ศก.ไทยปีหน้าหมดทางเยียวยา
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ศก.ไทยปีหน้าหมดทางเยียวยา
โพสต์ที่ 1
ศก.ไทยปีหน้าหมดทางเยียวยา
จีดีพีโตไม่ถึง3%งานนี้รอเผาจริง
*เอกชนเห็นพ้องลดดบ.-เร่งงบแสนลบ.กระตุ้น
เศรษฐกิจไทยปีหน้าไม่ฟื้น ม.หอการค้าไทย ฟันธง จีดีพีโตแค่ 2.9-3.1% หากการเมืองยังยืดเยื้อ และเศรษฐกิจโลกถดถอยต่อเนื่อง ระบุยอดขายธุรกิจส่งออกเครื่องหนัง-สิ่งทอ-อิเล็กฯ เจ็บหนัก แนะรัฐเร่งใช้งบกลางปี52 จำนวน 1 แสนล้านบาท หวังเห็นเศรษฐกิจฟื้นใน 6 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค. ดิ่งต่ำาสุกในรอบ 1 ปี ด้าน กกร. เผย 20 พ.ย. เสนอแนวทางใช้งบฯ แสนล้านให้กรอ. พิจารณา พร้อมแนะลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 ปี ส่วนโบรกเกอร์ ชี้ SET INdex ปีหน้าร่วงต่อเนื่องปีนี้แน่ แถมความสามารถทำกำไรบจ. ลดลง
กลายเป็นปีที่ยากลำบากเหลือเกินสำหรับปี 2551โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤตสถาบันการเงินล้มละลายในสหรัฐอเมริกาจากการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนลุกลามไปในยุโรป ซึ่งปัญหาดังกล่าวกดดันให้เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังมีปัญหาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารกลางทั้งของสหรัฐ และหลายประเทศในยุโรป จะมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงิน ตลอดจนการประกาศปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะเข้าไปช่วยประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เริ่มโงหัวขึ้นมาได้ และเห็นได้จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มหดหายลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพสะท้อนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีติดลบครั้งแรกในรอบ 16 ปี และเยอรมนีก็กลายเป็นประเทศล่าสุดที่ตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3 ติดลบเช่นเดียวกันในรอบ 15 ปี
แม้ว่าการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจจะยังไม่ลุกลามมาถึงประเทศในแถบเอเซีย แต่หลายๆประเทศก็เริ่มที่จะขยับตัวและหาทางออกในการแก้ปัญหาที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และล่าสุดจีนที่ประกาศทุ่มเงินเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศของตัวเองต้องประสบกับปัญหาเหมือนประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งหลายนั่นเอง เนื่องจากขณะนี้วิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น กำลังส่งผลกระทบมายังภาคการผลิตที่แท้จริงหรือ Real Sector แล้ว อย่างกรณีของเจเนอรัลมอเตอร์ หรือ จีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก ที่กำลังประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่องอยู่ และเร็วๆนี้อาจจะขยายวงไปยังภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ ด้วย ดังนั้นเท่ากับว่าหากภาคการผลิตที่เป็นหน้าด่านของระบบเศรษฐกิจถูกกระทบ เศรษฐกิจทั้งระบบก็ย่อมจะถูกกระทบด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนของประเทศไทยด้วยเช่นกัน แม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็จำเป็นที่ต้องหามาตรการรองรับด้วยเช่นกัน เพราะเราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว และบอบช้ำมาไม่น้อยในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แม้ในปีนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นย่ำแย่ และยังสามารถประคับประคองตัวเองไปได้ โดยกระทรวงการคลังยังมั่นใจว่าทั้งปี 2551 จีดีพีจะขยายตัวได้ในระดับ 5.1% แม้จะเกิดปัญหาในสหรัฐฯ และยุโรปก็ตาม ส่วนปี2552 หรือปีหน้า คาดว่าไม่น่าต่ำกว่า 4% อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะยืนยันว่าเศรษฐกิจประเทศยังขยายตัวได้ เติบโตได้ เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่ในทางกลับกันฟากของเอกชนดูเหมือนจะมองในมุมต่างกับรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง เพราะหลายหน่วยงานทั้ง สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย รวมไปถึงศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตลอดจนบริษัทเอกชนต่างฟันธงและพยากรณ์ว่า ปีหน้าจีดีพีโตไม่ถึง4% ด้วยซ้ำ และในขั้นเลวร้ายอาจจะไม่ถึง 3% โดยภาคเอกชนมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยอาจถึงขั้นเผาจริง เพราะปัญหาขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินกำลังลุกลามเข้ามายังภาคการผลิต เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลไม่หามาตรการที่ดีพอไว้รับมือ ปีหน้าประเทศไทยอาจจะต้องประสบกับภาวะการชะลอตัวหรือถดถอยของเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
* ม.หอการค้า ฟันธงปีหน้าจีดีพีโตแค่2.9-3.1% ถ้าการเมืองยืดเยื้อ
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การเมืองยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยในปี 52 ขยายในกรอบ 2.9-3.1% และจะส่งผลกระทบให้ภาคการส่งออกไทยในปีหน้า ไม่ขยายตัวหรือขยายตัวเพียงแค่ 0.2% จากปี 2551 ขณะเดียวกันจะมีคนว่างงานประมาณ 7.6-9 แสนคนในปีหน้า หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 2-2.3% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่จะมีการว่างงานประมาณ 5 แสนคน หรือคิดเป็นอัตรา 1.5%
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เพิ่มเติม และสามารถคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไม่มากนัก จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้า ขยายตัว 3.9-4.1% ส่วนการส่งออกจะขยายตัว 8-10% ขณะที่คนว่างงานจะมีประมาณ 6-7.5 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.6-1.9% เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีการว่างงานประมาณ 5 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.5%
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลลบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย เช่น สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ซึ่งมีความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการยุบพรรคร่วมรัฐบาล ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ต่ำและไม่กล้าลงทุนหรือบริโภคมากนัก รวมถึงปัญหาราคาพืชผลการเกษตรที่มีแนวโน้มลดลงกว่าปีนี้ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ลดลงซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในภูมิภาคขาดแรงขับเคลื่อน หรือขาดแรงพยุงเศรษฐกิจที่สำคัญ และปัญหาสภาพทางการเงินตึงตัว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของธุรกิจ
ผศ.ดร.เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนต.ค. 2551 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 68.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 ขณะที่เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 69.5% เนื่องจากผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เนื่องมาจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ และภาวะค่าครองชีพในประเทศที่ทรงตัวในระดับสูงส่งผลกดดันเช่นกัน
โดยในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.2551 อยู่ที่ 75.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 หลังผู้บริโภคยังคงไม่มั่นใจในความไม่แน่นอนทางการเมืองรวมไปถึงความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และความกังวลในค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการจำนวน 800 รายต่อสถานการณ์ธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย พบว่า ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยธุรกิจที่มียอดขายที่ลดลง ได้แก่ ธุรกิจเครื่องหนังและรองเท้า ได้รับผลกระทบสูงสุดถึง 97.41% ขณะที่ธุรกิจสิ่งทอได้รับผลกระทบยอดขายลดลงถึง 96.03% ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบ 89 - 98% ธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบ 89.44%
โดยธุรกิจประเภทภาคบริการที่ได้รับผลกระทบยอดขายลดลง ได้แก่ ธุรกิจขนส่งได้รับผลกระทบถึง 97.76% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ 79.31% และธุรกิจโรงแรมและภัตตคารได้รับผลกระทบ 69.87% ขณะที่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบภาคส่งออกลดลง ได้แก่ ธุรกิจเครื่องหนังและรองเท้าได้รับผลกระทบลดลง 84.98% ธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบ 78.70% ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบ 76.41%
*ปธ.หอการค้า เผย 20 พ.ย.นี้ เสนอแนวทางใช้งบฯแสนล้านให้กรอ.
