งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 1
:lol: :lol: :lol: :lol:
เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือดีขึ้น ผมไม่ทราบ เปลี่ยนมากหรือน้อย ผมไม่ทราบ ที่รู้ๆ คือ เกิดความเปลี่ยนแปลงแน่ๆ และเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
สืบเนื่องจากปัญหาที่เป็นข้อจำกัดส่วนตัวที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ คือ ไม่สามารถพยากรณ์อนาคตของธุรกิจระยะยาวๆได้ ( ซึ่งจะให้ดีเยี่ยมก็พยากรณ์ได้ถูกสัก 70 % ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ) สำหรับผมในระยะสั้นๆหนึ่งถึงสองปีก็อาจจะพอบอกได้คร่าวๆว่าแนวโน้มน่าจะไปทางไหน แต่โอกาสที่จะถูกต้องตามคำพยากรณ์ก็ไม่ได้สูงมาก อาจจะมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 40-45% ซึ่งก็นับว่าน้อยกว่าครึ่งนิดหน่อย แต่ถ้าจะให้พยากรณ์ระยะยาวเป็นสิบปี ผมก็คิดว่าทำก็เหมือนไม่ทำ คือผิดกับถูกมีโอกาสพอๆกัน 50-50 ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
ข้อจำกัดนี้ส่งผลกับการเลือกซื้อหุ้นในตลาดอย่างยิ่ง แม้ที่ผ่านมาจะสามารถทำกำไรได้มากพอสมควร แต่อนาคตก็ไม่แน่
:lol: :lol: :lol: :lol:
เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือดีขึ้น ผมไม่ทราบ เปลี่ยนมากหรือน้อย ผมไม่ทราบ ที่รู้ๆ คือ เกิดความเปลี่ยนแปลงแน่ๆ และเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
สืบเนื่องจากปัญหาที่เป็นข้อจำกัดส่วนตัวที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ คือ ไม่สามารถพยากรณ์อนาคตของธุรกิจระยะยาวๆได้ ( ซึ่งจะให้ดีเยี่ยมก็พยากรณ์ได้ถูกสัก 70 % ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ) สำหรับผมในระยะสั้นๆหนึ่งถึงสองปีก็อาจจะพอบอกได้คร่าวๆว่าแนวโน้มน่าจะไปทางไหน แต่โอกาสที่จะถูกต้องตามคำพยากรณ์ก็ไม่ได้สูงมาก อาจจะมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 40-45% ซึ่งก็นับว่าน้อยกว่าครึ่งนิดหน่อย แต่ถ้าจะให้พยากรณ์ระยะยาวเป็นสิบปี ผมก็คิดว่าทำก็เหมือนไม่ทำ คือผิดกับถูกมีโอกาสพอๆกัน 50-50 ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
ข้อจำกัดนี้ส่งผลกับการเลือกซื้อหุ้นในตลาดอย่างยิ่ง แม้ที่ผ่านมาจะสามารถทำกำไรได้มากพอสมควร แต่อนาคตก็ไม่แน่
:lol: :lol: :lol: :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 2
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมเห็นบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแล้วมักจะได้กำไรมหาศาล (โอกาสที่จะขาดทุนก็คงมีบ้างตามธรรมดา แต่โดยรวมโอกาสที่จะกำไรน่าจะมีมากกว่าขาดทุนอย่างมหาศาล ) และบริษัทที่บัฟเฟตต์เลือกก็มักจะสามารถทำกำไรต่อไปอีกได้เป็นสิบๆปี นั่นแสดงถึงว่าเขาสามารถคาดการณ์อนาคตอีกสิบๆปีได้แม่นยำมาก น่าเสียดายที่เขาไม่เคยเขียนหนังสือแนวคิดในการพยากรณ์อนาคตของธุรกิจออกมา ผมคิดว่าเขาเก็บเคล็ดลับเอาไว้ ไม่บอกมาแบบหมดเปลือก
ในเมืองไทยมีคนที่ไม่หวงความรู้ก็เห็นมี ดร.นิเวศน์ นี่แหละที่ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ให้แบบหมดไส้หมดพุง พอที่จะเป็นที่พึ่งของคนแสวงหาความรู้ได้บ้าง
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมเห็นบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแล้วมักจะได้กำไรมหาศาล (โอกาสที่จะขาดทุนก็คงมีบ้างตามธรรมดา แต่โดยรวมโอกาสที่จะกำไรน่าจะมีมากกว่าขาดทุนอย่างมหาศาล ) และบริษัทที่บัฟเฟตต์เลือกก็มักจะสามารถทำกำไรต่อไปอีกได้เป็นสิบๆปี นั่นแสดงถึงว่าเขาสามารถคาดการณ์อนาคตอีกสิบๆปีได้แม่นยำมาก น่าเสียดายที่เขาไม่เคยเขียนหนังสือแนวคิดในการพยากรณ์อนาคตของธุรกิจออกมา ผมคิดว่าเขาเก็บเคล็ดลับเอาไว้ ไม่บอกมาแบบหมดเปลือก
ในเมืองไทยมีคนที่ไม่หวงความรู้ก็เห็นมี ดร.นิเวศน์ นี่แหละที่ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ให้แบบหมดไส้หมดพุง พอที่จะเป็นที่พึ่งของคนแสวงหาความรู้ได้บ้าง
:lol: :lol: :lol: :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 3
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมติดตามอ่านแนวคิดของ ดร.นิเวศน์ผ่านหนังสือพอคเก็ตบุ๊ค หนังสือพิมพ์ เวปไซด์ อย่างสม่ำเสมอ และก็คิดว่าเข้าใจหลักการแนวคิดพอสมควร แต่ในทางปฏิบัติ ผมเห็นท่านดร.นิเวศน์ซื้อหุ้นbigc hmpro แล้วก็ งง ! ไม่เข้าใจสาเหตุ ไม่เห็นมีอะไรน่าซื้อ พี่เจ๋งเองก็ซื้อ bigc ก็งงเหมือนกัน ซื้อไปทำไม กำไรก็กลางๆ ไม่โดดเด่น อนาคตอีกสิบปียอดขายจะเพิ่มมหาศาลหรือเปล่า ก็ไม่มีใครรู้ โอกาสถูกกับผิด 50-50 หุ้นเหล่านี้ผมก็เลยไม่เคยมองเลย ผมมองแต่ตัวบริษัทที่ทำกำไรได้แล้วแบบเห็นๆ หรือตัวที่ค่อนข้างชัวร์ๆระยะสั้นๆ 1-2 ปี ถ้ามากกว่านี้ก็ทำไม่ได้
จนกระทั่งถึงวันงาน TVI ผมได้ฟังดร.นิเวศน์พูดเรื่องแนวทางการเลือกหุ้น ผมจึงถึงบางอ้อ และก็เกิดความรู้สึกทึ่งอย่างมากว่า ท่านคิดได้อย่างไรเนี่ย !!! สุดยอดจริงๆ
มีอยู่ประโยคหนึ่งท่านบอกว่า ท่านดูแนวโน้มพฤติกรรมของมนุษย์ คำพูดนี้สะดุดความคิดผมอย่างมาก ตัวท่านเองคงไม่สะดุดเพราะท่านคงชินกับความคิดของตัวเองอยู่แล้ว หรือเพื่อนๆที่คิดอย่างนี้อยู่แล้วก็คงจะไม่สะดุดและเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกับมีอะไรไปกระทบกับรากเหง้าทางความคิดของผมเลยทีเดียวเพราะผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยมีคำนี้อยู่ในหัวด้วยซ้ำ ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นเหตุผลหลักที่อธิบายว่าทำไมท่านถึงซื้อ bigc hmpro ส่วนเหตุผลประกอบอื่นๆที่สำคัญ เช่น
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมติดตามอ่านแนวคิดของ ดร.นิเวศน์ผ่านหนังสือพอคเก็ตบุ๊ค หนังสือพิมพ์ เวปไซด์ อย่างสม่ำเสมอ และก็คิดว่าเข้าใจหลักการแนวคิดพอสมควร แต่ในทางปฏิบัติ ผมเห็นท่านดร.นิเวศน์ซื้อหุ้นbigc hmpro แล้วก็ งง ! ไม่เข้าใจสาเหตุ ไม่เห็นมีอะไรน่าซื้อ พี่เจ๋งเองก็ซื้อ bigc ก็งงเหมือนกัน ซื้อไปทำไม กำไรก็กลางๆ ไม่โดดเด่น อนาคตอีกสิบปียอดขายจะเพิ่มมหาศาลหรือเปล่า ก็ไม่มีใครรู้ โอกาสถูกกับผิด 50-50 หุ้นเหล่านี้ผมก็เลยไม่เคยมองเลย ผมมองแต่ตัวบริษัทที่ทำกำไรได้แล้วแบบเห็นๆ หรือตัวที่ค่อนข้างชัวร์ๆระยะสั้นๆ 1-2 ปี ถ้ามากกว่านี้ก็ทำไม่ได้
จนกระทั่งถึงวันงาน TVI ผมได้ฟังดร.นิเวศน์พูดเรื่องแนวทางการเลือกหุ้น ผมจึงถึงบางอ้อ และก็เกิดความรู้สึกทึ่งอย่างมากว่า ท่านคิดได้อย่างไรเนี่ย !!! สุดยอดจริงๆ
มีอยู่ประโยคหนึ่งท่านบอกว่า ท่านดูแนวโน้มพฤติกรรมของมนุษย์ คำพูดนี้สะดุดความคิดผมอย่างมาก ตัวท่านเองคงไม่สะดุดเพราะท่านคงชินกับความคิดของตัวเองอยู่แล้ว หรือเพื่อนๆที่คิดอย่างนี้อยู่แล้วก็คงจะไม่สะดุดและเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกับมีอะไรไปกระทบกับรากเหง้าทางความคิดของผมเลยทีเดียวเพราะผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยมีคำนี้อยู่ในหัวด้วยซ้ำ ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นเหตุผลหลักที่อธิบายว่าทำไมท่านถึงซื้อ bigc hmpro ส่วนเหตุผลประกอบอื่นๆที่สำคัญ เช่น
:lol: :lol: :lol: :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 4
:lol: :lol: :lol: :lol:
1.bigc สามารถทำยอดขายได้มากขึ้นทุกปีๆละ 10 % ติดต่อกันหลายปีแล้ว โอกาสที่จะทำได้ต่อไปก็น่าจะมีอยู่สูงกว่า และด้วยแนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์ ก็ยิ่งเสริมความเป็นไปได้มากขึ้น
2.การดำเนินธุรกิจ เมื่อถึงจุดหนึ่งซึ่งยอดขายทำได้คุ้มกับ fixed cost ที่จะต้องเสียเป็นขั้นต่ำแล้ว เมื่อใดที่ยอดขายโตมากกว่านั้น ยอดที่ทำได้จะเปลี่ยนมาเป็นกำไรในสัดส่วนที่สูงกว่าเดิมมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียจะเหลือเพียง variable cost เท่านั้นเอง
3.bigc ผ่านสงครามมาแล้ว และเป็นผู้ชนะ
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งว่าทำไม ที่ผ่านๆมา ท่านถึงสามารถทำกำไรได้มหาศาลทั้งในอดีตและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
:lol: :lol: :lol: :lol:
1.bigc สามารถทำยอดขายได้มากขึ้นทุกปีๆละ 10 % ติดต่อกันหลายปีแล้ว โอกาสที่จะทำได้ต่อไปก็น่าจะมีอยู่สูงกว่า และด้วยแนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์ ก็ยิ่งเสริมความเป็นไปได้มากขึ้น
2.การดำเนินธุรกิจ เมื่อถึงจุดหนึ่งซึ่งยอดขายทำได้คุ้มกับ fixed cost ที่จะต้องเสียเป็นขั้นต่ำแล้ว เมื่อใดที่ยอดขายโตมากกว่านั้น ยอดที่ทำได้จะเปลี่ยนมาเป็นกำไรในสัดส่วนที่สูงกว่าเดิมมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียจะเหลือเพียง variable cost เท่านั้นเอง
3.bigc ผ่านสงครามมาแล้ว และเป็นผู้ชนะ
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งว่าทำไม ที่ผ่านๆมา ท่านถึงสามารถทำกำไรได้มหาศาลทั้งในอดีตและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
:lol: :lol: :lol: :lol:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 5
คือบัพเฟต โดยแมรี่ บอกว่า การพยากรณ์ เป็น 100 ปี ยาก อย่างมากก็ได้แค่ 10 ปี
การพยากรณ์ 10 ปี แกก็เน้นให้ดูอดีตเพื่อพยากรณ์ ในอนาคต ว่า 10 ปีที่ผ่านมาทำได้แค่ไหน ก็มีแนวโน้มว่าอีก 10 ปีก็น่าจะทำได้
น่าจะ นะครับ
การพยากรณ์ 10 ปี แกก็เน้นให้ดูอดีตเพื่อพยากรณ์ ในอนาคต ว่า 10 ปีที่ผ่านมาทำได้แค่ไหน ก็มีแนวโน้มว่าอีก 10 ปีก็น่าจะทำได้
น่าจะ นะครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 6
:lol: :lol: :lol: :lol:
ทีนี้ผมมาลองคิดเรื่อง แนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์ต่อ ผมพบว่ามันมีความสำคัญดังนี้
1. การพยากรณ์อนาคตของธุรกิจระยะยาวๆ ถ้าทำตรงๆ อาจจะยาก แต่ถ้าใช้ทางอ้อม ( หรืออาจจะเป็นทางลัดก็ได้ )โดยใช้พฤติกรรมมนุษย์ช่วย มันจะง่ายขึ้นมาก เพราะว่า
1.1 ธุรกิจทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ โดยมีมนุษย์เป็นผู้เสพทั้งสิ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ผมนึกถึงธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ไม่ออกเลย แม้แต่ธุรกิจผลิตอาหารปลา อาหารสุนัข ก็เป็นเพราะความต้องการด้านใดด้านหนึ่งของมนุษย์เช่นเดียวกัน
1.2 ธุรกิจทุกอย่างย่อมพยายามที่จะแข่งขันกันเพื่อให้ชนะใจมนุษย์ผู้อุปโภคและบริโภค กลวิธีต่างๆล้วนแล้วแต่เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งสิ้น ใครทำได้ดีกว่าก็เป็นผู้ชนะไป
1.3 ผู้บริโภคเป็นกรรมการผู้ตัดสินชี้ขาด ที่จะให้ใครอยู่รอด และใครต้องเจ๊ง
1.4 การที่จะมองว่าอนาคตของธุรกิจประเภทใดจะรุ่งหรือจะร่วงทั้งในระยะสั้นๆและระยะยาวๆ จึงต้องดูที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
:lol: :lol: :lol: :lol:
ทีนี้ผมมาลองคิดเรื่อง แนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์ต่อ ผมพบว่ามันมีความสำคัญดังนี้
1. การพยากรณ์อนาคตของธุรกิจระยะยาวๆ ถ้าทำตรงๆ อาจจะยาก แต่ถ้าใช้ทางอ้อม ( หรืออาจจะเป็นทางลัดก็ได้ )โดยใช้พฤติกรรมมนุษย์ช่วย มันจะง่ายขึ้นมาก เพราะว่า
1.1 ธุรกิจทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ โดยมีมนุษย์เป็นผู้เสพทั้งสิ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ผมนึกถึงธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ไม่ออกเลย แม้แต่ธุรกิจผลิตอาหารปลา อาหารสุนัข ก็เป็นเพราะความต้องการด้านใดด้านหนึ่งของมนุษย์เช่นเดียวกัน
1.2 ธุรกิจทุกอย่างย่อมพยายามที่จะแข่งขันกันเพื่อให้ชนะใจมนุษย์ผู้อุปโภคและบริโภค กลวิธีต่างๆล้วนแล้วแต่เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งสิ้น ใครทำได้ดีกว่าก็เป็นผู้ชนะไป
1.3 ผู้บริโภคเป็นกรรมการผู้ตัดสินชี้ขาด ที่จะให้ใครอยู่รอด และใครต้องเจ๊ง
1.4 การที่จะมองว่าอนาคตของธุรกิจประเภทใดจะรุ่งหรือจะร่วงทั้งในระยะสั้นๆและระยะยาวๆ จึงต้องดูที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
:lol: :lol: :lol: :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 7
:lol: :lol: :lol: :lol:
2. ความแม่นยำในการทำนายพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ มีความแม่นยำค่อนข้างสูงมาก ไม่ใช่แม่นยำในระดับ 70% เท่านั้น แต่บางเรื่องมีความแม่นยำถึง 95 % เลยทีเดียว หรือบางเรื่องอาจจะแม่นมากกว่านี้อีก เช่น
2.1 ธรรมชาติของมนุษย์ที่เคยสบายแล้วจะไม่อยากกลับไปลำบากอีก ถ้าไม่มีเรื่องสุดวิสัยจริงๆ ผมว่าคำพูดนี้มีโอกาสถูกสูงมาก อาจจะมีกลุ่มน้อยๆที่ไม่เป็นอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาของการวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับคนหมู่มาก ยกตัวอย่างสิ่งที่อำนวยความสะดวกของมนุษย์เช่น ไฟฟ้า มือถือ โทรทัศน์ ตู้เย็น รถยนต์ รถไฟฟ้า รถเมล์ ถนนหนทาง น้ำประปา แอร์เย็นๆ
2.2 เมื่อเคยรู้แล้ว จะให้กลับไปไม่รู้อีกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับความจำนะครับ เพราะทุกคนย่อมที่จะเคย ลืม กันทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องที่รู้แล้วและก็จำได้ด้วยแต่หลอกตัวเองว่าไม่รู้ คิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เช่น เพื่อนๆช่วยเติมหน่อย ผมนึกไม่ออกแล้วอ่ะ แต่เชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ
2.3 เมื่อเคยได้มากแล้ว จะให้กลับไปได้น้อยๆคืน จะมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาแน่ๆ ยกตัวอย่าง เงินเดือนข้าราชการ มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่รัฐบาลจะสามารถลดเงินเดือนข้าราชการลงโดยไม่เกิดปัญหา แม้แต่ตอนที่ประเทศเกิดวิกฤติก็ยังทำไม่ได้เลย ทำได้แค่เพียงไม่ปรับฐานเงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง ยกเว้นเฉพาะหน่วยงานของเอกชนที่สามารถปลดคนงานหรือลดเงินเดือนได้ นั่นก็เป็นเพราะอำนาจต่อรองของลูกจ้างมีไม่มากพอ หรือเป็นเพราะเหตุจำเป็นจริงๆ บริษัทเจ๊งแล้วไม่มีเงินที่จะจ่ายแล้ว แต่ในแง่พฤติกรรมของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบ ถามว่ามีลูกจ้างคนไหนมั้ยที่ชอบให้ถูกไล่ออก หรือถูกลดเงินเดือน คงจะมีน้อยมากจริงๆ
นึกออกแค่นี้ครับ เหนื่อยแล้ว เสนอแนะได้เต็มที่ครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
2. ความแม่นยำในการทำนายพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ มีความแม่นยำค่อนข้างสูงมาก ไม่ใช่แม่นยำในระดับ 70% เท่านั้น แต่บางเรื่องมีความแม่นยำถึง 95 % เลยทีเดียว หรือบางเรื่องอาจจะแม่นมากกว่านี้อีก เช่น
2.1 ธรรมชาติของมนุษย์ที่เคยสบายแล้วจะไม่อยากกลับไปลำบากอีก ถ้าไม่มีเรื่องสุดวิสัยจริงๆ ผมว่าคำพูดนี้มีโอกาสถูกสูงมาก อาจจะมีกลุ่มน้อยๆที่ไม่เป็นอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาของการวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับคนหมู่มาก ยกตัวอย่างสิ่งที่อำนวยความสะดวกของมนุษย์เช่น ไฟฟ้า มือถือ โทรทัศน์ ตู้เย็น รถยนต์ รถไฟฟ้า รถเมล์ ถนนหนทาง น้ำประปา แอร์เย็นๆ
2.2 เมื่อเคยรู้แล้ว จะให้กลับไปไม่รู้อีกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับความจำนะครับ เพราะทุกคนย่อมที่จะเคย ลืม กันทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องที่รู้แล้วและก็จำได้ด้วยแต่หลอกตัวเองว่าไม่รู้ คิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เช่น เพื่อนๆช่วยเติมหน่อย ผมนึกไม่ออกแล้วอ่ะ แต่เชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ
2.3 เมื่อเคยได้มากแล้ว จะให้กลับไปได้น้อยๆคืน จะมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาแน่ๆ ยกตัวอย่าง เงินเดือนข้าราชการ มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่รัฐบาลจะสามารถลดเงินเดือนข้าราชการลงโดยไม่เกิดปัญหา แม้แต่ตอนที่ประเทศเกิดวิกฤติก็ยังทำไม่ได้เลย ทำได้แค่เพียงไม่ปรับฐานเงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง ยกเว้นเฉพาะหน่วยงานของเอกชนที่สามารถปลดคนงานหรือลดเงินเดือนได้ นั่นก็เป็นเพราะอำนาจต่อรองของลูกจ้างมีไม่มากพอ หรือเป็นเพราะเหตุจำเป็นจริงๆ บริษัทเจ๊งแล้วไม่มีเงินที่จะจ่ายแล้ว แต่ในแง่พฤติกรรมของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบ ถามว่ามีลูกจ้างคนไหนมั้ยที่ชอบให้ถูกไล่ออก หรือถูกลดเงินเดือน คงจะมีน้อยมากจริงๆ
นึกออกแค่นี้ครับ เหนื่อยแล้ว เสนอแนะได้เต็มที่ครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
- Tongue
- Verified User
- โพสต์: 725
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 9
แล้วพฤติกรรมคนเรา บางทีก็เหมือนๆกันในหลายประเทศครับ แบบถ้าที่หนึ่งดัง อีกที่ก็จะดังตาม
เช่น ตู้สติกเกอร์ starbuck Mcdonald hiphop
รู้สึกจะเรียก technology transferring
เพราะฉะนั้นถ้ามี สินค้าไหน หรือ ธุรกิจไหนดังๆที่อื่น แล้วเข้ามาก็มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จเหมือนๆกัน
เช่น ตู้สติกเกอร์ starbuck Mcdonald hiphop
รู้สึกจะเรียก technology transferring
เพราะฉะนั้นถ้ามี สินค้าไหน หรือ ธุรกิจไหนดังๆที่อื่น แล้วเข้ามาก็มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จเหมือนๆกัน
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 14
คุณหมอนอกจากอ่านขาดแล้วยังมีน้ำใจ ยังสรุปแก่นสำคัญๆมาให้พวกเราได้อ่านสรุปเอาไว้อีก ท่านใดสนใจก็ควรจะsaveเก็บไว้อ่านหลายๆครั้งนะครับ
สุดท้ายครับ จะมาชวนคุณหมอเลิกบุหรี่ด้วยกันครับ
สุดท้ายครับ จะมาชวนคุณหมอเลิกบุหรี่ด้วยกันครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 17
ไม่เคยซื้อเลย tom cei fancy ก็เลยยังไม่เจ็บ และไม่คิดการเลือกหุ้น กับแนวคิดจะเป็นแนวทางเดียวกัน
หมายถึง
เวลาซื้อหุ้น เราคิดว่าเราซื้อตัวนี้ เพราะแนว VI จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ เราอาจจะซื้อเพราะเพื่อนเชียร์ เราอาจจะซื้อเพราะเราเองคิดว่าดี เราอาจจะซื้อเพราะเห็นว่าอนาคตน่าจะดี เราอาจจะซื้อเพราะคิดว่าปลอดภัย
เป็นต้น
หมายถึง
เวลาซื้อหุ้น เราคิดว่าเราซื้อตัวนี้ เพราะแนว VI จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ เราอาจจะซื้อเพราะเพื่อนเชียร์ เราอาจจะซื้อเพราะเราเองคิดว่าดี เราอาจจะซื้อเพราะเห็นว่าอนาคตน่าจะดี เราอาจจะซื้อเพราะคิดว่าปลอดภัย
เป็นต้น
- tom
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 18
เห็นด้วยครับพี่เจ๋ง
ต้องยอมรับว่าอดีต ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ผมเป็นนักลงทุนประเภท ข
ไม่ยอมศึกษาและวิเคราะห์เองเท่าไหร่
เขาว่ามาเราก็ว่าตาม โดยไม่ได้ดูว่าตัวเองได้เข้าใจหุ้นตัวนั้นดีพอรึยัง
อีกอย่างตอนซื้อก็ซื้อด้วยกัน แต่ตอนขายตัวใครตัวมัน
ผมพยายามหาข้อบกพร่องจากความผิดพลาดครั้งก่อนๆ ก็พอจะมองออกนะครับว่า จังหวะการซื้อสำคัญเหนือยิ่งสิ่งใด ยิ่งเลือกหุ้นที่ดีด้วยแล้วมันก็เหมือนมีเกราะป้องกันการขาดทุนอีกชั้นหนึ่ง การติดตามข่าวสารก็สำคัญ อย่าง cei ถ้าพอรู้ข่าวว่าพื้นฐานอาจเปลี่ยนก็อาจจะขายทัน แต่โดยรวมรายย่อย(ยับ) คงไม่ทันรายใหญ่อยู่แล้วนะครับ
แต่จริงๆตอนนี้ยอมรับครับว่าได้ความรู้จากพี่ๆน้องๆ มากมาย แต่ยังไม่สามารถแปรความรู้ที่ได้ให้เป็นผลกำไรได้อย่างเป็นรูปธรรมเท่าไหร่ครับ
ก็หวังใจว่าจะได้รับความรู้จากที่นี่ต่อไป ไม่ต้องมากมาย ขอแบบน้อยๆแต่นานๆ ก็ได้นะครับอิอิ
ต้องยอมรับว่าอดีต ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ผมเป็นนักลงทุนประเภท ข
ไม่ยอมศึกษาและวิเคราะห์เองเท่าไหร่
เขาว่ามาเราก็ว่าตาม โดยไม่ได้ดูว่าตัวเองได้เข้าใจหุ้นตัวนั้นดีพอรึยัง
อีกอย่างตอนซื้อก็ซื้อด้วยกัน แต่ตอนขายตัวใครตัวมัน
ผมพยายามหาข้อบกพร่องจากความผิดพลาดครั้งก่อนๆ ก็พอจะมองออกนะครับว่า จังหวะการซื้อสำคัญเหนือยิ่งสิ่งใด ยิ่งเลือกหุ้นที่ดีด้วยแล้วมันก็เหมือนมีเกราะป้องกันการขาดทุนอีกชั้นหนึ่ง การติดตามข่าวสารก็สำคัญ อย่าง cei ถ้าพอรู้ข่าวว่าพื้นฐานอาจเปลี่ยนก็อาจจะขายทัน แต่โดยรวมรายย่อย(ยับ) คงไม่ทันรายใหญ่อยู่แล้วนะครับ
แต่จริงๆตอนนี้ยอมรับครับว่าได้ความรู้จากพี่ๆน้องๆ มากมาย แต่ยังไม่สามารถแปรความรู้ที่ได้ให้เป็นผลกำไรได้อย่างเป็นรูปธรรมเท่าไหร่ครับ
ก็หวังใจว่าจะได้รับความรู้จากที่นี่ต่อไป ไม่ต้องมากมาย ขอแบบน้อยๆแต่นานๆ ก็ได้นะครับอิอิ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 19
:lol: :lol: :lol: :lol:
ขอต่อครับ
น้อง Tongue บอกว่า
3. ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างของ แนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์ ก็คือ เกิดการแพร่กระจายมาสู่กันได้ เกิดการเลียนแบบกันได้ เช่น เลียนแบบดารา คนดัง คนมีชื่อเสียง คนรวย เป็นต้น
ตรงนี้ก็อาจจะเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่จะใช้พยากรณ์อนาคต คือผมว่าเมืองไทยไม่ได้อยู่แถวหน้าของโลก แต่มักจะเป็นผู้ตาม โดยเฉพาะตามอย่างอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น การตามอย่างก็มีทั้งที่เป็นเรื่องของกระแส ซึ่งมักจะขึ้นเร็วลงเร็ว หรือเป็นแนวโน้มพฤติกรรมซึ่งค่อนข้างยาวนานกว่ามาก
ดังนั้นถ้ามองอเมริกาตอนนี้ แล้วพบว่าธุรกิจใดที่สามารถเกิดขึ้นและคงอยู่แล้วก็เติบโตอยู่ได้ค่อนข้างยาวนาน ธุรกิจนั้นก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะทำได้ในเมืองไทย และถ้าธุรกิจใดเป็นที่นิยมในกรุงเทพ ก็มีแนวโน้มที่จะทำได้ในต่างจังหวัดในระยะเวลาที่ตามหลังสัก 10-20 ปี เป็นต้น
:lol: :lol: :lol: :lol:
ขอต่อครับ
น้อง Tongue บอกว่า
ขอcopy ความเห็นของน้อง Tongue มาหน่อยนะครับ ชอบหนะครับ เอามาเป็นข้อ 3. ซะเลยแล้วพฤติกรรมคนเรา บางทีก็เหมือนๆกันในหลายประเทศครับ แบบถ้าที่หนึ่งดัง อีกที่ก็จะดังตาม
เช่น ตู้สติกเกอร์ starbuck Mcdonald hiphop
รู้สึกจะเรียก technology transferring
เพราะฉะนั้นถ้ามี สินค้าไหน หรือ ธุรกิจไหนดังๆที่อื่น แล้วเข้ามาก็มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จเหมือนๆกัน
3. ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างของ แนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์ ก็คือ เกิดการแพร่กระจายมาสู่กันได้ เกิดการเลียนแบบกันได้ เช่น เลียนแบบดารา คนดัง คนมีชื่อเสียง คนรวย เป็นต้น
ตรงนี้ก็อาจจะเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่จะใช้พยากรณ์อนาคต คือผมว่าเมืองไทยไม่ได้อยู่แถวหน้าของโลก แต่มักจะเป็นผู้ตาม โดยเฉพาะตามอย่างอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น การตามอย่างก็มีทั้งที่เป็นเรื่องของกระแส ซึ่งมักจะขึ้นเร็วลงเร็ว หรือเป็นแนวโน้มพฤติกรรมซึ่งค่อนข้างยาวนานกว่ามาก
ดังนั้นถ้ามองอเมริกาตอนนี้ แล้วพบว่าธุรกิจใดที่สามารถเกิดขึ้นและคงอยู่แล้วก็เติบโตอยู่ได้ค่อนข้างยาวนาน ธุรกิจนั้นก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะทำได้ในเมืองไทย และถ้าธุรกิจใดเป็นที่นิยมในกรุงเทพ ก็มีแนวโน้มที่จะทำได้ในต่างจังหวัดในระยะเวลาที่ตามหลังสัก 10-20 ปี เป็นต้น
:lol: :lol: :lol: :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 20
:lol: :lol: :lol: :lol:
4. สรุปลักษณะของ แนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์มักจะโน้มเอียงไปในทางที่ชอบสิ่งที่ ดีขึ้นกว่าเก่า สะดวกกว่า ราคาถูกกว่า มีคุณภาพมากกว่า ใช้ง่ายมากกว่า มีอิสระมากกว่า ตอบสนองตัวตนได้มากกว่า ได้รับการยกย่องมากกว่า เท่ห์กว่า สวยกว่า โก้กว่า มันส์กว่า อร่อยกว่า ทนกว่า นิ่มกว่า ตื่นเต้นกว่า ประหยัดกว่า ฉลาดกว่า คุ้มกว่า ของแถมเยอะกว่า อืมมมม.....พอก่อน รวมความแล้วก็คือสิ่งที่มีลักษณะ Positive กว่าเดิมมั้งครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
4. สรุปลักษณะของ แนวโน้มพฤติกรรมมนุษย์มักจะโน้มเอียงไปในทางที่ชอบสิ่งที่ ดีขึ้นกว่าเก่า สะดวกกว่า ราคาถูกกว่า มีคุณภาพมากกว่า ใช้ง่ายมากกว่า มีอิสระมากกว่า ตอบสนองตัวตนได้มากกว่า ได้รับการยกย่องมากกว่า เท่ห์กว่า สวยกว่า โก้กว่า มันส์กว่า อร่อยกว่า ทนกว่า นิ่มกว่า ตื่นเต้นกว่า ประหยัดกว่า ฉลาดกว่า คุ้มกว่า ของแถมเยอะกว่า อืมมมม.....พอก่อน รวมความแล้วก็คือสิ่งที่มีลักษณะ Positive กว่าเดิมมั้งครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 25
เกิดขึ้น มีอยู่ และดับไป เป็นสัจธรรมอยู่แล้วครับกลัวจะเป็น เกิดขึ้น มีอยู่ และดับไป
สงสัยช่วงนี้จะอ่านหนังสือธรรมะมากไปหน่อย
ผมขอแค่ให้มันดับไปหลังผมก้อพอแล้ว ชาติหน้าค่อยมาหาบริษัทใหม่กัน :lovl: :lovl:
"Much success can be attributed to inactivity. Most investors cannot resist the temptation to constantly buy and sell."
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 26
พี่สามัญชนครับ ...
ไม่ทราบมีหนังสือตีแตกของท่านดร. อยู่ใกล้ๆใหมครับ
ลองหยิบกลับมาอ่านอีกรอบสิครับ
พี่ลองดูงบ CHOTI ตอนนั้นดูสิครับ...
ดูประวัติในอดีตของมันสิครับ ..
ถ้าพี่อยู่ณ.ช่วงเวลานั้น พีจะซื้อ CHOTI ใหมครับ
ลองมาอ่านบทที่ว่าด้วยเรื่องตีแตกดูสิครับ
มีทั้งหมด 4 ครั้ง ...
พี่ชอบครั้งใหนมากที่สุดครับ
สำหรับผม ชอบเรื่อง ธนชาติครับ
อาจารย์ท่านเก่งมากในเรื่องลดความเสี่ยง
มีหุ้นกู้ที่ให้ IRR = 30%
ท่านตีแตกไป 10 ล้าน ...
ที่เหลืออีก 3 เรื่อง ผมว่าเสี่ยงพอควร ถ้าจะถือยาว
ไม่ทราบมีหนังสือตีแตกของท่านดร. อยู่ใกล้ๆใหมครับ
ลองหยิบกลับมาอ่านอีกรอบสิครับ
พี่ลองดูงบ CHOTI ตอนนั้นดูสิครับ...
ดูประวัติในอดีตของมันสิครับ ..
ถ้าพี่อยู่ณ.ช่วงเวลานั้น พีจะซื้อ CHOTI ใหมครับ
ลองมาอ่านบทที่ว่าด้วยเรื่องตีแตกดูสิครับ
มีทั้งหมด 4 ครั้ง ...
พี่ชอบครั้งใหนมากที่สุดครับ
สำหรับผม ชอบเรื่อง ธนชาติครับ
อาจารย์ท่านเก่งมากในเรื่องลดความเสี่ยง
มีหุ้นกู้ที่ให้ IRR = 30%
ท่านตีแตกไป 10 ล้าน ...
ที่เหลืออีก 3 เรื่อง ผมว่าเสี่ยงพอควร ถ้าจะถือยาว
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 27
ผมก็มีคำถามกับบทความของ ดร.นิเวศน์ ในเรื่อง "อาณาจักร"ผมติดตามอ่านแนวคิดของ ดร.นิเวศน์ผ่านหนังสือพอคเก็ตบุ๊ค หนังสือพิมพ์ เวปไซด์ อย่างสม่ำเสมอ และก็คิดว่าเข้าใจหลักการแนวคิดพอสมควร แต่ในทางปฏิบัติ ผมเห็นท่านดร.นิเวศน์ซื้อหุ้นbigc hmpro แล้วก็ งง ! ไม่เข้าใจสาเหตุ ไม่เห็นมีอะไรน่าซื้อ พี่เจ๋งเองก็ซื้อ bigc ก็งงเหมือนกัน ซื้อไปทำไม กำไรก็กลางๆ ไม่โดดเด่น อนาคตอีกสิบปียอดขายจะเพิ่มมหาศาลหรือเปล่า ก็ไม่มีใครรู้ โอกาสถูกกับผิด 50-50 หุ้นเหล่านี้ผมก็เลยไม่เคยมองเลย ผมมองแต่ตัวบริษัทที่ทำกำไรได้แล้วแบบเห็นๆ หรือตัวที่ค่อนข้างชัวร์ๆระยะสั้นๆ 1-2 ปี ถ้ามากกว่านี้ก็ทำไม่ได้
ก็มาถึงบางอ้อในงานนี้เช่นเดียวกันครับ
เมื่ออ่านบทความเรื่อง "อาณาจักร" ผมก็พยายามหาคำตอบว่า
หุ้นอะไรที่กำลังสร้างอาณาจักรที่จะเฟื่องฟูต่อไปในอนาคต
คำตอบที่ได้จากในงานคือ Modern Trade ที่เป็นอันดับต้นๆ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 28
:lol: :lol: :lol: :lol:
ตอบน้องพงศ์ครับ
หนังสือตีแตกของพี่ไม่อยู่แล้วครับ มีน้องคนหนึ่งยืมไป แต่ผมจำไม่ได้ว่าคนไหนยืม ตอนนี้ยังไม่คืนเลย ฮ่าๆๆๆ
เท่าที่จำได้ เหตุผลที่ท่านดร. ซื้อ CHOTI ก็เพราะเรื่องค่าเงินบาทมั้งครับ จากเดิมที่กลุ่มส่งออก เคยขายได้ 1 ดอลลาร์ แลกเป็นเงินไทยได้ 25 บาท พอมาแลกได้ 45 บาท ท่านก็จัดการ CHOTI และกลุ่มส่งออกซะเรียบเลย
ส่วนตัวงบการเงินของCHOTI พี่จำไม่ได้ แต่เดาว่าคงจะอยู่ในลักษณะที่มีหนี้เป็นเงินต่างชาติน้อยๆกระมังครับ หรือไม่ก็คงไม่มีอะไรน่าเกลียด อยู่ในเกณฑ์ที่พอยอมรับได้หรือเปล่า
:lol: :lol: :lol: :lol:
ตอบน้องพงศ์ครับ
หนังสือตีแตกของพี่ไม่อยู่แล้วครับ มีน้องคนหนึ่งยืมไป แต่ผมจำไม่ได้ว่าคนไหนยืม ตอนนี้ยังไม่คืนเลย ฮ่าๆๆๆ
เท่าที่จำได้ เหตุผลที่ท่านดร. ซื้อ CHOTI ก็เพราะเรื่องค่าเงินบาทมั้งครับ จากเดิมที่กลุ่มส่งออก เคยขายได้ 1 ดอลลาร์ แลกเป็นเงินไทยได้ 25 บาท พอมาแลกได้ 45 บาท ท่านก็จัดการ CHOTI และกลุ่มส่งออกซะเรียบเลย
ส่วนตัวงบการเงินของCHOTI พี่จำไม่ได้ แต่เดาว่าคงจะอยู่ในลักษณะที่มีหนี้เป็นเงินต่างชาติน้อยๆกระมังครับ หรือไม่ก็คงไม่มีอะไรน่าเกลียด อยู่ในเกณฑ์ที่พอยอมรับได้หรือเปล่า
:lol: :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1474
- ผู้ติดตาม: 0
งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
โพสต์ที่ 29
สิ่งที่คุณสามัญชนกล่าวไว้ เหมือนทฤษฎ๊การบริโภคของ เซอร์ จอห์น เมอร์นาด เคนส์ เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะในส่วนการขยายทฤษฎี โดย ดูเซ็นเบอรี่ เรื่อง Relative Consumption เป็นไปในลักษณะเดียวกันเลยครับ ไม่น่าเชื่อนะครับไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์