ลงทุนมากี่ปี่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 61
ช่วงปี 2534 หุ้นไม่ดีเท่าไหร่ตอนนั้นตลาดเปิดแค่ครึ่งวันส่วนภาคบ่ายก็เป็นเวลาพักผ่อนของพวกเราชาวมาร์และเทรดเดอร์ที่เคาะกระดาน ทำให้ผมมีเวลามากในการศึกษาหาความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ครึ่งปีแรกของปี 2534 ผมไม่ได้ซื้อหุ้นเลยเพราะผมหาหุ้นที่ขึ้น new high ไม่มี (ผมเขียนกราฟแค่ 10 กว่าตัว) อาจมีตัวอื่นที่ขึ้นแต่ผมไม่ได้ติดตาม มาซื้อตอนที่มีการปฎิวัติที่รัสเชียตอนเดือนสิงหา บ้านเราก็จะเป็นจะตายไปกับเค้าด้วยร่วงลงมาเยอะ ต่อมาอีกสองสามวันผมก็ขายแต่หุ้นก็ยังขึ้นต่อไปอีกสักพัก รู้สึกว่าในปีนั้นตลาดได้เปลี่ยนระบบการซื้อขายมาเป็นคอมพิวเตอร์อย่างทุกวันนี้และเราก็เริ่มมีโปรแกรมดูหุ้นของ Biznews มาติดที่ตามห้องค้า ทำให้ผมเลิกเขียนกราฟ ด้วยโปรแกรมนี้ทำให้ดูประวัติราคาหุ้นในอดีตนับร้อยๆตัวในเวลาอันสั้น ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มสังเกตุว่า ถ้าหุ้นมันจะขึ้นเยอะๆมันต้องทำ new high แต่หุ้นที่ทำ new high มันจะขึ้นเยอะป่าวไม่รู้ อีกอย่างคือ หุ้นที่มีผลประกอบการที่โตขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นมันก็จะขึ้นไปเรื่อยจะมีบางช่วงที่มันปรับลงมาหรืออยู่กับที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นมันก็จะขึ้นไปอีก ผมยังเห็นอีกว่าหุ้นที่กิจการกำไรไม่มากหรือขาดทุนขึ้นมันขึ้นมันจะขึ้นแรงมากและเร็วแต่ในที่สุดมันก็จะลงไปต่ำกว่าที่มันขึ้นมา
หลังจากที่ตลาดใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อขายผมก็เริ่มค้าหาลูกค้าที่ลงทุนแล้วได้กำไร ผู้ลงทุนมีทั้งคนถือยาวไม่ขายเลยจนถึงเล่นซื้อขายภายในวัน มีคนถือหุ้นRR ตั้งแต่ 60กว่าๆ จนมันขึ้นไปเกือบ 500 ในเวลา 5-6 เดือนก็ไม่ขาย จนมันหล่นมาเหลือ 100 ต้นๆก่อนที่จะเด้งไป 200 ก็ไม่ขายจนในที่สุดหลายปีต่อมาเหลือไม่ถึงบาทและถูกถอดออกจากตลาดประเภทนี้ถือยาวจริงๆ อีกแบบคือเล่นซื้อเช้าขายบ่ายทุกวัน จากเอาเงินเข้ามาประมาณ 200 ล้านแถมยังเปิดมาร์จิ้น อยู่ได้ประมาณ 3ปีหมดเลย ในที่สุดผมก็เจอคนที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ผมสังเกตุดูว่าหุ้นที่เค้าซื้อจะเป็นหุ้นที่ 1) กิจการมีผลการดำเนินงานที่กำไรโตขึ้น 2) มีทั้งหุ้นตัวใหญ่และตัวเล็ก บางตัวปริมาณการซื้อขายไม่มาก 3) จะรอจนหุ้นตกเยอะแล้วค่อยเข้ามาซื้อ 4) ถือยาวไม่ค่อยขายเลย 5) แกซื้อทั้งหมด 10 กว่าตัว แต่ตัวที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำมีอยู่ 4 ตัว
หลังจากที่ตลาดใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อขายผมก็เริ่มค้าหาลูกค้าที่ลงทุนแล้วได้กำไร ผู้ลงทุนมีทั้งคนถือยาวไม่ขายเลยจนถึงเล่นซื้อขายภายในวัน มีคนถือหุ้นRR ตั้งแต่ 60กว่าๆ จนมันขึ้นไปเกือบ 500 ในเวลา 5-6 เดือนก็ไม่ขาย จนมันหล่นมาเหลือ 100 ต้นๆก่อนที่จะเด้งไป 200 ก็ไม่ขายจนในที่สุดหลายปีต่อมาเหลือไม่ถึงบาทและถูกถอดออกจากตลาดประเภทนี้ถือยาวจริงๆ อีกแบบคือเล่นซื้อเช้าขายบ่ายทุกวัน จากเอาเงินเข้ามาประมาณ 200 ล้านแถมยังเปิดมาร์จิ้น อยู่ได้ประมาณ 3ปีหมดเลย ในที่สุดผมก็เจอคนที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ผมสังเกตุดูว่าหุ้นที่เค้าซื้อจะเป็นหุ้นที่ 1) กิจการมีผลการดำเนินงานที่กำไรโตขึ้น 2) มีทั้งหุ้นตัวใหญ่และตัวเล็ก บางตัวปริมาณการซื้อขายไม่มาก 3) จะรอจนหุ้นตกเยอะแล้วค่อยเข้ามาซื้อ 4) ถือยาวไม่ค่อยขายเลย 5) แกซื้อทั้งหมด 10 กว่าตัว แต่ตัวที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำมีอยู่ 4 ตัว
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 66
ตลอดปี 2534 ไม่ได้กำไรเลยและตั้งแต่เข้ามาลงทุนตั้งแต่ปี 2528 จนถึง 2534 ก็ได้มาล้านกว่าๆจากสมัยโน้น ซื้อหุ้นที่คิดว่าดีแล้วถือยาวก็ไม่ไปไหนขณะที่ทั้งตลาดเรียกได้ว่ารวยจนอ้วก ตอนนั้นก็นั่งคิดได้ว่าถ้าซื้อกระจายออกไปหลายอุตสหกรรม หลายตัวก็น่าจะได้ผลดีกว่าซื้อตัวเดียว เพราะตัวเดียวที่ซื้อเราก็รู้ไม่จริง จึงนำมาเป็นข้อสรุปของผมเองว่า ถ้ารู้จริงๆก็ให้ซื้อตัวที่รู้จริงๆจะดีกว่าซิ้อกระจาย ถ้ารู้ไม่จริงก็ให้ซื้อกระจายเข้าไว้จะดีว่ามาอัดเข้าตัวหรือสองตัว แล้วจะซื้อกระจายตัวไหนละ กลัวเหมือน IFCT คือซื้อหลายตัวแล้วปรากฏว่าตลาดเค้าขึ้นไอ้ที่เรากระจายดันไม่ขึ้น ก็เลยมาสรุปอีกว่าถ้าซื้อตาม SET Index ได้ก็ดี แต่สมัยโน้นยังไม่มีพวก Index fund หรือ ETF ก็เลยซื้อกองทุนนี่แหละ พวก SW (ทรัพย์ทวี 1 & 2), SAN (ทรัพย์อนันต์), SF2 SF3 (สินภิณโญ 2 3) พวกนี้จะเป็นกองทุนปิดและจะมีส่วนลดระหว่างราคาในกระดานกับ NAV ประมาณ 10-15% ตรงนี้เองที่ตอนนั้นผมคิดเองว่าคงเป็น Margin of safety เหมือนในหนังสือที่อ่าน แล้วราคาซื้อขายของพวกกองทุนจะขึ้นหรือลงช้ากว่าตลาดสักพัก เช่นตลาดขึ้นไปได้สักพักราคาของพวกกองทุนถึงขยับขึ้นตามทำให้มีเวลาเหลือเฟือที่จะซื้อ พอเห็นดังนี้ความหวังเริ่มมีว่าคราวนี้โอกาสลงทุนแล้วได้กำไรเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว ตรูทำไม่ช่างฉลาดล้ำเลิศอะไรเช่นนี้ ช่างปลายปี 2534 ก็เริ่มใช้วิธีคอยซื้อกองทุนเมื่อ Index ขึ้นไปสักพักปรากฎว่าได้ผล หลังจากที่ SET Index ขึ้นไปสักพักกองทุนก็เริ่มขึ้นตามไปผมก็มานั่งนึกว่าคงเป็นเพราะหุ้นที่กองทุนถืออยู่มันขึ้นไปแล้วและ NAV ก็ขยับตามขึ้นไปขณะที่ราคายังไม่ขึ้นสักพักก็ต้องมีคนเข้ามาซื้อ พอรคากองทุนขยับขึ้นไปได้หน่อย ผมก็ขายอีกแล้ว แล้วดูมันขึ้นไปอีกแล้วก็กลับไปซื้อในราคาที่สูงขึ้น แล้วก็ขายอีก ช่วงประมาณต้นๆปี 2535 หุ้นเริ่มไม่ไปไหน ตัวหลักๆเริ่มนิ่งแต่ตัวเก็งกำไรเล็กๆวิ่งกันระเบิดจากนั้นไม่นานหุ้นเริ่มลงแต่พวกราคากองทุนมันจะทรงๆในช่วงนั้นทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะขายทิ้งหมดพร้อมกับไม่ค่อยได้กำไรเท่าไหร่เพราะคำว่า ขายทำกำไร เลยได้นิดเดียว ถ้าถือไว้ตั้งแต่ซื้อครั้งแรกจนถึงต้นๆปี 2535 ได้มากกว่านี้เยอะ หลังจากนั้นไม่นานเกิดพฤษภาทมิฬ ทำให้รู้สึกว่าดีแล้วที่ขายไป(ซึ่งต่อมาก็คิดว่าไม่น่าขายเลยตรู) หลังจากนั้นเราก็ได้นายกใหม่ อานันท์ รักษาการเพื่อจะให้มีการเลือกตั้ง หุ้นได้ดีดกลับพอๆกับที่ผมได้ขายไปและอยู่นิ่งๆประมาณ สองเดือน หลังจากที่พรรค ปชป ได้เป็นผู้ตั้งรัฐบาลหุ้นได้เริ่มขึ้น New high จากที่นิ่งมา 2 เดือน ผมก็ใช้วิธีเดิมคือซื้อกองทุนเมื่อหุ้นได้ขึ้นไปแล้ว แล้วก็ได้ผลอีก แต่ก็เหมือนเคยคือขายอีกแล้ว และหุ้นก็ได้ขึ้นไปอีกในช่วงนั้นเอง KMC RR FCI ได้เป็นหุ้นอภินิหาร (คงเหมือนกับ BLISS LIVE IEC ตอนนี้ )ทั้งๆที่กิจการไม่ได้มีกำไรอะไรจากงานหลักแต่ขึ้นมาแบบ 5เท่า 10 เท่า ภายในระยะเวลาอันสั้น สิ่งเดียวที่มีคือกำไรจากการถือหุ้นไข้วกัน (ยิ่งเหมือนตอนนี้ใหญ่เลย) จนในที่สุดเสี่ยของเราก็โดน กลต กล่าวโทษ ในวันนั้นหุ้นได้ลงรูดมหาราชทั้งๆที่กิจการทุกอย่างก็เป็นปกติทำเหมือนกับว่าถ้าเสี่ยเป็นไรแล้วหุ้น BBL KBANK SCB SCC ..... จะดิ้นพล่านๆตายตามไปด้วย คล้ายๆกับเหตุการณ์ที่เกิดปฎิวัติในรัสเชีย ผมก็เข้าซื้อเลยแต่คราวนี้ไม่ซื้อกองทุนแต่เป็นหุ้นหลักๆ 5 ตัว ภายในวันนั้นเองหุ้นได้ดีดกลับหมดและเหมือนเคย ผมก็ขายอีกแล้ว หลังจากนั้นหุ้นได้ปรับลงมาหน่อยเราก็ดีใจที่ว่าขายไปแล้วแต่สักพักมันก็ New high อีก เอาอีกแล้วทั้งๆที่เงินผมสามารถถือได้ตลอดชีวิตเลยก็ได้แต่ดันมาทำให้เป็นเงินร้อนต้องรีบขาย ผมว่าเงินคงไม่ร้อนหรอกแต่ใจเรามันร้อนกลัวขาดทุนเกินไปทำให้อดได้เยอะๆ ทำให้ผมมองย้อนไปในอดีตถ้าซื้อกองทุนตั้งแต่ต้นแล้วถือมาตลอดจะได้มากกว่ามาซื้อๆขายๆ ตลาดมีเหตุการณ์ร้ายเข้ามาในที่สุดมันก็กลับขึ้นไปได้อีก ผมเลยสรุปเองอีกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการไม่ได้กำไรยังมากกว่าซื้อแล้วขาดทุน เพราะขาดทุนมากสุดก็เท่าเงินที่ลงแต่ถ้าได้บางทีอาจได้ 5 เท่า 10 เท่า และจากคำว่าซื้อแล้วไม่ขายทิ้งทำกำไร ไม่ต้องไปฉลาดกว่าตลาดนี่เองทำให้ผลการลงทุนผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล อย่าลืมว่าตอนนั้น ผมดูงบก็ไม่เป็น ดูแนวโน้มกิจการก็ไม่เป็น ดูได้แต่กำไรที่ประกาศในข่าวตลาด ช่วงนั้นเป็นช่วงต้นปี 2536
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 67
ช่วงต้นปี 2536 จากการที่ผมได้ขายแล้วหุ้นยังขึ้นต่อทำให้ผมได้เห็นว่าการที่หุ้นจะลงมันจะมีข่าวร้ายเข้ามาจากนั้นมันจะค่อยๆลงหรือลงพรวดแล้วแต่ข่าวที่มากระทบและตอนลงต้นๆมันจะมีแรงซื้อเข้ามาให้มันเด้งขึ้นมาก่อนลง New low (บางคนเรียกมันว่า ก่อนตายมีชัก) และในช่วงนั้นผมได้เอะใจเรืองหุ้นในกระดานต่างประเทศ และเริ่มได้ศึกษาถึงส่วนต่างทั้ง 2 กระดาน สังเกตุเห็นว่าบางทีก็ต่างกันมากบางทีก็ต่างกันน้อย จุดนี้เองทำให้ผมได้วิธีซื้อขายหุ้น คือถ้ามันต่างกันน้อยผมก็ซื้อหุ้นต่างประเทศ ถ้ามันต่างกันมากก็ขายหุ้นต่างประเทศแล้วซื้อหุ้นในประเทศ (ปัจจุบันนี้บางทีสามารถทำ Statistic arbitrage จาก 2 กระดานคือ ถ้าต่างกันน้อยให้ซื้อหุ้นต่างประเทศ พร้อมกับทำธุรกรรม SBL ยืมหุ้นในประเทศมาขาย โดยหวังว่าในอนาคตส่วนต่างนี้จะกลับไปมาก - ผมบอกว่าเป็น Stat arb. ไม่ได้เป็น Arbitrage เพราะถ้าเป็น Arbitrage มันจะล๊อคกำไรไว้ยังไงก็ไม่ขาดทุน แต่ Stat arb มีโอกาสขาดทุนถ้าความสัมพันธ์ในอดีตไม่ดำเนินไปในอนาคต เหมือน LCT Hedge fund ยักษ์ใหญ่ที่เจ๊งไปเมือ 10 ปีก่อนโน้นใช้วิธี Stat arbแต่ผลออกมาไม่เป็นอย่างในอดีต Hedge fundนี้มีนาย Scholes - ผู้คิดสูตร Option Black & Scholes model - เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง) ด้วยความตั้งใจที่จะไม่ขายหุ้นบวกกับวิธีนี้ แล้วยังมีวิธีซื้อกองทุน ผมจึงแบ่งเงินเป็น 80:20 80 ซื้อขายระหว่างกระดานหลักกับต่างประเทศ อีก 20 ใช้ซื้อวิธีกองทุน แล้วหุ้นที่ใช้เปลี่ยนไปมาระหว่าง 2 กระดานหุ้นที่ใช้ทำมี BBL SCC LH
ถ้าย้อนกลับไปดูกราฟ SET Index ตอนต้นๆปี 2536 จะเห็นว่าเป็นรูป Double top จากกราฟแสดงให้เห็นว่าหุ้นจะลงแต่ตอนนั้นผมไม่สนเลยใช้เงิน 80% ซื้อเลย 3 ตัว ส่วนอีก 20% ก็รอจนกว่าหุ้นจะขึ้นแล้วค่อยซื้อกองทุน หลังจากซื้อไม่นานหุ้นมันก็ลง ช่วงแรกๆก็เครียดอยากขายทิ้ง หงุดหงิดทั้งวัน คงเหมือนคนจะลงแดง หลังจากที่สลับเข้าออกสัก 3-4 ครั้งก็เริ่มชินกับราคาหุ้นที่ลงผลของการสลับไปมาในช่วงที่หุ้นลงคือจะได้หุ้นเพิ่มขึ้นจากตอนต้นและมูลค่าก็ลดลงด้วยแต่ลดลงน้อยกว่าถือไว้เฉยๆ แล้วไม่ต้องไปนั่งเก็งด้วยว่ามันจะขึ้นหรือลง (ณ ปัจจุบันนี้ผมเชื่อว่าไม่มีใครสามารถเก็งได้ถูกต้องว่าจะขึ้นหรือลงอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นบางครั้งก็มีคนเก็งได้) หลังจากทำได้ 5-6 เดือน หุ้นก็เริ่มขึ้นไปสู่การขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการของตลาดหุ้นไทยจนถึงปัจจุบัน หุ้นขึ้นจาก 800 ต้นๆ ไปเกือบ 1,800 เหตุผลตอนนั้นคือฝรั่งเข้ามาซื้อเพราะดอกเบี้ยทั่วโลกลดลงในช่วงครี่งปีหลัง 2536 คล้ายๆกับช่วง 2529 ที่ดอกเราลดลงหลายครั้งติดต่อกันส่งผลให้หุ้นทะยาน ตอนนั้นทุกค่ายและอีกหลายกูรู ว่าจะไป 2,000 จุด หุ้นที่ผมซื้อไว้ก็ขึ้นพอๆกับ Index แต่เนื่องจากการสลับเข้าออกทำให้ได้ดีกว่า Index มาก บวกกับงวดนี้ซื้อกองทุนตอน Index 900 ต้นแล้วไม่ขายตั้งใจจะขายเมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา ช่วงนั้นลูกค้าผมก็ใช้วิธีนี้หมดผมมีลูกค้าไม่มากเพราะเวลาทั้งหมดถูกใช้ไปในการหาวิธีลงทุน ลูกค้าผมมีแค่ญาติๆรวมทั้งพ่อผมเอง ลูกค้าอื่นๆมีแค่ไม่ถึง 5 คนแต่มีคนนึงที่ทำให้ผมเปิดความคิดในการลงทุนเรียกได้ว่า โกอินเตอร์ ลูกค้าคนนี้เดินเข้ามาเปิดบัญชีเองในช่วงตลาดปิดตอนกลางวันซึ่งปกติผมจะไปทานข้าวแต่วันนั้นไม่หิวเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วไม่มีมาร์อื่นอยู่เลย เค้ารุ่นเดียวกับผม น่าจะเป็นประมาณปลายปี 2535 และได้ติดต่อกันมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน ที่สนิทกันเพราะเวลาที่เค้าคุยกับผมอะไรเกี่ยวกับการลงทุนในเมืองนอกผมจะรู้หมดคุยแล้วทันกัน เป็นเพราะผมอ่านเยอะมากๆเกี่ยวกับการลงทุน สมัยโน้นปี 2536-37 ไม่มีใครรู้ว่า George Soros เป็นใครแต่ผม 2 คนคุยกันถึงวิธีเทรดของเค้าแล้ว หลังจากที่ SET Index ขึ้นไปเกือบ 1,800 ตอนต้นปี 2537 ข่าวไม่ดีก็เข้ามาคือทาง FED ได้ปรับดอกขึ้นทำให้หุ้นดิ่งลงอย่างเร็วในช่วงนั้นแผมก็ได้ขายกองทุนหมดแต่หุ้นที่สลับไปมาก็ยังอยู่และอยู่จนถึงปีที่แล้วเมื่อผมหาวิธีที่ดีกว่าเจอ ในช่วงที่หุ้นตกครึ่งปีแรกของปี 2537 ผมได้เห็นอีกอย่างคือหุ้น DS (ธนสยาม ตอนนี้ไม่มีแล้ว) ตอนนั้นมีข่าวว่า แบริ่งจะเข้ามาร่วมทุนทำให้หุ้นไม่ค่อยลงทั้งๆที่ทั้งตลาดลงมาก พอตลาดเริ่มตีกลับ DSก็นำโด่งเลย ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้ตลาดไม่ดียังไงถ้าหุ้นมีข่าวดีเกี่ยวกับกิจการมันอาจลงได้บ้างแต่พอตอนขึ้นมันจะมาแรงกว่าตัวอื่น พูดอีกอย่างคือเป็น Leader ไม่ใช่ Laggard ในช่วงนั้นเองหัวหน้าผมได้เรียกผมเข้าไปคุยเรื่องโวลุ่ม เพราะลูกค้าทั้งหมดของผมไม่ค่อยได้ซื้อขายบ่อยในช่วงที่หุ้นบูมสุดๆมีแต่ซื้อแล้วถือกับสลับไปมาระหว่างกระดานหลักกับกระดานต่างประเทศเดือนนึงไม่เกิน 3 ครั้ง บางเดือนแค่ครั้งเดียว สรุปง่ายๆคือทำโวลุ่มหน่อยผู้ใหญ่เค้ามองมาจะไม่ดี ผมเองก็ไม่รู้จะไปหาลูกค้าที่ไหนถ้าหามาได้ก็ทำแบบนี้เอง ผมจึงรู้ว่างานมาร์ผมคงไม่สามารถทำได้อยู่ไปก็ให้คนอื่นมองไม่ดีป่าวๆจึงออก ผมก็บอกลูกค้าทุกคนว่าจะออกแล้วไม่มีโวลุ่มแต่ถ้าผมออกแล้วให้ทำต่อไปในการสลับหุ้น แต่ทุกคนยกเว้นผมและพ่อ บอกว่าได้กำไรเป็น 3-4เท่าพอแล้วขายดีกว่า ซึ่งต่อมาอีก 3-4ปีปรากฏว่าเค้าทำถูกแล้วที่ขายเพราะ SET Index ร่วงจาก 1,400 ปี 2539 เหลือแค่ 200 ในปี 2541 (ส่วนผมกับพ่อไม่ขายยังคงทำแบบเดิมมาตลอด) แต่ถึงปัจจุบันถ้าเค้ารู้ว่าผมได้เท่าไหร่คงนั่งเข็กหัวตัวเองที่ขาย ตัวที่ทำให้ได้เยอะมากคือ SCC ส่วน BBL ได้พอสมควร ส่วน LH ได้นิดเดียว ในขณะที่ซื้อแล้วถือเฉยๆ LH BBL ยังขาดทุน SCC ได้แต่ไม่มาก หลังจากที่ออกมาผมก็ยังคงทำเหมือนเดิมส่วนเงินที่เหลือผมไม่ได้ซื้อกองทุนอีกแต่เป็นหุ้นที่มีข่าวที่ดีเกี่ยวกับกิจการและทำ New high ณ ปัจจุบันนี้ ผมได้เลิกทำมานานแล้วสลับไปมาระหว่าง 2 กระดานเพราะ 1)เจอวิธีที่ดีกว่า 2) ส่วนต่างแคบลงเรื่อยๆ 3) ตัวที่ผมได้มามาก SCC ผมทำไม่ค่อยได้แล้วเพราะ Bid - offer น้อยไปสำหรับขนาดของผม