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า วันที่ 20 พ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการภาคร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.) ซึ่งภาคเอกชนจะเสนอแนวทางในการใช้งบประมาณกลางปี 2552 จำนวน 1 แสนล้านบาท โดยจะขอให้ภาครัฐเร่งอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าวเข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุด และให้เห็นผลภายใน 6 เดือน อีกทั้งจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนให้ดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ อาจเสนอให้กระทรวงการคลังปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะทำให้แรงงานมีรายได้สำหรับการบริโภคมากขึ้น
* ปธ.สภาอุตฯ แนะธปท.ลดดบ.-เร่งงบแสนล้าน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควรที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5-1% เพื่อกระตุ้นจิตวิทยาและเศรษฐกิจในการลงทุน
"ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าธปท.ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็อยากให้ธปท.ปรับลดดอกเบี้ย 0.5-1% เพื่อกระตุ้นจิตวิทยา อีกทั้งที่ผ่านมาธปท.ก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้าเกินไป ซึ่งดูจากประเทศจีนยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งเดียวถึง 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ" นายสันติ กล่าว
นายสันติ กล่าวต่อว่า ค่าเงินบาท ณ ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับภาคการส่งออกหากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้อีกก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านการส่งออกได้ อีกทั้งแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำหากได้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเข้ามาช่วยสนับสนุนให้การส่งออกได้เช่นกัน
" หากมีการทำให้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจริง ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกอีกทั้งการอ่อนค่าของค่าเงินบาท 1-2 บาท จะส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศเพิ่มขึ้น 1-2 แสนล้านบาท จากมูลค่าสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่เคยอยู่ในระดับสูงก็ได้ปรับตัวลดลงแล้วจึงไม่น่ามีความเป็นห่วงอะไร และถ้าหากส่งผลกระทบก็เพียงแค่ 0.10 บาทต่อลิตรเท่านั้น" ประธานสภาอุตฯ กล่าว
* เอ็กซิมแบงก์ คาด จีดีพีปีหน้าโตไม่ต่ำกว่า 4%
ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวระหว่างปาฐกถาพิเศษวิกฤตโลก-เคราะห์ซ้ำเศรษฐกิจไทยและภาคส่งออกปี 2552 ว่า ดร.ณรงค์ชัย ยังได้กล่าวคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจ(จีดีพี)ปี 2552 จะโตประมาณ 4% เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้มีรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกด้วยการออกมาตรการต่างๆ ออกมา ขณะเดียวกันสถานะของสถาบันทางการเงินภายในประเทศยังถือว่าแข็งแกร่งและมีสภาพคล่องที่เพียงพอ
'ผมเชื่อว่าปีหน้าจีดีพีไทยจะโตไม่ต่ำกว่า 4% เนื่องจากเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจโลกรัฐบาลไทยก็ได้มีการออกมาตรการเพื่อมารองรับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และฐานะทางการเงินภายในประเทศก็ยังถือว่ามีสภาพคล่องและแข็งแกร่ง แต่เท่าที่ดูประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินมากนัก 'ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
นอกจากนี้ยังได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อปี 52 ให้กับภาคการส่งออกอยู่ที่ 10% จากฐานการปล่อยสินเชื่อปีนี้ที่อยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท
'เราคาดว่าปีหน้าเราจะปล่อยสินเชื่อให้ภาคการส่งออกได้ 10% จากฐานของปีนี้ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ปีนี้เราก็ได้รับผลผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ก็ยังถือว่าไม่มาก หนี้ NPL จึงน้อย แต่ในปีหน้าคงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะกระทบไปทั่วโลกจึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์' ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการด้านภาษี โดยควรจะมีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของประชาชนในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และควรจะมีการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการที่ใช้นโยบายลดเวลาทำงานแทนการเลิกจ้าง เพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับความเดือดร้อนจากรายได้ที่ลดลงในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัว
ขณะเดียวกันรัฐบาลควรมีการดูแลทางด้านมาตรการด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลที่รัฐบาลสามารถทำได้เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.75% ซึ่งมีโอกาสที่รัฐบาลจะปรับลดลงกว่านี้อีก เพราะจะช่วยผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้สามารถบริหารได้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ และดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่เกิดความผันผวนมากจนเกินไปและอยู่ในอัตราที่เหมาะสม
นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลส่งเสริมมาตรการด้านการลงทุนเพื่อให้กิจการภายในประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และเพื่อเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างเช่นผลักดัน
โครงการเมกะโปรเจ็กให้มีระบบขนส่งและระบบชลประทานขนาดใหญ่ และพัฒนาทางด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นได้เพราะหากรัฐบาลมีการลงทุนจะทำให้โครงการต่างๆเดินหน้า
