ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 1
เนื่องจากเจ้า TGP มันกำลัง Tender Offer ออกนอกตลาด
*** น้องกำลังลำบากอยากให้พี่ๆที่น่ารักของผมช่วยตอบคำถามเหล่านี้ให้หน่อยครับ
1. ควรกำหนด WACC ในสภาวะปัจจุบันให้บริษัทอย่าง TGP เท่าไหร่ดีครับ
2. เวลาเค้าทำ Tender Offer ส่วนมากเค้าจะเสนอราคาให้สูงกว่า มูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้น ที่คำนวณจาก DCF เท่าไหร่
3. บริษัทTGP มีเงินสดเหลือมากเท่ากับ 1ใน 3 ของสินทรัพย์ ควรทำอย่างไรให้บริษัทปันผลเงินส่วนนี้ออกมาก่อนการ Tender Offer ครับ (ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีสิทธิเรียกร้องได้ไหม)
4. ผมไม่แน่ใจในการหามูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นดังนี้ครับ
สมมุติผมหา FCF ของกิจการได้และให้สมมุติฐานว่าบริษัทจะไม่มีการเจริญเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ผมจะหา Value of firm ได้เท่ากับ FCF/WACC
พอได้ Value of firm แล้ว เราก็หา Value of Debt จากการเอา %ของหนี้ คูณด้วย Value of firm พอคำนวณ Value of Debt เสร็จ
ก็เอาไปหักออกจาก Value of firm ก็จะได้เป็น Value of Equity
ผมสงสัยในขั้นตอนต่อไปครับ คือ ในเมื่อบริษัทนั้นมีเงินสดจำนวนมาก ก่อนที่เราจะเอา Value of Equity ไปหารด้วยจำนวนหุ้น เพื่อให้ได้ราคาที่แท้จริงต่อหุ้น
เราควรที่จะต้องเอาเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในปีที่เราคำนวณไปบวกเข้ากับ Value of Equity ก่อนที่จะเอามาหารด้วยจำนวณหุ้นถูกต้องไหมครับ
*ผมกำลังคิดว่าถ้าบริษัทไม่ปันผลเงินสดออกมาก่อนทำการTender Offer แล้วมาคิด DCF ในเทอมเงินสดอย่างเดียวอย่างนี้ผู้ถือห้นรายย่อยก็เสียเปรียบตายสิครับ
ปวดหมองครับ ปวดหมอง ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกซะแล้ว
5. อยากให้พี่ CK กรุณาเล่าครับ ให้ฟังหน่อยครับ รู้สึกพี่จะถือหุ้นออกนอกตลาด บริษัทหนึ่ง
บริษัทที่พี่ CK ถือหุ้นออกนอกตลาด ปฏิบัติกับพี่เช่นไร แล้วยังหาความเป็นธรรมมาภิบาลได้อยู่รึเปล่าครับ
*** น้องกำลังลำบากอยากให้พี่ๆที่น่ารักของผมช่วยตอบคำถามเหล่านี้ให้หน่อยครับ
1. ควรกำหนด WACC ในสภาวะปัจจุบันให้บริษัทอย่าง TGP เท่าไหร่ดีครับ
2. เวลาเค้าทำ Tender Offer ส่วนมากเค้าจะเสนอราคาให้สูงกว่า มูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้น ที่คำนวณจาก DCF เท่าไหร่
3. บริษัทTGP มีเงินสดเหลือมากเท่ากับ 1ใน 3 ของสินทรัพย์ ควรทำอย่างไรให้บริษัทปันผลเงินส่วนนี้ออกมาก่อนการ Tender Offer ครับ (ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีสิทธิเรียกร้องได้ไหม)
4. ผมไม่แน่ใจในการหามูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นดังนี้ครับ
สมมุติผมหา FCF ของกิจการได้และให้สมมุติฐานว่าบริษัทจะไม่มีการเจริญเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ผมจะหา Value of firm ได้เท่ากับ FCF/WACC
พอได้ Value of firm แล้ว เราก็หา Value of Debt จากการเอา %ของหนี้ คูณด้วย Value of firm พอคำนวณ Value of Debt เสร็จ
ก็เอาไปหักออกจาก Value of firm ก็จะได้เป็น Value of Equity
ผมสงสัยในขั้นตอนต่อไปครับ คือ ในเมื่อบริษัทนั้นมีเงินสดจำนวนมาก ก่อนที่เราจะเอา Value of Equity ไปหารด้วยจำนวนหุ้น เพื่อให้ได้ราคาที่แท้จริงต่อหุ้น
เราควรที่จะต้องเอาเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในปีที่เราคำนวณไปบวกเข้ากับ Value of Equity ก่อนที่จะเอามาหารด้วยจำนวณหุ้นถูกต้องไหมครับ
*ผมกำลังคิดว่าถ้าบริษัทไม่ปันผลเงินสดออกมาก่อนทำการTender Offer แล้วมาคิด DCF ในเทอมเงินสดอย่างเดียวอย่างนี้ผู้ถือห้นรายย่อยก็เสียเปรียบตายสิครับ
ปวดหมองครับ ปวดหมอง ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกซะแล้ว
5. อยากให้พี่ CK กรุณาเล่าครับ ให้ฟังหน่อยครับ รู้สึกพี่จะถือหุ้นออกนอกตลาด บริษัทหนึ่ง
บริษัทที่พี่ CK ถือหุ้นออกนอกตลาด ปฏิบัติกับพี่เช่นไร แล้วยังหาความเป็นธรรมมาภิบาลได้อยู่รึเปล่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 2
1. เนื่องจากแวค คือต้นทุนของหนี้และทุน ต้นทุนหนี้ก็คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ส่วนต้นทุนของทุน ก็แล้วแต่ความพอใจของผู้ลงทุน คิดง่ายๆ ให้ wacc เท่ากับ 10..
2. ราคาที่จะทำ teder offer หาได้หลายวิธี (สามารถดูตัวอย่างได้จากกรณี UFC) แต่ส่วนใหญ่หากผู้ทำ tender ต้องการหุ้นจริงๆ (ไม่ใช่ทำตามกฎ กลต) มักให้ราคาสูงกว่าราคาตลาด
3.คงจะยากครับ เพราะคนที่มีืือำนาจบริหาร เป็นคนทำ tender ซะเอง เค้าคงไม่ปล่อยเงินออกมาเป็นปันผลครับ
ส่วนต้นทุนของทุน ก็แล้วแต่ความพอใจของผู้ลงทุน คิดง่ายๆ ให้ wacc เท่ากับ 10..
2. ราคาที่จะทำ teder offer หาได้หลายวิธี (สามารถดูตัวอย่างได้จากกรณี UFC) แต่ส่วนใหญ่หากผู้ทำ tender ต้องการหุ้นจริงๆ (ไม่ใช่ทำตามกฎ กลต) มักให้ราคาสูงกว่าราคาตลาด
3.คงจะยากครับ เพราะคนที่มีืือำนาจบริหาร เป็นคนทำ tender ซะเอง เค้าคงไม่ปล่อยเงินออกมาเป็นปันผลครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 3
ไอ้ตัวเลข 10 นี่ ตอนเอาไปใช้เลือกซื้อหุ้นก็ชอบนะครับ
แต่ตอนโดนบังคับขายนี่ไม่อยากให้คิดที่ 10 เลยครับ
ยิ่งตอนนี้ market return ต่ำๆจนเป็นลบอย่างนี้
เนี่ยถ้าใช้ตัวเลข 10 อีก ก็โครตเอาเปรียบเลยครับ
นอนไม่หลับแน่เลยครับสำหรับผมคืนนี้
ไม่รู้พี่ๆคนอื่นไปไหนหมด วันนี้เหลือพี่ ลูกอีสานคนเดียวเอง
เวลาแบบนี้คิดทึ้งคิดถึงจริงๆ เหล่าพี่ๆจริงๆ
แต่ตอนโดนบังคับขายนี่ไม่อยากให้คิดที่ 10 เลยครับ
ยิ่งตอนนี้ market return ต่ำๆจนเป็นลบอย่างนี้
เนี่ยถ้าใช้ตัวเลข 10 อีก ก็โครตเอาเปรียบเลยครับ
นอนไม่หลับแน่เลยครับสำหรับผมคืนนี้
ไม่รู้พี่ๆคนอื่นไปไหนหมด วันนี้เหลือพี่ ลูกอีสานคนเดียวเอง
เวลาแบบนี้คิดทึ้งคิดถึงจริงๆ เหล่าพี่ๆจริงๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 5
โดยปกติแล้ว (ข้อย้ำนะครับ ว่าโดยปกติ) บริษัทที่ออกนอกตลาดเป็น
ผลสำเร็จมักจะถูกเสนอซื้อในราคา 20 เท่าของ EPS หรือ 2 เท่าของบุ๊ค
ครับ อันนี้เป็นตัวเลขในช่วงตลาดขาขึ้น
ส่วนตลาดขาลงก็เปลี่ยนแปลงไปตามส่วน
เนื่องจากบริษัทที่ทำ T/O เป็นบริษัทต่างชาติ ถ้าราคาไม่น่าสนใจก็ไม่ต้อง
ขายครับ ถ้ารายย่อยขายไม่มากพอ ก็จะเสนอซื้อไม่ได้
ส่วนการตามออกนอกตลาดนั้น ต้องดูหลายๆ ปัจจัยมาประกอบครับ ที่แน่ๆ
คือความเสี่ยงสูงมาก เราไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงอะไรจะไปคัดค้านเขาเลยครับ
ไม่แนะนำให้ทำนอกจากจะเป็นจำนวนน้อยๆ มากๆ
ในกรณีที่เป็นบริษัทเข้า takeover ยิ่งไม่น่าทำใหญ่ครับ เพราะบริษัทสามารถ
บังคับให้บริษัทลูกปล่อยกู้ให้บริษัทแม่ในอัตราดอกเบี้ยต่ำติดดิน หรือมีการทำ
รายการโยงกัน ทำให้กำไรตกอยู่กับบริษัทแม่ได้ง่ายๆ ครับ
สรุปแล้ว ผมคิดว่า TGP น่าจะทำ tender offer ที่ประมาณ 7-8 บาทครับ
ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลขที่มีคนสนใจขายมากพอควร แต่ช่วงตลาดแบบนี้ อะไร
ก็เกิดขึ้นได้ครับ อาจจะทำที่ 5 บาทก็ไม่แปลก
งบ TGP ออกแล้วครับ ขอไปดูก่อน
ผลสำเร็จมักจะถูกเสนอซื้อในราคา 20 เท่าของ EPS หรือ 2 เท่าของบุ๊ค
ครับ อันนี้เป็นตัวเลขในช่วงตลาดขาขึ้น
ส่วนตลาดขาลงก็เปลี่ยนแปลงไปตามส่วน
เนื่องจากบริษัทที่ทำ T/O เป็นบริษัทต่างชาติ ถ้าราคาไม่น่าสนใจก็ไม่ต้อง
ขายครับ ถ้ารายย่อยขายไม่มากพอ ก็จะเสนอซื้อไม่ได้
ส่วนการตามออกนอกตลาดนั้น ต้องดูหลายๆ ปัจจัยมาประกอบครับ ที่แน่ๆ
คือความเสี่ยงสูงมาก เราไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงอะไรจะไปคัดค้านเขาเลยครับ
ไม่แนะนำให้ทำนอกจากจะเป็นจำนวนน้อยๆ มากๆ
ในกรณีที่เป็นบริษัทเข้า takeover ยิ่งไม่น่าทำใหญ่ครับ เพราะบริษัทสามารถ
บังคับให้บริษัทลูกปล่อยกู้ให้บริษัทแม่ในอัตราดอกเบี้ยต่ำติดดิน หรือมีการทำ
รายการโยงกัน ทำให้กำไรตกอยู่กับบริษัทแม่ได้ง่ายๆ ครับ
สรุปแล้ว ผมคิดว่า TGP น่าจะทำ tender offer ที่ประมาณ 7-8 บาทครับ
ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลขที่มีคนสนใจขายมากพอควร แต่ช่วงตลาดแบบนี้ อะไร
ก็เกิดขึ้นได้ครับ อาจจะทำที่ 5 บาทก็ไม่แปลก
งบ TGP ออกแล้วครับ ขอไปดูก่อน
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 9
พี่ CK ครับผมปรับให้ ปี 46 ให้เป็นรายการปกติแล้ว
เพราะในปี 46 มี
การกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย 251,679,681 บาทครับ
47 46 45 44
Gross Profit Margin 43.44% 39.22% 40.45% 36.50%
Operating Profit Margin 23.27% 30.55% 15.32% 6.32%
Net Profit Margin 23.27% 15.09% 13.68% 3.74%
47 % 46 % 45 % 44
EBITDA ปกติ 591,885 55% 381,063 11% 342,985 45% 236,493
EPS ปกติ 0.48 82% 0.26 37% 0.19 298% 0.05
ยัง Growth อยู่ครับ
เพราะในปี 46 มี
การกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย 251,679,681 บาทครับ
47 46 45 44
Gross Profit Margin 43.44% 39.22% 40.45% 36.50%
Operating Profit Margin 23.27% 30.55% 15.32% 6.32%
Net Profit Margin 23.27% 15.09% 13.68% 3.74%
47 % 46 % 45 % 44
EBITDA ปกติ 591,885 55% 381,063 11% 342,985 45% 236,493
EPS ปกติ 0.48 82% 0.26 37% 0.19 298% 0.05
ยัง Growth อยู่ครับ
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 12
งบกระแสเงินสด
47 % 46 % 45 % 44
CFO 512,016 26% 405,776 38% 294,022 18% 249,820
CFI -389,996 359% -85,033 -52% -175,908 957% -16,641
Capex -62,846 6% -59,470 640% -8,033 -75% -32,062
FCF 449,170 30% 346,306 21% 285,990 31% 217,758
47 % 46 % 45 % 44
CFO 512,016 26% 405,776 38% 294,022 18% 249,820
CFI -389,996 359% -85,033 -52% -175,908 957% -16,641
Capex -62,846 6% -59,470 640% -8,033 -75% -32,062
FCF 449,170 30% 346,306 21% 285,990 31% 217,758
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 17
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงานของบริษัท งวด 1 ปี ตรวจสอบ สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 มีกำไรสุทธิ 477.19 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.48 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำไร 513.85 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.51 บาท
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 19
พี่เจ๋งครับอาจจะไม่มีคนขายครับ เพราะว่าราคาตลาดล่าสุด
ห่างจาก Tender Offer 56.25% คนที่มีหุ้นอยู่คงไปขาย ในวันรับซื้อเลยครับ
ห่างจาก Tender Offer 56.25% คนที่มีหุ้นอยู่คงไปขาย ในวันรับซื้อเลยครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Wvix เมื่อ จันทร์ พ.ค. 24, 2004 10:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 24
bid 24.4 ล้านหุ้น
อืม บริษัทนี้ก็แปลกนะ ทุน 10000 ล้าน market cap 4400 ล้านบาท แสดงว่าที่ผ่านมานี่ขาดทุนยับ
แต่ดู eps ย้อนหลัง 5 ปี กำไรต่อเนื่อง อืม
ไม่เคยดู ไม่ยุ่งด้วยดีกว่า
อิอิ ยินดีกับน้อง Wvix ด้วย ตาถึง เหมือนพี่ปรัชญาเลย
อืม บริษัทนี้ก็แปลกนะ ทุน 10000 ล้าน market cap 4400 ล้านบาท แสดงว่าที่ผ่านมานี่ขาดทุนยับ
แต่ดู eps ย้อนหลัง 5 ปี กำไรต่อเนื่อง อืม
ไม่เคยดู ไม่ยุ่งด้วยดีกว่า
อิอิ ยินดีกับน้อง Wvix ด้วย ตาถึง เหมือนพี่ปรัชญาเลย
-
- ผู้ติดตาม: 0
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 27
พี่เจ๋งครับตลาดขึ้น Halt ไปแล้วครับ มาร์ผมบอก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ผมเข้ามาเฉพาะกิจครับคือผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ครับ
โพสต์ที่ 30
ตลาดหลักทรัพย์ปลดเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ TGP
ตามที่บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) (TGP)ได้ขอให้
ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทในวันที่ 20
และ 21 พฤษภาคม 2547 เนื่องจากคณะกรรมการบริษัทจะมีการพิจารณา
เรื่องที่มีผู้สนใจจะทำคำเสนอซื้อหุ้นของบริษัท และการขอเพิกถอน
หลักทรัพย์จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยสมัครใจในวันที่ 21
พฤษภาคม 2547 และตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension)
หลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราวในวันที่ 20 และ 21 พฤษภาคม
2547 ตามที่บริษัทขอมานั้น
บัดนี้บริษัทได้เปิดเผยข้อมูลมายังตลาดหลักทรัพย์แล้วว่า บริษัทจะทำการ
เพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และ บริษัท บีพีบี
ยิบซั่ม บีวี จะทำคำเสนอซื้อหุ้นไม่เกิน 352,520,762 หุ้น ในราคา 7.00
บาทต่อหุ้น ซึ่งได้เผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปได้ทราบทั่วกันแล้ว ตลาดหลักทรัพย์
จึงเห็นสมควรปลดเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่ออนุญาตให้ซื้อ
หรือขายหลักทรัพย์ของ TGP ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2547 เป็นต้นไป
ตามที่บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) (TGP)ได้ขอให้
ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทในวันที่ 20
และ 21 พฤษภาคม 2547 เนื่องจากคณะกรรมการบริษัทจะมีการพิจารณา
เรื่องที่มีผู้สนใจจะทำคำเสนอซื้อหุ้นของบริษัท และการขอเพิกถอน
หลักทรัพย์จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยสมัครใจในวันที่ 21
พฤษภาคม 2547 และตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension)
หลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราวในวันที่ 20 และ 21 พฤษภาคม
2547 ตามที่บริษัทขอมานั้น
บัดนี้บริษัทได้เปิดเผยข้อมูลมายังตลาดหลักทรัพย์แล้วว่า บริษัทจะทำการ
เพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และ บริษัท บีพีบี
ยิบซั่ม บีวี จะทำคำเสนอซื้อหุ้นไม่เกิน 352,520,762 หุ้น ในราคา 7.00
บาทต่อหุ้น ซึ่งได้เผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปได้ทราบทั่วกันแล้ว ตลาดหลักทรัพย์
จึงเห็นสมควรปลดเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่ออนุญาตให้ซื้อ
หรือขายหลักทรัพย์ของ TGP ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2547 เป็นต้นไป