สวัสดีครับ Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 1
ช่วงปี 2004
หลายๆ อย่างที่ผมทำ นำผมไปซึ่ง ความทุกข์ นี่นา
ผมร้อนรน ตอนกลางคืน นอนไม่หลับ กลัวหุ้น ว่าจะเป็นอย่างไร ตลอดเวลาที่ถือ
แต่แปลก ตอนเล่นเก็งกำไร พอช่วงที่ พอร์ต ว่าง ไม่มีหุ้น ผมก็ไม่ต้องกังวล
แปลว่า ตอนผมไม่มีหุ้น กลับ สบายใจกว่า( แต่จริงๆ ผมอยากเล่นหุ้นนะ แต่อาจจะไม่อยาก เสียเงิน(ขาดทุน))
จากการ ซื้อ หุ้น เพื่อ ขาย
เมื่อรู้แบบนี้ ผมจึงเลือก ที่จะปรับเปลี่ยน เส้นทาง ในการลงทุน ของผม
ก็ผมไม่อยากทุกข์นี่นา
เลยต้องกับมาคิดว่า การลงทุนในหุ้นนี้ทำได้กี่วิธี ยังไงบ้าง
1. ซื้อ แล้ว ขาย ได้ส่วนต่างทางราคา
2. ซื้อ แล้ว ถือ ก็จะได้รับปันผล
ในเมื่อ ซื้อหุ้น เพื่อขาย ทำให้ผมทุกข์ ผมจึงคิดที่จะลองวิธีที่ 2
และเมื่อมามองดูสิ่งที่ตัวเองมี นั่นคือ เงินทุน ผมมีเงินทุนไม่มากเท่าไหร่
แต่การได้ปันผลนั้น หลายๆบริษัทได้ปีละเพียงหนึ่งครั้ง ถึง สี่ครั้ง ซึ่ง บริษัท ที่ปันผลได้สูงๆ อาจจะประมาณ 8-10% ของราคาหุ้น
นั่นแปลว่า ถ้าผมเลือกวิธี ที่ 2 ผมอาจจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล เพียงปีละ 8-10% เท่านั้น
ซึ่งต่างจากการซื้อ แล้ว ขาย เพราะ อาจจะได้กำไร หรือ ขาดทุน 10% หรือมากกว่าในระยะเวลาสั้นๆ
แต่พอมาคิด ถ้าเรามีเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วลงทุนได้ปันผลบวกเครดิตภาษี ได้ราวๆ 10% ต่อปี
นั่นจะทำให้ เราได้เงินจากปันผลโดยที่ไม่ต้องซื้อขายหุ้น 2000000*10%=200000 บาทต่อปี
นั่นแปลว่า เราจะได้เงิน 200000/12=16666.66 บาท ต่อเดือน
ถ้าทำได้จริง จะสามารถหาเงินได้ 16666.66 บาทต่อเดือน
มันก็ไม่น้อยนี่นา
ถ้าเราไปทำงาน เริ่มทำด้วยปริญญาตรี ก็อาจจะได้เงินเดือน สัก 12000 บาทต่อเดือน แล้วถ้าทำไปอีกสัก2-3 ปีเงินเดือนอาจจะขึ้นไปสักที่15000 บาทต่อเดือน
แปลว่า ถ้าเรามีเงินทุน สัก 2 ล้านบาท แล้วทำตามแผนได้สำเร็จ ก็จะได้เงินต่อเดือน ไม่น้อยไปกว่าคนกลุ่มนี้นี่นา(ซึ่งถ้าผมไปทำงาน ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่จะต้องเริ่มจากแบบนี้เช่นกัน)
ใช้เงิน หาเงิน กับ ทำงาน หาเงิน
เอาล่ะครับ
สรุปแผนการต่อไป คือ ลงทุนในหุ้น เพื่อ ผลตอบแทนจากเงินปันผล และเลือก บริษัท ที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูง ให้ได้สัก 10 % ต่อปี (ปันผลรวมเครดิตภาษี)
ถ้าผมได้ปันผลผลรวมเครดิตภาษี ปีละ 5% ผมจะได้เงิน 2000000*5%=100000/12=8333.33 ต่อเดือน
ถ้าผมได้ปันผลผลรวมเครดิตภาษี ปีละ 10% ผมจะได้เงิน 2000000*10%=200000/12=16666.66 ต่อเดือน
ซึ่งต่างกันค่อนข้างมาก
ซึ่งผมมีเงินทุนไม่มากนัก และต้องการที่จะได้กระแสเงินสด จากเงินปันผล เพื่อนำไปลงทุนทบไปเรื่อยๆ ในปีต่อๆไป
แล้วจะเลือกบริษัทไหนล่ะ?
หลายๆ อย่างที่ผมทำ นำผมไปซึ่ง ความทุกข์ นี่นา
ผมร้อนรน ตอนกลางคืน นอนไม่หลับ กลัวหุ้น ว่าจะเป็นอย่างไร ตลอดเวลาที่ถือ
แต่แปลก ตอนเล่นเก็งกำไร พอช่วงที่ พอร์ต ว่าง ไม่มีหุ้น ผมก็ไม่ต้องกังวล
แปลว่า ตอนผมไม่มีหุ้น กลับ สบายใจกว่า( แต่จริงๆ ผมอยากเล่นหุ้นนะ แต่อาจจะไม่อยาก เสียเงิน(ขาดทุน))
จากการ ซื้อ หุ้น เพื่อ ขาย
เมื่อรู้แบบนี้ ผมจึงเลือก ที่จะปรับเปลี่ยน เส้นทาง ในการลงทุน ของผม
ก็ผมไม่อยากทุกข์นี่นา
เลยต้องกับมาคิดว่า การลงทุนในหุ้นนี้ทำได้กี่วิธี ยังไงบ้าง
1. ซื้อ แล้ว ขาย ได้ส่วนต่างทางราคา
2. ซื้อ แล้ว ถือ ก็จะได้รับปันผล
ในเมื่อ ซื้อหุ้น เพื่อขาย ทำให้ผมทุกข์ ผมจึงคิดที่จะลองวิธีที่ 2
และเมื่อมามองดูสิ่งที่ตัวเองมี นั่นคือ เงินทุน ผมมีเงินทุนไม่มากเท่าไหร่
แต่การได้ปันผลนั้น หลายๆบริษัทได้ปีละเพียงหนึ่งครั้ง ถึง สี่ครั้ง ซึ่ง บริษัท ที่ปันผลได้สูงๆ อาจจะประมาณ 8-10% ของราคาหุ้น
นั่นแปลว่า ถ้าผมเลือกวิธี ที่ 2 ผมอาจจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล เพียงปีละ 8-10% เท่านั้น
ซึ่งต่างจากการซื้อ แล้ว ขาย เพราะ อาจจะได้กำไร หรือ ขาดทุน 10% หรือมากกว่าในระยะเวลาสั้นๆ
แต่พอมาคิด ถ้าเรามีเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วลงทุนได้ปันผลบวกเครดิตภาษี ได้ราวๆ 10% ต่อปี
นั่นจะทำให้ เราได้เงินจากปันผลโดยที่ไม่ต้องซื้อขายหุ้น 2000000*10%=200000 บาทต่อปี
นั่นแปลว่า เราจะได้เงิน 200000/12=16666.66 บาท ต่อเดือน
ถ้าทำได้จริง จะสามารถหาเงินได้ 16666.66 บาทต่อเดือน
มันก็ไม่น้อยนี่นา
ถ้าเราไปทำงาน เริ่มทำด้วยปริญญาตรี ก็อาจจะได้เงินเดือน สัก 12000 บาทต่อเดือน แล้วถ้าทำไปอีกสัก2-3 ปีเงินเดือนอาจจะขึ้นไปสักที่15000 บาทต่อเดือน
แปลว่า ถ้าเรามีเงินทุน สัก 2 ล้านบาท แล้วทำตามแผนได้สำเร็จ ก็จะได้เงินต่อเดือน ไม่น้อยไปกว่าคนกลุ่มนี้นี่นา(ซึ่งถ้าผมไปทำงาน ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่จะต้องเริ่มจากแบบนี้เช่นกัน)
ใช้เงิน หาเงิน กับ ทำงาน หาเงิน
เอาล่ะครับ
สรุปแผนการต่อไป คือ ลงทุนในหุ้น เพื่อ ผลตอบแทนจากเงินปันผล และเลือก บริษัท ที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูง ให้ได้สัก 10 % ต่อปี (ปันผลรวมเครดิตภาษี)
ถ้าผมได้ปันผลผลรวมเครดิตภาษี ปีละ 5% ผมจะได้เงิน 2000000*5%=100000/12=8333.33 ต่อเดือน
ถ้าผมได้ปันผลผลรวมเครดิตภาษี ปีละ 10% ผมจะได้เงิน 2000000*10%=200000/12=16666.66 ต่อเดือน
ซึ่งต่างกันค่อนข้างมาก
ซึ่งผมมีเงินทุนไม่มากนัก และต้องการที่จะได้กระแสเงินสด จากเงินปันผล เพื่อนำไปลงทุนทบไปเรื่อยๆ ในปีต่อๆไป
แล้วจะเลือกบริษัทไหนล่ะ?
- ake3004
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 2
i think na kab...
high dividend ratio company in bear market that make divend ratio more as price down.
this method must be sure that company biz dont have effect much in long term.
select stock is 1 of most difficult art in investing...
high dividend ratio company in bear market that make divend ratio more as price down.
this method must be sure that company biz dont have effect much in long term.
select stock is 1 of most difficult art in investing...
One up on SET
- ake3004
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
...
โพสต์ที่ 4
P. Pratya kab.
As my experience is so less, pls share comment if any na kab
I think PL(Phatra Leasing) kab.
buying car for rent to big companies.
Would they cheat to PL only car rental?
I think no.
price about 2.6 Bht/share with dividend history about 0.22 Bht/share exclude last yr.
Close account in Sep.It means dividend 8% in about 4 months.
D/E about 2 times.still ok for this kind of biz.
eps 3 q 08 about 0.37/share.dividend ratio about 50%.
In my own personal experience, i think no risk at the moment.
appreciate your valued comment, so, we can get more knowledge kab
As my experience is so less, pls share comment if any na kab
I think PL(Phatra Leasing) kab.
buying car for rent to big companies.
Would they cheat to PL only car rental?
I think no.
price about 2.6 Bht/share with dividend history about 0.22 Bht/share exclude last yr.
Close account in Sep.It means dividend 8% in about 4 months.
D/E about 2 times.still ok for this kind of biz.
eps 3 q 08 about 0.37/share.dividend ratio about 50%.
In my own personal experience, i think no risk at the moment.
appreciate your valued comment, so, we can get more knowledge kab
One up on SET
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 5
PL ของคุณ ake3004
เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยหวือหวา
(เรามาคุยกันด้วยเหตุผลธุรกิจ ไม่ใช่ราคาที่กำหนดโดยนักลงทุน)
ราคานี้ตามความเห็นของผมก็ค่อนข้างปลอดภัย
(ตามโครงสร้างผู้ถือหุ้น)
เนื่องจากว่าธุรกิจ ซื้อรถมาให้ ผู้บริหารแบ๊งก์เครือกสิกรเช่า
และบริษัทประกันฯ ลูกค้าคือผู้เช่ามั่นคง
ถึงเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่คงไม่สะเทือน
ปลอดภัยกว่าหุ้นหลายๆตัว
แต่ก็คงไม่เติบโตหวือหวา แบบไปได้เรื่อยๆ แบบถือยาว
ผลตอบแทนในการลงทุน ก็น่าพอใจระดับหนึ่ง
คือได้เงินปันผล dividend ดีกว่าฝากแบงก์
(ส่วนต่างราคา คงลำบากน่อย)
เพราะหุ้นแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรม
มันจะมีภาวะตามการเปลี่ยนแปลงตามเศรษฐกิจ
ขอบคุณครับ ที่ยกตัวอย่างหุ้นมาดูกันครับ
ใครที่มองเห็นต่างจากนี้ ก็นำมาแชร์กันดีไหมครับ
ผมไม่ได้ถือหุ้นในกลุ่มไฟแนนท์เลย
เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยหวือหวา
(เรามาคุยกันด้วยเหตุผลธุรกิจ ไม่ใช่ราคาที่กำหนดโดยนักลงทุน)
ราคานี้ตามความเห็นของผมก็ค่อนข้างปลอดภัย
(ตามโครงสร้างผู้ถือหุ้น)
เนื่องจากว่าธุรกิจ ซื้อรถมาให้ ผู้บริหารแบ๊งก์เครือกสิกรเช่า
และบริษัทประกันฯ ลูกค้าคือผู้เช่ามั่นคง
ถึงเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่คงไม่สะเทือน
ปลอดภัยกว่าหุ้นหลายๆตัว
แต่ก็คงไม่เติบโตหวือหวา แบบไปได้เรื่อยๆ แบบถือยาว
ผลตอบแทนในการลงทุน ก็น่าพอใจระดับหนึ่ง
คือได้เงินปันผล dividend ดีกว่าฝากแบงก์
(ส่วนต่างราคา คงลำบากน่อย)
เพราะหุ้นแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรม
มันจะมีภาวะตามการเปลี่ยนแปลงตามเศรษฐกิจ
ขอบคุณครับ ที่ยกตัวอย่างหุ้นมาดูกันครับ
ใครที่มองเห็นต่างจากนี้ ก็นำมาแชร์กันดีไหมครับ
ผมไม่ได้ถือหุ้นในกลุ่มไฟแนนท์เลย
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 6
คาดว่า.. จะประกาศจ่ายปันผล เดือน ธค. รับเงินเดือน มค
ตามผลการดำเนินงาน ประมาณ 0.22-0.27 สต.