'รัฐบาลต้องเร่งผลักดันมาตรการทั้ง 3 มาตรการเพื่อเป็นตัวเร่งเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีการชะลอตัวและควรผลักดันเมกะโปรเจ็กและโครงสร้างพัฒนาชุมชนโลจิสติกส์ พัฒนาพลังงานทางเลือกและโครงการพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับภาวะการณ์ของโลกที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวรัฐบาลจึงควรเร่งเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกมากจนเกินไป'ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
*โบรกฯ ชี้ SET Index ปีหน้าร่วงต่อจากปีนี้
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่าคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า หากสถานการณ์การเมืองยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยในปี 52 ขยายในกรอบ 2.9-3.1% เชื่อว่ามีความเป็นไปได้เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของวิกฤตภาคการเงินทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเพื่อผลักดันให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในโครงการต่างๆในภาคการผลิตที่แท้จริงหรือ Real Sector ลดลง อีกทั้งรายได้ส่วนสำคัญในการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวก็ถดถอยลงมาก ขณะที่การบริโภคในประเทศอาจตึงตัวขึ้นเพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นกับภาวะเศรษฐกิจทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยเงินที่เข้ามาหมุนเวียนในระบบจึงหายไปมาก และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐอันเป็นตัวผลักดันให้เกิดการจ้างงานและการใช้จ่ายในประเทศก็ไม่ม่เกิดขึ้นในช่วง1-2ปีนี้เลยเม็ดเงินเข้ามาในประเทศที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญพร้อมๆกันอาจกดดันให้จีดีพีปรับลดลงมาก
" ปัจจัยที่กล่าวมาจะส่งผลกระทบให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง ทิศทางดัชนีฯจึงมีโอกาสในการปรับตัวลดลงต่อเนื่องในปีหน้า อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีหน้าผู้นำเศรษฐกิจโลกจะเป็นชาติในเอเชียเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ตกต่ำจะยังทวีความรุนแรงและขยายตัวลุกลามถึงภาคการบริโภคและภาคการผลิตที่แท้จริงให้ทรุดตัวลงยิ่งกว่าปีนี้ซึ่งปัญหาจะลามเข้าไปถึงทวีปยุโรป พิจารณาจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพที่ติดลบของอเมริกาและยุโรปซึ่งล่าสุดออสเตรเลียก็ได้รับผลเสียหายหนัก แต่ในส่วนของประเทศในเอเชียทั้งจีนและญี่ปุ่นยังมีทิศทางในการเติบโตที่ดีจึงมีความเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกจะไหลเข้ามาในเอเชียและพยุงดัชนีฯให้ประคองตัวได้ซึ่งหากลาดฯโลกไม่ผันผวนรุนแรงเชื่อว่าดัชนีฯไม่น่าจะปรับลงหลุดแนวรับที่383 จุดไปทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว" นายวีระชัย กล่าว
http://www.efinancethai.com/index.aspx
จีดีพีโตไม่ถึง3%งานนี้รอเผาจริง
*เอกชนเห็นพ้องลดดบ.-เร่งงบแสนลบ.กระตุ้น
เศรษฐกิจไทยปีหน้าไม่ฟื้น ม.หอการค้าไทย ฟันธง จีดีพีโตแค่ 2.9-3.1% หากการเมืองยังยืดเยื้อ และเศรษฐกิจโลกถดถอยต่อเนื่อง ระบุยอดขายธุรกิจส่งออกเครื่องหนัง-สิ่งทอ-อิเล็กฯ เจ็บหนัก แนะรัฐเร่งใช้งบกลางปี52 จำนวน 1 แสนล้านบาท หวังเห็นเศรษฐกิจฟื้นใน 6 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค. ดิ่งต่ำาสุกในรอบ 1 ปี ด้าน กกร. เผย 20 พ.ย. เสนอแนวทางใช้งบฯ แสนล้านให้กรอ. พิจารณา พร้อมแนะลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 ปี ส่วนโบรกเกอร์ ชี้ SET INdex ปีหน้าร่วงต่อเนื่องปีนี้แน่ แถมความสามารถทำกำไรบจ. ลดลง
กลายเป็นปีที่ยากลำบากเหลือเกินสำหรับปี 2551โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤตสถาบันการเงินล้มละลายในสหรัฐอเมริกาจากการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนลุกลามไปในยุโรป ซึ่งปัญหาดังกล่าวกดดันให้เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังมีปัญหาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารกลางทั้งของสหรัฐ และหลายประเทศในยุโรป จะมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงิน ตลอดจนการประกาศปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะเข้าไปช่วยประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เริ่มโงหัวขึ้นมาได้ และเห็นได้จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มหดหายลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพสะท้อนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีติดลบครั้งแรกในรอบ 16 ปี และเยอรมนีก็กลายเป็นประเทศล่าสุดที่ตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3 ติดลบเช่นเดียวกันในรอบ 15 ปี
แม้ว่าการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจจะยังไม่ลุกลามมาถึงประเทศในแถบเอเซีย แต่หลายๆประเทศก็เริ่มที่จะขยับตัวและหาทางออกในการแก้ปัญหาที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และล่าสุดจีนที่ประกาศทุ่มเงินเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศของตัวเองต้องประสบกับปัญหาเหมือนประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งหลายนั่นเอง เนื่องจากขณะนี้วิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น กำลังส่งผลกระทบมายังภาคการผลิตที่แท้จริงหรือ Real Sector แล้ว อย่างกรณีของเจเนอรัลมอเตอร์ หรือ จีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก ที่กำลังประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่องอยู่ และเร็วๆนี้อาจจะขยายวงไปยังภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ ด้วย