ถ้าอยากฟังจะมาเล่าต่อในช่วงที่โกอินเตอร์
ถ้าย้อนกลับไปดูกราฟ SET Index ตอนต้นๆปี 2536 จะเห็นว่าเป็นรูป Double top จากกราฟแสดงให้เห็นว่าหุ้นจะลงแต่ตอนนั้นผมไม่สนเลยใช้เงิน 80% ซื้อเลย 3 ตัว ส่วนอีก 20% ก็รอจนกว่าหุ้นจะขึ้นแล้วค่อยซื้อกองทุน หลังจากซื้อไม่นานหุ้นมันก็ลง ช่วงแรกๆก็เครียดอยากขายทิ้ง หงุดหงิดทั้งวัน คงเหมือนคนจะลงแดง หลังจากที่สลับเข้าออกสัก 3-4 ครั้งก็เริ่มชินกับราคาหุ้นที่ลงผลของการสลับไปมาในช่วงที่หุ้นลงคือจะได้หุ้นเพิ่มขึ้นจากตอนต้นและมูลค่าก็ลดลงด้วยแต่ลดลงน้อยกว่าถือไว้เฉยๆ แล้วไม่ต้องไปนั่งเก็งด้วยว่ามันจะขึ้นหรือลง (ณ ปัจจุบันนี้ผมเชื่อว่าไม่มีใครสามารถเก็งได้ถูกต้องว่าจะขึ้นหรือลงอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นบางครั้งก็มีคนเก็งได้) หลังจากทำได้ 5-6 เดือน หุ้นก็เริ่มขึ้นไปสู่การขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการของตลาดหุ้นไทยจนถึงปัจจุบัน หุ้นขึ้นจาก 800 ต้นๆ ไปเกือบ 1,800 เหตุผลตอนนั้นคือฝรั่งเข้ามาซื้อเพราะดอกเบี้ยทั่วโลกลดลงในช่วงครี่งปีหลัง 2536 คล้ายๆกับช่วง 2529 ที่ดอกเราลดลงหลายครั้งติดต่อกันส่งผลให้หุ้นทะยาน ตอนนั้นทุกค่ายและอีกหลายกูรู ว่าจะไป 2,000 จุด หุ้นที่ผมซื้อไว้ก็ขึ้นพอๆกับ Index แต่เนื่องจากการสลับเข้าออกทำให้ได้ดีกว่า Index มาก บวกกับงวดนี้ซื้อกองทุนตอน Index 900 ต้นแล้วไม่ขายตั้งใจจะขายเมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา ช่วงนั้นลูกค้าผมก็ใช้วิธีนี้หมดผมมีลูกค้าไม่มากเพราะเวลาทั้งหมดถูกใช้ไปในการหาวิธีลงทุน ลูกค้าผมมีแค่ญาติๆรวมทั้งพ่อผมเอง ลูกค้าอื่นๆมีแค่ไม่ถึง 5 คนแต่มีคนนึงที่ทำให้ผมเปิดความคิดในการลงทุนเรียกได้ว่า โกอินเตอร์ ลูกค้าคนนี้เดินเข้ามาเปิดบัญชีเองในช่วงตลาดปิดตอนกลางวันซึ่งปกติผมจะไปทานข้าวแต่วันนั้นไม่หิวเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วไม่มีมาร์อื่นอยู่เลย เค้ารุ่นเดียวกับผม น่าจะเป็นประมาณปลายปี 2535 และได้ติดต่อกันมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน ที่สนิทกันเพราะเวลาที่เค้าคุยกับผมอะไรเกี่ยวกับการลงทุนในเมืองนอกผมจะรู้หมดคุยแล้วทันกัน เป็นเพราะผมอ่านเยอะมากๆเกี่ยวกับการลงทุน สมัยโน้นปี 2536-37 ไม่มีใครรู้ว่า George Soros เป็นใครแต่ผม 2 คนคุยกันถึงวิธีเทรดของเค้าแล้ว หลังจากที่ SET Index ขึ้นไปเกือบ 1,800 ตอนต้นปี 2537 ข่าวไม่ดีก็เข้ามาคือทาง FED ได้ปรับดอกขึ้นทำให้หุ้นดิ่งลงอย่างเร็วในช่วงนั้นแผมก็ได้ขายกองทุนหมดแต่หุ้นที่สลับไปมาก็ยังอยู่และอยู่จนถึงปีที่แล้วเมื่อผมหาวิธีที่ดีกว่าเจอ ในช่วงที่หุ้นตกครึ่งปีแรกของปี 2537 ผมได้เห็นอีกอย่างคือหุ้น DS (ธนสยาม ตอนนี้ไม่มีแล้ว) ตอนนั้นมีข่าวว่า แบริ่งจะเข้ามาร่วมทุนทำให้หุ้นไม่ค่อยลงทั้งๆที่ทั้งตลาดลงมาก พอตลาดเริ่มตีกลับ DSก็นำโด่งเลย ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้ตลาดไม่ดียังไงถ้าหุ้นมีข่าวดีเกี่ยวกับกิจการมันอาจลงได้บ้างแต่พอตอนขึ้นมันจะมาแรงกว่าตัวอื่น พูดอีกอย่างคือเป็น Leader ไม่ใช่ Laggard ในช่วงนั้นเองหัวหน้าผมได้เรียกผมเข้าไปคุยเรื่องโวลุ่ม เพราะลูกค้าทั้งหมดของผมไม่ค่อยได้ซื้อขายบ่อยในช่วงที่หุ้นบูมสุดๆมีแต่ซื้อแล้วถือกับสลับไปมาระหว่างกระดานหลักกับกระดานต่างประเทศเดือนนึงไม่เกิน 3 ครั้ง บางเดือนแค่ครั้งเดียว สรุปง่ายๆคือทำโวลุ่มหน่อยผู้ใหญ่เค้ามองมาจะไม่ดี ผมเองก็ไม่รู้จะไปหาลูกค้าที่ไหนถ้าหามาได้ก็ทำแบบนี้เอง ผมจึงรู้ว่างานมาร์ผมคงไม่สามารถทำได้อยู่ไปก็ให้คนอื่นมองไม่ดีป่าวๆจึงออก ผมก็บอกลูกค้าทุกคนว่าจะออกแล้วไม่มีโวลุ่มแต่ถ้าผมออกแล้วให้ทำต่อไปในการสลับหุ้น แต่ทุกคนยกเว้นผมและพ่อ บอกว่าได้กำไรเป็น 3-4เท่าพอแล้วขายดีกว่า ซึ่งต่อมาอีก 3-4ปีปรากฏว่าเค้าทำถูกแล้วที่ขายเพราะ SET Index ร่วงจาก 1,400 ปี 2539 เหลือแค่ 200 ในปี 2541 (ส่วนผมกับพ่อไม่ขายยังคงทำแบบเดิมมาตลอด) แต่ถึงปัจจุบันถ้าเค้ารู้ว่าผมได้เท่าไหร่คงนั่งเข็กหัวตัวเองที่ขาย ตัวที่ทำให้ได้เยอะมากคือ SCC ส่วน BBL ได้พอสมควร ส่วน LH ได้นิดเดียว ในขณะที่ซื้อแล้วถือเฉยๆ LH BBL ยังขาดทุน SCC ได้แต่ไม่มาก หลังจากที่ออกมาผมก็ยังคงทำเหมือนเดิมส่วนเงินที่เหลือผมไม่ได้ซื้อกองทุนอีกแต่เป็นหุ้นที่มีข่าวที่ดีเกี่ยวกับกิจการและทำ New high ณ ปัจจุบันนี้ ผมได้เลิกทำมานานแล้วสลับไปมาระหว่าง 2 กระดานเพราะ 1)เจอวิธีที่ดีกว่า 2) ส่วนต่างแคบลงเรื่อยๆ 3) ตัวที่ผมได้มามาก SCC ผมทำไม่ค่อยได้แล้วเพราะ Bid - offer น้อยไปสำหรับขนาดของผม
ถ้าอยากฟังจะมาเล่าต่อในช่วงที่โกอินเตอร์
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 69
ช่วงตอนที่เลิกเป็นมาร์ใหม่ๆนั้น รายได้ผมจำกัดมากแต่ดีที่ว่าผมไม่ได้ใช้จ่ายมากมายแค่ค่ารถไปที่โบรก ค่าอาหารกลางวันและเย็น และค่ารถกลับบ้าน เดือนๆนึงไม่เกิน 3,000 บาท เวลานั้นเงินประมาณ 80% ของผมอยู่ที่หุ้น 3 ตัว ที่เหลือก็มานั่งซื้อๆขายๆแต่ไม่ได้เป็นกอบเป็นกำ แค่ดีกว่าฝากดอกเบี้ยหน่อยแทนที่ซื้อแล้วจะถือยาวจนมันเริ่มมีข่าวร้ายจึงขาย ผมกลับซื้อแล้วขึ้นก็ขาย ลงก็ขาย อยู่นิ่งๆสัก 3-4 วันก็ขาย ก็เลยได้ไม่มากเหตุเพราะกลัวขาดทุนแล้วไม่มีเงินใช้ จริงๆแล้วมันก็มีแต่อยู่ในหุ้นที่ถืออยู่ตอนนั้นได้มา 3เท่า จากเงินที่ลงไปตอนปี 2536 ช่วงนั้นประมาณกลางปี 2537 ที่ผมทำได้แค่ดีกว่าเงินฝากหน่อยแทนที่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่อีกไม่นานผมก็ถูกห่วยเข้าเต็มๆ เนื่องจากผมเป็นคนอ่านมากทั้งไทยและเทศพวกหนังสือพิมพ์ต่างประเทศผมไม่ได้ซื้อแต่ไปขออ่านต่อจากผู้บริหารโบรก (ถ้ามีใครอยากอ่านผมแนะนำเลยว่า Wall Street Journal , Financial times , Barrons, The economist พวกนี้ดีๆทั้งนั้น เมื่ออ่านเยอะๆนานๆ ก็สามารถผูกเรื่องเองได้ว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมไหนจะดี ยิ่งปัจจุบันนี้ฮิตมากเหลือเกินเกี่ยวกับ Commodities แต่ถ้าติดตามข่าวสารมานานๆจะรู้เองว่าพวกนี้น่าจะดีมาสักพักนึงก่อนที่ชาวบ้านเค้าจะฮิต แค่รู้ว่ามันน่าจะดีแต่ไม่รู้ว่ามันจะบูมขนาดนี้) ในช่วงนั้นเองประมาณกลางปี 2537 ที่เมืองนอกเริ่มสนใจหุ้นเกี่ยวกับพลังงานซึ่งตอนนั้นจากการอ่านมาเลยทำให้ผมเก็งว่าเดี่ยวบ้านเราน่าจะบูมตามเมืองนอกเพราะฝรั่งเค้าจะมาซื้อหลังจากที่ซื้อที่บ้านเค้าเรียบร้อยแล้ว หุ้นพลังงานบ้านเราที่ดีๆตอนนั้นรู้สึกว่าจะมี PTTEP และ BANPU เนื่องจาก PTTEP ยังไม่มีกำไรมากมายและราคาก็แพงเมื่อเทียบกับกำไรตอนนั้นผมจึงหันไปสนใจ BANPU (ซึ่งเป็นความคิดของผมที่ผิดที่ไม่สนใจ PTTEP เนื่องจาก P/E สูงมาก แต่ผมลืมนึกไปว่าในอนาคตเจ้า E มันจะขึ้นแบบก้าวกระโดด) แต่ห่วยผมไม่ได้ออกที่ BANPU กลับมาออกที่ LANNA ในช่วงนั้นเองกระแสพลังงานเริ่มมาประจวบกับ LANNA จะทำการ IPO ในราคา 90 บาท ผมจึงไปซื้อหุ้นจอง LANNA แต่ไม่ได้ราคา IPO ต้องซื้อนอกตลาดผมซื้อตั้งแต่ราคา 100 ไปถึง 120 บาทเงินที่เอามาซื้อก็ใช้เงินที่เทรดและได้ขายหุ้นที่ถือไว้นิดหน่อยมาซื้อ จำได้ว่า CMIC เป็น Lead underwriter เพราะผมไปกว้านซื้อจากที่นั้นมากที่สุด ความจริงล๊อดสุดท้ายเค้าจะขายผม 130 บาทเค้าว่าถูกให้ผมซื้อไปเลย ผมบอกเค้ากลับว่าพี่เอาป่าวผมมีจะขายให้พี่ 120 บาทถ้า 130พี่ว่าถูก ที่ราคา 120 พี่ก็น่าซื้อซิ ในที่สุดผมก็ได้ที่ 120 พอเข้าซื้อขายวันแรก Lanna ก็เปิดที่ 120 ต่อมาอีก 2-3วันมันก็ไปแถวๆ 170แล้วอยู่แถวนั้นสักพักก่อนที่จะทะยานไป 300กว่าๆ เวลานั้นเองที่ผมเสียดายทำไมไม่ขายหุ้น BBL SCC LHให้หมดแล้วมาซื้อเพราะเจ้า 3 ตัวนี้ไม่ไปไหนเลยทำสลับระหว่างกระดานหลักกับต่างประเทศก็ได้หุ้นเพิ่มมาไม่มากสู้ซื้อ Lanna ไม่ได้เลย ตอนนั้น P/E ของ LANNA น่าอยู่ที่ 10แก่หรือ 20กลางๆ บวกกับภาพ SET Index ดูคล้ายๆ Double Top ผมเลยขายทิ้งพรอมกับได้กำไรเกือบ 3 เท่าตัวในเวลาอันสั้น
แต่หารู้ไม่อีกไม่นานนรกจะมาเยื่อน
แต่หารู้ไม่อีกไม่นานนรกจะมาเยื่อน
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 70
ตอนนั้นประมาณปลายๆปี 2537 การลงทุนของผมขณะนั้นดีขึ้นมากได้กำไรจาก LANNA ในขณะที่พอร์ต BBL SCC LH จากวันที่ซื้อวันแรกมาถึงตอนนั้นประมาณเกือบๆ 2ปี ก็โตขึ้นมาอีก 3 เท่ากว่าๆโดยเฉพาะ SCC ผมซื้อ 500 หุ้นลงทุนไป 300,000เศษมาถึงตอนนั้นผมมีหุ้น SCC 1,000 หุ้นมีมูลค่าได้ 1.5 ล้าน ในช่วงเวลาเดียวกันที่ LANNA วิ่งขึ้นมาเกือบ3เท่าพอร์ต BBL SCC LH ผมได้มาแค่ 14% ทำให้ผมวางแผนว่าในขณะที่กระแสพลังงานยังมาเดี่ยวถ้า LANNA ปรับลงมาผมจะเข้าซื้อและจะขายหุ้น BBL SCC LH ออกสักครึ่งนึงเพื่อมาซื้อ ตามบทเรียนที่ผมเห็นมาคือถ้ามันไม่ดียังไงก่อนตายมันต้องมีชัก และแล้ว LANNA ก็ได้เริ่มปรับลงมาผมก็เข้าทำตามแผนที่วางไว้ค่อยๆทยอยซื้อ ไม่ได้ซื้อเฉยๆแถมยังเปิดมาร์จื้นด้วย ผมซื้อมาตลอดทางลง 280กว่าๆไล่มาถึง250กว่าๆ จนกระทั่ง LANNA ต่ำกว่า 240 ผมจึงยอมและเรื่มขายแต่มาขายได้แถว 220กว่าๆช่วงนั้นมันลงเร็วมาก เหตุผลที่ขายคือยอมแพ้ทางใจไม่ได้ดูพื้นฐานอะไรทั้งสิ้นโดนราคาบีบจนทนไม่ไหว ผลกลับกลายเป็นว่าโชคดีที่ขายเพราะจากตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ราคาก็ไม่ได้ขึ้นเกินที่ผมขายอาจเป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานของกิจการไม่โตมากมายในช่วงต่อมาอีกหลายปี การขายครั้งนั้นทำให้กำไรที่ผมได้มาจาก LANNA หมดเกลี้ยงแถมยังเข้าเนื้ออีกเท่ากับเท่าผมได้กำไรจากLANNA หลังจากที่ผมขาย LANNA แล้วก็เอาเงินไปซื้อ 3 ตัวเดิมและเหลือเงินไว้ซื้อขายตัวอื่นอีกหน่อย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างปลายปี 2537 ถึงต้นๆปี 2538 ในตอนนั้นเองที่หุ้น EGCOMPได้เข้ามาซื้อขาย ตอนนั้นกระแสหุ้น EGCOMP มาดีทุกคนรู้หมดเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งทางด้านรายได้แต่ตอนนั้นกำไรยังไม่มีมากต้องรออีกสักพักกิจการถึงมีกำไรผมจึงนำเงินที่เหลือไปซื้อ EGCOMP ที่ราคา 58 บาท หลังจากนั้นผมก็มองหาเหตุผลว่าพลาดตรงไหนและสรุปได้ว่า 1) ก่อนตายหุ้นจะมีชัก (เหมือนที่เคยรู้มาแล้ว) 2) หุ้นอยู่ในกระแสไม่ว่าจะเป็นผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น หรือกระแสฮิตต่างๆ ถ้ามันวิ่งแรงๆมันจะวิ่งม้วนเดียวจบ และจากข้อนี้เองอีกหลายปีต่อมาผมก็เจอเข้าอีกแต่คราวนี้ผมไม่พลาด 3) ผมไม่โทษมาร์จิ้นแต่เป็นเพราะผมเองที่ดูตลาดผิดไป ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2538 ผมได้ทำการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนหุ้น BBL SCC LH คือผมขาย BBL และ LH ประมาณ 70% ที่มีอยู่เพื่อไปซื้อ SCC ที่ทำแบบนี้เพราะยิ่งทำการสลับผลตอบแทนของ SCC ยิ่งดีมากเมื่อเทียบกับอีก 2 ตัว จนถึงกลางปี 2538 ผมมี SCC 1,100หุ้นและมีมูลค่าประมาณ 1.7 ล้าน ในช่วงนี้เองที่ผมเริ่มเห็นบางอย่างเริ่มผิดปกติเกี่ยวกับหุ้นบ้านเราพอดีกับเราได้ รมช คลังคือเนวิน ชิดชอบ ตลาดตอบสนองด้วยการหล่นอย่างแรงในวันนั้นหลังจากนั้นตลาดค่อยๆซึมลงตลอดครึ่งปีหลัง 2538 ผมได้ขาย EGCOMP ในตอนนั้นที่ราคา 70 บาท ช่วงปลายๆปี 2538 ตลาดได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ผมเห็นผิดปกติคือในตอนนั้นตลาดบ้านเรามีลักษณะคล้ายๆตอนที่ NIKKEI อยู่แถวๆ 40,000 ในบ้านเราผลกำไรของกิจการส่วนมากเริ่มถอยตั้งแต่ปี 2537 มีแต่ตัวใหญ่ที่ยังค้ำจุนตลาดหุ้นตัวเล็กๆที่เหลือลงไปไม่รู้กี่ New low แล้ว ผมจึงเดาว่าไม่นานนักบ้านเราคงได้ลงครั้งใหญ่ ซึ่งต่อมาอีกหลายปีสิ่งที่ผมเดาว่ามันจะลงครั้งใหญ่กลายเป็นของเด็กๆเมื่อเทียบกับการที่มันลงจริง
ในระหว่างปี2538 ลูกค้าที่ผมเคยบอกก็จะไปเรียนต่อเอกที่เมืองนอกพร้อมแฟนตลอดเวลาที่เค้าอยู่เมืองนอกเราได้คุยกันตลอดเพราะเค้าจะส่งวิทยานิพนธ์ของเค้ามาให้ผมช่วยดูว่ามีอะไรควรเสริมหรือไม่ หัวข้อที่เค้าเลือกทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับหุ้น พร้อมกับที่เรียนเค้าได้เปิดบัญชีซื้อขาย Futures ที่โน่นอีกด้วยซึ่งต่อมาทำให้ผมมีโอกาสสัมผัสกับตลาดที่เค้าว่าเป็นตลาดที่โหดที่สุดในโลก - S&P Futures Index
ในระหว่างปี2538 ลูกค้าที่ผมเคยบอกก็จะไปเรียนต่อเอกที่เมืองนอกพร้อมแฟนตลอดเวลาที่เค้าอยู่เมืองนอกเราได้คุยกันตลอดเพราะเค้าจะส่งวิทยานิพนธ์ของเค้ามาให้ผมช่วยดูว่ามีอะไรควรเสริมหรือไม่ หัวข้อที่เค้าเลือกทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับหุ้น พร้อมกับที่เรียนเค้าได้เปิดบัญชีซื้อขาย Futures ที่โน่นอีกด้วยซึ่งต่อมาทำให้ผมมีโอกาสสัมผัสกับตลาดที่เค้าว่าเป็นตลาดที่โหดที่สุดในโลก - S&P Futures Index
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 72
มารออ่านต่อครับ
bid please!!
