แต่ไม่รู้ว่า อยู่ใน หัวข้ออะไร
คงได้แค่เอาเป็นอุทาหรณ์ละกันนะครับ ว่ามันมีทีี่มา และ ที่ไปอย่างไร
ไม่รู้ว่าเป็นการผิดหรือเปล่า ที่ เอา quote มาจาก นสพ.
(ผมไม่ค่อยรู้กฎกติกาเท่าไหร่ ถ้าผิด ก็ลบไปเลยนะครับ)
เจาะลึกขบวนการปั่นหุ้น สิงค์โปร์แหล่งพักหุ้นร้อน! “ฝรั่งหัวดำ” ตัวการใหญ่
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 10 มิถุนายน 2549 08:04 น.
* พบแล้ว 3 ตัวการใหญ่ ปั่นหุ้นในเมืองไทยจับมือกันเป็นขบวนการ ทำแบบแยบยล
* ครั้งนี้ Deal maker ชั้นเซียนในวงการยอมเปิดปากเป็นฉาก ๆ พร้อมยกตัวอย่างหุ้นที่ใช้เทคนิคจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการปั่น ซึ่งคนอ่านต้องตะลึง
* แม้แต่ 3เซียนหุ้นในประเทศ หมอยรรยง ,เสี่ยปู่และมาดาม
บลู ต้องชิดซ้าย
* นักเล่นหุ้น อยากรวยและไม่อยากเป็นแมงเม่า
แม้ตลาดหุ้นเมืองไทยจะมี free float และมีหุ้นตัวใหญ่น้อย แต่ก็มีข่าวรายงานจากเหล่าโบรกเกอร์ว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดโดยซื้อยก ล็อตในหุ้นตัวใหญ่อยู่ตลอด นอกจากนี้ยังมีข่าว “ปั่นหุ้น”ไม่เว้นวัน แต่แท้จริงการเข้ามาของ”ฝรั่ง”นั้นจะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ และข่าวปั้นหุ้น แท้ที่จริงนั้น ใครเป็นผู้บงการที่แท้จริง !?
อย่างไรก็ดีแหล่งข่าว 2 กลุ่มที่อยู่ในวงการตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็น “ขาใหญ่” ในวงการตลาดหุ้นได้เปิดอกคุยกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ถึงกลเม็ดวิธีการปั่นหุ้นของกลุ่มบุคคลต่างๆ
3 รูปแบบการ “ปั่น”ในตลาดหุ้นไทย
แหล่งข่าว ระบุว่า หากจะนับกันไปแล้วรูปแบบการปั่นหุ้นในเมืองไทยมี 3 แบบ คือการสร้างข่าวดันราคา การสร้างวอลุ่มดันราคาหุ้นโดยไม่ต้องมีข่าวมารองรับ และสุดท้ายการปั่นหุ้นผ่านกองทุน สำหรับการสร้างข่าวดันราคาหุ้นนั้นทุกคนสังเกตได้ว่าจากหุ้นตัวเล็กที่มี ราคาไม่สูงมากนัก แต่ได้รับการปั้นแต่งข่าวดีถึงการลงทุนและร่วมทุนมากมายที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต ทำให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นไปรับข่าวดีที่เกิดขึ้น เช่น โดยไล่มาตั้งแต่ N-Park หุ้นที่ไต่ราคาหุ้น จาก 1 บาทกว่า มาที่ 10 บาท แต่ในที่สุดราคาหุ้นก็ตกลงมาต่ำกว่าบาทในปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ข่าวดีนั้นไม่สามารถสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นได้
มาถึง PICNI ซึ่งสร้างข่าวด้วยการสร้างกำไรที่บ่งบอกถึงการเติบโตที่มหาศาลนำมาสู่การดึง แมงเม่าเข้ามาติดกับ ซึ่งวิธีการจับหุ้นมาแต่งตัวนี้เป็นแนวทางของหุ้นอีกหลายตัวที่ดำเนินตามรอย รวมถึง IEC ซึ่งเป็นหุ้นราคาขึ้นลงร้อนแรงล่าสุด
ส่วนการปั่นแบบสร้างวอลุ่มการซื้อขายนั้น ผู้ปั่นจะเลือกหุ้นตัวเล็ก ราคาต่ำและต้องมีฟรีโฟลท( สัดส่วนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด) น้อย เพราะใช้เม็ดเงินไม่มากก็สามารถสร้างราคาให้สูงขึ้นได้ในเวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตามหากมองให้ลึกลงไปจะพบว่า การปั่นในรูปแบบที่ 1 จะใช้เวลาในการบ่มเพาะหุ้นมากกว่า ในขณะที่การสร้างวอลุ่มนั้น ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน แล้วราคาก็จะกลับรูดลงต่ำยิ่งกว่าราคาก่อนที่ถูกปั่น และสุดท้ายสำหรับการใช้กองทุนเข้าไปหากินปั่นหุ้นนั้น มีน้อยคนที่จะรับทราบข้อมูลเหล่านี้ เพราะมีขั้นตอนซับซ้อน มีการใช้ตัวแทนจากกองทุนต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง การซื้อขายแต่ละครั้งจึงดูเหมือนเป็นการเข้ามาซื้อขายจากกองทุนต่างประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นกองทุนนอมินีของ “ฝรั่งหัวดำ”ที่ใช้กองทุนเป็นเครื่องมือในการปั่นหุ้นแทนตัวเอง
ส่งผลให้ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมามีนักลงทุนเจ็บตัวกับพฤติกรรมสร้างราคาไม่น้อย คาดการณ์กันว่าแค่หุ้น PICNI อย่างเดียวก็มีคนเจ็บตัวไม่ต่ำกว่า 8,000 ราย ยังไม่นับรวม หุ้นเล็กๆอย่าง BNT,EWC,APURE ที่มีรายย่อยวิ่งตามเข้าไปและต้องรับไม้สุดท้ายในราคาสูงสุดไป
กลต.วิ่งล่าลม ดับเบิ้ลแสตนดาร์ด
เมื่อมีพฤติกรรมการไล่ราคาเช่นนี้ให้เห็นอยู่ในตลาดหุ้น ปรากฏว่าการเข้ามาของตำรวจตลาดหุ้นอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. นั้นก็เหมือนกับเป็น “เสือกระดาษ” เพราะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นนั้น กลต.จะเข้าไปมีบทบาทหลังจากที่มีเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว และไม่สามารถหยุดยั้งกระแสความต้องการที่จะเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นเหล่านั้น ได้
นอกจาก ก.ล.ต. ยังถูกมองว่าเป็นองค์กรที่พิจารณาความแบบดับเบิ้ลแสตนดาร์ด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของบางกลุ่มนั้นไม่ได้ถูกก.ล.ต.เข้าไป ดูแล ถึงแม้จะเห็นอย่างเด่นชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างผิดปกติ
เปิด 3 กลุ่มปั่นหุ้นเมืองไทย
การสร้างราคาหุ้นในเมืองไทยที่เราเรียกว่า “ปั่นหุ้น” นั้น เซียนตลาดหุ้น ระบุว่า มีกลุ่มคนหรือขบวนการสร้างราคาเข้าไปเกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม คือกลุ่มสร้างราคาระดับอินเตอร์ กลุ่มสร้างราคาระดับในประเทศ และกลุ่มที่ปั่นหุ้นโดยใช้กองทุนของรัฐบาล
กลุ่มแรก เป็นนักปั่นหุ้นระดับอินเตอร์ ซึ่งแม้จะมีชาวต่างชาติในภูมิภาคเอเชียเข้ามาบ้าง แต่ที่จริงแล้วอินเตอร์หมายถึงพฤติกรรมการสร้างราคาหรือปั้นหุ้นนั้นได้ใช้ วิธีการรูปแบบเดียวกับตลาดต่างประเทศมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งมีพฤติกรรมที่สังเกตได้ง่ายๆ คือ จับหุ้นเก่า-แต่งตัวใหม่-ไล่ราคา โดยมีการสร้างข่าวและทำให้บริษัทมีสตอรี่ไลน์ หรือ การสร้างเรื่องราวให้กับหุ้น เช่น จะควบรวมกับบริษัทในต่างประเทศ เพิ่มไลน์ธุรกิจ ฯลฯ จนทำให้ผู้ซื้อหุ้นคิดว่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นฐานทำให้ราคาหุ้นได้ จริง ๆ การที่จะเข้าไปจับหุ้นตัวนั้นๆได้ กลุ่มอินเตอร์เหล่านี้จะต้องมีเงินตุงในกระเป๋ามากพอสมควร และกลุ่มอินเตอร์นี้สร้างราคาหุ้นครั้งใดกำไรที่คาดหวังทุกครั้งมักจะอยู่ ที่ 1000% เป็นอย่างน้อย (อ่าน“IEC”โมเดลปั้นหุ้น เซียนระดับอินเตอร์!)
ส่วนกลุ่มที่สองเป็นนักสร้างราคาระดับในประเทศจะเป็นคนไทยกันเอง ซึ่งถ้าใครแฟนพันธุ์แท้ในตลาดหลักทรัพย์ก็คงรู้จักชื่อเสียงของพวกเขาเหล่า นี้ดี ไม่ว่าจะเป็น ทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม (หมอยรรยง) ,สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา “เสี่ยปู่” และ “ศรีฟ้า”หรือคนในวงการรู้จักกันในนาม “มาม่าบลู-มาดามบลู” ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในสมัยที่หุ้นราคาไม่สูงมากนักและมี พื้นฐานพอไปได้ เรียกได้ว่า หลังวิกฤติ ปี 2540 เป็นต้นมาเหล่านักสร้าวราคาระดับในประเทศก็มีบทบาทในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก เมื่อซื้อหุ้นราคาถูกประกอบกับหลังจากนั้นสภาวะตลาดหุ้นเมืองไทยรีบาวด์(ดีด ตัว)ขึ้น ทำให้กลุ่มนักสร้างราคาต่างร่ำรวยหุ้นที่ซื้อไว้แบบเป็นกอบเป็นกำ (อ่าน เกาะติด “3เซียน”ในประเทศ -จากรายย่อยสู่กระบี่มือหนึ่ง! )
กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่อยู่หลังฉากคอยบงการอยู่เบื้องหลัง โดยมีเครื่องมือเป็น “กองทุนของรัฐ” ตั้งแต่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนของธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีอำนาจบางอย่างอยู่ในมือด้วย มีพฤติกรรมเป็น “ไอ้โม่ง”คอยชักใย ซึ่งขณะนี้กำลังได้กำไรสองต่อ ทั้งกำไรค่าเงินบาทและส่วนต่างของราคาหุ้น วิธีการที่ไอ้โม่งเข้าไปเล่นก็คือ การใช้กองทุนรัฐ ฯเข้าไปซื้อหุ้นประเภท เบญจภาคีไว้ (อ่าน“หุ้นเบญจภาคี”...มีแต่ได้..ไม่มีเสีย !) หรือจะเป็นการตั้ง Put & call option ไว้กับเหล่ากองทุนทั้งหลาย เพราะกองทุนจะต้องทำกำไรให้กับผู้ถือหน่วย อย่างน้อย 8-10% ไอ้โม่งเห็นโอกาส หุ้นตัวนี้และเข้าซื้อไว้ 3.30 บาท แล้วทำรายการ put and call ไว้กับกองทุนซึ่งอีก 2 ปีเขาจะซื้อต่อในราคา 4.60 บาท
ทางกองทุนก็เล็งเห็นส่วนต่าง 1.30 บาท ซึ่งทางกองทุนจะทำกำไรให้กับผู้ถือหน่วยทันที 10% ต่อปี และ 15% ในสองปี ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับกองทุน แต่ราคาขนาดนั้นอยู่ที่ 9 บาท เรียกได้ว่าลงทุนที่ราคา 4.60 บาท แต่รับราคาขายไป 9 บาททันที ขบวนการเหล่านี้ไอ้โม่งจะทำผ่าน นอมินีซึ่งอยู่ต่างแดน(Off shore) เพื่อใช้ทำการซื้อขาย แล้วโอนเงินเหล่านั้นไปทางสิงคโปร์ ซึ่งไม่มีใครสังเกตว่าที่เป็นกองทุนต่างประเทศนั้นที่แท้ก็คือ ไอ้โม่งหัวดำทีมีอำนาจสั่งการในเมืองไทยนี่เอง
ล่าสุดนี้ ไอ้โม่งที่ใช้กองทุนบังหน้าซื้อขายหุ้นนี้ กำลังเล็ง ๆ ฮุบ TPI เพราะได้เข้าไปรับซื้อที่ราคา 7.20 บาทไว้เรียบร้อย
“3 ประสาน” สร้างราคาให้โลดลิ่ว
เมื่อทราบ 3 กลุ่มที่เข้ามาโดดเด่นในตลาดหุ้นไทยแล้ว สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือ กลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างราคาพุ่งให้กลุ่มอินเตอร์และ กลุ่มในประเทศได้นั้น ทั้ง 2 กลุ่มนี้ต้องจับมือกับ 3 บุคคลด้วยกัน นั้นคือ เจ้าของหุ้นเดิม, ผู้ทำหน้าที่เป็นคนกลางการซื้อขายระหว่างบริษัท หรือที่เรียกว่าดีลเมกเกอร์ (Deal maker) และ ผู้ดูแลราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือ มาร์เก็ตเมกเกอร์ (Market maker)
อย่างไรก็ดีการปั้นหุ้นของกลุ่มอินเตอร์นั้น จะเริ่มตั้งแต่ดีล เมกเกอร์ ไปคุยกับเจ้าของหุ้นเดิม ว่าต้องการจะปรับโฉมอย่างไรบ้าง ดีลเมกเกอร์เองจะเป็นคนมอง “อาการ”หุ้นว่ามีโอกาส สร้างราคาได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นทางดีลเมกเกอร์ก็จะขอดูข้อมูลภายในว่าจะมีโครงการอะไรเกิดขึ้น ได้หรือไม่ ดีลเมกเกอร์ก็จะเริ่มตั้งเป้าราคาหุ้น แล้วใช้วิธีทำบทวิเคราะห์ออกมาถึงเหตุผลในการซื้อหุ้นตัวนี้ วิธีการนี้จะต้องใช้เครือข่ายโบรกเกอร์กระจายกันออกไป ซึ่งเหล่าดีลเมกเกอร์จะเป็นผู้วางแผนไว้ทั้งหมดว่าต้องการจะขายที่ราคา เท่าใด เช่นต้องการซื้อ TPI ที่ 8.10 บาท 200 ล้านหุ้น ทางโบรกเกอร์ก็จะกระจายการซื้อออกไปยังโบรกเกอร์ในเครือทั้งหมดให้ได้ตาม ราคาที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งจะใช้วีธีการดันขึ้นไปแล้วทุบลงมาซึ่งวิธีนี้เรียกว่า “เก็บหุ้น”ซึ่งวิธีการเหล่านี้ มาร์เก็ตเมกเกอร์จะแสดงเป็นตัวเด่น
เมื่อเก็บ หุ้นได้ตามคำสั่งแล้ว ก็ใช่วิธีการ”โอนบล็อก” ทีละน้อยซึ่งซื้อเก็บไว้ตามบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ประมาณ 5 บริษัท ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ในนาม off shore หรือเป็นบริษัทที่ไม่มีแหล่งที่มาของประเทศ (non resident) แล้วโอนใบหุ้นไปที่นอมินี่ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ต้องมีการจ่ายเงิน เพราะเป็นแค่การโอนหุ้นเท่านั้น ไม่ใช่การซื้อขาย หลังจากได้ราคาตามเป้าแล้วเมื่อต้องการจะขายทำกำไร ทางดีลเมกเกอร์ที่ตั้งเป้าราคาขายไว้ล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อข่าวดันราคามาถึงราคาเป้าหมายก็จะเป็นเพียงกลุ่มมาร์เก็ตเมกเกอร์และดี ลเมกเกอร์เท่านั้นที่ได้ราคาสูงสุด ขณะที่รายย่อยขายออกไม่ทัน และจะอยู่ติดดอยค้างเติ่งต่อไป
กระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการวางแผนโดยดีลเมกเกอร์ว่าจะมีการสร้าง ข่าวดันราคาหุ้นกี่ระยะ รวมทั้งทางดีลเมกเกอร์จะต้องติดต่อกับกองทุนต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนเพื่อ สร้างความน่าเชื่อถือของการสร้างดีลแต่ละครั้งด้วย
กลวิธีดังกล่าวนั้น อาจจะต่างกันอยู่นิดเดียวที่มาร์เก็ตเมกเกอร์นั้นจะเป็นผู้ดันราคาหุ้นให้มี volume ที่สูง ขณะที่ ดีลเมกเกอร์จะเป็นผู้คิดแผนการทั้งหมดว่าจะมีการดันหุ้นขึ้นไปอย่างเป็นระบบ อย่างไรบ้าง อีกทั้งมาร์เก็ตเมกเกอร์นั้นไม่ต้องรู้จักหรือติดต่อกับเจ้าของหุ้นเดิม อาจจะได้ยินว่าดีลเมกเกอร์จะทำดีลอะไรก็สามารถเข้ามาผสมโรงสร้างราคาได้ ท้ายที่สุดข่าวการสร้างราคาหุ้นจะสะท้อนความจริงได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของดีลเมกเกอร์ ที่จะส่งต่อไม้สุดท้ายให้เหล่ากองทุนมารับซื้อ เพื่อให้รายย่อยไม่เคว้ง ได้หรือไม่?
“ALEX” มาร์เก็ตเมกเกอร์ตัวฉกาจ
หากจะหันมามองมาร์เก็ตเมกเกอร์ที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้ในเมืองไทย ชื่อของ Alex มาร์เก็ตเมกเกอร์ชาวฮ่องกงจะถือเป็น “เซียน”อันดับหนึ่ง เพราะด้วย สายสัมพันธ์ (connection )ตามบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทต่างๆที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งมีเม็ดเงินลงทุนที่อยู่ในกระเป๋าเป็นจำนวนมาก ทำให้ Alex มีศักยภาพสูงในการเป็นมาร์เก็ตเมกเกอร์ ที่ทำราคา เสนอราคาให้กับเหล่ากองทุน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของเขาเมื่อเทียบกับมาร์เก็ตเมกเกอร์ระดับภูมิภาค
ผลงานที่ผ่านมาของเขาเป็นประเภท สร้างราคา ที่เห็นได้ชัดก็คือ IEC ซึ่งเป็นหุ้นที่มี story line สะท้อนการพุ่งของราคาหุ้น (อ่าน“IEC”โมเดลปั้นหุ้น เซียนระดับอินเตอร์!) ทั้งนี้รูปแบบการสร้างราคาหุ้นจึงเริ่มขึ้นจากการการที่ Alex รู้ข้อมูลภายในของบริษัทนั้นๆ จากดีลเมกเกอร์ แล้วทำบทวิจัยเข้าไปเสนอกองทุน โดยในบทวิจัยที่ Alex ทำนั้นจะบอกไว้ถึงเป้าหมายที่คาดไว้ว่าราคาหุ้นมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนแปลง ไปอย่างไร และก็จะเสนอขายราคาลดให้กับเหล่ากองทุนในราคาที่ตั้งเป้าไว้ และหลังจากที่ Alex เสนอขายกองทุนด้วยรูปแบบ under taking writer เรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มที่จะสร้างวอลุ่ม ไล่ราคา ตามเป้าที่สร้างราคาขายไว้กับกองทุน
และในอนาคตคอยจับตาการสร้างราคาสไตล์ Alex ได้ในไม่ช้า เพราะตอนนี้มีหุ้น 2 กลุ่มที่เขาจะเตรียมทำราคากันอยู่ เช่นกลุ่ม บ.เงินทุนและหลักทรัพย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวพันกับนักการเมืองพรรคไทยรักไทย ซึ่งรูปแบบการเข้ามาของ Alex ก็จะเป็นรูปแบบเดียวกับ IEC อีกครั้งคือ มีการเข้ามาของกองทุนเพื่อมารับซื้อ และ หุ้นมี story line ให้เห็น
พลิกกลยุทธ์เล่นหุ้นต้องรู้เขารู้เรา
เมื่อทราบรูปแบบการเล่นหุ้นของ 3 ขาใหญ่ในตลาดแล้ว แหล่งข่าวได้เน้นว่า การเล่นหุ้นให้ได้กำไรโดยตลอดนั้นต้องมีหลายเทคนิคสอดประสานกัน นับตั้งแต่การรู้ว่ากลุ่มหุ้นตัวไหนที่มีกองทุนซื้ออยู่เป็นประจำ เช่นกลุ่มเบญจภาคี ซึ่งกลุ่มนี้จะมีคนดูแลไม่ให้ราคาหล่นลงไปมากนักโดยตลอด ซึ่งผู้ซื้อหุ้นมีความมั่นใจได้ว่าแม้ราคาหุ้นจะตกแล้ว ไม่นานราคาหุ้นก็จะกลับมาอยู่ที่จุดเดิม
ดังนั้นเมื่อตลาดหุ้นแดงทั้งแผงหรือหุ้นกลุ่มนี้ราคาตกลงมา วิธีที่ดีทีสุดก็คือการเข้าไปช้อนซื้อหุ้นเก็บไว้ตอนที่ราคาสีแดง ไม่นานราคาหุ้นก็ดีดตัวกลับไปที่ราคาเดิม จึงควรขายเมื่อหุ้นขึ้นแล้วตกลงไป 1 ช่วง
โดยทั่ว ๆ ไปจึงแนะนำว่าให้นักลงทุนรายย่อยซื้อสวนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ไว้ เพราะส่วนใหญ่ที่โบรกเกอร์คาดการณ์ จะเป็นสิ่งที่ดีลเมกเกอร์และมาร์เก็ตเมกเกอร์ต้องการให้ข่าวออกมาเช่นไร และต้องดูปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทเป็นหลัก เพราะเชื่อได้ว่า ถ้าค่าเงินบาทแข็งอยู่อย่างนี้ทิศทางตลาดหุ้นในเมืองไทยก็คงมีแต่เทขายอย่าง เดียว
ที่สำคัญที่ต้องเป็นกลยุทธ์ที่พึงท่องไว้ในใจในกรณีที่เข้าซื้อหุ้น ปั่นก็คือ อย่าถือหุ้นไว้จนใกล้เวลาที่ข่าวจะหมด เมื่อราคาถูกลากไปซักพัก ให้เริ่มขายทันที เพราะถ้ารอจนข่าวหมดจะไม่มีปัจจัยใดเข้ามารับการขึ้นของราคาหุ้นอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี สิ่งน่ากลัวที่สุดของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ กลุ่มสร้างราคาหุ้นระดับอินเตอร์ทั้งหลาย เพราะสิ่งที่เขาสร้างนั้นอยู่บนความจริงที่มักจะจริงเพียงครึ่งเดียว และมีวาระซ่อนเร้น ไม่ได้มีความจริง 100% ในขณะที่นักสร้างราคาหุ้นในประเทศนั้นเป็นเพียงการสร้างวอลลุ่มไล่ราคาซึ่ง เห็นกันชัดๆเลยว่าตอนนี้กำลัง “ปั่นหุ้น”อยู่ ซึ่งนักลงทุนจะเป็นผู้ตัดสินใจได้เองว่าจะเป็นผู้เสี่ยงหรือไม่ดังนั้น นักลงทุนทั้งหลายจึงต้องติดตามพฤติกรรมของขบวนการนักสร้างราคาอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าไปเชื่อความจริงเพียงครึ่งเดียวที่สร้างขึ้น ก็จะเจ็บตัวตามกันไปอย่างที่เห็นมาจาก PICNI - APURE และN-Park
*************
"หุ้นเบญจภาคี"...มีแต่ได้..ไม่มีเสีย !
เล่นหุ้นอย่างไร ไม่ให้เจ๊ง...?
เล่นอย่างไรให้ได้กำไร ...?
กลายเป็นคำถามยอดฮิตที่บรรดานักเล่นหุ้นรายย่อย รวมไปถึงแมงเม่าพยายามหาคำตอบกันเรื่อยมา แต่วันนี้ ผู้จัดการรายสัปดาห์ มีคำแนะนำจาก "เซียนหุ้น" อย่าง "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ประธานกรรมการบริหาร เครือโอเรียลเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ที่ยอมเผยกลยุทธ์สร้างกำไรจากหุ้นตัวหลักๆ ที่เขาเองเรียกว่า "หุ้นเบญจภาคี" ประกอบด้วย PTT PTTEP KBANK TOP BBL
ในแวดวงนักเลงหุ้นด้วยกันนั้น หลายคนยอมรับว่าทุกครั้งเอกยุทธ เคลื่อนไหว มักได้รับความสนใจจากคนในแวดวงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะเชื่อว่าเอกยุทธ มี "อินไซด์เดอร์"ชั้นดี ประกอบกับความกว้างขวางมีเพื่อนพ้องอยู่ทุกวงการ และเมื่อบวกกับความสำเร็จของธุรกิจในมือยิ่งสามารถสร้างจุดขายและความน่า เชื่อถือให้ได้ไม่ยาก
"ถ้าจะเล่นหุ้นให้ได้กำไรและไม่ใช่เซียนหุ้นต้องเล่นหุ้นเบญจภาคี ได้แก่ PTT PTTEP TPI KBANK TOP BBL หุ้นพวกนี้เราไม่ต้องไปทำ ไม่ต้องไปปั่น เวลาตกหนัก เราก็ซื้อไว้ อีกสักพักก็จะมีคนเข้าไปปั่นราคาขึ้นมาใหม่เอง
เวลาที่เขาดันราคาขึ้นไป เราก็โยนให้เขาไป นี่คือเทคนิคในการเล่นให้ได้กำไร คือเรางอย่าไปกลัว อย่าไปตามตอนหุ้นขึ้น เวลาหุ้นลงมากๆเราก็รอเก็บอย่างเดียว แล้วจะได้ทุกรอบ"
ในกรณีหุ้น TOP ที่ราคาเคยตกลงมาแล้วหลายครั้ง เช่นเดียวกับหุ้น KBANK ที่เจอสภาวะที่ไม่แตกต่างกันนัก แต่หากรู้จักการรอคอย และจังหวะแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปวิตกกังวลเนื่องจากหุ้นเหล่านี้มี Market Maker คอยทำราคา อีกทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น ต้องรู้จักการเก็งกำไร รู้จังหวัดการซื้อขาย
เนื่องจากหุ้น PTT ถือเป็นหุ้นที่ผูกขาดในเรื่องการทำน้ำมัน เพราะปตท.มีสัมปทานผูกขาด เป็นหุ้นที่เป็นตัววัดดัชนีอยู่แล้ว เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือหุ้นราคาลงมา ก็จะมีคนที่คอยพยุงราคาไว้ได้ รวมทั้งจะมีกลุ่มการเมืองเข้าไปเล่นเป็น "ขาประจำ"อยู่แล้ว ซึ่งทั้งหุ้นปตท.และปตท.สผ. สามารถพยุงอยู่ได้เพราะมีเงินสดจากกลุ่มการเมืองเข้ามาตลอด
นอกจากนี้หุ้นทั้ง5 -6 ตัวดังกล่าวถือเป็นหุ้นพื้นฐาน ซื้อขายได้คล่อง มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิงคโปร์ ฉะนั้นราคาไม่ต่ำลงมาก เพราะสิงคโปร์จะไม่ปล่อยให้หุ้นลงมามาก ถ้าหุ้นตกลงมา ก็จะทุ่มเงินซื้อกลับเข้าไปใหม่ กรณีปตท.ถ้าตลาดแย่จริงๆ คาดว่าถ้าลงมาอยู่ที่ 200 บาทก็ยังรับได้อยู่
ปตท.สผ. PTTEP ยังน่าเล่นอยู่ คิดว่าคงลงไม่ต่ำกว่า 110 ก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ยังซื้อได้
สำหรับTOPหากราคาอยู่ที่ 60-62 บาทก็ยังเล่นคงได้อยู่ คาดว่าราคาจะอยู่ที่ในระดับนี้ คงไม่ลงไปมาก เนื่องจากมีพื้นฐานภายในดีอยู่แล้ว
ส่วนTPI ยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก แม้ปัจจุบันราคา 8 บาทก็จริง แต่ในระยะยาวก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ยังน่าซื้อเอาไว้ และมั่นใจว่าภายในปีนี้ 2549 ช่วงไตรมาส ที่ 3 มีโอกาสที่จะได้เห็น TPI มีตัวเลขถึง 2 หลักแน่นอน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเมืองที่น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ในราวเดือนมิ.ย. ,ก.ย.และต.ค.
"การเมืองอาจจะได้รับการกระทบบ้าง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยดีอยู่แล้ว หากรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีแล้ว คาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายน่าจะดีขึ้น ซึ่งTPI มีพื้นฐานคือตัวสินทรัพย์ดีอยู่แล้ว เพียงแต่มีปัญหาภายใน เรื่องการแย่งชิงกันเท่านั้น"
ส่วนKBANK ถือเป็นหุ้นที่แข็งแกร่ง เนื่องจากสิงคโปร์ถืออยู่จำนวนมาก ราคา ณ วันนี้ที่ยังเล่นกันอยู่ที่ 60 บาท ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มขอKBANKยังไปได้อีก ราคาขณะนี้ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง อย่างไรก็ตามในตลาดของไทยไม่ค่อยมีตัวเล่นมากนัก ดังนั้นโอกาสที่จะได้เห็นตัวเลขขึ้นไปอยู่ที่ 70-80 ก็เป็นไปได้ โดยต้องเล่นรอบ หากจะถือครั้งเดียวเลยคงไม่ได้
ขณะที่ BBL ถ้าต่ำกว่า 102-110 ลงมามากๆก็ต้องถือว่าน่าซื้อเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีเสีย แต่ถ้าหากไปอยู่ที่120 ก็ต้องรีบขาย เนื่องจากพื้นฐานด้อยกว่า KBANK แต่ต้องนับว่ายังเป็นหุ้น 1 ใน5-6 ที่สามารถสร้าง แก็ปได้ และมีสิงคโปร์คอยควบคุมอยู่
งานนี้อดีตเจ้าพ่อแชร์ ชาเตอร์ ยอมเผยกลยุทธพิชิตกำไรจากหุ้น กันอย่างตรงไปตรงมา ส่วนใครจะสนใจหุ้น "เบญจภาคี"หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจังหวัดและโอกาสของแต่ละคน ...
**********
เกาะติด "3เซียน"ในประเทศ
จากรายย่อยสู่กระบี่มือหนึ่ง!
รู้ วิธีการเล่นหุ้นอย่าง "เซียน"ของ 3 นักลงทุนรายใหญ่ขยับไปไหนฟันกำไรเนื้อๆ วันนี้ของพวกเขา เลือกที่เล่นหุ้น IPO และการเจรจาซื้อหุ้นบิ๊กลอต แล้วไปขายต่อ มากกว่าการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดทั่วๆ ไปเพื่อลดการเป็นเป้านิ่งจากสายตา "กลต." มารู้จักกับ "เสี่ยปู่ - หมอยรรยง-มาม่าบลู"กับสไตล์การเล่นหุ้นแบบมืออาชีพ
บรรดานักเล่นหุ้นทั้งรายเก่าและรายใหม่ ที่ย่างกรายเข้าไปในตลาดหุ้น จะได้ยินกิตติศัพท์ของ 3 เซียนคือ คือทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม ,สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา "เสี่ยปู่"อดีตนักเศรษฐศาสตร์จากสภาพัฒน์ และ "ศรีฟ้า"หรือคนในวงการรู้จักกันในนาม "มาม่าบลู-มาดามบลู" การซื้อ-ขายของเซียนหุ้นทั้ง 3คนนี้ มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมาก เพราะไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง หุ้นตัวไหนวิ่งแรง และตัวไหนโดนถล่มขายก็จะต้องมีเขาทั้ง 3 คนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง
ทั้งสามคนถึงกับถูกจับตามองจาก ก.ล.ต ในฐานะนักลงทุนที่เข้าไวออกไวจนเป็นที่น่าสงสัยมีการเข้าไปเกี่ยวพันกับการ ปั่นหุ้นแต่ กลต.ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้งว่านักลงทุนทั้ง3คนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องใน การปั่นหุ้นจริงหรือไม่ !?
ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเกี่ยวพันกับการปั่นหุ้นหรือไม่ก็ตาม แต่ชื่อ "เสี่ยปู่-หมอยรรยงค์-มามาบลู "ถือได้ว่าเป็นนักลงทุนที่ประสบผลสำเร็จและร่ำรวยจากการเล่นหุ้นที่บรรดามือ ใหม่ต้องหาคำตอบ..
มาร์เก็ต เมกเกอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของเสี่ยปู่ หมอยรรยงค์และมามาบลู บอกกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ถึงสไตล์การเล่นหุ้นของนักลงทุนทั้ง 3 รายว่า กลุ่มนี้ถือเป็นเซียนเล่นหุ้นในระดับประเทศและโด่งดังมากที่สุดหลังดัชนี ตลาดหุ้นตกจาก 1,700 จุดมาสู่ที่ระดับ500-600 จุด คนกลุ่มนี้จะเข้าไปเก็บหุ้น 3 ตัว 5 หรือ 3 ตัว 10 บาทเป็นหลัก และการเลือกเก็บก็จะเลือกหุ้นไม่ค่อยมีเจ้าของ มีข่าวเล็กน้อย โดยจะเลือกซื้อจำนวนมาก ๆ หรือบิ๊กลอต จากนั้นจะมีนักเล่นหุ้นรายย่อยแห่ตามเข้ามา
"พวกนี้ร่ำรวยจากหุ้น 3ตัว 5 และ 3ตัว 10บาท มหาศาล เมื่อราคาไต่ระดับเป็นที่พอใจเขาก็ออกของ แล้วก็ไปหาตัวใหม่เล่นต่อไป"
แหล่งข่าว ระบุว่า เสี่ยปู่ หมอยรรยงค์และมามาบลู มีวิธีการเล่นหุ้นที่อาศัยความเป็นนักลงทุนบวกกับความเป็นมาร์เก็ต เมกเกอร์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับบรรดาโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น ซึ่งโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นก็จะบอกกับนักเล่นหุ้นที่อยู่หน้ากระดานในตลาดหุ้น ว่า วันนี้เซียนหุ้นเลือกที่จะเข้าซื้อตัวไหนบ้างจากนั้นก็จะมีการแห่ตามกันเข้า ไป
ปัจจุบันเสี่ยปู่ หมอยรรยงค์ ชะลอการซื้อหุ้นในกระดานลงไปมาก
เนื่องเพราะมีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาเข้าไปปั่นหุ้นหลายตัว จนเป็นที่จับตาของกลต. และหันไปเล่นหุ้น IPOแทน รวมถึงการเข้าไปเจรจาซื้อหุ้นบิ๊กลอต แล้วนำไปขายทำกำไรอีกทอดหนึ่ง
"พวกเขาจะติด 1ใน 20 ของการซื้อหุ้น IPO และหุ้นกลุ่มนี้ทำรายได้ให้เขามาก"
ในจำนวน 3 คนนี้ชื่อของ มามาบลู ดูจะเงียบไปจากตลาดหุ้นมากที่สุด เพราะหุ้นที่เธอเชี่ยวชาญที่สุด คือพวกหุ้น 3 ตัว 5 และ 3 ตัว 10 บาท มีให้เลือกเล่นน้อย ดังนั้นจึงเหลือเพียงหุ้น IPO ที่ยังมีชื่อติดอยู่บ้าง
แม้ปัจจุบันในตลาดจะมีหุ้น 3 ตัว 5 หรือ 3 ตัว 10 บาท อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ เสี่ยปู หมอยรรยงค์ และมามาบลู ก็ไม่นิยมที่จะเข้าไปซื้อ เช่น BNT ,EMC ,PICNI ,POWER,MIDA , APURE , IEC เป็นต้น
"พวกนี้เขาไม่นิยมไปซื้อหุ้นที่มีนักเลงโตคุมอยู่ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือลงอย่างไร จึงหันไปเล่นหุ้นIPOหรือเจรจาซื้อแบบบิ๊กลอตแล้วไปขายต่อจะดีกว่าเพราะกำไร เห็นๆ"
แหล่งข่าว ระบุด้วยว่า เซียนหุ้นในระดับประเทศทุกวันนี้จะไม่ใช่พวกเขา 3 คนอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นกลุ่มก๊วนของ พายัพ ชินวัตร น้องชายพ.ต.ท.ชินวัตร เป็นแกนนำ โดยกลุ่มของพายัพ ชินวัตรนั้น จะมีวิธีการเล่นหุ้นที่ต่างจากกลุ่มของ เสี่ยปู หมอยรรยงค์และมามาบลู ตรงที่ว่า กลุ่มเสี่ยปู่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้าของหุ้นเดิม หรือไม่เคยคิดจะเข้าไปบริหารบริษัทที่พวกเขาเข้าไปซื้อหุ้น
"กลุ่มพายัพ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้าของ มีการแต่งตัวบริษัทใหม่ ใส่ของเข้าไป สร้างstory เพื่อดันราคาหุ้นขึ้น จากนั้น ก็ทิ้งของ"
นี่คือสูตรสำเร็จของเซียนหุ้นกลุ่มใหม่ที่กำลังโดดเด่นในตลาดหุ้น!
ขณะเดียวกันมีความเห็นจากโบรกเกอร์หลายราย ซึ่งสรุปได้ถึงหลักการเล่นหุ้นของเสี่ยปู่ คือ 1.ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดี 2.ราคาปัจจุบันเทียบกับกำไร(P/E) ต่ำ 3.ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป 4.มีแนวโน้มในการเติบโตในอนาคต และหลักการที่ 5.ที่เขาย้ำมากเป็นพิเศษคือต้องเป็นบริษัทที่มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหาร
ส่วนหลักในการขายหุ้น "เสี่ยปู่" บอกว่า 1.ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 2.ราคาปัจจุบันเทียบกับกำไร(P/E) สูงเกินไป และ3.หุ้นที่มีคนเข้าไปซื้อขายมากๆ ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ทำตามที่เคยบอกไว้
"ผมมองว่าเสี่ยปู่ เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ รูปแบบการลงทุนจะศึกษาข้อมูลปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีความคล้ายกับลักษณะการ ลงทุนในสไตล์นักลงทุนสถาบันหรือinvestment banker"
สำหรับหมอยรรยงค์ นั้นจะมีสไตล์การเล่นหุ้นตามแนวคิด "ทฤษฎีความเสี่ยง" หมอเรียกว่ากฎเอาตัวรอดสำหรับนักเล่นหุ้นระยะสั้นก็คือถ้าขาดทุนต้องรีบ "Stop Loss" หมายถึง รีบขายเพื่อหยุดยั้งการขาดทุน ถ้ายังมีกำไรให้ถือต่อไป ซึ่งในตำราฝรั่งเรียกว่า "Let the Profit Run" และกฎอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อมีกำไรแล้วห้ามกลับมาขาดทุน
แหล่งข่าว อธิบายต่อว่า หมอยรรยงค์ เคยพูดถึงวิธีจำกัดความเสี่ยงของเขา ว่า อันดับแรก คือ ต้องอ่านสภาวะตลาดหุ้นให้ออก ต้องตอบตัวเองได้ว่าพรุ่งนี้ หรืออาทิตย์หน้า หรืออีก 1 เดือนข้างหน้า ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร? หุ้นที่ถืออยู่จะเป็นอย่างไร? ถ้าเขามองว่าอะไรที่ตอบไม่ได้ หรืออะไรที่ไม่รู้ คือความเสี่ยง แต่อะไรที่รู้ ก็คือไม่เสี่ยง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หมอยรรยงเชื่อว่า ตลาดหุ้นมี ฤดูกาลของมัน ในแต่ละปีจะมีช่วง นาทีทอง อย่างน้อย 1-2 เดือน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ
" ผมจะไม่เล่นหุ้นแบบ ทอดแห และไม่ซื้อหุ้นโดยไม่มีเป้าหมาย ถือคติว่าจะไม่จับปลาเล็ก ชอบจับปลาวาฬ วิธีการคือ จะซื้อหุ้นน้อยตัว แต่จะซื้อทีละเยอะๆ โดยมองผลตอบแทนต่อครั้งประมาณ 20-30% หรืออย่างน้อยก็ต้อง 10% ขึ้นไป"
นั่นคือสไตล์การเล่นหุ้นของหมอยรรยง จนทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนรายใหญ่คนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่ "ศรีฟ้า"หรือมามาบลูนั้นจะเล่นหุ้นแบบตามสภาพขายตามสภาพ จะมีการซื้อขายที่มีความคล้ายคลึงกับเสี่ยปู่และหมอยรรยงคือการเข้าซื้อหุ้น แต่ละตัวนั้นจะตั้งเป้าทำกำไรอย่างน้อยตัวละ 1000 เปอร์เซ็นต์
มาม่าบลู มีวิธีการเล่นหุ้นง่ายๆคือ ต้องรู้พื้นฐานของหุ้นให้หมด เช่น P/E เท่าไร? Book Value เท่าไร? ยอดขายเท่าไร? กำไรเท่าไร? ผู้ถือหุ้นเป็นใคร? มีหุ้นจดทะเบียนกี่หุ้น สัดส่วนที่ถือมีใครบ้าง! อยู่ในมือผู้ถือหุ้นใหญ่กี่เปอร์เซ็นต์
" เวลาเขาจะซื้อหุ้นต้องรู้ข้อมูลพวกนี้ให้หมด แต่เวลาซื้อหุ้นจริงๆ จะไม่สนใจว่าราคาหุ้นสูงกว่า P/E กี่เท่า สูงกว่า Book Value กี่เท่า ไม่ได้นำมาใช้ตัดสินใจ เป็นแค่ตัวสนับสนุนว่าหุ้นที่เราซื้อมีพื้นฐานรองรับแค่ไหน ส่วนเรื่องราคานั้นจะมีการ "ซื้อแพง" ถ้ามั่นใจว่าสามารถ "ขายแพง"กว่าราคาที่ซื้อมาซึ่งมาม่าบลูนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างใจถึงทีเดียว"
แต่สิ่งที่สำคัญสุดที่ มาร์เก็ต เมกเกอร์ และโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น สรุปให้เห็นก็คือ ทั้งเสี่ยปู่ หมอยรรยงและมามาบลู ล้วนแต่เป็นนักลงทุนรายย่อยมาก่อน และด้วยความใจกล้า ในยุคที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะย่ำแย่เขา 3 คนเลือกเข้าไปซื้อหุ้นประเภท "สามตัวสิบบาท"ไว้จำนวนมาก และพวกเขาต่างก็โชคดีที่หุ้นแต่ละตัวนั้นราคาพุ่งสูงทำกำไรมากกว่า 1000 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นก็กลายเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์จนถึงทุกวันนี้!
*************
“IEC”โมเดลปั้นหุ้น
เซียนระดับอินเตอร์!
ผ่า หมดเปลือกกลยุทธ์ปั้นหุ้นร้อน IEC เทคโอเวอร์หุ้นถูก ใช้หนี้แทน ปัดฝุ่นหาพาร์ทเนอร์ธุรกิจดัน Book value เพิ่ม สร้างสตรี่-ปั่นข่าว ก่อนนำขายกองทุนต่างชาติเป็นระยะๆ เพื่อสร้างเสต็ปราคา โดยมีทั้ง Deal Maker -Market Maker ดูแลทุกความเคลื่อนไหว สุดท้ายหุ้นขึ้นฉิวแบบที่กลต.ยังเอาผิดไม่ได้ ชี้รายย่อยไม่ควรเสี่ยงหากความไวไม่พอ พร้อมเปิดชายชื่อ“อเล็ก” มือดีดูแลราคา แนะใครถือหุ้น IEC ให้เทขายก่อนเหตุหุ้นส่วนแตกคอกันแล้ว!
นับวันเกมการปั่นราคาหุ้นเพื่อเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ยิ่งดุเดือด และมีความซับซ้อนมากขึ้น หุ้น IEC หรือ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นชัดว่า เกมปั่นราคาหุ้นได้หมดยุคการทำราคาแบบเดิมเข้าสู่ยุคใหม่เต็มรูปแบบ...
“เตชะอุบล”เข้าเทคโอเวอร์IEC
แหล่งข่าวในวงการหุ้น เปิดเผยว่า IEC เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ที่อยากศึกษากลเกมการปั่นหุ้นยุคใหม่ เริ่มต้นจากการเข้าไปซื้อกิจการหรือเทคโอเวอร์บริษัท IEC ของกลุ่ม “เตชะอุบล” และทำการปรับโครง
สร้างธุรกิจใหม่หมด
“เขาไม่สนว่ามีหนี้เก่าที่เจ้าของทำไว้ เขายอมตัดหนี้ กล้า ยอมจ่ายให้ธนาคาร เพราะเขาคิดว่าเขาซื้อตรา เพราะ IEC เป็นบริษัทที่มีประวัติมา 80 ปี มีตราครุฑ และเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว เพียงแต่ราคายังไม่สูง และมีหนี้สินเยอะ”
จากนั้นก็เริ่มมีการทำดิวดีริเจนท์ (Due diligence) กับบริษัทในต่างประเทศ โดยการเข้าไปซื้อบริษัทในต่างประเทศเป็นระยะๆ เพื่อสร้างสตอรี่ไลน์ (Story line) โดยการซื้อบริษัทแล้วนำมาจดทะเบียนเพิ่มทุนทำเป็น PP (Private Placement) หรือทำเป็นหุ้นเฉพาะเจาะจง จากนั้นนำธุรกิจดี ๆ เข้ามาใส่
“จากปลายปีที่แล้ว IEC ขาดทุนตลอด ก็เริ่มมี turn around หรือเงินทุนหมุนเวียน ไตรมาสแรกของปีนี้ IEC ปรากฏว่าไตรมาสแรกปีนี้ IEC มีกำไรสุทธิ 104.21 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไร 25.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากสุด 316.50% มีกำไรเพราะเอาบริษัทอื่นเข้ามา จากไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย จากแค่ outlet ขายมือถือ ก็กลายเป็นหุ้นที่มีอนาคต เพราะมีคอลเซ็นเตอร์เข้ามาอยู่ในมือ”
เพิ่มธุรกิจ-แถลงข่าวดีดันราคาหุ้น
นอกจากเพิ่มธุรกิจดี ๆ เข้ามาอยู่ในบริษัทเพื่อทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นแล้ว ยังมีการออกมาแถลงข่าวถึงนโยบายและผลประกอบการของ IEC ที่ดีและมีอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทำให้ราคาสูงขึ้นด้วย
ที่ผ่านมาสิ่งที่สำคัญคือมีการแถลงถึงกำไรของบริษัทที่เพิ่มมากขึ้น โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ผู้บริหาร IEC ได้ออกมาชี้แจงกับสาธารณชนว่า สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้น แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในไตรมาส 1 ปีปัจจุบัน จะส่งผลให้รายได้จากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง แต่ บริษัทฯ ได้เพิ่มธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเพิ่มรายได้ ของบริษัทฯ โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 165.9 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 104.2 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 27.8 ล้านบาท และ 25.0 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการลงทุนของบริษัทย่อย
ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มบริษัทที่มีตัวเลขผลกำไรดีมารวม และการออกข่าวทางด้านบวก ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความมีสตอรี่ไลน์ของหุ้น IEC ซึ่งหลังจากหุ้นมีสตอรี่ไลน์ ก็สามารถนำหุ้นไปขายต่อให้ต่างประเทศได้ โดยเฉพาะกองทุนจากญี่ปุ่น และกองทุนจากต่างประเทศที่ชอบหุ้นที่เกี่ยวกับไอที หลังจากนั้นมีกองทุนที่สนใจเข้ามาติดต่อก็เริ่มมีการขายหุ้น ออกเป็นล็อต ๆ เมื่อทำดิวกับกองทุนหนึ่งก็จะได้ราคาหุ้นที่สูงขึ้นมาระดับหนึ่ง
โดยล็อตแรกทำให้ราคาขึ้นไปประมาณ 3.50 บาท เช่น กลุ่มศรีวิกรณ์ ที่เข้ามาซื้อหุ้นตอนราคาประมาณ 2.20 บาท ก็ขายไปประมาณ 3.50 บาท ได้กำไรไปกว่า 150 ล้านบาท ล็อตต่อไปขายหุ้นให้กองทุนญี่ปุ่น ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 5.50 บาท ซึ่งเป็นล็อตสุดท้ายที่เพิ่งขายไป
“จริง ๆ แล้วถ้าตลาดฯ ไม่มีปัญหา จะมีอีกล็อตหนึ่งที่ขายได้ในราคา 8.50 บาท จำนวน 200 ล้านหุ้น คือถ้าขายหุ้นให้กองทุนต่างประเทศได้ หุ้นจะไม่มีปัญหาเลย คือยังไงก็มีคนรับซื้อหุ้น ทีละ 150-200 ล้านหุ้น”
ตามแผนตั้งเป้าราคา 15-20 บาท
สำหรับหุ้นของ IEC ทั้งหมดมีประมาณ 700 ล้านหุ้น ขายให้กองทุนต่างประเทศไปแล้ว 300-400 ล้านหุ้น ซึ่งการขายให้ต่างประเทศทำให้ราคาหุ้นมั่นคง ไม่ได้ขายให้รายย่อย ซึ่งถ้า IEC บริหารอย่างนี้ต่อไป คือมีการเอาธุรกิจดี ๆ มาใส่เพิ่ม ก็คาดว่าราคาน่าจะขึ้นไปสูงถึง 15-20 บาท
ขณะนี้หุ้น IEC ยังเหลืออีกประมาณ 400 ล้านหุ้น ซึ่งกองทุนจากประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจ ส่วนสเต็ปต่อไปจึงจะมีการเพิ่มทุน นอกจากนั้นทาง IEC ยังเตรียมออกดิวดีรีเจนท์อีกหลายตัว ที่สำคัญก็มีบริษัทไอทีของมาเลเซียด้วย อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับว่าต้องไม่มีปัญหาทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาจากปัญหาทางการเมืองทำให้หุ้นที่อยู่ระดับ 8 บาท ได้ร่วงไปอยู่ที่ 2.90 บาทในระยะเวลาไม่นาน
เปิดชื่อ“อเล็ก” เบื้องหลังหุ้นร้อน
อย่างไรก็ดีมองว่าหุ้น IEC ยังมีอนาคตไปได้ แต่ราคาเหมาะสมที่ควรซื้อต้องไม่เกิน 5 บาท คือราคา 3-4 บาทยังพอซื้อได้ แต่ไม่แนะนำให้รายย่อยเข้ามาลงทุน ถ้าความไวไม่พอ
ทั้งนี้ในการทำราคาหุ้นอย่าง IEC แน่นอนว่าต้องมีทั้ง Deal Maker และ Market Maker ที่ Deal Maker จะเป็นคนที่คอยไปหาและเจรจาของทำ Deal กับต่างประเทศ ขณะที่ Market Maker จะเป็นผู้ดูแลเรื่องราคาหุ้นตามคำสั่งของผู้บริหาร ทั้งทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นเพื่อขายทำกำไร หรือจะทุบราคาให้ตกเพื่อช้อนซื้อหุ้นกลับมา ทุกความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ต้องไม่คลาดสายตา Market Maker ซึ่ง Market Maker หุ้น IEC นี้ มีชื่อว่า อเล็ก คนฮ่องกง ด้วย
4 ปัจจัยศึกษาก่อนซื้อหุ้นIEC
แหล่งข่าววงในตลาดหุ้นอีกราย กล่าวว่า กลุ่มคนที่มาทำราคา IEC นี้พยายามเลียนแบบการเล่นหุ้นในต่างประเทศ เอามาปรับกับตลาดหุ้นไทย ที่สำคัญคือสร้างข่าวตลอดว่าจะไปทำ De alและมีผลประกอบการที่ดี มีนโยบายที่จะทำให้มีกำไรออกมาตลอด เป็นการจับหุ้นมาปั้นสตอรี่เพื่อขาย เอาหุ้นจากตลาดต่างประเทศเข้ามาเล่นหุ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่ากลัว จึงอยากเตือนนักลงทุนรายย่อยให้ระวัง โดยให้ดูว่า
1.ข่าวของบริษัทที่ออกมาแต่ละครั้ง มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
2.การสร้างกำไร มาจากผลประกอบการที่ดีจริง หรือกำไรจากการนำธุรกิจอื่นเข้าไปรวมและแค่บอกว่ากำลังจะเป็นธุรกิจที่ดี
3.หากตัดสินใจจะเข้าไปเล่น ขอให้เล่นช่วงสั้น และควรขายในขณะที่ยังทำ Deal ไม่เสร็จ
อย่างไรก็ดี ไม่แนะนำให้เล่นหุ้นตัวนี้ เพราะต้นทุนหุ้น IEC มีไม่เกิน 1.20 บาท แต่ที่ผ่านมาราคาขึ้นไปสูงถึง 8 บาท
“คนทำเขาต้องการให้หุ้นได้กำไร 1000% เขาจึงอดทนมาก กว่าจะซื้อหุ้น ทำสตอรี่ ก่อนปล่อยขาย ต้องใช้เวลา ท้ายที่สุดจึงต้องบอกว่าคนกลุ่มนี้น่ากลัว”
อย่างไรก็ดี การปั่นหุ้นแบบมีสตอรี่นี้ยังยากที่กลต.จะเอาผิดฐานปั่นหุ้นได้ระดับหนึ่ง ด้วย เห็นได้ชัดจากกรณีที่ ศาลปกครองมีคำสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะ หักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และ ห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของหลักทรัพย์(Margin Trading) ในหลักทรัพย์ IEC และให้หลักทรัพย์ IEC ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ได้โดยวิธีการตามปกตินับจากวันที่ศาลมีคำสั่งคือวันที่ 16 พ.ค. ทันที หลังจากที่ กลต.มีคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา
ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวร้อนในช่วงที่ผ่านมา และเป็นตัวอย่างการปั่นหุ้นรุ่นใหม่ที่ยากจะเอาผิดได้... บทเรียนนี้สำหรับกลต.แล้วต้องหาทางออกให้ได้ว่าจะจัดการกับหุ้นลักษณะนี้ อย่างไร และต้องหาวิธีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นักลงทุนรายอื่นจะเดินตามกันเป็นพรวน...
อย่างไรก็ดีหุ้นตัวนี้เซียนหุ้นแนะนำว่า ไม่ควรถือต่อไป เพราะบรรดาหุ้นส่วนที่เข้าไปดำเนินการปั้นหุ้นและผลักดันราคาหุ้นให้ไต่ ระดับขึ้นไปนั้น ขณะนี้มีการแตกคอกันและทำให้แผนงานที่ต้องการจะสร้างราคาหุ้นให้ไปถึง ตั้งแต่ระดับ 8 –15 และ20 บาท จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้