ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 1
อย่างเช่นบางคนใช้ค่า P/E กี่เท่าๆ บางคนใช้Discount cash flow บางคนใช้ Asset play บางคนใช้ Dividen growth model
กรุณาช่วยยกตัวอย่าง ชื่อหุ้นและตัวเลขจริงๆ ให้ผมได้เห็นเป็นบุญตาด้วยครับ
ขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
กรุณาช่วยยกตัวอย่าง ชื่อหุ้นและตัวเลขจริงๆ ให้ผมได้เห็นเป็นบุญตาด้วยครับ
ขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 2
ทั้งหมดล้วนแต่เกิดจากเอาข้อมูลในปัจจุบันมาคูณกับตัวเลขที่คาดเดาทั้งนั้นอย่างเช่นบางคนใช้ค่า P/E กี่เท่าๆ บางคนใช้Discount cash flow บางคนใช้ Asset play บางคนใช้ Dividen growth model
มีใครกล้า เดาโชว์มั๊ยครับกรุณาช่วยยกตัวอย่าง ชื่อหุ้นและตัวเลขจริงๆ ให้ผมได้เห็นเป็นบุญตาด้วยครับ
ส่วนผม นั้น ไม่กล้าเดาโชว์ครับ
เดาเหมือนกัน แต่เก็บไว้โชว์ในใจ
เห็นนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทั่วไปบางคนนิยมทำตัวเลขนี้ในใจ แล้ว ลืมตัวไปว่าพวกนักวิเคราะห์แบบอื่น ว่าเอาอดีตมาเดาอนาคตบ้าง..
เห็นแล้วก็ขำ
ลืมไปว่าตัวเองก็เดา
WACC เนี่ยต่างคนต่างทำได้ตัวเลขไม่เท่ากัน
FCFเนี่ย หักโน่นหักเนี่ยด้วยตัวเลขไม่เท่ากัน
แล้วก็เอาWACCที่ไม่เท่ากันมาหาด้วยอัตราเติบโตที่ไม่เท่ากัน ยิ่งไม่เท่ากันไปใหญ่
ล้วนเกิดจากการคาดเดาทั้งนั้น
มีอะไรบอกได้บ้างไตรมาสต่อไปหรือปีถัดไปกำไรจะเติบโตในอัตราเดิมแล้วบ.จะจ่ายในอตราเปอร์เซ็นต์เดิมDividen growth model
การคาดเดานั้นจะคาดเดาได้ก็ต่อเมื่อ สถิติเดิมเช่นย้อนหลังไป10ปีมีแนวโน้มกำไรที่เห็นเป็นระบบ
ไม่ใช่แบบที่กำไรขึ้นๆลงๆ
มีคำถามว่า
บ.ทั้งตลาดมีกี่บ. ที่ทำกำไรได้แบบที่สามารถคาดเดาได้
ที่เห็นๆมีไม่ถึง5บ.แต่ล้วนแต่ราคาไม่น่าสนใจแล้วตอนนี้
โดยส่วนตัวแล้ว
งบการเงินผมมีไว้ตรวจสอบสุขภาพบ.ที่ผมลงทุนอยู่ว่ามีส่วนใดดีขึ้นหรือแย่ลง
แต่ไม่นิยมเอาไว้คาดเดาintrinsic valueครับ
ราคาที่เห็นทั้งในกระดานและintrinsic value ล้วนเป็นสิ่งไม่จริงทั้งนั้น
ที่จริงๆกว่าก็คือ
ความกลัว
ความโลภ
ความหวังต่างหาก
บทวิเคราะห์, intrinsic value, ที่คำนวนด้วยวิธีต่างๆ เส้นกร๊าฟ ,แนวรับ ,แนวต้าน สารพัด ล้วนคือเครื่องมือเชียร์แขกให้เกิด
ความกลัว
ความโลภ
ความหวัง
ทั้งนั้น
ควบคุมมันให้ดีๆก็แล้วกันแล้วจะเกิดประโยชน์ครับ
ผมว่าอย่างงั้น
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 3
เรื่อง Intrinsic Value นี่ถ้าให้อธิบายคงยาว หาหนังสืออ่านครับมีหลายๆเล่มใน ร้านหนังสือทั่วไป
-
- Verified User
- โพสต์: 194
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 4
สรุปว่าไม่มีหรอกครับวิธีตายตัวที่จะหา intrinsic value
เพราะไม่มีใครสามารถทายอนาคตตัวเองได้นั่นเอง
เพียงแต่นึก ทฤษฎีต่างๆนานามาประยุกต์ให้เข้ากับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ใครจะสามารถประเมินสถานการณ์ และเหตุการณ์ที่สามารถก่อให้เกิดความต่อเนื่องยาวนานๆ ได้ สำหรับบริษัทหนึ่งๆก็คือเรื่อง competitive advantage ที่ยั่งยืนนั่นเอง ( ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก นั่นแหละ)
"ความสามารถในเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน" นี้เองเป็น assumption ทั้งหมดของ mathematical model ที่จะตามมา เพียงเพราะว่าการใช้ assumption แบบนี้ เป็นอะไรที่น่าจะใกล้เคียงกับความจริงที่สุดในการที่จะทำนายอนาคต
ระยะยาวๆได้เป็น 20 ปี
แต่พอเกิดเหตุการณ์ บางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ไม่ใช่ว่า สูตรตายตัวที่แม้จะใช้มาเป็นสิบๆปีจะใช้ได้อีกต่อไป เพียงเพราะว่า assumption ที่เคยใช้มาในอดีตนั้นมันไม่เป็นความจริงอีกต่อไป.....
ยกตัวอย่าง การขายทิ้งหุ้น General Re ของ พี่ Warren Buffet เนื่องจากเหตุการณ์ 9/11 ที่ WTC NY ทั้งๆที่แกรักบริษัทนี้มากมาก่อน
:lol: :lol: 8)
เพราะไม่มีใครสามารถทายอนาคตตัวเองได้นั่นเอง
เพียงแต่นึก ทฤษฎีต่างๆนานามาประยุกต์ให้เข้ากับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ใครจะสามารถประเมินสถานการณ์ และเหตุการณ์ที่สามารถก่อให้เกิดความต่อเนื่องยาวนานๆ ได้ สำหรับบริษัทหนึ่งๆก็คือเรื่อง competitive advantage ที่ยั่งยืนนั่นเอง ( ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก นั่นแหละ)
"ความสามารถในเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน" นี้เองเป็น assumption ทั้งหมดของ mathematical model ที่จะตามมา เพียงเพราะว่าการใช้ assumption แบบนี้ เป็นอะไรที่น่าจะใกล้เคียงกับความจริงที่สุดในการที่จะทำนายอนาคต
ระยะยาวๆได้เป็น 20 ปี
แต่พอเกิดเหตุการณ์ บางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ไม่ใช่ว่า สูตรตายตัวที่แม้จะใช้มาเป็นสิบๆปีจะใช้ได้อีกต่อไป เพียงเพราะว่า assumption ที่เคยใช้มาในอดีตนั้นมันไม่เป็นความจริงอีกต่อไป.....
ยกตัวอย่าง การขายทิ้งหุ้น General Re ของ พี่ Warren Buffet เนื่องจากเหตุการณ์ 9/11 ที่ WTC NY ทั้งๆที่แกรักบริษัทนี้มากมาก่อน
:lol: :lol: 8)
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 5
เดิมทีจักรวาลนั้นว่างเปล่า อู๋จี๋ (Ou Chi) "หุ้นตัวนั้นยังไม่มีใครสนใจ"
ต่อมาจึงมีสิ่งที่ตามมาภายหลังความว่างเปล่าเรียกว่า ไท่จี๋ (Tai Chi) "หุ้นตัวนั้นเริ่มมีคนสนใจแต่ยังไม่ไปใหน แรงซื้อ=แรงขาย"
แล้วจึงเกิดการแบ่งแยกเป็นหยิน หยิน (YIN) และ หยาง (YANG) "แสดงทิศทางว่าขึ้นหรือลง แรงขายไม่เท่ากับแรงซื้อ"
เป็นขั้วซึ่งกำหนดขอบเขตของวัฏจักรแห่งการเปลี่ยน
แปลง เมื่อขั้วหนึ่งถึงจุดสูงสุดก็ต้องถอยให้กับอีกขั้วหนึ่ง จะเป็นเช่นนี้เสมอไป
"ที่สุดของภาวะหมีคือภาวะกระทิง ที่สุดของภาวะกระทิงก็คือภาวะหมี"
"ในภาวะหมีมีภาวะกระทิง ในภาวะกระทิงมีภาวะหมี"
"ที่สุดของแรงซื้อก็คือแรงขาย ที่สุดของแรงขายก็คือแรงซื้อ"
"ในแรงซื้อมีแรงขาย ในแรงขายมีแรงซื้อ"
"การดำรงอยู่อย่างเป็นสุขต้องทำตนให้สอดคล้องกับจักรวาล คือหลักสมดุลแห่งหยินหยาง"
"การเล่นหุ้นได้กำไรและมีความสุข ต้องเข้าออกอย่างสอดคล้องกับแรงขายและแรงซื้อของรายใหญ่"
ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนใหว ใช้ความอ่อนพิชิตความแข็ง ใช้ความช้าพิชิตความเร็ว
นิ่มอ่อน ผ่อนคลาย ลีลาเชื่องช้า มั่นคง พร้อมดูดซับพลังปรปักษ์แล้วโต้กลับได้ทุกเมื่อ
ที่สุดของหยินก็คือหยางอันกล้าแข็งอย่างยิ่ง
นี่คือหลักการใช้หยินพิชิตหยางในคัมภีร์เก้าอิมที่อาจนำเอามาใช้ในการเอาชนะตลาดหุ้นได้โดยไม่ยาก
"ทำตัวเป็นเหาฉลามแล้วจะเล่นหุ้นได้กำไรไม่ค่อยขาดทุน ทำตัวเป็นนักเลงหุ้นอาจต้องขาดทุนไม่ค่อยได้กำไร"
การทุบหุ้นของรายใหญ่ ผู้ที่เสียหายเยอะสุดสุดก็คือรายใหญ่และผู้ถือหุ้นใหญ่กับเจ้าของบริษัท ดังนั้นจึง ควรใช้หลักวิชาของมวยไท้เก็ก อันว่าด้วยการอ่อนตามและเกาะติด แล้วจึงโต้กลับด้วกระบวนท่าอันไร้กระบวนท่า ไร้กำลังแต่เปี่ยมด้วยแรง ไร้สภาวะแต่ดำรงอยู่ หยิน-หยางไม่ปรากฏ พร้อมเข้าตีปรปักษ์ได้ทุกเมื่อ อย่างไร้ตัวตน โดยอาศัยแรงของปรปักษ์ในการทำร้ายปรปักษ์
ไร้กระบวนท่าจึงเป็นสุดยอดกระบวนท่า
ไร้กำลังจึงมีแรง
ไร้ตัวตนจึงไร้พ่าย
ธรรมดาทั่วไปแล้ว
ผู้มีกำลังมากย่อมชนะผู้มีกำลังน้อย
ผู้ที่ว่องไวย่อมชนะผู้ที่เชื่องช้า
แต่
ด้วยหลักอ่อนหยุ่นพิชิตแกร่งกร้าว(สี่ตำลึงเหวี่ยงฟาดพันชั่ง)
นิ่งสงบสยบความเคลื่อนใหว
ลงมือทีหลังแต่ถึงก่อน
ดังนี้
ผู้มีกำลังน้อยย่อมชนะผู้มีกำลังมาก
ผู้ที่เชื่องช้าย่อมชนะผู้ที่ว่องไว
ได้โดยง่ายดาย
อย่าซื้อหุ้นในขณะที่แรงขายยังไม่หมด
รอให้แรงขายหมดแล้วจึงค่อยเข้าซื้อ
เมื่อไม่มีผู้รอซื้อรายใหญ่ย่อมซื้อกลับคืนรายย่อยจึงมีกำไร
รู้จักผู้อื่น ......... เป็นความฉลาด
รู้จักตัวเอง...... เป็นการรู้แจ้ง
ควบคุมผู้อื่น... ใช้กำลัง
ควบคุมตัวเอง .. ใช้ความเข้มแข็ง
คนที่รู้จักพอ..... เป็นคนร่ำรวย
ความบากบั่น ... เป็นเครื่องหมายของพลังจิต
มนุษย์ไปได้ไกล.... เท่าที่เขามีความอดทน
การตาย... โดยไม่สูญสิ้น ... เป็นการอยู่ชั่วนิรันดร์
ตำราทั่วไปมัก แบ่งแยกหุ้นดีกับหุ้นไม่ดี
แต่สำหรับข้า หาได้แบ่งแยกเช่นนั้นไม่
ข้ารู้จักแต่ หุ้นวิ่งกับหุ้นไม่วิ่งเท่านั้น
เพื่อการได้กำไรมากสุดในเวลาอันสั้นสุด
แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายด้วย
ข้ารู้ว่าเมื่อใดมันจะวิ่งเมื่อใดมันจะหยุดวิ่ง
และเมื่อใดมันจะวิ่งต่อ ด้วยการศึกษานิสัยของมัน
...เกมส์ของความกลัวและความอยาก...ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว....อย่ามองเพียงด้านเดียวจงมองให้รอบด้าน....เก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากแต่จงตัดสินใจเอง...
ผิดพลาดไม่ต้องโทษใครให้เสียกำลังใจจงแก้ตัวใหม่อย่าท้อถอย....ความสำเร็จรอคอยพวกเราอยู่แล้วข้างหน้า... โดย จูกัด เหลียง(KONGBANG2004)
ต่อมาจึงมีสิ่งที่ตามมาภายหลังความว่างเปล่าเรียกว่า ไท่จี๋ (Tai Chi) "หุ้นตัวนั้นเริ่มมีคนสนใจแต่ยังไม่ไปใหน แรงซื้อ=แรงขาย"
แล้วจึงเกิดการแบ่งแยกเป็นหยิน หยิน (YIN) และ หยาง (YANG) "แสดงทิศทางว่าขึ้นหรือลง แรงขายไม่เท่ากับแรงซื้อ"
เป็นขั้วซึ่งกำหนดขอบเขตของวัฏจักรแห่งการเปลี่ยน
แปลง เมื่อขั้วหนึ่งถึงจุดสูงสุดก็ต้องถอยให้กับอีกขั้วหนึ่ง จะเป็นเช่นนี้เสมอไป
"ที่สุดของภาวะหมีคือภาวะกระทิง ที่สุดของภาวะกระทิงก็คือภาวะหมี"
"ในภาวะหมีมีภาวะกระทิง ในภาวะกระทิงมีภาวะหมี"
"ที่สุดของแรงซื้อก็คือแรงขาย ที่สุดของแรงขายก็คือแรงซื้อ"
"ในแรงซื้อมีแรงขาย ในแรงขายมีแรงซื้อ"
"การดำรงอยู่อย่างเป็นสุขต้องทำตนให้สอดคล้องกับจักรวาล คือหลักสมดุลแห่งหยินหยาง"
"การเล่นหุ้นได้กำไรและมีความสุข ต้องเข้าออกอย่างสอดคล้องกับแรงขายและแรงซื้อของรายใหญ่"
ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนใหว ใช้ความอ่อนพิชิตความแข็ง ใช้ความช้าพิชิตความเร็ว
นิ่มอ่อน ผ่อนคลาย ลีลาเชื่องช้า มั่นคง พร้อมดูดซับพลังปรปักษ์แล้วโต้กลับได้ทุกเมื่อ
ที่สุดของหยินก็คือหยางอันกล้าแข็งอย่างยิ่ง
นี่คือหลักการใช้หยินพิชิตหยางในคัมภีร์เก้าอิมที่อาจนำเอามาใช้ในการเอาชนะตลาดหุ้นได้โดยไม่ยาก
"ทำตัวเป็นเหาฉลามแล้วจะเล่นหุ้นได้กำไรไม่ค่อยขาดทุน ทำตัวเป็นนักเลงหุ้นอาจต้องขาดทุนไม่ค่อยได้กำไร"
การทุบหุ้นของรายใหญ่ ผู้ที่เสียหายเยอะสุดสุดก็คือรายใหญ่และผู้ถือหุ้นใหญ่กับเจ้าของบริษัท ดังนั้นจึง ควรใช้หลักวิชาของมวยไท้เก็ก อันว่าด้วยการอ่อนตามและเกาะติด แล้วจึงโต้กลับด้วกระบวนท่าอันไร้กระบวนท่า ไร้กำลังแต่เปี่ยมด้วยแรง ไร้สภาวะแต่ดำรงอยู่ หยิน-หยางไม่ปรากฏ พร้อมเข้าตีปรปักษ์ได้ทุกเมื่อ อย่างไร้ตัวตน โดยอาศัยแรงของปรปักษ์ในการทำร้ายปรปักษ์
ไร้กระบวนท่าจึงเป็นสุดยอดกระบวนท่า
ไร้กำลังจึงมีแรง
ไร้ตัวตนจึงไร้พ่าย
ธรรมดาทั่วไปแล้ว
ผู้มีกำลังมากย่อมชนะผู้มีกำลังน้อย
ผู้ที่ว่องไวย่อมชนะผู้ที่เชื่องช้า
แต่
ด้วยหลักอ่อนหยุ่นพิชิตแกร่งกร้าว(สี่ตำลึงเหวี่ยงฟาดพันชั่ง)
นิ่งสงบสยบความเคลื่อนใหว
ลงมือทีหลังแต่ถึงก่อน
ดังนี้
ผู้มีกำลังน้อยย่อมชนะผู้มีกำลังมาก
ผู้ที่เชื่องช้าย่อมชนะผู้ที่ว่องไว
ได้โดยง่ายดาย
อย่าซื้อหุ้นในขณะที่แรงขายยังไม่หมด
รอให้แรงขายหมดแล้วจึงค่อยเข้าซื้อ
เมื่อไม่มีผู้รอซื้อรายใหญ่ย่อมซื้อกลับคืนรายย่อยจึงมีกำไร
รู้จักผู้อื่น ......... เป็นความฉลาด
รู้จักตัวเอง...... เป็นการรู้แจ้ง
ควบคุมผู้อื่น... ใช้กำลัง
ควบคุมตัวเอง .. ใช้ความเข้มแข็ง
คนที่รู้จักพอ..... เป็นคนร่ำรวย
ความบากบั่น ... เป็นเครื่องหมายของพลังจิต
มนุษย์ไปได้ไกล.... เท่าที่เขามีความอดทน
การตาย... โดยไม่สูญสิ้น ... เป็นการอยู่ชั่วนิรันดร์
ตำราทั่วไปมัก แบ่งแยกหุ้นดีกับหุ้นไม่ดี
แต่สำหรับข้า หาได้แบ่งแยกเช่นนั้นไม่
ข้ารู้จักแต่ หุ้นวิ่งกับหุ้นไม่วิ่งเท่านั้น
เพื่อการได้กำไรมากสุดในเวลาอันสั้นสุด
แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายด้วย
ข้ารู้ว่าเมื่อใดมันจะวิ่งเมื่อใดมันจะหยุดวิ่ง
และเมื่อใดมันจะวิ่งต่อ ด้วยการศึกษานิสัยของมัน
...เกมส์ของความกลัวและความอยาก...ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว....อย่ามองเพียงด้านเดียวจงมองให้รอบด้าน....เก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากแต่จงตัดสินใจเอง...
ผิดพลาดไม่ต้องโทษใครให้เสียกำลังใจจงแก้ตัวใหม่อย่าท้อถอย....ความสำเร็จรอคอยพวกเราอยู่แล้วข้างหน้า... โดย จูกัด เหลียง(KONGBANG2004)
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 6
เห็นด้วยกับทุกท่านที่ว่าไม่มีค่าที่ถูกต้องแท้จริง เป็นการประมาณการบนสมมติฐานที่แตกต่าวกันเท่านั้น แต่ประโยชน์ของมันก็มีพอควร เช่นใช้เป็นตัวเปรียบเทียบในบ.ที่ใกล้เคียงกัน แนวโน้มของบริษัท บางทีอาจใช้ค่าต่างๆเช่น pe มาทำเป็นกราฟก็ได้
ชอบคำของคุณจูกัดเหลียง และหวังว่า Mr.Market ใม่ใช่อาเต๊า ลูกเล่าปี่กลับชาติมาเกิดนะครับ
ชอบคำของคุณจูกัดเหลียง และหวังว่า Mr.Market ใม่ใช่อาเต๊า ลูกเล่าปี่กลับชาติมาเกิดนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 8
ถ้าไม่มีการกำหนด instrinsic value กันไว้ แล้วทุกท่านมีเป้าหมายราคาที่จะ "ซื้อ" แล้วมี margin of safety หรือ ถ้าหุ้นวิ่งไปเท่าไหร่ เราจึงจะควร "ขาย" ทุกท่านจะกำหนดอย่างไร
ถ้ากำหนดแบบท่าน จูกัดเหลียง (แห่งเวปกระทิงเขียว) ว่าซื้อตามเทรนแรงขายแรงซื้อแบบนั้น โดยไม่สนใจผลประกอบการ ไม่สนใจstory ไม่สนใจกิจการว่าทำมาหากินอะไร อย่างนั้นหรือ? แล้วท่านจะเลือกซื้อหุ้นตัวไหนล่ะ เพราะ แต่ละตัวไม่ได้ขึ้นหรือลงในอัตราเท่า set index ทั้งหมด ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ
ท่านอื่นๆช่วยแนะนำนักลงทุนผู้โง่เขลาคนนี้ด้วย
ขอขอบคุณ
ถ้ากำหนดแบบท่าน จูกัดเหลียง (แห่งเวปกระทิงเขียว) ว่าซื้อตามเทรนแรงขายแรงซื้อแบบนั้น โดยไม่สนใจผลประกอบการ ไม่สนใจstory ไม่สนใจกิจการว่าทำมาหากินอะไร อย่างนั้นหรือ? แล้วท่านจะเลือกซื้อหุ้นตัวไหนล่ะ เพราะ แต่ละตัวไม่ได้ขึ้นหรือลงในอัตราเท่า set index ทั้งหมด ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ
ท่านอื่นๆช่วยแนะนำนักลงทุนผู้โง่เขลาคนนี้ด้วย
ขอขอบคุณ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 194
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 9
เอ้า ถ้าอยากได้ผมลอกมาให้แบบนี้รึกัน
ลอกจาก owner's manual ของ BERKSHIRE
INTRINSIC VALUE
Intrinsic Value is an all-important concept that offers the only logical approach to evaulating attractiveness of investments and businesses. Intrinsic value can be defined simply: It is the discounted value of the cash that can be taken out of a business during its remaining life.
The calculation of intrinsic value is not simple. As our definition suggestes, intrinsic value is an estimate rather than a precise figure, and it is additionally an estimate that must be changed if interest rates move or forecasts of future cash flows are revised.
Two people looking at the same set of facts, ( แม้แต่ พี่ warren กับพี่ charles partners แก ) will almost inevitably come up with at least slightly different intrinsic value figures. That is one reason we never give you our estimates of intrinsic value. What our annual reports os supply, though, are the facts that we ourselves use to calculate this value....
The disparity can go in either direction. For Example in 1964 we could state with certitude that BERKSHIRE's per share book value was$19.46. However, that figure considerably overstated the company's intrinsic value, since all of the company's resource were tied up in a sub-profitable textile business. Our textile assets had neither going-concern nor liquidation values equal to their carrying values. Today, however, BERKSHIRE's situation is reversed: Now our book value far understates BERKSHIRE's intrinsic value, a point true because many of the business we control are worth much more than their carrying value....
ผมเมื่อยแล้วล่ะ หวังว่าคงได้อะไรจาก บทความโดย warren ข้างต้นนะครับ :lol:
ลอกจาก owner's manual ของ BERKSHIRE
INTRINSIC VALUE
Intrinsic Value is an all-important concept that offers the only logical approach to evaulating attractiveness of investments and businesses. Intrinsic value can be defined simply: It is the discounted value of the cash that can be taken out of a business during its remaining life.
The calculation of intrinsic value is not simple. As our definition suggestes, intrinsic value is an estimate rather than a precise figure, and it is additionally an estimate that must be changed if interest rates move or forecasts of future cash flows are revised.
Two people looking at the same set of facts, ( แม้แต่ พี่ warren กับพี่ charles partners แก ) will almost inevitably come up with at least slightly different intrinsic value figures. That is one reason we never give you our estimates of intrinsic value. What our annual reports os supply, though, are the facts that we ourselves use to calculate this value....
The disparity can go in either direction. For Example in 1964 we could state with certitude that BERKSHIRE's per share book value was$19.46. However, that figure considerably overstated the company's intrinsic value, since all of the company's resource were tied up in a sub-profitable textile business. Our textile assets had neither going-concern nor liquidation values equal to their carrying values. Today, however, BERKSHIRE's situation is reversed: Now our book value far understates BERKSHIRE's intrinsic value, a point true because many of the business we control are worth much more than their carrying value....
ผมเมื่อยแล้วล่ะ หวังว่าคงได้อะไรจาก บทความโดย warren ข้างต้นนะครับ :lol:
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 10
แหมพวกพี่ๆนี่ไม่ช่วยตอบแบบตรงๆให้ดูซะหน่อยเหรอครับ
ผมเองไม่ค่อยเก่งนะครับแต่จะลองตอบดูนะครับเอาความรู้จากการอ่านหนังสือและในกระทู้ต่างๆ โดยเฉพาะกะทู้ตระแกรงร่อนหุ้นนั่นเอง เริ่มเลยนะครับ
เรื่องการหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆ ด้วยวิธีต่างๆก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าสูตรที่นำมาคิดคำนวณนั้นมีแนวคิดอย่างไร
1. P/E ratio นั้นเราคิดว่าราคาที่เราจ่ายวันนี้จะคุ้มทุนเมื่อไร P ก็คือราคาที่เราจ่าย Eก็คือกำไรที่บริษัทจะทำได้และคืนมาให้เราซึ่งสิ่งที่จะทำให้ระยะเวลาคุ้มทุนเปลี่ยนไปคือ อะไรคิดออกไหมครับ ก็คือกำไรที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปีนั่นเองยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นก็คืนทุนเร็วและหากกำไรลดลงก็คืนทุนช้าลงก็เท่านั้นเอง ส่วนมูลค่าที่คิดจากวิธีนี้ว่าเป็นกี่เท่าๆ นั้นผมว่าขึ้นกับความพอใจว่าคุณต้องการคืนทุนในกี่ปีเท่านั้นเอง ส่วนที่นักวิเคราะห์ผมเห็นว่าใช้P/E ในอดีตว่าเคยซื้อขายที่กี่เท่า หรือ P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นในขณะนั้น
2.จะเห็นว่า P/E ratio นั้นมีปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนของกำไรในอนาคตซึ่งหากเราพอทำนายได้เราอาจจะปรับเป็น PEG ratio แทนก็ได้ในการดูว่าหากบริษัทมีการเติบโตหรือชลอตัว จะคืนทุนในกี่ปี
ในกรณีของวิธีอื่นๆผมไม่ค่อยจะศึกษาเท่าไรรอพี่ๆ เก่งๆมาตอบแล้วกันนะครับ
* สิ่งที่สำคัญของการประเมินมูลค่าคือค่ากำไรหรือเงินสดในอนาคตที่เราประมาณได้ครับ รวมทั้ง พารามิเตอร์ต่างๆในสูตรนั้นๆ หากเราประมาณผิดก็เรียกว่าคิดมูลค่าผิดไปเลยครับ*
*ซึ่งพี่ๆเค้าแนะนำว่าให้เราประมาณค่าพารามิเตอร์ออกมาหลายๆแบบแล้วทำเปรียบเทียบกัน จะเหนภาพมากขึ้นครับว่ามูลค่าที่แท้จริงในสถานการ์ณต่างๆจะมีค่าเท่าไร แล้วหากราคาของหุ้นเทียบกับการประมาณแล้วยังให้ความรู้สึกสำหรับเราว่ายังถูก อยู่ก็เข้าซื้อเท่านั้นเองครับ*
ทั้งนี้อย่าลืมสมมุติฐานเรื่องการที่ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าของมันก็ต่อเมื่อเราให้เวลามันวิ่งในระยะยาวเท่านั้นนะครับ เรื่องซื้อขายเร็วๆนี่ลืมเรื่องมูลค่าที่แท้จริงไปเถอะครับ มันไม่ช่วยอะไรหรอกครับดูเทคนิคดีกว่า
สำหรับผมดู divined เป็นหลักในการประมาณค่าตัวที่ผมซื้อยาวแบบลงทุนคือ ผมมองว่าในอดีตบริษัทปันผลอย่างไรสมำเสมอไหมแล้วอนาคตของธุรกิจจะไปได้กี่ปี(เดาเอา) หาก 5 ปีพอไหวผมก็พอใจแล้วไม่หวังเติบโตอะไร ที่นี้ก็มาดูว่าปันผลปีที่ผ่านมาเท่าไร(ต้องสมำเสมอเทียบกับปีก่อนๆนะ) หากมากกว่า 5 % ก็โอเคแล้วสำหรับผมก็ถือว่าพอได้เงินมาปลอบใจส่วนกำไรที่เหลือจากการปันผลก็คงอยู่ในราคาหุ้นเองแหละให้เวลาตั้ง 5 ปีคงสะท้อนอะไรได้บ้างก็เท่านั้นเองครับ
ผมเองไม่ค่อยเก่งนะครับแต่จะลองตอบดูนะครับเอาความรู้จากการอ่านหนังสือและในกระทู้ต่างๆ โดยเฉพาะกะทู้ตระแกรงร่อนหุ้นนั่นเอง เริ่มเลยนะครับ
เรื่องการหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆ ด้วยวิธีต่างๆก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าสูตรที่นำมาคิดคำนวณนั้นมีแนวคิดอย่างไร
1. P/E ratio นั้นเราคิดว่าราคาที่เราจ่ายวันนี้จะคุ้มทุนเมื่อไร P ก็คือราคาที่เราจ่าย Eก็คือกำไรที่บริษัทจะทำได้และคืนมาให้เราซึ่งสิ่งที่จะทำให้ระยะเวลาคุ้มทุนเปลี่ยนไปคือ อะไรคิดออกไหมครับ ก็คือกำไรที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปีนั่นเองยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นก็คืนทุนเร็วและหากกำไรลดลงก็คืนทุนช้าลงก็เท่านั้นเอง ส่วนมูลค่าที่คิดจากวิธีนี้ว่าเป็นกี่เท่าๆ นั้นผมว่าขึ้นกับความพอใจว่าคุณต้องการคืนทุนในกี่ปีเท่านั้นเอง ส่วนที่นักวิเคราะห์ผมเห็นว่าใช้P/E ในอดีตว่าเคยซื้อขายที่กี่เท่า หรือ P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นในขณะนั้น
2.จะเห็นว่า P/E ratio นั้นมีปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนของกำไรในอนาคตซึ่งหากเราพอทำนายได้เราอาจจะปรับเป็น PEG ratio แทนก็ได้ในการดูว่าหากบริษัทมีการเติบโตหรือชลอตัว จะคืนทุนในกี่ปี
ในกรณีของวิธีอื่นๆผมไม่ค่อยจะศึกษาเท่าไรรอพี่ๆ เก่งๆมาตอบแล้วกันนะครับ
* สิ่งที่สำคัญของการประเมินมูลค่าคือค่ากำไรหรือเงินสดในอนาคตที่เราประมาณได้ครับ รวมทั้ง พารามิเตอร์ต่างๆในสูตรนั้นๆ หากเราประมาณผิดก็เรียกว่าคิดมูลค่าผิดไปเลยครับ*
*ซึ่งพี่ๆเค้าแนะนำว่าให้เราประมาณค่าพารามิเตอร์ออกมาหลายๆแบบแล้วทำเปรียบเทียบกัน จะเหนภาพมากขึ้นครับว่ามูลค่าที่แท้จริงในสถานการ์ณต่างๆจะมีค่าเท่าไร แล้วหากราคาของหุ้นเทียบกับการประมาณแล้วยังให้ความรู้สึกสำหรับเราว่ายังถูก อยู่ก็เข้าซื้อเท่านั้นเองครับ*
ทั้งนี้อย่าลืมสมมุติฐานเรื่องการที่ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าของมันก็ต่อเมื่อเราให้เวลามันวิ่งในระยะยาวเท่านั้นนะครับ เรื่องซื้อขายเร็วๆนี่ลืมเรื่องมูลค่าที่แท้จริงไปเถอะครับ มันไม่ช่วยอะไรหรอกครับดูเทคนิคดีกว่า
สำหรับผมดู divined เป็นหลักในการประมาณค่าตัวที่ผมซื้อยาวแบบลงทุนคือ ผมมองว่าในอดีตบริษัทปันผลอย่างไรสมำเสมอไหมแล้วอนาคตของธุรกิจจะไปได้กี่ปี(เดาเอา) หาก 5 ปีพอไหวผมก็พอใจแล้วไม่หวังเติบโตอะไร ที่นี้ก็มาดูว่าปันผลปีที่ผ่านมาเท่าไร(ต้องสมำเสมอเทียบกับปีก่อนๆนะ) หากมากกว่า 5 % ก็โอเคแล้วสำหรับผมก็ถือว่าพอได้เงินมาปลอบใจส่วนกำไรที่เหลือจากการปันผลก็คงอยู่ในราคาหุ้นเองแหละให้เวลาตั้ง 5 ปีคงสะท้อนอะไรได้บ้างก็เท่านั้นเองครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 11
การหาค่าของมูลค่ากิจการนั้นก็มีหลายวิธี เราก็ควรที่จะรู้ที่มาที่ไปของแต่ละสูตรให้ชัดเจนและละเอียด (บางสูตรผมก็ไม่เห็นด้วย)
และเนื่องจากสูตรก็มีหลายวิธี แต่ละวิธีคำนวณออกมาก็ได้หลายค่า แล้วเราจะใช้ตัวไหนละ
ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเราต้องการอะไรในการลงทุน เช่น
ถ้าเรากำลังจะคิดว่าสร้างโรงงานใหม่หรือว่าซื้อโรงงานของบริษัทอื่น เราก็ใช้วิธีมูลค่าตามบัญชี (แต่ต้องปรับปรุงให้ค่าใกล้เคียงราคาตลาดก่อนนะครับ)
ถ้าเราลงทุนเพื่อหวังกระแสเงินสดที่ได้รับจากกิจการ เราก็ควรที่จะใช้ Dividend Discount Cashflow
บางทีเราอาจจะคำนวณสูตรของเราเองเพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการลงทุนของเราก้ได้นะครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
และเนื่องจากสูตรก็มีหลายวิธี แต่ละวิธีคำนวณออกมาก็ได้หลายค่า แล้วเราจะใช้ตัวไหนละ
ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเราต้องการอะไรในการลงทุน เช่น
ถ้าเรากำลังจะคิดว่าสร้างโรงงานใหม่หรือว่าซื้อโรงงานของบริษัทอื่น เราก็ใช้วิธีมูลค่าตามบัญชี (แต่ต้องปรับปรุงให้ค่าใกล้เคียงราคาตลาดก่อนนะครับ)
ถ้าเราลงทุนเพื่อหวังกระแสเงินสดที่ได้รับจากกิจการ เราก็ควรที่จะใช้ Dividend Discount Cashflow
บางทีเราอาจจะคำนวณสูตรของเราเองเพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการลงทุนของเราก้ได้นะครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 12
ขอขอบคุณคำแนะนำต่างๆครับ
แต่ผมก็ยังคาใจอยู่ดี ว่าทุกท่านมีหลักการและการคำนวนอย่างไร ในการจะซื้อหรือจะขายในราคาเท่าไหร่และเมื่อไหร่ หรือคือการนำเอาทฤษฎีมาใช้ในการปฎิบัติจริงนั่นเอง ผมแค่อยากเห็นจากตัวอย่างหุ้นจริงๆ ตัวเลขจริงๆ น่ะครับ
อาจจะดูเหมือนดื้อดึง แต่มันคาใจนะครับ
ขอรบกวนทุกท่านเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับกระทู้นี้
แต่ผมก็ยังคาใจอยู่ดี ว่าทุกท่านมีหลักการและการคำนวนอย่างไร ในการจะซื้อหรือจะขายในราคาเท่าไหร่และเมื่อไหร่ หรือคือการนำเอาทฤษฎีมาใช้ในการปฎิบัติจริงนั่นเอง ผมแค่อยากเห็นจากตัวอย่างหุ้นจริงๆ ตัวเลขจริงๆ น่ะครับ
อาจจะดูเหมือนดื้อดึง แต่มันคาใจนะครับ
ขอรบกวนทุกท่านเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับกระทู้นี้
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 13
น้องกั๊ม น้องอย่างเพิ่ง น้อยใจไป พี่ๆ ใน TVI เท่าที่เห็นใจดีกว่าที่น้องคิดมากนัก
ตัวผมเองนั้น ก็เคยมีปัญหาแบบน้องกั๊ม ตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ เป็นเรื่องยากนักที่จะไปปรึกษาใคร
และถามหาใครด้วยเนื้อหาที่มากและเกรงใจ แต่ท้ายที่สุดอยู่ที่ตัวเราครับ
พี่แนะอยากให้ลองเริ่มไล่อ่านกระทู้ตะแกงร่อนตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้าย
แล้วหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่านเยอะๆครับ
หนังสือหลายเล่มก็มีการแนะนำในกระทู้ตะแกงร่อนอยู่แล้ว
สงสัยรายละเอียดปลีกย่อยอะไร ลอง Search กระทู้เก่าดู
ถ้าหาไม่เจอถามพี่ๆ ใน TVI ยินดีช่วยตอบอยู่แล้วครับ
แนะนำถาม เฮียมน เฮียวิบูลย์ พี่ Chatchai พี่ Ayethebing พี่ CK พี่นักดูดาว พี่เจ๋ง พี่ลูกอีสาน
และนักลงทุนตำนาน เช่น ป๋าปรัชญา ป๋าครรชิต และคุณลุงขวด ครับ
พี่ก็เริ่มจากเว็ปแห่งนี้เหมือนกันครับ
พี่เชื่อว่าเพียงเวลาไม่ถึงปีด้วยเนื้อหาภายในเว็ปนี้ที่เหล่าสมาชิกได้ร่วมกันสร้างสรร
จะทำให้น้องบรรลุเป้าหมายที่หวังได้ครับ
จากพี่ Wvix ผู้ใจดี
ตัวผมเองนั้น ก็เคยมีปัญหาแบบน้องกั๊ม ตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ เป็นเรื่องยากนักที่จะไปปรึกษาใคร
และถามหาใครด้วยเนื้อหาที่มากและเกรงใจ แต่ท้ายที่สุดอยู่ที่ตัวเราครับ
พี่แนะอยากให้ลองเริ่มไล่อ่านกระทู้ตะแกงร่อนตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้าย
แล้วหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่านเยอะๆครับ
หนังสือหลายเล่มก็มีการแนะนำในกระทู้ตะแกงร่อนอยู่แล้ว
สงสัยรายละเอียดปลีกย่อยอะไร ลอง Search กระทู้เก่าดู
ถ้าหาไม่เจอถามพี่ๆ ใน TVI ยินดีช่วยตอบอยู่แล้วครับ
แนะนำถาม เฮียมน เฮียวิบูลย์ พี่ Chatchai พี่ Ayethebing พี่ CK พี่นักดูดาว พี่เจ๋ง พี่ลูกอีสาน
และนักลงทุนตำนาน เช่น ป๋าปรัชญา ป๋าครรชิต และคุณลุงขวด ครับ
พี่ก็เริ่มจากเว็ปแห่งนี้เหมือนกันครับ
พี่เชื่อว่าเพียงเวลาไม่ถึงปีด้วยเนื้อหาภายในเว็ปนี้ที่เหล่าสมาชิกได้ร่วมกันสร้างสรร
จะทำให้น้องบรรลุเป้าหมายที่หวังได้ครับ
จากพี่ Wvix ผู้ใจดี
- HI.ผมเอง
- Verified User
- โพสต์: 811
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 14
ลองไปยืนอ่าน2เล่มนี้ที่se-edดูก่อนว่าตรงกับที่อยากรู้มั๊ยแล้วค่อยซื้อนะ
เป็นเล่มที่อ่านเข้าใจง่ายหากไม่มีพื้นฐานมาก่อน แล้วค่อยอ่านที่ละเอียดขึ้นไปอีก
มีตัวอย่างให้ดูด้วย เพียงแต่วิธีการหา wacc ของเค้าไม่ค่อยเหมาะสมซักเท่าไหร่ในความเห็นผมนะ
แต่อย่างที่บอกหน่ะ
อย่าไปใส่ใจในการหา intrinsic value ให้มากไปเลย
มันล้วนแต่เกิดจากการคาดเดาทั้งนั้น แถมต้องเดายาวๆเกิน5ปีอีก
แค่เดาข้ามปียังยากเลย
แค่รู้ไว้เพื่อเวลาอ่านบทวิเคราะห์ ว่าทำไมนักวิเคราะห์คนนี้ถึงให้ที่มาราคาเป้าหมายไว้ที่ราคานี้โดยคิดที่ WACC เท่าไหร่ FCF เท่าไหร่ สมเหตุสมผลมั๊ย
และที่สำคัญกว่าคือ
คนอื่นทั่วไปมองว่าราคาเป้าหมายนี้ ฝังอยู่ในหัวตอนที่มีความโลภ ความหวัง และความกลัวแค่ไหน
โดยส่วนตัวแล้ว
ผมมองว่า
การดูที่ inventory turn over ratio
กับ a/r receivable turn over ratio
น่าจะส่งสัญญาณ ดีหรือร้ายได้ดีกว่า(ในกรณีที่ครอบครองหุ้นตัวนั้นแล้ว)
แล้วให้ความสำคัญกับ งบกระแสเงินสดมากกว่า เรื่องอื่นๆน่ะ
เพราะงบดุล งบกำไรขาดทุน มันสำคัญก็จริง แต่มันไม่ค่อยบอกเรื่องความสามารถในการทำกำไรที่เป็นเงินสดได้ดีเท่ากับ งบกระแสเงินสดเท่าไหร่
เป็นเล่มที่อ่านเข้าใจง่ายหากไม่มีพื้นฐานมาก่อน แล้วค่อยอ่านที่ละเอียดขึ้นไปอีก
มีตัวอย่างให้ดูด้วย เพียงแต่วิธีการหา wacc ของเค้าไม่ค่อยเหมาะสมซักเท่าไหร่ในความเห็นผมนะ
แต่อย่างที่บอกหน่ะ
อย่าไปใส่ใจในการหา intrinsic value ให้มากไปเลย
มันล้วนแต่เกิดจากการคาดเดาทั้งนั้น แถมต้องเดายาวๆเกิน5ปีอีก
แค่เดาข้ามปียังยากเลย
แค่รู้ไว้เพื่อเวลาอ่านบทวิเคราะห์ ว่าทำไมนักวิเคราะห์คนนี้ถึงให้ที่มาราคาเป้าหมายไว้ที่ราคานี้โดยคิดที่ WACC เท่าไหร่ FCF เท่าไหร่ สมเหตุสมผลมั๊ย
และที่สำคัญกว่าคือ
คนอื่นทั่วไปมองว่าราคาเป้าหมายนี้ ฝังอยู่ในหัวตอนที่มีความโลภ ความหวัง และความกลัวแค่ไหน
โดยส่วนตัวแล้ว
ผมมองว่า
การดูที่ inventory turn over ratio
กับ a/r receivable turn over ratio
น่าจะส่งสัญญาณ ดีหรือร้ายได้ดีกว่า(ในกรณีที่ครอบครองหุ้นตัวนั้นแล้ว)
แล้วให้ความสำคัญกับ งบกระแสเงินสดมากกว่า เรื่องอื่นๆน่ะ
เพราะงบดุล งบกำไรขาดทุน มันสำคัญก็จริง แต่มันไม่ค่อยบอกเรื่องความสามารถในการทำกำไรที่เป็นเงินสดได้ดีเท่ากับ งบกระแสเงินสดเท่าไหร่
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 15
มาที่ปัญหาโลกแตกกันอีกแล้วครับ ตามที่คุณ FithเอาของBuffettมาให้อ่านนั่นแหละใช่เลยครับ Intrinsic Valueไม่มีสูตรตายตัวครับ มันปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาและปัจจัยหลายอย่างเปลี่ยนมันจะเปลี่ยนตาม
ถามว่ามีIntrinsic Valueไหม ตอบตามความเชื่อของผม มันมีครับ แต่มันไม่ตรงเพงเลยหรอกครับ เพราะตัวแปรมันไม่มีทางตรงกันได้ ซึ่งจะบอกว่าเดาก็ไม่ผิดหรอก แต่เดาแบบมีวิธีคิดในเชิงตรรกะพอสมควร ไม่มั่วนั่นเอง
สิ่งที่คุณเจ้าของกระทู้ต้องการหานั้น เป็นการหา Intrinsic Valueในเชิงปริมาณครับ แต่Intrinsic Valueในเชิงคุณภาพต้องมาก่อน และการวิเคราะห์เชิงปริมาณจะเป็นตัวยืนยันสมมุติฐานในเชิงคุณภาพ ว่าสมมุติฐานที่ตั้งมามันถูกหรือผิด มากน้อยอย่างไร
เรื่องการวิเคราะห์เชิงคุณภาพคงต้องรบกวนค้นอ่านในกระทู้เก่าๆจะมีมากครับ ส่วนIntrinsic value หาอ่านได้จากหนังสือที่เพื่อนๆแนะนำครับ หรือรออ่าน Biz Weekครับ Comming Soon!