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 74
ในช่วงต่อของปี 2538 ถึง ครึ่งปีแรกของ 2539 ผมไม่ได้ซื้อหุ้นดูจากใบคอนเิฟิร์มไม่มีรายการซื้อเลยช่วงนั้นเลย (ยกเว้น ตัว SCC BBL LHที่ยังคงก้มหน้าก้มตาสลับไปมาระหว่างกระดานหลักกับกระดานต่างประเทศ)ปกติจะมีการซื้อขายมาโดยตลอดแต่ไม่มาก น้อยจนไม่มีนัยสำคัญอะไรถ้าได้ก็ไม่ทำให้ผมดีขึ้นหรือเสียก็ไม่มีผลอะไรเลยเป็นการลองหลายๆแบบ ช่วงนั้นมีเริ่มมีการเตือนให้ระวังเงินเฟ้อจากทางภาคเอกชนแต่ทางรัฐบาลซึ่งมี สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นรมต คลังกล่าวว่าทางรัฐสามารถดูแลได้ ราคาหุ้นได้เริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2539 ตอนที่หุ้นลงมานี่ผมได้ลดพอร์ตหุ้น SCC BBL LHลงซึ่งเป็นความผิดอย่างมากในเวลาต่อมา ที่ขายเพราะผมมีความคิดอยู่แล้วว่าหุ้นมันน่าจะลงเยอะด้วยสาเหตุที่พูดไปแล้ว จริงๆแล้วผมคาดว่าเต็มที่ก็ลงไปที่ 900-1,000จุด ณ ตอนนั้น SET Index เริ่มลงจาก1,400ที่ว่าจะลงไปเท่านั้นผมนำมาจากการสังเกตุดูว่าทุกทีที่มันปรับตัวถ้าไม่มีข่าวร้ายระดับโลกเข้ามาหุ้นบ้านเรามันจะลงประมาณ 25-30% จากยอดถ้ามีข่าวร้ายระดับโลกมันจะลงไปประมาณ 50%จากยอด ระหว่างทางลงมันก็ไม่ได้ลงตลอดพอลงไปสักพักมันก็มีเด้งขึ้นมาการเด้งแต่ละครั้งก็เกือบๆ 10% พอตอนประมาณปลายปี 2539 มันก็ลงไปที่ 900 ในเวลานั้นเองได้มีการเลือกตั้งกระแสในตอนนั้นเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 พรรคคือพรรคที่มี ชวลิต กับพรรคที่มีชวน เป็นผู้นำ ในช่วงก่อนประมาณอาทิตย์นึงตลาดได้เก็งว่าพรรค ปชป จะชนะหุ้นจึงขึ้นมาทุกวัน ผมก็เอาด้วยผมมาซื้อมาตลอด 4-5 วันนั้นโดยเก็งลมๆแล้งๆว่า ชวน น่าได้เป็นนายกและจะได้ขายตอนเปิด พอตลาดเปิดมาวันจันทร์ตลาดได้ทรุดลงอย่างมากเพราะว่าคนที่ได้เป็นนายกคือ ชวลิต ผมก็ขายทิ้งพร้อมขาดทุนหลังจากนั้นตลาดก็ได้ไหลลงเรื่อยๆแบบไม่มีวันกลับ ในช่วงที่ตลาดลงมาในปี 2539 กำไรของบริษัทหลักๆที่ทยอยประกาศออกมาแต่ละไตรมาสก็ยังทรงๆจากปีก่อนแต่ราคาหุ้นได้ลงมาพอสมควรผมคิดว่านี่มันเป็นโอกาสในการซื้อหรือเป็นหายนะถ้าซื้อเพราะอาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่เราไม่รู้แต่คนอื่นรู้ ระหว่างนั้นก็ได้คุยกับเพื่อนคนนี้มาตลอด ช่วงนั้นพอดีเค้าจบหลักสูตร Course work และจังหวะที่ทาง Goldman Sachs เองก็ต้องการรับสมัครงานหลังจากที่สัมภาษณ์ต่างๆเค้าก็ได้รับเข้าทำงาน งานที่เข้าทำจะอยู่แผนก Quantitative หรือง่ายๆคือคอยทำ Arbitrage อย่างเดียวไม่ต้องไปเก็งหรือเดาอะไรทั้งสิ้น ระหว่างนั้นก็ต้องคอยไป Lecture ให้นักเรียนที่เรียนโทฟังตามหลักสูตรของปริญญาเอกที่เค้าเรียน พอคุยกับเค้าเรื่องสถานการณ์หุ้นบ้านเราเค้าก็เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าบางทีเราอาจจะรู้ข้อมูลไม่หมด หลังจากนั้นไม่นานน่าเป็นช่วงต้นปี 2540 รู้สึกว่าภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจเราเริ่มส่อแววไม่ดี ผมจำไม่ได้แน่ว่าเรื่องอะไรอาจเป็นเรื่องหนี้สินของประเทศหรือดุลบัญชีของประเทศ ผมไม่รู้ว่าตลาดหุ้นมันรู้ได้ไงตั้งแต่ปี 2539 ถึง 2540 หุ้นหลักๆลงไป 30-40%(ทั้งๆที่ผลการดำเนินงานก็ทรงๆไม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)แล้วเราเพิ่งรู้ว่าเศรษฐกิจเริ่มส่อแววไม่ดี ครึ่งปีแรกของปี 2540 ก็เหมือนกับครึ่งปีหลังของปี 2539 คือหุ้นไหลลงตลอดพอมาถึงเดือน 6 เรามารู้กันว่าเงินสำรองของเราถูกใช้ไปในการพยุงค่าเงิน ผมและเพื่อนก็ได้คุยกันเรื่องนี้และเค้าบอกว่าเราแพ้แน่นอน เพราะจากการที่ได้คลุกคลีกับพวกนี้ทำให้พอรู้ว่าแนวคิดของพวกนี้ว่าจะเข้าทำต่อเมื่อโอกาสชนะเค้ามีมากและโอกาสที่จะชนะก็มาจากข้อมูลพื้นฐานบนความเป็นจริงที่ว่าเศรษฐกิจมหาภาคบ้านเราไปไม่ไหวช้าหรือเร็วเงินบาทก็ต้องอ่อนค่าเหมือนกับที่อังกฤษโดนไปก่อนหน้าเราหลายปี ช่วงนั้นเองทำให้ผมนึกถึงกิจการที่มีหนี้เป็นเงินต่างประเทศมากคงเน่าซึ่งในช่วงก่อนหน้านั้นหลายๆปีแทบทั้งนั้นที่กู้เป็นเงินสกุลนอกเพราะดอกถูกและอีกกิจการประเภทส่งออกที่ผมนึกไว้ว่าถ้าเงินบาทลดกระแสคงมาเข้าหุ้นพวกนี้ ปรากฏว่ามีคนก็คิดได้เหมือนกันเจ้าหุ้น DELTA มันขึ้นมาจากต้นปี 2540 จนถึงปลายๆเดือน 6 ได้เกือบเท่าตัวผมก็ไม่รู้อีกว่ามันรู้ได้ไงก่อนลดค่าเงินตั้งครึ่งปี ผมจึงเริ่มซื้อหุ้น DELTA TUF HANA ยังไม่ทันไรเลยตอนต้นเดือน 7 ก็ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาททำให้หุ้นทั้งกระดานวิ่งกระฉูดผมจึงไล่ซื้อจนหมด หลังจากที่หุ้นขึ้นวันนั้นมันก็ทรงๆอยู่กับที่สักพัก ผมก็ยังคิดเลยว่าไอ้บริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศมากๆราคาหุ้นมันจะขึ้นทำป๋ามันเหรอและไม่นานนักตลาดก็ได้ทรุดต่อแต่หุ้นที่ผมซื้อไว้กลับขึ้นสวนตลาดอย่างมาก ทำให้ผมนึกถึง DS สมัยที่มีข่าวว่าแบริ่งจะมาร่วมทุน ถ้าพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากก็จะสามารถจะขึ้นสวนตลาดที่กำลังวายได้ และจากบทเรียนที่ได้จาก LANNA คือหุ้นมันจะวิ่งม้วนเดียวจบถ้ากำไรมันดีมากจนทำให้ราคาหุ้นดูว่าถูกไปเดี่ยวราคามันก็จะขึ้นต่อแต่ยังไงมันก็ต้องพักเพื่อดูว่ากำไรจะไล่มาทันป่าว ผมได้ถือจนราคามันเริ่มทรงๆและเริ่มทรุดจึงขายออกประมาณต้นๆปี 2541 กำไร DELTA กับ TUF มา 5เท่า ได้ HANA มาเกือบเท่าตัว ในขณะที่ SCC ของผมก็ได้หุ้นเพิ่มมาเป็น 2,500 หุ้นแต่มูลค่าลดลงเหลือแค่ 6แสนเศษ แต่ก็ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับตอนต้นที่ซื้อแถวราคา 600 ถึงต้นปี 2541 ราคามันลงมากองที่ 200กว่าๆ ในขณะที่จากการสลับไปมาทำให้ผมได้กำไร แต่กำไรที่แท้ยังมาไม่ถึงจนอีกหลายปีต่อมาการขายลดพอร์ตก่อนหน้านั้นเป็นการทำผิดอย่างมหันต์
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 75
