คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2402
เขาว่าดีไม่ไดีก็ต้องไป"คิด"เอาเองChennyVI เขียน:สำหรับผมตอนนี้ไม่ค่อยได้เข้าไปดูสีพอร์ตเท่าไหร่ capital loss นี่จะบังคับตัวเองให้ไม่คิดเวลาเข้าไปดูไม่ได้ เพราะงั้นผมนั่งรอผลประกอบการออกเท่านั้นแหละคับ เด๋วจิตตก ^^
cpall , cpn ผมเกือบ(เซงคำว่าเกือบ) เก็บได้ตอนถูกๆ แระ เซงตอนนั้นสลึมสะลือไรก็ไม่รู้ ไม่ค่อยได้เช็คราคาด้วย ตอนนี้เซงจิตข่าว cpall ออกเร็วกว่าคาดซะงั้น พอข่าวมาราคาไปเฉยเลย เด้งเลยจำ % ไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกมันแพงๆ ไงชอบกล PBV เกือบ 5 เท่างี้เหมือนไม่มี panic sell ไม่รับรู้วิกฤตไรกับเค้าเลย (หรือว่าหุ้นนี้เนื้อหอม ชาว VI รุมตอนกัน) หรือว่าผมควรปลงกับค่าความนิยมสูงๆ นี่คับ อยากถามประเด็นนี้กับพี่ๆ แหละคับว่าพวกพี่ๆ ใช้หลักการ(หรือว่าใช้ sense ประจำตัวก็ได้คับ)คิดยังไงเกี่ยวกับ"ค่าความนิยมของหุ้นเนื้อหอมคับ"
ปล. คำถามอาจจะงงๆ แต่ผมเป็นคนเขียนอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องคับต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยคับ
อย่าซื้อตามเพราะว่ามันแค่"ดี"
ต้องดูให้ออกว่ามัน"ดี"อย่างไร
ซื้อหุ้นที่เราเข้าใจดีที่สุด
- osama
- Verified User
- โพสต์: 59
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2404
ปรับกระบวนยุทธ์ รับมือตลาดหมี
สมพงค์ เบญจเทพานันท์:ในภาวะที่ตลาดหุ้นดำดิ่งทิ้งตัวเป็นตลาดขาลง (Bear Market) จากวิกฤติการเงินครั้งนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ตั้งตัวไม่ทัน ใครที่ลงทุนในหุ้นมาก่อนหรือมีหุ้นติดพอร์ตมาแต่แรกเชื่อว่าส่วนใหญ่คงจะบาดเจ็บจากการลงทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "ความเสี่ยง" และ "ผลตอบแทน" เป็นสิ่งที่จะมาพร้อมๆ กัน การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
โดยเปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ และเงินฝาก จึงทำให้มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นโดยเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นจึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงหรือมีเงินที่เย็นที่สามารถจะลงทุนระยะยาวในหุ้นได้ เพราะระยะเวลาการลงทุนในหุ้นยิ่งยาวจะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนให้กับคุณได้เช่นเดียวกัน
วันนี้เราจะนำความผิดพลาดมาเป็นครูและเรียนรู้วิธีการแก้ไขจากผู้มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นกัน
@ คิดผิด-ทำผิด
สมพงค์ เบญจเทพานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า บอกว่า การลงทุนหุ้นในไทยมีความเชื่อผิดๆ กันมาก เช่น กรณีของการลงทุนระยะยาวเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ให้กำไรสูงสุด ซึ่งไม่จริงไม่ว่าจะตลาดหุ้นที่ไหนก็ตามและนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้นักลงทุนไทยต้องบาดเจ็บในปัจจุบัน
ตัวอย่างหุ้น AIG ในอดีตราคา 90 ดอลลาร์ อยู่ๆ ลงมาเหลือ 3 ดอลลาร์ ตลาดหุ้นไทยผ่านมาแล้วประมาณ 10 กว่าปี ยังกลับไปไม่ถึงจุดสูงสุดเดิมที่ 1,700 จุดเลย มาได้ครึ่งทางก็ต้องเจอวิกฤติการเงินปรับตัวลดลงอีกครั้ง
หลักตรงนี้เหมือนกับการบริหารบริษัทยามใดที่บริษัทเจริญเติบโตดี ผลประกอบการออกมาแข็งแกร่ง มีโกรทดี ราคาก็ทะยานขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารก็จะสบาย แต่ถ้าเจอภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ หรือสินค้าเปลี่ยนแนวโน้ม (Trend) ธุรกิจเริ่มชะลอตัวลง ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการในการบริหารสินทรัพย์แบบเดิมของบรรดาเถ้าแก่เขาต้องสู้ ถึงแม้จะกำไรน้อยลงหรือขาดทุนเพื่อรักษาธุรกิจ พนักงานลูกน้องเอาไว้ต้องต่อสู้ยันไปจนกว่าธุรกิจจะฟื้น
แต่ในแง่ของการลงทุนในหลักทรัพย์เมื่อเห็นว่า เขาเริ่มชะลอเราไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับเขา เราสามารถที่ขายออกแล้วไปหากิจการใหม่ที่กำลังโต มันจะสลับกัน ถ้าเราเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดเรามองเห็นแบบนี้เราก็ต้องออกมาก่อนแล้ว จริงๆ มันไม่ยากแต่ปฏิบัติจริงยากมาก อย่ามองซับซ้อน ราคาหุ้นขึ้นถึงจุดหนึ่งราคาก็จะเริ่มลง โลกสมัยใหม่ ธุรกิจสมัยใหม่ วงจรชีวิต (Cycle) มันเร็ว ราคาหุ้นจะเร็วตามจะขึ้นๆ ลงๆ ตามไซเคิลนั้น นี่คือความจริงจะขัดกับความเชื่อที่ว่าถือยาวแล้วไม่เป็นไร
สมพงค์ ยังบอกอีกว่า กลยุทธ์ถือยาวใช้ไม่ได้แล้วกับวัฏจักรของโลกที่มันหมุนเร็วขึ้น วัฏจักรของธุรกิจหมุนเร็วขึ้น ถือยาวไม่เป็นไร ไม่ขายไม่ขาดทุน จะมาคู่กัน จากประสบการณ์ที่เจอมาตลอดนัดลงทุนส่วนใหญ่จะจำกัดกำไร (Limit Profit) ไว้ ซื้อหุ้นกำไร 5% ออกแล้ว วันไหนซื้อหุ้นกำไร 10% คุยได้ 3 วัน อย่างมากเต็มที่ 10-15%
นี่คือเราลิมิตโพรฟิตไว้ แต่นักลงทุนกลับไม่จำกัดผลขาดทุน (Unlimit Loss) ของตัวเอง ทุกคนที่เล่นหุ้นจะเข้าใจ นี่คือปัญหาของคนส่วนใหญ่ หุ้นที่ขึ้นแล้วเราขายส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ดี ซื้อแล้วมันขึ้น ตัวที่ถืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ซื้อแล้วมันลง เพราะเป็นหุ้นค่อนข้างเน่า เพราะฉะนั้นในพอร์ตส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยดี พื้นฐานไม่ดีถึงแย่
หุ้นดีแต่ไม่วิ่งก็ไม่ได้ นั่นคือเราหลอกตัวเอง มีปันผล หุ้นพื้นฐานดี ช่วงตลาดไม่ดีเอาปันผลไปก่อน ไว้หุ้นดีแล้วก็จะได้อัพไซด์กลับมา นั่นไม่ใช่การลงทุนระยะยาวแต่เป็นการลงทุนที่ผิดพลาด เป็นพอร์ตการลงทุนที่ผิดพลาด เพราะเราเจอหุ้นดีก็จะขายออกเหลือแต่หุ้นที่มันไม่วิ่ง ขึ้นก็ไม่ขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นหัวใจหลักของการลงทุนสมัยใหม่คือวินัยการลงทุน
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของนักลงทุนส่วนใหญ่เกิดจากเราไม่มีวินัยการลงทุน เพราะเราไป Limit Profit ไว้ แต่กลับ Unlimit Loss สมมติเราได้กำไร 3-4 ครั้ง 30% เราก็ดีใจแล้ว เพอร์ฟอร์มแมนซ์ดี แต่เจอหุ้นขาลงครั้งเดียวหมดเลย แถมยังขาดทุนอีกต่างหาก พอถือยาวไม่เป็นไร นักลงทุนก็จะมาติดกับแบรนด์ ตัวอย่างหุ้นปตท.ขายทำไม ปตท.มันเจ๋งมาก สุดยอดที่สุดในเมืองไทยตอนนี้ จะขายทำไม ปันผลตั้งเยอะ 10% แต่ราคาหุ้นลงมา 50% ไม่ได้ ต้องทำการบ้านและ Active กับการลงทุนของตัวเอง แต่ไม่ถึงกับต้องทำทุกวัน
@ Cut Loss
สมพงค์ ยังแนะนำว่า การลงทุนในหุ้นควรจะเล่นเป็นรอบ ขาขึ้นไปกับเขาด้วย แต่พอเป็นขาลง ต้องตัดขาดทุนให้ไว ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ธุรกิจจะเป็นแบบนี้ การลงทุนสมัยใหม่ที่สำคัญคือต้องมีวินัยการลงทุน ซื้อเป็นซื้อ ขายเป็นขาย เมื่อธุรกิจมันเปลี่ยน ขายก็ต้องขาย ปรับความเชื่อใหม่ว่า หุ้นดีๆ ถูกๆ ไม่มี
ยกตัวอย่างหุ้นปตท.ขึ้นจาก 200 บาท ไป 300 บาท ไม่มีใครกล้าซื้อ ขึ้นจาก 300 บาท ไป 400 บาท ไม่มีใครกล้าซื้อ พอขึ้นไป 440 บาท ทุกคนมองว่าอย่าลงมานะ จะซื้อ คนส่วนใหญ่เวลาหุ้นขึ้นราคาจะกระชากแรง ทุกคนจะยืนมองด้วยความกลัวว่าจะติดหุ้น แต่สิ่งหนึ่งก็คือราคาหุ้นปตท.ขึ้นไป 440 บาท ลงมาเหลือ 300 บาท เข้าซื้อกันใหญ่ ปตท.ซื้อหนาแน่เลยช่วง 300-320 บาท ราคาลงแต่ติดหุ้น แล้วติดเป็นทางเลย คนที่อยากซื้อๆ ได้ทุกคน แต่ราคาไม่ขึ้นแล้ว
การลงทุนเราต้องตามแนวโน้มขาขึ้น (Follow Trend) หุ้นขึ้นก็ร่วมไปกับเขา พอลงเราต้องเลิกไง แต่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่จะทำตรงกันข้าม หุ้นขึ้นกลัวไม่กล้าซื้อ พอหุ้นลงรีบเข้าไปซื้อกันใหญ่ แล้วก็ต้องติดหุ้น ถ้าหุ้นไม่ดีต้องตัดขาดทุน (Cut Loss) ขาดทุนก็ต้องทำ
@ Short Against Port
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ดีนักลงทุนอาจจะใช้กลยุทธ์ Short Against Port ในลักษณะของ Cost Management เพื่อบริหารต้นทุนการลงทุนในหุ้นให้ถูกลง โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นมีทิศทางขาลงอย่างชัดเจนเราจะเห็นประโยชน์ของกลยุทธ์นี้มากขึ้น
สมมติว่านักลงทุนมีต้นทุนหุ้นอยู่ 240 บาท ถ้าเราไวพอ อยู่ในตลาดพอ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมาที่ 200 บาท เราก็ขาย หุ้นไปที่ 200 บาท แล้วไปซื้อคืนตอนราคาหุ้นอยู่ที่ 180 บาท ส่วนต่าง 20 บาท เราก็ไปลดทุน 240 บาท ลงมา ทุนก็เหลือ 220 บาท เดี๋ยวราคาหุ้นขึ้นมาใหม่เราก็ขาย แล้วค่อยไปซื้อกลับเมื่อราคาปรับตัวลง ต้นทุนเราจะลดลงไปเรื่อยๆ
การลงทุนในหุ้นห้ามให้ขาตาย ต้องฟุทเวิร์คตลอด ห้ามนิ่ง จึงจะสนุก ผิดแล้วไม่เป็นไร ผิดแล้วต้องแก้ไข จะแก้ยังไงเท่านั้นเอง แล้วให้ Short Against Port ในหุ้นตัวเดิมถ้าเรามั่นใจว่าเป็นหุ้นที่ดีจริง อย่าสลับตัวเล่น สุดท้ายจะหายไปทั้งคู่ แก้ไขในตัวที่ลงทุนเท่านั้น การบริหารต้นทุน ช่วงนี้ใช้เยอะ เพราะราคาหุ้นลงให้เราเห็นๆ จะได้รู้ว่าเขาเล่นหุ้นในตลาดขาลงกันยังไง ไม่ใช่ต้องมานั่งดูหุ้นลงโดยไม่ทำอะไรเลย รู้ว่ามันลงเราก็มาบริหารต้นทุนได้ เราสามารถที่จะเปลี่ยนแผนไปมาได้ พลาดไม่เป็นไร ขอให้แก้ไขได้เป็นพอ
@ ใช้ Futures ช่วย
สมพงค์ ยังบอกอีกว่า นักลงทุนไทยส่วนใหญ่จะมีลักษณะการลงทุนแบบขาเดียว คือ เราซื้ออย่างเดียว ซึ่งมีสิ่งเดียวคือเราต้องภาวนาให้หุ้นขึ้นเราถึงจะกำไร นั่นคือ ปัญหาของนักลงทุนไทยที่มีเพียงกลยุทธ์การลงทุนเดียว คือ ขา ซื้อ หรือ Long Position เท่านั้น แต่ในโลกการเงินมันมี การลงทุนทั้ง 2 ขา คือ ขา ขาย หรือ Short Position ด้วย ถ้าหุ้นลงเราก็ได้กำไร ในพอร์ตการลงทุนสมัยใหม่ (Modern Portfolio) ในอนาคตจะต้องมีการผสมตรงนี้เข้าไปเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง
ยกตัวอย่าง ลูกค้าที่มีหุ้นปตท.อยู่ ถ้าเราแนะนำให้ลูกค้าขายหุ้นปตท.ทิ้ง เพราะหุ้นกำลังลง ลูกค้าจะด่าว่าหุ้นดีๆ จะขายทำไม จะเอาปันผล คือทุกคนรู้ว่าหุ้นจะลง แต่ลูกค้าบอกไม่เป็นไร มีปันผลเขาถือได้ ลูกค้าก็รู้ว่าจะลง ปัจจัยในประเทศก็ไม่ดี ปัจจัยต่างประเทศก็ไม่ดี แต่กลับมาหลักเดิมถือยาวไม่เป็นไร ไม่ขายไม่ขาดทุน
สมมติเรามีหุ้นปตท.อยู่ 500,000 หุ้น พอเห็นหุ้นจะลง เราไม่ต้องขายหุ้นแล้วก็ได้ปันผลด้วย แต่ลูกค้าจะไม่มีความเสี่ยงด้วยการ Short Futures ไปในมูลค่าใกล้เคียงกัน ลูกค้าจะไม่มีความเสี่ยงแล้ว ถ้าหุ้นลง ขาดทุนตัวหุ้นปตท.แต่จะได้กำไรในตัว Futures มาชดเชยกัน ด้วยวิธีการนี้หุ้นยังเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ปันผลได้ด้วย เป็นสุดยอดความปรารถนาของลูกค้าเลย ยังไปโหวตได้ตามสิทธิ เป็นการใช้ Futures เข้ามาช่วยโดยไม่เอากำไร
สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้และทำตรงนี้เพื่อคลายความเครียดของนักลงทุน การเล่นหุ้นบางทีก็สนุก แต่ถ้าซื้อแล้วถืออย่างเดียว เวลาหุ้นลงมันก็เครียดนะ การเล่นหุ้นต้องบริหารจิตใจตัวเองด้วย เราก็ต้องมาบริหารความเสี่ยงให้เขา เมื่อรู้ว่าหุ้นจะลงเราไม่ขายหุ้นก็ได้ ก็ไปใช้เครื่องมืออีกอันมาช่วย ทุกคนก็จะมีความสุขกับการลงทุนได้
คัดลอกมาจาก bangkokbiznews ครับ
สมพงค์ เบญจเทพานันท์:ในภาวะที่ตลาดหุ้นดำดิ่งทิ้งตัวเป็นตลาดขาลง (Bear Market) จากวิกฤติการเงินครั้งนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ตั้งตัวไม่ทัน ใครที่ลงทุนในหุ้นมาก่อนหรือมีหุ้นติดพอร์ตมาแต่แรกเชื่อว่าส่วนใหญ่คงจะบาดเจ็บจากการลงทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "ความเสี่ยง" และ "ผลตอบแทน" เป็นสิ่งที่จะมาพร้อมๆ กัน การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
โดยเปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ และเงินฝาก จึงทำให้มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นโดยเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นจึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงหรือมีเงินที่เย็นที่สามารถจะลงทุนระยะยาวในหุ้นได้ เพราะระยะเวลาการลงทุนในหุ้นยิ่งยาวจะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนให้กับคุณได้เช่นเดียวกัน
วันนี้เราจะนำความผิดพลาดมาเป็นครูและเรียนรู้วิธีการแก้ไขจากผู้มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นกัน
@ คิดผิด-ทำผิด
สมพงค์ เบญจเทพานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า บอกว่า การลงทุนหุ้นในไทยมีความเชื่อผิดๆ กันมาก เช่น กรณีของการลงทุนระยะยาวเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ให้กำไรสูงสุด ซึ่งไม่จริงไม่ว่าจะตลาดหุ้นที่ไหนก็ตามและนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้นักลงทุนไทยต้องบาดเจ็บในปัจจุบัน
ตัวอย่างหุ้น AIG ในอดีตราคา 90 ดอลลาร์ อยู่ๆ ลงมาเหลือ 3 ดอลลาร์ ตลาดหุ้นไทยผ่านมาแล้วประมาณ 10 กว่าปี ยังกลับไปไม่ถึงจุดสูงสุดเดิมที่ 1,700 จุดเลย มาได้ครึ่งทางก็ต้องเจอวิกฤติการเงินปรับตัวลดลงอีกครั้ง
หลักตรงนี้เหมือนกับการบริหารบริษัทยามใดที่บริษัทเจริญเติบโตดี ผลประกอบการออกมาแข็งแกร่ง มีโกรทดี ราคาก็ทะยานขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารก็จะสบาย แต่ถ้าเจอภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ หรือสินค้าเปลี่ยนแนวโน้ม (Trend) ธุรกิจเริ่มชะลอตัวลง ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการในการบริหารสินทรัพย์แบบเดิมของบรรดาเถ้าแก่เขาต้องสู้ ถึงแม้จะกำไรน้อยลงหรือขาดทุนเพื่อรักษาธุรกิจ พนักงานลูกน้องเอาไว้ต้องต่อสู้ยันไปจนกว่าธุรกิจจะฟื้น
แต่ในแง่ของการลงทุนในหลักทรัพย์เมื่อเห็นว่า เขาเริ่มชะลอเราไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับเขา เราสามารถที่ขายออกแล้วไปหากิจการใหม่ที่กำลังโต มันจะสลับกัน ถ้าเราเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดเรามองเห็นแบบนี้เราก็ต้องออกมาก่อนแล้ว จริงๆ มันไม่ยากแต่ปฏิบัติจริงยากมาก อย่ามองซับซ้อน ราคาหุ้นขึ้นถึงจุดหนึ่งราคาก็จะเริ่มลง โลกสมัยใหม่ ธุรกิจสมัยใหม่ วงจรชีวิต (Cycle) มันเร็ว ราคาหุ้นจะเร็วตามจะขึ้นๆ ลงๆ ตามไซเคิลนั้น นี่คือความจริงจะขัดกับความเชื่อที่ว่าถือยาวแล้วไม่เป็นไร
สมพงค์ ยังบอกอีกว่า กลยุทธ์ถือยาวใช้ไม่ได้แล้วกับวัฏจักรของโลกที่มันหมุนเร็วขึ้น วัฏจักรของธุรกิจหมุนเร็วขึ้น ถือยาวไม่เป็นไร ไม่ขายไม่ขาดทุน จะมาคู่กัน จากประสบการณ์ที่เจอมาตลอดนัดลงทุนส่วนใหญ่จะจำกัดกำไร (Limit Profit) ไว้ ซื้อหุ้นกำไร 5% ออกแล้ว วันไหนซื้อหุ้นกำไร 10% คุยได้ 3 วัน อย่างมากเต็มที่ 10-15%
นี่คือเราลิมิตโพรฟิตไว้ แต่นักลงทุนกลับไม่จำกัดผลขาดทุน (Unlimit Loss) ของตัวเอง ทุกคนที่เล่นหุ้นจะเข้าใจ นี่คือปัญหาของคนส่วนใหญ่ หุ้นที่ขึ้นแล้วเราขายส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ดี ซื้อแล้วมันขึ้น ตัวที่ถืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ซื้อแล้วมันลง เพราะเป็นหุ้นค่อนข้างเน่า เพราะฉะนั้นในพอร์ตส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยดี พื้นฐานไม่ดีถึงแย่
หุ้นดีแต่ไม่วิ่งก็ไม่ได้ นั่นคือเราหลอกตัวเอง มีปันผล หุ้นพื้นฐานดี ช่วงตลาดไม่ดีเอาปันผลไปก่อน ไว้หุ้นดีแล้วก็จะได้อัพไซด์กลับมา นั่นไม่ใช่การลงทุนระยะยาวแต่เป็นการลงทุนที่ผิดพลาด เป็นพอร์ตการลงทุนที่ผิดพลาด เพราะเราเจอหุ้นดีก็จะขายออกเหลือแต่หุ้นที่มันไม่วิ่ง ขึ้นก็ไม่ขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นหัวใจหลักของการลงทุนสมัยใหม่คือวินัยการลงทุน
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของนักลงทุนส่วนใหญ่เกิดจากเราไม่มีวินัยการลงทุน เพราะเราไป Limit Profit ไว้ แต่กลับ Unlimit Loss สมมติเราได้กำไร 3-4 ครั้ง 30% เราก็ดีใจแล้ว เพอร์ฟอร์มแมนซ์ดี แต่เจอหุ้นขาลงครั้งเดียวหมดเลย แถมยังขาดทุนอีกต่างหาก พอถือยาวไม่เป็นไร นักลงทุนก็จะมาติดกับแบรนด์ ตัวอย่างหุ้นปตท.ขายทำไม ปตท.มันเจ๋งมาก สุดยอดที่สุดในเมืองไทยตอนนี้ จะขายทำไม ปันผลตั้งเยอะ 10% แต่ราคาหุ้นลงมา 50% ไม่ได้ ต้องทำการบ้านและ Active กับการลงทุนของตัวเอง แต่ไม่ถึงกับต้องทำทุกวัน
@ Cut Loss
สมพงค์ ยังแนะนำว่า การลงทุนในหุ้นควรจะเล่นเป็นรอบ ขาขึ้นไปกับเขาด้วย แต่พอเป็นขาลง ต้องตัดขาดทุนให้ไว ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ธุรกิจจะเป็นแบบนี้ การลงทุนสมัยใหม่ที่สำคัญคือต้องมีวินัยการลงทุน ซื้อเป็นซื้อ ขายเป็นขาย เมื่อธุรกิจมันเปลี่ยน ขายก็ต้องขาย ปรับความเชื่อใหม่ว่า หุ้นดีๆ ถูกๆ ไม่มี
ยกตัวอย่างหุ้นปตท.ขึ้นจาก 200 บาท ไป 300 บาท ไม่มีใครกล้าซื้อ ขึ้นจาก 300 บาท ไป 400 บาท ไม่มีใครกล้าซื้อ พอขึ้นไป 440 บาท ทุกคนมองว่าอย่าลงมานะ จะซื้อ คนส่วนใหญ่เวลาหุ้นขึ้นราคาจะกระชากแรง ทุกคนจะยืนมองด้วยความกลัวว่าจะติดหุ้น แต่สิ่งหนึ่งก็คือราคาหุ้นปตท.ขึ้นไป 440 บาท ลงมาเหลือ 300 บาท เข้าซื้อกันใหญ่ ปตท.ซื้อหนาแน่เลยช่วง 300-320 บาท ราคาลงแต่ติดหุ้น แล้วติดเป็นทางเลย คนที่อยากซื้อๆ ได้ทุกคน แต่ราคาไม่ขึ้นแล้ว
การลงทุนเราต้องตามแนวโน้มขาขึ้น (Follow Trend) หุ้นขึ้นก็ร่วมไปกับเขา พอลงเราต้องเลิกไง แต่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่จะทำตรงกันข้าม หุ้นขึ้นกลัวไม่กล้าซื้อ พอหุ้นลงรีบเข้าไปซื้อกันใหญ่ แล้วก็ต้องติดหุ้น ถ้าหุ้นไม่ดีต้องตัดขาดทุน (Cut Loss) ขาดทุนก็ต้องทำ
@ Short Against Port
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ดีนักลงทุนอาจจะใช้กลยุทธ์ Short Against Port ในลักษณะของ Cost Management เพื่อบริหารต้นทุนการลงทุนในหุ้นให้ถูกลง โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นมีทิศทางขาลงอย่างชัดเจนเราจะเห็นประโยชน์ของกลยุทธ์นี้มากขึ้น
สมมติว่านักลงทุนมีต้นทุนหุ้นอยู่ 240 บาท ถ้าเราไวพอ อยู่ในตลาดพอ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมาที่ 200 บาท เราก็ขาย หุ้นไปที่ 200 บาท แล้วไปซื้อคืนตอนราคาหุ้นอยู่ที่ 180 บาท ส่วนต่าง 20 บาท เราก็ไปลดทุน 240 บาท ลงมา ทุนก็เหลือ 220 บาท เดี๋ยวราคาหุ้นขึ้นมาใหม่เราก็ขาย แล้วค่อยไปซื้อกลับเมื่อราคาปรับตัวลง ต้นทุนเราจะลดลงไปเรื่อยๆ
การลงทุนในหุ้นห้ามให้ขาตาย ต้องฟุทเวิร์คตลอด ห้ามนิ่ง จึงจะสนุก ผิดแล้วไม่เป็นไร ผิดแล้วต้องแก้ไข จะแก้ยังไงเท่านั้นเอง แล้วให้ Short Against Port ในหุ้นตัวเดิมถ้าเรามั่นใจว่าเป็นหุ้นที่ดีจริง อย่าสลับตัวเล่น สุดท้ายจะหายไปทั้งคู่ แก้ไขในตัวที่ลงทุนเท่านั้น การบริหารต้นทุน ช่วงนี้ใช้เยอะ เพราะราคาหุ้นลงให้เราเห็นๆ จะได้รู้ว่าเขาเล่นหุ้นในตลาดขาลงกันยังไง ไม่ใช่ต้องมานั่งดูหุ้นลงโดยไม่ทำอะไรเลย รู้ว่ามันลงเราก็มาบริหารต้นทุนได้ เราสามารถที่จะเปลี่ยนแผนไปมาได้ พลาดไม่เป็นไร ขอให้แก้ไขได้เป็นพอ
@ ใช้ Futures ช่วย
สมพงค์ ยังบอกอีกว่า นักลงทุนไทยส่วนใหญ่จะมีลักษณะการลงทุนแบบขาเดียว คือ เราซื้ออย่างเดียว ซึ่งมีสิ่งเดียวคือเราต้องภาวนาให้หุ้นขึ้นเราถึงจะกำไร นั่นคือ ปัญหาของนักลงทุนไทยที่มีเพียงกลยุทธ์การลงทุนเดียว คือ ขา ซื้อ หรือ Long Position เท่านั้น แต่ในโลกการเงินมันมี การลงทุนทั้ง 2 ขา คือ ขา ขาย หรือ Short Position ด้วย ถ้าหุ้นลงเราก็ได้กำไร ในพอร์ตการลงทุนสมัยใหม่ (Modern Portfolio) ในอนาคตจะต้องมีการผสมตรงนี้เข้าไปเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง
ยกตัวอย่าง ลูกค้าที่มีหุ้นปตท.อยู่ ถ้าเราแนะนำให้ลูกค้าขายหุ้นปตท.ทิ้ง เพราะหุ้นกำลังลง ลูกค้าจะด่าว่าหุ้นดีๆ จะขายทำไม จะเอาปันผล คือทุกคนรู้ว่าหุ้นจะลง แต่ลูกค้าบอกไม่เป็นไร มีปันผลเขาถือได้ ลูกค้าก็รู้ว่าจะลง ปัจจัยในประเทศก็ไม่ดี ปัจจัยต่างประเทศก็ไม่ดี แต่กลับมาหลักเดิมถือยาวไม่เป็นไร ไม่ขายไม่ขาดทุน
สมมติเรามีหุ้นปตท.อยู่ 500,000 หุ้น พอเห็นหุ้นจะลง เราไม่ต้องขายหุ้นแล้วก็ได้ปันผลด้วย แต่ลูกค้าจะไม่มีความเสี่ยงด้วยการ Short Futures ไปในมูลค่าใกล้เคียงกัน ลูกค้าจะไม่มีความเสี่ยงแล้ว ถ้าหุ้นลง ขาดทุนตัวหุ้นปตท.แต่จะได้กำไรในตัว Futures มาชดเชยกัน ด้วยวิธีการนี้หุ้นยังเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ปันผลได้ด้วย เป็นสุดยอดความปรารถนาของลูกค้าเลย ยังไปโหวตได้ตามสิทธิ เป็นการใช้ Futures เข้ามาช่วยโดยไม่เอากำไร
สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้และทำตรงนี้เพื่อคลายความเครียดของนักลงทุน การเล่นหุ้นบางทีก็สนุก แต่ถ้าซื้อแล้วถืออย่างเดียว เวลาหุ้นลงมันก็เครียดนะ การเล่นหุ้นต้องบริหารจิตใจตัวเองด้วย เราก็ต้องมาบริหารความเสี่ยงให้เขา เมื่อรู้ว่าหุ้นจะลงเราไม่ขายหุ้นก็ได้ ก็ไปใช้เครื่องมืออีกอันมาช่วย ทุกคนก็จะมีความสุขกับการลงทุนได้
