ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
PERFECT LUCKY
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 795
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Value Way ฉบับวันที่ 13 ตุลาคม 2551

โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ

ฤ โลกกำลังจะแตก
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาของความสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีดาวโจน์ของตลาดหุ้นนิวยอร์คลดลงต่ำกว่า 9,000 จุดหรือลดลงมากกว่า 20% ภายในสัปดาห์เดียว ตลาดหุ้นยุโรปและเอเซียต่างลดลงกันอย่างถ้วนหน้า ดัชนีนิเคอิลดลงต่ำกว่า 10,000 จุด ดัชนีหุ้นไทยก็หนีไม่พ้นจากหายนะครั้งนี้ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยลดลงกว่า 100 จุดภายในเวลาเพียง 3 วันทำการจาก 590 จุดในวันที่ 3 ตุลาคม 2551 เหลือเพียง 490 จุดในวันที่ 8 ตุลาคม

ถ้านับจากจุดที่ดัชนีสูงสุดในปีนี้ที่ 884 จุดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมจนถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงไปแล้วถึง 44.5% และยังไม่มีสัญญานว่าจะหยุดลดลงเมื่อไหร่ นักลงทุนรายใหญ่ รายย่อย หรือแม้แต่นักลงทุนสถาบันต่างขาดทุนกันอย่างมาก ที่ทนไม่ได้ต้องตัดขาดทุนถือเงินสดออกจากตลาดไป ส่วนที่ยังถือหุ้นอยู่ต้องทนดูราคาหุ้นลดลงไปทุกๆวันอย่างน่าใจหาย ยังไม่นับถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวมต่างๆที่มูลค่าการลงทุนต้องลดลงไปตามภาวะตลาดหุุ้น

สาเหตุสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้เนื่องมากจากนักลงทุนต่างเห็นว่า เหตุการณ์วิกฤตซัพไพร์มที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก เพราะสหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ถ้าสหรัฐอเมริกาถดถอยจะทำให้ประเทศอื่นๆที่พึ่งพึงอเมริกาในการส่งออกแย่ไปด้วย รวมไปถึงตลาดโภคภัณท์ที่ปรับตัวลดลงกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน และแร่โลหะต่างๆ จากการคาดการณ์ถึงปริมาณความต้องการที่ลดลง

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงทั่วโลก เนื่องจากสถาบันการเงินต่างๆทั้งในอเมริกาและยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากซัพไพร์ม ต้องการเงินสดเพื่อไปเสริมสภาพคล่องของบริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงขายหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลกออกมา ตลาดประเทศเกิดใหม่จะเป็นแหล่งแรกๆที่ถูกขายออกมา ทำให้ตลาดหุ้นทั้งเอเซียลดลงเกือบ 50% นับจากต้นปี รวมถึงตลาดหุ้นในรัสเซีย อเมริกาใต้ และยุโรปะตวันออก

            สำหรับประเทศไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศจึงขายหุ้นที่ถืออยู่ รวมทั้งทำให้นักลงทุนใหม่ๆยังลังเลที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย จนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1.3 แสนล้านบาท นับว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์เป็นต้นมา

            วิกฤตซัพไพร์มครั้งนี้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก นักลงทุนต่างขายหุ้นออกมาราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่าหุ้นหลายๆตัวถูกขายออกมาโดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน ราคาปัจจุบันเมื่อเทียบกับพื้นฐานกิจการแล้วถือว่าถูกมากๆ แต่ยังไม่มีใครกล้าซื้อเพราะไม่รู้ว่าจะตกลงไปอีกเท่าไหร่ ผิดกับเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกกิจไทยเมื่อปี 2540 ที่พื้นฐานกิจการของบริษัทจดทะเบียนของไทย ได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินบาทและเศรษฐกิจถดถอยโดยตรง ราคาหุ้นที่ลดลงในช่วงนั้นเป็นผลสะท้อนของกิจการที่แย่ลง แต่ในทางกลับกันวิกฤตเศรษฐกิจที่อเมริกาคราวนี้ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกลดลงไปด้วย

           ช่วงนี้ถือว่าเป็นการมองโลกในแง่ร้ายสุดๆของนักลงทุนทั่วโลก นักลงทุนไทยไม่ต้องน้อยใจเพราะในต่างประเทศเจอสภาพเดียวกับเราเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ๆตั้งคำถามกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าว่าใช้ได้จริงๆหรือ เพราะนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ถือหุ้นอยู่ในพอร์ตต้องขาดทุนกันถ้วนหน้า คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่ว่าเราเชื่อมั่นในพื้นฐานกิจการของบริษัทและหลักการลงทุนของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ถือเป็นกิจการที่ดีมีผลประกอบการดีเยี่ยมจนถึงอนาคตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจแกว่งตัวไปมา แต่ในระยะยาวราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานของกิจการนั้นๆ
อยู่ที่ว่าใครจะรอได้ไม่ได้แค่นั้นเอง และสุดท้ายโลกคงไม่แตกอย่างแน่นอน
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
kornjackrit
Verified User
โพสต์: 1524
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณำหรับกระทู้ และบทความดีๆครับ

:D  :D  :D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
ordinary
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผมเชื่อทุกคำของบทความ ยกเว้นคำว่า "และสุดท้ายโลกคงไม่แตกอย่างแน่นอน "

ผมเชื่อเรื่องการเกิดและดับ โลกก็ไม่เว้น แต่วันไหนไม่รู้ คริคริ
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เอาเป็นว่า
ในช่วงชีวิตของเรา
โลกไม่แตกแน่นอน
ต.หยวนเปียว
Verified User
โพสต์: 1688
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เมื่อก่อนเคยกลัวโลกแตก
แต่คิดๆดูอีกที ก็ดี
เท่ห์ซะไม่มี ดับวันเดียวกับโลก :lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
@bangkok
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 67
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 6

โพสต์

Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"

ชอบประโยคนี้ ครับ
007-s
Verified User
โพสต์: 2496
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 7

โพสต์

โลกคงยังไม่แตกในช่วงชีวิตเรา หรือไม่ประการใด อันนี้ไม่แน่ใจ

แต่วันก่อนดูรายการเฮียสรยุทธ ดร.อะไรนาจำชื่อท่านไม่ได้อีกแระ( :oops: ) ที่เคยทำงานร่วมกะนาซ่า

ออกมาอธิบายว่า กำหนดการเดิมที่ว่า อีก 50 ปีน้ำจะท่วมโลก
ตอนนี้อัพเดทใหม่เหลือ 30 ปี เพราะน้ำแข็งก้อนที่คาดว่าอีกหลายปีกว่าจะละลาย ก้อนนั้น เริ่มหลุดออกมาก่อนกำหนด ตอนนี้ลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทร

กทม.เอง ก็เป็นหนึ่งในหลายจังหวัดของไทย ที่อยู่ในเป้าหมายคาดการว่า น่าจะมีปริมาณน้ำท่วมได้ถึงราว 7 เมตร ก็ประมาณตึกแถวชั้นที่สองมิด :shock:

ที่ว่า ดร.สมิทเคยเสนอให้ทำเขื่อน แต่ดร.ท่านนี้คิดว่า ไม่น่าจะทัน ท่านว่าทางที่ดีกว่าคือ ย้ายเมืองหลวงเสีย จะง่ายกว่า (แต่น่าจะได้รับการคัดค้านจากกลุ่มคนที่มีทรัพย์สินในกทม.อยู่มากโข คงจะต้องลดระดับความมั่งคั่งลงแน่ๆ..อันนี้ดิฉันเดาเอา)

ท่านว่าถึงทฤษฏีแมมมอส ที่พบซากเป็นลักษณะแช่แข็งกำลังเล็มหญ้าอยู่ น่าจะมาจากว่าโลก ได้เคยมีการพลิกแกนโลกอย่างฉับพลันมาแล้วในตอนนั้น อันเนื่องมาจากทฤษฏีน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น น้ำหนักของโลกจึงปรับเปลี่ยน มีโอกาสเกิดทฤษฏีที่ว่า แกนโลกเกิดพลิก (เขตร้อนเปลี่ยนเป็นหนาวแข็ง เขตหนาวอยู่ๆพลิกเป็นร้อนจัด)

ดิฉันคิดว่า ถ้ามองในอีกแง่นึง วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ อาจเปลี่ยนหรือลดระดับวิกฤตโลกร้อนได้หรือไม่ อย่างน้อยมันอาจเป็นโอกาสในวิกฤตหรือไม่
เพราะถ้ายังปล่อยให้ทุกอย่างเติบโตไปอย่างไม่ยอมลดดีกรีการบริโภคลงอย่างรวดเร็ว อัตราการที่โลกจะร้อนขึ้น จะเร่งตัวเร็วขึ้นๆๆ
แต่การที่อยู่ๆก็มีวิกฤตแฮมเบอเกอร์ในครั้งนี้ น่าจะทำให้การบริโภคลดลงอย่างฉับพลัน การใช้พลังงาน และการทำลายโลกทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากน้ำมือมนุษย์ น่าจะชะลอลงได้มากทีเดียว

ฟ้าอาจลิขิต สะกิดให้ได้ไตร่ตรอง ในสิ่งที่มนุษย์ได้ทำลงไปมาอย่างยาวนาน
ถ้าฟ้าตั้งคำถามออกมาได้ อาจกำลังถามเราอยู่ขณะนี้ว่า
ชั้นให้พวกเธอเลือกเอา จะเลือกเจ็บหนักครั้งนี้ หรือจะเลือกตายเร็วขึ้น
........ฟ้าคงอยากถามว่า ....เธอจะยอมถอย....หรือเธอจะดับสูญ


ธรรมชาตินั้นน่ารัก ธรรมชาตินั้นส่งสัญญานบอกเราเสมอ อยู่ที่เราจะมองเห็นหรือไม่

:D
nathapon_m
Verified User
โพสต์: 272
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 8

โพสต์

สงสัยนิดนึงครับพี่ 007-s  เรื่องทฤษฎีแมมมอธครับ

แมมมอธเนี่ยเป็นช้างขนยาว อาศัยในเขตน้ำแข็งใช่มั้ยครับ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A% ... D%E0%B8%98

ถ้าแกนโลกพลิกแบบที่พี่บอก  หนาวเป็นร้อน  ร้อนเป็นหนาวจริง

แปลว่าพี่ช้างแมมมอธตัวนั้น  น่าจะไปร้อนตาย กลายเป็นปุ๋ย มากกว่า จะเป็นน้ำแข็งตอนเล็มหญ้าอยู่นะครับ  หรือว่าช้างตัวนั้นอาจเป็น...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
......ก้านกล้วย   :lol:
007-s
Verified User
โพสต์: 2496
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ อิอิ

แต่ที่ฟังดร.ท่านนี้ ท่านว่าตามทฤษฏีสมมติของท่านที่ว่า แกนโลกพลิก

จากแมมมอส ที่เล็มหญ้าอยู่ดีๆ แล้วแกนโลกพลิกฉับพลัน แล้วเป็นหนาวจนแช่แข็งในทันที
เท่าที่ฟังการอธิบายทฤษฏีท่านคือ แมมมอสไม่เน่าสลาย แต่กลับเหมือนแช่แข็งในขณะเล็มหญ้าอยู่ เหมือนไม่ได้ค่อยๆเกิดขึ้น แต่เหมือนอยู่ๆก็ใช้ชีวิตปกติ แต่อยู่ๆเกิดมีลักษณะเหมือนฟรีซแข็งอยู่อย่างนั้น

ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันเรื่องจริงเป็นไง ตกลงแมมมอสเป็นสัตว์เขตร้อนหรือเขตหนาวกันแน่ แต่เท่าที่ฟังท่านอธิบาย คือ มันเหมือนฟรีซหยุดชีวิตอยู่ตรงนั้น เพราะไม่มีการสลายสภาพหลังการเสียชีวิต

เรื่องนี้ก็มีโอกาสได้สังเกตุอีกครั้งว่า นักวิทยาศาสตร์ มักเป็นผู้มีจินตนาการสูง ไม่ได้แค่คิดตามที่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่คิดตามข้อจำกัดเดิมๆเสมอไป
นักวิทยาศาสตร์ เป็นอาชีพที่มีเสน่ห์จริงๆ
เคยรู้จักนักชีวะเคมีคนนึง เขาอยู่ๆก็ถามลอยๆออกมาว่า ...เธอๆ เธอว่าถ้ามนุษย์คิดไก่พันธุ์หกขาออกมาได้จะเป็นไง ...ดิฉันถามว่า จะทำไปทำไม...เขาตอบว่า อ้าว..ก็เห็นคนชอบกินน่องไก่ไง ได้น่องไก่หกน่อง ไก่ตายตัวเดียวพอ ไม่ต้องตายตั้งสามตัว...ดิฉันถามต่อว่า แล้วทำไมต้องเป็นหกขา...เขาว่า ก็ ถ้าคิดจากหลักสมดุลย์นะ ข้างละสาม น่าจะเดินได้ มันน่าจะสมดุลย์ พอรับไหว.....

:lol: ดู ดู๊ ดู มันคิดได้

:lovl:
wattae
Verified User
โพสต์: 554
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 10

โพสต์

007-s เขียน: ออกมาอธิบายว่า กำหนดการเดิมที่ว่า อีก 50 ปีน้ำจะท่วมโลก
ตอนนี้อัพเดทใหม่เหลือ 30 ปี เพราะน้ำแข็งก้อนที่คาดว่าอีกหลายปีกว่าจะละลาย ก้อนนั้น เริ่มหลุดออกมาก่อนกำหนด ตอนนี้ลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทร

กทม.เอง ก็เป็นหนึ่งในหลายจังหวัดของไทย ที่อยู่ในเป้าหมายคาดการว่า น่าจะมีปริมาณน้ำท่วมได้ถึงราว 7 เมตร ก็ประมาณตึกแถวชั้นที่สองมิด :shock:
หาซื้อที่ดินเก็บไว้ดีมั้ยเนี้ย แต่อีกตั้ง 30 ปี  :D

แถวๆภาคเหนือ อีสาน น้ำไม่ท่วมง่ายๆ
meee
Verified User
โพสต์: 79
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ท่าน ชื่อ ดร อาจอง ครับ ไม่เป็นแค่นักวิทย์ แต่ยังเป็นนักภาวนาด้วยครับ
007-s
Verified User
โพสต์: 2496
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 12

โพสต์

อ่า ใช่ๆ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา (ถูกเป่า :oops:  :lol: )

พี่ wattae ไปตามทางที่ท่านคาดเลยค่ะ ท่านว่า เมืองหลวงใหม่น่าจะย้ายไปอยู่แถวๆ อิสานใต้ค่ะ บริเวณนั้นสูง น่าจะปลอดภัย

ดูๆแล้ว รู้สึกมันเริ่มใกล้ตัวเข้ามาทุกที
บางประเทศที่พื้นดินต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เริ่มคิดจะทำบ้านลอยน้ำกันแล้วค่ะ ออกแบบมา มีโรงเก็บเรือด้วย
ญี่ปุ่น ทางนั้นคิดไปไกลเลย มีการคิดจะสร้างเมืองใต้น้ำ กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่  :shock:
แล้วที่น่าตกใจคือ มีประเทศเล็กๆประเทศนึง เข้าใจว่าเป็นเกาะ ตอนนี้น้ำเริ่มสูงเข้ามาในแผ่นดินแล้ว ขณะนี้ชั้นหนึ่งของบ้านหรือใต้ถุนเนี่ย น้ำเต็มแล้ว กำลังทำเรื่องขอเป็นพลเมืองอพยพอยู่ ขอไปยังประเทศที่เป็นแผ่นดิน เห็นว่ายังไม่ได้รับการอนุมัติ  :wall: พุธโธ่ ก็อนุมัติให้เขาไปดิ๊ คนเราหนอ
:vm:
ภาพประจำตัวสมาชิก
charnengi
Verified User
โพสต์: 2395
ผู้ติดตาม: 0

ฤา โลกกำลังจะแตก :Value Way 13 ตค.51

โพสต์ที่ 13

โพสต์

น้ำท่วมครึ่งโลกจริงๆ รับรองยับเยินครับ ตลาดหุ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครมานั่งเล่นหุ้นแล้ว หายนะคงเทียบเท่าสึนามิหมื่นลูก

ประชาชนอดอยาก โรคระบาด อาชญากรรม คงไม่มีใครสนใจหรอกครับว่าที่ตรงนั้นใครเป็นเจ้าของ เพราะว่าคนอีกครึ่งคงไม่ยอมอยู่เฉยๆให้น้ำท่วมตายเป็นแน่

ไม่อยากจะคิดนะครับ ขนาดสถาบันการเงินล้ม อีกฝั่งซีกโลกยังกระเทือนขนาดนี้ ถ้าเกิดกับคนทั้งโลกจะขนาดไหน
โพสต์โพสต์