VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 1
1. หรือคิดว่าต้องมีมาร์จิ้นออฟเซฟตี้กว่านี้อีก
2. ในขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองทิศทางตลาดเป็นขาลงอยู่
หลายคนบอกว่าจุดต่ำสุดไม่มีใครรู้ แต่ถ้าไม่รู้ท่านคิดว่า ณ ปัจจุบันใกล้บ่อหรือยังหรือยังลงได้อีกลึกมาก
3. ท่านคิดว่าหุ้นใดที่อีก 3 ปีข้างหน้าหน้าที่น่าลงทุนและน่าจะยังมีชีวิตรอดอยู่ ไม่ล้มละลายซะก่อน
2. ในขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองทิศทางตลาดเป็นขาลงอยู่
หลายคนบอกว่าจุดต่ำสุดไม่มีใครรู้ แต่ถ้าไม่รู้ท่านคิดว่า ณ ปัจจุบันใกล้บ่อหรือยังหรือยังลงได้อีกลึกมาก
3. ท่านคิดว่าหุ้นใดที่อีก 3 ปีข้างหน้าหน้าที่น่าลงทุนและน่าจะยังมีชีวิตรอดอยู่ ไม่ล้มละลายซะก่อน
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 2
ผมทำอย่างนี้นะครับ ด้วยเหตุผลว่าคาดตลาดไม่เก่งจริงจริง เลยแบ่งเงินเป็นเกือบ 100 ส่วนเท่าเท่ากัน วันไหนตลาดลบเกิน 10 จุดจะเก็บไปหนึ่งส่วน ซึ่งเดาว่าระยะยาวน่าจะได้ราคาต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของหุ้นนิดหน่อย เพราะถ้ารอมันไม่รู้หรอกครับว่าเท่าไร สมมติเรารอ cpall ที่ 5 บาท บางครั้งถึง 5 บาทจริงจริง ก็รออีกว่าดูอีกสักหน่อย พอไป 7 บาท บอกว่ารอให้ลงมา 5 บาทก่อน อย่างนั้นคงไม่ได้ของแน่แน่ กลับกัน ถ้าเราตัดสินใจซื้อที่ราคาวันนี้เลยทั้งหมด แล้ว เกิดตลาดลงต่อเนื่อง เราคงเสียกำลังใจครับ ผมจึงเลือกทำแบบนี้ เพราะจะถือระยะยาวอยู่แล้ว ขอต้นทุนเฉลี่ยนต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของตลาดนิดหน่อยก็พอ เพราะผมว่าแถวนี้เริ่มถูกแล้วล่ะ
Small Details Make a Big Difference
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 3
เพิ่มเติมนะครับ ราคาแถวนี้ mos คงมากพอสมควรสำหรับหุ้นแต่ละตัว แต่น้ำหนักที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดสำหรับผมตอนนี้คงไม่ใช่ mos แต่เป็นส่วนของการเลือกหุ้นที่จะลงทุนมากกว่าครับ
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 4
ทยอยซื้อครับ ตามที่พี่ sai ว่าไว้
ถ้ามัวแต่รอต่ำสุดก็คงไม่ได้ซื้อซักที :lol:
ถ้ามัวแต่รอต่ำสุดก็คงไม่ได้ซื้อซักที :lol:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 7
อ่านในห้องกระทู้ทรงคุณค่า พี่ลูกอิสานว่าไว้...
ตอนนี้คงไม่ได้ดูที่ MOS กันมากเท่า up side gain แล้วล่ะ
เพราะหุ้นหลายตัวตอนนี้มี MOS ค่อนข้างเยอะแล้ว..
ตอนนี้คงไม่ได้ดูที่ MOS กันมากเท่า up side gain แล้วล่ะ
เพราะหุ้นหลายตัวตอนนี้มี MOS ค่อนข้างเยอะแล้ว..
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 10
ที่ผมยังคิดไม่ตกอยู่ก็เรื่องนี้แหละครับSEHJU เขียน:อ่านในห้องกระทู้ทรงคุณค่า พี่ลูกอิสานว่าไว้...
ตอนนี้คงไม่ได้ดูที่ MOS กันมากเท่า up side gain แล้วล่ะ
เพราะหุ้นหลายตัวตอนนี้มี MOS ค่อนข้างเยอะแล้ว..
สงสัยต้องใช้วิธีของพี่ sai ช่วยแก้ปัญหาซะแล้ว :lol:
ในที่สุด ราคาจะวิ่งเข้าหา มูลค่าที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 347
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 11
ผมว่าตอนนี้ก็น่าซื้อแล้วครับสำหรับคนที่มีเงินเย็นและมีหุ้นเป้าหมายแล้ว แต่อาจจะค่อย ๆ ทยอยซื้อไปนะครับเพราะตลาดอาจจะค่อนข้างผันผวน ส่วนใครที่เก่งสามารถทำนายตลาดได้ก็อาจจะกำเงินไว้แล้วค่อยซื้อก็ได้ครับ ส่วนผมได้แต่อยู่เฉย ๆ ไม่ใช่ว่าทายตลาดได้นะครับแต่ไม่มีกระสุนต่างหาก :lol: :lol:
- satantuey
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 12
โอ้ ผมยิงกระสุนแม๊กสุดท้ายไปตั้งแต่ดัชนีแถวๆ 500 แล้ว :lol: :lol: นึกว่าไม่น่าจะต่ำก่า 500แล้ว พอถึงตอนนี้ก็ได้แต่รอผลิตกระสุนชุดใหม่ได้มากระปิดกระปอย ยิงตัวที่เล็งไว้ไป แหม มันไม่ตาย(นิ่ง) ซะที :lol: :lol:
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 13
ผมเพิ่มเติมแนวคิดในการสะสมหุ้นนะครับ ถ้าเรามองแบบเทคนิเคลระยะกลาง คนจะเริ่มกล้าสะสมหุ้นเมื่อเปลี่ยนแนวโน้มคือประมาณ เส้นค่าเฉลี่ย 9 วันตัวเส้นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 45 วัน ถ้ามันตัดกันสมบูรณ์ต้องใช้ระยะทางจาก bottom 120-180 จุด(ตรงนั้นจะเป็นจุดที่มีคนกล้าเข้าซื้อหุ้นเป็นจริงจัง แต่ก็ยังไม่ได้แปลว่าดัชนีจะกลับตัว 100% นะครับ อาจไซด์เวย์อีก ) โดยประมาณ นั่นคือถ้าสมมติว่า
1.ปีหน้าดัชนีต่ำสุดที่ 200 หรือต่ำกว่านี้(แรงไปไหมเนี่ย ) คนที่รอส่วนมากจะเข้าตลาดแถว 350 จุด (ซึ่งผมมองว่ามีโอกาสถึง 200 และต่ำกว่า200 ไม่เยอะประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ )
2.ปีหน้าดัชนีต่ำสุด อยู่แถว 300 จุด (อันนี้ผมให้น้ำหนักเยอะหน่อยเป็นไปได้สูง ประมาณ 60%)คนที่ถือเงินสดรอจะเข้าได้แถวนี้เลยที่ 450 จุด
3.ปีหน้าดัชนี้พลิกดีดกลับไม่มีจุดต่ำสุดอีกแล้ว เพราะราคาปีนี้รับข่าวไปหมดแล้ว คนที่ถือเงินสดจะมีต้นทุนไม่ต่ำกว่า 550-600 (เดี๋ยวจะมีคนบอกว่าไม่จริง แต่ลองดูสิครับตอนดัชนีไปเกือบถึง 480 จุดคนถือเงินสดก็ยังถือเงินสด เพราะฉะนั่นถ้าออกเป็นกรณีที่ 3 คนถือเงินสดต้นทุนไม่ต่ำกว่า 550 จุดแน่นอน
แต่ถ้าเราวิเคราะห์เลือกหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุน แล้วทยอยสะสม เพราะความเป็นจริงเชื่อว่าหุ้นที่หลายคนสนใจสภาพคล่องก็ไม่ค่อยเยอะด้วย แล้วรอซื้อทุกครั้งเมื่อดัชนีตกประมาณ 10 จุด จาก 3 กรณีข้างต้นจะเป้นแบบนี้ในความคิดผมนะครับ
1 ปีหน้าเจอ bottom แถว 200 จุด เราเริ่มต้นเก็บแถวแถวนี้ แต่เก็บเฉพาะวันแดงเดือด เราจะได้ต้นทุนแถว 300 จุด
2 ปีหน้าดัชนีต่ำสุดแถว 300 จุด เราทำแบบเดียวกันเก็บเฉพาะวันแดงเดือดจะได้ต้นทุนแถว 370 จุด
3 ปีหน้าดัชนีพลิกล็อควิ่งกลับไม่เห็นจุดต่ำใหม่ ต้นทุนเราเฉลี่ย 500 จุด
เค้าว่ากันว่าการคาดการณ์เศรษฐกิจนั่นคาดได้ยาก แต่ตลาดหุ้นคาดการณ์ได้ยากกว่า ดูอย่างช่วงหลังปฏิวัติสิครับ ใครใครก็มองแย่ แต่ตลาดหุ้นมองข้ามไปจนถึงเลือกตั้งใหม่ปีหน้าลากโชว์ไปล่วงหน้าเลย เพราะตลาดหุ้นเค้ามองล่วงหน้า เกิดปีหน้าตลาดเผาจริง แต่ไม่จริงเท่าที่คาด(เศรษฐกิจแย่ คนตกงานแต่น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ) ตลาดก็วิ่งได้ทันทีนะครับของแบบนี้ไม่มีใครรู้ ของแบบนี้
1.ปีหน้าดัชนีต่ำสุดที่ 200 หรือต่ำกว่านี้(แรงไปไหมเนี่ย ) คนที่รอส่วนมากจะเข้าตลาดแถว 350 จุด (ซึ่งผมมองว่ามีโอกาสถึง 200 และต่ำกว่า200 ไม่เยอะประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ )
2.ปีหน้าดัชนีต่ำสุด อยู่แถว 300 จุด (อันนี้ผมให้น้ำหนักเยอะหน่อยเป็นไปได้สูง ประมาณ 60%)คนที่ถือเงินสดรอจะเข้าได้แถวนี้เลยที่ 450 จุด
3.ปีหน้าดัชนี้พลิกดีดกลับไม่มีจุดต่ำสุดอีกแล้ว เพราะราคาปีนี้รับข่าวไปหมดแล้ว คนที่ถือเงินสดจะมีต้นทุนไม่ต่ำกว่า 550-600 (เดี๋ยวจะมีคนบอกว่าไม่จริง แต่ลองดูสิครับตอนดัชนีไปเกือบถึง 480 จุดคนถือเงินสดก็ยังถือเงินสด เพราะฉะนั่นถ้าออกเป็นกรณีที่ 3 คนถือเงินสดต้นทุนไม่ต่ำกว่า 550 จุดแน่นอน
แต่ถ้าเราวิเคราะห์เลือกหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุน แล้วทยอยสะสม เพราะความเป็นจริงเชื่อว่าหุ้นที่หลายคนสนใจสภาพคล่องก็ไม่ค่อยเยอะด้วย แล้วรอซื้อทุกครั้งเมื่อดัชนีตกประมาณ 10 จุด จาก 3 กรณีข้างต้นจะเป้นแบบนี้ในความคิดผมนะครับ
1 ปีหน้าเจอ bottom แถว 200 จุด เราเริ่มต้นเก็บแถวแถวนี้ แต่เก็บเฉพาะวันแดงเดือด เราจะได้ต้นทุนแถว 300 จุด
2 ปีหน้าดัชนีต่ำสุดแถว 300 จุด เราทำแบบเดียวกันเก็บเฉพาะวันแดงเดือดจะได้ต้นทุนแถว 370 จุด
3 ปีหน้าดัชนีพลิกล็อควิ่งกลับไม่เห็นจุดต่ำใหม่ ต้นทุนเราเฉลี่ย 500 จุด
เค้าว่ากันว่าการคาดการณ์เศรษฐกิจนั่นคาดได้ยาก แต่ตลาดหุ้นคาดการณ์ได้ยากกว่า ดูอย่างช่วงหลังปฏิวัติสิครับ ใครใครก็มองแย่ แต่ตลาดหุ้นมองข้ามไปจนถึงเลือกตั้งใหม่ปีหน้าลากโชว์ไปล่วงหน้าเลย เพราะตลาดหุ้นเค้ามองล่วงหน้า เกิดปีหน้าตลาดเผาจริง แต่ไม่จริงเท่าที่คาด(เศรษฐกิจแย่ คนตกงานแต่น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ) ตลาดก็วิ่งได้ทันทีนะครับของแบบนี้ไม่มีใครรู้ ของแบบนี้
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 1598
- ผู้ติดตาม: 0
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 15
เห็นด้วยใจอย่างยิ่ง เย็นไว้ก่อนคับmiracle เขียน:รอดูปีหน้าก็ยังไม่สายน่าครับ
เพราะไม่มีอะไรบอกได้ ณ ตอนนี้ว่า ฟื้น หรือ มันลดลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว
ใจเย็นกันหน่อย
อย่ามัวติดกับเรื่องในอดีต กังวลกับเรื่องในอนาคต จนลืมว่าปัจจุบันต้องทำอะไร
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
VI คิดว่าช่วงจังหวะนี้ลงทุนหรือยัง
โพสต์ที่ 16
ผมเห็นด้วยครับ ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า การที่จะรออีกหน่อยจนกว่าจะเจอ perfect pitch ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ความเห็นผม เศรษฐกิจ จะพื้นตัวไม่ได้ใช้เวลาแค่แรมเดือน ตอนนี้เป็นแค่เริ่มภาวะถดถอย พึ่งเริ่มมีการเลิกจ้างงาน
กำลังซื้อเริ่มถดถอย คนเริ่มมี่ความระมัดระวังในการซื้อมากขึ้น ภาวะการแข่งขันในธุระกิจเพื่ออยู่รอด ยังไม่ได้เริ่มดีนัก
อีกอย่างน้อย ครึ่ง ถึง 1 ปี หรือ การแข่งขันอาจใช้เวลา 2 ถึง 3 ปี ผู้อ่อนแอก็ต้องตายจาก การแข็งขัน
ผู้ชนะจะเริ่มมีการขยายการผลิต
การจ้างงานใหม่ มีงานทำ กำลังซื้อกลับมา ก็คงใช้เวลาพอสมควร
แต่ที่เรารู้ๆกัน ราคาหุ้นมักจะสะท้อน ไปข้างหน้า เร็วกว่าเหตุการณ์จริง ทำให้เราคาดการอยาก และ
อยากที่จะรู้ว่าควรที่จะซื้อเมื่อไหร่ดี
สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานดีมีผลกระทบน้อย แต่ผมมีหลักง่ายๆ ของผมเองคือ
1 ซื้อเมื่อ เรามีเงินของเราเอง (เงินเดือนออก ได้โบนัด ถุกหวย พ่อตาให้สมบัติ ๙ล๙ ฯลฯ ไปหยานใหญ่)
ที่แน่ๆไม่ใช้มาร์จิ้น หรือเงินกู้ยืม ที่ทำให้เรากินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เมื่อราคา มันไม่ไปตามที่เราคิด
2 ซื้อเมื่อ ตลาดให้้ราคาที่เราตั้งไว้ (MOS ที่เราพอใจ )
ไม่จำเป็นต้องเป็น low หรือ bottom หรอกครับ น่าจะดีใจสักอีกที่เราซื้อได้ในราคาที่เราตังใจไว้
3 หุ้นที่ดีที่เราตัดสินใจซื้อเราหวังผลในระยะ ยาว3-5 ปี
ที่ 15%ต่อปี ถ้าต้นทุนเราซื้อจะสูงว่าเื่พื่อน4-5% ผลลัพทที่ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ
ดังนั้นอย่าเสียดายที่เราซื้อเร็วหรือช้าไป
หรือซื้อแพงว่าเพื่อน
4 ใน1 ปีข้างหน้า มีเงินเมื่อไหร่ ก็ตั้งซื้อ ไปเถอะครับ
หาวิกิต (ของถูก) อย่างนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ :lol:
ถ้าช้ากว่านั้นระวัง ตกรถ 555 :lol:
ความเห็นผม เศรษฐกิจ จะพื้นตัวไม่ได้ใช้เวลาแค่แรมเดือน ตอนนี้เป็นแค่เริ่มภาวะถดถอย พึ่งเริ่มมีการเลิกจ้างงาน
กำลังซื้อเริ่มถดถอย คนเริ่มมี่ความระมัดระวังในการซื้อมากขึ้น ภาวะการแข่งขันในธุระกิจเพื่ออยู่รอด ยังไม่ได้เริ่มดีนัก
อีกอย่างน้อย ครึ่ง ถึง 1 ปี หรือ การแข่งขันอาจใช้เวลา 2 ถึง 3 ปี ผู้อ่อนแอก็ต้องตายจาก การแข็งขัน
ผู้ชนะจะเริ่มมีการขยายการผลิต
การจ้างงานใหม่ มีงานทำ กำลังซื้อกลับมา ก็คงใช้เวลาพอสมควร
แต่ที่เรารู้ๆกัน ราคาหุ้นมักจะสะท้อน ไปข้างหน้า เร็วกว่าเหตุการณ์จริง ทำให้เราคาดการอยาก และ
อยากที่จะรู้ว่าควรที่จะซื้อเมื่อไหร่ดี
สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานดีมีผลกระทบน้อย แต่ผมมีหลักง่ายๆ ของผมเองคือ
1 ซื้อเมื่อ เรามีเงินของเราเอง (เงินเดือนออก ได้โบนัด ถุกหวย พ่อตาให้สมบัติ ๙ล๙ ฯลฯ ไปหยานใหญ่)
ที่แน่ๆไม่ใช้มาร์จิ้น หรือเงินกู้ยืม ที่ทำให้เรากินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เมื่อราคา มันไม่ไปตามที่เราคิด
2 ซื้อเมื่อ ตลาดให้้ราคาที่เราตั้งไว้ (MOS ที่เราพอใจ )
ไม่จำเป็นต้องเป็น low หรือ bottom หรอกครับ น่าจะดีใจสักอีกที่เราซื้อได้ในราคาที่เราตังใจไว้
3 หุ้นที่ดีที่เราตัดสินใจซื้อเราหวังผลในระยะ ยาว3-5 ปี
ที่ 15%ต่อปี ถ้าต้นทุนเราซื้อจะสูงว่าเื่พื่อน4-5% ผลลัพทที่ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ
ดังนั้นอย่าเสียดายที่เราซื้อเร็วหรือช้าไป
หรือซื้อแพงว่าเพื่อน
4 ใน1 ปีข้างหน้า มีเงินเมื่อไหร่ ก็ตั้งซื้อ ไปเถอะครับ
หาวิกิต (ของถูก) อย่างนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ :lol:
ถ้าช้ากว่านั้นระวัง ตกรถ 555 :lol:
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"