ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 1
ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
ตลาด คือ แหล่งชุมนุม ที่ๆมีการวางจำหน่ายสินค้า (เป็นที่แลกเปลี่ยนสมัยโบราณ) เป็นที่ซื้อขายสินค้า (ในปัจจุบัน) ผ่านเงิน
หุ้น คือ คำที่เรียก สั้นๆ มาจากคำว่า หุ้นส่วน คือ การลงทุนร่วมกับบุคคลคนเดียว หรือ กลุ่มคน เพื่อดำเนิน ธุรกิจ แล้วได้ผลตอบแทนในรูปของกำไร ปันผล ดอกเบี้ย ตามอัตราส่วนที่ลงทุน
ซึ่ง หุ้นส่วน หรือหุ้น ที่พอจะทราบกันดี มี อยู่ 2 ประเภท
1. หุ้นทุน ซึ่ง ก็คือ การนำเงินไปร่วมลงทุน ในรูปแบบหุ้นส่วนเพื่อเปิดบริษัท
ซึ่งที่ทราบกันดี ว่า การจัดตั้งบริษัท จำกัด จะต้องมีผู้ร่วมหุ้นไม่ต่ำกว่า 7คน และ แบ่งการลงทุนออกเป็นจำนวนหุ้น ตามสัดส่วนการลงทุน และ ถ้าเป็นการจัดตั้ง เป็นบริษัท มหาชน ก็จะมีกฎเกณฑ์ ที่เพิ่มมากขึ้น
เช่น จำนวน ผู้ถือหุ้น และอื่นๆ
ซึ่ง การลงทุน เป็นหุ้นทุน รูปแบบนี้ ซึ่งขอพูดว่า เป็นการได้สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของ และมูลค่า ของสิทธิ์นี้
จะเป็นไปตาม บริษัท หรือ ธุรกิจ ( ผลประกอบการ มูลค่าของทรัพย์สิน) โดยตรง
2. หุ้นกู้ คือ การนำเงินไปลงทุน ในรูปแบบ ที่บริษัท นั้นๆ เป็นผู้ขอกู้ยืม จากผู้ลงทุน โดย สัญญาว่า จะจ่ายผลตอบแทนการลงทุนให้ในรูปของดอกเบี้ย เป็นจำนวน ที่แน่นอน หรือ ปล่อยลอยตามตลาดบางส่วน
เช่น อาจจะตั้งไว้ที่ เรตเงินกู้ ลบด้วย 1% หรือ เรตเงินฝาก บวกด้วย 1% เป็นต้น
คำว่าหุ้น ก็จะมี หุ้นประเภท บุริมสิทธิ์ วอร์แรนท์ และอื่นๆ อีก ตามเทคนิคที่ทางการเงินที่เขาคิดเพิ่มกันมา
ตลาดหุ้น
และเมื่อนำคำว่า ตลาด และ หุ้น มารวมกัน คำว่าตลาดหุ้น ก็เกิดขึ้น มันคืออะไรล่ะ ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน?
ตลาดหุ้น ประเทศไทย ที่มีการซื้อขายกันทุนวันนี้ ตลาดหลักที่เรียกว่า set ตลาดรอง ที่เรียกว่า mai นี่คือ ตลาดหุ้นทุน ที่คนทั่วไปเรียกว่าตลาดหุ้น
แล้วหุ้นทุน คือ การนำเงินไปร่วมลงทุน ในรูปแบบหุ้นส่วนเพื่อเปิดบริษัท ซึ่งจะแบ่งสิทธ์การลงทุน ออกเป็นหุ้นๆ
เช่น บริษัทจำกัด แห่งหนึ่ง ต้องการสร้างโรงงานเล็กๆ โดย มีผู้เห็นด้วย 7 คนและต้องการลงทุนร่วมกัน และตัดสินใจกันว่าต้องการหาเงินเพื่อ เริ่ม บริษัทนี้ เป็นจำนวน 1,400,000 บาท แล้วก็แบ่งการลงทุน เป็น 7 ส่วนเท่าๆกัน
คำว่าหุ้น ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นคำแสดงถึงสิทธ์ ของการลงทุน โดยเริ่มจาก กำหนด มูลค่าต่อ หุ้น หรือ ที่เค้า เรียกกันว่า par เช่น ตั้งว่า 10 บาทต่อหุ้น 100 บาทต่อหุ้น หรือ 1 บาท ,1000 บาท ต่อหุ้นก็ได้
ดังนั้น จำนวนเงิน 1,400,000 บาท แล้วตั้งมูลค่าต่อหุ้นที่ 10 บาทต่อหุ้น จึงเท่ากับการเริ่มต้นนี้ จะมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 140,000 หุ้น(1,400,000 หาร 10 = 140,000) ที่มูลค่าต่อหุ้นๆละ 10 บาท แล้วแบ่งการลงทุนเป็น 7 ส่วน ๆละเท่ากัน จึงเท่ากับว่า 1 คน จะลงทุน 20,000 หุ้น (140,000 หุ้น หาร 7 คน = 20,000 หุ้น) ราคา หุ้นละ 10 บาท ดั้งนั้น ก็ต้องลงทุนเป็นจำนวน 200,000 บาทต่อคน
นาย 1 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 2 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 3 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 4 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 5 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 6 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 7 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
(เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท มาจาก 20,000 หุ้น ที่ลงทุน หาร 140,000 จำนวนหุ้นทั้งหมด)
แล้วหลังจากนั้น ธุรกิจ หรือ กิจการ ก็ดำเนินไป แต่จะยังไม่พูดถึงว่ามันดำเนินไปอย่างไร เพราะกำลังสนใจเกี่ยวกับความหมายของตลาดหุ้น
แต่ต่อมา ธุรกิจส่วนตัวของนาย 7 เกิดเงินหมุนไม่ทัน เนื่อง จากต้องมีการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก และไม่มีแหล่งเงิน แหล่งอื่นเลย จึงกลับมา คิด ว่าตัวเอง ยังมีเงิน ซึ่งนำไปลงทุน อยู่ในบริษัทจำกัด แห่งหนึ่งอยู่ เลยคิด ที่จะนำเงินส่วนที่ลงทุนไว้ 200,000 บาท (20,000 หุ้น) กลับมาเพื่อธุรกิจส่วนตัว แต่นาย 7 จะต้องทำอย่างไรล่ะ?
1. ให้บริษัท จำกัด นำเงินส่วนของนาย 7 ออกมาคืนโดยตรง ก็ดูเหมือนจะทำได้ แต่เงิน ของบริษัท จาก 1,400,000 บาท คืนนาย 7 ไป 200,000 บาท ก็จะเหลือ 1,200,000 บาท ซึ่งก็อาจจะกระทบต่อ สภาพคล่อง ของบริษัทจำกัดได้ทันที จึงมีผลกระทบไม่มาก ก็น้อย (เปรียบ เสมือน การซื้อหุ้นคืนของบริษัท)
2. ให้ผู้ถือหุ้น นาย 1 ถึง นาย 6 เป็นผู้ซื้อ ในส่วน ของนาย 7 ไป ก็ดูเหมือนจะทำได้ ถ้า นาย 1 ถึง นาย 6 มีผู้ที่มีเงินพอ และสนใจที่จะลงทุนเพิ่ม ในบริษัท จำกัด เช่น นาย 1 ยินดีที่จะซื้อ หุ้นในส่วนของนาย 7 จำนวน 20,000 หุ้น
นาย 1 จึงนำเงิน 200,000 บาทให้นาย 7 และได้หุ้นมา ดังนั้น นาย 1 จะมี หุ้น ทั้งหมด 40,000 หุ้น เป็นสัดส่วน 28.5714% (40,000 หุ้นของนาย 1 หาร 140,000 หุ้นของบริษัททั้งหมด)(เปรียบเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ทำให้ นาย 1 มีหุ้นถึง 28.5714% ซึ่งอาจมีผลกระทบไม่มากก็น้อยในการลงคะแนนโหวตในสิทธิ์ ของหุ้น)
*ถ้าเกิดข้อ 1 หรือ 2 แล้วผู้ถือหุ้นเหลือ 6 คน ก็ต้องมีการหาวิธี แก้ไขเพื่อให้เป็น ไม่ต่ำกว่า 7 คน ตามกฎเกณฑ์
3. การขาย ให้กับผู้อื่น ที่สนใจที่จะลงทุนในบริษัท จำกัดนี้ ซึ่ง ก็ดูเหมือนจะทำได้ เช่น หา นาย 8 ซึ่งยินดีที่จะซื้อ หุ้น 20,000 หุ้น เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท จากนาย 7 ซึ่ง ก็จะเกิดการเปลี่ยน แปลง ตัวบุคคลจาก นาย 7 เป็น นาย 8 นอกนั้นเรื่องเกี่ยวกับบริษัทก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คือ จะหานาย 8 ได้อย่างไร ความยากง่ายในการหา ระยะเวลาในการหา
แล้วถ้าไม่มีผู้มาสนใจ แล้วนาย 7 ก็ไม่สามารถ ขายสิทธิ์ หุ้นของตนได้ หรือ ใช้เวลานานมากในการหาผู้ซื้อ
ย่อมทำให้ นาย 7 ไม่สามารถ ใช้สินทรัพย์ส่วนนี้ ไปในทางอื่น เพราะ เหตุผลทางสภาพคล่องในขายสิทธิ์
ดังนั้น การจัดให้มีแหล่ง ซื้อ และขาย จึงเกิดขึ้น เพื่อ
ให้ผู้ที่มีเงิน และต้องการลงทุน ก็มีข้อมูล มีแหล่งที่จะหาสินทรัพย์ ในประเภท สิทธิ์ ของหุ้นทุน(ส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าของบริษัท) แล้วก็อยู่ในฝั่งของผู้ซื้อ
ให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสิทธ์ ความเป็นเจ้าของ เป็นเงิน ก็มีแหล่งเพื่อไปเสนอขายให้ กับผู้ที่ต้องการ แล้วก็อยู่ในฝั่งของผู้ขาย
ตลาดหุ้นทุน คือ ที่ๆมีไว้วางจำหน่าย ซื้อขาย สิทธิ์ การเป็นหุ้นส่วน หรือความเป็นเจ้าของบริษัท
*การยกตัวอย่างเป็นเพียงการเปรียบเทียบ เพื่อ พยายามให้ง่ายต่อความเข้าใจ
ตลาด คือ แหล่งชุมนุม ที่ๆมีการวางจำหน่ายสินค้า (เป็นที่แลกเปลี่ยนสมัยโบราณ) เป็นที่ซื้อขายสินค้า (ในปัจจุบัน) ผ่านเงิน
หุ้น คือ คำที่เรียก สั้นๆ มาจากคำว่า หุ้นส่วน คือ การลงทุนร่วมกับบุคคลคนเดียว หรือ กลุ่มคน เพื่อดำเนิน ธุรกิจ แล้วได้ผลตอบแทนในรูปของกำไร ปันผล ดอกเบี้ย ตามอัตราส่วนที่ลงทุน
ซึ่ง หุ้นส่วน หรือหุ้น ที่พอจะทราบกันดี มี อยู่ 2 ประเภท
1. หุ้นทุน ซึ่ง ก็คือ การนำเงินไปร่วมลงทุน ในรูปแบบหุ้นส่วนเพื่อเปิดบริษัท
ซึ่งที่ทราบกันดี ว่า การจัดตั้งบริษัท จำกัด จะต้องมีผู้ร่วมหุ้นไม่ต่ำกว่า 7คน และ แบ่งการลงทุนออกเป็นจำนวนหุ้น ตามสัดส่วนการลงทุน และ ถ้าเป็นการจัดตั้ง เป็นบริษัท มหาชน ก็จะมีกฎเกณฑ์ ที่เพิ่มมากขึ้น
เช่น จำนวน ผู้ถือหุ้น และอื่นๆ
ซึ่ง การลงทุน เป็นหุ้นทุน รูปแบบนี้ ซึ่งขอพูดว่า เป็นการได้สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของ และมูลค่า ของสิทธิ์นี้
จะเป็นไปตาม บริษัท หรือ ธุรกิจ ( ผลประกอบการ มูลค่าของทรัพย์สิน) โดยตรง
2. หุ้นกู้ คือ การนำเงินไปลงทุน ในรูปแบบ ที่บริษัท นั้นๆ เป็นผู้ขอกู้ยืม จากผู้ลงทุน โดย สัญญาว่า จะจ่ายผลตอบแทนการลงทุนให้ในรูปของดอกเบี้ย เป็นจำนวน ที่แน่นอน หรือ ปล่อยลอยตามตลาดบางส่วน
เช่น อาจจะตั้งไว้ที่ เรตเงินกู้ ลบด้วย 1% หรือ เรตเงินฝาก บวกด้วย 1% เป็นต้น
คำว่าหุ้น ก็จะมี หุ้นประเภท บุริมสิทธิ์ วอร์แรนท์ และอื่นๆ อีก ตามเทคนิคที่ทางการเงินที่เขาคิดเพิ่มกันมา
ตลาดหุ้น
และเมื่อนำคำว่า ตลาด และ หุ้น มารวมกัน คำว่าตลาดหุ้น ก็เกิดขึ้น มันคืออะไรล่ะ ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน?
ตลาดหุ้น ประเทศไทย ที่มีการซื้อขายกันทุนวันนี้ ตลาดหลักที่เรียกว่า set ตลาดรอง ที่เรียกว่า mai นี่คือ ตลาดหุ้นทุน ที่คนทั่วไปเรียกว่าตลาดหุ้น
แล้วหุ้นทุน คือ การนำเงินไปร่วมลงทุน ในรูปแบบหุ้นส่วนเพื่อเปิดบริษัท ซึ่งจะแบ่งสิทธ์การลงทุน ออกเป็นหุ้นๆ
เช่น บริษัทจำกัด แห่งหนึ่ง ต้องการสร้างโรงงานเล็กๆ โดย มีผู้เห็นด้วย 7 คนและต้องการลงทุนร่วมกัน และตัดสินใจกันว่าต้องการหาเงินเพื่อ เริ่ม บริษัทนี้ เป็นจำนวน 1,400,000 บาท แล้วก็แบ่งการลงทุน เป็น 7 ส่วนเท่าๆกัน
คำว่าหุ้น ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นคำแสดงถึงสิทธ์ ของการลงทุน โดยเริ่มจาก กำหนด มูลค่าต่อ หุ้น หรือ ที่เค้า เรียกกันว่า par เช่น ตั้งว่า 10 บาทต่อหุ้น 100 บาทต่อหุ้น หรือ 1 บาท ,1000 บาท ต่อหุ้นก็ได้
ดังนั้น จำนวนเงิน 1,400,000 บาท แล้วตั้งมูลค่าต่อหุ้นที่ 10 บาทต่อหุ้น จึงเท่ากับการเริ่มต้นนี้ จะมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 140,000 หุ้น(1,400,000 หาร 10 = 140,000) ที่มูลค่าต่อหุ้นๆละ 10 บาท แล้วแบ่งการลงทุนเป็น 7 ส่วน ๆละเท่ากัน จึงเท่ากับว่า 1 คน จะลงทุน 20,000 หุ้น (140,000 หุ้น หาร 7 คน = 20,000 หุ้น) ราคา หุ้นละ 10 บาท ดั้งนั้น ก็ต้องลงทุนเป็นจำนวน 200,000 บาทต่อคน
นาย 1 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 2 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 3 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 4 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 5 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 6 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
นาย 7 ลงทุน 20,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท
(เป็นอัตราส่วน 14.2857 % ของมูลค่าบริษัท มาจาก 20,000 หุ้น ที่ลงทุน หาร 140,000 จำนวนหุ้นทั้งหมด)
แล้วหลังจากนั้น ธุรกิจ หรือ กิจการ ก็ดำเนินไป แต่จะยังไม่พูดถึงว่ามันดำเนินไปอย่างไร เพราะกำลังสนใจเกี่ยวกับความหมายของตลาดหุ้น
แต่ต่อมา ธุรกิจส่วนตัวของนาย 7 เกิดเงินหมุนไม่ทัน เนื่อง จากต้องมีการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก และไม่มีแหล่งเงิน แหล่งอื่นเลย จึงกลับมา คิด ว่าตัวเอง ยังมีเงิน ซึ่งนำไปลงทุน อยู่ในบริษัทจำกัด แห่งหนึ่งอยู่ เลยคิด ที่จะนำเงินส่วนที่ลงทุนไว้ 200,000 บาท (20,000 หุ้น) กลับมาเพื่อธุรกิจส่วนตัว แต่นาย 7 จะต้องทำอย่างไรล่ะ?
1. ให้บริษัท จำกัด นำเงินส่วนของนาย 7 ออกมาคืนโดยตรง ก็ดูเหมือนจะทำได้ แต่เงิน ของบริษัท จาก 1,400,000 บาท คืนนาย 7 ไป 200,000 บาท ก็จะเหลือ 1,200,000 บาท ซึ่งก็อาจจะกระทบต่อ สภาพคล่อง ของบริษัทจำกัดได้ทันที จึงมีผลกระทบไม่มาก ก็น้อย (เปรียบ เสมือน การซื้อหุ้นคืนของบริษัท)
2. ให้ผู้ถือหุ้น นาย 1 ถึง นาย 6 เป็นผู้ซื้อ ในส่วน ของนาย 7 ไป ก็ดูเหมือนจะทำได้ ถ้า นาย 1 ถึง นาย 6 มีผู้ที่มีเงินพอ และสนใจที่จะลงทุนเพิ่ม ในบริษัท จำกัด เช่น นาย 1 ยินดีที่จะซื้อ หุ้นในส่วนของนาย 7 จำนวน 20,000 หุ้น
นาย 1 จึงนำเงิน 200,000 บาทให้นาย 7 และได้หุ้นมา ดังนั้น นาย 1 จะมี หุ้น ทั้งหมด 40,000 หุ้น เป็นสัดส่วน 28.5714% (40,000 หุ้นของนาย 1 หาร 140,000 หุ้นของบริษัททั้งหมด)(เปรียบเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ทำให้ นาย 1 มีหุ้นถึง 28.5714% ซึ่งอาจมีผลกระทบไม่มากก็น้อยในการลงคะแนนโหวตในสิทธิ์ ของหุ้น)
*ถ้าเกิดข้อ 1 หรือ 2 แล้วผู้ถือหุ้นเหลือ 6 คน ก็ต้องมีการหาวิธี แก้ไขเพื่อให้เป็น ไม่ต่ำกว่า 7 คน ตามกฎเกณฑ์
3. การขาย ให้กับผู้อื่น ที่สนใจที่จะลงทุนในบริษัท จำกัดนี้ ซึ่ง ก็ดูเหมือนจะทำได้ เช่น หา นาย 8 ซึ่งยินดีที่จะซื้อ หุ้น 20,000 หุ้น เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท จากนาย 7 ซึ่ง ก็จะเกิดการเปลี่ยน แปลง ตัวบุคคลจาก นาย 7 เป็น นาย 8 นอกนั้นเรื่องเกี่ยวกับบริษัทก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คือ จะหานาย 8 ได้อย่างไร ความยากง่ายในการหา ระยะเวลาในการหา
แล้วถ้าไม่มีผู้มาสนใจ แล้วนาย 7 ก็ไม่สามารถ ขายสิทธิ์ หุ้นของตนได้ หรือ ใช้เวลานานมากในการหาผู้ซื้อ
ย่อมทำให้ นาย 7 ไม่สามารถ ใช้สินทรัพย์ส่วนนี้ ไปในทางอื่น เพราะ เหตุผลทางสภาพคล่องในขายสิทธิ์
ดังนั้น การจัดให้มีแหล่ง ซื้อ และขาย จึงเกิดขึ้น เพื่อ
ให้ผู้ที่มีเงิน และต้องการลงทุน ก็มีข้อมูล มีแหล่งที่จะหาสินทรัพย์ ในประเภท สิทธิ์ ของหุ้นทุน(ส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าของบริษัท) แล้วก็อยู่ในฝั่งของผู้ซื้อ
ให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสิทธ์ ความเป็นเจ้าของ เป็นเงิน ก็มีแหล่งเพื่อไปเสนอขายให้ กับผู้ที่ต้องการ แล้วก็อยู่ในฝั่งของผู้ขาย
ตลาดหุ้นทุน คือ ที่ๆมีไว้วางจำหน่าย ซื้อขาย สิทธิ์ การเป็นหุ้นส่วน หรือความเป็นเจ้าของบริษัท
*การยกตัวอย่างเป็นเพียงการเปรียบเทียบ เพื่อ พยายามให้ง่ายต่อความเข้าใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 3
ข้อความข้างต้น เป็นการรำเสนอทฟษฎี ด้วยภาษที่เข้าใจได้ ซึ่งดี
ในความเห็นผม ตลาดหุ้น คือ สนามแข่ง ความโลภ วัดกับ ความกลัว ...เป็นเรื่องแปลกที่คนสองฝั่ง มองบริษัทเดียวกัน แต่คิดตรงกันข้ามโดยสิ้ยเชิง... จึงมี bid และ offer ตลอดไปนิรันดร์กาล...
ในความเห็นผม ตลาดหุ้น คือ สนามแข่ง ความโลภ วัดกับ ความกลัว ...เป็นเรื่องแปลกที่คนสองฝั่ง มองบริษัทเดียวกัน แต่คิดตรงกันข้ามโดยสิ้ยเชิง... จึงมี bid และ offer ตลอดไปนิรันดร์กาล...
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 5
ตลาดหุ้น เป็นแหล่งแสวงหาโอกาส ...areliang เขียน:ขอความเห็น ความหมายของ ตลาดหุ้น ในความคิด ของ เพื่อนๆด้วยนะครับ
ตลาดหุ้น น่าจะเหมือน ซุปเปอร์มาร์เก้ต
(ภาษาไทยน่าจะเรียก ตลาดสด จะเหมาะกว่า)
มีปลากระป๋อง ไก่สด ขนม ถังแก๊ส ธนาคาร ห้างร้าน
อื่นๆสารพัด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 6
ตลาดหุ้นคือบ่อนการพนัน
นั่นคือมุมมองเมื่อเจ็ดปีก่อน
แต่จริงๆแล้ว
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนชั้นเยี่ยมได้เช่นกัน
โชคดีจริงๆที่วันนี้มีตลาดหุ้น
เราจึงมีแหล่งลงทุนชั้นยอด
ขอบคุณผู้ให้กำเนิดตลาดหุ้นในเมืองไทย
ขอบคุณผู้ให้กำเนิดตลาดหุ้นในต่างประเทศและเป็นต้นแบบให้เมืองไทย
ได้มีตลาดหุ้นมาทุกวันนี้
นั่นคือมุมมองเมื่อเจ็ดปีก่อน
แต่จริงๆแล้ว
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนชั้นเยี่ยมได้เช่นกัน
โชคดีจริงๆที่วันนี้มีตลาดหุ้น
เราจึงมีแหล่งลงทุนชั้นยอด
ขอบคุณผู้ให้กำเนิดตลาดหุ้นในเมืองไทย
ขอบคุณผู้ให้กำเนิดตลาดหุ้นในต่างประเทศและเป็นต้นแบบให้เมืองไทย
ได้มีตลาดหุ้นมาทุกวันนี้
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
ตลาด + หุ้น = ตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 8
แปลกจริง ๆ ด้วย
เวลาผมอ่านบทความของคุณ อาเหลียง ผมจะรู้สึกว่าเข้าใจง่ายและน่าอ่าน
อาจจะเป็นเพราะวิธีคิดของคุณ อาเหลียง คล้าย ๆ กับวิธีคิดของผมกระมั้ง
ประกอบกับพรสวรรค์ในการถ่ายทอดเนื้อหาของคุณอาเหลียง
ผมเลยชอบเป็นพิเศษครับ
ปล. สงสัยผมต้องฝากตัวเป็นศิษย์ซะแล้วมั้งครับ
เวลาผมอ่านบทความของคุณ อาเหลียง ผมจะรู้สึกว่าเข้าใจง่ายและน่าอ่าน
อาจจะเป็นเพราะวิธีคิดของคุณ อาเหลียง คล้าย ๆ กับวิธีคิดของผมกระมั้ง
ประกอบกับพรสวรรค์ในการถ่ายทอดเนื้อหาของคุณอาเหลียง
ผมเลยชอบเป็นพิเศษครับ
ปล. สงสัยผมต้องฝากตัวเป็นศิษย์ซะแล้วมั้งครับ