คัดลอกมาจาก bangkokbiznews ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2405
เอาอีกฟากนึงบ้างนะ
"กูรูนิเวศน์แนะอดทน..ทยอยเก็บหุ้นเพิ่ม"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร:
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ยอมรับว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงทั่วโลกรวมทั้งไทยอย่างรุนแรงและรวดเร็วทำให้ความมั่งคั่งของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของนักลงทุนหายไปมากพอสมควร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเรามองคุณค่าของตัวธุรกิจในระยะยาวเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุน ไม่ได้ไปเก็งภาวะตลาดว่าจะขึ้นหรือลงเพราะภาวะตลาดที่มีความผันผวนเป็นปกติธรรมดาไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดหรือสูงสุดอยู่ตรงไหน
"เราจะไม่ไปปรับเปลี่ยนการลงทุนตามภาวะตลาดภาพใหญ่ที่เปลี่ยนไปแต่จะเน้นมองคุณค่าของหุ้นที่เข้าไปลงทุนเป็นสำคัญ"
การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะไม่พยายามไปเก็งหรือคาดการณ์ในสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก เช่น ตลาดหุ้นจะฟื้นเมื่อไร จะลงไปต่ำสุดที่ไหน ตลาดจะขึ้นหรือลง เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
ถ้าเราพยายามไปคาดการณ์หรือกำหนดหรือเก็งในอะไรที่เราไม่มีความสามารถจะไปคาดการณ์ ไม่มีความรู้จริง ก็อย่าไปทำ จะทำให้การลงทุนเพี้ยนไปหมด แต่เราจะมองว่ากิจการที่เราลงทุนอยู่นั้นยังดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งหุ้นในพอร์ตที่ตัวเองลงทุนอยู่เดิมแม้จะได้รับความเสียหายจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง
แต่โดยพื้นฐานของหุ้นแล้วไม่ได้เปลี่ยนไป จึงไม่ได้ขายหุ้นออกแต่ประการใด เมื่อมีเม็ดเงินใหม่ก็จะทยอยซื้อลงทุนเพิ่มเพื่อเฉลี่ยต้นทุนไปในตัวด้วย เพราะพื้นฐานของหุ้นแม้จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวไปบ้าง แต่ราคากลับปรับตัวลงมามากกว่าพื้นฐานของหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยเข้าสะสมหุ้นเพิ่ม
ดร.นิเวศน์ ยังบอกอีกว่า ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้พอร์ตการลงทุนได้รับความเสียหายไปบ้างพอสมควร เพราะเรามองการลงทุนระยะยาวซึ่งในที่สุดราคาหุ้นต้องกลับมาสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น แต่ราคาที่ปรับตัวลงนี้เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น จากการที่ต่างชาติเทขายหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของหุ้นเลย หลายคนมองว่าราคาหุ้นถูกแล้วยังมีที่ถูกกว่าอีกเกิดขึ้นเสมอ
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเช่นนี้ก็ไม่ใช่เวลาหรือจังหวะในการขายหุ้นแล้ว ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่ายิ่งราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นของหุ้นมาก ยิ่งเป็นโอกาสและจังหวะในการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มมากกว่า เพราะมีส่วนต่างหรือโอกาสในการทำกำไรที่กว้างมากขึ้น ถ้าไปขายหุ้นตอนนี้ก็จะดูขัดกับสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของตัวเองไป
ในขณะที่นักลงทุนบางคนอาจจะมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงไปอีก ขายตอนนี้ แล้วค่อยไปซื้อกลับใหม่ที่ต่ำกว่าแบบนั้นถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ผิดอะไร แต่ส่วนตัวเน้นการลงทุนแบบเน้นคุณค่าการที่มองว่าราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ควรขายแล้ว
ถ้ามองว่าราคาจะลงต่อ แล้วค่อยไปซื้อกลับก็เหมือนกับการเข้าไปเก็งตลาดซึ่งจะผิดหลักการของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไป เพราะเราต้องดูที่คุณค่าของกิจการในระยะยาวเป็นสำคัญ ไม่ได้ไปเก็งกำไรกระแสเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาติ เราไม่ได้ลงทุนในหุ้นแบบเก็งกำไรแต่เน้นการลงทุนระยะยาวจริงๆ
ดร.นิเวศน์ กล่าวเสริมว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นสไตล์การลงทุนระยะยาวในตัวกิจการของบริษัทที่เข้าไปลงทุนจริงๆ ดังนั้นถ้าพื้นฐานธุรกิจยังดีอยู่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปขายหุ้นทิ้ง และราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงก็จะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าเราสามารถที่จะทนดูราคาหุ้นที่เราลงทุนมีราคาตกต่ำได้บ้าง ความจำเป็นในการที่จะต้องไปใช้ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงก็จะน้อยลงไปด้วย
เพราะการเข้าไปใช้ Futures ก็เป็นการเก็งภาวะตลาดเช่นเดียวกัน เก็งว่าจะขึ้นหรือลง ซึ่งไม่ใช่แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอีกทั้งยังมีต้นทุนของการเข้าไปใช้อีกด้วย
หากเรามองการลงทุนในระยะยาวซึ่งมุมมองการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไปกับสิ่งที่เราวิเคราะห์ตัวกิจการที่เข้าไปลงทุนมากกว่าซึ่งเป็นผลกระทบในระยะยาว
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก ทำให้ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน มาร์จินยิ่งมาก ราคาหุ้นยิ่งถูกลง ถ้ามีเงินใหม่ก็จะนำเข้าไปซื้อลงทุนเพิ่ม ดังนั้นการเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเรื่องของจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าวิธีการลงทุนเลย
ในภาวะที่ตลาดหุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาลงเช่นนี้ เชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย"
http://www.bangkokbiznews.com/2008/11/0 ... 308891.php
[/b]
"กูรูนิเวศน์แนะอดทน..ทยอยเก็บหุ้นเพิ่ม"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร:
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ยอมรับว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงทั่วโลกรวมทั้งไทยอย่างรุนแรงและรวดเร็วทำให้ความมั่งคั่งของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของนักลงทุนหายไปมากพอสมควร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเรามองคุณค่าของตัวธุรกิจในระยะยาวเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุน ไม่ได้ไปเก็งภาวะตลาดว่าจะขึ้นหรือลงเพราะภาวะตลาดที่มีความผันผวนเป็นปกติธรรมดาไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดหรือสูงสุดอยู่ตรงไหน
"เราจะไม่ไปปรับเปลี่ยนการลงทุนตามภาวะตลาดภาพใหญ่ที่เปลี่ยนไปแต่จะเน้นมองคุณค่าของหุ้นที่เข้าไปลงทุนเป็นสำคัญ"
การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะไม่พยายามไปเก็งหรือคาดการณ์ในสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก เช่น ตลาดหุ้นจะฟื้นเมื่อไร จะลงไปต่ำสุดที่ไหน ตลาดจะขึ้นหรือลง เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
ถ้าเราพยายามไปคาดการณ์หรือกำหนดหรือเก็งในอะไรที่เราไม่มีความสามารถจะไปคาดการณ์ ไม่มีความรู้จริง ก็อย่าไปทำ จะทำให้การลงทุนเพี้ยนไปหมด แต่เราจะมองว่ากิจการที่เราลงทุนอยู่นั้นยังดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งหุ้นในพอร์ตที่ตัวเองลงทุนอยู่เดิมแม้จะได้รับความเสียหายจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง
แต่โดยพื้นฐานของหุ้นแล้วไม่ได้เปลี่ยนไป จึงไม่ได้ขายหุ้นออกแต่ประการใด เมื่อมีเม็ดเงินใหม่ก็จะทยอยซื้อลงทุนเพิ่มเพื่อเฉลี่ยต้นทุนไปในตัวด้วย เพราะพื้นฐานของหุ้นแม้จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวไปบ้าง แต่ราคากลับปรับตัวลงมามากกว่าพื้นฐานของหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยเข้าสะสมหุ้นเพิ่ม
ดร.นิเวศน์ ยังบอกอีกว่า ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้พอร์ตการลงทุนได้รับความเสียหายไปบ้างพอสมควร เพราะเรามองการลงทุนระยะยาวซึ่งในที่สุดราคาหุ้นต้องกลับมาสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น แต่ราคาที่ปรับตัวลงนี้เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น จากการที่ต่างชาติเทขายหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของหุ้นเลย หลายคนมองว่าราคาหุ้นถูกแล้วยังมีที่ถูกกว่าอีกเกิดขึ้นเสมอ
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเช่นนี้ก็ไม่ใช่เวลาหรือจังหวะในการขายหุ้นแล้ว ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่ายิ่งราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นของหุ้นมาก ยิ่งเป็นโอกาสและจังหวะในการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มมากกว่า เพราะมีส่วนต่างหรือโอกาสในการทำกำไรที่กว้างมากขึ้น ถ้าไปขายหุ้นตอนนี้ก็จะดูขัดกับสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของตัวเองไป
ในขณะที่นักลงทุนบางคนอาจจะมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงไปอีก ขายตอนนี้ แล้วค่อยไปซื้อกลับใหม่ที่ต่ำกว่าแบบนั้นถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ผิดอะไร แต่ส่วนตัวเน้นการลงทุนแบบเน้นคุณค่าการที่มองว่าราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ควรขายแล้ว
ถ้ามองว่าราคาจะลงต่อ แล้วค่อยไปซื้อกลับก็เหมือนกับการเข้าไปเก็งตลาดซึ่งจะผิดหลักการของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไป เพราะเราต้องดูที่คุณค่าของกิจการในระยะยาวเป็นสำคัญ ไม่ได้ไปเก็งกำไรกระแสเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาติ เราไม่ได้ลงทุนในหุ้นแบบเก็งกำไรแต่เน้นการลงทุนระยะยาวจริงๆ
ดร.นิเวศน์ กล่าวเสริมว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นสไตล์การลงทุนระยะยาวในตัวกิจการของบริษัทที่เข้าไปลงทุนจริงๆ ดังนั้นถ้าพื้นฐานธุรกิจยังดีอยู่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปขายหุ้นทิ้ง และราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงก็จะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าเราสามารถที่จะทนดูราคาหุ้นที่เราลงทุนมีราคาตกต่ำได้บ้าง ความจำเป็นในการที่จะต้องไปใช้ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงก็จะน้อยลงไปด้วย
เพราะการเข้าไปใช้ Futures ก็เป็นการเก็งภาวะตลาดเช่นเดียวกัน เก็งว่าจะขึ้นหรือลง ซึ่งไม่ใช่แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอีกทั้งยังมีต้นทุนของการเข้าไปใช้อีกด้วย
หากเรามองการลงทุนในระยะยาวซึ่งมุมมองการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไปกับสิ่งที่เราวิเคราะห์ตัวกิจการที่เข้าไปลงทุนมากกว่าซึ่งเป็นผลกระทบในระยะยาว
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก ทำให้ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน มาร์จินยิ่งมาก ราคาหุ้นยิ่งถูกลง ถ้ามีเงินใหม่ก็จะนำเข้าไปซื้อลงทุนเพิ่ม ดังนั้นการเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเรื่องของจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าวิธีการลงทุนเลย
ในภาวะที่ตลาดหุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาลงเช่นนี้ เชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย"
http://www.bangkokbiznews.com/2008/11/0 ... 308891.php
[/b]
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2406
จะอย่างไรผมยังเชื่อว่า การลงทุน โดยดูที่ตัวบริษัท จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ มากกว่าการให้น้ำหนักกับ Mr.Market มากเกินไปครับ
เรือที่ดี จะฝ่ากระแสน้ำที่ผันผวนได้ อย่างที่พี่สุมาอี้เคยบอกไว้ครับ
ขอบคุณพี่วิบูลย์มากๆนะครับ
เรือที่ดี จะฝ่ากระแสน้ำที่ผันผวนได้ อย่างที่พี่สุมาอี้เคยบอกไว้ครับ
ขอบคุณพี่วิบูลย์มากๆนะครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2407
ไม่เป็นไรครับnoooon010 เขียน:จะอย่างไรผมยังเชื่อว่า การลงทุน โดยดูที่ตัวบริษัท จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ มากกว่าการให้น้ำหนักกับ Mr.Market มากเกินไปครับ
เรือที่ดี จะฝ่ากระแสน้ำที่ผันผวนได้ อย่างที่พี่สุมาอี้เคยบอกไว้ครับ
ขอบคุณพี่วิบูลย์มากๆนะครับ
เมื่อวานมีเพื่อนถามผมว่า
จะมีวิธีไหนในตลาดหุ้นที่จะผ่านวิกฤตได้
ผมบอกว่ามีอยู่สองแบบ
แบบแรกคือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ที่มองการลงทุนเหมือนซื้อธุรกิจ
ราคาที่ลดลงถือเป็นโอกาสในการลงทุน
ในธุรกิจที่ดีเยี่ยมในอนาคต
แบบที่สองคือ
การเก็งกำไร
ที่ต้องมีวินัยในการตัดขาดทุน
และไม่ถือหุ้นในตอนตลาดขาลง
ส่วนวิธีอื่นยังมองไม่เห็นว่า
จะรอดจากวิกฤตในระยะยาวได้อย่างไร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2408
Value Way ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551
"นินทาบัฟเฟต"
สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นได้มีโอกาสสัมภาษณ์อลิซ ชโรเดอร์ (Alice Schroeder) ผู้ใช้เวลาถึง 5 ปีในการติดตามวอร์เรน บัฟเฟตเพื่อเขียนหนังสือเรื่องสโนว์บอล (Snow Ball) ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของบัฟเฟตอย่างเป็นทางการเล่มแรก การแต่งหนังสือเล่มนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากตัวบัฟเฟตเอง อลิซสามารถเปิดดูแฟ้มประวัติของเบิร์คไชน์ได้ทุกเล่ม รวมถึงการสัมภาษณ์คนในครอบครัวบัฟเฟตและเพื่อนๆของเขากว่า 250 คน ถือว่าอลิซมีความคุ้นเคยและเข้าใจบัฟเฟตมากกว่านักเขียนคนใดที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา บทสัมภาษณ์นี้มีขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา
ถาม: ทำไมผู้คนถึงสนใจในวอร์เรน บัฟเฟต
อลิซ: ฉันคิดว่าเขากลายมาเป็นบุคคลสาธารณะระดับชาติเพราะผู้คนเชื่อในตัวเขา เขาเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและจัดการกับความเสี่ยงได้ดี รวมทั้งสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้
ถาม: คุณคิดว่าเขาจะรับตำแหน่งในรัฐบาลหรือเปล่า
อลิซ: ฉันคิดว่าไม่นะ ฉันว่าเขาชอบทำงานของเขาที่เบิร์คไชน์มากกว่า และคิดว่าเขาคงไม่อยากจะไปทำงานอื่น และที่สำคัญเขาคงไม่ชอบให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเขาโดยเฉพาะเรื่องของการนัดให้เขาเข้าประชุมอยู่ตลอดเวลา
ถาม: ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นกำลังกลับไปสู่ยุคตกต่ำ
อลิซ: บัฟเฟตมักพูดเสมอว่านิสัยมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน ความโลภและความกลัวเป็นสองสิ่งที่ขับดันตลาด มีผู้คนมากมายที่ฟังเขาเวลาเขาพูด แต่สุดท้ายแล้วตลาดก็เต็มไปด้วยความโลภและความกลัวเช่นเดิม
ถาม: คุณได้คุยกับเขาไหมเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตการเงินในปัจจุบัน
อลิซ: ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือเมื่อเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่แบร์สเติร์นถูกซื้อโดยเจพีมอร์แกน เขาบอกว่ามันจะเป็นล้มเป็นโดมิโน ถ้ามันเกิดขึ้นรัฐบาลต้องดำเนินการอะไรบางอย่างที่ไม่น่าพิศมัยนัก ในปี 2002 บัฟเฟตได้บอกไว้เกี่ยวกับเรื่องของตราสารอนุพันธ์ว่ามันเป็นระเบิดเวลาดีๆนี่เอง
เขาบอกเสมอว่าอย่าขายตอนตกใจ (Dont sell in Panic) อย่าให้ความกลัวมาทำให้คุณรู้สึกเปลี่ยนไป ถ้าคุณถือหุ้นในบริษัทที่ดีหรือคุณลงทุนในกองทุนดัชนี และคุณเห็นมันมีราคาถูกลง คุณควรจะดีใจไม่ใช่กลัว หลักการคือซื้อถูกขายแพง ไม่ใช่ซื้อแพงขายถูก
เขาเข้าใจในปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตคราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขาดดุลงบประมาณ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สินส่วนบุคคล แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แม้แต่ในตอนปี 1970 ที่ดูเหมือนว่าอเมริกาจะไปไม่รอด สุดท้ายเราก็แก้ปัญหาจนสำเร็จได้
ถาม: บัฟเฟตเล่นพนันหรือเปล่า
อลิซ: ไม่เลย เขาเข้าใจในความเสี่ยง นักพนันคือคนที่พนันโดยไม่เข้าใจความเสี่ยง วอร์เรนเชื่อในเรื่องของส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เขาจะไม่ลงทุนถ้าเขาไม่มีโอกาสถูกมากกว่าผิด เมื่อเขาไปลาสเวกัส เขาไม่ได้ไปเล่นพนันแต่ไปดูโชว์มากกว่า
ถาม: เขามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง
อลิซ: เขาค่อนข้างเคี่ยวถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจและไม่ค่อยใส่ใจผู้คนรอบข้างสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวเขามักเจรจาต่อรองเหมือนกับทำธุรกิจ
ถาม: เขามีคำแนะนำอย่างไรในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้
อลิซ: เขาบอกว่าเราควรมองไกลๆและตัดสินใจระะยาวในเรื่องส่วนตัว รวมทั้งเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด คิดว่าจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นบ้าง อย่าคิดว่าทุกอย่างจะดีไปทั้งหมด ถ้าคุณมีหนี้ ให้คุณคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะปลดหนี้นั้นได้ หรือเจรจากับเจ้าหนี้ถ้าคุณคิดว่ามีปัญหาจริงๆ ให้คุณเข้าใจถึงสิ่งที่คุณจ่ายเพราะการมีเงินสำรองนั้นช่วยให้คุณหลับสนิทได้และมีค่ากว่าโทรทัศน์จอแบนรุ่นใหม่
"นินทาบัฟเฟต"
สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นได้มีโอกาสสัมภาษณ์อลิซ ชโรเดอร์ (Alice Schroeder) ผู้ใช้เวลาถึง 5 ปีในการติดตามวอร์เรน บัฟเฟตเพื่อเขียนหนังสือเรื่องสโนว์บอล (Snow Ball) ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของบัฟเฟตอย่างเป็นทางการเล่มแรก การแต่งหนังสือเล่มนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากตัวบัฟเฟตเอง อลิซสามารถเปิดดูแฟ้มประวัติของเบิร์คไชน์ได้ทุกเล่ม รวมถึงการสัมภาษณ์คนในครอบครัวบัฟเฟตและเพื่อนๆของเขากว่า 250 คน ถือว่าอลิซมีความคุ้นเคยและเข้าใจบัฟเฟตมากกว่านักเขียนคนใดที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา บทสัมภาษณ์นี้มีขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา
ถาม: ทำไมผู้คนถึงสนใจในวอร์เรน บัฟเฟต
อลิซ: ฉันคิดว่าเขากลายมาเป็นบุคคลสาธารณะระดับชาติเพราะผู้คนเชื่อในตัวเขา เขาเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและจัดการกับความเสี่ยงได้ดี รวมทั้งสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้
ถาม: คุณคิดว่าเขาจะรับตำแหน่งในรัฐบาลหรือเปล่า
อลิซ: ฉันคิดว่าไม่นะ ฉันว่าเขาชอบทำงานของเขาที่เบิร์คไชน์มากกว่า และคิดว่าเขาคงไม่อยากจะไปทำงานอื่น และที่สำคัญเขาคงไม่ชอบให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเขาโดยเฉพาะเรื่องของการนัดให้เขาเข้าประชุมอยู่ตลอดเวลา
ถาม: ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นกำลังกลับไปสู่ยุคตกต่ำ
อลิซ: บัฟเฟตมักพูดเสมอว่านิสัยมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน ความโลภและความกลัวเป็นสองสิ่งที่ขับดันตลาด มีผู้คนมากมายที่ฟังเขาเวลาเขาพูด แต่สุดท้ายแล้วตลาดก็เต็มไปด้วยความโลภและความกลัวเช่นเดิม
ถาม: คุณได้คุยกับเขาไหมเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตการเงินในปัจจุบัน
อลิซ: ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือเมื่อเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่แบร์สเติร์นถูกซื้อโดยเจพีมอร์แกน เขาบอกว่ามันจะเป็นล้มเป็นโดมิโน ถ้ามันเกิดขึ้นรัฐบาลต้องดำเนินการอะไรบางอย่างที่ไม่น่าพิศมัยนัก ในปี 2002 บัฟเฟตได้บอกไว้เกี่ยวกับเรื่องของตราสารอนุพันธ์ว่ามันเป็นระเบิดเวลาดีๆนี่เอง
เขาบอกเสมอว่าอย่าขายตอนตกใจ (Dont sell in Panic) อย่าให้ความกลัวมาทำให้คุณรู้สึกเปลี่ยนไป ถ้าคุณถือหุ้นในบริษัทที่ดีหรือคุณลงทุนในกองทุนดัชนี และคุณเห็นมันมีราคาถูกลง คุณควรจะดีใจไม่ใช่กลัว หลักการคือซื้อถูกขายแพง ไม่ใช่ซื้อแพงขายถูก
เขาเข้าใจในปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตคราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขาดดุลงบประมาณ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สินส่วนบุคคล แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แม้แต่ในตอนปี 1970 ที่ดูเหมือนว่าอเมริกาจะไปไม่รอด สุดท้ายเราก็แก้ปัญหาจนสำเร็จได้
ถาม: บัฟเฟตเล่นพนันหรือเปล่า
อลิซ: ไม่เลย เขาเข้าใจในความเสี่ยง นักพนันคือคนที่พนันโดยไม่เข้าใจความเสี่ยง วอร์เรนเชื่อในเรื่องของส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เขาจะไม่ลงทุนถ้าเขาไม่มีโอกาสถูกมากกว่าผิด เมื่อเขาไปลาสเวกัส เขาไม่ได้ไปเล่นพนันแต่ไปดูโชว์มากกว่า
ถาม: เขามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง
อลิซ: เขาค่อนข้างเคี่ยวถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจและไม่ค่อยใส่ใจผู้คนรอบข้างสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวเขามักเจรจาต่อรองเหมือนกับทำธุรกิจ
ถาม: เขามีคำแนะนำอย่างไรในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้
อลิซ: เขาบอกว่าเราควรมองไกลๆและตัดสินใจระะยาวในเรื่องส่วนตัว รวมทั้งเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด คิดว่าจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นบ้าง อย่าคิดว่าทุกอย่างจะดีไปทั้งหมด ถ้าคุณมีหนี้ ให้คุณคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะปลดหนี้นั้นได้ หรือเจรจากับเจ้าหนี้ถ้าคุณคิดว่ามีปัญหาจริงๆ ให้คุณเข้าใจถึงสิ่งที่คุณจ่ายเพราะการมีเงินสำรองนั้นช่วยให้คุณหลับสนิทได้และมีค่ากว่าโทรทัศน์จอแบนรุ่นใหม่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2410
มาถาม VIB007 ราคาแก๊ซ LPG ขึ้น 6 บาท ขึ้น 3 เดือนๆละ 2 บาท
และราคา NGV จะขึ้นในปีหน้านั้น
มีผลอย่างไรบ้างต่อ pttep ครับ
ขอบคุณครับ
อิอิ ไม่เคยมาถามเลยเนอะ อ่านมานาน ขอสัก 1 คำถามครับ VIB007
และราคา NGV จะขึ้นในปีหน้านั้น
มีผลอย่างไรบ้างต่อ pttep ครับ
ขอบคุณครับ
อิอิ ไม่เคยมาถามเลยเนอะ อ่านมานาน ขอสัก 1 คำถามครับ VIB007
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2411
สวัสดีครับพี่ JengJeng เขียน:มาถาม VIB007 ราคาแก๊ซ LPG ขึ้น 6 บาท ขึ้น 3 เดือนๆละ 2 บาท
และราคา NGV จะขึ้นในปีหน้านั้น
มีผลอย่างไรบ้างต่อ pttep ครับ
ขอบคุณครับ
อิอิ ไม่เคยมาถามเลยเนอะ อ่านมานาน ขอสัก 1 คำถามครับ VIB007
ตื่นเช้าจัง
ไม่ได้เจอกันนานเลย
สบายดีหรือเปล่าครับ
กิจการเป็นอย่างไรบ้าง
หวังว่าคงไปได้ดีเหมือนเดิม
เรื่องราคา LPG และ NGV ที่จะขึ้นราคานั้น
คงไม่มีผลกับ PTTEP แต่อย่างไร
แต่มีผลกับ PTT อย่างมาก
เพราะ PTTEP ผลิตแก๊สธรรมชาติขายให้ปตท.มีราคาตายตัว
ปตท.จะเอาไปขายเท่าไหร่ก็เรื่องของเฮียปอ
พี่เทพไม่เกี่ยว
ถ้าขึ้นราคา NGV ได้ เฮียปอก็ขาดทุนน้อยลง
เพราะราคาขายตอนนี้ขาดทุนทุกลิตร
ส่วน LPG ผลิตจากการกลั่นนำ้มันดิบ
จึงไม่เกี่ยวกับพี่เทพแต่อย่างไร
เพราะการผลิตนำ้มันดิบก็ขายในราคาตลาดโลกอยู่แล้ว
และยอดผลิตในประเทศไม่มาก
ขายให้ปั๊มเท่าไหร่เป็นเรื่องของปตท
ตอนนี้ผลิตในประเทศไม่พอ
ต้องนำเข้า
ปตทแบกภาระอ่วมเพราะต้องจ่ายไปก่อน
ขึ้นราคามาเพื่อนำเงินมาคืนปตท นั่นเอง
เรื่องมันจึงเป็นเช่นนี้หละครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 251
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2414
โดนแบบ happy นะครับ
คิดว่า ถ้า LPG ขึ้นเนี่ย direct exposure นะจะอยู่ที่ TOP เพราะเป็น refinery นะครับ ผมว่า น่าจะขึ้นมาตั้งนานแล้วนะครับ LPG
คิดว่า ถ้า LPG ขึ้นเนี่ย direct exposure นะจะอยู่ที่ TOP เพราะเป็น refinery นะครับ ผมว่า น่าจะขึ้นมาตั้งนานแล้วนะครับ LPG
Life is a lot like Jazz, it's best when you improvise
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2415
งั้นก็เข้าใจตรงกันclassy เขียน:โดนแบบ happy นะครับ
คิดว่า ถ้า LPG ขึ้นเนี่ย direct exposure นะจะอยู่ที่ TOP เพราะเป็น refinery นะครับ ผมว่า น่าจะขึ้นมาตั้งนานแล้วนะครับ LPG
งานนี้อู่รับติดตั้งแอลพีจีเตรียมปิดกิจการได้เลย
เพราะราคาแกสเท่าน้ำมันแล้ว
ส่วนอู่ติดตั้งเอ็นจีวีงานเข้าแน่
เพราะแท๊กซี่คงแห่ไปเปลี่ยนเป็นเอ็นจีวีกันหมด
ส่วนผู้ใช้รถส่วนบุคคลที่ไปใช้เอ็นจีวี
อาจเปลี่ยนใจกลับมาใช้นำ้มัน
เพราะตอนนี้รอเติมก็เกือบชั่วโมง
ต่อไปคงรอเติมแก๊สกันทีสองชั่วโมง
เป็นบ้าไปเลย
- osama
- Verified User
- โพสต์: 59
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2416
มาเรียนถาม คุณ VIB007 ซัก 4 ข้อครับ เพราะคุณ VIB007 รู้เรื่องตัวนี้ดีที่สุดแล้ว
1. ผมเข้าใจว่ารายได้ของ pttep ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ถ้าน้ำมันดิบในตลาดโลกแพงกำไรก็มากขึ้น ถ้าน้ำมันดิบถูกกำไรก็ลดลงถูกหรือเปล่าครับ
2. ถ้าสมมุติว่าข้อ 1 น้นถูกต้อง ราคาน้ำมันดิบ นั้นต้องเป็นอย่างน้อยเท่าไหร่กิจการในปัจจุบันถึงจะอยู่ได้โดยไม่ขาดทุนครับ (กำไร - ค่าใช้จ่าย - ดอกเบี้ยกู้ยืม = 0)
3. ถ้าสมมุติว่าราคาน้ำมันดิบเฉลื่ยแล้วคงที่ไปอีก 2 ปีที่ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล กำไรต่อหุ้นต่อปีจะเป็นเท่าไหร่ครับ
4. ถ้าเราเปลื่ยนตัวเลขในข้อ 3 เป็น 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล กำไรต่อหุ้นต่อปีจะเป็นเท่าไหร่ครับ
ขอบคุณครับ
1. ผมเข้าใจว่ารายได้ของ pttep ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ถ้าน้ำมันดิบในตลาดโลกแพงกำไรก็มากขึ้น ถ้าน้ำมันดิบถูกกำไรก็ลดลงถูกหรือเปล่าครับ
2. ถ้าสมมุติว่าข้อ 1 น้นถูกต้อง ราคาน้ำมันดิบ นั้นต้องเป็นอย่างน้อยเท่าไหร่กิจการในปัจจุบันถึงจะอยู่ได้โดยไม่ขาดทุนครับ (กำไร - ค่าใช้จ่าย - ดอกเบี้ยกู้ยืม = 0)
3. ถ้าสมมุติว่าราคาน้ำมันดิบเฉลื่ยแล้วคงที่ไปอีก 2 ปีที่ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล กำไรต่อหุ้นต่อปีจะเป็นเท่าไหร่ครับ
4. ถ้าเราเปลื่ยนตัวเลขในข้อ 3 เป็น 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล กำไรต่อหุ้นต่อปีจะเป็นเท่าไหร่ครับ
ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2417
แจ่ม ขอบคุณมากครับ พี่สบายดี เรื่อยๆ เที่ยวตลอดครับ เกาะช้าง เสม็ด นี่กำลังจะไปเกาหลี วันที่ 20 นี้ครับ เห็นว่า -5 องศาVIB007 เขียน: สวัสดีครับพี่ Jeng
ตื่นเช้าจัง
ไม่ได้เจอกันนานเลย
สบายดีหรือเปล่าครับ
กิจการเป็นอย่างไรบ้าง
หวังว่าคงไปได้ดีเหมือนเดิม
เรื่องราคา LPG และ NGV ที่จะขึ้นราคานั้น
คงไม่มีผลกับ PTTEP แต่อย่างไร
แต่มีผลกับ PTT อย่างมาก
เพราะ PTTEP ผลิตแก๊สธรรมชาติขายให้ปตท.มีราคาตายตัว
ปตท.จะเอาไปขายเท่าไหร่ก็เรื่องของเฮียปอ
พี่เทพไม่เกี่ยว
ถ้าขึ้นราคา NGV ได้ เฮียปอก็ขาดทุนน้อยลง
เพราะราคาขายตอนนี้ขาดทุนทุกลิตร
ส่วน LPG ผลิตจากการกลั่นนำ้มันดิบ
จึงไม่เกี่ยวกับพี่เทพแต่อย่างไร
เพราะการผลิตนำ้มันดิบก็ขายในราคาตลาดโลกอยู่แล้ว
และยอดผลิตในประเทศไม่มาก
ขายให้ปั๊มเท่าไหร่เป็นเรื่องของปตท
ตอนนี้ผลิตในประเทศไม่พอ
ต้องนำเข้า
ปตทแบกภาระอ่วมเพราะต้องจ่ายไปก่อน
ขึ้นราคามาเพื่อนำเงินมาคืนปตท นั่นเอง
เรื่องมันจึงเป็นเช่นนี้หละครับ
ลูกๆน่าโตแล้วเนอะ หายเหนื่อยไปเยอะ ตอนเด็กๆจะเหนื่อยหน่อย ไม่ได้นอน อิอิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2420
อิจฉาเที่ยวเยอะจังJeng เขียน: แจ่ม ขอบคุณมากครับ พี่สบายดี เรื่อยๆ เที่ยวตลอดครับ เกาะช้าง เสม็ด นี่กำลังจะไปเกาหลี วันที่ 20 นี้ครับ เห็นว่า -5 องศา
ลูกๆน่าโตแล้วเนอะ หายเหนื่อยไปเยอะ ตอนเด็กๆจะเหนื่อยหน่อย ไม่ได้นอน อิอิ
ตอนนี้ผมไปไหนไม่ค่อยคล่องตัว
เพราะไปไหนทีเหมือนย้ายบ้าน
เลยอยู่บ้านซะเป็นส่วนใหญ่
เด็กๆก็เริ่มรู้เรื่องแล้วครับ
ซนเป็นลิง
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2423
ผมคุยกับเพื่อนสนิทๆที่เล่นหุ้นด้วยกันถึงวิบูลย์บ่อยๆVIB007 เขียน: พี่ por_jai
เข้าตลาดอีกทีเมื่อไหร่ บอกกันด้วยนะพี่ อิ อิ
ช่วงนี้ต้องอาศัยลักจำ
เวลาคุยกันเรื่องพี่เทพ กับเรื่องบุญ
คนที่ซื้อเกือบlowแล้วขายเกือบhighนี่
พวกผมสรุปกันว่านอกจากเ่ก่งแล้วยังต้องทำบุญมาเยอะๆอีกตะหากครับ
เรื่องเก่งผมพอสู้พอค้นคว้าได้
แต่เรื่องบุญกรรม วาสนานี่
สุดที่จะแ่ข่งจะพายสู้
ผมว่าวิบูลย์นะต้องให้สัญญาณผมซะละมากกว่า
เพราะพวกผมก็เล็งๆปิโตรกันไว้เหมือนกันในรอบหน้า
ยอมให้ผมเกาะชายผ้าเหลืองไปซะดีๆ ดีกว่า
ส่วนที่ตอบพี่โอซามา(บินลาเดนหรือเปล่าไม่รู้)ข้างบนนั่น
ขออนุญาติcopyเก็บไว้คำนวณหน่อย
กระจ่างดั่งวันเพ็ญจริงๆ(นี่เป็นศัพท์ของคุณเล็กนะ แต่คาดว่าคงไม่สงวนลิขสิทธิ์)
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 257
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2424
สอบถาม p'viboon หน่อยครับว่า สูตรในการคิด PE ใน settrade เค้าคำนวณจากอะไรครับ ส่วนใหญ่ก็สมเหตุสมผลครับ แต่หุ้นบางตัวอย่าง TIPCO ราคา 4 บาทกว่าๆ กำไรต่อหุ้น 9 เดือน 55 สตางค์ P/BV 1.2 แต่ทำไม P/E แค่ 2.99 เองครับ .... หรือว่าเค้าเอาผลกำไรของไตรมาสเทียบต่อไตรมาส พอได้เป็น % เติบโตก็เอาไปคูณกับผลกำไรรวมของปีที่แล้ว (หรือย้อนหลังมากกว่านั้นครับ) ถึงได้ตัวเลขนี้ออกมา
อ่านจากบอร์ดร้อยคนร้อยหุ้นเห็นบอกว่า ที่ PE ต่ำน่าจะเพราะ Q4/2007 มีการรับรู้กำไรจากการขายบริษัทลูก
1. อยากทราบครับว่ามีสูตรในการคิด PE อย่างไรบ้างครับ
2. จากข้อที่ 1 หุ้นแต่ละตัวใช้สูตรในการคิด PE ต่างกันไหมครับ
อ่านจากบอร์ดร้อยคนร้อยหุ้นเห็นบอกว่า ที่ PE ต่ำน่าจะเพราะ Q4/2007 มีการรับรู้กำไรจากการขายบริษัทลูก
1. อยากทราบครับว่ามีสูตรในการคิด PE อย่างไรบ้างครับ
2. จากข้อที่ 1 หุ้นแต่ละตัวใช้สูตรในการคิด PE ต่างกันไหมครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2425
บุญหรือฟลุ๊คนี่ตอบยากครับpor_jai เขียน: ผมคุยกับเพื่อนสนิทๆที่เล่นหุ้นด้วยกันถึงวิบูลย์บ่อยๆ
เวลาคุยกันเรื่องพี่เทพ กับเรื่องบุญ
คนที่ซื้อเกือบlowแล้วขายเกือบhighนี่
พวกผมสรุปกันว่านอกจากเ่ก่งแล้วยังต้องทำบุญมาเยอะๆอีกตะหากครับ
เรื่องเก่งผมพอสู้พอค้นคว้าได้
แต่เรื่องบุญกรรม วาสนานี่
สุดที่จะแ่ข่งจะพายสู้
ผมว่าวิบูลย์นะต้องให้สัญญาณผมซะละมากกว่า
เพราะพวกผมก็เล็งๆปิโตรกันไว้เหมือนกันในรอบหน้า
ยอมให้ผมเกาะชายผ้าเหลืองไปซะดีๆ ดีกว่า
อันนี้ไม่ได้ดูหมิ่นศาสนานะ
ทำบุญมากๆดีครับ
ไม่ต้องไปวัดทุกวันก็ได้
ทำที่บ้าน ทำที่ทำงาน ทำได้ทุกวัน
คิดดี ทำดี พูดดี
ส่วนปิโตรและโรงกลั่นคงต้องรออีกหลายปี
เพราะพวกโรงงานพลาสติก โรงกลั่นใหม่ๆสร้างเสร็จแล้ว
อย่างเอเซียก็มีที่จีน อินเดีย เวียดนาม และเมืองแขก
คงต้องดัมพ์ราคาออกมาขายแข่งเจ้าเก่า
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็น"อุตสาหกรรม"
หรือ"อุตส่าหากรรม"กันแน่นะ ธุรกิจแบบนี้
ช่วงนี้ก็ร้องเพลงรอไปก่อน
ผมรู้แต่จุดต่ำสุด แต่จุดผงกหัวนั้นดูไม่เป็น
มีผู้รู้กล่าวไว้ว่าธุรกิจคอมโมดิตี้นั้น
จุดต่ำสุดของราคาหุ้นอยู่ที่ครึ่งหนึ่งของราคา Book Value
จริงไม่จริงไม่รู้ แต่อย่าลบหลู่ อิ อิ
เอาเลยครับพี่por_jai เขียน:ส่วนที่ตอบพี่โอซามา(บินลาเดนหรือเปล่าไม่รู้)ข้างบนนั่น
ขออนุญาติcopyเก็บไว้คำนวณหน่อย
กระจ่างดั่งวันเพ็ญจริงๆ(นี่เป็นศัพท์ของคุณเล็กนะ แต่คาดว่าคงไม่สงวนลิขสิทธิ์)
คำนวณได้เท่าไหร่มาแชร์กันได้ครับ
แต่ที่ผมบอกนี่มันจะได้ตัวเลขที่คร่าวมากๆ
ถ้าเป็นนักวิเคราะห์ตามโบรกจะต้องเอาตัวเลขไปใส่ Computer Model
แล้วคำนวณออกมาด้วย DCF
ซึ่งผมว่ามันก็"เทียน"เหมือนกัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2426
อันนี้ไม่รู้ว่า Settrade ใช้แบบนี้หรือเปล่าapiwatw เขียน: สอบถาม p'viboon หน่อยครับว่า สูตรในการคิด PE ใน settrade เค้าคำนวณจากอะไรครับ ส่วนใหญ่ก็สมเหตุสมผลครับ แต่หุ้นบางตัวอย่าง TIPCO ราคา 4 บาทกว่าๆ กำไรต่อหุ้น 9 เดือน 55 สตางค์ P/BV 1.2 แต่ทำไม P/E แค่ 2.99 เองครับ .... หรือว่าเค้าเอาผลกำไรของไตรมาสเทียบต่อไตรมาส พอได้เป็น % เติบโตก็เอาไปคูณกับผลกำไรรวมของปีที่แล้ว (หรือย้อนหลังมากกว่านั้นครับ) ถึงได้ตัวเลขนี้ออกมา
อ่านจากบอร์ดร้อยคนร้อยหุ้นเห็นบอกว่า ที่ PE ต่ำน่าจะเพราะ Q4/2007 มีการรับรู้กำไรจากการขายบริษัทลูก
1. อยากทราบครับว่ามีสูตรในการคิด PE อย่างไรบ้างครับ
2. จากข้อที่ 1 หุ้นแต่ละตัวใช้สูตรในการคิด PE ต่างกันไหมครับ
แต่ในหนังสือพิมพ์คิดแบบนี้
P/E ที่ใช้นั้นใช้ผลประกอบการ (กำไรต่อหุ้น)ของปีล่าสุดจนถึงไตรมาศปัจจุบัน
ส่วนที่เหลือใช้ของปีที่ผ่านมาจนครบปี
เช่น
TIPCO ราคา 4 บาทกว่าๆ
กำไรต่อหุ้น 9 เดือน = 55 สตางค์
P/BV 1.2
แต่ทำไม P/E แค่ 2.99
เพราะใช้ไตรมาศสุดท้ายของปีที่แล้วมาบวกกับ 9 เดือนปีนี้
แสดงว่า Q4'07 กำไรก้าวกระโดด
จนทำให้ P/E = 2.99
แทนที่จะเป็น 4/(0.55+0.55/3) = 5.45
ลองดูปีที่แล้ว ไตรมาศสี่กำไรเท่าไหร่
คำนวณแล้วตรงไหม
ผมว่าน่าจะตรงนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2428
คุณพี่หมอเงิน คมชัดลึก ในหุ้นที่ลงทุนเซียนจริงๆบนับถือๆ มีข่าวมาฝากครับผมฟังเซียนนักวิเคราะห์คนหนึ่งกล่าวทางวิทยุว่ามี่เพื่อนที่เชียวชาญในวงการน้ำมันบอกว่าราคาน้ำมันอาจลดลงไปอยู่แถว30-40ต่อบาร์เรลได้ครับ คุณพี่หมอเงินช่วยวิเคราะห์หุ้นที่ถือลงทุนอยู่บ้างสิครับเพราะพี่เทพหมอขายไปแล้วเนี่ยครับแถวจุดสูงสุดเลยนับถือๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2430
เคยได้ยินมั๊ยครับศิษย์เซียน007 เขียน:คุณพี่หมอเงิน คมชัดลึก ในหุ้นที่ลงทุนเซียนจริงๆบนับถือๆ มีข่าวมาฝากครับผมฟังเซียนนักวิเคราะห์คนหนึ่งกล่าวทางวิทยุว่ามี่เพื่อนที่เชียวชาญในวงการน้ำมันบอกว่าราคาน้ำมันอาจลดลงไปอยู่แถว30-40ต่อบาร์เรลได้ครับ คุณพี่หมอเงินช่วยวิเคราะห์หุ้นที่ถือลงทุนอยู่บ้างสิครับเพราะพี่เทพหมอขายไปแล้วเนี่ยครับแถวจุดสูงสุดเลยนับถือๆ
ที่นักวิเคราะห์บอกว่าราคาน้ำมันจะไป 200 เหรียญ
มันก็เพิ่งไม่นานมานี้เองนะ
แค่ 3-4 เดือนเอง
ตอนนั้น 147 เหรียญ
แล้วดูตอนนี้ซิครับ 56 เหรียญ
อย่างว่า
พอราคาลงๆ
คนก็คิดว่าจะลงไปอีก
เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครรู้จริงๆสักคน
ถ้ารู้จริง คนนั้นคงรวยกว่าวอร์เรน
เอาเป็นว่าอย่าไปคาดการณ์น้ำมันเลย
ว่ามันจะขึ้นหรือจะลง
ใครลงทุนพี่เทพไว้
ให้ดูกำลังการผลิตในแต่ละปีเป็นหลัก
ส่วนราคาน้ำมันก็คิดไว้ให้ต่ำที่สุดจะดีเอง
ตอบตรงคำถามไหมเนี่ย