได้อยู่เหมือนกัน ทว่าสิ่งที่น่าวิตกก็คือ การทะยานตัวของราคา มีอัตราเร่งแรงเกินไปแล้ว

แม้แต่ประธานองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยังออกโรงระบุเลยว่า หากเงินดอลลาร์สหรัฐยังไม่หยุดอ่อนค่า อาจได้เห็นราคาน้ำมันดิบ พุ่งทะลุ บาร์เรลละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ เหมือนที่โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจระดับแนวหน้าของสหรัฐ กล่าวไว้ในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้านนายซาเลม เอล บาดรี เลขาธิการโอเปก ได้ออกมาแถลงย้ำจุดยืนของโอเปกอีกครั้ง ว่า เวลานี้เห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่าในตลาดไม่ได้ขาดแคลนน้ำมันดิบเลย หากแต่เป็นเพราะพัฒนาการในตลาดการเงิน และการที่พวกกองทุนเก็งกำไรพากันเข้าสู่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันกันมากขึ้น จนผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น

แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิเคราะห์หลายราย ยังอกมาแสดงความเห็นตรงกับเลขาธิการกลุ่มโอเปก ว่า ตลาดน้ำมันที่กำลังอยู่ในภาวะกระทิงเปลี่ยววิ่งไม่ยอดหยุดเช่นนี้ มีแรงขับดันจากพวกกองทุนเก็งกำไรซึ่งเข้าไปเล่นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ แต่พวกเขาก็โต้แย้งว่า แม้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดไม่ได้ขาดแคลน แต่หากโอเปกประกาศเพิ่มการผลิตมากขึ้น ก็น่าจะมีผลทางด้านจิตวิทยา ฉุดราคาน้ำมันไม่ให้ขึ้นต่อได้เช่นกัน

และแนวคิดดังกล่าว ก็มีผลให้แกนนำผู้ค้าน้ำมันในกลุ่มโอเปกบางราย เผยว่า อาจต้องจัดประชุมฉุกเฉิน ก่อนหน้าการประชุมตามปกติในเดือนกันยายน เพื่อทบทวนความเป็นไปได้ในการเพิ่มกำลังการผลิต ยุติปัญหาราคาไร้เสถียรภาพ

โดยนายชอกรี้ กาเนม ตัวแทนจากลิเบีย ได้ให้สัมภาณ์กับสำนักข่าวบลูมเบอร์ก ว่า กลุ่มโอเปกอาจต้องนัดหารือเพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง เพื่อสร้างเสถียรภาพของระดับราคาน้ำมัน

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวในโอเปกรายหนึ่งด้วยว่า โอเปกอาจจะพิจารณาเพิ่มการผลิต ก่อนหน้าการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันตามกำหนดในเดือนกันยายน หากราคาน้ำมันดิบยังกระโจนพรวดไม่ยอมหยุด โดยให้ความเห็นด้วยว่า อาจต้องพูดคุยกันถึงการเพิ่มกำลังการผลิตให้เกินกว่าวันละ 500,000 บาร์เรล เพื่อยุติปัญหาราคา

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/05/08

โพสต์ที่ 324

โพสต์

น้ำมันดิบทะลุกว่า 126 เหรียญสร้างสถิติพุ่งขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 1 ปี

Posted on Monday, May 12, 2008
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กทำสถิติใหม่แตะ 126.27 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือ พุ่งขึ้นสร้างสถิติราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 25 ปีและ 20 ปีตามลำดับ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่พุ่งผ่าน 126 เหรียญ และราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันของตลาดนิวยอร์กขึ้นแตะ 126.27 เหรียญต่อบาเรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือก็สร้างสถิติใหม่ที่บาเรลละ 125.90 เหรียญเช่นเดียวกัน

ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งเท่าตัวจากปีที่แล้วถึงปัจจุบัน
ราคาปิดของน้ำมันดิบในของทั้ง 2 ตลาด ยังสร้างสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยเช่นกัน โดยราคาปิดของ Nymex อยู่ที่ 125.96 เหรียญ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่า 2% ส่วนราคาปิดของเบรนท์อยู่ที่บาเรลละ 125.40 เหรียญ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีส่วนต่างที่ทะยานเพิ่มสูงขึ้นนับจากต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมาหากเปรียบเทียบเป็นเงินดอลลาร์จะสูงถึง 100% และเปรียบเทียบเป็นสกุลเงินยูโรจะเพิ่มขึ้น 75% และทะยานขึ้นถึง 74% เมื่อเทียบเป็นสกุลเงินเยน

เงินเหรียญสหรัฐฯอ่อนค่าต่อเนื่อง กดดันราคาน้ำมันดิบพุ่ง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นถึง 8.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นสถิติสูงสุดรายสัปดาห์ในรอบ 14 เดือน และยังคงผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบทะยานพุ่งเข้าใกล้บาเรลละ 127 เหรียญ เกิดจากภาวะการอ่อนค่าลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐฯเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยตัวเลขกำลังการผลิตน้ำมันดิบจาประเทศไนจีเรียในเดือนเมษายนที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี สาเหตุจากการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทสัญชาติต่างประเทศของฝ่ายหัวรุนแรง

ประธานกลุ่มโอเปกเชื่อเห็นแน่ราคาบาเรลละ 200 เหรียญหากเงินดอลลาร์อ่อนค่าอีก
นายชาคิป เคอิล ประธานกลุ่มโอเปก และรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันแอลจีเรีย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นราคาน้ำมันดิบที่ 200 เหรียญต่อบาเรล หากเงินเหรียญสหรัฐฯยังคงอ่อนค่าลงต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ด้านนายโชคริ กราเนม ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจผลิตน้ำมันของลิเบีย เนชั่นแนล ออยล์ กล่าวว่า กลุ่มโอเปก ซึ่งผลิตน้ำมันดิบป้อนทั่วโลกรวมกว่า 40% อาจตัดสินใจจัดการประชุมของกลุ่มก่อนกำหนดการปกติ ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ หลังแนวโน้มราคาน้ำมันดิบทะยานพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

รอยัลดัชท์เชลล์ที่สิงคโปร์เตรียมปิดซ่อมโรงกลั่นในเดือนมิถุนายน
บริษัทรอยัลดัชท์ เชลล์ ที่สิงคโปร์ ประกาศว่า ในเดือนหน้าจะปิดซ่อมโรงกลั่นน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ตามด้วยการสั่งปิดหน่วยการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปอีก 2 แห่ง ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามกำหนดการปิดซ่อมบำรุงตามปกติ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันกลั่นสำเร็จรูปของรอยัลดัชท์ เชลล์ที่สิงคโปร์ หายไปจากตลาดราว 1.1 1.3 แสนบาเรล ทั้งนี้ 90% ของนำมันที่ผลิตได้วันละ 5 แสนบาเรล จะส่งขายในภูมิภาคเอเชีย

รอยัลดัชท์ เชลล์ ในไนจีเรีย ชี้สูญน้ำมันดิบวันละ 3 หมื่นบาเรล
บริษัทรอยัลดัชท์เชลล์ในไนจีเรีย เปิดเผยว่า ผลจากการโจมตีของกบฎหรือกลุ่มหัวรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของเชลล์ที่ไนจีเรีย หายไปจากตลาดมากถึงวันละ 3 หมื่นบาเรล ทำให้สูญเสียรายได้สูงถึงวันละ 409 ล้านเหรียญไนร่า ทั้งนี้กำลังการผลิตของรอยัลดัชท์เชลล์ที่ไนจีเรีย มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบมากถึงครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศที่สามารถทำได้ถึงวันละ 2.1 ล้านบาเรล และเป็นที่คาดกันว่า เหตุรุนแรงดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นตลอดทั้งปีนี้

ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กในเอเชียถูกทำลายสถิติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ย้อนไปดูราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กสหรัฐฯและน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษทะเลเหนือ มีราคาซื้อขายในตลาดเอเชียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่า ทะยานพุ่งสูงขึ้นทำลายสถิติซื้อขายสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติการณ์ โดยราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่เอเชียพุ่งทะลุ 125.12 เหรียญ เพิ่มขึ้น 1.43 เหรียญ หรือ 1% สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษพุ่งสูงสุดระหว่างวันเป็นสถิติใหม่ที่บาเรลละ 124.44 เหรียญ เพิ่มขึ้น 1.60 เหรียญ

KPMG ชี้ผู้บริหารพลังงานเชื่อราคาน้ำมันจะต่ำกว่า 100 เหรียญในช่วงสิ้นปี
KPMG บริษัทให้บริการที่ปรึกษาชั้นนำของโลก เปิดเผยผลสำรวจผู้บริหารในวงการพลังงานกว่า 300 คน พบว่า 55% ของผู้บริหารมองว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะลดต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรลในช่วงสิ้นปีนี้ ขณะที่ 21% มองว่า ราคาจะอยู่ที่ 101-110 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรล มีเพียง 9% เท่านั้นที่มองว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่เหนือกว่า บาเรลละ 120 เหรียญในช่วงสิ้นปี ทั้งนี้บรรดาผู้บริหารของบริษัทพลังงานชั้นนำระบุว่า จะเพิ่มการลงทุนราว 10% ในการสำรวจเพื่อการผลิตน้ำมัน

เชฟร่อน ยักษ์ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯเตรียมปลดคนงานกว่า 1,000 คน
เชฟร่อน คอร์ปอเรชั่น ยักษ์ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐฯ และอันดับต้น ๆ ของโลก กล่าวว่า ตามแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัท จะมีการปรับลดพนักงานของบริษัท ด้วยโครงการเกษียณก่อนกำหนดและวิธีการอื่น ๆ ซึ่งรวมกันแล้วจะต้องมีพนักงานออกจากงานทั้งสิ้น 1,100 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีพนักงานถึง 300 คน จะต้องเกษียณก่อนกำหนด และทั้งหมดทำงานอยู่นอกสหรัฐฯ ทั้งนี้คาดว่า กระบวนการทั้งหมดในการลดจำนวนพนักงานจะสิ้นสุดลงในปีหน้าเป็นอย่างช้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

โรงกลั่น

โพสต์ที่ 325

โพสต์

ระวัง!!กลุ่มโรงกลั่นถึงคราวตกอับ
ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ขอเน้นย้ำต่อการลงทุนในกลุ่มพลังงาน ต้องระมัดระวังต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ก่อนหน้านี้ได้เตือนถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q53 จะออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ด้วยค่าการกลั่นเฉลี่ยที่ต่ำกว่า 1Q53, การขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน และ Spread Margin ของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงกว่า 1Q53 ย่อมทำให้หุ้นโรงกลั่นยังคงมีแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของราคาหุ้นในลักษณะ Technical Rebound แต่โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับฐานลงแรงย่อมมีมากขึ้น เนื่องด้วยปัจจัยพื้นฐานในอ่อนแอ และราคาเหมาะสมที่คาดว่าจะต้องถูกปรับลดลงเช่นกัน

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ KimEng เสนอให้นักลงทุน ถือพอร์ตการลงทุน เพื่อรอจังหวะของการทยอยขายทำกำไร ซึ่งอาจเริ่มพิจารณาทยอยขายทำกำไร หากราคาหุ้นฟื้นตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ได้เช่นกัน และเริ่มกลับมาพิจารณาหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงาน 2H53 จะยังเห็นการเติบโตจาก 2Q53 น่าจะเป็นจุดที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน แนะนำ ทยอยปิดสถานะ SHORT ใน TOP จากวานนี้ช่วงบ่ายแนะนำให้ Short TOP เมื่อผลการดำเนินงาน 2Q53 ของ PTTAR จะออกมาย่ำแย่ เชื่อว่า TOP น่าจะอยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยเสนอให้ทยอยปิดบริเวณ 40 บาท +/- เพื่อทำกำไรระยะสั้น
stockwave

http://www.stockwave.in.th/hot-news/134 ... 10710.html
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

พลังงาน

โพสต์ที่ 326

โพสต์

หุ้นพลังงาน...ไปต่อ ครอบครัว ปตท. ได้แรงหนุนจากโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6

Posted on Friday, October 29, 2010
เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. (PTT) บอกว่า PTT เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านพลังงานเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ที่ทำธุรกิจครบวงจร ทั้งด้านน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และปิโตรเคมี ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่บริษัทด้านพลังงานในประเทศอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มักเป็นบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจเฉพาะทาง

ทั้งนี้ สถานภาพของ PTT ในปัจจุบันมีความเป็นบริษัทเอกชนมากกว่ารัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยการเป็นบริษัทจดทะเบียนทำให้ต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสและรอบด้าน สามารถระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจได้โดยสะดวก แต่การเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน เช่น ปิโตรนาสของมาเลเซีย จะทำหน้าที่เหมือนเป็นกระทรวงพลังงาน มีอำนาจในการพิจารณาคัดเลือกบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาร่วมทุนทำธุรกิจด้านพลังงานในประเทศ ขณะเดียวกัน ด้วยเหตุที่มีทรัพยากรที่สมบูรณ์กว่าไทยสามารถส่งออกน้ำมันและก๊าซไปยังต่างประเทศ ทำให้ปิโตรนาสมีกำไรมากกว่า PTT ถึง 10 เท่าตัว

สำหรับโครงการโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ถูกระงับมานาน จะสามารถเริ่มเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตได้ในเดือนพ.ย. ธ.ค. 53 นี้ เพื่อทำหน้าที่แยกก๊าซวันละ 250 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซหุงต้ม LPG และได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอีกด้วย

วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า หากโครงการโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ซึ่งล่าช้าไปราว 1 ปี เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตจะทำให้ Ebitda หรือกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาท เพราะเป็นเพิ่มผลิตภัณฑ์ต้นน้ำ ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตปลายน้ำตามมากด้วย
ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่ม PTT ในช่วงที่ผ่านมาราคายังปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาด แต่สำหรับในปีหน้า PTT น่าจะกลายเป็นหุ้นที่เติบโตดีตามการบริหารงาน เช่นเดียวกับ บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนบมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ราคาหุ้นอาจต้องสัมพันธ์กับฤดูกาลของอุตสาหกรรมด้วย

ติดตาม Hard Topic ทุกวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 13.00 น. ออกอากาศซ้ำ เวลา 19.00 น. ทาง Money Chann
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

news

โพสต์ที่ 327

โพสต์

กลุ่มปิโตรเคมี: "มากกว่าตลาด" - บล.เอเซีย พลัสSource - บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
(Th)   Thursday, November 18, 2010  09:3542852 XTHAI XECON XCORP XFINSEC XFINMKT V%COMMENT P%ASP  
กลุ่มปิโตรเคมี - มากกว่าตลาดดัชนีกลุ่มฯ : 975.83 จุดมูลค่าตลาด: 404,120 ล้านบาทSpread PVC สูงสุดในรอบ 9 เดือน...กลุ่ม PVC โดดเด่นทั้ง TPC, VNT      ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม PVC, HDPE และ PET      
       สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักๆ ล่าสุดยังแข็งแกร่งมากและดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกสายผลิตภัณฑ์  (ทำระดับต่ำสุดของปีในช่วงเดือน ก.ค.53)  ยกเว้นกลุ่มอะโรเมติกส์ (Px, Bz) ที่เริ่มอ่อนตัวในช่วงสั้น โดยสรุปได้ดังนี้        
    1) กลุ่มปิโตรเคมีสาย PVC (TPC, VNT) Spread ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน: พบว่าราคา PVC ล่าสุดปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1 พันเหรียญฯ/ตันอีกครั้งในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาวัตถุดิบขั้นต้นซึ่งได้แก่ เอทิลีนล่าสุดเท่ากับ 995 เหรียญฯ/ตัน เริ่มกระเตื้องขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ลดลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 98 เหรียญฯ/ตัน (ผลจากโรงงาน ระยองโอเลฟินส์หรือ ROC ของกลุ่ม SCG ที่มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงใหญ่นาน 45 วันตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ย.53 ส่งผลให้ Spread ของราคา PVC-เอทิลีน (เป็น Spread อ้างอิงของ VNT ซึ่งใช้เอทิลีนเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต PVC) ปรับตัวขึ้นมาที่ 503 เหรียญฯ/ตัน ขณะที่ Spread ของราคา PVC-EDC (เป็น Spread อ้างอิงของ TPC ซึ่งใช้ EDC หรือ Ethylene Di-chloride ซึ่งเป็นวัตถุดิบขั้นกลางเป็นหลักในการผลิต PVC) ปรับตัวขึ้นมาที่ 563 เหรียญฯ/ตัน ทำระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวถือว่าส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิใน 4Q53 ของทั้ง TPC และ VNT อย่างมาก โดยแนวโน้มราคา PVC คาดว่ายังเป็นไปในทิศทางบวกเนื่องจากปํญหาเรื่องของ Supply ที่ขาดแคลนมากขึ้นในภูมิภาค จากการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานที่เข้มงวดของจีน อีกทั้งประเด็นเรื่อง Cost push จากราคาเอทิลีนที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว      
       2)  กลุ่มปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ (PTTCH, IRPC) - ยังครองความโดดเด่นมากในเรื่องของราคาผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ทั้งราคาเอทิลีน โพรพิลีน HDPE และ MEG: โดย ราคาเอทิลีนล่าสุดกระเตื้องมาที่ 995 เหรียญฯ/ตัน ดังกล่าวข้างต้น เช่นเดียวกับราคาโพรพิลีนที่ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 1.29 พันเหรียญฯ/ตัน ส่วนราคาเม็ดพลาสติก HDPE ในขั้นปลาย ยังคงแข็งแกร่งและทำระดับสูงสุดต่อเนื่องในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาที่  1.32 พันเหรียญฯ/ตัน ขณะที่ราคาแนฟทาวัตถุดิบแม้จะปรับตัวขึ้นมาที่ 786 เหรียญฯ/ตัน แต่ Spread ของราคา HDPE-แนฟทา ยังทรงตัวที่ระดับสูงถึง 539 เหรียญฯ/ตัน สูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะ PTTCH ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องของวัตถุดิบที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้ส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิใน 4Q53 นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ MEG (สารขั้นกลาง) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ PTTCH อีกประเภท พบว่าอยู่ที่ระดับ 910 เหรียญฯ/ตัน จากที่ลดลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 840 เหรียญฯ/ตันในช่วงเดือน ก.ย.53 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยผลักดันแนวโน้มกำไรสุทธิใน 4Q53 ส่วนผลิตภัณฑ์ของ IRPC ซึ่งเป็นเม็ดพลาสติก Specialty หรือผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ประกอบด้วย PP (สัดส่วน 15% ของผลิตภัณฑ์รวม) ราคาล่าสุดเท่ากับ 1.44 พันเหรียญฯ/ตัน สูงสุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และ ABS  (สัดส่วน 4%) พบว่าระดับราคายังแข็งแกร่งมากถึง 2.17 พันเหรียญฯ/ตัน และสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิของ IRPC ใน 4Q53 อย่างมากเช่นกัน    
        3) กลุ่มปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ (TOP, PTTAR, ESSO) โดดเด่นจากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ระดับสูงมาก: ราคาพาราไซลีน (Px) ล่าสุดอยู่ที่ 1.23 พันเหรียญฯ/ตัน อ่อนตัวเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ 1.29 พันเหรียญฯ/ตัน แต่ Spread ของราคา Px-แนฟทา ยังสูงถึง 444 เหรียญฯ/ตัน  เช่นเดียวกับราคาเบนซีน (Bz) ที่อ่อนตัวช่วงสั้นลงมาเหลือ 930 เหรียญฯ/ตัน ทำให้ Spread ของราคา Bz-แนฟทา เฉลี่ยเท่ากับ 144 เหรียญฯ/ตัน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อแนวโน้ม Spread ของกลุ่มอะโรเมติกส์ใน 4Q53 เนื่องจากแนวโน้มความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ในช่วง  peak สุดของปี อีกทั้งการขาดแคลน Supply ของ PTA ซึ่งเป็นสารขั้นกลาง จะยิ่งผลักดันให้ราคา Px ซึ่งเป็นสารขั้นต้นนั้น ยังคงทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องได้
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q53 ของ TOP, PTTAR แ  ESSO
ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มฯ      
      4) กลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลายสายเม็ดพลาสติก PET (IVL) ราคา PET ในเอเซียทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.59 พันเหรียญฯ/ตัน:  ซึ่งสูงกว่าราคา PET ในทวีปยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ที่ระดับเฉลี่ยราว 1.3 พันเหรียญฯ/ตัน ทำให้ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q53 ของ IVL ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มฯ อย่างมาก    
 คงน้ำหนักมากกว่าตลาด ซื้อทั้ง TPC, PTTCH, IRPC, IVL, TPC, TOP, PTTAR    
     ฝ่ายวิจัยยังคงเลือก PTTCH และ IVL เป็นหุ้น Top picks ในกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งจะได้รับผลบวกจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นตัวและการขยายกำลังการผลิตอย่างมีนัยฯ ในปี 2554 และทำให้ EPS ปี 2554 เติบโตอย่างมีนัยฯ ส่วน Top picks กลุ่มโรงกลั่นเลือกโรงกลั่นที่มีธุรกิจปิโตรเคม๊ทั้ง TOP,  PTTAR และ ESSO ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่เริ่มฟื้นตัวและราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่มีแนวโน้มสดใสมากขึ้นเช่นกัน  นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังเลือกหุ้นกลุ่ม PVC  ทั้ง TPC และ VNT ที่น่าจะสามารถกลับมา outperform กลุ่มฯ และตลาดฯ ได้ในระยะสั้น จากปัจจัยบวกที่สนับสนุนในเรื่องของ Spread ที่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ ใน 4Q53    Key Data (ล้านบาท)FY: ปิด 31 ธ.ค.             FY50A     FY51A     FY52A     FY53F     FY54Fกำไรสุทธิ (ล้านบาท)          25,813    18,614    15,613    24,086    35,598EPS (บาท)                   75.1     54.13     45.32     58.16     85.96% เติบโต                   36.00%   -27.90%   -16.30%    28.30%    47.80%PER (x)                     16.6        23      27.4      21.4      14.5ROE                       60.70%    20.20%    10.90%    15.90%    21.80%BVS (บาท)                 129.53    405.43    425.04    376.99    410.62PBV (x)                      4.2       1.3       1.3       1.4       1.3ที่มา: ฝ่ายวิจัย ASP   นักวิเคราะห์:   อุษณีย์ ลิ่วรัตน์        เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 017928 [email protected]             นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 018350 [email protected]             โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2553  
-------------------------------------------------------------------------------------    
     ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ไม่สามารถที่จะยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่าประการใด ๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้ จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับ บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ไม่ว่ากรณีใด
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

โพสต์ที่ 328

โพสต์

ยอดขายน้ำมันทั้งประเทศปีนี้มีแนวโน้มร่วง 4%

Posted on Wednesday, November 24, 2010
นางพิศวรรณ อัชนะพรกุล ประธานบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย บอกว่า ยอดขายน้ำมันใสทั้ง ดีเซล และ เบนซิน ตลาดรวมปีนี้จะลดลงประมาณ 4% จากปริมาณรวมปีละ 1.6 หมื่นล้านลิตร เนื่องจากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมือง และสถานการณ์น้ำท่วมที่มีผลต่อการท่องเที่ยว ส่วนยอดการจำหน่ายของน้ำมันเครื่องยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น 4-5% หรือมียอดขายประมาณ 450 ล้านลิตรต่อปี แต่ยอดขายน้ำมันของเชลล์ปีนี้ จะขยายตัวได้ 11-12% หรือ ประมาณ 120 ล้านลิตร เนื่องจากเชลล์ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตประเภทอื่นๆ ส่งออกไปต่างประเทศ

ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดว่าจะยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 75-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ต้องขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐว่าจะแข็งค่าอีกหรือไม่ ส่วนราคาน้ำมันในปีหน้าคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีนี้

นางพิศวรรณ บอกด้วยว่า ในปีหน้าบริษัทฯ วางแผนจะปรับปรุงภาพลักษณ์ปั๊ม 30-50 แห่ง ลงทุนแห่งละประมาณ 10 ล้านบาท แต่จะไม่ขยายปั๊มจากปัจจุบันที่มี 570 แห่ง โดนยอมรับว่าปัจจุบันปั๊มมีอุปสรรคในการเลือกจำหน่ายน้ำมัน เนื่องจากไทยมีประเภทน้ำมันมากที่สุดในโลก ดังนั้นรัฐบาลควรเลือกส่งเสริมน้ำมันให้ชัดเจนว่าต้องการประเภทใด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

โพสต์ที่ 329

โพสต์

จีนหนุนนำเข้าถ่านหิน-ดันเอกชนลงทุนในต่างประเทศ

ฝาง จุนฉี ผู้อำนวยการกรมถ่านหินในสังกัดคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) กล่าวว่า จีนจะยังคงนำเข้าถ่านหินในระดับที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้บริษัทถ่านหินรายใหญ่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ

ในบทความซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ พีเพิลส์ เดลี่ นายฝางกล่าวว่าการนำเข้าถ่านหินในจำนวนที่เหมาะสมเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของการกระจายทรัพยากรถ่านหินทั่วโลก และการปรับโครงสร้างการนำเข้าและส่งออกของจีน อย่างไรก็ดี นายฝางไม่ได้ระบุว่าปริมาณที่เหมาะสมคือเท่าใด

จีนเป็นผู้นำเข้าถ่านหินสุทธิเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยนำเข้าถ่านหินสุทธิกว่า 100 ล้านตัน

ส่วนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ยอดนำเข้าถ่านหินสุทธิอยู่ที่ 106.78 ล้านตัน มากกว่ายอดนำเข้าของปีที่แล้วทั้งปี

นอกจากนี้ นายฝางยังเผยว่ารัฐบาลจะสนับสนุนให้บริษัทเหมืองแร่รายใหญ่ไปลงทุนในแหล่งทรัพยากรในต่างประเทศ พร้อมทั้งปรับปรุงแนวคิดและระดับการบริหาร รวมถึงยกระดับความมั่นคงด้านถ่านหินผ่านการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

นายฝางกล่าวว่า จีนต้องควบคุมการผลิตถ่านหินให้อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลในอนาคต พร้อมเผยว่าผลผลิตถ่านหินรวมจะยังขยายตัว แต่อัตราการขยายตัวต้องช้าลงอย่างต่อเนื่อง

ผลผลิตถ่านหินของจีนแตะระดับ 2.965 พันล้านตันในปี 2552 เพิ่มขึ้น 12.7% เมื่อเทียบรายปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

โพสต์ที่ 330

โพสต์

น้ำมันดิบจ่อแตะ 100 เหรียญ ปีหน้า

ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2554 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และความเหลื่อมล้ำของอุปสงค์-อุปทาน

ฟาตีห์ ไบรอล หัวหน้านักวิเคราะห์จากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในระดับต่ำได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจโลก

ขณะที่ชานกวน ลี นักวิเคราะห์จาก Oppenheimer Gold and Special Minerals Fund กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐและจีน ผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ต่างมีสัญญาณบ่งชี้ในด้านบวก"

คอนลีย์ เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์จาก Wall Street Strategies กล่าวว่า "ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปีนี้

ขณะที่เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้แล้วว่า ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปี 2554"

รายงานของ IEA ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ระบุว่า อัตราการใช้น้ำมันโดยเฉลี่ยในปี 2553 อาจเพิ่มขึ้น 2.34 ล้านบาร์เรล/วัน และเพิ่มขึ้นอีก 1.9 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2554

แต่ในแง่ของอุปทานนั้น โอเปค ตัดสินใจคงเป้าหมายการผลิตไว้เท่าเดิมสำหรับปี 2553 ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ส่วน อุปทานน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะชะลอตัวลงในปี 2554

ทั้งนี้ คาดว่าความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานจะขยายตัวขึ้น และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นด้วย

ดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ยังคงเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดน้ำมัน การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้ QE2 ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง และผลที่ตามมาคือทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความอ่อนแอของสกุลเงินดอลลาร์ อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน วิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และประเด็นอิหร่าน อาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะงผลกระทบต่อตลาดน้ำมันในอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx