ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 1
ขอเลียนแบบหัวข้อด้วยนะครับ แบบว่าปีนี้มีหุ้นก้นบุหรี่ถูกๆอยู่หลายตัว :lol: ถึงแม้นว่าราคาจะขึ้นมาจาก4บาทตอนต้นปี แต่ผมก็ยังว่ามันมีMOSอยู่พอสมควรครับ
จากอดีตย้อนหลัง5ปี
46 47 48 49 50 ครึ่งปี51
รายได้ 5687 6759 8773 9294 10492 6010
growth 47% 19% 30% 6% 13% 20%
กำไรสุทธิ 44 75 88 93 130 107
growth 44% 73% 17% 6% 39% 105%
กำไรสุทธิ 0.77% 1.12% 1.00% 1.00% 1.24% 1.78%
ROE 30.8% 26.2% 19.3% 17.6% 21% ~28%(ทั้งปี)
เพื่อนๆคิดว่าPEเหมาะสมเขาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ดีครับ ราคาตอนนี้ราวๆ5บาท แต่กำไรครึ่งปีก็0.53แล้ว
ปล.ตัวนี้เหมาะสำหรับลงทุน เพราะเป็นตัวเล้กสภาพคล่องต่ำ คนจะมาปั่นระวังปล่อยของไม่ออกนะครับ
จากอดีตย้อนหลัง5ปี
46 47 48 49 50 ครึ่งปี51
รายได้ 5687 6759 8773 9294 10492 6010
growth 47% 19% 30% 6% 13% 20%
กำไรสุทธิ 44 75 88 93 130 107
growth 44% 73% 17% 6% 39% 105%
กำไรสุทธิ 0.77% 1.12% 1.00% 1.00% 1.24% 1.78%
ROE 30.8% 26.2% 19.3% 17.6% 21% ~28%(ทั้งปี)
เพื่อนๆคิดว่าPEเหมาะสมเขาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ดีครับ ราคาตอนนี้ราวๆ5บาท แต่กำไรครึ่งปีก็0.53แล้ว
ปล.ตัวนี้เหมาะสำหรับลงทุน เพราะเป็นตัวเล้กสภาพคล่องต่ำ คนจะมาปั่นระวังปล่อยของไม่ออกนะครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 2
ผมว่ามันขึ้นมาเกือบ 1 เด้งแล้วนา แต่ PE ก็ยังต่ำอยู่ดี :8)
In search of super stocks
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 4
ขึ้นต้นและลงท้ายด้วยตัว S ใช่เปล่า :lol:
In search of super stocks
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 6
วันนี้งบออก วิ่งฉิวไปเลยนี่ครับพี่นริศ ยินดีด้วยครับ :lol:
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 7
เป็นธุระกิจค้าส่งสินค้าIT007-s เขียน:อ๋อ...
หนี้เยอะจังค่ะ หนี้จากอะไรนักหนา วานเฉลย :lol: เพราะอัตรากำไรสุทธิมันต่ำอ่าค่ะ
หนี้จากเจ้าหนี้ประมาณ750ล้านครับไม่มีดอกเบี้ย ส่วนที่มีดอกเฉลี่ยไตรมาส2กู้ระยะสั้นอยู่ประมาณ650ล้านครับคุณสายลับ :lol:
และสาเหตุที่GPMต่ำเพราะเป็นธุระกิจค้าส่ง ส่วนที่ผ่านมากำไรดีขึ้นเพราะeconomy of scale และจำหน่ายสินค้าที่เป็นตัวแทนผู้เดียวในไทยมากขึ้น ทำให้growthกำไรมากกว่ายอดขายครับ
และลองไปอ่านในห้องSISที่ผู้บริหารให้ข่าวไว้ว่าจากนี้ไปก็จะเน้นขายสินค้ากำไรดีมากขึ้น เพื่อจะเพิ่มNPMนี่แหละครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- maeteeb
- Verified User
- โพสต์: 783
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 8
ผมว่า คนทั่วไปรู้จัก SYNNEX มากกว่า ผ่านทางสติ้กเกอร์ที่ติดกับสินค้า ผมเห็นร้านไหนๆทำไมมีแต่ของ SYNNEX หรือของเหลือมากกว่าขายไม่ออก
การเป็นนักลงทุนไม่ต้องการอะไรเลยคุณต้องการแค่ความคิด ความกล้าและอารมณ์ (ดร. นิเวศน์ 2552)
- Luty97
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1552
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 9
ผมว่าเดี๋ยวรอให้ต้นปีหน้าปันผล 40-50 สตางค์ หุ้นก็เกิน 6 บาทแน่นอนครับ
ช่วงนี้สภาพคล่องหุ้นไม่ค่อยมี แต่ถ้าราคาขึ้นมาเรื่อยๆได้ สภาพคล่องน่าจะมาเอง
อีกอย่าง ตัวนี้เล่นมาร์จิ้นไม่ได้ เซียนๆที่ใช้เงินหมดแล้ว เลยได้แต่มองมัง
ช่วงนี้สภาพคล่องหุ้นไม่ค่อยมี แต่ถ้าราคาขึ้นมาเรื่อยๆได้ สภาพคล่องน่าจะมาเอง
อีกอย่าง ตัวนี้เล่นมาร์จิ้นไม่ได้ เซียนๆที่ใช้เงินหมดแล้ว เลยได้แต่มองมัง
หลักของความสมดุล
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 10
นริศ เอา ROA กับ Cash flow มาดูหน่อยดิ
Inv. Turnover, A/R และ A/P Turnover เท่าไร?
Inv. Turnover, A/R และ A/P Turnover เท่าไร?
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 11
พี่นริศครับ
ทำไม อัตราส่วน ROE มันไม่ตรงกับ SET ล่ะครับ
ของพี่นริศ เอาข้อมูลจากที่ไหนเหรอครับ
มีแบบที่คำนวณ growth ให้เลย หรือว่า พี่ต้องคำนวณเองครับ
1. หุ้นแบบนี้ คือ ROE สูง ทั้งๆ ที่ PM% แทบจะต่ำ 1 เหลือเกิน แปลว่า ต้องเน้น volume มากๆ มันเป็นการลงทุนที่เสี่ยงหรือไม่
2. หุ้นแบบนี้ มี D/E สูงเกือบ 2 เท่า แต่ยังน่าสนใจอยู่ โดยไม่ต้องกลัวการเพิ่มทุน เป็นเพราะว่า อยู่ในอุตสาหกรรมแบบนี้เท่านั้นหรือ
ผมไม่แน่ใจว่า business model เดียวกันกับ seed ,It ,cpall หรือไม่ครับ
ทำไม อัตราส่วน ROE มันไม่ตรงกับ SET ล่ะครับ
ของพี่นริศ เอาข้อมูลจากที่ไหนเหรอครับ
มีแบบที่คำนวณ growth ให้เลย หรือว่า พี่ต้องคำนวณเองครับ
ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว รบกวน ถามคนที่ถือ ตัวนี้อยู่นะครับ46 47 48 49 50 ครึ่งปี51
รายได้ 5687 6759 8773 9294 10492 6010
growth 47% 19% 30% 6% 13% 20%
กำไรสุทธิ 44 75 88 93 130 107
growth 44% 73% 17% 6% 39% 105%
กำไรสุทธิ 0.77% 1.12% 1.00% 1.00% 1.24% 1.78%
ROE 30.8% 26.2% 19.3% 17.6% 21% ~28%(ทั้งปี)
1. หุ้นแบบนี้ คือ ROE สูง ทั้งๆ ที่ PM% แทบจะต่ำ 1 เหลือเกิน แปลว่า ต้องเน้น volume มากๆ มันเป็นการลงทุนที่เสี่ยงหรือไม่
2. หุ้นแบบนี้ มี D/E สูงเกือบ 2 เท่า แต่ยังน่าสนใจอยู่ โดยไม่ต้องกลัวการเพิ่มทุน เป็นเพราะว่า อยู่ในอุตสาหกรรมแบบนี้เท่านั้นหรือ
ผมไม่แน่ใจว่า business model เดียวกันกับ seed ,It ,cpall หรือไม่ครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 325
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 12
ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ..ในฐานะที่อยู่ในวงการ IT Distri ด้วย
ธุรกิจ Distri นี่ มี Core Success factor 3-4 เรื่อง
> โดยทฤษฎี Market Share ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ เพราะค่าใช้จ่ายทั่วไปคงที่ แต่ในทางปฎิบัติจะมีลักษณะเป็นขั้นบันได คือได้เปรียบจนกระทั่งเต็ม Capacity เช่น ขยายเต็มที่จน Warehouse เต็ม หรือขายเต็มที่จนกระทั่ง Ofc เต็มรับ Sales เพิ่มไม่ได้ (ต้องไปดูของจริงที่ SiS ครับ Sales นี่นั่งเบียดกันสุดๆ) เมื่อเต็ม Capacity แล้วจะต้องมี Investment อีกรอบ เพื่อเพิ่มศักยภาพต่อไป ตอนนี้ผมเข้าใจว่าทาง SiS เองน่าจะ Utilize จนเต็มสุดๆ แล้วเหมือนกัน เพราะว่าคุณสมชัย บอกว่า ไม่อยากได้ยอดขายเพิ่มแล้ว แต่อยากได้กำไร ผมเชื่อว่าหากขายเพิ่มกว่านี้อีก 15-20% ก็ทำได้ แต่ต้องลงทุนเพิ่มเยอะ
> เมื่อมี Market Share สูง จะทำให้ได้ราคาดี เพราะซื้อเยอะกว่า ได้ราคาต่ำกว่า (ที่จริงราคาซื้อเท่ากันแหละครับ แต่ได้ Back-end เยอะกว่า)
> บริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน คู่แข่งขายเท่าไร เราก็ขายได้ แต่มีกำไรมากกว่า
> บริหารเงินสดให้มีประโยชน์ที่สุด ซื้อสินค้าจาก Supplier ด้วยเงินสด จะได้กำไรสูงขึ้น เพราะอย่าง HP นี่มีส่วนลดเงินสด 2% หมายถึงถ้าทำให้สินค้าหมุนได้ภายใน 2 สัปดาห์ ปีหนึ่งซื้อ 24 ครั้ง จะได้ผลตอบแทนตรงนี้ 48% ของเงินต้น (หมายความว่าต้องขายแล้ว มีเงินสดกลับมาด้วยนะ)
> สำคัญมากๆ คือต้องบริหาร Working Capital ให้เร็วที่สุด หมายถึง Cash Conversion Cycle ซื้อสินค้าจ่ายเงินช้าๆ เก็บของใน Stock สั้น และขายสินค้าเก็บเงินเร็วๆ ตอนนี้ทาง SiS ทำเรื่องนี้ได้ดีที่สุดในบรรดา 4 Distri รายใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่ประมาณ 40 วัน หรือปีหนึ่งหมุนได้ 9 รอบ ถ้ามี NPM อยู่ที่ 1.8% หมุน 9 รอบ จะได้ผลตอบแทนอยู่ที่เกือบ 20% ต่อปี อันนี้เป็นจุดหลักเลย เพราะ Distri เมืองนอกนี่วัดผลงานบน ROCE (Return on Capital Employed) คือ ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน
> และอย่างที่ทราบกัน หากเรามี ROCE ที่ระดับ 20% หากว่าเราต้องการยอขายเติบโตมากกว่านั้นมากๆ เช่น 30%-40% จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะเงินทุนหมุนเวียนมีไม่พอ และอันนี้เป็นเหตุหนึ่งที่ทาง SiS เข้าตลาดเมื่อหลายๆ ปีก่อน ปัจจุบันนี้หาก SiS ยังคงผลงานแบบนี้ สามารถเติบโตได้ที่ระดับ 20% ต่อปีได้สบายๆ
ธุรกิจ Distri นี่ มี Core Success factor 3-4 เรื่อง
> โดยทฤษฎี Market Share ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ เพราะค่าใช้จ่ายทั่วไปคงที่ แต่ในทางปฎิบัติจะมีลักษณะเป็นขั้นบันได คือได้เปรียบจนกระทั่งเต็ม Capacity เช่น ขยายเต็มที่จน Warehouse เต็ม หรือขายเต็มที่จนกระทั่ง Ofc เต็มรับ Sales เพิ่มไม่ได้ (ต้องไปดูของจริงที่ SiS ครับ Sales นี่นั่งเบียดกันสุดๆ) เมื่อเต็ม Capacity แล้วจะต้องมี Investment อีกรอบ เพื่อเพิ่มศักยภาพต่อไป ตอนนี้ผมเข้าใจว่าทาง SiS เองน่าจะ Utilize จนเต็มสุดๆ แล้วเหมือนกัน เพราะว่าคุณสมชัย บอกว่า ไม่อยากได้ยอดขายเพิ่มแล้ว แต่อยากได้กำไร ผมเชื่อว่าหากขายเพิ่มกว่านี้อีก 15-20% ก็ทำได้ แต่ต้องลงทุนเพิ่มเยอะ
> เมื่อมี Market Share สูง จะทำให้ได้ราคาดี เพราะซื้อเยอะกว่า ได้ราคาต่ำกว่า (ที่จริงราคาซื้อเท่ากันแหละครับ แต่ได้ Back-end เยอะกว่า)
> บริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน คู่แข่งขายเท่าไร เราก็ขายได้ แต่มีกำไรมากกว่า
> บริหารเงินสดให้มีประโยชน์ที่สุด ซื้อสินค้าจาก Supplier ด้วยเงินสด จะได้กำไรสูงขึ้น เพราะอย่าง HP นี่มีส่วนลดเงินสด 2% หมายถึงถ้าทำให้สินค้าหมุนได้ภายใน 2 สัปดาห์ ปีหนึ่งซื้อ 24 ครั้ง จะได้ผลตอบแทนตรงนี้ 48% ของเงินต้น (หมายความว่าต้องขายแล้ว มีเงินสดกลับมาด้วยนะ)
> สำคัญมากๆ คือต้องบริหาร Working Capital ให้เร็วที่สุด หมายถึง Cash Conversion Cycle ซื้อสินค้าจ่ายเงินช้าๆ เก็บของใน Stock สั้น และขายสินค้าเก็บเงินเร็วๆ ตอนนี้ทาง SiS ทำเรื่องนี้ได้ดีที่สุดในบรรดา 4 Distri รายใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่ประมาณ 40 วัน หรือปีหนึ่งหมุนได้ 9 รอบ ถ้ามี NPM อยู่ที่ 1.8% หมุน 9 รอบ จะได้ผลตอบแทนอยู่ที่เกือบ 20% ต่อปี อันนี้เป็นจุดหลักเลย เพราะ Distri เมืองนอกนี่วัดผลงานบน ROCE (Return on Capital Employed) คือ ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน
> และอย่างที่ทราบกัน หากเรามี ROCE ที่ระดับ 20% หากว่าเราต้องการยอขายเติบโตมากกว่านั้นมากๆ เช่น 30%-40% จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะเงินทุนหมุนเวียนมีไม่พอ และอันนี้เป็นเหตุหนึ่งที่ทาง SiS เข้าตลาดเมื่อหลายๆ ปีก่อน ปัจจุบันนี้หาก SiS ยังคงผลงานแบบนี้ สามารถเติบโตได้ที่ระดับ 20% ต่อปีได้สบายๆ
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 13
สินค้า่IT มันเสื่อมราคาง่ายพอๆกับผักปลา
marginจะดีตอนสินค้าเข้าตลาดใหม่ๆ สักพักก็ราคาตกอย่างรวจเร็ว
จึงต้องระบายไวๆ กำไรน้อยๆ
ใครสามารถหมุนเวียนสินค้าได้มาก อำนาจต่อรองsuppler จะมีสูง
DEของตัวนี้เป็นหนี้ระยะสั้นทั้งหมด ไม่มีหนี้ยาวเลย
และมูลค่าmatchกับลูกหนี้การค้า แถมมีการประกันลูกหนี้หนีด้วย
อาจจะถือได้ว่าไม่มีหนี้นะครับตัวนี้
เงินสดก็ไม่ต้องสะสมมาก เพราะไม่ได้โตด้วยการขยายสาขา
ตัวนี้ผมว่าภาษีดีกว่า IT เพราะสินค้าจมยากกว่า ITที่มีหน้าร้าน
ค้าปลีกคอมพิวเตอร์มันต่างจาก ค้าปลีกสินค้าอืนๆครับ
เคยเจอร้านขายnotebookเจ้าใหญ่ที่เยาฮัน หลังร้านมีnotebookเกือบร้อยตัว
ถามเรื่องเครดิต เขาบอกว่าได้เครดิตแค่7วัน!!!!
ผมเลยชอบ distributer มากกว่า หน้าร้านอย่างIT
อ่อ เวลาลูกค้าซื้อสินค้าลูกค้าจะมองหาสติกเกอร์รับประกันพวก DCOM,SYNNEX,SIS COM7
ก็ถือว่าได้ประกันที่ดีแล้ว ไม่ว่าซื้อร้านไหน ขอให้ถูกที่สุดก็พอ
distributer brand เลยมีความสำคัญกว่าในวงการนี้
ถึงไม่มีสติกเกอร์ แต่เป็นพวกbrandนอก อย่าง HP,IBM,Canon
เขาก็ขายผ่าน distributer นะครับ แต่ประักันเจ้าของbrand รับประักัน
distributer เสี่ยงน้อยครับ แต่ก็ต้องได้%น้อย
marginจะดีตอนสินค้าเข้าตลาดใหม่ๆ สักพักก็ราคาตกอย่างรวจเร็ว
จึงต้องระบายไวๆ กำไรน้อยๆ
ใครสามารถหมุนเวียนสินค้าได้มาก อำนาจต่อรองsuppler จะมีสูง
DEของตัวนี้เป็นหนี้ระยะสั้นทั้งหมด ไม่มีหนี้ยาวเลย
และมูลค่าmatchกับลูกหนี้การค้า แถมมีการประกันลูกหนี้หนีด้วย
อาจจะถือได้ว่าไม่มีหนี้นะครับตัวนี้
เงินสดก็ไม่ต้องสะสมมาก เพราะไม่ได้โตด้วยการขยายสาขา
ตัวนี้ผมว่าภาษีดีกว่า IT เพราะสินค้าจมยากกว่า ITที่มีหน้าร้าน
ค้าปลีกคอมพิวเตอร์มันต่างจาก ค้าปลีกสินค้าอืนๆครับ
เคยเจอร้านขายnotebookเจ้าใหญ่ที่เยาฮัน หลังร้านมีnotebookเกือบร้อยตัว
ถามเรื่องเครดิต เขาบอกว่าได้เครดิตแค่7วัน!!!!
ผมเลยชอบ distributer มากกว่า หน้าร้านอย่างIT
อ่อ เวลาลูกค้าซื้อสินค้าลูกค้าจะมองหาสติกเกอร์รับประกันพวก DCOM,SYNNEX,SIS COM7
ก็ถือว่าได้ประกันที่ดีแล้ว ไม่ว่าซื้อร้านไหน ขอให้ถูกที่สุดก็พอ
distributer brand เลยมีความสำคัญกว่าในวงการนี้
ถึงไม่มีสติกเกอร์ แต่เป็นพวกbrandนอก อย่าง HP,IBM,Canon
เขาก็ขายผ่าน distributer นะครับ แต่ประักันเจ้าของbrand รับประักัน
distributer เสี่ยงน้อยครับ แต่ก็ต้องได้%น้อย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 14
ธุรกิจค้าส่งสินค้าไอที มีมุมมองต้องพิจารณาอีก 2 ตัวครับ
1.ด้วย margin ในการค้าส่งที่น้อยมาก ทำให้ต้องบริหารหนี้เสียให้ดีมากๆครับ (เพราะโครงสร้างธุรกิจไอที ปัจจุบันจะซื้อขายแบบ เครดิต 1 เดือนเป็นส่วนใหญ่)
ดังนั้น ถ้าเจอช่วงเศรษฐกิจแย่มากๆ ต้องระวังให้ดีครับ
2.ธุรกิจนี้ ไม่มีโอกาศฟลุ๊ก เหมือนบางธุรกิจครับ ดังนั้น ยอดขาย/กำไร จะไม่ค่อยเห็นการเติบโตแบบจังหวะทองสักเท่าไหร่
ไม่เหมือน บางธุรกิจที่อาจเจอปีทองได้ ...
ดังนั้น ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจธุรกิจค้าส่งสินค้าไอที ประเภทนี้ต้องเผื่อ MOS และดูภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมาประกอบด้วยจะดีมากครับ
1.ด้วย margin ในการค้าส่งที่น้อยมาก ทำให้ต้องบริหารหนี้เสียให้ดีมากๆครับ (เพราะโครงสร้างธุรกิจไอที ปัจจุบันจะซื้อขายแบบ เครดิต 1 เดือนเป็นส่วนใหญ่)
ดังนั้น ถ้าเจอช่วงเศรษฐกิจแย่มากๆ ต้องระวังให้ดีครับ
2.ธุรกิจนี้ ไม่มีโอกาศฟลุ๊ก เหมือนบางธุรกิจครับ ดังนั้น ยอดขาย/กำไร จะไม่ค่อยเห็นการเติบโตแบบจังหวะทองสักเท่าไหร่
ไม่เหมือน บางธุรกิจที่อาจเจอปีทองได้ ...
ดังนั้น ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจธุรกิจค้าส่งสินค้าไอที ประเภทนี้ต้องเผื่อ MOS และดูภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมาประกอบด้วยจะดีมากครับ
ความล้มเหลว ให้การเรียนรู้ได้มากกว่า
ความสำเร็จ ...
ความสำเร็จ ...
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 15
ตอบหมอKนะครับ ROEที่ไม่ตรงกัน ในปี47เกิดจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ อาจจะมีฐานการคำนวนที่ต่างกัน ส่วนในปี51เป็นการคำนวนคร่าวๆของพี่เองครับ
และขอตอบภาพรวมว่า บริษัททุกบริษัทมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ผมไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวนี้perfect เพียงแต่ให้ดูว่าเขาโตมาตลอดตั้งแต่เข้าตลาดมา มีกำไรต่อเนื่อง และสาเหตุที่ผมสนใจหุ้นตัวนี้ก็เพราะNPMนั่นแหละครับ เพราะมันบางถ้าเขาเพิ่มได้จาก1เป็น2 กำไรก็จะเพิ่ม1เท่าตัว และทิศทางผู้บริหารเขาจะทำอะไรกับบริษัทเราก็ต้องตาม กลยุทธ์ที่เขาวางไว้คืออะไร ตอนที่ผมซื้อกลางปีที่แล้ว PEตอนนั้นก็ไม่แพงอยู่ราวๆ6เท่า(จำไม่แม่น เพราะส่วนมากผมจะคำนวนpeล่วงหน้า)แต่ผมคิดว่าปีนี้มีโอกาสได้EPS1บาท เพราะรูปแบบธุรกิจที่บ.เน้นสินค้ากำไรดีมากขึ้น และข่าวล่าสุดเดือนนี้ที่คุณสมชัยให้สัมภาษณ์ในไทยรัฐ ว่าจากนี้ไปSISจะไม่เน้นการโตมากเกินไป(ครึ่งปีแรกโตราวๆ20%)เพราะจะทำให้เราต้องกู้ระยะสั้นเพิ่มขึ้น จากกระแสเงินสดที่ผมเคยคำนวน ถ้าเราโตปีละ12-15% เราจะไม่ต้องกู้หนี้เพิ่ม แต่ครึ่งปีดันโต20%และสต๊อกมากขึ้น เพราะมีงานคอมมาร์ตมากเหลือเกิน ทำให้DEในไตรมาสนี้สูงเป็น2.37เท่า มีหนี้รวม1724ล้านแต่มีหนี้เงินกู้830ล้าน(ปล.ธุรกิจซื้อมาขายไปหนี้DEจะบอกได้เพียงคร่าวๆและจะสูงเกินจริงเพราะจะมีเจ้าหนี้การค้าในสัดส่วนที่สูง ผมจะไปดูหนี้เงินกู้และcash cycleประกอบ) ผมดูDEก็อยู่ระดับนี้จากปี47-50 เป็น3.44 3.77 2.68 1.67 และครึ่งปีนี้อยู่ที่2.37 ก็ยังพอรับได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะยินดีกับ บ.ที่มีหนี้สูงๆ เพราะนิสัยส่วนตัวจะเลือกหุ้นจากงบเป็นหลัก ชอบบ.ที่เป็นcash companyมากกว่า
ขอตอบหมอข้อ2ว่า โมเดลคนละแบบ อย่างเอาผู้ค้าส่งที่cash cycle เป็นบวกประมาณ45วันไปเทียบกับ ไปเทียบกับบ.cash companyทั้งse-ed it cpall ครับ
ปล.ที่1ผมก็ยังเห็นความเสี่ยงของตัวนี้เหมือนทุกๆท่านเรื่องการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ถ้าเขาโตมากเกินไป ก็อาจมีการเพิ่มทุน แต่จะเพิ่มแบบไหนผมไม่อาจรู้ได้(ต้องถามเจ้าซันไรซ์ 555)
ปล.ที่2 วอเรน เคยกล่าวไว้ว่า ธุรกิจที่เขาจะเลือกอันดับแรกคือ กำไรต่อหน่วยสูงๆ(หมายความว่ามีbarrier)และอันดับสองคือ ธุรกิจที่มีการหมุนเวียนของรอบสินค้าสูงๆ(ผมมองว่าSISอยู่ในกลุ่มนี้ครับ เพราะเขาหมุนรอบเงินได้ประมาณ7.8รอบต่อปี)
ปล.ที่3 ผมบัญชีแบบงูๆปลาๆ เอาแบบหากินพออยู่รอดได้ ถ้าจะให้ชัวร์ๆต้องให้อาจารย์ เปิดอีกคอร์สหนึ่งครับ
และขอตอบภาพรวมว่า บริษัททุกบริษัทมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ผมไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวนี้perfect เพียงแต่ให้ดูว่าเขาโตมาตลอดตั้งแต่เข้าตลาดมา มีกำไรต่อเนื่อง และสาเหตุที่ผมสนใจหุ้นตัวนี้ก็เพราะNPMนั่นแหละครับ เพราะมันบางถ้าเขาเพิ่มได้จาก1เป็น2 กำไรก็จะเพิ่ม1เท่าตัว และทิศทางผู้บริหารเขาจะทำอะไรกับบริษัทเราก็ต้องตาม กลยุทธ์ที่เขาวางไว้คืออะไร ตอนที่ผมซื้อกลางปีที่แล้ว PEตอนนั้นก็ไม่แพงอยู่ราวๆ6เท่า(จำไม่แม่น เพราะส่วนมากผมจะคำนวนpeล่วงหน้า)แต่ผมคิดว่าปีนี้มีโอกาสได้EPS1บาท เพราะรูปแบบธุรกิจที่บ.เน้นสินค้ากำไรดีมากขึ้น และข่าวล่าสุดเดือนนี้ที่คุณสมชัยให้สัมภาษณ์ในไทยรัฐ ว่าจากนี้ไปSISจะไม่เน้นการโตมากเกินไป(ครึ่งปีแรกโตราวๆ20%)เพราะจะทำให้เราต้องกู้ระยะสั้นเพิ่มขึ้น จากกระแสเงินสดที่ผมเคยคำนวน ถ้าเราโตปีละ12-15% เราจะไม่ต้องกู้หนี้เพิ่ม แต่ครึ่งปีดันโต20%และสต๊อกมากขึ้น เพราะมีงานคอมมาร์ตมากเหลือเกิน ทำให้DEในไตรมาสนี้สูงเป็น2.37เท่า มีหนี้รวม1724ล้านแต่มีหนี้เงินกู้830ล้าน(ปล.ธุรกิจซื้อมาขายไปหนี้DEจะบอกได้เพียงคร่าวๆและจะสูงเกินจริงเพราะจะมีเจ้าหนี้การค้าในสัดส่วนที่สูง ผมจะไปดูหนี้เงินกู้และcash cycleประกอบ) ผมดูDEก็อยู่ระดับนี้จากปี47-50 เป็น3.44 3.77 2.68 1.67 และครึ่งปีนี้อยู่ที่2.37 ก็ยังพอรับได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะยินดีกับ บ.ที่มีหนี้สูงๆ เพราะนิสัยส่วนตัวจะเลือกหุ้นจากงบเป็นหลัก ชอบบ.ที่เป็นcash companyมากกว่า
ขอตอบหมอข้อ2ว่า โมเดลคนละแบบ อย่างเอาผู้ค้าส่งที่cash cycle เป็นบวกประมาณ45วันไปเทียบกับ ไปเทียบกับบ.cash companyทั้งse-ed it cpall ครับ
ปล.ที่1ผมก็ยังเห็นความเสี่ยงของตัวนี้เหมือนทุกๆท่านเรื่องการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ถ้าเขาโตมากเกินไป ก็อาจมีการเพิ่มทุน แต่จะเพิ่มแบบไหนผมไม่อาจรู้ได้(ต้องถามเจ้าซันไรซ์ 555)
ปล.ที่2 วอเรน เคยกล่าวไว้ว่า ธุรกิจที่เขาจะเลือกอันดับแรกคือ กำไรต่อหน่วยสูงๆ(หมายความว่ามีbarrier)และอันดับสองคือ ธุรกิจที่มีการหมุนเวียนของรอบสินค้าสูงๆ(ผมมองว่าSISอยู่ในกลุ่มนี้ครับ เพราะเขาหมุนรอบเงินได้ประมาณ7.8รอบต่อปี)
ปล.ที่3 ผมบัญชีแบบงูๆปลาๆ เอาแบบหากินพออยู่รอดได้ ถ้าจะให้ชัวร์ๆต้องให้อาจารย์ เปิดอีกคอร์สหนึ่งครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 16
อ่านดูคุณproxityหลายครั้ง เห็นพี่ท่านมีความรู้เรื่องITนี้ลึกมาก คงเป็นคนในวงการ อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติม
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณdensinเรื่องหนี้ระยะสั้น จริงอยู่ว่าmatchกับลูกหนี้ แต่cash cycleของSISยังบวกอยู่เดือนกว่า ทำให้เราขยายตัวได้อยู่ในขอบจำกัด แต่ของIT cash cylleเขาเป็นลบครับ เพราะขายลูกหนี้เพียง9% นอกนั้นขายเงินสด ทำให้เขาอิสระในการขยายตัว และปันผลได้สูงกว่า
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณdensinเรื่องหนี้ระยะสั้น จริงอยู่ว่าmatchกับลูกหนี้ แต่cash cycleของSISยังบวกอยู่เดือนกว่า ทำให้เราขยายตัวได้อยู่ในขอบจำกัด แต่ของIT cash cylleเขาเป็นลบครับ เพราะขายลูกหนี้เพียง9% นอกนั้นขายเงินสด ทำให้เขาอิสระในการขยายตัว และปันผลได้สูงกว่า
แก้ไขล่าสุดโดย naris เมื่อ อังคาร ส.ค. 12, 2008 5:12 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 554
- ผู้ติดตาม: 1
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 17
ROE = ROA x (Asset/equity)1. หุ้นแบบนี้ คือ ROE สูง ทั้งๆ ที่ PM% แทบจะต่ำ 1 เหลือเกิน แปลว่า ต้องเน้น volume มากๆ มันเป็นการลงทุนที่เสี่ยงหรือไม่
ROA = Asset Turnover x Net Profit Margin
ถ้า NPM ต่ำ ก็ต้องมี Asset Turnover สูง
NPM 1.75% ถ้ามีหนี้สูญ 2% ก็เท่ากับขาดทุน แต่เข้าใจว่าบ.มีประกันหนี้สูญไว้แล้ว
ข้อดีของการมี Asset Turnover สูงคือการมีเงินหมุนเวียนเข้ามาสูง
ROE สูงกว่า ROA เยอะ เพราะมีหนี้ระยะสั้นมาก ตอนนี้ ROA สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ยิ่งกู้เยอะ ROA และ ROE ก็ยิ่งสูง แต่ถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น ROA และ ROE ก็จะต่ำลง
ผมว่าคล้ายๆกับ UMS กับ GC มากกว่าครับ ถ้าอาจจะต้องเพิ่มทุนก็เพื่อต้องการรองรับ working cap. ที่เพิ่มขึ้น2. หุ้นแบบนี้ มี D/E สูงเกือบ 2 เท่า แต่ยังน่าสนใจอยู่ โดยไม่ต้องกลัวการเพิ่มทุน เป็นเพราะว่า อยู่ในอุตสาหกรรมแบบนี้เท่านั้นหรือ
ผมไม่แน่ใจว่า business model เดียวกันกับ seed ,It ,cpall หรือไม่ครับ
"A lot of times the question is harder than the answer. If you can properly phrase the question, then the answer is the easy part." Elon Musk
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 18
ผมว่า sis ไม่คล้ายกับ ums and gc นะครับ
แม้ core จะเป็น trading เหมือนกัน...แต่ถ้าผู้บริหารเดินมาแนวทางนี้แล้ว cash จะเป็นบวกแน่นอนครับ...(ไม่เหมือน ums and gc เลย)
ต้นปี เคยคิดไว้ว่า...ถ้า NPM ได้ 1.5% ยอดขาย โตปีละ 12% จะมี cash เกิน สี่สิบกว่าล้าน...
แต่ครึ่งปีนี้ที่ cashflow แย่ลง...นอกจากที่ยอดขายโตขึ้นกว่าคาด...ยังเพราะ เอาไปลงกับสินค้าคงเหลือซะเยอะ...จากงานcommart...แต่บริษัทก็มีเหตุผลและการแก้ปัญหาที่อธิบายได้ดีนะครับ...
ผมเลยคิดว่า NPM ที่มากของปีนี้ 1.8% น่าจะพอกล้อมแกล้มกับยอดขายที่โตเกินคาด...เลยทำให้ cash ทั้งปี น่าจะบวกได้...และไม่ต้องเพิ่มทุนครับ
ตัวนี้ต้องขอขอบคุณพี่นริศมากๆเลยครับ
ได้ทั้งความรู้...ได้ทั้งตัง :twisted:
แม้ core จะเป็น trading เหมือนกัน...แต่ถ้าผู้บริหารเดินมาแนวทางนี้แล้ว cash จะเป็นบวกแน่นอนครับ...(ไม่เหมือน ums and gc เลย)
ต้นปี เคยคิดไว้ว่า...ถ้า NPM ได้ 1.5% ยอดขาย โตปีละ 12% จะมี cash เกิน สี่สิบกว่าล้าน...
แต่ครึ่งปีนี้ที่ cashflow แย่ลง...นอกจากที่ยอดขายโตขึ้นกว่าคาด...ยังเพราะ เอาไปลงกับสินค้าคงเหลือซะเยอะ...จากงานcommart...แต่บริษัทก็มีเหตุผลและการแก้ปัญหาที่อธิบายได้ดีนะครับ...
ผมเลยคิดว่า NPM ที่มากของปีนี้ 1.8% น่าจะพอกล้อมแกล้มกับยอดขายที่โตเกินคาด...เลยทำให้ cash ทั้งปี น่าจะบวกได้...และไม่ต้องเพิ่มทุนครับ
ตัวนี้ต้องขอขอบคุณพี่นริศมากๆเลยครับ
ได้ทั้งความรู้...ได้ทั้งตัง :twisted:
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 325
- ผู้ติดตาม: 0
ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน)
โพสต์ที่ 20
ผมเป็นคนบ้ายอเสียด้วย เห็นคุณ Naris มายอ หน่อยนึงก็เลย ขอวิแคะต่อ...
อันนี้ผมได้จากบทวิเคราะห์เมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งเป็นยอดขายของ Q1 เทียบกันระหว่าง SiS / Synex
แต่ทั้งคู่นี่จัดประเภทสินค้าไม่เหมือนกันเท่าไร แต่พอช่วยให้เรามองเห็นอะไรได้ดีขึ้นแน่ๆ (บทวิเคราะห์ของ Q2 ยังไม่มานะครับ)
SiS
Computer Systems 45% 1,318
Storage 4% 117
Printer 7% 205
Consumable 9% 263
Imaging 12% 351
Accessories 12% 351
PDA Phone 10% 293
Movie 1% 29
Synnex
Component 23.5% 666.0
Consumable 21.2% 601.0
Printer 11.2% 319.0
Network 9.3% 264.0
Display 6.8% 193.0
Comp.Systems 15.5% 440.0
Multimedia CE 8.6% 243.0
Software 3.7% 106.0
Other 0.2% 4.0
จะเห็นกันชัดๆ เลยนะครับว่า ในหมวด ComputerSystems เครื่องสำเร็จรูปนี่ SiS มียอดขายมากกว่า Synex ประมาณ 900 ล้าน แต่สินค้าตัวนี้มีกำไรต่ำประมาณแค่ 2-3%
ส่วนหมวด Printer & Consumable (หมึก) Synex นี่เป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศ มียอดขายรวมกัน 900 ล้านเทียบกับ 400 ล้านของ SiS และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มสินค้าที่ยังพอมีกำไรประมาณ 4-5% สูงกว่า Computer Systems
กลุ่มที่ 3 ที่ควรสังเกตุ คือ กลุ่ม Component ซึ่งมีกำไรประมาณ 2%-3% เหมือนกัน ทาง Synex เยอะกว่า SiS เพราะ SiS แทบไม่มีสินค้ากลุ่มนี้ขายเลย
กลุ่มที่ 4 คือ Software กลุ่มนี้มีกำไรสูง ประมาณ 8-12% พอๆ กับ PDA Phone เลย ซึ่ง Synex ได้ตรงนี้มาชดเชย ช่วยให้มีกำไรดีขึ้น และน่าเสียดายด้วย ว่า SiS ไม่สามารถหาทีมงานที่เก่งๆ มาทำงานด้วย ตรงนี้เป็นจุดบอดใหญ่ของ SiS หากว่าจะขายสินค้าแบบครบวงจร คือ H/W & S/W & Network & Implementation ทำให้ Project ขนาดใหญ่มากๆ จริง หรือซับซ้อนหน่อย ตกไปอยู่ที่ Value Systems (Synex ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีสินค้าพวก ComputerSystems & Server)
ผมอยู่ในวงการ IT มามากกว่า 10 ปี เห็น SiS พยายามปลุกปั้น กลุ่ม Software มาตลอด แต่ยังไม่สำเร็จเสียที เท่าที่รู้ในกลุ่ม S/W นี่ รายใหญ่ที่สุดนี่มียอดขายประมาณ 300 ล้านบาทต่อ Qtr ถ้าคิดกำไรแบบ Conservative คือ 6% แปลว่ามีกำไร อีกราวๆ 20 ล้าน x 4 หรือ 80 ล้านบาท (อีก 40% ของทั้งปี) ที่ทาง SiS ปั้นเพิ่มขึ้นมาได้
SiS
จุดแข็งคือ PDA Phone, Computer Systems
จุดอ่อนคือ Software, Component
ส่วน Upcountry Coverage จะบอกว่าแข็งก็ได้ อ่อนก็ได้ ขึ้นกับการบริหารยอดขายและกำไร (SiS ไม่มีสาขาในต่างจังหวัดเลย แต่พอมีลูกค้าต่างจังหวัดน้อย ค่าขนส่งก็มี impact ไม่มากนัก)
Synex
จุดแข็งคือ Component, Printer & Supplies
จุดอ่อนคือ Computer Systems products
ส่วน Upcountry Coverage จะบอกว่าแข็งก็ได้ อ่อนก็ได้ ขึ้นกับการบริหารยอดขายและกำไร (Synex มีสาขาในต่างจังหวัดเยอะที่สุด ขายครอบคลุมลูกค้ามากที่สุด)
เรื่องหนี้..ที่เคยคุยกัน ทั้ง SiS และ Synex มีการทำประกันลูกหนี้อยู่แล้ว และปีนี้ยังไม่มีรายใหญ่ๆ หายตัวไป ดังนั้นสภาพเรื่องหนี้ยังถือว่าไม่น่ากังวลเท่าไร
อันนึงที่ผมสังเกตุเห็นในงบ Q-1 ของ SiS คือ ทางผู้บริหารสำรองสินค้าเสี่อมสภาพแบบ Conservative มากๆ คือ มูลค่าเงินสำรองสินค้าเสื่อมสภาพเทียบเท่ากับ Stock ที่เกิน 90 วันทั้งหมด เป็นเงินสูงมาก หากว่าลดระดับลงหน่อย จะเหลือกำไรไหลกลับมาได้อีกพอสมควรเลย เพราะสินค้าหลายตัว ที่ระดับ 120-180 ก็ยังขายได้อยู่ (แต่ไม่เต็มราคา อาจจะซัก 40% ก็ขายได้แล้ว)
ความเห็นส่วนตัวครับ..ในฐานะที่มีหุ้น SiS นิดหน่อย และทำงาน IT มานาน
อันนี้ผมได้จากบทวิเคราะห์เมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งเป็นยอดขายของ Q1 เทียบกันระหว่าง SiS / Synex
แต่ทั้งคู่นี่จัดประเภทสินค้าไม่เหมือนกันเท่าไร แต่พอช่วยให้เรามองเห็นอะไรได้ดีขึ้นแน่ๆ (บทวิเคราะห์ของ Q2 ยังไม่มานะครับ)
SiS
Computer Systems 45% 1,318
Storage 4% 117
Printer 7% 205
Consumable 9% 263
Imaging 12% 351
Accessories 12% 351
PDA Phone 10% 293
Movie 1% 29
Synnex
Component 23.5% 666.0
Consumable 21.2% 601.0
Printer 11.2% 319.0
Network 9.3% 264.0
Display 6.8% 193.0
Comp.Systems 15.5% 440.0
Multimedia CE 8.6% 243.0
Software 3.7% 106.0
Other 0.2% 4.0
จะเห็นกันชัดๆ เลยนะครับว่า ในหมวด ComputerSystems เครื่องสำเร็จรูปนี่ SiS มียอดขายมากกว่า Synex ประมาณ 900 ล้าน แต่สินค้าตัวนี้มีกำไรต่ำประมาณแค่ 2-3%
ส่วนหมวด Printer & Consumable (หมึก) Synex นี่เป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศ มียอดขายรวมกัน 900 ล้านเทียบกับ 400 ล้านของ SiS และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มสินค้าที่ยังพอมีกำไรประมาณ 4-5% สูงกว่า Computer Systems
กลุ่มที่ 3 ที่ควรสังเกตุ คือ กลุ่ม Component ซึ่งมีกำไรประมาณ 2%-3% เหมือนกัน ทาง Synex เยอะกว่า SiS เพราะ SiS แทบไม่มีสินค้ากลุ่มนี้ขายเลย
กลุ่มที่ 4 คือ Software กลุ่มนี้มีกำไรสูง ประมาณ 8-12% พอๆ กับ PDA Phone เลย ซึ่ง Synex ได้ตรงนี้มาชดเชย ช่วยให้มีกำไรดีขึ้น และน่าเสียดายด้วย ว่า SiS ไม่สามารถหาทีมงานที่เก่งๆ มาทำงานด้วย ตรงนี้เป็นจุดบอดใหญ่ของ SiS หากว่าจะขายสินค้าแบบครบวงจร คือ H/W & S/W & Network & Implementation ทำให้ Project ขนาดใหญ่มากๆ จริง หรือซับซ้อนหน่อย ตกไปอยู่ที่ Value Systems (Synex ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีสินค้าพวก ComputerSystems & Server)
ผมอยู่ในวงการ IT มามากกว่า 10 ปี เห็น SiS พยายามปลุกปั้น กลุ่ม Software มาตลอด แต่ยังไม่สำเร็จเสียที เท่าที่รู้ในกลุ่ม S/W นี่ รายใหญ่ที่สุดนี่มียอดขายประมาณ 300 ล้านบาทต่อ Qtr ถ้าคิดกำไรแบบ Conservative คือ 6% แปลว่ามีกำไร อีกราวๆ 20 ล้าน x 4 หรือ 80 ล้านบาท (อีก 40% ของทั้งปี) ที่ทาง SiS ปั้นเพิ่มขึ้นมาได้
SiS
จุดแข็งคือ PDA Phone, Computer Systems
จุดอ่อนคือ Software, Component
ส่วน Upcountry Coverage จะบอกว่าแข็งก็ได้ อ่อนก็ได้ ขึ้นกับการบริหารยอดขายและกำไร (SiS ไม่มีสาขาในต่างจังหวัดเลย แต่พอมีลูกค้าต่างจังหวัดน้อย ค่าขนส่งก็มี impact ไม่มากนัก)
Synex
จุดแข็งคือ Component, Printer & Supplies
จุดอ่อนคือ Computer Systems products
ส่วน Upcountry Coverage จะบอกว่าแข็งก็ได้ อ่อนก็ได้ ขึ้นกับการบริหารยอดขายและกำไร (Synex มีสาขาในต่างจังหวัดเยอะที่สุด ขายครอบคลุมลูกค้ามากที่สุด)
เรื่องหนี้..ที่เคยคุยกัน ทั้ง SiS และ Synex มีการทำประกันลูกหนี้อยู่แล้ว และปีนี้ยังไม่มีรายใหญ่ๆ หายตัวไป ดังนั้นสภาพเรื่องหนี้ยังถือว่าไม่น่ากังวลเท่าไร
อันนึงที่ผมสังเกตุเห็นในงบ Q-1 ของ SiS คือ ทางผู้บริหารสำรองสินค้าเสี่อมสภาพแบบ Conservative มากๆ คือ มูลค่าเงินสำรองสินค้าเสื่อมสภาพเทียบเท่ากับ Stock ที่เกิน 90 วันทั้งหมด เป็นเงินสูงมาก หากว่าลดระดับลงหน่อย จะเหลือกำไรไหลกลับมาได้อีกพอสมควรเลย เพราะสินค้าหลายตัว ที่ระดับ 120-180 ก็ยังขายได้อยู่ (แต่ไม่เต็มราคา อาจจะซัก 40% ก็ขายได้แล้ว)
ความเห็นส่วนตัวครับ..ในฐานะที่มีหุ้น SiS นิดหน่อย และทำงาน IT มานาน