ในช่วงต้นๆปี 2541 หุ้นได้กระฉูดขึ้นมาอีกพร้อมกับไอเดียอันบรรเจิดของผม หลังจากที่ลอยตัวค่าเงินบาทไม่นานรัฐบาลก็ปิดไฟแนนช์ 56 แห่งเนื่องจากกิจการขาดสภาพคล่องอย่างแรง ในตอนนั้นทั้งเงินทุนและหลักทรัพย์จะอยู่ในบริษัทเดียวกันผมสังเกตุเห็นว่าที่ทำให้เจ๊งเป็นเงินทุนส่วนหลักทรัพย์ยังทำมาหากินได้ และผมดูจากประวัติตลาดหลักทรัพย์ปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยจะโตขึ้นทุกปีและเดาว่าในอนาคตปริมาณการซื้อขายก็จะโตไปเรื่อยๆ ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของผมหลังจากที่ขายหุ้นส่งออกไปแล้วคราวนี้ผมตั้งใจซื้อหุ้นหลักทรัพย์และถือยาวไปเรื่อยๆอีกอย่างนึงก็คือกิจการหลักทรัพย์จะว่าไปแล้วผมเข้าใจมันดีกว่ากิจการในธุรกิจอื่นๆ ว่าแล้วผมก็ซื้อหุ้นหลักทรัพย์ AST (ASP ปัจจุบัน), S-ONE (KGI), CNS ประมาณครึ่งนึงของเงินสดที่มีอยู่ ประมาณเดือนมีนา 2541 กะไว้ว่าต่อให้มันลงไปยังไงแต่ในที่สุดระยะยาวเดี่ยวตลาดมาพวกนี้ก็จะขึ้นตามโวลุ่มตลาด ในขณะเดียวกันในช่วงนั้นผมได้คุยกับเพื่อนผมในการที่ผมสลับหุ้นไปมาระหว่าง 2 กระดานเนื่องจากเค้าอยู่ทางด้านนี้เลยเกิดความสนใจและได้ขอข้อมูลเพื่อไปทดสอบใน Model ที่เค้าทำอยู่ หลังจากที่ผมซื้อหุ้นไม่นานตลาดก็เริ่มลงพร้อมกับพาหุ้นหลักทรัพย์ผมลงไปด้วย การลงคราวนี้แย่กว่าช่วงที่มันลงจากแถวๆ 1,400จุดอีกคือลงซึมอย่างเดียวไม่มีเด้งเลย พอมาถึงช่วงกลางปี 3ตัวนั้นก็ลงมาเกือบครึ่งนึงผมก็คิดว่าพอกันทีและได้ขายขาดทุนไปเกือบครึ่ง หลังจากนั้นอีกประมาณสักปีหุ้น AST CNS ขึ้นไปประมาณ 3 เท่าจากที่ผมซื้อส่วน KGI ก็ขึ้นมาพอๆกับทุน ผมจึงคิดว่าถ้าจะถือยาวโดยที่สมมุติฐานเราไม่เปลี่ยนก็ให้ถือยาวจริง ถ้าจะสั้นก็ให้มันสั้นตลอดถ้าเล่นสั้นผมคงขายไปนานแล้วไม่ปล่อยให้โดนไปกว่าครึ่ง ถ้ายาวผมน่าจะถือยาวและได้กำไรในที่สุด ผมมาสรุปว่าถ้าผมซื้อแล้วหุ้นมันไปในทางที่ขึ้นผมสามารถถือยาวไม่ขายทำกำไรสั้นๆได้แต่ถ้าหุ้นมันลงใจผมไม่สู้ ตอนนั้นเพื่อนผมก็ได้ส่ง Model มาให้ผมว่าที่ Goldman Sachs เค้าทำยังไงต่อมาผมก็ใช้ Model นี้ในการสลับไปมา ตอนที่ผมเลิกทำวิธีนี้ผมได้ลองทดสอบดูว่าถ้าผมยังทำแบบลูกทุ่งของผมเมื่อเทียบกับ Model นี้ผลจะต่างกันมากมายไม๊ ผลออกมาว่าใช้ Model ดีกว่าไม่มากมายแต่ก็ดีกว่าแบบเดิม หลักๆของมันคือหาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแล้วหาว่ามีตัวใดตัวหนึ่งเอนเอียงออกไปนอกกรอบจากอดีตป่าว มันก็คล้ายๆกับแบบง่ายๆที่ผมใช้อยู่แต่ดูเป็นมืออาชีพมากกว่าเยอะขณะเดียวกันเค้าก็ให้ผมเปิดบัญชีซื้อขาย Futures เพราะใช้บัญชีเค้าไม่สะดวก ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2541 หุ้นได้ลงไปเกือบ 200 จุดผมสังเกตุเห็นว่าหุ้นSCC ไม่ลงตามตลาดมาสักพักแล้วแต่ก็ไม่มีข่าวดีเกี่ยวกับกิจการของมันเอง คล้ายๆกับในอดีตหลายๆตัวที่สามารถยืนขืนตลาดได้และเป็นตัวนำในขาขึ้นเนื่องจากไม่มีข่าวดีเกี่ยวกับกิจการผมเลยไม่ได้ซื้อเพิ่ม ไม่นานนักตลาดก็ได้ขึ้นอย่างแรงในขณะที่แบงค์ยังขาดทุนกันมหาศาลอยู่แต่ราคาก็ได้ขึ้นมา 3- 4 เท่าตัวในเวลาไม่ถึงปี จากช่วงนี้ต่อไปทำให้ผมได้ SCC มาแบบเรียกได้ว่าเหลือเชื่อ ถึงตอนสิ้นปี 2541 ผมมี SCC 5,200 หุ้น กว่าเครืองจะเดินเต็มที่ก็เข้ามาปีที่ 13 ของการลงทุน 13ปีของคนอื่นอาจมองได้ว่าคงมีประสบการณ์เพียบแต่สำหรับผมกว่าจะเรียนรู้แต่ละอย่างมันช้าเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมว่าผมไม่ได้มีประสบการณ์ 13 ปี แต่เป็นมีประสบการณ์ปีเดียวแต่ทบกัน 13หน
หลังจากที่ผมขายหุ้นโบรก 3 ตัวไปแล้วก็ไม่ได้ซื้อขายอะไรมากมายยังคงสลับหุ้น 3 ตัวเดิม ทั้งๆที่ SET Index ได้ขึ้นมาเท่าตัวจาก 200 จุดต้นๆ มาเป็น 400 ตอนต้นปี2542 ช่วง 5-6เดือนที่ผ่านมาผมหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Futures และลองเทรดบ้างโดยส่วนใหญ่แล้วเพือนผมจะเป็นคนเทรด การซื้อขายของเค้าเป็นแบบเก็งกำไรระยะสั้นโดยใช้เครืองมือทางเทคนิคเริ่มแรกก็ไปด้วยดีพอสักพักก็เริ่มไม่สนุกแล้วไม่ว่าจะหาวิธียังไงสุดท้ายก็เจ๊ง ตลอดระยะเวลาเพือนผมจะส่งFAX กราฟ S&P500 Futures มาให้ผมดูทุกวันความคิดที่อยากจะดูราคาหุ้นก็แว๊ปเข้ามาจึงบอกให้เค้าส่งมาให้ดู ปรากฎว่าเล่นส่งมาเป็นเล่มๆหนามาก น่าจะมีสัก 4 เล่มดูกันย้อนไป 30-40ปี มีหลายร้อยตัวผมว่าน่าเกือบพันตัวผมดูซ้ำไปมาจนจับรูปแบบนึงได้แล้วย้อนมาดูหุ้นบ้านเราก็เห็นคล้ายๆกันคือรูปตัว L คือหุ้นมันจะตกมายิ่งนานยิ่งดีแล้วมันจะออกข้างๆยิ่งนานยิ่งดีเมื่อไรที่มันกระดกขึ้นโอกาสที่ขึ้นแบบมากๆก็มี แต่มันไม่เป็นเสมอไปบางทีมันกระดกขึ้นแล้วกลับหลังลงต่อมีเยอะมากเหมือนกัน หลังจากที่หุ้นได้ขึ้นมามากมันก็ทรงๆอยู่สักพักกำไรของกิจการส่วนมากก็ยังขาดทุน พอผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2542 ออกมา ผมก็ได้ซื้อ SPL ไว้ เพราะกำไรออกมาดีมากๆบวกกับราคาได้ทะลุรูปแบบที่ผมว่าไปที่แรกว่าจะถือยาวไปเรื่อยๆสักหลายปีเพราะคิดว่าธุรกิจนี้คงไปได้ดีเรื่อยๆใครจะซื้อรถต้องต้องมาขอกู้แต่มาฉุคิดได้ว่าเอาอีกแล้วตรูรู้ก็รู้ไม่จริง หลังจากนั้นหุ้นก็ได้ติดปีกทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงนั้นมีเด่นที่สุดทั้งตลาดอยู่ 2 ตัว คือ SPL กับ KK (รอดกลับมาจากการถูกปิดไป) ทุกคนพูดถึงแต่ 2 ตัวนี้ และอย่างที่ผมเคยเห็นมาหุ้นมันจะวิ่งม้วนเดียวจบหลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ หุ้นได้ทะยานขึ้น 4-5 เท่าภายใน 2เดือน ก่อนที่จะทรงๆแล้วค่อยๆลงมาผมมาขายตอนที่มันลงมาได้มา 3 เท่านิดๆแต่ต่อมาอีกสักปีผมก็มาขาดทุนตัวนี้คล้ายๆกับที่ขาดทุน LANNA แต่ดีที่กำไรที่ได้มายังอยู่ไม่เข้าเนื้อแบบ LANNA เวลานั้น SET Index อยู่แถว 500กว่าๆ หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆลงช่วงครึ่งปีหลัง 2542 ก่อนที่จะดีดกลับช่วงท้ายปีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการเทรค Futures ก็ได้บ้างเสียบ้างแต่สุดท้ายก็เสียก็เลยคิดกับเพือนว่าบางทีนี่ไม่ใช่สื่งที่เราถนัดของเราขืนเทรคต่อไปอาจเสียมากตอนนั้นผมก็ได้ไอเดียการเป็น Quant จากเพือนผมและต่อมาก็คือสิ่งที่ผมทำอยู่ในปัจจุบัน ช่วงปีต่อมาเศรษฐกิจอเมริกาก็ตกต่ำแต่เจ้าหุ้น SCC ของผมจากการสลับไปมาก็รุ่งสิ้นปี 2542 ผมก็มีหุ้นเพิ่มเป็น 10,800หุ้น 2543 มี 12,900หุ้น 2544 มี 22,000หุ้น 2545 มี 27,500หุ้น 2546 มี 358,000หุ้น (ผมว่าน่าจะแตกพาร์เพราะในช่วงนั้นผมไม่ได้ซื้อหุ้น SCC เพิ่มเลย) 2547มี 490,000หุ้น 2548 มี 527,000หุ้น และ ต้นปี 2550ก่อนเลิกมี 557,000 หุ้น ระหว่างทางก็มีตัวที่ได้มาเยอะพวก PTT PTTEP ผมคงไม่อยู่สักพักในกรณีที่ไม่ได้เข้ามาคุยอีก ขอให้ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ถนัดต่อไปแล้วจะดีเอง
หลังจากที่ผมขายหุ้นโบรก 3 ตัวไปแล้วก็ไม่ได้ซื้อขายอะไรมากมายยังคงสลับหุ้น 3 ตัวเดิม ทั้งๆที่ SET Index ได้ขึ้นมาเท่าตัวจาก 200 จุดต้นๆ มาเป็น 400 ตอนต้นปี2542 ช่วง 5-6เดือนที่ผ่านมาผมหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Futures และลองเทรดบ้างโดยส่วนใหญ่แล้วเพือนผมจะเป็นคนเทรด การซื้อขายของเค้าเป็นแบบเก็งกำไรระยะสั้นโดยใช้เครืองมือทางเทคนิคเริ่มแรกก็ไปด้วยดีพอสักพักก็เริ่มไม่สนุกแล้วไม่ว่าจะหาวิธียังไงสุดท้ายก็เจ๊ง ตลอดระยะเวลาเพือนผมจะส่งFAX กราฟ S&P500 Futures มาให้ผมดูทุกวันความคิดที่อยากจะดูราคาหุ้นก็แว๊ปเข้ามาจึงบอกให้เค้าส่งมาให้ดู ปรากฎว่าเล่นส่งมาเป็นเล่มๆหนามาก น่าจะมีสัก 4 เล่มดูกันย้อนไป 30-40ปี มีหลายร้อยตัวผมว่าน่าเกือบพันตัวผมดูซ้ำไปมาจนจับรูปแบบนึงได้แล้วย้อนมาดูหุ้นบ้านเราก็เห็นคล้ายๆกันคือรูปตัว L คือหุ้นมันจะตกมายิ่งนานยิ่งดีแล้วมันจะออกข้างๆยิ่งนานยิ่งดีเมื่อไรที่มันกระดกขึ้นโอกาสที่ขึ้นแบบมากๆก็มี แต่มันไม่เป็นเสมอไปบางทีมันกระดกขึ้นแล้วกลับหลังลงต่อมีเยอะมากเหมือนกัน หลังจากที่หุ้นได้ขึ้นมามากมันก็ทรงๆอยู่สักพักกำไรของกิจการส่วนมากก็ยังขาดทุน พอผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2542 ออกมา ผมก็ได้ซื้อ SPL ไว้ เพราะกำไรออกมาดีมากๆบวกกับราคาได้ทะลุรูปแบบที่ผมว่าไปที่แรกว่าจะถือยาวไปเรื่อยๆสักหลายปีเพราะคิดว่าธุรกิจนี้คงไปได้ดีเรื่อยๆใครจะซื้อรถต้องต้องมาขอกู้แต่มาฉุคิดได้ว่าเอาอีกแล้วตรูรู้ก็รู้ไม่จริง หลังจากนั้นหุ้นก็ได้ติดปีกทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงนั้นมีเด่นที่สุดทั้งตลาดอยู่ 2 ตัว คือ SPL กับ KK (รอดกลับมาจากการถูกปิดไป) ทุกคนพูดถึงแต่ 2 ตัวนี้ และอย่างที่ผมเคยเห็นมาหุ้นมันจะวิ่งม้วนเดียวจบหลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ หุ้นได้ทะยานขึ้น 4-5 เท่าภายใน 2เดือน ก่อนที่จะทรงๆแล้วค่อยๆลงมาผมมาขายตอนที่มันลงมาได้มา 3 เท่านิดๆแต่ต่อมาอีกสักปีผมก็มาขาดทุนตัวนี้คล้ายๆกับที่ขาดทุน LANNA แต่ดีที่กำไรที่ได้มายังอยู่ไม่เข้าเนื้อแบบ LANNA เวลานั้น SET Index อยู่แถว 500กว่าๆ หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆลงช่วงครึ่งปีหลัง 2542 ก่อนที่จะดีดกลับช่วงท้ายปีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการเทรค Futures ก็ได้บ้างเสียบ้างแต่สุดท้ายก็เสียก็เลยคิดกับเพือนว่าบางทีนี่ไม่ใช่สื่งที่เราถนัดของเราขืนเทรคต่อไปอาจเสียมากตอนนั้นผมก็ได้ไอเดียการเป็น Quant จากเพือนผมและต่อมาก็คือสิ่งที่ผมทำอยู่ในปัจจุบัน ช่วงปีต่อมาเศรษฐกิจอเมริกาก็ตกต่ำแต่เจ้าหุ้น SCC ของผมจากการสลับไปมาก็รุ่งสิ้นปี 2542 ผมก็มีหุ้นเพิ่มเป็น 10,800หุ้น 2543 มี 12,900หุ้น 2544 มี 22,000หุ้น 2545 มี 27,500หุ้น 2546 มี 358,000หุ้น (ผมว่าน่าจะแตกพาร์เพราะในช่วงนั้นผมไม่ได้ซื้อหุ้น SCC เพิ่มเลย) 2547มี 490,000หุ้น 2548 มี 527,000หุ้น และ ต้นปี 2550ก่อนเลิกมี 557,000 หุ้น ระหว่างทางก็มีตัวที่ได้มาเยอะพวก PTT PTTEP ผมคงไม่อยู่สักพักในกรณีที่ไม่ได้เข้ามาคุยอีก ขอให้ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ถนัดต่อไปแล้วจะดีเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 1817
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 76
สุดยอดมากครับพี่ makhorsemakhorse เขียน:และ ต้นปี 2550ก่อนเลิกมี 557,000 หุ้น ระหว่างทางก็มีตัวที่ได้มาเยอะพวก PTT PTTEP ผมคงไม่อยู่สักพักในกรณีที่ไม่ได้เข้ามาคุยอีก ขอให้ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ถนัดต่อไปแล้วจะดีเอง
กลับมาแล้ว เข้ามาคุยให้ความรู้น้องๆกันอีกนะครับ
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 678
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 79
และ ต้นปี 2550ก่อนเลิกมี 557,000 หุ้น ระหว่างทางก็มีตัวที่ได้มาเยอะพวก PTT PTTEP ผมคงไม่อยู่สักพักในกรณีที่ไม่ได้เข้ามาคุยอีก ขอให้ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ถนัดต่อไปแล้วจะดีเอง
รวมๆแล้วเป็นเวลา 13ปี + อีก 9 ปี =22 ปี
สุดยอดจริงๆครับ
รวมๆแล้วเป็นเวลา 13ปี + อีก 9 ปี =22 ปี
สุดยอดจริงๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 84
เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นตอนแรกนึกว่าจะไปนาน ไปเยี่ยม พ่อตาแม่ยายมาและเยี่ยมเจ้า Rose (สุนัขพันธุ์ Golden) อายุ 12ปีเศษมันได้จากไปแล้วด้วยโรคชรา แฟนผมไปตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาทั้งนอน นั่ง กิน อยู่ข้างๆมันทั้งวัน เหมือนมันรู้พอผมไปได้ 3 วันมันก็จากไปอย่างสงบตอนเห็นผมวันแรกมันลุกไม่ไหวยังอุตสาห์กระดิกหางดีใจไม่งั้นมันคงกระโจนเข้ามาเลียทั้งหน้าผมอยู่นานถึงแม้ผมได้รู้จักมันแค่ 4 ปีแต่ก็รักมันมาก ผมไม่รู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมหรือป่าวทั้ง พ่อตาแม่ยายแล้วก็แฟน ได้เข้าไปลูบตัวมันแล้วบอกว่า ขอบใจที่มันได้มาเป็นสมาชิกในครอบครัวและได้ทำให้เรามีความสุขไม่ต้องห่วงขอให้ไปอย่างเป็นสุข ผมฟังไม่ออกหรอกต้องให้แฟนแปลให้ว่าพูดอะไร แฟนเค้าพูดทำนองนี้ตั้งแต่ที่เค้าไปถึงพูดทุกวันวันละหลายๆเที่ยว เหมือนกับภาพยนต์เรื่อง Quill the guide dog หลังจากที่ฝังมันแล้วแฟนผมก็ดูรูปมันตั้งแต่เล็กๆ เดินไปในที่เคยจูงมันเดินเล่นผมละเศร้าจริงๆ Rose มันคงรู้ละว่าพวกเรารักมันมากแค่ไหน จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดได้ว่า การทำงานหรือลงทุนจนได้ผลที่น่าพอใจแล้วแค่นี้ยังไม่เรียกว่าประสบผลสำเร็จ สำหรับผมแล้วยังมีการทำดีกับผู้อื่น สักวันสิ่งที่เรารักถ้าจากเราไปแล้วไม่ว่าตลอดเวลาเราจะทำดีมากแค่ไหนถึงตอนนั้นเราก็ยังคิดอีกว่าน่าจะทำได้ดีมากกว่านี้ แต่มันก็ยังดีกว่าว่าไม่เคยทำดีเลยแล้วมานั่งนึกว่าน่าจะทำโน้นทำนี่ อย่างน้อยยิ้มให้แม่ค้าหรือพ่อค้าขายของอยู่ริมทางหรือคนแปลกหน้าที่เราเดินผ่านทุกวัน แล้วคุณก็จะได้รอยยิ้มที่เป็นมิตรกลับมา ขอโทษทีที่ไม่เกี่ยวกับหุ้นเลย
ช่วงปี กลางปี 2542 ถึงปลายปี 2543 อเมริกาได้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย บ้านเราก็เลยฟุบตามไปด้วยช่วงไตรมาสแรกปี 2543 กำไรของพวกแบงค์เริ่มดีขึ้นจากขาดทุนบักโกรกก็มาเป็นขาดทุนน้อยลงแบงค์ใหญ่บางแห่งเริ่มมีกำไรในไตรมาสแรก SET index ร่วงมาจาก 500 กว่าๆในกลางปี 2542 ลงมาที่ 400 ต้นๆในไตรมาสแรก 2543 ด้วยความได้ใจที่ได้กำไรจาก SPL บวกกับเห็นราคามันหล่นมาเหลือครึ่งเดียว จาก 50 เหลือ 20 ต้นๆ และนึกเอาเองว่าต่อให้กำไรมันไม่โตแค่ทรงๆ ณ ราคานี้ PE ไม่ถึง 10 ก็เลยเข้าไปซื้อแถวๆ 22-23บาท หลังจากนั้นไม่นานมันก็ดิ่งลงไปต่ำกว่า 15 บาทแล้วไม่เคยโผล่เกิน 20บาทเลยในช่วงเวลาที่เหลือของปี ผมก็ทนรอดูผลประกอบการของมันออกมาแต่ละไตรมาสปรากฏว่าก็ดีแต่ราคาไม่ไปไหน และแล้วความอดทนก็หมดตอนช่วงปลายๆปี 2543 ก็เลยขายแถวๆ 17 บาท ไม่ทันถึงเดือนมันก็วิ่งขึ้นไปเกินทุนและอีกสัก 1-2ปี มันก็ขึ้นไปเกือบเท่าตัวจากทุนผม ผิดคราวนี้ก็เหมือนเดิมที่เคยทำมา ช่วงปี 2542-2543 ผมซื้อแค่ตัวนี้ตัวเดียว(ยกเว้นหุ้นที่สลับไปมา) ช่วงต่อจากนี้ไปผมได้เปลี่ยนวิธีการซื้อหุ้น (ยกเว้นหุ้นที่สลับ) คือผมมาดูว่ารู้เราก็รู้ไม่จริง หมายถึงการมองอนาคตกิจการ ถ้าลงแค่ไม่กี่ตัวมีหวังขาดทุนแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจกระจายเนื่องจากการรู้ไม่จริง การซื้อตัวละไม่มากกลายมาเป็นวิธีหนึ่งที่ผมชอบมากและได้ใช้มาถึงปัจจุบัน ทีแรกก็กะประมาณ 10-15 ตัว พอทำไปทำมาไม่รู้มาจากไหน ถึงตอนที่เขียนนี้ผมถือทั้งหมด 39 ตัวและถ้าเจอหุ้นเข้าทางอีกก็จะซื้อเพิ่มอีกแต่ก็ไม่ได้ถือตลอดเดี่ยวเพิ่มเดี่ยวลด บางทีก็เหลือแค่ไม่ถึง 5 ตัว ด้วยโปรแกรมดูหุ้นสมัยนี้ทำให้ผมดูได้ไม่มีหลุดเลยทั้ง 39 ตัว
ช่วงปี กลางปี 2542 ถึงปลายปี 2543 อเมริกาได้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย บ้านเราก็เลยฟุบตามไปด้วยช่วงไตรมาสแรกปี 2543 กำไรของพวกแบงค์เริ่มดีขึ้นจากขาดทุนบักโกรกก็มาเป็นขาดทุนน้อยลงแบงค์ใหญ่บางแห่งเริ่มมีกำไรในไตรมาสแรก SET index ร่วงมาจาก 500 กว่าๆในกลางปี 2542 ลงมาที่ 400 ต้นๆในไตรมาสแรก 2543 ด้วยความได้ใจที่ได้กำไรจาก SPL บวกกับเห็นราคามันหล่นมาเหลือครึ่งเดียว จาก 50 เหลือ 20 ต้นๆ และนึกเอาเองว่าต่อให้กำไรมันไม่โตแค่ทรงๆ ณ ราคานี้ PE ไม่ถึง 10 ก็เลยเข้าไปซื้อแถวๆ 22-23บาท หลังจากนั้นไม่นานมันก็ดิ่งลงไปต่ำกว่า 15 บาทแล้วไม่เคยโผล่เกิน 20บาทเลยในช่วงเวลาที่เหลือของปี ผมก็ทนรอดูผลประกอบการของมันออกมาแต่ละไตรมาสปรากฏว่าก็ดีแต่ราคาไม่ไปไหน และแล้วความอดทนก็หมดตอนช่วงปลายๆปี 2543 ก็เลยขายแถวๆ 17 บาท ไม่ทันถึงเดือนมันก็วิ่งขึ้นไปเกินทุนและอีกสัก 1-2ปี มันก็ขึ้นไปเกือบเท่าตัวจากทุนผม ผิดคราวนี้ก็เหมือนเดิมที่เคยทำมา ช่วงปี 2542-2543 ผมซื้อแค่ตัวนี้ตัวเดียว(ยกเว้นหุ้นที่สลับไปมา) ช่วงต่อจากนี้ไปผมได้เปลี่ยนวิธีการซื้อหุ้น (ยกเว้นหุ้นที่สลับ) คือผมมาดูว่ารู้เราก็รู้ไม่จริง หมายถึงการมองอนาคตกิจการ ถ้าลงแค่ไม่กี่ตัวมีหวังขาดทุนแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจกระจายเนื่องจากการรู้ไม่จริง การซื้อตัวละไม่มากกลายมาเป็นวิธีหนึ่งที่ผมชอบมากและได้ใช้มาถึงปัจจุบัน ทีแรกก็กะประมาณ 10-15 ตัว พอทำไปทำมาไม่รู้มาจากไหน ถึงตอนที่เขียนนี้ผมถือทั้งหมด 39 ตัวและถ้าเจอหุ้นเข้าทางอีกก็จะซื้อเพิ่มอีกแต่ก็ไม่ได้ถือตลอดเดี่ยวเพิ่มเดี่ยวลด บางทีก็เหลือแค่ไม่ถึง 5 ตัว ด้วยโปรแกรมดูหุ้นสมัยนี้ทำให้ผมดูได้ไม่มีหลุดเลยทั้ง 39 ตัว
-
- Verified User
- โพสต์: 1817
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 85
makhorse เขียน:จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดได้ว่า การทำงานหรือลงทุนจนได้ผลที่น่าพอใจแล้วแค่นี้ยังไม่เรียกว่าประสบผลสำเร็จ สำหรับผมแล้วยังมีการทำดีกับผู้อื่น สักวันสิ่งที่เรารักถ้าจากเราไปแล้วไม่ว่าตลอดเวลาเราจะทำดีมากแค่ไหนถึงตอนนั้นเราก็ยังคิดอีกว่าน่าจะทำได้ดีมากกว่านี้ แต่มันก็ยังดีกว่าว่าไม่เคยทำดีเลยแล้วมานั่งนึกว่าน่าจะทำโน้นทำนี่ อย่างน้อยยิ้มให้แม่ค้าหรือพ่อค้าขายของอยู่ริมทางหรือคนแปลกหน้าที่เราเดินผ่านทุกวัน แล้วคุณก็จะได้รอยยิ้มที่เป็นมิตรกลับมา
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 1
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 88
ไม่รู้ว่าจะตอบเท่าไหร่ดี เพราะว่า
1. เคยซื้อกองทุนรวมตั้งแต่ปี 37 อยู่ 2 กอง ได้ปันผลมาสัก 2 - 3 ปี ก็ถึงยุควิกฤติ จากราคาพาร์ 10 บาท เหลือราวๆ 2 บาท ก็เลยเลิก :( :( :( (แต่ยังคงถือกองทุนทั้ง 2กองอยู่จนถึงวันนี้) .... ถ้านับกรณีนี้ ก็ถือว่าเกิน 10 ปี
2. ตอนราวๆปี 45 ได้อ่านหนังสือตีแตกของ อ.นิเวศน์ ก็เลยตีแตก Ratch จากพนักงาน EGAT มาที่ 12 บาท เพิ่งมาขายไปเมื่อปี 49 :lol: :lol: :lol: เพื่อเอาเงินมาซื้อรถให้เมีย .. เปิดพอร์ตราวๆปี 46 เพื่อรับโอนหุ้นเมื่อพ้น Silent period เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรเลย ...... ถ้านับกรณีนี้ ก็คงราวๆ 6 ปี
3. เริ่มซื้อ LTF และ RMF ตั้งแต่ปี 47 ...
4. ตอนนี้กลับมาเปิดพอร์ตใหม่อีกครั้งหนึ่ง (เอาทุนมาจากที่ขาย LTF :P :P ) และเริ่มซื้ออย่างเป็นทางการ เมื่อก่อนสงกรานต์นี่เอง
1. เคยซื้อกองทุนรวมตั้งแต่ปี 37 อยู่ 2 กอง ได้ปันผลมาสัก 2 - 3 ปี ก็ถึงยุควิกฤติ จากราคาพาร์ 10 บาท เหลือราวๆ 2 บาท ก็เลยเลิก :( :( :( (แต่ยังคงถือกองทุนทั้ง 2กองอยู่จนถึงวันนี้) .... ถ้านับกรณีนี้ ก็ถือว่าเกิน 10 ปี
2. ตอนราวๆปี 45 ได้อ่านหนังสือตีแตกของ อ.นิเวศน์ ก็เลยตีแตก Ratch จากพนักงาน EGAT มาที่ 12 บาท เพิ่งมาขายไปเมื่อปี 49 :lol: :lol: :lol: เพื่อเอาเงินมาซื้อรถให้เมีย .. เปิดพอร์ตราวๆปี 46 เพื่อรับโอนหุ้นเมื่อพ้น Silent period เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรเลย ...... ถ้านับกรณีนี้ ก็คงราวๆ 6 ปี
3. เริ่มซื้อ LTF และ RMF ตั้งแต่ปี 47 ...
4. ตอนนี้กลับมาเปิดพอร์ตใหม่อีกครั้งหนึ่ง (เอาทุนมาจากที่ขาย LTF :P :P ) และเริ่มซื้ออย่างเป็นทางการ เมื่อก่อนสงกรานต์นี่เอง
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
- johnlennon
- Verified User
- โพสต์: 202
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 89
ประมาณปี38...มั้งครับ หรือ ปี39 ราวๆนั้น ก่อนวิกฤตการเงินนะครับ....คร่าวๆก็ประมาณ 12-13ปี ..........
ซื้อหุ้นดีเปรียบเหมือนดาวเดือน
- johnlennon
- Verified User
- โพสต์: 202
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนมากี่ปี่ครับ
โพสต์ที่ 90
...ตัวแรกที่ผมซื้อคือ bay ราคาณ ปี นั้น 24.5บาท ซื้อแล้วมันขึ้นไป 24.75 แล้วผมก็ไม่ได้ดูมันเลย หลังจากนั้นราคามันก็ลงมาเรื่อยๆ เจอวิกฤตการเงิน แบงค์เละเป็นโจ๊ก ช่วงนั้น ราคาหุ้นร่วงเหลือประมาณ300กว่าจุด ktb เหลือ 4บาทมั้ง ไม่แน่ใจ bay ผมเหลือ 6บาทกว่า ถือจนเจ้าของเค้าเห็นใจในความอึดของผม เค้าให้bay-w1 มาปลอบใจผมฟรีๆ นับจากวันที่ผมซื้อ จนถึงวันที่ผมขายมันออกไปน่าจะสัก ประมาณ 7ปี แบบไม่เคยเคาะซื้อเคาะขายเลยซื้อ1ครั้ง แล้วขายอีก 1ครั้ง ขาดทุนเยอะมาก ช่วงนั้นธุรกิจของผมเกี่ยวกับส่งออก ดีมาก เพราะค่าเงินตอนนั้นอ่อนมาก 55บาทมั้ง เลยไม่ได้ใส่ใจกับหุ้นสักเท่าไหร่ กราฟก็ดูไม่เป็น กะซื้อแบงค์เก็บไว้ ให้ลุกโตแล้วจะขาย จนป่านนี้ คิดดู ถ้าผมยังคงถือไว้แล้วไม่ขาย 12ปีผ่านไปมันยังราคาเท่าเดิมครับ เป็นการลงทุนที่นานมากแต่ให้ผล=0 ณ ตอนนี้ผมจึงไม่เล่นหุ้นแบงค์อีกเลย อีก1ตัวที่ผมซื้อ ณ ตอนนั้น คือ tmb 17บาท ซื้อหลังจากซื้อ bay นิดหน่อย ขาดทุนเยอะอีก 1ตัว ตัวสุดท้าย ที่ผมซื้อ ในตอนนั้นคือ qh ราคา13บาทกว่าๆ ขายทิ้งไปในราคา 6บาทกว่าๆ ได้ w3 มาฟรีอีกเหมือนกันมั้ง... ทั้ง3ตัว ถือไว้เกือบ 7ปี ทุกวันนี้ยังตามทุนไม่เจอเลยครับ .....หลังๆมาเทรดบ่อยขึ้น เพราะธุรกิจแย่ลง......^_^
ซื้อหุ้นดีเปรียบเหมือนดาวเดือน