'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
ร. รวี ลงกานี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กลุ่มนักลงทุนที่ผมคิดว่าคึกคักมากที่สุดขณะนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มนักลงทุน "คุณค่า" หรือ Value Investor ชื่อต่างๆ ที่เรียกกัน เช่น ห่านทองคำ นักลงทุนคุณค่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กลายเป็นชื่อที่แทบไม่มีใครไม่รู้จัก
................................
โค๊ด..'หงส์เหินฟ้า' สะท้อนถึงการบินขึ้นสูงได้และถือเป็นสิ่งที่มีสวยงาม และไม่จำเป็นต้องมีราคาถูก คนเป็น Growth Investor จึงยอมจ่ายแพง เพราะคิดว่าคุ้มกับความสามารถเติบโตของกิจการ
................................
หนังสือในแนวนี้มีอยู่หลากหลายและทำให้เห็นว่าการเป็นนักลงทุนสไตล์เน้นคุณค่าแบบ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" หรือ "เบนจามิน เกรแฮม" นั้นเป็นสไตล์การลงทุนที่ดีที่สุด หลายคนที่อ่านหนังสือเหล่านี้อาจเคลิบเคลิ้มไปได้ว่าสักวันหนึ่งจะเป็นแบบวอร์เรน หรือ ดร. นิเวศน์ ได้
แน่นอนหุ้นส่วนใหญ่ที่ Value Investor เลือกลงทุนคือ หุ้นประเภท Value Stock หรือหุ้นคุณค่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว Value Investor ลงทุนในหุ้นที่มากกว่า Value Stock ครับ
นักลงทุนที่เป็น Value Investor หลายคน ยังไม่รู้ว่า Value Stock คืออะไร อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าหุ้นใดเป็น Value Stock บางคนเข้าใจกันผิดๆ ว่า หุ้นพื้นฐานดีทุกตัวเป็น Value Stock หลายคนบอกว่า หุ้นของบริษัทผลิตสินค้าที่ตัวเองรู้จักดีนั่นแหละเป็น Value Stock เช่น หุ้นของบริษัททำมาม่า หุ้นบริษัทยาสีฟัน หรือหุ้น ปตท.เป็นต้น
หลายคนเชื่อว่า หากลงทุนในหุ้น Value แล้วสักวันหนึ่ง หุ้นจะต้องขึ้นอย่างแน่นอน Value Investor บางคนนึกว่าการเป็น Value Investor นั้นเป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ (เนื่องจาก เบนจามิน และ ดร.นิเวศน์ เป็นทั้งนักวิชาการและนักลงทุน) เพราะเป็นการลงทุนที่มองปัจจัยพื้นฐานอย่างถ้วนถี่แล้ว
ตามนิยามและความหมายของ Value Stock แล้ว หุ้นกลุ่มนี้หมายถึง หุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎีของมัน และสมมติฐานหนึ่งของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้คือ ถ้าหากราคาของมันต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎีแล้ว สักวันหนึ่งราคาจะต้องปรับขึ้นมาหาราคาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
นักลงทุนที่เป็น Value Investor จึงถูกสอนให้รู้จักการรอคอยโอกาส และไม่ผลีผลามขายหุ้นเมื่อราคาตกลงไป เกณฑ์สำคัญของการเป็น Value Stock ได้คือ การที่มีราคาต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน เกณฑ์สำคัญที่ใช้ตัดสินใจว่าหุ้นใดเป็นหุ้นคุณค่าคือ เกณฑ์ ค่า P/E (ในทางวิชาการนิยมใช้ค่า P/BV)
โดยถือว่าหุ้นใดที่มีค่า P/E ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันหรือ ค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรมนั้นเป็นหุ้นที่มีราคาถูกและเป็น Value Stock
ค่า P/E (หรือ P/BV, หรือ Dividend Yield) เป็นเครื่องมือบอกว่าหุ้นตัวนั้นจะสามารถเป็น Value Stock ได้หรือไม่ แต่ตำราของ Value Investor จะแนะนำต่อไปว่า มองแค่ราคาหรือมูลค่าอย่างเดียวยังไม่พอต่อการตัดสินใจ ต้องมองด้วยว่าฐานอย่างอื่นของกิจการนั้นดีหรือไม่
เช่น มีหนี้มากเกินไปหรือไม่ (ดูจากอัตราส่วนหนี้ต่อทุน) มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นดีหรือไม่ มีกำไรต่อเนื่องหรือไม่ จากเกณฑ์ต่างๆ ของ Value Investor นี้จึงคัดเลือกได้ว่า หุ้น Value Stock เป็นหุ้นถูกตังค์ โดยเปรียบเทียบ และเป็นหุ้นที่ฐานะการเงินดี
สรุปง่ายๆ ว่า Value Investor นิยมชมชอบหุ้นที่เป็นทั้งหุ้นคุณค่า (Value Stock หรือ Good Stock) และ เป็นกิจการที่ดี (Good Company) ด้วย
หุ้นดี (Good Stock) กับกิจการดี (Good Company) นั้น ไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นว่าหุ้นดี จะเป็นหุ้นของกิจการดี เสมอไป
ความหมายของหุ้นดี หมายถึงหุ้นที่ประเมินออกมาแล้วว่า ราคาถูกกว่าราคาที่เหมาะสมของมันตาทฤษฎี ซึ่งแปลว่าราคาน่าจะสูงขึ้นไปในอนาคตได้
ส่วนกิจการดี หมายถึงกิจการมีลักษณะดี เช่น ยอดขายเติบโต มีกำไรสูง หนี้ต่ำ ความเสี่ยงน้อย ซึ่งหากพิจารณาโดยผิวเผินหุ้นของบริษัทเหล่านี้ก็น่าจะดีไปด้วย แต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นถ้าหากว่าหุ้นของกิจการดีนั้นมีราคาสูงขึ้นไปแล้วจากการที่คนรับรู้ว่าเป็นกิจการดี หุ้นกิจการดีที่ราคาปรับขึ้นไปแล้ว ก็ย่อมไม่ได้เป็นหุ้นดีต่อไป
งานวิจัยส่วนใหญ่ เห็นตรงกันว่า หุ้นที่เป็น Value Stock นั้นให้ผลตอบแทนสูงจริง แต่เหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะว่า หุ้นส่วนใหญ่ของ Value Stock นั้นมักเป็นกิจการที่มีปัญหา (Distress Firm)
การที่ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มนี้สูงกว่าชาวบ้าน จึงเป็นไปได้ 2 อย่างคือ หุ้นกลุ่มนี้เสี่ยงมากจึงได้ผลตอบแทนสูงมาชดเชยกับความเสี่ยง (Fama and French, 1998, 2005,2005) หรือ นักลงทุนส่วนใหญ่มองหุ้นแบบ Overreact คือประเมินราคาต่ำเกินจริง (เนื่องจากเป็นกิจการที่มีปัญหา) เมื่อเวลาผ่านไปและตลาดหุ้นรับรู้ถึงมูลค่าที่เหมาะสมแล้วราคาหุ้นกลุ่มนี้จึงปรับตัวสูงขึ้น (Lakonishok et al., 1994)
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม Value Stock จึงให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นอื่น
สรุปได้ว่า Value Stock ไม่ได้เป็นหุ้นของกิจการที่ดี มีอนาคต เสี่ยงน้อย เสมอไป
หลายคนคงตั้งคำถามขึ้นมาแล้วว่า เอ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นทำไมจึงแนะนำให้ลงทุนใน Value Stock ทั้งที่เป็นหุ้นของกิจการมีปัญหา มีความเสี่ยงต่ำ
ในบ้านเราแปลคำว่า Value Stock นั้นก็คือ หุ้นราคาถูกพ่วงด้วยการเป็นหุ้นที่มีลักษณะของกิจการดี (Good Company) คู่ไปด้วย แล้วตีความรวมว่า หุ้นกลุ่มนี้แหละคือ Value Stock กล่าวได้ว่า Value Stock บ้านเราหมายถึงหุ้นของกิจการที่ดี แถมยังมีราคาถูก เพราะนักลงทุนยังไม่เข้าไปไล่ราคา หรืออาจแปลว่า ของดีที่ยังไม่มีใครรู้ (ราคาจึงยังถูกอยู่)
ตามความหมายของ Value Stock ที่ใช้ในบ้านเราจึงมีความหมายกว้างกว่า Value Stock ที่อ้างอิงในงานวิจัย Value Investor จึงแนะนำการลงทุนใน Value Stock ใครเจอหุ้นนี้ในบ้านเราเรียกได้ว่าโชคดี ครับ
ผมทำนายต่อไปได้เลยว่า นักลงทุนที่เป็น Value Stock จะลดบทบาทลงไปในอนาคต
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น หรือการที่นักลงทุนพัฒนาขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ มีทักษะในการวิเคราะห์ ประกอบกับความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลนั้น ทำให้กิจการที่ดีถูกค้นพบอย่างรวดเร็วและถูกไล่ซื้อในเวลารวดเร็วจนของดี ราคาถูกไม่ปรากฏให้เห็นอีก
ที่จริงแล้ว Value Stock ไม่ได้เป็นคำตอบเดียวที่มีอยู่ของนักลงทุน สไตล์การลงทุนที่เน้นหุ้นคุณค่านั้นไม่ได้เป็นสไตล์การลงทุนเดียวที่มีอยู่ในโลก
นักลงทุนสถาบัน หรือรายย่อยบางคนเลือกลงทุน โดยไม่ดูว่าหุ้นนั้นถูกหรือเปล่า แต่กลับมองที่ปัจจัยแห่งความสำเร็จของหุ้นคือ "การเติบโตของหุ้น" นักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อว่าหุ้นเติบโตสูง (วัดง่ายๆ จากการเติบโตของกำไร) คือเพชรเม็ดงาม ซึ่งถึงแม้มีค่าแพงแต่ก็มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นเพชรเม็ดงามอยู่ดี นักลงทุนกลุ่มนี้ไม่ได้มองที่ราคาเป็นหลักครับ แต่กลับมองที่การเติบโตของกำไรกิจการเป็นหลัก หุ้นไหนที่กำไรเติบโตสูง ถึงแม้มีราคาแพงก็ถือว่าลงทุนได้อยู่ เพราะเชื่อว่าในบางโอกาสนั้น (โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจไม่ดี) กิจการไหนยังสามารถเติบโตได้สูง หุ้นกิจการนั้นจะเป็นหุ้นทีโดดเด่นมาก หุ้นกลุ่มนี้เรียกว่า "หุ้นเติบโต" (Growth Stock) ครับ
การวัดว่าหุ้นใดเป็นหุ้นเติบโตก็ดูไม่ยาก คือ ดูที่ค่า P/E เหมือนกัน แต่คราวนี้กลับมองว่าหุ้นที่ P/E หรือ P/BV สูงเป็นหุ้นเติบโต และถ้าให้แน่ใจอีก็ไปมองที่อัตราการขยายตัวของยอดขายและกำไรก็ได้ครับ
งานวิจัย (ต่างประเทศอีกแล้ว) พบว่า หุ้นเติบโตสูงมักเป็นหุ้นของกิจการที่มี "ความรุ่งโรจน์" (Glamour Stock) ผมเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่า "หุ้นหงส์เหินฟ้า" เพื่อให้รู้สึกตรงข้ามกับห่านทองคำ
หงส์เหินฟ้า สะท้อนถึงการบินขึ้นสูงได้และถือเป็นสิ่งที่มีสวยงาม และไม่จำเป็นต้องมีราคาถูก คนเป็น Growth Investor จึงยอมจ่ายแพง เพราะคิดว่าคุ้มกับความสามารถเติบโตของกิจการครับ หลายหุ้นในบ้านเราคนนิยมกันเพราะเป็น Growth Stock นะครับ
นึกไปนึกมาก็เหมือนรสนิยมของคนนั่นแหละครับ เมื่อมีคนซื้อรถ "โตโยต้า" ใส่นาฬิกา "ไซโก้" ก็ยังมีคนอย่างขับเบนซ์ ใส่โรเล็กซ์ อยู่เสมอ ของที่ขายในตลาดจึงไม่จำเป็นต้องถูกตังค์เสมอไป
การลงทุนใน Growth Stock นั้น มีข้อที่ต้องระวังอยู่นิดหนึ่งคือ การเติบโตของกิจการนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ถาวรเสมอไป เพราะวันใดวันหนึ่งความสามารถในการเติบโตย่อมลดลงไปและทำให้หุ้นนี้ไม่ได้เป็นหุ้นเติบโตอีกต่อไป อนาคตของหุ้นกลุ่มนี้จึงอาจไม่ได้ยืนยาวนัก เหมือนกับหงส์เหินฟ้าได้ชั่วคราวก็ต้องร่อนลงมา
Value Stock จึงไม่ได้เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดของการลงทุน ยังมีสไตล์การลงทุนอื่นที่ควรรู้จัก อย่างสไตล์การลงทุนใน Growth Stock เป็นอีกกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในภาวการณ์ที่ตลาดเริ่มถดถอย และหุ้นถูกๆ เริ่มหายากขึ้นทุกที
ห่านทองคำวันนี้ถูกจับไปเกือบหมดแล้ว แต่หงส์ยังคงบินว่อนเต็มท้องฟ้า
http://www.bangkokbizweek.com/
ร. รวี ลงกานี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กลุ่มนักลงทุนที่ผมคิดว่าคึกคักมากที่สุดขณะนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มนักลงทุน "คุณค่า" หรือ Value Investor ชื่อต่างๆ ที่เรียกกัน เช่น ห่านทองคำ นักลงทุนคุณค่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กลายเป็นชื่อที่แทบไม่มีใครไม่รู้จัก
................................
โค๊ด..'หงส์เหินฟ้า' สะท้อนถึงการบินขึ้นสูงได้และถือเป็นสิ่งที่มีสวยงาม และไม่จำเป็นต้องมีราคาถูก คนเป็น Growth Investor จึงยอมจ่ายแพง เพราะคิดว่าคุ้มกับความสามารถเติบโตของกิจการ
................................
หนังสือในแนวนี้มีอยู่หลากหลายและทำให้เห็นว่าการเป็นนักลงทุนสไตล์เน้นคุณค่าแบบ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" หรือ "เบนจามิน เกรแฮม" นั้นเป็นสไตล์การลงทุนที่ดีที่สุด หลายคนที่อ่านหนังสือเหล่านี้อาจเคลิบเคลิ้มไปได้ว่าสักวันหนึ่งจะเป็นแบบวอร์เรน หรือ ดร. นิเวศน์ ได้
แน่นอนหุ้นส่วนใหญ่ที่ Value Investor เลือกลงทุนคือ หุ้นประเภท Value Stock หรือหุ้นคุณค่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว Value Investor ลงทุนในหุ้นที่มากกว่า Value Stock ครับ
นักลงทุนที่เป็น Value Investor หลายคน ยังไม่รู้ว่า Value Stock คืออะไร อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าหุ้นใดเป็น Value Stock บางคนเข้าใจกันผิดๆ ว่า หุ้นพื้นฐานดีทุกตัวเป็น Value Stock หลายคนบอกว่า หุ้นของบริษัทผลิตสินค้าที่ตัวเองรู้จักดีนั่นแหละเป็น Value Stock เช่น หุ้นของบริษัททำมาม่า หุ้นบริษัทยาสีฟัน หรือหุ้น ปตท.เป็นต้น
หลายคนเชื่อว่า หากลงทุนในหุ้น Value แล้วสักวันหนึ่ง หุ้นจะต้องขึ้นอย่างแน่นอน Value Investor บางคนนึกว่าการเป็น Value Investor นั้นเป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ (เนื่องจาก เบนจามิน และ ดร.นิเวศน์ เป็นทั้งนักวิชาการและนักลงทุน) เพราะเป็นการลงทุนที่มองปัจจัยพื้นฐานอย่างถ้วนถี่แล้ว
ตามนิยามและความหมายของ Value Stock แล้ว หุ้นกลุ่มนี้หมายถึง หุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎีของมัน และสมมติฐานหนึ่งของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้คือ ถ้าหากราคาของมันต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎีแล้ว สักวันหนึ่งราคาจะต้องปรับขึ้นมาหาราคาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
นักลงทุนที่เป็น Value Investor จึงถูกสอนให้รู้จักการรอคอยโอกาส และไม่ผลีผลามขายหุ้นเมื่อราคาตกลงไป เกณฑ์สำคัญของการเป็น Value Stock ได้คือ การที่มีราคาต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน เกณฑ์สำคัญที่ใช้ตัดสินใจว่าหุ้นใดเป็นหุ้นคุณค่าคือ เกณฑ์ ค่า P/E (ในทางวิชาการนิยมใช้ค่า P/BV)
โดยถือว่าหุ้นใดที่มีค่า P/E ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันหรือ ค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรมนั้นเป็นหุ้นที่มีราคาถูกและเป็น Value Stock
ค่า P/E (หรือ P/BV, หรือ Dividend Yield) เป็นเครื่องมือบอกว่าหุ้นตัวนั้นจะสามารถเป็น Value Stock ได้หรือไม่ แต่ตำราของ Value Investor จะแนะนำต่อไปว่า มองแค่ราคาหรือมูลค่าอย่างเดียวยังไม่พอต่อการตัดสินใจ ต้องมองด้วยว่าฐานอย่างอื่นของกิจการนั้นดีหรือไม่
เช่น มีหนี้มากเกินไปหรือไม่ (ดูจากอัตราส่วนหนี้ต่อทุน) มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นดีหรือไม่ มีกำไรต่อเนื่องหรือไม่ จากเกณฑ์ต่างๆ ของ Value Investor นี้จึงคัดเลือกได้ว่า หุ้น Value Stock เป็นหุ้นถูกตังค์ โดยเปรียบเทียบ และเป็นหุ้นที่ฐานะการเงินดี
สรุปง่ายๆ ว่า Value Investor นิยมชมชอบหุ้นที่เป็นทั้งหุ้นคุณค่า (Value Stock หรือ Good Stock) และ เป็นกิจการที่ดี (Good Company) ด้วย
หุ้นดี (Good Stock) กับกิจการดี (Good Company) นั้น ไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นว่าหุ้นดี จะเป็นหุ้นของกิจการดี เสมอไป
ความหมายของหุ้นดี หมายถึงหุ้นที่ประเมินออกมาแล้วว่า ราคาถูกกว่าราคาที่เหมาะสมของมันตาทฤษฎี ซึ่งแปลว่าราคาน่าจะสูงขึ้นไปในอนาคตได้
ส่วนกิจการดี หมายถึงกิจการมีลักษณะดี เช่น ยอดขายเติบโต มีกำไรสูง หนี้ต่ำ ความเสี่ยงน้อย ซึ่งหากพิจารณาโดยผิวเผินหุ้นของบริษัทเหล่านี้ก็น่าจะดีไปด้วย แต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นถ้าหากว่าหุ้นของกิจการดีนั้นมีราคาสูงขึ้นไปแล้วจากการที่คนรับรู้ว่าเป็นกิจการดี หุ้นกิจการดีที่ราคาปรับขึ้นไปแล้ว ก็ย่อมไม่ได้เป็นหุ้นดีต่อไป
งานวิจัยส่วนใหญ่ เห็นตรงกันว่า หุ้นที่เป็น Value Stock นั้นให้ผลตอบแทนสูงจริง แต่เหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะว่า หุ้นส่วนใหญ่ของ Value Stock นั้นมักเป็นกิจการที่มีปัญหา (Distress Firm)
การที่ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มนี้สูงกว่าชาวบ้าน จึงเป็นไปได้ 2 อย่างคือ หุ้นกลุ่มนี้เสี่ยงมากจึงได้ผลตอบแทนสูงมาชดเชยกับความเสี่ยง (Fama and French, 1998, 2005,2005) หรือ นักลงทุนส่วนใหญ่มองหุ้นแบบ Overreact คือประเมินราคาต่ำเกินจริง (เนื่องจากเป็นกิจการที่มีปัญหา) เมื่อเวลาผ่านไปและตลาดหุ้นรับรู้ถึงมูลค่าที่เหมาะสมแล้วราคาหุ้นกลุ่มนี้จึงปรับตัวสูงขึ้น (Lakonishok et al., 1994)
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม Value Stock จึงให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นอื่น
สรุปได้ว่า Value Stock ไม่ได้เป็นหุ้นของกิจการที่ดี มีอนาคต เสี่ยงน้อย เสมอไป
หลายคนคงตั้งคำถามขึ้นมาแล้วว่า เอ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นทำไมจึงแนะนำให้ลงทุนใน Value Stock ทั้งที่เป็นหุ้นของกิจการมีปัญหา มีความเสี่ยงต่ำ
ในบ้านเราแปลคำว่า Value Stock นั้นก็คือ หุ้นราคาถูกพ่วงด้วยการเป็นหุ้นที่มีลักษณะของกิจการดี (Good Company) คู่ไปด้วย แล้วตีความรวมว่า หุ้นกลุ่มนี้แหละคือ Value Stock กล่าวได้ว่า Value Stock บ้านเราหมายถึงหุ้นของกิจการที่ดี แถมยังมีราคาถูก เพราะนักลงทุนยังไม่เข้าไปไล่ราคา หรืออาจแปลว่า ของดีที่ยังไม่มีใครรู้ (ราคาจึงยังถูกอยู่)
ตามความหมายของ Value Stock ที่ใช้ในบ้านเราจึงมีความหมายกว้างกว่า Value Stock ที่อ้างอิงในงานวิจัย Value Investor จึงแนะนำการลงทุนใน Value Stock ใครเจอหุ้นนี้ในบ้านเราเรียกได้ว่าโชคดี ครับ
ผมทำนายต่อไปได้เลยว่า นักลงทุนที่เป็น Value Stock จะลดบทบาทลงไปในอนาคต
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น หรือการที่นักลงทุนพัฒนาขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ มีทักษะในการวิเคราะห์ ประกอบกับความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลนั้น ทำให้กิจการที่ดีถูกค้นพบอย่างรวดเร็วและถูกไล่ซื้อในเวลารวดเร็วจนของดี ราคาถูกไม่ปรากฏให้เห็นอีก
ที่จริงแล้ว Value Stock ไม่ได้เป็นคำตอบเดียวที่มีอยู่ของนักลงทุน สไตล์การลงทุนที่เน้นหุ้นคุณค่านั้นไม่ได้เป็นสไตล์การลงทุนเดียวที่มีอยู่ในโลก
นักลงทุนสถาบัน หรือรายย่อยบางคนเลือกลงทุน โดยไม่ดูว่าหุ้นนั้นถูกหรือเปล่า แต่กลับมองที่ปัจจัยแห่งความสำเร็จของหุ้นคือ "การเติบโตของหุ้น" นักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อว่าหุ้นเติบโตสูง (วัดง่ายๆ จากการเติบโตของกำไร) คือเพชรเม็ดงาม ซึ่งถึงแม้มีค่าแพงแต่ก็มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นเพชรเม็ดงามอยู่ดี นักลงทุนกลุ่มนี้ไม่ได้มองที่ราคาเป็นหลักครับ แต่กลับมองที่การเติบโตของกำไรกิจการเป็นหลัก หุ้นไหนที่กำไรเติบโตสูง ถึงแม้มีราคาแพงก็ถือว่าลงทุนได้อยู่ เพราะเชื่อว่าในบางโอกาสนั้น (โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจไม่ดี) กิจการไหนยังสามารถเติบโตได้สูง หุ้นกิจการนั้นจะเป็นหุ้นทีโดดเด่นมาก หุ้นกลุ่มนี้เรียกว่า "หุ้นเติบโต" (Growth Stock) ครับ
การวัดว่าหุ้นใดเป็นหุ้นเติบโตก็ดูไม่ยาก คือ ดูที่ค่า P/E เหมือนกัน แต่คราวนี้กลับมองว่าหุ้นที่ P/E หรือ P/BV สูงเป็นหุ้นเติบโต และถ้าให้แน่ใจอีก็ไปมองที่อัตราการขยายตัวของยอดขายและกำไรก็ได้ครับ
งานวิจัย (ต่างประเทศอีกแล้ว) พบว่า หุ้นเติบโตสูงมักเป็นหุ้นของกิจการที่มี "ความรุ่งโรจน์" (Glamour Stock) ผมเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่า "หุ้นหงส์เหินฟ้า" เพื่อให้รู้สึกตรงข้ามกับห่านทองคำ
หงส์เหินฟ้า สะท้อนถึงการบินขึ้นสูงได้และถือเป็นสิ่งที่มีสวยงาม และไม่จำเป็นต้องมีราคาถูก คนเป็น Growth Investor จึงยอมจ่ายแพง เพราะคิดว่าคุ้มกับความสามารถเติบโตของกิจการครับ หลายหุ้นในบ้านเราคนนิยมกันเพราะเป็น Growth Stock นะครับ
นึกไปนึกมาก็เหมือนรสนิยมของคนนั่นแหละครับ เมื่อมีคนซื้อรถ "โตโยต้า" ใส่นาฬิกา "ไซโก้" ก็ยังมีคนอย่างขับเบนซ์ ใส่โรเล็กซ์ อยู่เสมอ ของที่ขายในตลาดจึงไม่จำเป็นต้องถูกตังค์เสมอไป
การลงทุนใน Growth Stock นั้น มีข้อที่ต้องระวังอยู่นิดหนึ่งคือ การเติบโตของกิจการนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ถาวรเสมอไป เพราะวันใดวันหนึ่งความสามารถในการเติบโตย่อมลดลงไปและทำให้หุ้นนี้ไม่ได้เป็นหุ้นเติบโตอีกต่อไป อนาคตของหุ้นกลุ่มนี้จึงอาจไม่ได้ยืนยาวนัก เหมือนกับหงส์เหินฟ้าได้ชั่วคราวก็ต้องร่อนลงมา
Value Stock จึงไม่ได้เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดของการลงทุน ยังมีสไตล์การลงทุนอื่นที่ควรรู้จัก อย่างสไตล์การลงทุนใน Growth Stock เป็นอีกกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในภาวการณ์ที่ตลาดเริ่มถดถอย และหุ้นถูกๆ เริ่มหายากขึ้นทุกที
ห่านทองคำวันนี้ถูกจับไปเกือบหมดแล้ว แต่หงส์ยังคงบินว่อนเต็มท้องฟ้า
http://www.bangkokbizweek.com/
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 3
แนวคิดแปลกดีครับ แต่ผมเดาว่าเค้าไม่น่าจะเข้าใจการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในทางปฏิบัตที่ลึกพอนะครับ แรกๆอ่านๆไปเหมือนจะรู้เรื่องแต่จบลงแบบแปลกๆ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- mario
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 720
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 4
อาจานนนนน.....น ฟันธงอย่างนี้แล้วพวกผมจะเอาอะไรรับทานคราบบบบบบบบ...บ :lol:ผมทำนายต่อไปได้เลยว่า นักลงทุนที่เป็น Value Stock จะลดบทบาทลงไปในอนาคต
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น หรือการที่นักลงทุนพัฒนาขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ มีทักษะในการวิเคราะห์ ประกอบกับความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลนั้น ทำให้กิจการที่ดีถูกค้นพบอย่างรวดเร็วและถูกไล่ซื้อในเวลารวดเร็วจนของดี ราคาถูกไม่ปรากฏให้เห็นอีก
The basic ideas of investing are to look at stocks as business,
use the market's fluctuations to your advantage,
and seek a margin of safety.
Investing is not about big returns ,it's about safety of principal and satisfactory returns.
use the market's fluctuations to your advantage,
and seek a margin of safety.
Investing is not about big returns ,it's about safety of principal and satisfactory returns.
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 6
[quote="vichit"]'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
นักลงทุนที่เป็น Value Investor หลายคน ยังไม่รู้ว่า Value Stock คืออะไร อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าหุ้นใดเป็น Value Stock บางคนเข้าใจกันผิดๆ ว่า หุ้นพื้นฐานดีทุกตัวเป็น Value Stock หลายคนบอกว่า หุ้นของบริษัทผลิตสินค้าที่ตัวเองรู้จักดีนั่นแหละเป็น Value Stock เช่น หุ้นของบริษัททำมาม่า หุ้นบริษัทยาสีฟัน หรือหุ้น ปตท.เป็นต้น
นักลงทุนที่เป็น Value Investor หลายคน ยังไม่รู้ว่า Value Stock คืออะไร อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าหุ้นใดเป็น Value Stock บางคนเข้าใจกันผิดๆ ว่า หุ้นพื้นฐานดีทุกตัวเป็น Value Stock หลายคนบอกว่า หุ้นของบริษัทผลิตสินค้าที่ตัวเองรู้จักดีนั่นแหละเป็น Value Stock เช่น หุ้นของบริษัททำมาม่า หุ้นบริษัทยาสีฟัน หรือหุ้น ปตท.เป็นต้น
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 7
[quote="vichit"]
ผมทำนายต่อไปได้เลยว่า นักลงทุนที่เป็น Value Stock จะลดบทบาทลงไปในอนาคต
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น หรือการที่นักลงทุนพัฒนาขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ มีทักษะในการวิเคราะห์ ประกอบกับความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลนั้น ทำให้กิจการที่ดีถูกค้นพบอย่างรวดเร็วและถูกไล่ซื้อในเวลารวดเร็วจนของดี ราคาถูกไม่ปรากฏให้เห็นอีก
น่าสนใจในภาวการณ์ที่ตลาดเริ่มถดถอย และหุ้นถูกๆ เริ่มหายากขึ้นทุกที
ห่านทองคำวันนี้ถูกจับไปเกือบหมดแล้ว แต่หงส์ยังคงบินว่อนเต็มท้องฟ้า
ผมทำนายต่อไปได้เลยว่า นักลงทุนที่เป็น Value Stock จะลดบทบาทลงไปในอนาคต
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น หรือการที่นักลงทุนพัฒนาขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ มีทักษะในการวิเคราะห์ ประกอบกับความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลนั้น ทำให้กิจการที่ดีถูกค้นพบอย่างรวดเร็วและถูกไล่ซื้อในเวลารวดเร็วจนของดี ราคาถูกไม่ปรากฏให้เห็นอีก
น่าสนใจในภาวการณ์ที่ตลาดเริ่มถดถอย และหุ้นถูกๆ เริ่มหายากขึ้นทุกที
ห่านทองคำวันนี้ถูกจับไปเกือบหมดแล้ว แต่หงส์ยังคงบินว่อนเต็มท้องฟ้า
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 8
นักลงทุนสถาบันเค้ามีข้อจำกัดหลายอย่างครับ ด้วยขนาดของกองทุน เค้าไม่วิเคราะห์หุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำๆ เพราะมันไม่คุ้มค่าเนื่องจากมูลค่าหุ้นที่จะซื้อมันน้อยเมื่อเทียบกับขนาดของกองทุน แถมยังเรื่องสภาพคล่องของตัวหุ้นเอง ไม่คล่องก็ไม่สนผมทำนายต่อไปได้เลยว่า นักลงทุนที่เป็น Value Stock จะลดบทบาทลงไปในอนาคต
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น หรือการที่นักลงทุนพัฒนาขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ มีทักษะในการวิเคราะห์ ประกอบกับความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลนั้น ทำให้กิจการที่ดีถูกค้นพบอย่างรวดเร็วและถูกไล่ซื้อในเวลารวดเร็วจนของดี ราคาถูกไม่ปรากฏให้เห็นอีก
เงื่อนไขแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยก่อนนานมาแล้ว และผมเชื่อว่ามันก็ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 9
ที่สหรัฐ มีนักลงทุนแนว VI มากมายหลายคน และมีการศึกษาแนวทางนี้มานานแล้ว
แต่ นักลงทุนแนว VI ที่มีความสามารถก็ยังได้รับผลตอบแทนที่ดีอยู่ และนักเก็งกำไรก็ยังคงเป็นผู้เล่นในตลาดหุ้นส่วนใหญ่
ถึงแม้แนวคิด หลักการจะแพร่หลายขึ้น แต่การจะเป็นนักลงทุนแนว VI ก็ใช่ว่าจะเป็นกันได้ทุกคน เพราะการลงทุนแนวนี้ขัดกับกิเลศของคนครับ คงเหมือนกับศีล 5 ที่ผู้คนเกือบทั้งหมดก็ยังปฎิบัติไม่ได้ เหมือนกับการสูบบุหรี่ ที่ทุกคนก็รู้ว่าไม่ดี แต่เลิกไม่ได้
แต่ นักลงทุนแนว VI ที่มีความสามารถก็ยังได้รับผลตอบแทนที่ดีอยู่ และนักเก็งกำไรก็ยังคงเป็นผู้เล่นในตลาดหุ้นส่วนใหญ่
ถึงแม้แนวคิด หลักการจะแพร่หลายขึ้น แต่การจะเป็นนักลงทุนแนว VI ก็ใช่ว่าจะเป็นกันได้ทุกคน เพราะการลงทุนแนวนี้ขัดกับกิเลศของคนครับ คงเหมือนกับศีล 5 ที่ผู้คนเกือบทั้งหมดก็ยังปฎิบัติไม่ได้ เหมือนกับการสูบบุหรี่ ที่ทุกคนก็รู้ว่าไม่ดี แต่เลิกไม่ได้
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 10
เหมือนเคยมีกระทู้พูดถึงลักษณะนี้เรื่อย ๆนะครับ
หุ้นคุณค่ายังคงมีอยู่ แต่หายากขึ้น โดยเฉพาะพวก super stock
แต่ก็อีก super stock ก็ยังมีราคาหดลงมาให้เก็บไ้ด้บ่อย ๆ
ผมว่าโอกาสมีเสมอสำหรับผู้ตั้งใจไขว่คว้า
หุ้นคุณค่ายังคงมีอยู่ แต่หายากขึ้น โดยเฉพาะพวก super stock
แต่ก็อีก super stock ก็ยังมีราคาหดลงมาให้เก็บไ้ด้บ่อย ๆ
ผมว่าโอกาสมีเสมอสำหรับผู้ตั้งใจไขว่คว้า
- TOFFEEMAN
- Verified User
- โพสต์: 83
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 14
อิอิ ลืมเปลี่ยน user ดันเผลอไปแซวหงส์ :lovl: :lovl: :lovl:
แต่จริงๆผมว่ามันมีมานานแล้วนะครับ
ไอ้ความคิดที่ว่าแนว vi กำลังจะตายเนื่องมาจากตลาดมีประสิทธิภาพ
แต่ผมก็ยังไม่เห็นปู่บัฟแกไม่นั่งขอทานซะที :lovl:
ผมว่าความสำเร็จในทุกเรื่องมันก็เหมือนกันหมดแหละ
คือคนที่เข้าใจในแนวคิดนั้นอย่างแท้จริงก็จะประสพความสำเร็จ
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ(หรือคิดว่าเข้าใจแต่ทำไม่ได้ตามนั้น :lol: )ก็คงยากที่จะประสพความสำเร็จ
แต่จริงๆผมว่ามันมีมานานแล้วนะครับ
ไอ้ความคิดที่ว่าแนว vi กำลังจะตายเนื่องมาจากตลาดมีประสิทธิภาพ
แต่ผมก็ยังไม่เห็นปู่บัฟแกไม่นั่งขอทานซะที :lovl:
ผมว่าความสำเร็จในทุกเรื่องมันก็เหมือนกันหมดแหละ
คือคนที่เข้าใจในแนวคิดนั้นอย่างแท้จริงก็จะประสพความสำเร็จ
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ(หรือคิดว่าเข้าใจแต่ทำไม่ได้ตามนั้น :lol: )ก็คงยากที่จะประสพความสำเร็จ
-
- Verified User
- โพสต์: 305
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 16
เชื่อครับว่าห่านทองคำวันนี้ถุกจับไปเกือบหมดแล้ว บางทีที่จับได้ก็กลายเป็นห่านธรรมดา หรือกลายเป็นเป็ดก็บ่อย ของมันก็ต้องหายากอยู่แล้ว จะหาง่ายๆได้ไงvichit เขียน:ห่านทองคำวันนี้ถูกจับไปเกือบหมดแล้ว แต่หงส์ยังคงบินว่อนเต็มท้องฟ้า
แต่ไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามีหงส์บินว่อนเต็มท้องฟ้า สงสัยคนเขียนคงเห็นนกแร้งหรือนกกระจอกเป็นหงส์ไปแล้วแน่ๆเลย
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 17
ผมชอบห่านแฮะ แต่ขอเป็นห่นที่ออกไข่ทองคำ โตขึ้น โตขึ้น โตขึ้น ทุกๆปีละกัน
ส่วนพวกหงส์นี่ไม่รู้เป็นไง ชอบซื้อนักเตะมานั่ง ไม่ค่อยเอาลง เอ๊ยไม่ใช่ :lol:
พวกหงส์นี่ ถ้ามันตัวโตจนมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับไข่ที่มันออก และ ผมก็มักจะปล่อยหงส์ ไปซื้อห่านตัวอื่น
ส่วนพวกหงส์นี่ไม่รู้เป็นไง ชอบซื้อนักเตะมานั่ง ไม่ค่อยเอาลง เอ๊ยไม่ใช่ :lol:
พวกหงส์นี่ ถ้ามันตัวโตจนมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับไข่ที่มันออก และ ผมก็มักจะปล่อยหงส์ ไปซื้อห่านตัวอื่น
จงทนอด และอดทน
- sathaporne
- Verified User
- โพสต์: 1661
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 18
ผมว่าการจะเป็น vi นี่การมีวินัยเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันเป็นเรื่องของการเพาะบ่มนิสัย ถ้าราขาดวินัยแล้วโอกาสที่จะหลุดเข้าไปในเรื่องการเก็งกำไรแล้วเป็นไปได้มาก และถ้าลงไปแล้วก็มักจะติด หรือถ้าขาดทุนก็ยิ่งจะเกิดการอยากเอาคืน (เหมือนการพนันเลย แฮะ) คือผมเห็นจากที่บ้านอ่ะนะ ไม่ใช่เป็นเรื่องการซื้อหุ้นหรอกครับ
แต่เป็นการซื้อของมาขาย หรือลงทุนในที่ดิน พอแรกๆแกได้กำไร ก็มักยิ่งติดใจ ก็กู้เงินมาซื้อเก็งกำไรลักษณะนี้ แต่พอขาดทุน ก็ยิ่งอยากหาทางคืนทุนให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง
ผมนับถือคนที่สามารถกลับตัวออกมาจากเรื่องเก็งกำไรได้ในขณะที่ยังไม่เสียหายมาก นั่นแสดงว่าเขาเป็นคนที่ใจแข็งน่าดู
สำหรับผม ผมรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนควบคุมจิตใจตัวเองไม่เก่ง จึงต้องรักษาวินัยในการที่จะไม่ไปยุ่งเรื่องพวกนี้ครับ
แต่เป็นการซื้อของมาขาย หรือลงทุนในที่ดิน พอแรกๆแกได้กำไร ก็มักยิ่งติดใจ ก็กู้เงินมาซื้อเก็งกำไรลักษณะนี้ แต่พอขาดทุน ก็ยิ่งอยากหาทางคืนทุนให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง
ผมนับถือคนที่สามารถกลับตัวออกมาจากเรื่องเก็งกำไรได้ในขณะที่ยังไม่เสียหายมาก นั่นแสดงว่าเขาเป็นคนที่ใจแข็งน่าดู
สำหรับผม ผมรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนควบคุมจิตใจตัวเองไม่เก่ง จึงต้องรักษาวินัยในการที่จะไม่ไปยุ่งเรื่องพวกนี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 20
อ่านแล้วงงๆเหมือนกันครับ
เริ่มต้นก็ดูเหมือนว่าเขาเข้าใจวีไอ
ช่วงท้ายๆผมว่าดูแปลกๆไป
เหมือนจับแพะชนแกะชอบกล
แต่ก็เป็นธรรมดาครับ
เพราะว่าแนวทางวีไอเอง
ก็ไม่ได้มีนิยามโดยชัดเจนอยู่ในตัวตั้งแต่ต้น
และคนที่ตั้งชื่อให้ว่าวีไอ
ก็ตั้งด้วยเจตนาเริ่มต้นอย่างหนึ่ง
แต่กลายพันธ์ออกไปหลายสายหลายสำนัก
ตามแต่ว่าใครจะตีความว่าอย่างไร
จึงก่อให้เกิดความหลากหลายทั้งแนวคิดและทัศนคติ
แต่เกิดปัญหาเพราะว่า
แต่ละสายก็ยังใช้ชื่อเดียวกันว่าวีไอ :lol:
โดยประวัติศาสตร์ของชื่อวีไอนั้น
จะออกไปในแนวทาง "ของถูก" เป็นหลัก
ถูกนี้คือเปรียบเทียบกับอดีตและปัจจุบัน
แนวคิดแบบนี้
หุ้นถูกจึงหมายถึงหุ้นที่ pb ต่ำๆ
หรือที่บัฟเฟตต์เรียกว่า หุ้นก้นบุหรี่
ลินช์เรียกว่า หุ้นสินทรัพย์มาก
หรือบางกลุ่มนิยามให้เป็น กลุ่มหุ้นปันผลมากๆ โดยดู pd ต่ำๆ
และบางสายก็เน้น pe ต่ำๆ เป็นต้น
แต่วิวัฒนาการก็มีมา ตามลำดับ
และคงจะมีไป อีกตามลำดับ
หุ้นถูกเมื่อเทียบกับอนาคตก็เป็นแนวทางที่ทำกำไรให้ไม่น้อย
และบัฟเฟตต์เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนี้
หุ้นถูกเมื่อเทียบกับอนาคตจึงกลายเป็นพวก
หุ้นเติบโต
หุ้นวัฏจักร
คงเหมือนศาสนาล่ะครับ
แยกกิ่งก้านสาขาไปมากมายทั้งมหายานหินยาน
ทั้งคาทอลิกโปรแตสแตนท์
ทั้งสุนีย์ชีห์อะ
แต่ทุกสายก็ยังเรียกตัวเองว่าพุทธคริสต์และอิสลาม
ดังนั้นการมองอนาคตของวีไอ
จึงขึ้นอยู่กับว่า
เขานิยามวีไอวันนี้ว่าอย่างไร
หลายๆสายก็คงเริ่มตีบตันในปัจจุบัน
และคงเหือดแห้งในอนาคต
แต่หลายๆสายก็ยังงอกงามในวันนี้
และจะยิ่งรุ่งโรจน์ในวันหน้า :lol:
ชีวิตมีหนทางของมัน
วีไอก็มีหนทางของมัน
เริ่มต้นก็ดูเหมือนว่าเขาเข้าใจวีไอ
ช่วงท้ายๆผมว่าดูแปลกๆไป
เหมือนจับแพะชนแกะชอบกล
แต่ก็เป็นธรรมดาครับ
เพราะว่าแนวทางวีไอเอง
ก็ไม่ได้มีนิยามโดยชัดเจนอยู่ในตัวตั้งแต่ต้น
และคนที่ตั้งชื่อให้ว่าวีไอ
ก็ตั้งด้วยเจตนาเริ่มต้นอย่างหนึ่ง
แต่กลายพันธ์ออกไปหลายสายหลายสำนัก
ตามแต่ว่าใครจะตีความว่าอย่างไร
จึงก่อให้เกิดความหลากหลายทั้งแนวคิดและทัศนคติ
แต่เกิดปัญหาเพราะว่า
แต่ละสายก็ยังใช้ชื่อเดียวกันว่าวีไอ :lol:
โดยประวัติศาสตร์ของชื่อวีไอนั้น
จะออกไปในแนวทาง "ของถูก" เป็นหลัก
ถูกนี้คือเปรียบเทียบกับอดีตและปัจจุบัน
แนวคิดแบบนี้
หุ้นถูกจึงหมายถึงหุ้นที่ pb ต่ำๆ
หรือที่บัฟเฟตต์เรียกว่า หุ้นก้นบุหรี่
ลินช์เรียกว่า หุ้นสินทรัพย์มาก
หรือบางกลุ่มนิยามให้เป็น กลุ่มหุ้นปันผลมากๆ โดยดู pd ต่ำๆ
และบางสายก็เน้น pe ต่ำๆ เป็นต้น
แต่วิวัฒนาการก็มีมา ตามลำดับ
และคงจะมีไป อีกตามลำดับ
หุ้นถูกเมื่อเทียบกับอนาคตก็เป็นแนวทางที่ทำกำไรให้ไม่น้อย
และบัฟเฟตต์เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนี้
หุ้นถูกเมื่อเทียบกับอนาคตจึงกลายเป็นพวก
หุ้นเติบโต
หุ้นวัฏจักร
คงเหมือนศาสนาล่ะครับ
แยกกิ่งก้านสาขาไปมากมายทั้งมหายานหินยาน
ทั้งคาทอลิกโปรแตสแตนท์
ทั้งสุนีย์ชีห์อะ
แต่ทุกสายก็ยังเรียกตัวเองว่าพุทธคริสต์และอิสลาม
ดังนั้นการมองอนาคตของวีไอ
จึงขึ้นอยู่กับว่า
เขานิยามวีไอวันนี้ว่าอย่างไร
หลายๆสายก็คงเริ่มตีบตันในปัจจุบัน
และคงเหือดแห้งในอนาคต
แต่หลายๆสายก็ยังงอกงามในวันนี้
และจะยิ่งรุ่งโรจน์ในวันหน้า :lol:
ชีวิตมีหนทางของมัน
วีไอก็มีหนทางของมัน
- tea_for_two
- Verified User
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 22
ว่ากันว่าการที่ราคาหุ้นขยับนั้นขั้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง
1. ความโลภ
2. ความกลัว
ผมก็ว่ามันก็น่าจะจริงนะ เพราะหนังสือ Marketing บางเล่มยังบอกเลยว่าคนเราจะทำการซื้อส่วนใหญ่จากปัจจัยทางด้านอารมณ์มากกว่าเหตุผล
สรุปก็คือว่าตราบใดที่คนเรายังมี ความโลภ และความกลัวอยู่ ความบิดเบี้ยวของตลาดก็ยังจะเกิดต่อไป และตรงนั้นจะช่องโอกาสในการทำกำไรในตลาดหุ้นอยู่
1. ความโลภ
2. ความกลัว
ผมก็ว่ามันก็น่าจะจริงนะ เพราะหนังสือ Marketing บางเล่มยังบอกเลยว่าคนเราจะทำการซื้อส่วนใหญ่จากปัจจัยทางด้านอารมณ์มากกว่าเหตุผล
สรุปก็คือว่าตราบใดที่คนเรายังมี ความโลภ และความกลัวอยู่ ความบิดเบี้ยวของตลาดก็ยังจะเกิดต่อไป และตรงนั้นจะช่องโอกาสในการทำกำไรในตลาดหุ้นอยู่
勝利は苦しさを越えて
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 24
ตกลง Growth Stock ไม่ใช่ Value Stock หรือครับvichit เขียน:Value Stock จึงไม่ได้เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดของการลงทุน ยังมีสไตล์การลงทุนอื่นที่ควรรู้จัก อย่างสไตล์การลงทุนใน Growth Stock เป็นอีกกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในภาวการณ์ที่ตลาดเริ่มถดถอย และหุ้นถูกๆ เริ่มหายากขึ้นทุกที
ไม่รู้ว่า ผม หรือ ดร.รวี เข้าใจผิดกันแน่
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 25
พี่ฉัตรชัยเข้าใจถูกต้องแล้วครับchatchai เขียน:
ตกลง Growth Stock ไม่ใช่ Value Stock หรือครับ
ไม่รู้ว่า ผม หรือ ดร.รวี เข้าใจผิดกันแน่
growth stock เป็น value stock
และเป็นขวัญใจของ value investor เกือบทั่วโลกเลยล่ะ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 26
งานนี้หงส์ โดนรุม :lol:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 27
อาจารย์พยายามจะเขียนแบบวิชาการ แต่ผมอ่านแล้วมีความไม่เป็นเหตุเป็นผลเต็มไปหมด รวมๆน่าจะเรียกว่าจับแพะชนแกะเลยทีเดียว ผมอ่านบทความครั้งแรกก็รู้ว่าเดี๋ยวเพื่อนๆ tvi ต้องออกมาวิจารณ์ ใครรู้จักอาจารย์เป็นการส่วนตัวช่วยแนะนำให้ทำความเข้าใจ vi โดยการเข้ามาที่เวปนี้หน่อย ไม่งั้นเขียนผิดๆถูกๆ คนอ่านจะเข้าใจผิดกันไปหมด
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 29
เผื่อท่านรองศาสตราจารย์ รวี จะเข้ามาอ่าน :lol:
ผมขออธิบายคร่าวๆ ที่ผมเข้าใจนะครับ
โลก vi ในมุมมองของผมหรืออีกหลายท่าน เค้าแบ่งหุ้นเป็น 3 เหล่า...
1.แบบแรกคือหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน (value stock )
2.แบบสองคือหุ้นที่ราคาพอๆกับพื้นฐาน
3.แบบสุดท้ายคือหุ้นที่ราคาสูงกว่าพืนฐาน
มีแค่นี้ละครับ
หุ้นทั้ง 3 พวกจะเป็นหุ้นประเภทไหนก็ได้ เป็น growth stock, cylical stock, asset play stock, technology stock, turnaround stock, dividend stock .......whatever.
อาจารย์อาจจะอ่านจากตำราเมืองนอก(บางเล่มเท่านั้น)ที่เค้ามีนิยาม value stock & growth stock แยกกัน แต่ในเมืองไทยความหมายของ value stock ประมาณที่ผมอธิบายข้างต้นครับ เผอิญอาจารย์เขียนให้คนไทยอ่าน ผมคิดว่าไม่ถูกต้องนักก็ควรจะทักท้วง
ผมขออธิบายคร่าวๆ ที่ผมเข้าใจนะครับ
โลก vi ในมุมมองของผมหรืออีกหลายท่าน เค้าแบ่งหุ้นเป็น 3 เหล่า...
1.แบบแรกคือหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน (value stock )
2.แบบสองคือหุ้นที่ราคาพอๆกับพื้นฐาน
3.แบบสุดท้ายคือหุ้นที่ราคาสูงกว่าพืนฐาน
มีแค่นี้ละครับ
หุ้นทั้ง 3 พวกจะเป็นหุ้นประเภทไหนก็ได้ เป็น growth stock, cylical stock, asset play stock, technology stock, turnaround stock, dividend stock .......whatever.
อาจารย์อาจจะอ่านจากตำราเมืองนอก(บางเล่มเท่านั้น)ที่เค้ามีนิยาม value stock & growth stock แยกกัน แต่ในเมืองไทยความหมายของ value stock ประมาณที่ผมอธิบายข้างต้นครับ เผอิญอาจารย์เขียนให้คนไทยอ่าน ผมคิดว่าไม่ถูกต้องนักก็ควรจะทักท้วง
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 1
'ห่านทองคำ' ปะทะ 'หงส์เหินฟ้า'
โพสต์ที่ 30
เห็นด้วยกับพี่ลูกอีสานครับ
ขอยกตัวอย่างกรณีผมละกัน
อย่างผมเนี่ย ก็เป็น VI ครับ แต่จะเป็น style "Value Oriented Growth Stock" นะครับ
คือชอบ Growth Stock ที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐาน ซึ่งไม่ได้วัดกันที่ PE อย่างเดียว ต้องดู growth rate คุณภาพและความแน่นอนของกำไร biz model และ durable competitive advantage ด้วย
ลองนึกๆ ดูตอนเรียน finance กับ CFA เขาก็ไม่ได้สอนการเป็น VI จริง ๆ ด้วย มัวแต่เน้นการหา beta, CAPM, variance, asset allocation ต่าง ๆ นา ๆ
ถ้าอยากรู้ VI น่าจะลองอ่านหนังสือซัก 3 เล่มก่อนนะครับ
1 one up on wallstreet by peter lynch
2 common stocks and uncommon profits by phillip fisher
3 the intelligent investor by bengamin graham
ใครไม่ได้อ่านเนี่ย เสียเปรียบจริงๆ ครับ
ขอยกตัวอย่างกรณีผมละกัน
อย่างผมเนี่ย ก็เป็น VI ครับ แต่จะเป็น style "Value Oriented Growth Stock" นะครับ
คือชอบ Growth Stock ที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐาน ซึ่งไม่ได้วัดกันที่ PE อย่างเดียว ต้องดู growth rate คุณภาพและความแน่นอนของกำไร biz model และ durable competitive advantage ด้วย
ลองนึกๆ ดูตอนเรียน finance กับ CFA เขาก็ไม่ได้สอนการเป็น VI จริง ๆ ด้วย มัวแต่เน้นการหา beta, CAPM, variance, asset allocation ต่าง ๆ นา ๆ
ถ้าอยากรู้ VI น่าจะลองอ่านหนังสือซัก 3 เล่มก่อนนะครับ
1 one up on wallstreet by peter lynch
2 common stocks and uncommon profits by phillip fisher
3 the intelligent investor by bengamin graham
ใครไม่ได้อ่านเนี่ย เสียเปรียบจริงๆ ครับ
In search of super stocks