ราคาขายครั้งสุดท้าย Prior close price 2.64
วันที่ราคาขายครั้งสุดท้าย Prior close date 24 ก.ย 2551
ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น P/E ratio 4.7
ราคาปิดต่อมูลค่าหุ้น P/BV ratio 00000.71
เงินปันผลตอบแทน Dividend Yield % ..............
(ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นนะครับ แค่คุยกันเฉยๆ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารญาณ)
ตามผลการดำเนินงาน ประมาณ 0.22-0.27 สต.
ราคาขายครั้งสุดท้าย Prior close price 2.64
วันที่ราคาขายครั้งสุดท้าย Prior close date 24 ก.ย 2551
ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น P/E ratio 4.7
ราคาปิดต่อมูลค่าหุ้น P/BV ratio 00000.71
เงินปันผลตอบแทน Dividend Yield % ..............
(ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นนะครับ แค่คุยกันเฉยๆ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารญาณ)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 7
ตอนนั้น ผมก็เปิดหนังสือพิมพ์หน้าหุ้น แล้วก็ไล่ดูไปเรื่อยๆเหมือนเดิม
ก็มาสนใจ บ.ผลิตอัญมณี แห่งหนึ่ง ซึ่งก็มีชื่อในด้านการจ่ายปันผล ในปริมาณที่สูง
ผมก็เลยดูรายละเอียดเพิ่มขึ้น ทั้งด้าน P/BV ก็ต่ำกว่า 1 P/E ก็ต่ำ DIV ก็สูง จริงๆ
อ่าน ข้อมูล จาก 56-1
เพียบพร้อมครับ คุณสมบัติ
รูปแบบรายได้มาจากการขาย ขายอัญมณีเครื่องประดับ คนเราก็ชอบเครื่องประดับนะโดยเฉพาะผู้หญิง
ผมก็คิด อืม ชักมีแววแล้ว
บ.แห่งนี้ ผลิต อัญมณี สินทรัพย์ ก็น่าจะเป็นพวก ที่ดิน โรงงาน และ เครื่องมือ
และ บ.นี้ ก็ยังเป็นเจ้าของ แบรนด์ เครื่องประดับ หลายแบรนด์ ด้วย
ผลิตเอง แล้ว มีช่องทางจำหน่ายเป็นของตัวเองก็เป็นรูปแบบที่ดีไม่ใช่น้อย
และก็มีการโทรศัพท์ไปยัง บ.นี้ แล้วรู้สึกจะได้คุยกับ ฝ่ายการเงิน และก็ได้ถามหลายเรื่อง
มีถามเรื่องเงินปันผล เค้าก็บอกว่า บ. ของเขานั้นได้รับสิทธิพิเศษ ทางภาษีในรายได้ส่วนใหญ่ พวก boi ประมาณนั้น
ดังนั้นเวลาจ่ายปันผลออกไป ปันผลส่วนนั้นก็จะไม่สามารถเครดิตภาษีได้
ในใจผมก็คิด ก็ไม่เป็นไรนี่นา เครดิตภาษีไม่ได้ เพราะเฉพาะปันผลก็เกือบ 10% แล้ว
และด้วย บ.นี้ มีการส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ เค้าก็บอกว่า บ. ของเขา ส่งออกไปประเทศนั้น ประเทศนี้ เป็นอัตรา%เมื่อเทียบกับรายได้ และการส่งออก ไปยุโรป ก็ขายสินค้า เป็นสกุลเงิน ยูโร
ซึ่งในใจผมก็คิดว่า ก็ดีนะ มีการกระจายฐานลูกค้า
ถึงแม้ บ. นี้ จะมี warrant ที่จะแปลงสภาพอีกจำนวนหนึ่ง
พอมีข้อมูลได้เท่านี้แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจ ซื้อหุ้นของ บ. นี้
ก็มาสนใจ บ.ผลิตอัญมณี แห่งหนึ่ง ซึ่งก็มีชื่อในด้านการจ่ายปันผล ในปริมาณที่สูง
ผมก็เลยดูรายละเอียดเพิ่มขึ้น ทั้งด้าน P/BV ก็ต่ำกว่า 1 P/E ก็ต่ำ DIV ก็สูง จริงๆ
อ่าน ข้อมูล จาก 56-1
เพียบพร้อมครับ คุณสมบัติ
รูปแบบรายได้มาจากการขาย ขายอัญมณีเครื่องประดับ คนเราก็ชอบเครื่องประดับนะโดยเฉพาะผู้หญิง
ผมก็คิด อืม ชักมีแววแล้ว
บ.แห่งนี้ ผลิต อัญมณี สินทรัพย์ ก็น่าจะเป็นพวก ที่ดิน โรงงาน และ เครื่องมือ
และ บ.นี้ ก็ยังเป็นเจ้าของ แบรนด์ เครื่องประดับ หลายแบรนด์ ด้วย
ผลิตเอง แล้ว มีช่องทางจำหน่ายเป็นของตัวเองก็เป็นรูปแบบที่ดีไม่ใช่น้อย
และก็มีการโทรศัพท์ไปยัง บ.นี้ แล้วรู้สึกจะได้คุยกับ ฝ่ายการเงิน และก็ได้ถามหลายเรื่อง
มีถามเรื่องเงินปันผล เค้าก็บอกว่า บ. ของเขานั้นได้รับสิทธิพิเศษ ทางภาษีในรายได้ส่วนใหญ่ พวก boi ประมาณนั้น
ดังนั้นเวลาจ่ายปันผลออกไป ปันผลส่วนนั้นก็จะไม่สามารถเครดิตภาษีได้
ในใจผมก็คิด ก็ไม่เป็นไรนี่นา เครดิตภาษีไม่ได้ เพราะเฉพาะปันผลก็เกือบ 10% แล้ว
และด้วย บ.นี้ มีการส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ เค้าก็บอกว่า บ. ของเขา ส่งออกไปประเทศนั้น ประเทศนี้ เป็นอัตรา%เมื่อเทียบกับรายได้ และการส่งออก ไปยุโรป ก็ขายสินค้า เป็นสกุลเงิน ยูโร
ซึ่งในใจผมก็คิดว่า ก็ดีนะ มีการกระจายฐานลูกค้า
ถึงแม้ บ. นี้ จะมี warrant ที่จะแปลงสภาพอีกจำนวนหนึ่ง
พอมีข้อมูลได้เท่านี้แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจ ซื้อหุ้นของ บ. นี้
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 8
แต่การเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ ดูแตกต่างสักหน่อย เพราะ ผมเข้าซื้อทางตัว วอร์แรนท์
เพราะ ราคาหุ้นวอร์แรนท์ เมื่อรวมกับราคาแปลงสภาพ ราคาถูกกว่าตัวแม่เล็กน้อย
และวอร์แรนท์ นี้สามารถใช้สิทธิ์ ได้ทุกเดือน
เมื่อผมซื้อได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็รอจนถึงวันที่สามารถแปลงสิทธิ์ แล้วก็แปลงสิทธิ์
และเมื่อแปลงสิทธิ์แล้ว ก็มองเห็นช่องว่างที่จะทำกำไรจากการขายหุ้นแม่ แล้วไปซื้อวอร์แรนท์เพื่อแปลงสภาพอีกที
ซึ่งเมื่อหักค่าคอม แล้ว ก็จะมีกำไรเล็กน้อย
แต่ระหว่างที่ขายตัวแม่ ซื้อตัววอร์แรนท์ และรอแปลงสภาพ
ผมก็จะมีคำถาม อยู่ในใจเกี่ยวกับบริษัทนี้
เนื่องด้วยรายได้ส่วนใหญ่เป็นการส่งออก ถ้าดอลลาร์ อ่อนตัวลง ก็เป็นผลกระทบทางที่ไม่ดีกับบริษัทสิ
ถึงจะรู้ว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่ต้องนำเข้า เช่นทอง เป็นสกุลดอลลาร์ซึ่งก็ช่วยลดปัญหาลงได้บ้าง
และถ้าอเมริกา เกิดมีปัญหาทางเศรษฐกิจ รายได้ที่ได้จากอเมริกา จะมีปัญหารึเปล่า
ถึงจะรู้ว่า การส่งออก ก็กระจายไป ยุโรป ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็ลด ผลกระทบโดยตรงได้บ้าง
และด้วยการถือ เพื่อรอรับปันผล ซึ่งกว่าจะได้ปันผลสักครั้ง ก็กินเวลาเป็นปี
อยู่ๆจึงเหมือนถูกบังคับให้มองธุรกิจ เป็นระยะยาว เป็นปี
ซึ่งตัวผมเอง มักจะคิดมาก และกลัวอะไรไปก่อนในหลายๆครั้ง ทำให้คราวนี้ผมเข้าใจตัวเองบ้าง
และยังไม่คิดขายออกไปเพราะ กลัว คำถามที่อยู่ในใจ
และการถือนี้ จุดมุ่งหมายก็คือปันผล
แต่ผมก็ยัง ดูข้อมูลบริษัทอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆไล่จากหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วพอตัวไหนเข้าตา ก็ไปหาข้อมูลเพิ่มจาก internet
โดยเป้าหมายยังคงอยู่ที่บริษัทที่ดูมั่นคง และปันผลในอัตราที่สูง
เพราะ ราคาหุ้นวอร์แรนท์ เมื่อรวมกับราคาแปลงสภาพ ราคาถูกกว่าตัวแม่เล็กน้อย
และวอร์แรนท์ นี้สามารถใช้สิทธิ์ ได้ทุกเดือน
เมื่อผมซื้อได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็รอจนถึงวันที่สามารถแปลงสิทธิ์ แล้วก็แปลงสิทธิ์
และเมื่อแปลงสิทธิ์แล้ว ก็มองเห็นช่องว่างที่จะทำกำไรจากการขายหุ้นแม่ แล้วไปซื้อวอร์แรนท์เพื่อแปลงสภาพอีกที
ซึ่งเมื่อหักค่าคอม แล้ว ก็จะมีกำไรเล็กน้อย
แต่ระหว่างที่ขายตัวแม่ ซื้อตัววอร์แรนท์ และรอแปลงสภาพ
ผมก็จะมีคำถาม อยู่ในใจเกี่ยวกับบริษัทนี้
เนื่องด้วยรายได้ส่วนใหญ่เป็นการส่งออก ถ้าดอลลาร์ อ่อนตัวลง ก็เป็นผลกระทบทางที่ไม่ดีกับบริษัทสิ
ถึงจะรู้ว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่ต้องนำเข้า เช่นทอง เป็นสกุลดอลลาร์ซึ่งก็ช่วยลดปัญหาลงได้บ้าง
และถ้าอเมริกา เกิดมีปัญหาทางเศรษฐกิจ รายได้ที่ได้จากอเมริกา จะมีปัญหารึเปล่า
ถึงจะรู้ว่า การส่งออก ก็กระจายไป ยุโรป ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็ลด ผลกระทบโดยตรงได้บ้าง
และด้วยการถือ เพื่อรอรับปันผล ซึ่งกว่าจะได้ปันผลสักครั้ง ก็กินเวลาเป็นปี
อยู่ๆจึงเหมือนถูกบังคับให้มองธุรกิจ เป็นระยะยาว เป็นปี
ซึ่งตัวผมเอง มักจะคิดมาก และกลัวอะไรไปก่อนในหลายๆครั้ง ทำให้คราวนี้ผมเข้าใจตัวเองบ้าง
และยังไม่คิดขายออกไปเพราะ กลัว คำถามที่อยู่ในใจ
และการถือนี้ จุดมุ่งหมายก็คือปันผล
แต่ผมก็ยัง ดูข้อมูลบริษัทอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆไล่จากหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วพอตัวไหนเข้าตา ก็ไปหาข้อมูลเพิ่มจาก internet
โดยเป้าหมายยังคงอยู่ที่บริษัทที่ดูมั่นคง และปันผลในอัตราที่สูง
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 9
ซึ่งผมยังคงนั่งดูข้อมูล บริษัทต่างๆเรื่อยมา P/E P/BV DIV market cap.
อืม แต่ก่อนเราเคยคิดที่จะทำให้ชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยนี่นา คือ ถือ 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ก็เลยลองนั่ง ไล่ข้อมูล โดยอิงจาก market cap ด้วยในส่วนหนึ่ง
เพราะเงินทุนผมนั้นมีไม่มาก ถ้าหวังจะมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ คงทำได้กับบริษัทที่มี market cap ไม่ใหญ่นักเท่านั้น
จนมาเจอบริษัทนึงที่เข้าตามากๆ อยู่ในหมวด กลุ่มการเงิน ซึ่งผมขอเรียกว่า บ.1
(ผมอาจจะไม่ขอบอกรายละเอียดเชิง ชี้ไปว่าเป็นหุ้นชื่ออะไร เพราะ เป็นหุ้นที่ผมยังคงถืออยู่ และไม่ต้องการให้เป็นการชี้นำใดๆทั้งสิ้น)
ผมก็นั่งดู 56-1 ต่อ ดูไปคิดไป อืม บ.1 นี้ มีเงินสดเยอะจริงๆ เงินที่ลงทุนมีสภาพคล่องคล้ายเงินสดก็เยอะ หนี้สิน ที่เป็นการกู้ ก็ไม่ค่อยมี มีก็แต่เพียงหนี้สินจาก การดำเนินกิจการ
และผมก็ได้เข้าซื้อ หุ้น บ.1 ด้วยเงินที่เหลือเพียงเล็กน้อย ไม่กี่ร้อยหุ้น แต่เอ ทำไมผมถือแล้วสบายใจจัง
จนผ่านมาได้สัก 2 เดือน กว่า ๆ
ซึ่งระหว่าง นั้นผมก็ก็ยังคงคิดเสมอ ถึงทั้งหุ้นที่ถืออยู่ และหุ้น บ.1
แล้วจู่ๆ ผมก็ตัดสินใจ ขายหุ้นอัญมณี
อ่าว แผนการที่ผมตั้งใจไว้ กำลังถูกเปลี่ยนแปลงซะแล้วเหรอเนี่ย
อืม แต่ก่อนเราเคยคิดที่จะทำให้ชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยนี่นา คือ ถือ 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ก็เลยลองนั่ง ไล่ข้อมูล โดยอิงจาก market cap ด้วยในส่วนหนึ่ง
เพราะเงินทุนผมนั้นมีไม่มาก ถ้าหวังจะมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ คงทำได้กับบริษัทที่มี market cap ไม่ใหญ่นักเท่านั้น
จนมาเจอบริษัทนึงที่เข้าตามากๆ อยู่ในหมวด กลุ่มการเงิน ซึ่งผมขอเรียกว่า บ.1
(ผมอาจจะไม่ขอบอกรายละเอียดเชิง ชี้ไปว่าเป็นหุ้นชื่ออะไร เพราะ เป็นหุ้นที่ผมยังคงถืออยู่ และไม่ต้องการให้เป็นการชี้นำใดๆทั้งสิ้น)
ผมก็นั่งดู 56-1 ต่อ ดูไปคิดไป อืม บ.1 นี้ มีเงินสดเยอะจริงๆ เงินที่ลงทุนมีสภาพคล่องคล้ายเงินสดก็เยอะ หนี้สิน ที่เป็นการกู้ ก็ไม่ค่อยมี มีก็แต่เพียงหนี้สินจาก การดำเนินกิจการ
และผมก็ได้เข้าซื้อ หุ้น บ.1 ด้วยเงินที่เหลือเพียงเล็กน้อย ไม่กี่ร้อยหุ้น แต่เอ ทำไมผมถือแล้วสบายใจจัง
จนผ่านมาได้สัก 2 เดือน กว่า ๆ
ซึ่งระหว่าง นั้นผมก็ก็ยังคงคิดเสมอ ถึงทั้งหุ้นที่ถืออยู่ และหุ้น บ.1
แล้วจู่ๆ ผมก็ตัดสินใจ ขายหุ้นอัญมณี
อ่าว แผนการที่ผมตั้งใจไว้ กำลังถูกเปลี่ยนแปลงซะแล้วเหรอเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 12
ใช่ครับ แผนการของผมถูกปรับเปลี่ยนอีกแล้ว
เพราะคำว่าการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยการถือหุ้นถึง 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
อาจจะเป็นเรื่องที่ผมคิดไปเองว่า ถ้าผมมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิด internet หน้าผู้ถือหุ้นใหญ่ใน set.or.th ได้
นั่นจะดูคล้าย ผมเริ่มจะมีตัวตนในการเป็นเจ้าของหุ้นส่วนหนึ่งในกิจการนั้นๆ
และผมกำลังต้องการ มีตัวตน ในกิจการที่ผมต้องการมีส่วนเป็นเจ้าของ
แปลว่า องค์ประกอบที่เพิ่มเติมขึ้นมาในใจของผม คือ การเป็นเจ้าของกิจการ
การซื้อหุ้น เพื่อขาย ก็อาจจะใช้เวลาไม่ยาวนานนัก
การซื้อหุ้น แล้วถือ เพื่อรอปันผล ก็ต้องใช้เวลา เป็นปี กว่าจะได้ปันผลแต่ละคราว (ในกรณีปันผลปีละครั้ง)
การซื้อหุ้น แล้วถือ เพื่อรอปันผล และ การเป็นเจ้าของกิจการส่วนหนึ่ง นั้นกลับต้องมองกิจการนั้น แบบยาวนานกว่านั้นอีก
และด้วย บ.1 นั้น มีขนาด market cap ที่ไม่ใหญ่นัก ทำให้ ขนาดบริษัท มีขนาดไม่ใหญ่นักเช่นกัน
และด้วยการที่เป็นบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่นักนี้เอง ทำให้มองเห็นองค์ประกอบที่ประกอบขึ้นมาเป็นบริษัทนี้ได้อย่างไม่ยากนัก โดยดูจากงบทางบัญชี
บริษัทนี้ ในปีที่ผมสนใจ มี P/BV ประมาณ 0.5 P/E ประมาณ 13.5 ซึ่งก็ดูไม่ต่ำนัก DIV 6.67% และ market cap ไม่กี่ร้อยล้านบาท(หลักต้นๆ) กำไรไม่กี่สิบล้านบาท(หลักต้นๆ)
บริษัทนี้ไม่ได้มีรูปแบบธุรกิจที่โดดเด่น
แต่ที่บอกล่ะครับ บริษัทนี้ อุดมไปด้วยเงินสด มีเงินสด ไม่กี่ร้อยล้านบาท(หลักต้นๆ) มีเงินลงทุนสภาพคล้ายเงินสด ไม่กี่ร้อยล้านบาท(หลักต้นๆ) มีทรัพย์สิน เป็นอสังหาที่ตัดค่าเสื่อมไปมากแล้วอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้สินจากการดำเนินงานไม่ถึง 2 ร้อยล้านบาท
และเรื่องที่ไม่ถึงเป้าที่ตั้งใจไว้คืออัตราเงินปันผล ที่อยู่ 6.67% แต่เมื่อกลับมาคิดดูจริงๆ ซึ่งพอจะมีความรู้เรื่องเครดิตภาษีบ้างแล้ว บริษัทนี้ขณะนั้นได้สิทธิ์ทางภาษี จ่าย 25 % เป็นเวลา 5ปี ทำให้ได้เครดิตภาษี 25 %
ดังนั้น 6.67/0.75 = 8.89% แล้วต้องไปเสียภาษีบุคคลธรรม ที่ฐาน 10% ก็ 8.89%-ภาษี 10% 0.889 = 8.001%
ดังนั้น ถ้าผมลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลแท้จริง 8.001 %
และด้วยประวัติการจ่ายปันผล ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับกำไร อย่างต่อเนื่อง
ทำให้ผม ขายหุ้นอัญมณีไปพลาง ซื้อหุ้น บ.1 ไปพลาง
แต่ บ.1 ก็มี สภาพคล่องน้อย เพราะความที่เป็นบริษัทที่มี market cap ไม่มากนัก
เพราะคำว่าการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยการถือหุ้นถึง 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
อาจจะเป็นเรื่องที่ผมคิดไปเองว่า ถ้าผมมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิด internet หน้าผู้ถือหุ้นใหญ่ใน set.or.th ได้
นั่นจะดูคล้าย ผมเริ่มจะมีตัวตนในการเป็นเจ้าของหุ้นส่วนหนึ่งในกิจการนั้นๆ
และผมกำลังต้องการ มีตัวตน ในกิจการที่ผมต้องการมีส่วนเป็นเจ้าของ
แปลว่า องค์ประกอบที่เพิ่มเติมขึ้นมาในใจของผม คือ การเป็นเจ้าของกิจการ
การซื้อหุ้น เพื่อขาย ก็อาจจะใช้เวลาไม่ยาวนานนัก
การซื้อหุ้น แล้วถือ เพื่อรอปันผล ก็ต้องใช้เวลา เป็นปี กว่าจะได้ปันผลแต่ละคราว (ในกรณีปันผลปีละครั้ง)
การซื้อหุ้น แล้วถือ เพื่อรอปันผล และ การเป็นเจ้าของกิจการส่วนหนึ่ง นั้นกลับต้องมองกิจการนั้น แบบยาวนานกว่านั้นอีก
และด้วย บ.1 นั้น มีขนาด market cap ที่ไม่ใหญ่นัก ทำให้ ขนาดบริษัท มีขนาดไม่ใหญ่นักเช่นกัน
และด้วยการที่เป็นบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่นักนี้เอง ทำให้มองเห็นองค์ประกอบที่ประกอบขึ้นมาเป็นบริษัทนี้ได้อย่างไม่ยากนัก โดยดูจากงบทางบัญชี
บริษัทนี้ ในปีที่ผมสนใจ มี P/BV ประมาณ 0.5 P/E ประมาณ 13.5 ซึ่งก็ดูไม่ต่ำนัก DIV 6.67% และ market cap ไม่กี่ร้อยล้านบาท(หลักต้นๆ) กำไรไม่กี่สิบล้านบาท(หลักต้นๆ)
บริษัทนี้ไม่ได้มีรูปแบบธุรกิจที่โดดเด่น
แต่ที่บอกล่ะครับ บริษัทนี้ อุดมไปด้วยเงินสด มีเงินสด ไม่กี่ร้อยล้านบาท(หลักต้นๆ) มีเงินลงทุนสภาพคล้ายเงินสด ไม่กี่ร้อยล้านบาท(หลักต้นๆ) มีทรัพย์สิน เป็นอสังหาที่ตัดค่าเสื่อมไปมากแล้วอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้สินจากการดำเนินงานไม่ถึง 2 ร้อยล้านบาท
และเรื่องที่ไม่ถึงเป้าที่ตั้งใจไว้คืออัตราเงินปันผล ที่อยู่ 6.67% แต่เมื่อกลับมาคิดดูจริงๆ ซึ่งพอจะมีความรู้เรื่องเครดิตภาษีบ้างแล้ว บริษัทนี้ขณะนั้นได้สิทธิ์ทางภาษี จ่าย 25 % เป็นเวลา 5ปี ทำให้ได้เครดิตภาษี 25 %
ดังนั้น 6.67/0.75 = 8.89% แล้วต้องไปเสียภาษีบุคคลธรรม ที่ฐาน 10% ก็ 8.89%-ภาษี 10% 0.889 = 8.001%
ดังนั้น ถ้าผมลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลแท้จริง 8.001 %
และด้วยประวัติการจ่ายปันผล ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับกำไร อย่างต่อเนื่อง
ทำให้ผม ขายหุ้นอัญมณีไปพลาง ซื้อหุ้น บ.1 ไปพลาง
แต่ บ.1 ก็มี สภาพคล่องน้อย เพราะความที่เป็นบริษัทที่มี market cap ไม่มากนัก
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 13
การขายหุ้นอัญมณี โดยรวมแล้ว หักค่าคอมแล้ว ผมยังคงมีกำไรเพียงเล็กน้อย
ส่วน หุ้น บ.1 ผมยังคงต้องพยายามเข้าซื้อต่อไป
ด้วยความเป็นหุ้นมีสภาพคล่องน้อยอยู่แล้ว พอมีคนมาตั้ง offer รอบแรกที่เข้าซื้อ ผมก็เคาะซื้อหมดเลยทั้ง 3 step ราคา
ก็นึกว่าจะหมด ก็นั่งดูจอไปเรื่อยๆ
สักพักหนึ่ง หุ้น บ. 1 นี้ มีคนคอยตั้ง offer เพิ่ม ผมเลยคิด อาจจะไม่ต้องรีบร้อนมากนักแล้วเพราะมีคนคอยขายอยู่
ทำให้ผมก็ค่อยๆซื้อไป หลายวันอยู่ ถึงจะได้ครบตามที่ต้องการ
แล้วพอตอนหลังได้อ่านข้อมูลเพิ่ม ถึงได้รู้ว่า ตอนนั้น มีรายใหญ่รายหนึ่งกำลังขายหุ้นตัวนี้อยู่
ซึ่งได้ข่าวว่ารายใหญ่รายนี้ต้องการขายหุ้นที่ไม่ใช่หุ้นหลักออกไป อาจจะเป็นเพื่อปรับโครงสร้างการทำงานของกิจการ
คงเป็นด้วยความบังเอิญ ที่มีคนมาขาย เพราะดูลักษณะหุ้นตัวนี้แล้ว ถ้าไม่มีคนขาย การจะเก็บหุ้นให้ได้ตามที่ผมต้องการคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
หลังจากที่ซื้อเสร็จ ผมยังคงมานั่งคิดเสมอว่า ผมทำสิ่งที่ถูกอยู่รึเปล่า
การที่ผมเอาเงินลงในตัวนี้เพียงตัวเดียว เหมือนที่ผมเคยๆทำมา แต่คราวนี้จะถือยาวนาน มันถูกรึเปล่านะ ผมหาคำตอบไม่ได้จริงๆ
แล้วผมก็นั่งดู พวกข้อมูลทางการเงินของบริษัท ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แล้วคอยถามตัวเองว่ามีอะไรที่ผมมองผิดหรือพลาดรึเปล่า
ซึ่งก็ที่บอก บริษัทขนาดไม่ใหญ่นัก แถมสินทรัพย์หลักอยู่ในเงินสด และเงินลงทุนคล้ายเงินสด จึงดูไม่ยากนัก
จากประสบการณ์ การดูบริษัทในตลาดหุ้น บางบริษัทจะตกแต่งจนนักลงทุนถูกลวงได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีขนาดใหญ่นิดนึง และโครงสร้างซับซ้อน
ผมก็นั่งไล่ทีละอันจากสินทรัพย์ที่มากที่สุด
เงินสด ก็ต้องมีส่วนที่เป็นตัวเลขอยู่ในธนาคาร ผมก็เดาว่าคงไม่ลวง และเงินสดจะหมดค่าก็ต่อเมื่อคนเลิกใช้เงิน
เงินลงทุน ลงทุนในอะไรต่างๆ พันธบัตร หรือแม้แต่หุ้น น่าจะมีหลักฐานการถือครองจริง ผมก็เดาว่าคงไม่ลวง แต่ก็อาจจะมีความเสี่ยงด้านการเพิ่มขึ้นลดลง ของมูลค่าตลาดบ้าง
อสังหา ที่ดิน อาคาร สาขา เห็นๆกันอยู่คงไม่ลวง จะมีบ้างก็ตรงที่มูลค่า ของสินทรัพย์นั้น สูงเกินจริงรึเปล่า
ซึ่งสินทรัพย์ และหนี้สิน อันอื่นๆเกิดจาก การดำเนินงาน และดูตัวเลข เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมด ดูว่าพอสมควร
และเมื่อมองรูปแบบบัญชี จนเข้าใจ เกือบจะทั้งหมดได้ (ถ้าให้ผมไปดูบริษัทใหญ่ๆ หลายครั้งผมก็แยกแยะไม่ได้ชัดเจน)
รูปแบบธุรกิจ ที่ทำอย่างระมัดระวัง
เมื่อเข้าใจได้มาก ก็ยิ่งสบายใจ
แม้ผมจะเคยอ่านคำพูดของคุณวอร์เรน ว่าในตลาดหุ้น บางทีก็มีโอกาส ให้เราซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่า 1 ดอลลาร์ ด้วยเงิน 50 เซนต์
แต่การซื้อหุ้น บ.1 ของผมคราวนี้ ผมซื้อ เงิน 1 บาท ด้วยเงิน ประมาณ 50 สตางค์
ถ้าคิดว่าเป็นอย่างนี้แล้ว ผมยังต้องกลัวอีกเหรอ (แต่ตัวผมค่อนข้างขี้กลัว และขี้ระแวง ยิ่งการลงทุนมากขนาดนี้ด้วยแล้ว)
ส่วน หุ้น บ.1 ผมยังคงต้องพยายามเข้าซื้อต่อไป
ด้วยความเป็นหุ้นมีสภาพคล่องน้อยอยู่แล้ว พอมีคนมาตั้ง offer รอบแรกที่เข้าซื้อ ผมก็เคาะซื้อหมดเลยทั้ง 3 step ราคา
ก็นึกว่าจะหมด ก็นั่งดูจอไปเรื่อยๆ
สักพักหนึ่ง หุ้น บ. 1 นี้ มีคนคอยตั้ง offer เพิ่ม ผมเลยคิด อาจจะไม่ต้องรีบร้อนมากนักแล้วเพราะมีคนคอยขายอยู่
ทำให้ผมก็ค่อยๆซื้อไป หลายวันอยู่ ถึงจะได้ครบตามที่ต้องการ
แล้วพอตอนหลังได้อ่านข้อมูลเพิ่ม ถึงได้รู้ว่า ตอนนั้น มีรายใหญ่รายหนึ่งกำลังขายหุ้นตัวนี้อยู่
ซึ่งได้ข่าวว่ารายใหญ่รายนี้ต้องการขายหุ้นที่ไม่ใช่หุ้นหลักออกไป อาจจะเป็นเพื่อปรับโครงสร้างการทำงานของกิจการ
คงเป็นด้วยความบังเอิญ ที่มีคนมาขาย เพราะดูลักษณะหุ้นตัวนี้แล้ว ถ้าไม่มีคนขาย การจะเก็บหุ้นให้ได้ตามที่ผมต้องการคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
หลังจากที่ซื้อเสร็จ ผมยังคงมานั่งคิดเสมอว่า ผมทำสิ่งที่ถูกอยู่รึเปล่า
การที่ผมเอาเงินลงในตัวนี้เพียงตัวเดียว เหมือนที่ผมเคยๆทำมา แต่คราวนี้จะถือยาวนาน มันถูกรึเปล่านะ ผมหาคำตอบไม่ได้จริงๆ
แล้วผมก็นั่งดู พวกข้อมูลทางการเงินของบริษัท ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แล้วคอยถามตัวเองว่ามีอะไรที่ผมมองผิดหรือพลาดรึเปล่า
ซึ่งก็ที่บอก บริษัทขนาดไม่ใหญ่นัก แถมสินทรัพย์หลักอยู่ในเงินสด และเงินลงทุนคล้ายเงินสด จึงดูไม่ยากนัก
จากประสบการณ์ การดูบริษัทในตลาดหุ้น บางบริษัทจะตกแต่งจนนักลงทุนถูกลวงได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีขนาดใหญ่นิดนึง และโครงสร้างซับซ้อน
ผมก็นั่งไล่ทีละอันจากสินทรัพย์ที่มากที่สุด
เงินสด ก็ต้องมีส่วนที่เป็นตัวเลขอยู่ในธนาคาร ผมก็เดาว่าคงไม่ลวง และเงินสดจะหมดค่าก็ต่อเมื่อคนเลิกใช้เงิน
เงินลงทุน ลงทุนในอะไรต่างๆ พันธบัตร หรือแม้แต่หุ้น น่าจะมีหลักฐานการถือครองจริง ผมก็เดาว่าคงไม่ลวง แต่ก็อาจจะมีความเสี่ยงด้านการเพิ่มขึ้นลดลง ของมูลค่าตลาดบ้าง
อสังหา ที่ดิน อาคาร สาขา เห็นๆกันอยู่คงไม่ลวง จะมีบ้างก็ตรงที่มูลค่า ของสินทรัพย์นั้น สูงเกินจริงรึเปล่า
ซึ่งสินทรัพย์ และหนี้สิน อันอื่นๆเกิดจาก การดำเนินงาน และดูตัวเลข เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมด ดูว่าพอสมควร
และเมื่อมองรูปแบบบัญชี จนเข้าใจ เกือบจะทั้งหมดได้ (ถ้าให้ผมไปดูบริษัทใหญ่ๆ หลายครั้งผมก็แยกแยะไม่ได้ชัดเจน)
รูปแบบธุรกิจ ที่ทำอย่างระมัดระวัง
เมื่อเข้าใจได้มาก ก็ยิ่งสบายใจ
แม้ผมจะเคยอ่านคำพูดของคุณวอร์เรน ว่าในตลาดหุ้น บางทีก็มีโอกาส ให้เราซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่า 1 ดอลลาร์ ด้วยเงิน 50 เซนต์
แต่การซื้อหุ้น บ.1 ของผมคราวนี้ ผมซื้อ เงิน 1 บาท ด้วยเงิน ประมาณ 50 สตางค์
ถ้าคิดว่าเป็นอย่างนี้แล้ว ผมยังต้องกลัวอีกเหรอ (แต่ตัวผมค่อนข้างขี้กลัว และขี้ระแวง ยิ่งการลงทุนมากขนาดนี้ด้วยแล้ว)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 14
ผมมีหุ้น บ. 1 เกิน 0.5% ตามที่ผมต้องการแล้วครับ แต่ยังไม่สามารถเห็นชื่อที่จะดูได้จาก internet ได้ เพราะต้องรอการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นในรอบหน้า
แต่ผมยังคอยคิดเปรียบ การเข้าซื้อ ใน บ. 1 อยู่
ผมซื้อ เงิน 1 บาท ด้วยเงินประมาณ 50 สตางค์
เมื่อผมคิดว่าผม ลงทุนซื้อเงินอย่างอ้อม ผมจึงเปรียบกับการฝากเงิน
ถ้าผมนำเงิน ไปฝากธนาคาร ตอนนั้นดอกเบี้ยราวๆ 1-2% แต่ถ้าเราลงทุนบริษัทนี้เปรียบว่าเรามีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกเท่านึง
ถ้าเราฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยสัก 2% แต่เราลงทุนบริษัทนี้ ถ้าบริษัทนี้ฝากได้ ดอกเบี้ย 1% แต่มูลค่าเป็น 2เท่า
ผลตอบแทนก็เท่ากันอยู่ดี แถมยังมีตัวธุรกิจอีก
ยิ่งคิด ผมยิ่งสบายใจ ผมถือหุ้นตัวนี้ด้วยความสบายใจจริงๆนะครับ แม้หุ้นจะไม่มีสภาพคล่องเอาซะเลย
ก่อนหน้านี้ซึ่งผมทำกำไรได้จากหุ้น 1 ล้านบาท
ผมเริ่มเข้าไปกิน ที่ร้าน กาแฟ ชื่อดังสุด อยู่ตรง ซอย สุขุมวิท 24
ผมไปกินแทบทุกวันเลยครับ กับเพื่อนของผมคนหนึ่ง
ผมชอบ ชาเขียว ปั่นมากๆๆๆๆๆ ของร้านนี้นะ กินแบบไม่รู้จักเบื่อ
ทุกๆครั้ง ที่ผมไปกินส่วนใหญ่ ผมจะนั่งที่ชั้น 2
จนมาวันนึง หลังจากที่ผมซื้อ หุ้น บ.1 ได้สักพัก
ผมสบายใจ และมองออกไปที่หน้าต่าง ซึ่งตึกที่อยู่ตรงข้าม บริเวณชั้นสองก็จะมีปลูกต้นไม้ มีดอกชนิดหนึ่ง
เป็นต้นไม้ ที่มีดอก เห็นได้ทั่วไป ผมไม่รู้ว่าผมไม่รู้ชื่อ หรือ นึกชื่อไม่ออกกันแน่ 55
ผมมองออกไป ในบรรยากาศที่มีลดพัด ฝนใกล้จะตก ช่วงเย็น ต้นไม้ที่มีดอก ถูกลมพัด และลู่ไปตามลม
ผมรู้สึกว่ามันสวย สวยจริงๆ และก็ไม่เข้าใจในตัวเอง ว่าทำไมวันนี้ถึงมานั่งรู้สึกว่ามันสวย
ทั้งๆที่ผมมานั่งตรงนี้ เป็นระยะเวลา กว่า 6 เดือน แทบทุกวัน
ที่ๆเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่มันสวยขึ้นได้ยังไง
ผมว่า คำตอบคงอยู่ที่ใจผมเอง
ตอนนั้น เป็นเวลาที่ใจผมไม่ได้มุ่งมั่นในสิ่งใดอย่างไม่ลืมหูลืมตา เวลานั้นผมสบายใจ และสนใจสิ่งรอบข้างรอบๆตัวผม
ผมถึงได้เห็น และสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผม และ ชัดเจนสำหรับผมว่าสิ่งใกล้ตัวผมนั้น สวยงามจริงๆ
(555 ชาเขียวปั่น ผมชอบมากๆๆๆๆๆ ตอนที่แก้วใหญ่ราคา 120 บาท แต่พอมันขึ้นเป็น 135 บาท ผมก็ชอบมากๆๆ แล้วมันก็ยังขึ้นราคาอีก เป็น 150 บาท แล้วก็มา 170 บาท ผมก็เลย ชอบแต่ไม่ได้กินบ่อยนัก แบบไปสน ชาเขียว มูราเต้ เจ้าอื่นแทน รสชาตด้อยกว่านิดนึงแต่อร่อยพอกัน 555)
แต่ผมยังคอยคิดเปรียบ การเข้าซื้อ ใน บ. 1 อยู่
ผมซื้อ เงิน 1 บาท ด้วยเงินประมาณ 50 สตางค์
เมื่อผมคิดว่าผม ลงทุนซื้อเงินอย่างอ้อม ผมจึงเปรียบกับการฝากเงิน
ถ้าผมนำเงิน ไปฝากธนาคาร ตอนนั้นดอกเบี้ยราวๆ 1-2% แต่ถ้าเราลงทุนบริษัทนี้เปรียบว่าเรามีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกเท่านึง
ถ้าเราฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยสัก 2% แต่เราลงทุนบริษัทนี้ ถ้าบริษัทนี้ฝากได้ ดอกเบี้ย 1% แต่มูลค่าเป็น 2เท่า
ผลตอบแทนก็เท่ากันอยู่ดี แถมยังมีตัวธุรกิจอีก
ยิ่งคิด ผมยิ่งสบายใจ ผมถือหุ้นตัวนี้ด้วยความสบายใจจริงๆนะครับ แม้หุ้นจะไม่มีสภาพคล่องเอาซะเลย
ก่อนหน้านี้ซึ่งผมทำกำไรได้จากหุ้น 1 ล้านบาท
ผมเริ่มเข้าไปกิน ที่ร้าน กาแฟ ชื่อดังสุด อยู่ตรง ซอย สุขุมวิท 24
ผมไปกินแทบทุกวันเลยครับ กับเพื่อนของผมคนหนึ่ง
ผมชอบ ชาเขียว ปั่นมากๆๆๆๆๆ ของร้านนี้นะ กินแบบไม่รู้จักเบื่อ
ทุกๆครั้ง ที่ผมไปกินส่วนใหญ่ ผมจะนั่งที่ชั้น 2
จนมาวันนึง หลังจากที่ผมซื้อ หุ้น บ.1 ได้สักพัก
ผมสบายใจ และมองออกไปที่หน้าต่าง ซึ่งตึกที่อยู่ตรงข้าม บริเวณชั้นสองก็จะมีปลูกต้นไม้ มีดอกชนิดหนึ่ง
เป็นต้นไม้ ที่มีดอก เห็นได้ทั่วไป ผมไม่รู้ว่าผมไม่รู้ชื่อ หรือ นึกชื่อไม่ออกกันแน่ 55
ผมมองออกไป ในบรรยากาศที่มีลดพัด ฝนใกล้จะตก ช่วงเย็น ต้นไม้ที่มีดอก ถูกลมพัด และลู่ไปตามลม
ผมรู้สึกว่ามันสวย สวยจริงๆ และก็ไม่เข้าใจในตัวเอง ว่าทำไมวันนี้ถึงมานั่งรู้สึกว่ามันสวย
ทั้งๆที่ผมมานั่งตรงนี้ เป็นระยะเวลา กว่า 6 เดือน แทบทุกวัน
ที่ๆเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่มันสวยขึ้นได้ยังไง
ผมว่า คำตอบคงอยู่ที่ใจผมเอง
ตอนนั้น เป็นเวลาที่ใจผมไม่ได้มุ่งมั่นในสิ่งใดอย่างไม่ลืมหูลืมตา เวลานั้นผมสบายใจ และสนใจสิ่งรอบข้างรอบๆตัวผม
ผมถึงได้เห็น และสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผม และ ชัดเจนสำหรับผมว่าสิ่งใกล้ตัวผมนั้น สวยงามจริงๆ
(555 ชาเขียวปั่น ผมชอบมากๆๆๆๆๆ ตอนที่แก้วใหญ่ราคา 120 บาท แต่พอมันขึ้นเป็น 135 บาท ผมก็ชอบมากๆๆ แล้วมันก็ยังขึ้นราคาอีก เป็น 150 บาท แล้วก็มา 170 บาท ผมก็เลย ชอบแต่ไม่ได้กินบ่อยนัก แบบไปสน ชาเขียว มูราเต้ เจ้าอื่นแทน รสชาตด้อยกว่านิดนึงแต่อร่อยพอกัน 555)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 15
หลังจากนั้น ผมก็มีซื้อเพิ่มอีกเล็กน้อย
ก็ผมดูแล้วเหมือนว่า เข้าใจได้ทุกบรรทัดในงบการเงิน และสินทรัพย์ที่บริษัท บ. 1มี ราคาก็ยังไม่ไปไหน ผมก็เลยซื้อเพิ่มบ้าง
แล้วเวลาก็ค่อยๆ หมุนผ่านไป มาถึง ปี 2005
จนมาถึงวันนึง วันที่ผมรอคอย ไม่ใช่วันนึงสิ สองวันที่ผมรอคอย
วันแรก คือ วันประชุมผู้ถือหุ้น วันที่สอง คือ วันที่ชื่อผมจะติดหน้าผู้ถือหุ้นใหญ่
ก่อนหน้านี้ ตลอดการเล่นหุ้นของผม ผมเคยไปประชุมผู้ถือหุ้น 1 ครั้ง ซึ่งก็คือในรอบปีนี้เช่นกัน
ผมได้มีโอกาส มาประชุม เพราะ คุณอาของผมชวน ผมจึงได้มา ซึ่งผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าเป็นยังไง
ก่อนที่จะต้องไปประชุมผู้ถือหุ้น ของ บ.1
บริษัทนี้เป็นพวก modern trade อุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับ บ้าน ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็สนใจบริษัทนี้เช่นกัน และเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในขณะนั้น เพื่อจะถือยาว และการได้เป็นเจ้าของกิจการส่วนหนึ่ง แต่ด้วย ปันผล ในอัตราที่ไม่สูงนัก และ market cap ขนาดค่อนข้างใหญ่ ผมจึงยังไม่ตัดสินใจเข้าตัวนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายไม่ใช่น้อย เพราะราคาวันนี้ ขึ้นมากว่า 1 เท่าตัวเลยทีเดียว แล้วถ้าผมต้องการเอาเงินไปซื้อตัวอื่น ผมต้องขายหุ้น ในมูลค่าส่วนที่กำไร ทำให้ มีจำนวนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของลดลง แต่ตั้งแต่ผมคิดที่จะลงทุนลักษณะนี้ ผมไม่ค่อยอยากขายหุ้นเท่าไหร่นัก
การประชุมคราวนี้ ผมก็เหมือนเข้าไปนั่งฟังเฉยๆ ดูความเป็นมาเป็นไปในการประชุม
แต่ด้วยความบังเอิญอีกนั่นแหละ การประชุมคราวนี้ มีอาจารย์ ด้านการลงทุนชื่อดังคนหนึ่ง มาเข้าร่วมประชุมด้วย
เจ๋งว่ะ อาจารย์คนนี้มาประชุมด้วย (คิดในใจ)
ก็นั่งฟังไปเรื่อย
จนมาถึงช่วงนึง เค้ามีให้ผู้ถือหุ้น ถาม และพูด ด้วย
ก็มีผู้ถือหุ้น คนนู้นคนนี้ถามบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่ผมสนใจคือการถามของอาจารย์คนนี้มากกว่า
ผมเป็นคนที่ชอบอยากรู้ว่า เค้าคิดยังไง ถึงได้ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จได้ เพราะผมก็คนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จ
อาจารย์ คนนี้ถามไม่มากเท่าไหร่ แต่ดูน่าฟัง และ ผู้บริหารตอบได้ยาว
ถามว่าธุรกิจเป็นยัง ต้องเพิ่มทุนมั้ย ไม่อยากให้เพิ่มทุนเลย กองทุนอสังหาเคยสนใจใช้วิธีนี้มั้ย และ ผลดำเนินการปีนี้จะมีแนวโน้มอย่างไร
เป็นแค่คำถามง่ายๆธรรมดาๆ แต่ผมว่าทุกคนอยากรู้คำตอบ
ก็ผมดูแล้วเหมือนว่า เข้าใจได้ทุกบรรทัดในงบการเงิน และสินทรัพย์ที่บริษัท บ. 1มี ราคาก็ยังไม่ไปไหน ผมก็เลยซื้อเพิ่มบ้าง
แล้วเวลาก็ค่อยๆ หมุนผ่านไป มาถึง ปี 2005
จนมาถึงวันนึง วันที่ผมรอคอย ไม่ใช่วันนึงสิ สองวันที่ผมรอคอย
วันแรก คือ วันประชุมผู้ถือหุ้น วันที่สอง คือ วันที่ชื่อผมจะติดหน้าผู้ถือหุ้นใหญ่
ก่อนหน้านี้ ตลอดการเล่นหุ้นของผม ผมเคยไปประชุมผู้ถือหุ้น 1 ครั้ง ซึ่งก็คือในรอบปีนี้เช่นกัน
ผมได้มีโอกาส มาประชุม เพราะ คุณอาของผมชวน ผมจึงได้มา ซึ่งผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าเป็นยังไง
ก่อนที่จะต้องไปประชุมผู้ถือหุ้น ของ บ.1
บริษัทนี้เป็นพวก modern trade อุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับ บ้าน ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็สนใจบริษัทนี้เช่นกัน และเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในขณะนั้น เพื่อจะถือยาว และการได้เป็นเจ้าของกิจการส่วนหนึ่ง แต่ด้วย ปันผล ในอัตราที่ไม่สูงนัก และ market cap ขนาดค่อนข้างใหญ่ ผมจึงยังไม่ตัดสินใจเข้าตัวนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายไม่ใช่น้อย เพราะราคาวันนี้ ขึ้นมากว่า 1 เท่าตัวเลยทีเดียว แล้วถ้าผมต้องการเอาเงินไปซื้อตัวอื่น ผมต้องขายหุ้น ในมูลค่าส่วนที่กำไร ทำให้ มีจำนวนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของลดลง แต่ตั้งแต่ผมคิดที่จะลงทุนลักษณะนี้ ผมไม่ค่อยอยากขายหุ้นเท่าไหร่นัก
การประชุมคราวนี้ ผมก็เหมือนเข้าไปนั่งฟังเฉยๆ ดูความเป็นมาเป็นไปในการประชุม
แต่ด้วยความบังเอิญอีกนั่นแหละ การประชุมคราวนี้ มีอาจารย์ ด้านการลงทุนชื่อดังคนหนึ่ง มาเข้าร่วมประชุมด้วย
เจ๋งว่ะ อาจารย์คนนี้มาประชุมด้วย (คิดในใจ)
ก็นั่งฟังไปเรื่อย
จนมาถึงช่วงนึง เค้ามีให้ผู้ถือหุ้น ถาม และพูด ด้วย
ก็มีผู้ถือหุ้น คนนู้นคนนี้ถามบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่ผมสนใจคือการถามของอาจารย์คนนี้มากกว่า
ผมเป็นคนที่ชอบอยากรู้ว่า เค้าคิดยังไง ถึงได้ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จได้ เพราะผมก็คนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จ
อาจารย์ คนนี้ถามไม่มากเท่าไหร่ แต่ดูน่าฟัง และ ผู้บริหารตอบได้ยาว
ถามว่าธุรกิจเป็นยัง ต้องเพิ่มทุนมั้ย ไม่อยากให้เพิ่มทุนเลย กองทุนอสังหาเคยสนใจใช้วิธีนี้มั้ย และ ผลดำเนินการปีนี้จะมีแนวโน้มอย่างไร
เป็นแค่คำถามง่ายๆธรรมดาๆ แต่ผมว่าทุกคนอยากรู้คำตอบ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 17
ต่อมาก็มาถึงคิวของผมแล้วสิครับ
การประชุมผู้ถือหุ้นของ บ. 1
ก่อนที่จะไปประชุม ช่วงหนึ่ง ก็นั่งคิด ภาวนา 555
ผมไม่เคยเจอผู้บริหาร บ.1 มาก่อนเลยนี่ครับ ผมไม่รู้ว่าเค้าจะดี หรือไม่ดีอย่างไร
แล้วก็มีคำถามในใจของผม ว่า ถ้าไปประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ผู้บริหารไม่ดี จะทำยังไง
จะขายหุ้นมั้ย สภาพคล่องก็แทบจะไม่มี ขายก็คงจะยากมาก ก็เกิดความกลัวขึ้นบ้าง
แต่ก็ยังคิดคำตอบใดๆไม่ได้
แต่ด้วยการดูงบการเงิน ลักษณะการดำเนินธุรกิจ ผมเลยเดาไปว่า คงไม่น่ามีอะไรไม่ดีน่ะ
ด้วยการที่ผมลงทุนในหุ้นตัวนี้ ด้วยเงินทั้งหมด ของผมเองแล้ว ทำให้มันบังคับตัวผมเองว่าต้องกล้า
กล้าที่จะถามสิ่งที่ ผมอยากจะรู้เพิ่ม ผมเลยเตรียมคำถามไว้ได้อย่างมากมาย
และคาดไว้ว่า ผมคงต้องเป็นคนถามเองทั้งหมดแน่ๆ เพราะการที่เป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่นัก
ผู้เข้าร่วมประชุมก็ไม่น่าจะมีมากนัก จะหวังให้มีคนอื่นมาช่วยถามคงยาก ผมต้องกล้า
การประชุมผู้ถือหุ้นของ บ. 1
ก่อนที่จะไปประชุม ช่วงหนึ่ง ก็นั่งคิด ภาวนา 555
ผมไม่เคยเจอผู้บริหาร บ.1 มาก่อนเลยนี่ครับ ผมไม่รู้ว่าเค้าจะดี หรือไม่ดีอย่างไร
แล้วก็มีคำถามในใจของผม ว่า ถ้าไปประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ผู้บริหารไม่ดี จะทำยังไง
จะขายหุ้นมั้ย สภาพคล่องก็แทบจะไม่มี ขายก็คงจะยากมาก ก็เกิดความกลัวขึ้นบ้าง
แต่ก็ยังคิดคำตอบใดๆไม่ได้
แต่ด้วยการดูงบการเงิน ลักษณะการดำเนินธุรกิจ ผมเลยเดาไปว่า คงไม่น่ามีอะไรไม่ดีน่ะ
ด้วยการที่ผมลงทุนในหุ้นตัวนี้ ด้วยเงินทั้งหมด ของผมเองแล้ว ทำให้มันบังคับตัวผมเองว่าต้องกล้า
กล้าที่จะถามสิ่งที่ ผมอยากจะรู้เพิ่ม ผมเลยเตรียมคำถามไว้ได้อย่างมากมาย
และคาดไว้ว่า ผมคงต้องเป็นคนถามเองทั้งหมดแน่ๆ เพราะการที่เป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่นัก
ผู้เข้าร่วมประชุมก็ไม่น่าจะมีมากนัก จะหวังให้มีคนอื่นมาช่วยถามคงยาก ผมต้องกล้า
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 18
เป็นการประชุมผู้ถือหุ้น ที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ แถว รัชดา
ผมไปถึงก่อนเวลาเพียงเล็กน้อย ไปเพียงคนเดียว ด้วยความรู้สึกว่า วันนี้สำคัญ
พอลงทะเบียนเสร็จ ก็เดินเข้าห้องประชุมไปวางของ
แล้วก็เดินไปเดินมา ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ดูนู้น ดูนี่ บ้างเล็กน้อย
เป็นห้องประชุม ที่ไม่ได้มีจำนวนที่นั่งมากนัก และดูว่ามีผู้ถือหุ้น มาประชุมก็ไม่มากนักเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาก็เดินเข้าไปนั่ง และ การประชุม ก็กำลังจะเริ่มขึ้น
ผมนั่ง อยู่โต๊ะ แถวที่สองจากด้านหน้า ช่วงกลาง แบบหน้าสามารถมองเห็น ประธาน การประชุมอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ โต๊ะ ข้างๆผม มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ดูอายุจะมากกว่าตัวผมไม่มากนัก
ผมก็มองไป แล้วเค้า ก็ถามผม ขึ้นมาว่า ทำไม ผมถึงซื้อหุ้นตัวนี้
ด้วยความ อะไรก็ไม่รู้
ผมหันหน้ากลับ แล้วสายตาก็มองที่ประชุมชั่วครู่ แล้วคิด แล้วหันไปตอบว่า
อ่าว แล้วคุณ ซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไรล่ะครับ
จะตอบ กลายเป็นไปถามย้อนซะงั้น
แล้ว เค้าก็ตอบ เพราะ ถูกมั้ง
ผมก็ยิ้ม แบบเห็นด้วย
แล้วต่อจากนั้น ผมก็กลับไปสนใจที่การประชุมต่อ
การประชุมก็ทั่วไป ดำเนินตามแต่ละวาระไปเรื่อย
ในใจผมก็ คิดตลอด ผมจะกล้าถามมั้ยเนี่ย กลัวนะเนี่ย
จนการประชุม ใกล้หมดวาระ
แล้วถึงเวลาที่ให้ผู้ถือหุ้นซักถาม
ตอนนั้น ผมก็ยังไม่กล้าถามจริงๆนะครับ
แต่สักพัก เริ่มมีคนยกมือถามสัก 2 คน เอาแล้วครับ ผมเริ่มกล้าขึ้นแล้วครับ
ถ้าผมไม่ทำสิ่งที่ผมต้องการ ใครจะมาทำให้ผมล่ะครับ(เอามาจากหนังสือ)
ผมจึงยกมือถาม และไล่ถามไปทุกๆอย่างหลายคำถามมากมาย ไม่หยุด ไม่จบ
ผมถามมากจนคิดว่า ถ้าผมเป็นคนถูกถามผมต้องรำคาญแน่ๆ
แต่ผมมองดูที่ผู้บริหาร ผมไม่รู้สึกถึงความรำคาญ รับรู้ได้ถึงความใจเย็น และพร้อมตอบทุกคำถาม
ผมประทับใจมากเลยครับ
แล้วตอนการประชุมเลิก ผมยังคงนั่งเฉยๆไปก่อน
แต่ก็ถึงวินาที่ที่ผมอึ้งไปเล็กน้อย
รู้มั้ยครับ ผู้ชายคนที่นั่งโต๊ะข้างๆผม แล้วถามผม แล้วผมย้อนถามกลับไปอย่างนั้น เป็นใคร
เค้าเป็นลูกชาย ของผู้บริหาร เจ้าของบริษัท ครับ
ผมทำอะไรลงไปเนี่ย
แต่หลังจากนั้น ผมก็ได้มีโอกาสคุยกับเค้าอีก ทุกอย่างก็ดูดี ครับผม
ผมไปถึงก่อนเวลาเพียงเล็กน้อย ไปเพียงคนเดียว ด้วยความรู้สึกว่า วันนี้สำคัญ
พอลงทะเบียนเสร็จ ก็เดินเข้าห้องประชุมไปวางของ
แล้วก็เดินไปเดินมา ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ดูนู้น ดูนี่ บ้างเล็กน้อย
เป็นห้องประชุม ที่ไม่ได้มีจำนวนที่นั่งมากนัก และดูว่ามีผู้ถือหุ้น มาประชุมก็ไม่มากนักเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาก็เดินเข้าไปนั่ง และ การประชุม ก็กำลังจะเริ่มขึ้น
ผมนั่ง อยู่โต๊ะ แถวที่สองจากด้านหน้า ช่วงกลาง แบบหน้าสามารถมองเห็น ประธาน การประชุมอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ โต๊ะ ข้างๆผม มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ดูอายุจะมากกว่าตัวผมไม่มากนัก
ผมก็มองไป แล้วเค้า ก็ถามผม ขึ้นมาว่า ทำไม ผมถึงซื้อหุ้นตัวนี้
ด้วยความ อะไรก็ไม่รู้
ผมหันหน้ากลับ แล้วสายตาก็มองที่ประชุมชั่วครู่ แล้วคิด แล้วหันไปตอบว่า
อ่าว แล้วคุณ ซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไรล่ะครับ
จะตอบ กลายเป็นไปถามย้อนซะงั้น
แล้ว เค้าก็ตอบ เพราะ ถูกมั้ง
ผมก็ยิ้ม แบบเห็นด้วย
แล้วต่อจากนั้น ผมก็กลับไปสนใจที่การประชุมต่อ
การประชุมก็ทั่วไป ดำเนินตามแต่ละวาระไปเรื่อย
ในใจผมก็ คิดตลอด ผมจะกล้าถามมั้ยเนี่ย กลัวนะเนี่ย
จนการประชุม ใกล้หมดวาระ
แล้วถึงเวลาที่ให้ผู้ถือหุ้นซักถาม
ตอนนั้น ผมก็ยังไม่กล้าถามจริงๆนะครับ
แต่สักพัก เริ่มมีคนยกมือถามสัก 2 คน เอาแล้วครับ ผมเริ่มกล้าขึ้นแล้วครับ
ถ้าผมไม่ทำสิ่งที่ผมต้องการ ใครจะมาทำให้ผมล่ะครับ(เอามาจากหนังสือ)
ผมจึงยกมือถาม และไล่ถามไปทุกๆอย่างหลายคำถามมากมาย ไม่หยุด ไม่จบ
ผมถามมากจนคิดว่า ถ้าผมเป็นคนถูกถามผมต้องรำคาญแน่ๆ
แต่ผมมองดูที่ผู้บริหาร ผมไม่รู้สึกถึงความรำคาญ รับรู้ได้ถึงความใจเย็น และพร้อมตอบทุกคำถาม
ผมประทับใจมากเลยครับ
แล้วตอนการประชุมเลิก ผมยังคงนั่งเฉยๆไปก่อน
แต่ก็ถึงวินาที่ที่ผมอึ้งไปเล็กน้อย
รู้มั้ยครับ ผู้ชายคนที่นั่งโต๊ะข้างๆผม แล้วถามผม แล้วผมย้อนถามกลับไปอย่างนั้น เป็นใคร
เค้าเป็นลูกชาย ของผู้บริหาร เจ้าของบริษัท ครับ
ผมทำอะไรลงไปเนี่ย
แต่หลังจากนั้น ผมก็ได้มีโอกาสคุยกับเค้าอีก ทุกอย่างก็ดูดี ครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 19
หลังจาก ประชุมเสร็จ ผมกลับสบายใจขึ้นอีก ความกลัวก็ลดลงไปเป็นอันมาก
ผมพร้อมที่จะซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มอีก ถ้าผมมีเงิน แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีเงิน
เลยนำสิ่งที่รู้ มาคิด
มันคล้ายๆ การ จับคู่ กันเลย
เหมือนเรา มอง สิ่งที่บริษัทเป็น สิ่งที่บริษัทมี แล้วถ้าเรามองจนเข้าใจดี
เราก็มามองตัวเอง ว่าเรามีอะไร แล้วกำลังต้องการอะไร
และเมื่อผมต้องการสิ่งที่บริษัทมี ผมก็ซื้อมัน
กรณีนี้ ผมมีเงินไม่มากนัก ผมต้องการฐาน เพื่อสร้างเงิน โดยการได้รับปันผลในอัตราที่สูง และสม่ำเสมอ
และ บริษัทนี้ ตอบคำตอบนี้ให้ผมได้
ผม เลยได้จับคู่ กับ บ.1
รู้มั้ยครับ หลังจากตอนนี้
เมื่อมีคนมาถามผมว่า เล่นหุ้นเป็นยังไงบ้าง ทั้งจาก เพื่อน ญาติ หรือใครก็ตาม
ผมจะตอบว่า ผมไม่ได้เล่น ผมทำงาน ผมไม่รู้ว่าคนที่ได้รับคำตอบจะเข้าใจรึเปล่า
แต่ หุ้น กลายเป็น งานสำหรับผมจริงๆนะครับ เหมือนสิ่งที่ผมตั้งใจจริง
ผมพร้อมที่จะซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มอีก ถ้าผมมีเงิน แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีเงิน
เลยนำสิ่งที่รู้ มาคิด
มันคล้ายๆ การ จับคู่ กันเลย
เหมือนเรา มอง สิ่งที่บริษัทเป็น สิ่งที่บริษัทมี แล้วถ้าเรามองจนเข้าใจดี
เราก็มามองตัวเอง ว่าเรามีอะไร แล้วกำลังต้องการอะไร
และเมื่อผมต้องการสิ่งที่บริษัทมี ผมก็ซื้อมัน
กรณีนี้ ผมมีเงินไม่มากนัก ผมต้องการฐาน เพื่อสร้างเงิน โดยการได้รับปันผลในอัตราที่สูง และสม่ำเสมอ
และ บริษัทนี้ ตอบคำตอบนี้ให้ผมได้
ผม เลยได้จับคู่ กับ บ.1
รู้มั้ยครับ หลังจากตอนนี้
เมื่อมีคนมาถามผมว่า เล่นหุ้นเป็นยังไงบ้าง ทั้งจาก เพื่อน ญาติ หรือใครก็ตาม
ผมจะตอบว่า ผมไม่ได้เล่น ผมทำงาน ผมไม่รู้ว่าคนที่ได้รับคำตอบจะเข้าใจรึเปล่า
แต่ หุ้น กลายเป็น งานสำหรับผมจริงๆนะครับ เหมือนสิ่งที่ผมตั้งใจจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 20
เวลาผ่านมาอีกไม่นาน เปิด internet ชื่อผมติดผู้ถือหุ้นใหญ่แล้วครับ ลำดับท้ายๆ
แฮะๆ ผมไปเรียก พ่อแม่ พี่น้อง มาดูกัน ด้วยความตื่นเต้นของผมคนเดียว
เอ ทำไมคนอื่นไม่เห็นดีใจเท่าผมเลยเนี่ย ไม่เป็นไรดีใจคนเดียวก็ได้ 555
(การมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่มีผลต่อการลงทุนเท่าใดนัก มีผลต่อเฉพาะทางจิตใจผมเองเท่านั้น)
เมื่อผมสบายใจ และจับคู่ กับ บ.1 ได้ดีแล้ว ด้วยความเข้าใจ
ซึ่งทำให้การถือหุ้นทุกวันของผม สบายใจ ไม่กังวล ไม่ร้อนรน
ผมรู้สึก เว้งว้าง ว่างเปล่า เงียบเหงา อดตื่นเต้น หวาดเสียว ในด้านการลงทุน
เวลาผมเปิดหน้าจอหุ้น ผมได้แต่มอง หุ้นตัวนั้นขึ้น ตัวนั้นลง
ต่อให้ตลาดลงแรงยังไง ผมก็ได้แต่นั่งมอง ตลาดขึ้นแรงยังไงผมก็ได้แต่นั่งมอง
ทำไมเหรอ
ก็เงินของผมทั้งหมดอยู่ใน หุ้น บ.1 แล้วไงครับ
และผมก็คิดที่จะซื้อเพิ่มแต่ก็ซื้อไม่ได้ เพราะเงินหมด
และผมก็ไม่คิดจะขาย เพราะ หุ้นไม่มีสภาพคล่อง คน bid น้อยมาก ขายไปก็ขาดทุนเปล่าๆ
เลยทำได้แต่ถือหุ้นนี้เฉยๆ เหมือนถูกบังคับว่าผมไม่สามารถขายหุ้นนี้ได้ ซึ่งผมรู้ข้อนี้ก่อนเข้าซื้อแล้วครับ
แม้มีช่วงเวลาที่ราคาหุ้น บ. 1 ตัวนี้ ลงมาประมาณ สิบกว่า% ซึ่งนั่นทำให้พอร์ตโดยรวมติดลบ เป็นหลักแสนบาท
ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และก็นำเงินที่ออมได้เล็กน้อย ซื้อเพิ่มอีกนิดๆ
ผมไม่คิดอะไรมาก เพราะเมื่อหลายปีก่อน ผมเคยซื้อหุ้นดาวเทียม แล้วมูลค่ามันเคยลงไปประมาณ 50 % มาแล้ว
ลงไป 50% ผมยังเคยเจอมาแล้ว นี่เพิ่ง 10 กว่า% แถมการลดลงนี้มีผลมาจาก การปันผลส่วนหนึ่ง
ดังนั้น ตอนนั้นผมได้แต่ถือหุ้นอย่างเดียว พร้อมกับนั่งสงสัยว่า
ถ้าผมทำแค่นี้ ซื้อแล้วถือ ง่ายแบบนี้ ผมจะเดินไปสู่ความสำเร็จได้เหรอ
แฮะๆ ผมไปเรียก พ่อแม่ พี่น้อง มาดูกัน ด้วยความตื่นเต้นของผมคนเดียว
เอ ทำไมคนอื่นไม่เห็นดีใจเท่าผมเลยเนี่ย ไม่เป็นไรดีใจคนเดียวก็ได้ 555
(การมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่มีผลต่อการลงทุนเท่าใดนัก มีผลต่อเฉพาะทางจิตใจผมเองเท่านั้น)
เมื่อผมสบายใจ และจับคู่ กับ บ.1 ได้ดีแล้ว ด้วยความเข้าใจ
ซึ่งทำให้การถือหุ้นทุกวันของผม สบายใจ ไม่กังวล ไม่ร้อนรน
ผมรู้สึก เว้งว้าง ว่างเปล่า เงียบเหงา อดตื่นเต้น หวาดเสียว ในด้านการลงทุน
เวลาผมเปิดหน้าจอหุ้น ผมได้แต่มอง หุ้นตัวนั้นขึ้น ตัวนั้นลง
ต่อให้ตลาดลงแรงยังไง ผมก็ได้แต่นั่งมอง ตลาดขึ้นแรงยังไงผมก็ได้แต่นั่งมอง
ทำไมเหรอ
ก็เงินของผมทั้งหมดอยู่ใน หุ้น บ.1 แล้วไงครับ
และผมก็คิดที่จะซื้อเพิ่มแต่ก็ซื้อไม่ได้ เพราะเงินหมด
และผมก็ไม่คิดจะขาย เพราะ หุ้นไม่มีสภาพคล่อง คน bid น้อยมาก ขายไปก็ขาดทุนเปล่าๆ
เลยทำได้แต่ถือหุ้นนี้เฉยๆ เหมือนถูกบังคับว่าผมไม่สามารถขายหุ้นนี้ได้ ซึ่งผมรู้ข้อนี้ก่อนเข้าซื้อแล้วครับ
แม้มีช่วงเวลาที่ราคาหุ้น บ. 1 ตัวนี้ ลงมาประมาณ สิบกว่า% ซึ่งนั่นทำให้พอร์ตโดยรวมติดลบ เป็นหลักแสนบาท
ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และก็นำเงินที่ออมได้เล็กน้อย ซื้อเพิ่มอีกนิดๆ
ผมไม่คิดอะไรมาก เพราะเมื่อหลายปีก่อน ผมเคยซื้อหุ้นดาวเทียม แล้วมูลค่ามันเคยลงไปประมาณ 50 % มาแล้ว
ลงไป 50% ผมยังเคยเจอมาแล้ว นี่เพิ่ง 10 กว่า% แถมการลดลงนี้มีผลมาจาก การปันผลส่วนหนึ่ง
ดังนั้น ตอนนั้นผมได้แต่ถือหุ้นอย่างเดียว พร้อมกับนั่งสงสัยว่า
ถ้าผมทำแค่นี้ ซื้อแล้วถือ ง่ายแบบนี้ ผมจะเดินไปสู่ความสำเร็จได้เหรอ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 21
หลังจากนั้นไม่นาน เงินปันผลก็ออก และส่งมาถึงผม
ผมก็ไม่รอช้า ซื้อหุ้น บ. 1 เพิ่ม ไม่ซื้อได้ไง xd แล้วราคาต่ำกว่าที่เราซื้อตอนแรกอีก
ก็ ซื้อ ๆ ๆ จนเงินหมด อ่าว
เบื่ออีกแล้ว ซื้อ แล้วก็ถือ
ซึ่งทำให้ช่วงนั้น ผมก็เอาเวลาไปคิด ว่าการซื้อ แล้วถือของผมรอบนี้ จะนำพาผมไปทางไหนในด้านการเงิน
ผมเคยลองนั่งคิดเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขเล่นๆมาหลายคราวแล้ว ทั้งเรื่องการทบต้น การเทียบเคียงกับการสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง โดยเทียบจากความสามารถโดยทั่วไป การเทียบเคียงการลงทุนในด้านอื่นๆ อสังหา บ้านเช่า อพาร์ทเมนท์
และก็ลองนั่งคิด ความเป็นไปต่างๆ ธุรกิจเกิดมาจากอะไร มันดำรงอยู่ได้เพราะอะไร ดำรงอยู่ไม่ได้เพราะอะไร ซึ่งทำให้เข้าใจถึงคำว่ารูปแบบ มีทั้งรูปแบบของส่วนใหญ่ รูปแบบของส่วนน้อย คำว่ารูปแบบ มีอยู่ในทุกสิ่งที่ เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป คล้ายๆกับคำว่า เต๋า ซึ่งแปลว่า หลักการ หรือ ความเป็นไป
เรื่องเหล่านี้ ถ้ามองให้เข้าใจ ก็จะเห็น
แต่ผมคงไม่มีความสามารถ เล่าในสิ่งที่เกิดจาการคิดได้ดีนัก ทำให้หลายๆครั้งที่ผมลองเล่า กลับไม่ได้รับความสำคัญ
เอาเป็นว่ากลับมาตรง ซื้อแล้วถือรอบนี้จะนำพาผมไปทางไหนในด้านการเงิน
ผมบังเอิญ เห็นข้อมูลว่า บ.1 นี้ ดำเนินการมากว่า 50 ปีแล้วครับ ซึ่งนั่นอายุมากว่าผม 2 เท่า
1 ชีวิต ที่ผมดำเนินมา ยี่สิบกว่าปีก็ยาวนานแล้ว แต่บริษัท นี้มีอายุเป็น 2 เท่าของชีวิตผมเชียวนะ
แล้วผมกำลังทุนในบริษัทนี้ และ นำเงินมาลงทุนทบไปเรื่อยๆ จึง คิดเรื่อง เลขทบต้น
และถ้าตอนนี้ผมมีอายุ 25 ปี และเกิดบังเอิญมีอยู่ได้นานถึงจนมีอายุ เท่าคุณวอร์เรน สัก 75 ปี
นั่นแปลว่า ถ้ามีเวลาในการลงทุนอีก 50 ปี และคิดผลตอบแทนที่ 10% ต่อปีทบต้นไปเรื่อยๆ
ได้ปันผล reinvest อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เงิน 1 บาท จะเป็น 117 บาท ใน 50 ปี
ดังนั้น เงิน 1 ล้าน บาท จะกลายเป็น 117 ล้านบาท ใน 50 ปี
ซึ่ง 117 ล้านบาท ผมว่าก็ดูไม่น้อยแล้วนะ แม้อาจจะต้องหักการด้อยค่าของเงินด้วย
แต่ถ้าทำได้อย่างคุณ วอร์เรน ที่ 20 กว่า% ยาวนาน 50 ปี 1 บาทจะได้มากว่าหลายเท่านัก จนคุณไม่อยากเชื่อในตัวเลข
ผมเลยเชื่อว่า ผมกำลังเดินมาเป็น investor ถึงแม้ผลตอบแทนจะได้ไม่สูงนัก ตามความสามารถที่ไม่สูงนักที่ผมมี
ผมก็ไม่รอช้า ซื้อหุ้น บ. 1 เพิ่ม ไม่ซื้อได้ไง xd แล้วราคาต่ำกว่าที่เราซื้อตอนแรกอีก
ก็ ซื้อ ๆ ๆ จนเงินหมด อ่าว
เบื่ออีกแล้ว ซื้อ แล้วก็ถือ
ซึ่งทำให้ช่วงนั้น ผมก็เอาเวลาไปคิด ว่าการซื้อ แล้วถือของผมรอบนี้ จะนำพาผมไปทางไหนในด้านการเงิน
ผมเคยลองนั่งคิดเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขเล่นๆมาหลายคราวแล้ว ทั้งเรื่องการทบต้น การเทียบเคียงกับการสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง โดยเทียบจากความสามารถโดยทั่วไป การเทียบเคียงการลงทุนในด้านอื่นๆ อสังหา บ้านเช่า อพาร์ทเมนท์
และก็ลองนั่งคิด ความเป็นไปต่างๆ ธุรกิจเกิดมาจากอะไร มันดำรงอยู่ได้เพราะอะไร ดำรงอยู่ไม่ได้เพราะอะไร ซึ่งทำให้เข้าใจถึงคำว่ารูปแบบ มีทั้งรูปแบบของส่วนใหญ่ รูปแบบของส่วนน้อย คำว่ารูปแบบ มีอยู่ในทุกสิ่งที่ เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป คล้ายๆกับคำว่า เต๋า ซึ่งแปลว่า หลักการ หรือ ความเป็นไป
เรื่องเหล่านี้ ถ้ามองให้เข้าใจ ก็จะเห็น
แต่ผมคงไม่มีความสามารถ เล่าในสิ่งที่เกิดจาการคิดได้ดีนัก ทำให้หลายๆครั้งที่ผมลองเล่า กลับไม่ได้รับความสำคัญ
เอาเป็นว่ากลับมาตรง ซื้อแล้วถือรอบนี้จะนำพาผมไปทางไหนในด้านการเงิน
ผมบังเอิญ เห็นข้อมูลว่า บ.1 นี้ ดำเนินการมากว่า 50 ปีแล้วครับ ซึ่งนั่นอายุมากว่าผม 2 เท่า
1 ชีวิต ที่ผมดำเนินมา ยี่สิบกว่าปีก็ยาวนานแล้ว แต่บริษัท นี้มีอายุเป็น 2 เท่าของชีวิตผมเชียวนะ
แล้วผมกำลังทุนในบริษัทนี้ และ นำเงินมาลงทุนทบไปเรื่อยๆ จึง คิดเรื่อง เลขทบต้น
และถ้าตอนนี้ผมมีอายุ 25 ปี และเกิดบังเอิญมีอยู่ได้นานถึงจนมีอายุ เท่าคุณวอร์เรน สัก 75 ปี
นั่นแปลว่า ถ้ามีเวลาในการลงทุนอีก 50 ปี และคิดผลตอบแทนที่ 10% ต่อปีทบต้นไปเรื่อยๆ
ได้ปันผล reinvest อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เงิน 1 บาท จะเป็น 117 บาท ใน 50 ปี
ดังนั้น เงิน 1 ล้าน บาท จะกลายเป็น 117 ล้านบาท ใน 50 ปี
ซึ่ง 117 ล้านบาท ผมว่าก็ดูไม่น้อยแล้วนะ แม้อาจจะต้องหักการด้อยค่าของเงินด้วย
แต่ถ้าทำได้อย่างคุณ วอร์เรน ที่ 20 กว่า% ยาวนาน 50 ปี 1 บาทจะได้มากว่าหลายเท่านัก จนคุณไม่อยากเชื่อในตัวเลข
ผมเลยเชื่อว่า ผมกำลังเดินมาเป็น investor ถึงแม้ผลตอบแทนจะได้ไม่สูงนัก ตามความสามารถที่ไม่สูงนักที่ผมมี
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 22
แล้วชีวิตการลงทุนผมก็ดูเรียบง่ายเหลือเกิน บางเวลาก็เบื่อ บางเวลาก็เซ็ง
หน้าจอหุ้น ก็ยังอยากดู ก็ดู แต่ก็ได้แต่เห็นหุ้นตัวเองนิ่งๆ หุ้นตัวอื่นวิ่งไปวิ่งมา
ดูแต่หุ้น แต่ไม่ซื้อขาย มองไปมองมานานๆเข้า ชินชา เลยรู้สึกว่านี่มันตลาดหุ้นจริงๆเหรอ ทำไมมีแต่ตัวเลข
และคนเรา ก็วิ่งวุ่นตามก็เลขเหล่านี้ ทุกๆวัน
พอเซ็งมากๆ เข้า นานๆที ผม ก็ daytrade บ้าง แต่ก็ที่เคยรู้ โอกาสขาดทุนสูงมาก
ก็เลยเล่น แค่ทีละ ประมาณ 2 หมื่นบาท แล้วมันก็ขาดทุนจริงๆ คราวละ พัน สองพันบาท พอเป็นสีสัน
บ่อยๆเข้าก็เบื่อ อีก ทำไปก็ขาดทุน ก็หยุด
จนมาต้นปี 2006 ยื่นภาษี ได้เงินเครดิตภาษีมา ก็เข้าซื้อ หุ้น บ.1 อีก เพราะราคามันก็ยังไม่ไปไหน
ซื้อๆๆ เสร็จ ก็ เซ็ง ต่อ
จนเริ่ม มีข่าวด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะต้องเพิ่มสูงขึ้น เพราะ เงินเฟ้อ ที่สูงกว่าเงินฝากประจำมาหลายปีแล้ว
เหอะๆ เป็นอย่างนี้ ก็เยี่ยมสิ
บ. 1 ของผม มีเงินสด และ เงินลงทุน ไม่กี่ร้อยล้าน มีกำไรสุทธิไม่กี่สิบล้าน
ถ้ามี เงินฝาก 1 ร้อยล้านบาท ดอกเบี้ยขึ้น 1% ก็ได้เงินเพิ่ม 1ล้านบาท โดยไม่ต้องทำไรเพิ่ม
และเมื่อมาเทียบกับกำไรที่เคยทำได้อยู่ ไม่กี่สิบล้าน ก็เป็น % ที่ดีนี่นา การเพิ่มของกำไร
ถือมา เกือบ สองปี ผมก็สบายใจเหมือนเดิม
และผมก็ไปประชุมผู้ถือหุ้นเหมือนเดิม อย่างสบายใจ
ช่วงที่ให้ผู้ถือหุ้นถามผมก็ดูว่าคนอื่นจะถามอะไร ส่วนตัวผมก็นั่งฟังอย่างเดียว ไม่ได้ถามอะไรในที่ประชุมเลย
สบายใจ
แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เงินปันผลก็ออก และส่งมาถึงผม
ผมก็คิดที่จะซื้อ บ.1 เหมือนเคย แต่คราวนี้ผมทำไม่ได้เหมือนเคย
หุ้นที่มีรายใหญ่ขายอยู่ ดูเหมือนถูกซื้อไปหมดแล้ว ราคาค่อยๆขยับขึ้น พร้อมกับผลประกอบการที่ดูดีขึ้นชัดเจน
ทั้งการเพิ่มรายได้ ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และผลตอบแทนในเงินทุนที่ดีขึ้น
มีความยุ่งยากเกิดขึ้นนิดหน่อย สำหรับเงินสดที่เข้ามาคราวนี้ จะทำยังไงดี
หน้าจอหุ้น ก็ยังอยากดู ก็ดู แต่ก็ได้แต่เห็นหุ้นตัวเองนิ่งๆ หุ้นตัวอื่นวิ่งไปวิ่งมา
ดูแต่หุ้น แต่ไม่ซื้อขาย มองไปมองมานานๆเข้า ชินชา เลยรู้สึกว่านี่มันตลาดหุ้นจริงๆเหรอ ทำไมมีแต่ตัวเลข
และคนเรา ก็วิ่งวุ่นตามก็เลขเหล่านี้ ทุกๆวัน
พอเซ็งมากๆ เข้า นานๆที ผม ก็ daytrade บ้าง แต่ก็ที่เคยรู้ โอกาสขาดทุนสูงมาก
ก็เลยเล่น แค่ทีละ ประมาณ 2 หมื่นบาท แล้วมันก็ขาดทุนจริงๆ คราวละ พัน สองพันบาท พอเป็นสีสัน
บ่อยๆเข้าก็เบื่อ อีก ทำไปก็ขาดทุน ก็หยุด
จนมาต้นปี 2006 ยื่นภาษี ได้เงินเครดิตภาษีมา ก็เข้าซื้อ หุ้น บ.1 อีก เพราะราคามันก็ยังไม่ไปไหน
ซื้อๆๆ เสร็จ ก็ เซ็ง ต่อ
จนเริ่ม มีข่าวด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะต้องเพิ่มสูงขึ้น เพราะ เงินเฟ้อ ที่สูงกว่าเงินฝากประจำมาหลายปีแล้ว
เหอะๆ เป็นอย่างนี้ ก็เยี่ยมสิ
บ. 1 ของผม มีเงินสด และ เงินลงทุน ไม่กี่ร้อยล้าน มีกำไรสุทธิไม่กี่สิบล้าน
ถ้ามี เงินฝาก 1 ร้อยล้านบาท ดอกเบี้ยขึ้น 1% ก็ได้เงินเพิ่ม 1ล้านบาท โดยไม่ต้องทำไรเพิ่ม
และเมื่อมาเทียบกับกำไรที่เคยทำได้อยู่ ไม่กี่สิบล้าน ก็เป็น % ที่ดีนี่นา การเพิ่มของกำไร
ถือมา เกือบ สองปี ผมก็สบายใจเหมือนเดิม
และผมก็ไปประชุมผู้ถือหุ้นเหมือนเดิม อย่างสบายใจ
ช่วงที่ให้ผู้ถือหุ้นถามผมก็ดูว่าคนอื่นจะถามอะไร ส่วนตัวผมก็นั่งฟังอย่างเดียว ไม่ได้ถามอะไรในที่ประชุมเลย
สบายใจ
แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เงินปันผลก็ออก และส่งมาถึงผม
ผมก็คิดที่จะซื้อ บ.1 เหมือนเคย แต่คราวนี้ผมทำไม่ได้เหมือนเคย
หุ้นที่มีรายใหญ่ขายอยู่ ดูเหมือนถูกซื้อไปหมดแล้ว ราคาค่อยๆขยับขึ้น พร้อมกับผลประกอบการที่ดูดีขึ้นชัดเจน
ทั้งการเพิ่มรายได้ ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และผลตอบแทนในเงินทุนที่ดีขึ้น
มีความยุ่งยากเกิดขึ้นนิดหน่อย สำหรับเงินสดที่เข้ามาคราวนี้ จะทำยังไงดี
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 23
ผมก็คิด ผมคงไม่พร้อมที่จะไล่ซื้อขึ้นไปในราคาที่สูงขึ้น
การที่ผมลงทุนใน บ.1 เพียงอันเดียว ทำให้ผมมีไข่ใบเดียว ในตะกร้า
หรือ มันถึงเวลาที่เราจะก้าวไปหา บริษัทที่ 2
ผมก็ไล่ตามหนังสือพิมพ์ หน้าหุ้นเหมือนเดิมครับ
ผมชักชอบแล้วสิการได้ธุรกิจที่ดี ราคาถูก ซื้อทีเดียวแล้วถือไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมานั่งขาย
แต่ด้วยการที่เงินทุน และ ปันผลที่ได้ต่อปี ยังไม่มากพอ เป้าหมายเลยยังคงเดิม คือ ต้องการบริษัทที่ปันผลสูงเพื่อสร้างกระแสเงินสด เพื่อลงทุนทบในปีถัดไป
แล้วผมก็พบ บ.2 อยู่ในหมวดใหญ่ การเงิน
แนวว่า หาเงิน ซื้อสินทรัพย์ก่อน แล้วให้ผู้อื่นมาเช่าต่อโดยทำสัญญา ทีละ 3-5 ปี
ซึ่งรูปแบบนี้สินทรัพย์ ก็จะถูกนำส่งไปใช้โดยลูกค้า แทบทั้งหมด
รูปแบบการดำเนินธุรกิจก็ดูง่ายๆ แม้กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจะมาจากส่วนสิทธิทางภาษีอยู่ส่วนนึง ซึ่งไม่ยั่งยืน
แล้วปี 2008 ผมก็พบ บ.3 อยู่ในหมวดใหญ่ service ตัวนี้ เป็นตัวที่คาดว่าคงยังไม่มีอัตราการปันผลที่สูงนัก
แต่ด้วยการปันผล จาก บ.1 และ บ. 2 รวมกัน ก็ ok ในระดับนึง
ผมก็มองหุ้นตัวนี้มานานแล้ว ซึ่งราคามันก็ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนมาถึงวันที่ ต้องการขยายสาขา เกิดค่าใช้จ่ายต่างๆจำนวนมาก ทำให้กำไรลดลงอย่างรวดเร็ว
ราคาหุ้น ถึงได้ลดลงมาจำนวนมาก ผมจึงตัดสินใจเข้าซื้อ
สินทรัพย์ เป็นลักษณะอสังหา ประกอบกับการบริการ ที่ค่อนข้างจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ปัจจัยเสี่ยง ผมคงกลัวเรื่องน้ำท่วมโลก อย่างเดียว เพราะ คงยกอสังหาหนีไม่ได้แน่ 555 ขำแต่กลัวจริง 555
การที่ผมลงทุนใน บ.1 เพียงอันเดียว ทำให้ผมมีไข่ใบเดียว ในตะกร้า
หรือ มันถึงเวลาที่เราจะก้าวไปหา บริษัทที่ 2
ผมก็ไล่ตามหนังสือพิมพ์ หน้าหุ้นเหมือนเดิมครับ
ผมชักชอบแล้วสิการได้ธุรกิจที่ดี ราคาถูก ซื้อทีเดียวแล้วถือไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมานั่งขาย
แต่ด้วยการที่เงินทุน และ ปันผลที่ได้ต่อปี ยังไม่มากพอ เป้าหมายเลยยังคงเดิม คือ ต้องการบริษัทที่ปันผลสูงเพื่อสร้างกระแสเงินสด เพื่อลงทุนทบในปีถัดไป
แล้วผมก็พบ บ.2 อยู่ในหมวดใหญ่ การเงิน
แนวว่า หาเงิน ซื้อสินทรัพย์ก่อน แล้วให้ผู้อื่นมาเช่าต่อโดยทำสัญญา ทีละ 3-5 ปี
ซึ่งรูปแบบนี้สินทรัพย์ ก็จะถูกนำส่งไปใช้โดยลูกค้า แทบทั้งหมด
รูปแบบการดำเนินธุรกิจก็ดูง่ายๆ แม้กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจะมาจากส่วนสิทธิทางภาษีอยู่ส่วนนึง ซึ่งไม่ยั่งยืน
แล้วปี 2008 ผมก็พบ บ.3 อยู่ในหมวดใหญ่ service ตัวนี้ เป็นตัวที่คาดว่าคงยังไม่มีอัตราการปันผลที่สูงนัก
แต่ด้วยการปันผล จาก บ.1 และ บ. 2 รวมกัน ก็ ok ในระดับนึง
ผมก็มองหุ้นตัวนี้มานานแล้ว ซึ่งราคามันก็ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนมาถึงวันที่ ต้องการขยายสาขา เกิดค่าใช้จ่ายต่างๆจำนวนมาก ทำให้กำไรลดลงอย่างรวดเร็ว
ราคาหุ้น ถึงได้ลดลงมาจำนวนมาก ผมจึงตัดสินใจเข้าซื้อ
สินทรัพย์ เป็นลักษณะอสังหา ประกอบกับการบริการ ที่ค่อนข้างจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ปัจจัยเสี่ยง ผมคงกลัวเรื่องน้ำท่วมโลก อย่างเดียว เพราะ คงยกอสังหาหนีไม่ได้แน่ 555 ขำแต่กลัวจริง 555
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 24
นี่แหละครับ
รูปแบบของผม การจัดพอร์ตของผม
ไม่ได้สร้างผลตอบแทนมากมาย แต่ก็ไม่ทำให้ผมวุ่นวายใจนัก
ช่วงหลัง ดูเหมือนง่าย และไม่ตื่นเต้นสักเท่าไหร่
และผมก็ยัง คงรอ ปันผล ในงวดต่อๆไป และมองหาว่าจะลงทุนในอะไร
เรียบง่ายเหลือเกิน
เรียบง่าย และยังมอบอิสรภาพทางการเงินเล็กๆ
ทำให้ผมพร้อม และมีโอกาส ที่จะมองเห็นสิ่งอื่นๆ รอบๆตัวผม
แต่การเลือกหุ้นแต่ละตัวโดยการมองระยะยาว ต้องใช้ความรู้ และความคิดไม่ใช่น้อยนะครับ
แล้วเมื่อมาดู สิ่งที่ผมทำทั้งหมด ผมก็ค่อนข้างเชื่อว่า
ผมเป็น investor
รูปแบบของผม การจัดพอร์ตของผม
ไม่ได้สร้างผลตอบแทนมากมาย แต่ก็ไม่ทำให้ผมวุ่นวายใจนัก
ช่วงหลัง ดูเหมือนง่าย และไม่ตื่นเต้นสักเท่าไหร่
และผมก็ยัง คงรอ ปันผล ในงวดต่อๆไป และมองหาว่าจะลงทุนในอะไร
เรียบง่ายเหลือเกิน
เรียบง่าย และยังมอบอิสรภาพทางการเงินเล็กๆ
ทำให้ผมพร้อม และมีโอกาส ที่จะมองเห็นสิ่งอื่นๆ รอบๆตัวผม
แต่การเลือกหุ้นแต่ละตัวโดยการมองระยะยาว ต้องใช้ความรู้ และความคิดไม่ใช่น้อยนะครับ
แล้วเมื่อมาดู สิ่งที่ผมทำทั้งหมด ผมก็ค่อนข้างเชื่อว่า
ผมเป็น investor
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 25
หลายๆ ครั้งคนเรา วิ่งวุ่น ไล่ตาม สิ่งต่างๆมากมาย
แต่ถ้าเราเข้าใจ คิดอย่างมีสติแล้ว จะรู้ว่า สิ่งที่ตัวเรา ต้องการจริงๆไม่ได้มีมากจนดูเหมือนไร้ขีดเส้นสุดขนาดนั้น
หาสิ่งที่ต้องการจริงๆให้เจอ เรื่องดีๆก็จะเกิดขึ้นมากมาย
แต่ถ้าเราเข้าใจ คิดอย่างมีสติแล้ว จะรู้ว่า สิ่งที่ตัวเรา ต้องการจริงๆไม่ได้มีมากจนดูเหมือนไร้ขีดเส้นสุดขนาดนั้น
หาสิ่งที่ต้องการจริงๆให้เจอ เรื่องดีๆก็จะเกิดขึ้นมากมาย
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 26
อายุคุณ areliang ก็มากกว่าผมไม่เท่าไหร่ ขออนุญาิติเรียกพี่ละกัน ไหงประสบการณ์ชีวิตทางการลงทุนมากจังครับ .. ไหนๆ ก็อ่านมาจบแล้ว อยากจะถาม เฉยๆ เพิ่มความมั่นใจนะครับ ถ้าผมลงทุน เป็นวินัย ด้วยความสม่ำเสมอ แต่ ด้วยจาก เงินเดือนน้อย เป็นนักศึกษาจบใหม่ อาจจะมีเงินมาลงทุนไม่มาก ( ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เริ่ม กำลังเก็บความรู้ )ผมบังเอิญ เห็นข้อมูลว่า บ.1 นี้ ดำเนินการมากว่า 50 ปีแล้วครับ ซึ่งนั่นอายุมากว่าผม 2 เท่า
1 ชีวิต ที่ผมดำเนินมา ยี่สิบกว่าปีก็ยาวนานแล้ว แต่บริษัท นี้มีอายุเป็น 2 เท่าของชีวิตผมเชียวนะ
อาจจะซัก 5000 บาทต่อเดือน ในการลงทุน ผมจะมีโอกาศเติมโตตามฝันไปได้ไกลไหมครับ ...
แต่ถึงพี่ areliang จะตอบยังไง ผมก็จะลงทุนซักวัน แล้วตามพี่ไปถือหุ้น ให้ติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่แบบพี่ให้ได้ เลย คงดีใจ และตื่นเต้นมากๆ
ขอบคุณมากครับ :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 27
วินัย นั้นดีนะครับ
แต่การจะทำอะไรให้ได้ สำเร็จ เราต้องเข้าใจวิธีด้วยครับ
วินัย เป็นนิสัย
วิธี เป็นความเข้าใจ ในสิ่งที่เราจะทำ
ถ้าใช้ควบคู่ได้ดี เข้าใจวิธีได้ดี ก็น่าจะมองเห็นทางที่จะสำเร็จได้
แต่ถ้ามีวินัย แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่จะทำ หรือวิธีทำ บางทีผลก็ออกมาไม่ดีเท่าไหร่
แต่การจะทำอะไรให้ได้ สำเร็จ เราต้องเข้าใจวิธีด้วยครับ
วินัย เป็นนิสัย
วิธี เป็นความเข้าใจ ในสิ่งที่เราจะทำ
ถ้าใช้ควบคู่ได้ดี เข้าใจวิธีได้ดี ก็น่าจะมองเห็นทางที่จะสำเร็จได้
แต่ถ้ามีวินัย แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่จะทำ หรือวิธีทำ บางทีผลก็ออกมาไม่ดีเท่าไหร่
- ake3004
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีครับ Investor
โพสต์ที่ 28
Pls let me share comment na kab
I think areliang's thinking at that time...
he mainly bought as price was cheap kab.not mainly to see his name kab.
5,000 bht is 60,000 bht / yr
not less na kab( in case on interest)
at least better than u pay for whisky or going to night club kab.
it's also help u to have good discipline also.
my way is,
how much i use for living , eating , transportation.
i calculate and separate excess money for investing kab.
this help u to not buy not neccessary thing that always beside u.
at first u might loss some, but later u will gain..
if...
u can wine your mind.
strongest enemy is one self kab.
it's Ben Graham word that I found it's true
I think areliang's thinking at that time...
he mainly bought as price was cheap kab.not mainly to see his name kab.
5,000 bht is 60,000 bht / yr
not less na kab( in case on interest)
at least better than u pay for whisky or going to night club kab.
it's also help u to have good discipline also.
my way is,
how much i use for living , eating , transportation.
i calculate and separate excess money for investing kab.
this help u to not buy not neccessary thing that always beside u.
at first u might loss some, but later u will gain..
if...
u can wine your mind.
strongest enemy is one self kab.
it's Ben Graham word that I found it's true
One up on SET