หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 1
ผมลองหามูลค่าของบริษัท ตามความเข้าใจของตัวเอง
ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะถือว่าใช้ได้หรือไม่ครับ
บริษัท A มีข้อมูลจาก งบดุลปี 2550 ดังนี้
ทรัพย์สินรวม 14,412 ล้านบาท
หนี้สินรวม 768 ล้านบาท
ดังนั้น ตามสูตร -----> ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ทุน
เราก็จะได้ -----------> ทุน = ทรัพย์สิน - หนี้สิน
ถ้าผมนำตัวเลขมาใส่สูตรข้างต้น
ผมก็ควรจะได้มูลค่าของทุนทั้งหมดของบริษัท แบบนี้
ทุน = 14,412 - 768 = 13,644 ล้านบาท
และ ในเมื่อบริษัทมีหุ้นรวมทั้งสิ้น = 201 ล้านหุ้น
หุ้นแต่ละหุ้นของบริษัท ก็น่าจะมีมูลค่า = 13,644 / 201 = 67 บาท
----------------------------------------------------------------
เขาคิดกันแบบนี้หรือเปล่าครับ
----------------------------------------------------------------
ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะถือว่าใช้ได้หรือไม่ครับ
บริษัท A มีข้อมูลจาก งบดุลปี 2550 ดังนี้
ทรัพย์สินรวม 14,412 ล้านบาท
หนี้สินรวม 768 ล้านบาท
ดังนั้น ตามสูตร -----> ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ทุน
เราก็จะได้ -----------> ทุน = ทรัพย์สิน - หนี้สิน
ถ้าผมนำตัวเลขมาใส่สูตรข้างต้น
ผมก็ควรจะได้มูลค่าของทุนทั้งหมดของบริษัท แบบนี้
ทุน = 14,412 - 768 = 13,644 ล้านบาท
และ ในเมื่อบริษัทมีหุ้นรวมทั้งสิ้น = 201 ล้านหุ้น
หุ้นแต่ละหุ้นของบริษัท ก็น่าจะมีมูลค่า = 13,644 / 201 = 67 บาท
----------------------------------------------------------------
เขาคิดกันแบบนี้หรือเปล่าครับ
----------------------------------------------------------------
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มูลค่าของบริษัท
โพสต์ที่ 4
ไม่แน่เสมอไปครับnara เขียน:ค่านี้ถือเป็น
มูลค่าขั้นต่ำของบริษัท หมายความว่า ราคาหุ้นไม่ควรสูงไปกว่านี้ ใช่ไหมครับ
ถ้าน้องทำadjust book ให้เป็นมูลค่าล่าสุดหรือทันสมัยที่สุดได้
ก็ถือเป็นตัวเลขมูลค่าหุ้นในใจได้
แต่ทรัพย์สินบางอย่างเช่นโรงงาน เครื่องจักร นี่ประเมินยากครับ
เลิกกิจการอาจไม่มีค่าเลยก็ได้
แต่อย่างที่ดินราคาที่ลงไว้เป็นของเดิมอาจมีค่าเพิ่มกว่าบุ๊คได้เช่นกัน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
มูลค่าทางบัญชี
โพสต์ที่ 5
ถ้าอย่างนั้น ผมขอแก้เป็นว่า
ค่าที่ได้นี้เป็นมูลค่าขั้นต่ำ ของบริษัท
และน่าจะถือได้ว่าเป็นราคาขั้นต่ำของราคาหุ้นของบริษัทนี้
เพราะดูไปแล้วเหมือนกับค่า P/B เลยนะครับ
คือ ถ้าราคาหุ้นในปัจจุบัน มีราคาต่ำกว่า ค่าที่หาได้
เช่น ราคาหุ้นสมมุติเป็น 50 บาท ส่วนราคาที่หาได้จากข้างต้นเป็น 67 บาท
เราก็จะได้ ค่า P/B เป็น 50/67 = 0.74 ซึ่งต่ำกว่า 1
เคยอ่านพบว่า ถ้า P/B มีค่าต่ำกว่า 1 แสดงว่า ถ้าเราซื้อหุ้นในราคานี้ (50)
ถือว่าเราซื้อหุ้นได้ในราคาที่ดีกว่า เจ้าของเสียอีก
ตรงนี้แหละครับ ที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก
มองอย่างไรครับ ว่าได้ราคาดีกว่าเจ้าของ ??
ค่าที่ได้นี้เป็นมูลค่าขั้นต่ำ ของบริษัท
และน่าจะถือได้ว่าเป็นราคาขั้นต่ำของราคาหุ้นของบริษัทนี้
เพราะดูไปแล้วเหมือนกับค่า P/B เลยนะครับ
คือ ถ้าราคาหุ้นในปัจจุบัน มีราคาต่ำกว่า ค่าที่หาได้
เช่น ราคาหุ้นสมมุติเป็น 50 บาท ส่วนราคาที่หาได้จากข้างต้นเป็น 67 บาท
เราก็จะได้ ค่า P/B เป็น 50/67 = 0.74 ซึ่งต่ำกว่า 1
เคยอ่านพบว่า ถ้า P/B มีค่าต่ำกว่า 1 แสดงว่า ถ้าเราซื้อหุ้นในราคานี้ (50)
ถือว่าเราซื้อหุ้นได้ในราคาที่ดีกว่า เจ้าของเสียอีก
ตรงนี้แหละครับ ที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก
มองอย่างไรครับ ว่าได้ราคาดีกว่าเจ้าของ ??
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
สมมุตินะครับสมมุติ
โพสต์ที่ 7
สมมุติว่าพี่ por_jai มีเงินมาก มากพอที่จะซื้อบริษัท A ที่ว่านี้
พี่จะซื้อบริษัทนี้หรือไม่ครับ หมายถึงซื้อทั้งบริษัทเลยนะครับ
พี่มองอย่างไรครับ ในกรณีนี้
ผมเอง ผมมองว่าถ้ามีิิเงินมากขนาดนั้น ผมซื้อเลยครับ
เพราะมูลค่าทั้งบริษัทตอนนี้ถือว่าถูกมาก เหมือนกำลัง
อยู่ในช่วงลดราคาเลยนะครับ
ผมคิดแบบว่า ราคาตามบัญชี 67 บาท แต่ราคาในตลาด 50 บาท
คิดมูลค่าแล้วต่างกัน 67-50 = 17 บาท
คิดเป็นส่วนลดถึง 17*100/67 = 25.37 % ทีเดียวนะครับ
แต่อีกนั่นแหละ ผมว่าพี่อาจจะไม่ซื้อก็ได้
แสดงว่ามันต้องมีหลักในการคิดสักอย่างกระมังครับ
พี่จะซื้อบริษัทนี้หรือไม่ครับ หมายถึงซื้อทั้งบริษัทเลยนะครับ
พี่มองอย่างไรครับ ในกรณีนี้
ผมเอง ผมมองว่าถ้ามีิิเงินมากขนาดนั้น ผมซื้อเลยครับ
เพราะมูลค่าทั้งบริษัทตอนนี้ถือว่าถูกมาก เหมือนกำลัง
อยู่ในช่วงลดราคาเลยนะครับ
ผมคิดแบบว่า ราคาตามบัญชี 67 บาท แต่ราคาในตลาด 50 บาท
คิดมูลค่าแล้วต่างกัน 67-50 = 17 บาท
คิดเป็นส่วนลดถึง 17*100/67 = 25.37 % ทีเดียวนะครับ
แต่อีกนั่นแหละ ผมว่าพี่อาจจะไม่ซื้อก็ได้
แสดงว่ามันต้องมีหลักในการคิดสักอย่างกระมังครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 8
จะซื้อต้องมีหลายเงื่อนไขนะ
เราต้องอยากซื้อ
เขาก็ต้องอยากขาย
สมมุติเขาถือหุ้นอยู่เกินครึ่ง
เขาไม่ขายเราจะทำอย่างไร
เราซื้อไปไม่ถึงครึ่ง
ตอนประชุมโหวตเรื่องบริหารก็แพ้เขาอยู่ดี
เงินก็ไปจม
คิดซื้อกิจการ ยากกว่าเล่นหุ้นอีกมั๊ง
เราต้องอยากซื้อ
เขาก็ต้องอยากขาย
สมมุติเขาถือหุ้นอยู่เกินครึ่ง
เขาไม่ขายเราจะทำอย่างไร
เราซื้อไปไม่ถึงครึ่ง
ตอนประชุมโหวตเรื่องบริหารก็แพ้เขาอยู่ดี
เงินก็ไปจม
คิดซื้อกิจการ ยากกว่าเล่นหุ้นอีกมั๊ง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 9
เคยมีประสบการณ์ถกปัญหาทำนองนี้กับพี่ที่ทำงาน
เพราะพี่เขาชอบเก็บหุ้นที่ PBV < 1 แล้วกอดไว้แน่นด้วยเหตุผลเดียวครับ คือซื้อมาถูกกว่าเจ้าของ
ประเด็นที่น่าจะให้ความสำคัญมากกว่า ไม่ใช่ต้นทุนใครจะต่ำกว่าใคร
เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าจะกอดทรัพย์สมบัติไว้เยอะแยะ แต่ให้ผลตอบแทนต่ำ
แต่ควรมุ่งเน้นไปกิจการที่มีความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเจ้าของ หรือหุ้นส่วนครับ
ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นหุ้นที่มี PBV หลายๆ เท่าหรอกครับ
เพราะพี่เขาชอบเก็บหุ้นที่ PBV < 1 แล้วกอดไว้แน่นด้วยเหตุผลเดียวครับ คือซื้อมาถูกกว่าเจ้าของ
ประเด็นที่น่าจะให้ความสำคัญมากกว่า ไม่ใช่ต้นทุนใครจะต่ำกว่าใคร
เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าจะกอดทรัพย์สมบัติไว้เยอะแยะ แต่ให้ผลตอบแทนต่ำ
แต่ควรมุ่งเน้นไปกิจการที่มีความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเจ้าของ หรือหุ้นส่วนครับ
ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นหุ้นที่มี PBV หลายๆ เท่าหรอกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 10
[quote="nara"]ผมลองหามูลค่าของบริษัท ตามความเข้าใจของตัวเอง
ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะถือว่าใช้ได้หรือไม่ครับ
บริษัท A มีข้อมูลจาก งบดุลปี 2550 ดังนี้
ทรัพย์สินรวม 14,412 ล้านบาท
หนี้สินรวม 768 ล้านบาท
ดังนั้น ตามสูตร ----->
ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะถือว่าใช้ได้หรือไม่ครับ
บริษัท A มีข้อมูลจาก งบดุลปี 2550 ดังนี้
ทรัพย์สินรวม 14,412 ล้านบาท
หนี้สินรวม 768 ล้านบาท
ดังนั้น ตามสูตร ----->
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 11
ผมว่าเป็นกันทุกบริษัทเลยครับ เพราะถึงบางรายการจะเทียบเท่าเงินสดsattaya เขียน:...ที่ตั้งคำถามนี้อยากจะบอกพี่นราว่าบางบริษัทราคาทางบัญชีไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทเลย
แต่เงินสดก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ นี่นา แถมบางรายการอาจถูกเปลี่ยนไปเป็นเงินสดที่น้อยกว่ามูลค่าประเมินก็ได้
เหมือนที่วอร์เรนบัฟเฟตเคยบอก "ผมซื้อกิจการนี้ก็เพราะคุณ !!!"
ปล. ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของบริษัท ก็ได้สิทธิ์ในตัวผู้บริหารด้วยครับ ซึ่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในงบทางบัญชี
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
นับได้ว่ายากมากครับ
โพสต์ที่ 12
ถือว่ายากมากเลยนะครับ ยิ่งมือใหม่ด้วยแล้ว
ขนาดตัวเลขกว่าจะหามาได้ ก็ลำบากเอามากๆ เพราะไม่มีใครบอกว่า
จะหาได้จากที่ไหน พอหามาได้ก็ต้องทำความเข้าใจอีก และท้ายที่สุด
มันแทบจะไม่ได้บอกอะไรได้มากนัก
โห...
แทบจะไม่ต้องคิดซื้อบริษัทเขาเลยนะครับ
แค่ขอแบ่งซื้อหุ้นส่วนสักนิดหน่อย ยังแทบจะไม่กล้าซื้อซะแล้ว
นี่ขนาดเล็งๆ ว่าราคาตกลงมาซะขนาดนี้แล้วนะครับ
เพราะเราไม่มีทางรู้จักบริษัทในแง่มุมอื่นๆ ได้ง่ายๆเลย ไม่ว่า
- ceo ของบริษัท ทั้งในแง่ความสามารถ และ ประสิทธิภาพ ความจริงใจ ฯ
- ทิศทางธุรกิจของบริษัท และ ทีมงานของบริษัท
- ลูกค้าและการดำเนินงานของบริษัท
อย่างมากก็ดูตัวเลข งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด
ซึ่งก็ดูยาก และ ตีความได้ยากอยู่แล้ว
ขนาดตัวเลขกว่าจะหามาได้ ก็ลำบากเอามากๆ เพราะไม่มีใครบอกว่า
จะหาได้จากที่ไหน พอหามาได้ก็ต้องทำความเข้าใจอีก และท้ายที่สุด
มันแทบจะไม่ได้บอกอะไรได้มากนัก
โห...
แทบจะไม่ต้องคิดซื้อบริษัทเขาเลยนะครับ
แค่ขอแบ่งซื้อหุ้นส่วนสักนิดหน่อย ยังแทบจะไม่กล้าซื้อซะแล้ว
นี่ขนาดเล็งๆ ว่าราคาตกลงมาซะขนาดนี้แล้วนะครับ
เพราะเราไม่มีทางรู้จักบริษัทในแง่มุมอื่นๆ ได้ง่ายๆเลย ไม่ว่า
- ceo ของบริษัท ทั้งในแง่ความสามารถ และ ประสิทธิภาพ ความจริงใจ ฯ
- ทิศทางธุรกิจของบริษัท และ ทีมงานของบริษัท
- ลูกค้าและการดำเนินงานของบริษัท
อย่างมากก็ดูตัวเลข งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด
ซึ่งก็ดูยาก และ ตีความได้ยากอยู่แล้ว
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นับได้ว่ายากมากครับ
โพสต์ที่ 13
เอาที่ตัวผมละกันnara เขียน: เพราะเราไม่มีทางรู้จักบริษัทในแง่มุมอื่นๆ ได้ง่ายๆเลย ไม่ว่า
- ceo ของบริษัท ทั้งในแง่ความสามารถ และ ประสิทธิภาพ ความจริงใจ ฯ
- ทิศทางธุรกิจของบริษัท และ ทีมงานของบริษัท
- ลูกค้าและการดำเนินงานของบริษัท
อย่างมากก็ดูตัวเลข งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด
ซึ่งก็ดูยาก และ ตีความได้ยากอยู่แล้ว
เวลาขุดหุ้นเราต้องดูตัวเลขทางการเงินก่อนเป็นปฐมบท
เรื่องอื่นๆจึงจะตามมาต่อจากนั้นอีกมากมาย
ไม่เคยท้อเลยครับ
ผมคุยเรื่องหุ้นอ่านเรื่องหุ้นได้ทั้งวันไม่เคยเบื่อ
ทำอย่างนี้มาไม่ต่ำกว่า3ปีแล้ว
ขนาดทำอย่างนี้
6เดือนที่ผ่านมารวมๆแล้วยังขาดทุนเลยครับ
มันไม่ใช่อะไรที่ตรงไปตรงมา หรือมีสูตรสำเร็จ
มันเป็นอะไรที่ผสมผสานทั้งความรู้ ประสบการณ์ ฟ้าลิขิต
คิดว่ายากเกินไป มีอย่างอื่นง่ายกว่า
เลิกตอนนี้ก็ยังทันนะน้อง
เชื่อไหมน้องนาระ ผมเชื่อว่าคำว่าอิสรภาพทางการเงิน
นี่เป็นคำหรูๆที่เขาเอาไว้ชักชวนรุ่นใหม่มือใหม่เงินเยอะบ้างน้อยบ้าง
ให้เข้ามาตลาด
มาเล่นในสนามที่เขาชำนาญกว่า
เข้าตลาดนี่เหมือนลงพรีเมียร์ลีกนะครับ เพราะมีคนเก่งอยู่เต็มไปหมด
น้องนาระตอนนี้ยังอยู่นอกลีก แต่มีสิทธิเจอแมนยูได้ทุกระยะ
คิดแล้วยังคิดว่าไหวอีกหรือเปล่าครับ
พี่พูดแรงไปหรือเปล่าเนี่ย
ฟ้าคงลิขิตให่เข้ามาอ่านกระทู้ของน้องช่วงนี้ แล้วคงถูกโฉลก
ชอบที่รู้จักหางบมาดู
ดูแล้วขวนขวายดี มีแวว..มยุรา...ฮ่า...
ถามมาอีกได้เรื่อยๆนะ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับ
โพสต์ที่ 14
เมื่อก่อนผมใช้การเดินไป-กลับโรงเรียน เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ไกลบ้าน
ห่างกันประมาณ 4-5 ป้ายรถเมล์ เดินไปก็ไม่ได้ต้องรีบร้อนอะไร
เดินทางแบบนี้ได้เป็นปีๆ ไม่มีปัญหา ด้วยไม่มีเงินซื้อรถ และ ขับรถไม่เป็น
ระหว่างเดินก็มองรถในถนนไปด้วย แล้วก็แปลกใจมากๆ ว่าเขาขับรถ
กันเก่งจริงๆ เพื่อไม่ให้รถมันชนกัน ถึงแม้ช่วงเวลาที่รถติดเป็นแพ
ต้องวิ่งๆ หยุดๆ แต่ก็ไม่เห็นชนกันหรือ กระแทกกันสักที บางครั้งถนนว่าง
ก็วิ่งกันเร็วสุดๆ เขาคงต้องเก่งกันมากๆ เลย เพราะไม่ว่าถนนจะมีสภาพ
อย่างไร ก็สามารถประคองรถ วิ่งๆหยุดๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยขวา ปาดหน้า
ปาดหลัง แซงไปมา แล้วก็ถึงจุดหมายกันได้ทุกวัน มันต้องยากมากๆ เป็นแน่
พอโตมาจนขับรถได้เอง ถึงได้รู้ว่า โธ่ !! ไม่มีอะไรเลย ขับรถเป็นมันก็คือ
การขับรถนั่นแหละ ไม่ว่าจะขับในกรุงเทพ หรือ ขับต่างจังหวัด ไม่ว่า
รถจะติด หรือ ไล่กวดคันหน้า แซงซ้าย กดแตร เปิดไฟสูง ก็ทำได้หมด
แล้วยังได้เรียนรู้ การฝ่าไฟแดง ถูกตำรวจจับ ชนชาวบ้าน ขึ้นโรงพัก
ทุกวันนี้ความยากมันก็หายไป แต่เป็นเรื่องใหม่ เรื่องความปลอดภัย ความใจเย็น ความรู้เรื่องรถ เรื่องกฎจราจร เรื่องการใช้ถนนร่วมกัน ซึ่งกว่าจะขับรถเป็นแบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีทีเดียวครับ
ทุกวันก็ยังขับรถอยู่ เพราะมีความจำเป็นต้องใช้
------------------------------------------------------
เรื่องหุ้น
ผมก็มองและคิดแบบเดียวกันกับการขับรถของผมนั่นแหละครับ
ีการทำงานในแต่ละวัน ก็เหมือนกันกับการเดินอยู่บนทางเท้า ข้างถนน
ทำงานหาเงินไปวันๆ มีความปลอดภัยและไม่ต้องรีบร้อน
ผมเอง มองถนนของหุ้นมานานในระหว่างที่เดินอยู่ข้างถนน
มองเรื่องหุ้นว่าเป็นเรื่องยาก คนอยู่ในวงการคงต้องเก่งกันมากๆ เลย
และดูวุ่นวายไม่ต่างกันกับรถที่วิ่งอยู่บนถนนซะเท่าไร
แต่สักวันผมก็คงต้องนั่งขับรถอยู่ในถนนหุ้นเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละครับ
ตอนนี้ก็เล็งๆ อยู่ว่าจะถอยหุ้นคันไหนออกมาขับเล่นกับเขาบ้าง คงเป็นคัน
เล็กๆ สัก 2-3 คัน ทดลองขับไปสักปีสองปี อีกหน่อยคงขับแซงชาวบ้าน
เป็นกับเขาบ้าง แต่คงไม่ถึงกับขับแหกโค้ง หรือ เสยใครเข้าหรอกครับ
เพราะเรียนรู้เรื่องความปลอดภัย จากประสบการณ์อื่นๆ มาบ้างแล้ว
ห่างกันประมาณ 4-5 ป้ายรถเมล์ เดินไปก็ไม่ได้ต้องรีบร้อนอะไร
เดินทางแบบนี้ได้เป็นปีๆ ไม่มีปัญหา ด้วยไม่มีเงินซื้อรถ และ ขับรถไม่เป็น
ระหว่างเดินก็มองรถในถนนไปด้วย แล้วก็แปลกใจมากๆ ว่าเขาขับรถ
กันเก่งจริงๆ เพื่อไม่ให้รถมันชนกัน ถึงแม้ช่วงเวลาที่รถติดเป็นแพ
ต้องวิ่งๆ หยุดๆ แต่ก็ไม่เห็นชนกันหรือ กระแทกกันสักที บางครั้งถนนว่าง
ก็วิ่งกันเร็วสุดๆ เขาคงต้องเก่งกันมากๆ เลย เพราะไม่ว่าถนนจะมีสภาพ
อย่างไร ก็สามารถประคองรถ วิ่งๆหยุดๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยขวา ปาดหน้า
ปาดหลัง แซงไปมา แล้วก็ถึงจุดหมายกันได้ทุกวัน มันต้องยากมากๆ เป็นแน่
พอโตมาจนขับรถได้เอง ถึงได้รู้ว่า โธ่ !! ไม่มีอะไรเลย ขับรถเป็นมันก็คือ
การขับรถนั่นแหละ ไม่ว่าจะขับในกรุงเทพ หรือ ขับต่างจังหวัด ไม่ว่า
รถจะติด หรือ ไล่กวดคันหน้า แซงซ้าย กดแตร เปิดไฟสูง ก็ทำได้หมด
แล้วยังได้เรียนรู้ การฝ่าไฟแดง ถูกตำรวจจับ ชนชาวบ้าน ขึ้นโรงพัก
ทุกวันนี้ความยากมันก็หายไป แต่เป็นเรื่องใหม่ เรื่องความปลอดภัย ความใจเย็น ความรู้เรื่องรถ เรื่องกฎจราจร เรื่องการใช้ถนนร่วมกัน ซึ่งกว่าจะขับรถเป็นแบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีทีเดียวครับ
ทุกวันก็ยังขับรถอยู่ เพราะมีความจำเป็นต้องใช้
------------------------------------------------------
เรื่องหุ้น
ผมก็มองและคิดแบบเดียวกันกับการขับรถของผมนั่นแหละครับ
ีการทำงานในแต่ละวัน ก็เหมือนกันกับการเดินอยู่บนทางเท้า ข้างถนน
ทำงานหาเงินไปวันๆ มีความปลอดภัยและไม่ต้องรีบร้อน
ผมเอง มองถนนของหุ้นมานานในระหว่างที่เดินอยู่ข้างถนน
มองเรื่องหุ้นว่าเป็นเรื่องยาก คนอยู่ในวงการคงต้องเก่งกันมากๆ เลย
และดูวุ่นวายไม่ต่างกันกับรถที่วิ่งอยู่บนถนนซะเท่าไร
แต่สักวันผมก็คงต้องนั่งขับรถอยู่ในถนนหุ้นเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละครับ
ตอนนี้ก็เล็งๆ อยู่ว่าจะถอยหุ้นคันไหนออกมาขับเล่นกับเขาบ้าง คงเป็นคัน
เล็กๆ สัก 2-3 คัน ทดลองขับไปสักปีสองปี อีกหน่อยคงขับแซงชาวบ้าน
เป็นกับเขาบ้าง แต่คงไม่ถึงกับขับแหกโค้ง หรือ เสยใครเข้าหรอกครับ
เพราะเรียนรู้เรื่องความปลอดภัย จากประสบการณ์อื่นๆ มาบ้างแล้ว
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 15
ผมว่าที่น้องนาระเปรียบเทียบ
เรื่องขับรถกับเรื่องเล่นหุ้น
ผมกลับคิดว่าไม่เหมือนกันเลย
เพราะขับรถนี่ไม่มีจิตวิทยามาเกี่ยวนี่นา
คิดอย่างนี้อันตรายนะครับ
หุ้นนอกเหนือจากพื้นฐานที่ต้องคล่องแคล่วครบถ้วนแล้ว
เล่นหุ้นทุกแบบมีข้อแม้เรื่องจิตวิทยาทั้งนั้นครับ
ไม่ใช่แค่จิตวิทยาของตัวเองเรื่องโลภเรื่องกลัว
แต่ทั้งตลาดยังมีจิตวิทยาของตลาดครอบคลุมอยู่อีกชั้น
ที่จะชี้นำเราไปทางไหนก็ได้ที่เขาอยากจะให้เป็น
ผมศึกษามา4ปีเต็มๆ แบบเต็มเวลา
ยังรู้สึกว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายนัก
ท้อ ตอนนี้ก็ยังทันนะครับ
ถ้าลงไปแล้ว ท้อไม่ทันแล้วนะครับ
เรื่องขับรถกับเรื่องเล่นหุ้น
ผมกลับคิดว่าไม่เหมือนกันเลย
เพราะขับรถนี่ไม่มีจิตวิทยามาเกี่ยวนี่นา
คิดอย่างนี้อันตรายนะครับ
หุ้นนอกเหนือจากพื้นฐานที่ต้องคล่องแคล่วครบถ้วนแล้ว
เล่นหุ้นทุกแบบมีข้อแม้เรื่องจิตวิทยาทั้งนั้นครับ
ไม่ใช่แค่จิตวิทยาของตัวเองเรื่องโลภเรื่องกลัว
แต่ทั้งตลาดยังมีจิตวิทยาของตลาดครอบคลุมอยู่อีกชั้น
ที่จะชี้นำเราไปทางไหนก็ได้ที่เขาอยากจะให้เป็น
ผมศึกษามา4ปีเต็มๆ แบบเต็มเวลา
ยังรู้สึกว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายนัก
ท้อ ตอนนี้ก็ยังทันนะครับ
ถ้าลงไปแล้ว ท้อไม่ทันแล้วนะครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- ก้อนหิน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 16
ผมว่าพี่ nara มีจุดเริ่มของความคิดที่ดีครับ พยายามเข้านะครับ
ผมก็ยังเป้นมือใหม่เหมือนพี่เหมือนกันครับ ก็ขอความรู้พี่พอใจ กับพี่ในนี้เรื่อยๆครับ
แล้วผมก็เห็นด้วยกับพี่พอใจนะครับ หุ้นมันเป็นอีกมิติ ที่มีทั้งอารมณ์และเหตุผล มีทั้งศาสตร์และศิลป์ มีทั้งความโลภและความกลัว ผมเรียนหนังสือมาคิดว่ายากแล้วนะครับ เล่นหุ้นยากกว่าหลายเท่า
แ่ต่การเล่นหุ้นผมว่ามันมีเสน่ห์มากๆครับ ลองได้ศึกษาแล้วหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
แม้จะขาดทุนหรือกำไร การได้คุยเรื่องหุ้น ศึกษาเรื่องหุ้นนี่มันดีจริงๆ แม้จะต้องเริมต้น อย่างยากลำบาก ศึกษาอย่างหนักหน่วง แต่ผลตอบแทนมันก็คุ้มค่าจริงๆ
ผมก็ยังเป้นมือใหม่เหมือนพี่เหมือนกันครับ ก็ขอความรู้พี่พอใจ กับพี่ในนี้เรื่อยๆครับ
แล้วผมก็เห็นด้วยกับพี่พอใจนะครับ หุ้นมันเป็นอีกมิติ ที่มีทั้งอารมณ์และเหตุผล มีทั้งศาสตร์และศิลป์ มีทั้งความโลภและความกลัว ผมเรียนหนังสือมาคิดว่ายากแล้วนะครับ เล่นหุ้นยากกว่าหลายเท่า
แ่ต่การเล่นหุ้นผมว่ามันมีเสน่ห์มากๆครับ ลองได้ศึกษาแล้วหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
แม้จะขาดทุนหรือกำไร การได้คุยเรื่องหุ้น ศึกษาเรื่องหุ้นนี่มันดีจริงๆ แม้จะต้องเริมต้น อย่างยากลำบาก ศึกษาอย่างหนักหน่วง แต่ผลตอบแทนมันก็คุ้มค่าจริงๆ
- ก้อนหิน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอบคุณครับ
โพสต์ที่ 18
nara เขียน:ขอบคุณพี่por_jai และ เพื่อนๆ ครับ
สังคมที่นี่ดูอบอุ่นดีครับ
อย่างไรแล้วก็ต้องลองดูกันก่อน
พี่ por_jai ยังอดทนมาได้ตั้ง 4 ปี
ผมว่าสักปีสองปี ก็น่าจะรู้ครับ ว่าไหวหรือไม่ไหว
พี่พอใจแกจะขยันนะครับ
แล้วแกก็ได้ผลลัพธ์ของความขยันไปอย่างสวยหรูแล้วครับ
แม้ว่าปีนี้ไม่ใช่ปีของพี่เค้า (ก็ไม่เห็นจะซื้อไร หนักๆเลย)
อย่าให้เค้าต้องเฉลยนะครับว่าปีที่แล้วเค้าได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ คริคริคริ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอบคุณครับ
โพสต์ที่ 19
ตอนรู้น้อย ดันได้เยอะก้อนหิน เขียน:
พี่พอใจแกจะขยันนะครับ
แล้วแกก็ได้ผลลัพธ์ของความขยันไปอย่างสวยหรูแล้วครับ
แม้ว่าปีนี้ไม่ใช่ปีของพี่เค้า (ก็ไม่เห็นจะซื้อไร หนักๆเลย)
อย่าให้เค้าต้องเฉลยนะครับว่าปีที่แล้วเค้าได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ คริคริคริ
พอรู้เยอะ ดันเกียร์ว่าง
เวรกรรม จริงจิ๊ง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
อีกสักคำถามนะครับ
โพสต์ที่ 20
อ่านเจอสูตรการคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
ผมไม่แน่ใจว่า มีใครยังใช้กันหรือไม่ใช้กันแล้วครับ
มูลค่าหุ้น = E[2R+8.5]*4.4 / y
E = กำไรต่อหุ้นของบริษัท
R = คาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไร
ํY = ผลตอบแทนในปัจจุบันของหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ AAA
ที่สงสัย มีดังนี้ครับ
ค่า Y เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีค่าเท่าไร
ตัวเลข 8.5 และ 4.4 คือ ค่าของอะไร เอามาจากไหน
================================
ตัวอย่างของบริษัท A (ลองคิดเล่นๆ)
E = 4.25
R = คาดว่าบริษัทจะโตประมาณ 10 %
Y = สมมุติว่าเป็น 6 %
เราจะได้มูลค่าหุ้นของบริษัท A
เท่ากับ (4.25[(2*10)+8.5]*4.4)/6
จะได้ประมาณ 88.82 บาท
จะว่ามั่วก็มั่วมากๆ เลยครับ
แต่ถ้าเข้าใจที่มาของสูตรนี้ได้ ผมว่าคงน่าสนใจอยู่มากทีเดียว
ผมไม่แน่ใจว่า มีใครยังใช้กันหรือไม่ใช้กันแล้วครับ
มูลค่าหุ้น = E[2R+8.5]*4.4 / y
E = กำไรต่อหุ้นของบริษัท
R = คาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไร
ํY = ผลตอบแทนในปัจจุบันของหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ AAA
ที่สงสัย มีดังนี้ครับ
ค่า Y เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีค่าเท่าไร
ตัวเลข 8.5 และ 4.4 คือ ค่าของอะไร เอามาจากไหน
================================
ตัวอย่างของบริษัท A (ลองคิดเล่นๆ)
E = 4.25
R = คาดว่าบริษัทจะโตประมาณ 10 %
Y = สมมุติว่าเป็น 6 %
เราจะได้มูลค่าหุ้นของบริษัท A
เท่ากับ (4.25[(2*10)+8.5]*4.4)/6
จะได้ประมาณ 88.82 บาท
จะว่ามั่วก็มั่วมากๆ เลยครับ
แต่ถ้าเข้าใจที่มาของสูตรนี้ได้ ผมว่าคงน่าสนใจอยู่มากทีเดียว
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 21
หุ้นราคา 88 , EPS = 4.25 => PE = 20.7 เท่า
สาเหตุก็เพราะผลตอบแทนหุ้นกู้ AAA 6% มันสูงไปน่ะครับ
ปล.
คลับคล้ายว่าจะเป็นสูตรของ อ. เกรแฮม แต่ผมชอบอะไรที่มันง่ายๆ มากกว่าครับ เช่น
สมมติหุ้น EPS = 4.25 และคาดการว่ากิจการน่าจะโตได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี
จาก PEG < 1 => PE = 10 => P = 42.5
ถ้าตอนนี้ หุ้นตัวนี้ราคา 30 บาท หรือ PE ประมาณ 7 เท่า โอ้... หุ้นตัวนี้น่าสนใจมากขึ้นไหมครับ..?
(ซื้อแล้วปลอดภัย เหมือนมีเงิน 12.50 อยู่ในกระเป๋า)
ปฬ.
สมมุตินะครับสมมุติ ประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือ แล้วกิจการอะไรล่ะที่มันจะโต 10% ได้ติดต่อกันนานหลายๆ ปี..?
สาเหตุก็เพราะผลตอบแทนหุ้นกู้ AAA 6% มันสูงไปน่ะครับ
ปล.
คลับคล้ายว่าจะเป็นสูตรของ อ. เกรแฮม แต่ผมชอบอะไรที่มันง่ายๆ มากกว่าครับ เช่น
สมมติหุ้น EPS = 4.25 และคาดการว่ากิจการน่าจะโตได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี
จาก PEG < 1 => PE = 10 => P = 42.5
ถ้าตอนนี้ หุ้นตัวนี้ราคา 30 บาท หรือ PE ประมาณ 7 เท่า โอ้... หุ้นตัวนี้น่าสนใจมากขึ้นไหมครับ..?
(ซื้อแล้วปลอดภัย เหมือนมีเงิน 12.50 อยู่ในกระเป๋า)
ปฬ.
สมมุตินะครับสมมุติ ประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือ แล้วกิจการอะไรล่ะที่มันจะโต 10% ได้ติดต่อกันนานหลายๆ ปี..?
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 22
ผมว่าที่คุณ ส.สลึง ว่าง่ายๆ นั้นแต่ผมชอบอะไรที่มันง่ายๆ มากกว่าครับ เช่น
สมมติหุ้น EPS = 4.25 และคาดการว่ากิจการน่าจะโตได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี
จาก PEG < 1 => PE = 10 => P = 42.5
สำหรับมือใหม่อย่างผมละก้อ งง เอามากๆ ครับ
ช่วยอธิบายทีละขั้นทีละตอนให้ มือใหม่อย่างผม เข้าใจหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ
PEG คือ อะไรครับ
แล้วประโยค --> จาก PEG < 1 => PE = 10 => P = 42.5 มันคืออะไรครับ
ขอบคุณครับ
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 23
คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PEG Ratio สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/PEG_ratio
และนี่คือคำอธิบายของผม...
มีนักลงทุนบางท่านมีแนวคิดว่า PE ต้องน้อยกว่าอัตราการเติบโต หรือ Growth (G) ครับ
(หนึ่งในนั้นที่ใช้คือ ปีเตอร์ ลินช์ - Peter Lynch แต่จริงๆ เขาใช้หรือเปล่า ผมไม่รู้)
ดังนั้นเขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ PE < Growth หรือ PE < G
ย้ายข้าง เอา G หารตลอดสมการ ได้ (PE/G) < 1
ตัว PE/G ก็คือ PEG ที่ผมกล่าวมานั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้า บ. มีอัตราการเติบโตเท่ากับ 10 % หรือ G = 10
PE ที่ซื้อ ก็ควรไม่น้อยกว่า 10 ด้วย งงไหมครับ
(PE/G) = 10/10 = 1 หรือ
PE = G = 10 ก็เขียนได้เหมือนกัน
แต่ที่เขาสนใจคือหุ้นที่ (PE/G) < 1 หรือ PE < G นั่นเอง
เมื่อเรารู้ EPS=4.25 ผมก็แค่เอา PE หรือ G ไปคูณ ผมก็ได้ราคา P ออกมาก
PE= P/EPS = G
P = EPS x PE = EPS x G = 4.25 x 10 = 42.5
แต่ที่เราต้องการคือ (PE/G) < 1 หรือ PE < G ดังนั้น เราก็แค่ซื้อให้ราคาต่ำกว่า
ต่ำมาก MOS ก็มาก คิดง่ายๆ น่ะครับ
ปล.
แต่ผมไม่ได้ใช้วิธีนี้นะครับ ผมแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ เพราะคิดว่ามันเข้าใจง่ายดี
http://en.wikipedia.org/wiki/PEG_ratio
และนี่คือคำอธิบายของผม...
มีนักลงทุนบางท่านมีแนวคิดว่า PE ต้องน้อยกว่าอัตราการเติบโต หรือ Growth (G) ครับ
(หนึ่งในนั้นที่ใช้คือ ปีเตอร์ ลินช์ - Peter Lynch แต่จริงๆ เขาใช้หรือเปล่า ผมไม่รู้)
ดังนั้นเขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ PE < Growth หรือ PE < G
ย้ายข้าง เอา G หารตลอดสมการ ได้ (PE/G) < 1
ตัว PE/G ก็คือ PEG ที่ผมกล่าวมานั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้า บ. มีอัตราการเติบโตเท่ากับ 10 % หรือ G = 10
PE ที่ซื้อ ก็ควรไม่น้อยกว่า 10 ด้วย งงไหมครับ
(PE/G) = 10/10 = 1 หรือ
PE = G = 10 ก็เขียนได้เหมือนกัน
แต่ที่เขาสนใจคือหุ้นที่ (PE/G) < 1 หรือ PE < G นั่นเอง
เมื่อเรารู้ EPS=4.25 ผมก็แค่เอา PE หรือ G ไปคูณ ผมก็ได้ราคา P ออกมาก
PE= P/EPS = G
P = EPS x PE = EPS x G = 4.25 x 10 = 42.5
แต่ที่เราต้องการคือ (PE/G) < 1 หรือ PE < G ดังนั้น เราก็แค่ซื้อให้ราคาต่ำกว่า
ต่ำมาก MOS ก็มาก คิดง่ายๆ น่ะครับ
ปล.
แต่ผมไม่ได้ใช้วิธีนี้นะครับ ผมแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ เพราะคิดว่ามันเข้าใจง่ายดี
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 24
ขอแก้ไขความเห็นของผมข้างบนนู้น ผมว่าสูตร อ. ท่านถูกแล้วครับส.สลึง เขียน:สาเหตุก็เพราะผลตอบแทนหุ้นกู้ AAA 6% มันสูงไปน่ะครับ ...
เพราะถ้าผลตอบแทนหุ้นกู้ AAA ลดลง หุ้นก็ควรจะมีมูลค่าสูงขึ้น
(แต่ยังติดใจที่เอาไปหาร E[2R+8.5]*4.4 ก็เท่ากับว่าอัตราดอกเบี้ยมีผลกับมูลค่าหุ้นแบบทวีคูณ)
ผมเคยอ่านเจอผ่านๆ เกี่ยวกับการเอาไปใช้ครับ ไม่รู้เรื่องเหมือนกันครับว่าตัวเลขมีที่มาที่ไปยังงัย..?
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นับได้ว่ายากมากครับ
โพสต์ที่ 25
:D :D :D เยี่ยมยอดครับ ผมชอบประโยคของพี่พอใจมากpor_jai เขียน: ผมเชื่อว่าคำว่าอิสรภาพทางการเงิน
นี่เป็นคำหรูๆที่เขาเอาไว้ชักชวนรุ่นใหม่มือใหม่เงินเยอะบ้างน้อยบ้าง
ให้เข้ามาตลาด
มาเล่นในสนามที่เขาชำนาญกว่า
เข้าตลาดนี่เหมือนลงพรีเมียร์ลีกนะครับ เพราะมีคนเก่งอยู่เต็มไปหมด
น้องตอนนี้ยังอยู่นอกลีก แต่มีสิทธิเจอแมนยูได้ทุกระยะ
เหมาะสำหรับเอาไว้เตือนนักลงทุน (โดยเฉพาะมือใหม่) ทุกคน
...
-
- Verified User
- โพสต์: 601
- ผู้ติดตาม: 0
หามูลค่าของบริษัท แบบมือใหม่
โพสต์ที่ 26
Keep in mind that the numbers used are projected and, therefore, can be less accurate. Also, there are many variations using earnings from different time periods (i.e. one year vs five year). Be sure to know the exact definition your source is using
ผมเสริมบางจุดอีกด้านของ PEG
ผมเสริมบางจุดอีกด้านของ PEG