ถามว่ามีIntrinsic Valueไหม ตอบตามความเชื่อของผม มันมีครับ แต่มันไม่ตรงเพงเลยหรอกครับ เพราะตัวแปรมันไม่มีทางตรงกันได้ ซึ่งจะบอกว่าเดาก็ไม่ผิดหรอก แต่เดาแบบมีวิธีคิดในเชิงตรรกะพอสมควร ไม่มั่วนั่นเอง
สิ่งที่คุณเจ้าของกระทู้ต้องการหานั้น เป็นการหา Intrinsic Valueในเชิงปริมาณครับ แต่Intrinsic Valueในเชิงคุณภาพต้องมาก่อน และการวิเคราะห์เชิงปริมาณจะเป็นตัวยืนยันสมมุติฐานในเชิงคุณภาพ ว่าสมมุติฐานที่ตั้งมามันถูกหรือผิด มากน้อยอย่างไร
เรื่องการวิเคราะห์เชิงคุณภาพคงต้องรบกวนค้นอ่านในกระทู้เก่าๆจะมีมากครับ ส่วนIntrinsic value หาอ่านได้จากหนังสือที่เพื่อนๆแนะนำครับ หรือรออ่าน Biz Weekครับ Comming Soon!
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4637
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 16
ผมอ่านเจอในหนังสือ กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า Value Investing Made Easy โดย คุณ Janet Lowe หน้า 101 เขาบอกว่า
แล้วดูว่า ราคาตลาด อยู่สูงหรือต่ำ ถูกหรือแพง กว่า มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) ที่เราหาได้นี้
ผมเองก็ไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดหา Intrinsic Value ตามสูตรนี้ สักที่
ผมดูแต่จากประวัติงบดุล
ดูการเจริญเติบโตของ EPS
ดูว่าเป็นธุรกิจที่ดีหรือเปล่าโดยดูที่ ROA% ROE% PM% ต้องสูงเข้าไว้
แล้วมาดูว่ายังราคาถูกอยู่หรือเปล่าที่ P/E ฺP/BV อัตราการจ่ายปันผล
ดูรวมๆแล้ว ถ้าพอใจก็ซื้อ
มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) ควรอยู่ที่เท่าใดสูตรการหา มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) ของแกรแฮม มีดังนี้
มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) = E(2r+8.5)*4.4/Y
มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) = EPS(2*อัตราเปลี่ยนแปลงของกำไร+P/Eอ้างอิง)*ค่าคงที่(4.4)/อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) = EPSปีที่ผ่านมา*(P/Eที่คาดการณ์ในอนาคต)*4.4/อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
E = ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทปีสุดท้าย (EPS)
อย่างเช่น EPS 46 = 8
r = คาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไร
อย่างเช่น ถ้า EPS 46 = 8
และเราคาดการณ์ว่า EPS 47 = 9
ฉนั้น r = (9-8 )/8 = 0.125
การคูณด้วย 2 ผมเดาเอาว่า แกรแฮม คงคาดว่า
ค่า P/E จะเปลี่ยนแปลงเป็น 2 เท่าของการเปลี่ยนแปลงของ EPS เสมอ
เนื่องจาก ตลาดมักตอบสนองเกินจริง เสมอ
Y = ผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับในระดับ AAA
อย่างเช่น หุ้นกู้ของ SCC084A ผลการจัดอันดับ A(tha) (FITCH)
อัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยคงที่ เท่ากับร้อยละ 4.25 ต่อปี
ก็อาจใช้ตัวเลขนี้ก็ได้
ตัวเลข 8.5 เป็นตัวเลขที่แกรแฮมเชื่อว่าเป็น ค่า P/E ที่ควรจะเป็นของบริษัทที่ไม่มีการเติบโต
(ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคลแล้วแต่หมวดธุรกิจอาจเป็น 10,12,15,20)
แต่ ตัวเลข 4.4 มาจากสมมุติฐานไหนไม่ได้บอกไว้
ผมเดาว่า น่าจะใช้ อัตราปันผลของปีที่แล้ว
มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) = 8*(2*0.125+8.5)*4.4/4.25 = 72.47 บาท
แล้วดูว่า ราคาตลาด อยู่สูงหรือต่ำ ถูกหรือแพง กว่า มูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic Value) ที่เราหาได้นี้
ผมเองก็ไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดหา Intrinsic Value ตามสูตรนี้ สักที่
ผมดูแต่จากประวัติงบดุล
ดูการเจริญเติบโตของ EPS
ดูว่าเป็นธุรกิจที่ดีหรือเปล่าโดยดูที่ ROA% ROE% PM% ต้องสูงเข้าไว้
แล้วมาดูว่ายังราคาถูกอยู่หรือเปล่าที่ P/E ฺP/BV อัตราการจ่ายปันผล
ดูรวมๆแล้ว ถ้าพอใจก็ซื้อ
แก้ไขล่าสุดโดย ครรชิต ไพศาล เมื่อ ศุกร์ ก.ค. 16, 2004 11:42 am, แก้ไขไปแล้ว 7 ครั้ง.
ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 17
อ่านแล้วโดนใจมาก ผมเน้นในการคิดในเชิงปริมาณมาก เพราะเคยคิดว่า การวัดผลที่แน่นอน ต้องออกมาในแบบตัวเลข จนหลายๆ ครั้ง มองข้ามการคิดในเชิงคุณภาพไป (ซึงสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่หาข้อมูลและนำมาประมวลผลได้ยากส์กว่า) คงต้องแก้ไขจุดนี้กันอีกมาก (Form56-1,ข่าวสารจากแหล่งอื่น รวมทั้งความรู้จากทุกท่านในที่นี้ คงจะช่วยได้มาก)
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับทุกคำตอบ
เวปแห่งนี้ เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรีอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนทีเดียว
ขอให้ทุกท่านประสบโชคดีทั้งเรื่องสุขภาพ ความรัก ครอบครัว ความั่งคั่ง แล้วอย่าลืมแบ่งปันความรัก ความสุขที่ทุกท่านได้รับ ให้กับคนรอบข้าง หรือคนที่ด้อยโอกาสกว่าด้วยนะครับ
Take Care
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับทุกคำตอบ
เวปแห่งนี้ เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรีอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนทีเดียว
ขอให้ทุกท่านประสบโชคดีทั้งเรื่องสุขภาพ ความรัก ครอบครัว ความั่งคั่ง แล้วอย่าลืมแบ่งปันความรัก ความสุขที่ทุกท่านได้รับ ให้กับคนรอบข้าง หรือคนที่ด้อยโอกาสกว่าด้วยนะครับ
Take Care
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 19
อิอิ ยิ่งเห็นยอดฝีมือในนี้ ผมยิ่งต้องเข้ามาอ่าน แล้วไปทำการบ้านให้หนักขึ้นอีกเยอะเลยครับ
คุณฉัตรชัย ก็แซวผมไปได้ แต่ผมมาอ่านดู ก็คิดเหมือนคุณฉัตรชัยเลย 5555 :lol:
คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์ คุณ mon money คุณลูกอีสาน คุณCK หรือสมาชิกท่านอื่นๆ มีท่านใดมีอิสระภาพทางการการเงินหรือยังครับ
คุณฉัตรชัย ก็แซวผมไปได้ แต่ผมมาอ่านดู ก็คิดเหมือนคุณฉัตรชัยเลย 5555 :lol:
คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์ คุณ mon money คุณลูกอีสาน คุณCK หรือสมาชิกท่านอื่นๆ มีท่านใดมีอิสระภาพทางการการเงินหรือยังครับ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 21
คุณฉัตรชัย เยี่ยมจริงๆ มีอิสระภาพทางการเงินแล้ว อาชีพ "นักลงทุน" เป็นอาชีพในฝันของหลายๆ ท่านทีเดียว ซักวันผมคงจะตามคุณ ฉัตรชัยไปให้ได้นะครับ
ปล. สังเกตดูคุณฉัตรชัยคงจะ "ตกงาน" จริง เพราะตอบกระทู้วันนึงๆ บ่อยมากเลยทีเดียว 555
ผมก็ตอบกระทู้บ่อย แต่ยังไม่ตกงานนะครับ แต่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น เซ็งลี้ไม่ค่อยดี อ้อ บอกหน่อยครับ ผมทำธุรกิจก่อสร้างเล็กๆ อยู่เจียงฮายครับ ช่วงนี้ราคาเหล็กดีดตัวขึ้นอีกแล้ว แต่เศรษฐกิจโดยรวมผมว่าแย่นะครับ กำลังซื้อน้อยลงเยอะทีเดียวเมื่อเทียบจากปีที่แล้ว(ผมได้รับข้อมูลว่า ยอดขายของร้านอันดับ 1-4 ในจังหวัดก็ลดลงมากทีเดียว) และอีกประการหนึ่ง ซีเมนต์ไทย ในเครือ SCC เค้าก็ลดราคากระหน่ำลงมามากทีเดียว ในส่วนของบริษัท วัสดุก่อสร้าง กำไรใน ไตรมาสสอง คงลดลงเยอะทีเดียว แต่ SCC คงมีรายได้จาก บริษัทลูกๆ เยอะ มาทดแทนกันได้อย่างสบาย โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี ทุกท่านมีความคิดเห็นว่าไงครับ
อ้อส่วนแผ่นยิปซั่มซึ่งเป็นสินค้าหลักของ TGP (ไม่ทราบผมเข้าใจถูกหรือไม่) คงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย จากการเข้ามาของ บริษัทจาก อินโดนีเซีย ผลกระทบนี้คงรวมถึง แผ่นยิปซั่มจากซีเมนต์ไทยด้วย จากราคาแผ่นยิปซั่มเมื่อก่อน 186 บาท ตอนนี้ เหลือแค่ 148 บาท ลดลง20 %
** ข้อมูลตรงนี้ยังไงก็ช่วยตรวจสอบอีกทีนะครับ แต่นี่สิ่งที่ผมประสบพบมาด้วยตัวเองครับ 8)
ปล. สังเกตดูคุณฉัตรชัยคงจะ "ตกงาน" จริง เพราะตอบกระทู้วันนึงๆ บ่อยมากเลยทีเดียว 555
ผมก็ตอบกระทู้บ่อย แต่ยังไม่ตกงานนะครับ แต่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น เซ็งลี้ไม่ค่อยดี อ้อ บอกหน่อยครับ ผมทำธุรกิจก่อสร้างเล็กๆ อยู่เจียงฮายครับ ช่วงนี้ราคาเหล็กดีดตัวขึ้นอีกแล้ว แต่เศรษฐกิจโดยรวมผมว่าแย่นะครับ กำลังซื้อน้อยลงเยอะทีเดียวเมื่อเทียบจากปีที่แล้ว(ผมได้รับข้อมูลว่า ยอดขายของร้านอันดับ 1-4 ในจังหวัดก็ลดลงมากทีเดียว) และอีกประการหนึ่ง ซีเมนต์ไทย ในเครือ SCC เค้าก็ลดราคากระหน่ำลงมามากทีเดียว ในส่วนของบริษัท วัสดุก่อสร้าง กำไรใน ไตรมาสสอง คงลดลงเยอะทีเดียว แต่ SCC คงมีรายได้จาก บริษัทลูกๆ เยอะ มาทดแทนกันได้อย่างสบาย โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี ทุกท่านมีความคิดเห็นว่าไงครับ
อ้อส่วนแผ่นยิปซั่มซึ่งเป็นสินค้าหลักของ TGP (ไม่ทราบผมเข้าใจถูกหรือไม่) คงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย จากการเข้ามาของ บริษัทจาก อินโดนีเซีย ผลกระทบนี้คงรวมถึง แผ่นยิปซั่มจากซีเมนต์ไทยด้วย จากราคาแผ่นยิปซั่มเมื่อก่อน 186 บาท ตอนนี้ เหลือแค่ 148 บาท ลดลง20 %
** ข้อมูลตรงนี้ยังไงก็ช่วยตรวจสอบอีกทีนะครับ แต่นี่สิ่งที่ผมประสบพบมาด้วยตัวเองครับ 8)
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 22
นึกว่าคุณกั๊มจะขายกุ้งซะอีก
แนะนำครับประสบการณ์ตรงนี้แหละครับที่เป็นประโยชน์ในการเอามาใช้ในการลงทุนครับ
คุณมีความสามารถใน monitor มีข้อมูลข่าวสารในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่แน่นกว่าและเร็วกว่านักลงทุนทั่วไป
ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เราสามารถใฃ้ประโยชน์ในการจับจังหวะ cycle ในการทำกำไรเป็นรอบๆได้เลยครับ
คุณกั๊มช่วยเข้ามาให้ข้อมูลแก่พี่ๆน้องๆ เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างบ่อยๆนะครับ
แนะนำครับประสบการณ์ตรงนี้แหละครับที่เป็นประโยชน์ในการเอามาใช้ในการลงทุนครับ
คุณมีความสามารถใน monitor มีข้อมูลข่าวสารในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่แน่นกว่าและเร็วกว่านักลงทุนทั่วไป
ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เราสามารถใฃ้ประโยชน์ในการจับจังหวะ cycle ในการทำกำไรเป็นรอบๆได้เลยครับ
คุณกั๊มช่วยเข้ามาให้ข้อมูลแก่พี่ๆน้องๆ เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างบ่อยๆนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 23
วิธีของคุณ Gump เป็นวิธีที่ Peter Lynch แนะนำครับ
พูดถึง Gump แล้วนึกถึงประโยคนี้ ผมชอบมากเลย
"My momma always said, life was like a box a chocolates; you never know what you're gonna get until you open it."
พูดถึง Gump แล้วนึกถึงประโยคนี้ ผมชอบมากเลย
"My momma always said, life was like a box a chocolates; you never know what you're gonna get until you open it."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 24
ผมว่าถ้าคุณ Forrest Gump ลงทุนในบริษัท วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ คงจะประสบความสำเร็จมากๆแน่ๆเลยครับ เพราะว่าเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับธุรกิจมาก แบบนี้เรียกว่าเป็น Insider แบบถูกกฎหมายครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 25
ถ้าเป็นอย่างคุณฉัตรชัยว่าก็ดีสิครับ ผมเคยลงทุนในกลุ่มนี้แล้ว อยู่ดอยจนถึงบัดนี้ เพราะไปเชื่อข้อมูล Growth ของโบรก จำมาจนถึงวันนี้เลยครับว่า การลงทุนแบบ Conservative นั้น ทำให้เราปลอดภัย สบายใจกว่าเยอะเลย
ผมขอเลียนแบบ คุณฉัตรชัย คุณครรชิต คุณวิบูลย์ และท่านอื่นๆ ที่ conservative ดีกว่าครับ
แต่ว่าตอนนี้ใครมีวิธีฝึกความอดทนในการถือหุ้นนานๆให้มันแสดงศักยภาพออกมา ช่วยบอกผมหน่อยนะครับ เพราะว่า ดูจอทุกวันเลย และรู้สึกกระวนกระวายใจที่จะถือหุ้นดีๆ ครับ
Put the past behind,before you step forward.
ผมขอเลียนแบบ คุณฉัตรชัย คุณครรชิต คุณวิบูลย์ และท่านอื่นๆ ที่ conservative ดีกว่าครับ
แต่ว่าตอนนี้ใครมีวิธีฝึกความอดทนในการถือหุ้นนานๆให้มันแสดงศักยภาพออกมา ช่วยบอกผมหน่อยนะครับ เพราะว่า ดูจอทุกวันเลย และรู้สึกกระวนกระวายใจที่จะถือหุ้นดีๆ ครับ
Put the past behind,before you step forward.
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 26
การที่เรามีความรู้ มีการวิเคราะห์ที่ละเอียด มีประสบการณ์ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้เราเป็นนักลงทุนแนว VI ได้ประสบความสำเร็จครับ โดยประสบความสำเร็จทั้งในแง่ผลตอบแทนจากการลงทุน และความสบายใจในการลงทุนด้วยครับ
ถ้าเรามีสิ่งต่างๆที่ผมบอกแล้ว เราจะรู้ว่าบทวิเคราะห์ต่างๆเหล่านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน ประสบการณ์การลงทุนจะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าการลงทุนแนว VI นั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่เราครับ โดยที่เราไม่ต้องไปเล่นสั้น Short Against Port ในบางจังหวะ หรือต้องคอยสัญญาณทางเทนนิคเพื่อที่จะซื้อหรือขายหุ้น
ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าเราลงทุนธุรกิจของเราเอง นานแค่ไหนที่ผลตอบแทนการลงทุนจะกลับมา หลายธุรกิจต้องขาดทุนในช่วงปีหรือสองปีแรกด้วยซ้ำ การหวังกำไรเพียงข้ามคืนนั้นย่อมไม่ใช่การลงทุนครับ สิ่งนั้นคือการพนัน
ถ้าเรามีสิ่งต่างๆที่ผมบอกแล้ว เราจะรู้ว่าบทวิเคราะห์ต่างๆเหล่านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน ประสบการณ์การลงทุนจะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าการลงทุนแนว VI นั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่เราครับ โดยที่เราไม่ต้องไปเล่นสั้น Short Against Port ในบางจังหวะ หรือต้องคอยสัญญาณทางเทนนิคเพื่อที่จะซื้อหรือขายหุ้น
ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าเราลงทุนธุรกิจของเราเอง นานแค่ไหนที่ผลตอบแทนการลงทุนจะกลับมา หลายธุรกิจต้องขาดทุนในช่วงปีหรือสองปีแรกด้วยซ้ำ การหวังกำไรเพียงข้ามคืนนั้นย่อมไม่ใช่การลงทุนครับ สิ่งนั้นคือการพนัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 27
เรื่อง Intrinsic Value ลงอ่านดูในกระทู้ตระแกรงร่อนครับForrestGump เขียน: คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์ คุณ mon money คุณลูกอีสาน คุณCK หรือสมาชิกท่านอื่นๆ มีท่านใดมีอิสระภาพทางการการเงินหรือยังครับ
แล้วหาหนังสือมาอ่าน
ที่ไม่แสดงการคำนวณให้ดู
เพราะถ้าให้ 10 คนมาหา intrinsic Value ของบริษัทเดียวกันก็ได้ 10 ค่าครับ
ดังนั้น ไม่มีวิธีไหนถูกต้อง 100%
ลองศึกษาดู ถ้าไม่เข้าใจก็เข้ามาคุยกันอีกที
ส่วนเรื่องอิสรภาพทางการเงินก็ยังคงเป็นเป้าหมายผมอยู่ดี
ตอนนี้ก็ยังไม่เป็นอิสระ
เพียงแต่ผมลองคำนวณเล่นๆ
ถ้าผมตกงานตอนนี้ ผมก็คงอยู่ได้สัก 10 ปีโดยไม่ต้องทำงาน
ถ้าถามว่าผมพอใจมั๊ย ต้องบอกว่าพอใจครับ
เพราะสามสี่ปีที่แล้ว ผมไม่มีเงินในแบงค์เลยครับ
ยังต้องบากหน้าไปยืมเงินคนอื่นอยู่เลย
จนมานั่งคิดว่า ทำไมชีวิตเราถึงแย่ได้ถึงขนาดนี้
เลยปรับเปลี่ยนวิธีคิดตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าเข้าใจธุรกิจและมองเห็นอนาคตของธุรกิจนั้นด้วยตัวเราเองForrestGump เขียน:แต่ว่าตอนนี้ใครมีวิธีฝึกความอดทนในการถือหุ้นนานๆให้มันแสดงศักยภาพออกมา ช่วยบอกผมหน่อยนะครับ เพราะว่า ดูจอทุกวันเลย และรู้สึกกระวนกระวายใจที่จะถือหุ้นดีๆ ครับ
ก็ไม่ต้องไปกังวลกับราคาหุ้นระยะสั้นครับ
ที่เรากังวลเพราะเราไม่เข้าใจในธุรกิจนั้นดีพอ
ทำให้เราคิดว่า ราคาที่ลดลงเพราะธุรกิจไม่ดี
แต่จริงๆแล้ว ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้บอกว่าหุ้นนั้นดี หรือไม่ดีแต่อย่างใด
ลองถามตัวเองดูซิครับว่าเราเข้าใจธุรกิจนั้นดีพอหรือยัง
ประมาณ 99% ของคนที่กังวลกับราคาหุ้นเพราะซื้อหุ้นด้วยความไม่เข้าใจในธูรกิจ
ซื้อเพียงเพราะต้องการที่จะขายในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาเท่านั้นเอง
พอราคาหุ้นลดลงก็เลย"กลัว"
ผมแนะนำให้ลองนั่งพิจารณาตัวเราเองสักพักเงียบๆ
แล้วจะเข้าใจจิตใจเรามากขึ้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณคำแนะนำสำหรับคุณ วิบอนส์007 เอ๊ย คุณวิบูลย์มากๆ เลยครับ
หลักการการ VI ต่างๆ ที่ได้รับรู้ หายไปหมดสิ้นเลย จากการดูจอทุกวัน จากการได้คุยและรับข้อมูลจากคนที่เค้าเล่นเก็งกำไรและ อ้างอิงหลักการ กราฟต่างๆ นานา
แล้วผมก็ "หลงทาง" โดย มี "ความโลภ" เป็นตัวนำ ถ้าถามตัวเองอย่างจริงๆ จัง ๆ แล้ว ผมก็พบว่า ผมต้องการ
1.เป็นอิสระภาพทางการเงิน ทั้งตัวเองและครอบครัว (ในอนาคต เพราะ ภรรยาผมคิดว่ายังฝาก แม่ภรรยาเลี้ยงอยู่ คือ ยังไม่เจอ 555)
2.ลงทุนแล้วมีความสุข กินอิ่มนอนหลับ
3. ไม่ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่เชื่อหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลา (เหมือนที่ mr.buffet บอก)
แล้วสิ่งที่ผมต้องการนั้น หลักการ VI จะพาผมไปได้หรือไม่ ระยะเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์กัน
ปล. คุณ วิบูลย์ "ตกงาน" ได้ถึง 10 ปีเลยเหรอครับ สุดยอดจริงๆ เลยครับ เอ ผมมานั่งสงสัยนะ ผมว่า ถ้ามีนักลุงทุนแนว VI เยอะๆ เนี่ย แล้วจะมีใครทำมาหากินเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้เราซื้อหุ้นรึเปล่าละครับเนี่ย :lol: :lol: :lol:
หลักการการ VI ต่างๆ ที่ได้รับรู้ หายไปหมดสิ้นเลย จากการดูจอทุกวัน จากการได้คุยและรับข้อมูลจากคนที่เค้าเล่นเก็งกำไรและ อ้างอิงหลักการ กราฟต่างๆ นานา
แล้วผมก็ "หลงทาง" โดย มี "ความโลภ" เป็นตัวนำ ถ้าถามตัวเองอย่างจริงๆ จัง ๆ แล้ว ผมก็พบว่า ผมต้องการ
1.เป็นอิสระภาพทางการเงิน ทั้งตัวเองและครอบครัว (ในอนาคต เพราะ ภรรยาผมคิดว่ายังฝาก แม่ภรรยาเลี้ยงอยู่ คือ ยังไม่เจอ 555)
2.ลงทุนแล้วมีความสุข กินอิ่มนอนหลับ
3. ไม่ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่เชื่อหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลา (เหมือนที่ mr.buffet บอก)
แล้วสิ่งที่ผมต้องการนั้น หลักการ VI จะพาผมไปได้หรือไม่ ระยะเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์กัน
ปล. คุณ วิบูลย์ "ตกงาน" ได้ถึง 10 ปีเลยเหรอครับ สุดยอดจริงๆ เลยครับ เอ ผมมานั่งสงสัยนะ ผมว่า ถ้ามีนักลุงทุนแนว VI เยอะๆ เนี่ย แล้วจะมีใครทำมาหากินเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้เราซื้อหุ้นรึเปล่าละครับเนี่ย :lol: :lol: :lol:
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 29
ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
ใช้เวลาช่วงแรกศึกษาเยอะๆ
ค่อยๆลงมือทำ
ถ้ามั่นใจแล้วค่อยเพิ่มวงเงินค่อยๆมากขึ้น
เวลาให้ซื้อหุ้นมีอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นครับ
โชคดีครับ
ใช้เวลาช่วงแรกศึกษาเยอะๆ
ค่อยๆลงมือทำ
ถ้ามั่นใจแล้วค่อยเพิ่มวงเงินค่อยๆมากขึ้น
เวลาให้ซื้อหุ้นมีอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นครับ
โชคดีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามทุกท่านว่ามีวิธีการหา Instricsic Value อย่างไรกันบ้าง?
โพสต์ที่ 30
คุณ Forrest Gump คงเข้าใจผิดมั๊งครับเกี่ยวกับการมีอิสระภาพทางการเงิน
การมีอิสระภาพทางการเงินนั้นคือการที่เราไม่ต้องทำอะไรเพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวครับ คนส่วนมากเรียนและทำงานทั้งๆที่ไม่มีใจรักและชอบที่จะทำที่จะเรียน แต่ต้องทำหรือเลือกที่จะทำก็เพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวนั้นเอง
หลายคนรู้สึกเหนื่อยหน่ายอย่างมากในเช้าวันจันทร์ที่ต้องไปเรียนหรือต้องไปทำงาน ถ้าเรามีความรู้สึกแบบนี้แล้วเราจะเรียนหรือทำงานให้ดีและมีความสุขได้อย่างไรครับ
แต่การที่เรามีอิสระภาพทางการเงินนั้นทำให้เราสามารถที่จะเลือกงานที่เราจะทำโดยไม่ต้องสนใจว่างานนั้นจะให้ผลตอบแทนแก่เราเท่าไร แต่เป็นงานที่เรารัก เราจะมีความสุขในการทำงานนั้น ไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะทำ หลายคนที่มีเงินมหาศาลแต่ก็ยังคงทำงานอยู่ทุกวันครับ
เป้าหมายของผมตอนนี้ก็คืออยากสร้างความมีอิสระภาพทางการเงินให้แก่ลูกๆครับ ให้ลูกๆสามารถที่จะเลือกเรียนอะไรก็ได้ที่สนใจ สามารถเลือกอาชีพอะไรก็ได้ที่รัก โดยไม่ต้องสนใจเรื่องรายได้ครับ
การมีอิสระภาพทางการเงินนั้นคือการที่เราไม่ต้องทำอะไรเพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวครับ คนส่วนมากเรียนและทำงานทั้งๆที่ไม่มีใจรักและชอบที่จะทำที่จะเรียน แต่ต้องทำหรือเลือกที่จะทำก็เพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวนั้นเอง
หลายคนรู้สึกเหนื่อยหน่ายอย่างมากในเช้าวันจันทร์ที่ต้องไปเรียนหรือต้องไปทำงาน ถ้าเรามีความรู้สึกแบบนี้แล้วเราจะเรียนหรือทำงานให้ดีและมีความสุขได้อย่างไรครับ
แต่การที่เรามีอิสระภาพทางการเงินนั้นทำให้เราสามารถที่จะเลือกงานที่เราจะทำโดยไม่ต้องสนใจว่างานนั้นจะให้ผลตอบแทนแก่เราเท่าไร แต่เป็นงานที่เรารัก เราจะมีความสุขในการทำงานนั้น ไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะทำ หลายคนที่มีเงินมหาศาลแต่ก็ยังคงทำงานอยู่ทุกวันครับ
เป้าหมายของผมตอนนี้ก็คืออยากสร้างความมีอิสระภาพทางการเงินให้แก่ลูกๆครับ ให้ลูกๆสามารถที่จะเลือกเรียนอะไรก็ได้ที่สนใจ สามารถเลือกอาชีพอะไรก็ได้ที่รัก โดยไม่ต้องสนใจเรื่องรายได้ครับ