ดังนั้นเท่ากับว่าหากภาคการผลิตที่เป็นหน้าด่านของระบบเศรษฐกิจถูกกระทบ เศรษฐกิจทั้งระบบก็ย่อมจะถูกกระทบด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนของประเทศไทยด้วยเช่นกัน แม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็จำเป็นที่ต้องหามาตรการรองรับด้วยเช่นกัน เพราะเราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว และบอบช้ำมาไม่น้อยในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แม้ในปีนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นย่ำแย่ และยังสามารถประคับประคองตัวเองไปได้ โดยกระทรวงการคลังยังมั่นใจว่าทั้งปี 2551 จีดีพีจะขยายตัวได้ในระดับ 5.1% แม้จะเกิดปัญหาในสหรัฐฯ และยุโรปก็ตาม ส่วนปี2552 หรือปีหน้า คาดว่าไม่น่าต่ำกว่า 4% อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะยืนยันว่าเศรษฐกิจประเทศยังขยายตัวได้ เติบโตได้ เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่ในทางกลับกันฟากของเอกชนดูเหมือนจะมองในมุมต่างกับรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง เพราะหลายหน่วยงานทั้ง สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย รวมไปถึงศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตลอดจนบริษัทเอกชนต่างฟันธงและพยากรณ์ว่า ปีหน้าจีดีพีโตไม่ถึง4% ด้วยซ้ำ และในขั้นเลวร้ายอาจจะไม่ถึง 3% โดยภาคเอกชนมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยอาจถึงขั้นเผาจริง เพราะปัญหาขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินกำลังลุกลามเข้ามายังภาคการผลิต เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลไม่หามาตรการที่ดีพอไว้รับมือ ปีหน้าประเทศไทยอาจจะต้องประสบกับภาวะการชะลอตัวหรือถดถอยของเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
* ม.หอการค้า ฟันธงปีหน้าจีดีพีโตแค่2.9-3.1% ถ้าการเมืองยืดเยื้อ
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การเมืองยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยในปี 52 ขยายในกรอบ 2.9-3.1% และจะส่งผลกระทบให้ภาคการส่งออกไทยในปีหน้า ไม่ขยายตัวหรือขยายตัวเพียงแค่ 0.2% จากปี 2551 ขณะเดียวกันจะมีคนว่างงานประมาณ 7.6-9 แสนคนในปีหน้า หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 2-2.3% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่จะมีการว่างงานประมาณ 5 แสนคน หรือคิดเป็นอัตรา 1.5%
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เพิ่มเติม และสามารถคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไม่มากนัก จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้า ขยายตัว 3.9-4.1% ส่วนการส่งออกจะขยายตัว 8-10% ขณะที่คนว่างงานจะมีประมาณ 6-7.5 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.6-1.9% เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีการว่างงานประมาณ 5 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.5%
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลลบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย เช่น สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ซึ่งมีความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการยุบพรรคร่วมรัฐบาล ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ต่ำและไม่กล้าลงทุนหรือบริโภคมากนัก รวมถึงปัญหาราคาพืชผลการเกษตรที่มีแนวโน้มลดลงกว่าปีนี้ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ลดลงซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในภูมิภาคขาดแรงขับเคลื่อน หรือขาดแรงพยุงเศรษฐกิจที่สำคัญ และปัญหาสภาพทางการเงินตึงตัว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของธุรกิจ
ผศ.ดร.เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนต.ค. 2551 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 68.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 ขณะที่เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 69.5% เนื่องจากผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เนื่องมาจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ และภาวะค่าครองชีพในประเทศที่ทรงตัวในระดับสูงส่งผลกดดันเช่นกัน
โดยในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.2551 อยู่ที่ 75.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 หลังผู้บริโภคยังคงไม่มั่นใจในความไม่แน่นอนทางการเมืองรวมไปถึงความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และความกังวลในค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการจำนวน 800 รายต่อสถานการณ์ธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย พบว่า ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยธุรกิจที่มียอดขายที่ลดลง ได้แก่ ธุรกิจเครื่องหนังและรองเท้า ได้รับผลกระทบสูงสุดถึง 97.41% ขณะที่ธุรกิจสิ่งทอได้รับผลกระทบยอดขายลดลงถึง 96.03% ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบ 89 - 98% ธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบ 89.44%
โดยธุรกิจประเภทภาคบริการที่ได้รับผลกระทบยอดขายลดลง ได้แก่ ธุรกิจขนส่งได้รับผลกระทบถึง 97.76% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ 79.31% และธุรกิจโรงแรมและภัตตคารได้รับผลกระทบ 69.87% ขณะที่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบภาคส่งออกลดลง ได้แก่ ธุรกิจเครื่องหนังและรองเท้าได้รับผลกระทบลดลง 84.98% ธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบ 78.70% ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบ 76.41%
*ปธ.หอการค้า เผย 20 พ.ย.นี้ เสนอแนวทางใช้งบฯแสนล้านให้กรอ.
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า วันที่ 20 พ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการภาคร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.) ซึ่งภาคเอกชนจะเสนอแนวทางในการใช้งบประมาณกลางปี 2552 จำนวน 1 แสนล้านบาท โดยจะขอให้ภาครัฐเร่งอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าวเข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุด และให้เห็นผลภายใน 6 เดือน อีกทั้งจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนให้ดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ อาจเสนอให้กระทรวงการคลังปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะทำให้แรงงานมีรายได้สำหรับการบริโภคมากขึ้น
* ปธ.สภาอุตฯ แนะธปท.ลดดบ.-เร่งงบแสนล้าน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควรที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5-1% เพื่อกระตุ้นจิตวิทยาและเศรษฐกิจในการลงทุน
"ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าธปท.ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็อยากให้ธปท.ปรับลดดอกเบี้ย 0.5-1% เพื่อกระตุ้นจิตวิทยา อีกทั้งที่ผ่านมาธปท.ก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้าเกินไป ซึ่งดูจากประเทศจีนยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งเดียวถึง 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ" นายสันติ กล่าว
นายสันติ กล่าวต่อว่า ค่าเงินบาท ณ ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับภาคการส่งออกหากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้อีกก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านการส่งออกได้ อีกทั้งแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำหากได้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเข้ามาช่วยสนับสนุนให้การส่งออกได้เช่นกัน
" หากมีการทำให้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจริง ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกอีกทั้งการอ่อนค่าของค่าเงินบาท 1-2 บาท จะส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศเพิ่มขึ้น 1-2 แสนล้านบาท จากมูลค่าสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่เคยอยู่ในระดับสูงก็ได้ปรับตัวลดลงแล้วจึงไม่น่ามีความเป็นห่วงอะไร และถ้าหากส่งผลกระทบก็เพียงแค่ 0.10 บาทต่อลิตรเท่านั้น" ประธานสภาอุตฯ กล่าว
* เอ็กซิมแบงก์ คาด จีดีพีปีหน้าโตไม่ต่ำกว่า 4%
ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวระหว่างปาฐกถาพิเศษวิกฤตโลก-เคราะห์ซ้ำเศรษฐกิจไทยและภาคส่งออกปี 2552 ว่า ดร.ณรงค์ชัย ยังได้กล่าวคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจ(จีดีพี)ปี 2552 จะโตประมาณ 4% เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้มีรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกด้วยการออกมาตรการต่างๆ ออกมา ขณะเดียวกันสถานะของสถาบันทางการเงินภายในประเทศยังถือว่าแข็งแกร่งและมีสภาพคล่องที่เพียงพอ
'ผมเชื่อว่าปีหน้าจีดีพีไทยจะโตไม่ต่ำกว่า 4% เนื่องจากเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจโลกรัฐบาลไทยก็ได้มีการออกมาตรการเพื่อมารองรับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และฐานะทางการเงินภายในประเทศก็ยังถือว่ามีสภาพคล่องและแข็งแกร่ง แต่เท่าที่ดูประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินมากนัก 'ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
นอกจากนี้ยังได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อปี 52 ให้กับภาคการส่งออกอยู่ที่ 10% จากฐานการปล่อยสินเชื่อปีนี้ที่อยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท
'เราคาดว่าปีหน้าเราจะปล่อยสินเชื่อให้ภาคการส่งออกได้ 10% จากฐานของปีนี้ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ปีนี้เราก็ได้รับผลผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ก็ยังถือว่าไม่มาก หนี้ NPL จึงน้อย แต่ในปีหน้าคงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะกระทบไปทั่วโลกจึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์' ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการด้านภาษี โดยควรจะมีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของประชาชนในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และควรจะมีการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการที่ใช้นโยบายลดเวลาทำงานแทนการเลิกจ้าง เพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับความเดือดร้อนจากรายได้ที่ลดลงในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัว
ขณะเดียวกันรัฐบาลควรมีการดูแลทางด้านมาตรการด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลที่รัฐบาลสามารถทำได้เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.75% ซึ่งมีโอกาสที่รัฐบาลจะปรับลดลงกว่านี้อีก เพราะจะช่วยผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้สามารถบริหารได้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ และดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่เกิดความผันผวนมากจนเกินไปและอยู่ในอัตราที่เหมาะสม
นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลส่งเสริมมาตรการด้านการลงทุนเพื่อให้กิจการภายในประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และเพื่อเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างเช่นผลักดัน
โครงการเมกะโปรเจ็กให้มีระบบขนส่งและระบบชลประทานขนาดใหญ่ และพัฒนาทางด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นได้เพราะหากรัฐบาลมีการลงทุนจะทำให้โครงการต่างๆเดินหน้า
'รัฐบาลต้องเร่งผลักดันมาตรการทั้ง 3 มาตรการเพื่อเป็นตัวเร่งเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีการชะลอตัวและควรผลักดันเมกะโปรเจ็กและโครงสร้างพัฒนาชุมชนโลจิสติกส์ พัฒนาพลังงานทางเลือกและโครงการพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับภาวะการณ์ของโลกที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวรัฐบาลจึงควรเร่งเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกมากจนเกินไป'ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
*โบรกฯ ชี้ SET Index ปีหน้าร่วงต่อจากปีนี้
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่าคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า หากสถานการณ์การเมืองยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยในปี 52 ขยายในกรอบ 2.9-3.1% เชื่อว่ามีความเป็นไปได้เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของวิกฤตภาคการเงินทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเพื่อผลักดันให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในโครงการต่างๆในภาคการผลิตที่แท้จริงหรือ Real Sector ลดลง อีกทั้งรายได้ส่วนสำคัญในการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวก็ถดถอยลงมาก ขณะที่การบริโภคในประเทศอาจตึงตัวขึ้นเพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นกับภาวะเศรษฐกิจทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยเงินที่เข้ามาหมุนเวียนในระบบจึงหายไปมาก และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐอันเป็นตัวผลักดันให้เกิดการจ้างงานและการใช้จ่ายในประเทศก็ไม่ม่เกิดขึ้นในช่วง1-2ปีนี้เลยเม็ดเงินเข้ามาในประเทศที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญพร้อมๆกันอาจกดดันให้จีดีพีปรับลดลงมาก
" ปัจจัยที่กล่าวมาจะส่งผลกระทบให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง ทิศทางดัชนีฯจึงมีโอกาสในการปรับตัวลดลงต่อเนื่องในปีหน้า อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีหน้าผู้นำเศรษฐกิจโลกจะเป็นชาติในเอเชียเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ตกต่ำจะยังทวีความรุนแรงและขยายตัวลุกลามถึงภาคการบริโภคและภาคการผลิตที่แท้จริงให้ทรุดตัวลงยิ่งกว่าปีนี้ซึ่งปัญหาจะลามเข้าไปถึงทวีปยุโรป พิจารณาจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพที่ติดลบของอเมริกาและยุโรปซึ่งล่าสุดออสเตรเลียก็ได้รับผลเสียหายหนัก แต่ในส่วนของประเทศในเอเชียทั้งจีนและญี่ปุ่นยังมีทิศทางในการเติบโตที่ดีจึงมีความเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกจะไหลเข้ามาในเอเชียและพยุงดัชนีฯให้ประคองตัวได้ซึ่งหากลาดฯโลกไม่ผันผวนรุนแรงเชื่อว่าดัชนีฯไม่น่าจะปรับลงหลุดแนวรับที่383 จุดไปทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว" นายวีระชัย กล่าว
http://www.efinancethai.com/index.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 149
- ผู้ติดตาม: 0
ศก.ไทยปีหน้าหมดทางเยียวยา
โพสต์ที่ 2
น่าขำ จริงๆแล้ว ศก ไทย แย่มาหลายปีแล้วครับ
ถ้าคุณไปถามคนในวงการธุรกิจ จะรู้
ผมขอเบลม ธ ประเทศไทย ผู้บริหารการเงิน
ของประเทศที่ปล่อยให้ ดอกเบี้ยอยู่ในระดับ
สูง โดยไม่ดูแลภาคธุรกิจ และไม่ดูแลภาคส่งออก
ไม่มีวิสัยทัศน์ในการคาดการณ์ล่วงหน้า
และมักจะทำงานขัดกับนโยบายของรัฐบาลเสมอ
ไม่ดูแลประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่มอง
ภาพรวม จนเรา ประชาชนทั่วไป รู้สึกได้ถึง
ความยากลำบากในการดำรงชีวิต อย่างไม่เคย
เป็นมาก่อน
ชอบออกมาพูดเสมอว่า ศก กำลังไปได้ดี
และคาดว่าจะดี แต่ในความเป็นจริง ไม่เคย
เป็นอย่างที่พูด
ถ้าคุณไปถามคนในวงการธุรกิจ จะรู้
ผมขอเบลม ธ ประเทศไทย ผู้บริหารการเงิน
ของประเทศที่ปล่อยให้ ดอกเบี้ยอยู่ในระดับ
สูง โดยไม่ดูแลภาคธุรกิจ และไม่ดูแลภาคส่งออก
ไม่มีวิสัยทัศน์ในการคาดการณ์ล่วงหน้า
และมักจะทำงานขัดกับนโยบายของรัฐบาลเสมอ
ไม่ดูแลประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่มอง
ภาพรวม จนเรา ประชาชนทั่วไป รู้สึกได้ถึง
ความยากลำบากในการดำรงชีวิต อย่างไม่เคย
เป็นมาก่อน
ชอบออกมาพูดเสมอว่า ศก กำลังไปได้ดี
และคาดว่าจะดี แต่ในความเป็นจริง ไม่เคย
เป็นอย่างที่พูด
เงินทองไม่เข้าใครออกใคร
จะซื้อจะขายหุ้นก็รับผิดชอบกันเองอย่าไปโทษใคร
จะซื้อจะขายหุ้นก็รับผิดชอบกันเองอย่าไปโทษใคร
-
- Verified User
- โพสต์: 149
- ผู้ติดตาม: 0
ศก.ไทยปีหน้าหมดทางเยียวยา
โพสต์ที่ 8
มีคนออกมาเชียร์ ธปท ว่า
ผลจากมาตรการ 30% ทำให้ไทย
ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้
ราคาหุ้นหายไปเป็น 100%
มูลค่าตลาดลดไปเท่าไหร่ไม่อยากคิด
ผลจากกำลังซื้อทีทั่วโลกตกต่ำ
มีผลโดยตรงกับบริษัทในตลาดที่
มีการส่งออก
สำหรับกำลังซื้อในประเทศตกต่ำมานานแล้ว
มีวิกฤติเที่ยวนี้ก็เหมือนกับกระทืบซ้ำ
แล้วเรื่องการเมืองที่เรื้อรังมาหลายปี
ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การค้า
มาหลายปีแล้ว แต่ ธปท ยังออกว่า
บอกว่า ศก ยังไปได้ดี มีการขยายตัว "ไม่ต้องลดดอก"
ยังจำได้ไหม
ภาพชัดเจนขึ้นทุกวัน
การใช้นโยบายการเงิน หาคนรับผิดชอบไม่ยาก
ผลจากมาตรการ 30% ทำให้ไทย
ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้
ราคาหุ้นหายไปเป็น 100%
มูลค่าตลาดลดไปเท่าไหร่ไม่อยากคิด
ผลจากกำลังซื้อทีทั่วโลกตกต่ำ
มีผลโดยตรงกับบริษัทในตลาดที่
มีการส่งออก
สำหรับกำลังซื้อในประเทศตกต่ำมานานแล้ว
มีวิกฤติเที่ยวนี้ก็เหมือนกับกระทืบซ้ำ
แล้วเรื่องการเมืองที่เรื้อรังมาหลายปี
ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การค้า
มาหลายปีแล้ว แต่ ธปท ยังออกว่า
บอกว่า ศก ยังไปได้ดี มีการขยายตัว "ไม่ต้องลดดอก"
ยังจำได้ไหม
ภาพชัดเจนขึ้นทุกวัน
การใช้นโยบายการเงิน หาคนรับผิดชอบไม่ยาก
เงินทองไม่เข้าใครออกใคร
จะซื้อจะขายหุ้นก็รับผิดชอบกันเองอย่าไปโทษใคร
จะซื้อจะขายหุ้นก็รับผิดชอบกันเองอย่าไปโทษใคร
- holidaytours
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
ศก.ไทยปีหน้าหมดทางเยียวยา
โพสต์ที่ 9
ผมว่าคนไทยชินซะแล้ว
ผ่านกันมาหมดแล้ว :lol: :lol: :lol:
ผ่านกันมาหมดแล้ว :lol: :lol: :lol: