51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 29 พฤศจิกายน 2551
การเป็นนักลงทุนนั้นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวที่อาจส่งผลต่อการลงทุนของเราได้ การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องจับตามอง เพราะแม้ว่าโดยทั่วไปการเมืองมักจะไม่ช่วยส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มันอาจจะทำลายการลงทุนได้ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เรามีวิกฤติการเมืองที่ร้ายแรง ที่น่าเศร้าก็คือ มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับวิกฤติเศรษฐกิจ ในเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจนั้น ผมได้เขียนเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ไปแล้ว ตอนนี้เราลองมาเปรียบเทียบวิกฤติการเมืองในขณะนี้กับเหตุวิกฤติที่คล้ายคลึงกันซึ่งผมคิดว่ามันคือวิกฤติการเมืองในช่วง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 ลองมาดูกันว่ามันเหมือนและต่างกันอย่างไร
ผมจะเริ่มจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากทหารโดยการเคลื่อนไหวประท้วงของกลุ่มคนที่นำโดยนักศึกษาที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านั้นและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนทั่วไป เหตุการณ์ 14 ตุลาคม นั้นผมคิดว่าคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ปฏิวัติของทหารในเดือนกันยายน 2549 ที่มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่การปฏิวัตินั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประท้วงโดยกลุ่ม “พันธมิตร” ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง
หลังจากการ “ปฏิวัติประชาชน” 14 ตุลาคม และมีรัฐบาลใหม่ กลุ่มนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้หยุดการประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น มีการจัดการและการ “ให้ความรู้” กระจายไปทั่วประเทศอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มนักศึกษาที่มีความคิดเห็น “รุนแรง” ต้องการเห็น “ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ขจัดความชั่วร้ายในสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบ ต้องการสร้าง “ สังคมใหม่” ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบอย่างไร แนวความคิดของกลุ่มนักศึกษานั้น ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น “ฝ่ายซ้าย” ที่ต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้าตามแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนรากหญ้า ซึ่งทั้งหมดก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มที่เป็นนักศึกษาที่มีอายุน้อย
หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติกันยายน 2549 และมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง กลุ่มพันธมิตรไม่ได้หยุดประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น มีการจัดการและการ “ให้ความรู้” กระจายไปทั่วประเทศผ่านสื่อทันสมัยทุกรูปแบบรวมถึงทีวี โดยกลุ่มคนที่มีความคิดเห็น “รุนแรง” ต้องการขจัด “ความชั่วร้ายของนักการเมือง” ที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการสร้าง “การเมืองใหม่” ซึ่งก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบและที่มาได้อย่างไร แนวความคิดของกลุ่มนั้น ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น “ฝ่ายขวา” หรือ “จารีตนิยม” ไม่ต้องการให้ประเทศเดินตามแนวทางสากลที่ “ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย” ซึ่งก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกจำนวนมากของกลุ่มที่มีอายุค่อนข้างสูง
จากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ก็เกิดกลุ่มประชาชนโดยการสนับสนุนของฝ่ายรัฐ ออกมาต่อต้าน มีการเผยแพร่และชี้ให้เห็นถึงความ “เลวร้ายและความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกัน ในปี 2551 ก็เกิดกลุ่มที่ออกมาต่อต้านกลุ่มพันธมิตรโดยน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐเช่นเดียวกัน และมีการเผยแพร่ “ความเลวร้ายและความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มพันธมิตรว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง
ในช่วงหลังจาก 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 ประชาชนมีความแตกแยกทางความคิดสูงมาก แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันก็ยังมีปัญหา มีการทำร้ายกันและมีคนตายเป็นระยะ ๆ และมีการกล่าวหากันทั้งสองฝ่าย คนจำนวนมากห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงและอาจถึงกับทำให้ประเทศ “ล่มสลาย” บางคนคิดถึงเรื่องการเตรียม หนีออกจากประเทศถ้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
ณ. วันนี้ ในปี 2551 นี้ ประชาชนแตกแยกกันสูงมากไม่ต่างกับช่วง ตุลา 16 - ตุลา 19 คนในบ้านเดียวกันที่มีความคิดเห็นต่างกันก็มีให้เห็นจำนวนมากไม่ต้องพูดถึงเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก การทำร้ายกันถึงแก่ชีวิตก็เกิดขึ้นเป็นระยะเช่นเดียวกันและต่างก็กล่าวหากันตลอดเวลา คนจำนวนมากห่วงว่าเหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้นและอาจทำให้ประเทศ “ล่มสลาย” บางคนคิดในใจว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเขาจะอยู่ที่ไหน
วันที่ 6 ตุลาคม 19 เหตุการณ์ “สงครามกลางเมือง” ก็เกิดขึ้นระหว่างประชาชนสองฝ่าย การปฏิวัติเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและบ้านเมืองเข้าสู่ “ยุคมืด” ที่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแบบสากล แต่หลังจากนั้นไม่นาน บ้านเมืองก็กลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งและต่อมาจนถึงขณะนี้แม้ว่าจะมีการสะดุดบ้างเล็ก ๆ น้อยเป็นระยะ
ในวันนี้ เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมาก โดยเฉพาะถ้ามองจากประวัติศาสตร์
เรากำลังเสี่ยงที่บ้านเมืองอาจจะต้องกลับไปสู่ “ยุคมืด” ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้ามากมายเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ความเสี่ยงที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ถ้าเราเข้าสู่ “ยุคมืด” จริง เราจะสามารถออกไปได้เร็วแค่ไหน หรือออกไม่ได้เลย
ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนหลายคนตกใจกลัวและคิดว่าเราควรจะลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้นทิ้งให้หมด แต่ผมเองนั้น ไม่ได้ขายหุ้นเลย เหตุผลก็คือ หุ้นมันได้ลงมาเยอะมากแล้ว ถ้าขายตอนนี้ก็จะขาดทุนมาก นอกจากนั้น สิ่งที่เรากลัวอาจจะไม่เกิดขึ้น โอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่มากอย่างที่เรากลัว นอกจากนั้น ถ้ามันเกิดจริง หุ้นก็อาจจะไม่ตกลงไปอีกก็ได้เพราะคนอาจคิดว่าเรื่องต่าง ๆ ที่เลวร้ายจะได้จบลงเสียที แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมคิดว่า คนไทยผ่านชีวิตที่มีอิสรภาพมาพอสมควรที่จะไม่ยอมสละสิ่งนั้นไปไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร และโลกสมัยใหม่นั้น ไม่น่าจะมีประเทศที่มีระดับการพัฒนาเท่าประเทศไทยสามารถที่จะอยู่ใน “ยุคมืด” ได้ ดังนั้น ถ้าผมถือหุ้นที่ดีแล้ว ผมก็จะยังถือมันต่อไป Stay Calm, Stay Invest.
การเป็นนักลงทุนนั้นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวที่อาจส่งผลต่อการลงทุนของเราได้ การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องจับตามอง เพราะแม้ว่าโดยทั่วไปการเมืองมักจะไม่ช่วยส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มันอาจจะทำลายการลงทุนได้ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เรามีวิกฤติการเมืองที่ร้ายแรง ที่น่าเศร้าก็คือ มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับวิกฤติเศรษฐกิจ ในเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจนั้น ผมได้เขียนเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ไปแล้ว ตอนนี้เราลองมาเปรียบเทียบวิกฤติการเมืองในขณะนี้กับเหตุวิกฤติที่คล้ายคลึงกันซึ่งผมคิดว่ามันคือวิกฤติการเมืองในช่วง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 ลองมาดูกันว่ามันเหมือนและต่างกันอย่างไร
ผมจะเริ่มจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากทหารโดยการเคลื่อนไหวประท้วงของกลุ่มคนที่นำโดยนักศึกษาที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านั้นและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนทั่วไป เหตุการณ์ 14 ตุลาคม นั้นผมคิดว่าคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ปฏิวัติของทหารในเดือนกันยายน 2549 ที่มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่การปฏิวัตินั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประท้วงโดยกลุ่ม “พันธมิตร” ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง
หลังจากการ “ปฏิวัติประชาชน” 14 ตุลาคม และมีรัฐบาลใหม่ กลุ่มนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้หยุดการประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น มีการจัดการและการ “ให้ความรู้” กระจายไปทั่วประเทศอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มนักศึกษาที่มีความคิดเห็น “รุนแรง” ต้องการเห็น “ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ขจัดความชั่วร้ายในสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบ ต้องการสร้าง “ สังคมใหม่” ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบอย่างไร แนวความคิดของกลุ่มนักศึกษานั้น ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น “ฝ่ายซ้าย” ที่ต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้าตามแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนรากหญ้า ซึ่งทั้งหมดก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มที่เป็นนักศึกษาที่มีอายุน้อย
หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติกันยายน 2549 และมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง กลุ่มพันธมิตรไม่ได้หยุดประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น มีการจัดการและการ “ให้ความรู้” กระจายไปทั่วประเทศผ่านสื่อทันสมัยทุกรูปแบบรวมถึงทีวี โดยกลุ่มคนที่มีความคิดเห็น “รุนแรง” ต้องการขจัด “ความชั่วร้ายของนักการเมือง” ที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการสร้าง “การเมืองใหม่” ซึ่งก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบและที่มาได้อย่างไร แนวความคิดของกลุ่มนั้น ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น “ฝ่ายขวา” หรือ “จารีตนิยม” ไม่ต้องการให้ประเทศเดินตามแนวทางสากลที่ “ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย” ซึ่งก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกจำนวนมากของกลุ่มที่มีอายุค่อนข้างสูง
จากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ก็เกิดกลุ่มประชาชนโดยการสนับสนุนของฝ่ายรัฐ ออกมาต่อต้าน มีการเผยแพร่และชี้ให้เห็นถึงความ “เลวร้ายและความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกัน ในปี 2551 ก็เกิดกลุ่มที่ออกมาต่อต้านกลุ่มพันธมิตรโดยน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐเช่นเดียวกัน และมีการเผยแพร่ “ความเลวร้ายและความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มพันธมิตรว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง
ในช่วงหลังจาก 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 ประชาชนมีความแตกแยกทางความคิดสูงมาก แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันก็ยังมีปัญหา มีการทำร้ายกันและมีคนตายเป็นระยะ ๆ และมีการกล่าวหากันทั้งสองฝ่าย คนจำนวนมากห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงและอาจถึงกับทำให้ประเทศ “ล่มสลาย” บางคนคิดถึงเรื่องการเตรียม หนีออกจากประเทศถ้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
ณ. วันนี้ ในปี 2551 นี้ ประชาชนแตกแยกกันสูงมากไม่ต่างกับช่วง ตุลา 16 - ตุลา 19 คนในบ้านเดียวกันที่มีความคิดเห็นต่างกันก็มีให้เห็นจำนวนมากไม่ต้องพูดถึงเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก การทำร้ายกันถึงแก่ชีวิตก็เกิดขึ้นเป็นระยะเช่นเดียวกันและต่างก็กล่าวหากันตลอดเวลา คนจำนวนมากห่วงว่าเหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้นและอาจทำให้ประเทศ “ล่มสลาย” บางคนคิดในใจว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเขาจะอยู่ที่ไหน
วันที่ 6 ตุลาคม 19 เหตุการณ์ “สงครามกลางเมือง” ก็เกิดขึ้นระหว่างประชาชนสองฝ่าย การปฏิวัติเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและบ้านเมืองเข้าสู่ “ยุคมืด” ที่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแบบสากล แต่หลังจากนั้นไม่นาน บ้านเมืองก็กลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งและต่อมาจนถึงขณะนี้แม้ว่าจะมีการสะดุดบ้างเล็ก ๆ น้อยเป็นระยะ
ในวันนี้ เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมาก โดยเฉพาะถ้ามองจากประวัติศาสตร์
เรากำลังเสี่ยงที่บ้านเมืองอาจจะต้องกลับไปสู่ “ยุคมืด” ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้ามากมายเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ความเสี่ยงที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ถ้าเราเข้าสู่ “ยุคมืด” จริง เราจะสามารถออกไปได้เร็วแค่ไหน หรือออกไม่ได้เลย
ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนหลายคนตกใจกลัวและคิดว่าเราควรจะลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้นทิ้งให้หมด แต่ผมเองนั้น ไม่ได้ขายหุ้นเลย เหตุผลก็คือ หุ้นมันได้ลงมาเยอะมากแล้ว ถ้าขายตอนนี้ก็จะขาดทุนมาก นอกจากนั้น สิ่งที่เรากลัวอาจจะไม่เกิดขึ้น โอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่มากอย่างที่เรากลัว นอกจากนั้น ถ้ามันเกิดจริง หุ้นก็อาจจะไม่ตกลงไปอีกก็ได้เพราะคนอาจคิดว่าเรื่องต่าง ๆ ที่เลวร้ายจะได้จบลงเสียที แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมคิดว่า คนไทยผ่านชีวิตที่มีอิสรภาพมาพอสมควรที่จะไม่ยอมสละสิ่งนั้นไปไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร และโลกสมัยใหม่นั้น ไม่น่าจะมีประเทศที่มีระดับการพัฒนาเท่าประเทศไทยสามารถที่จะอยู่ใน “ยุคมืด” ได้ ดังนั้น ถ้าผมถือหุ้นที่ดีแล้ว ผมก็จะยังถือมันต่อไป Stay Calm, Stay Invest.
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ต้นปี " curse " ของดร. เล่นเอา หุ้นนางฟ้าบางตัว
ปีกหัก ร่วงลงมาไม่เป็นท่า
ปลายปี "ยุคมืด" ของ ดร. จะเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย...
เพี้ยง ขอให้ ไม่เป็นจริงด้วยค้าบบบ
:vm: :vm:
ปีกหัก ร่วงลงมาไม่เป็นท่า
ปลายปี "ยุคมืด" ของ ดร. จะเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย...
เพี้ยง ขอให้ ไม่เป็นจริงด้วยค้าบบบ
:vm: :vm:
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขออนุญาต quote บทความของคุณ njTao
มาอธิบายคำว่า ยุคมืด ของ ดร.หน่อยนะครับ
(ไม่รู้ว่า เป็นยุคมืดเดียวกันหรือเปล่า
แต่เอาเป็นว่า มันสะกดเหมือนกัน
อ่านเพลินๆแล้วกันนะครับ)
http://nano-lib.micro-mba.org/search?up ... results=50
มาอธิบายคำว่า ยุคมืด ของ ดร.หน่อยนะครับ
(ไม่รู้ว่า เป็นยุคมืดเดียวกันหรือเปล่า
แต่เอาเป็นว่า มันสะกดเหมือนกัน
อ่านเพลินๆแล้วกันนะครับ)
PS คิดถึงคุณ nJtao ครับDark Ages America
ผู้แต่ง
- Morris Berman
ผู้พิมพ์
- Norton
ปี
2006
ขณะนี้เป็นยุคมืดของอเมริกาแล้วอย่างนั้นหรือ ยุคมืดเป็นอย่างไร แล้วมันมีสัญญาณอะไรบ่งบอกบ้าง
ยุคมืดเป็นอย่างไร (ไม่ใช่ blockout แน่นอนครับ)
- คนอเมริกันทำงานจดจ่อกับการหาเงินมากขึ้น ทำให้ชีวิตครอบครัวแย่ลง ลูกหลานขาดความอบอุ่น สังคมแหลกเหลว
- สื่อแทรกซึมเข้าไปทุกหย่อมหญ้าแม้ในกระทั่งโรงเรียน ยังมีการโฆษณาจากสื่อ (เพราะสื่อให้เงินสนับสนุนโรงเรียน)
- ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างขึ้น คนรวยรวยได้รวยดี คนจนยิ่งวันยิ่งจน
- นโยบายต่างประเทศที่มุ่งให้ตัวเองเป็นตำรวจถือเป็นกับดักล่อให้อเมริกาเข้า ไปติดกับดีๆ นี่เอง ซึ่งยุคล่าอาณานิคมจบลงไปนานแล้ว อเมริกาไม่มีความจำเป็นจะต้องไปยุ่งเรื่องภายในของประเทศอื่น
- ภาระหนี้มหาศาล จากค่าใช้จ่ายสงครามในตะวันออกกลาง
สัญญาณบ่งบอกถึงยุคมืด
- George W. Bush ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง
- ชาวมุสลิมจำนวนมากเกลียดชาวอเมริกัน
- อเมริกายังหนุนหลังอิสราเอลอยู่ เท่ากับกำลังเติมเชื้อไฟเข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง
- เหตุการณ์ 9/11 แทนที่จะเป็นเครื่องเตือนสติให้มาทบทวนตัวเอง แต่อเมริกากลับกลายเป็นช้างตกมัน และเป็นข้ออ้างในการส่งทหารไปยังอ่าวเปอร์เซีย
เขียนโดย MandM ไม่ละลายในปาก แต่ละลายในมือ ที่ 10:27 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
ป้ายกำกับ: Treat_SOCIETY
http://nano-lib.micro-mba.org/search?up ... results=50
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
ถ้าดูจากช่วงเวลาที่อาจารย์บอกนี่ ยุคมืดที่ผ่านมาน่าจะราวๆ ช่วง 2519-2533 ก่อน รบ ชาติชาย (ไม่ใช่ พี่ chartchai madman) ที่มี ประชาธิปไตยเต็มใบ
ช่วงนั้นเห็นเขาว่าเลือกตั้งไปงั้นแหละ นายกรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ไม่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมีคนเสื้อคับเอาคนที่จะอภิปรายไปขึ้น ฮ. ถามว่าจะถอนญัตติ หรือว่าจะลงจาก ฮ กลางอากาศ
อย่างไรก็ดี ไม่มีม๊อบ ไม่มีการปลุกระดมผ่านทางทีวี และสื่อต่างๆ ถ้าหนังสือพิมพ์เขียนปลุกระดมก็ปิดซะ
อย่างไรก็ดี
ผมว่ามันอาจสว่างกว่าตอนนี้ก็ได้นะครับ
ช่วงนั้นเห็นเขาว่าเลือกตั้งไปงั้นแหละ นายกรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ไม่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมีคนเสื้อคับเอาคนที่จะอภิปรายไปขึ้น ฮ. ถามว่าจะถอนญัตติ หรือว่าจะลงจาก ฮ กลางอากาศ
อย่างไรก็ดี ไม่มีม๊อบ ไม่มีการปลุกระดมผ่านทางทีวี และสื่อต่างๆ ถ้าหนังสือพิมพ์เขียนปลุกระดมก็ปิดซะ
อย่างไรก็ดี
ผมว่ามันอาจสว่างกว่าตอนนี้ก็ได้นะครับ
จงทนอด และอดทน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
[quote="poppo"]ถ้าดูจากช่วงเวลาที่อาจารย์บอกนี่ ยุคมืดที่ผ่านมาน่าจะราวๆ ช่วง 2519-2533 ก่อน รบ ชาติชาย (ไม่ใช่ พี่ chartchai madman) ที่มี ประชาธิปไตยเต็มใบ
ช่วงนั้นเห็นเขาว่าเลือกตั้งไปงั้นแหละ นายกรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ไม่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมีคนเสื้อคับเอาคนที่จะอภิปรายไปขึ้น ฮ. ถามว่าจะถอนญัตติ หรือว่าจะลงจาก ฮ กลางอากาศ
อย่างไรก็ดี ไม่มีม๊อบ ไม่มีการปลุกระดมผ่านทางทีวี และสื่อต่างๆ ถ้าหนังสือพิมพ์เขียนปลุกระดมก็ปิดซะ
อย่างไรก็ดี
ผมว่ามันอาจสว่างกว่าตอนนี้ก็ได้นะครับ
ช่วงนั้นเห็นเขาว่าเลือกตั้งไปงั้นแหละ นายกรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ไม่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมีคนเสื้อคับเอาคนที่จะอภิปรายไปขึ้น ฮ. ถามว่าจะถอนญัตติ หรือว่าจะลงจาก ฮ กลางอากาศ
อย่างไรก็ดี ไม่มีม๊อบ ไม่มีการปลุกระดมผ่านทางทีวี และสื่อต่างๆ ถ้าหนังสือพิมพ์เขียนปลุกระดมก็ปิดซะ
อย่างไรก็ดี
ผมว่ามันอาจสว่างกว่าตอนนี้ก็ได้นะครับ
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
ผมก็จำมาอีกทีนะครับ คือมันเหมือนกับว่า แต่ก่อน ตอนที่คนเคยเห็นแต่หงส์สีขาว ไปที่ไหนก็เจอแต่หงส์สีขาว ไม่คิดว่าจะมีหงส์สีดำkmphol เขียน: ขอโทษครับ มันคืออะไร
แต่ต่อมา เมื่อมีการค้นพบทวีปออสเตรเลีย เราก็พบว่า มีหงส์สีดำอยู่จริง
คือหมายถึงสิ่งที่คิดว่าจะไม่เกิด ไม่มีทางเกิด แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง จะมีผลกระทบมหาศาล
เช่นเมืองไทย ตอนนี้ความขัดแย้งเป็นแค่ riots คือมีจลาจลย่อยๆ เกิด เช่นกรณี เสื้อแดงยิงและฟันเสื้อเหลืองตายที่เชียงใหม่ หรือเสื้อเหลืองกราดยิงเสื้อแดงกลางถนนวิภาวดี เสื้อเหลืองใช้กองกำลังติดอาวุธยิงถล่มรถตำรวจ etc.
แต่ถ้าวันหนึ่งมันยกระดับเป็น civil war คือต่างฝ่ายต่างมีเขตแดนของตนเอง มีกองกำลังติดอาวุธของตัวเองที่รัฐบาลกลางไม่สามารถปราบปรามหรือควบคุมได้ ตอนนั้นอย่าว่าแต่หุ้นเลยครับ บ้านก็ต้องขายแล้วย้ายประเทศหนี
จงทนอด และอดทน
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
ได้ความรู้มากมายเลยครับ
มันเป็นยุคที่ผมเกิดไม่ทัน เลยไม่เห็นภาพ
ได้ฟัง อาจารย์เล่าแบบนี้ เปรียบเทียบเห็นภาพเลยครับ
มันเป็นยุคที่ผมเกิดไม่ทัน เลยไม่เห็นภาพ
ได้ฟัง อาจารย์เล่าแบบนี้ เปรียบเทียบเห็นภาพเลยครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
51 VS 19 /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
นักศึกษา 18-22 อืม ...
ผ่านมา 30 ปี ...
ตอนนี้ 48-52 อืม ...
คนเดิม ๆ ทั้งสองฝั่งรึเปล่าเนี่ย :?:
ผ่านมา 30 ปี ...
ตอนนี้ 48-52 อืม ...
คนเดิม ๆ ทั้งสองฝั่งรึเปล่าเนี่ย :?: