ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 ธ.ค. 51
คนที่มีเหตุผลมาก ๆ อย่าง Value Investor หลาย ๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ “ดวง” เขาไม่เชื่อว่าดวงดาวและเวลาตกฟากของคนจะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จหรือล้มเหลวของคน ๆ นั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่งก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้าย ๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดูก็มักจะบอกว่าการดูหมอจะต้องคำนึงถึงฐานะและพื้นเพของคน ๆ นั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วยก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า “ดวง” หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทองหรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คน ๆ หนึ่งประสบความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศหรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่าง ๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทยในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกาหรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้ง ๆ ที่มี IQ เท่า ๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้นมีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นหรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จหรือโชคชะตาของคนจากดวงดาวจึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้นมาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า “Matthew Effect” ที่อธิบายว่าทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง “ดวงดี” และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่นทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัวและสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่งพบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อย ๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือนหรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น “ผู้ใหญ่” มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไปและได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า “Accumulative Advantage” จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์
เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกต และสตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าว ๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้งบิลเกต และจอบส์ ต่างก็ “โชคดี” ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ “เล่น” เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง “แทบไม่จำกัด” ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่าก็อาจจะทำงานและอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น “เซียน” และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไปเขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาดและสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน
ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเองอาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอเร็น บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญเช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่าบริษัทเองก็อาจจะมี “ดวง” ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยนั้นก็น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลาย ๆ บริษัทที่ในภาวะนั้นเริ่มตั้งกิจการหรือเป็นกิจการที่มีอยู่แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นในขณะที่คู่แข่งค่อย ๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ “ดวงดี” ในตอนแรก ๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคน ๆ หนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิดและต่อมาอีก 25 ปีเขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกาและเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้
คนที่มีเหตุผลมาก ๆ อย่าง Value Investor หลาย ๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ “ดวง” เขาไม่เชื่อว่าดวงดาวและเวลาตกฟากของคนจะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จหรือล้มเหลวของคน ๆ นั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่งก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้าย ๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดูก็มักจะบอกว่าการดูหมอจะต้องคำนึงถึงฐานะและพื้นเพของคน ๆ นั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วยก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า “ดวง” หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทองหรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คน ๆ หนึ่งประสบความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศหรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่าง ๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทยในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกาหรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้ง ๆ ที่มี IQ เท่า ๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้นมีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นหรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จหรือโชคชะตาของคนจากดวงดาวจึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้นมาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า “Matthew Effect” ที่อธิบายว่าทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง “ดวงดี” และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่นทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัวและสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่งพบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อย ๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือนหรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น “ผู้ใหญ่” มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไปและได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า “Accumulative Advantage” จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์
เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกต และสตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าว ๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้งบิลเกต และจอบส์ ต่างก็ “โชคดี” ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ “เล่น” เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง “แทบไม่จำกัด” ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่าก็อาจจะทำงานและอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น “เซียน” และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไปเขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาดและสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน
ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเองอาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอเร็น บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญเช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่าบริษัทเองก็อาจจะมี “ดวง” ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยนั้นก็น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลาย ๆ บริษัทที่ในภาวะนั้นเริ่มตั้งกิจการหรือเป็นกิจการที่มีอยู่แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นในขณะที่คู่แข่งค่อย ๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ “ดวงดี” ในตอนแรก ๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคน ๆ หนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิดและต่อมาอีก 25 ปีเขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกาและเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
Matthew Effect ช่วยอธิบายเรื่องดวงได้มีเหตุผลมากมายที่สุดเลยครับอ.
Matthew Effect หมายความว่าการเกิดใหญ่มาของผู้ยิ่งใหญ่ในวงการใดๆก็ตาม มักจะมีช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันเพราะมีสภาพแวดล้อมและจังหวะเวลาที่ดีเยี่ยมทำให้ได้เปรียบเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันและช่วยส่งเสริมให้ความสามารถของผู้นั้นถึงจุดสูงสุดได้อย่างไม่ยากเย็น เป็นความเห็นส่วนตัวครับ
Matthew Effect หมายความว่าการเกิดใหญ่มาของผู้ยิ่งใหญ่ในวงการใดๆก็ตาม มักจะมีช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันเพราะมีสภาพแวดล้อมและจังหวะเวลาที่ดีเยี่ยมทำให้ได้เปรียบเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันและช่วยส่งเสริมให้ความสามารถของผู้นั้นถึงจุดสูงสุดได้อย่างไม่ยากเย็น เป็นความเห็นส่วนตัวครับ
- Juninho
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1054
- ผู้ติดตาม: 1
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ชอบจังเลย
เห็นด้วยสุด ๆ เลย ดวงมีส่วนอย่างมากกับความสำเร็จ
ของคนแต่ละคน
หากคนคนเดียวกัน ฝีมือเท่ากัน ความรู้เท่ากัน
และสนใจเล่นหุ้นเมื่อเรียนจบเหมือนกัน
แต่เผอิญเกิดต่างปีกัน ทำให้เข้าตลาดต่างปีกัน
ผลตอบแทนจะต่างกันมาก ๆ
ใครเรียนจบปี 45 และเริ่มลงทุนเลย ส่วนใหญ่ผลตอบแทนจะยังดีอยู่
ใครเรียนจบปี ที่แล้ว ผลตอบแทนคงไม่น่าพอใจ
บางคนอาจจะกลัวตลาดหุ้นไปเลย และคงจะ
พลาดตลาดกระทิงรอบต่อไป
เห็นด้วยสุด ๆ เลย ดวงมีส่วนอย่างมากกับความสำเร็จ
ของคนแต่ละคน
หากคนคนเดียวกัน ฝีมือเท่ากัน ความรู้เท่ากัน
และสนใจเล่นหุ้นเมื่อเรียนจบเหมือนกัน
แต่เผอิญเกิดต่างปีกัน ทำให้เข้าตลาดต่างปีกัน
ผลตอบแทนจะต่างกันมาก ๆ
ใครเรียนจบปี 45 และเริ่มลงทุนเลย ส่วนใหญ่ผลตอบแทนจะยังดีอยู่
ใครเรียนจบปี ที่แล้ว ผลตอบแทนคงไม่น่าพอใจ
บางคนอาจจะกลัวตลาดหุ้นไปเลย และคงจะ
พลาดตลาดกระทิงรอบต่อไป
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
But you must try, try and try
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
ดวง ชะตา พรหมลิขิต คือสิ่งเดียวกัน
สำหรับผมแล้วมันก็คือผลของกริยาของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงครับ
มันเชื่อมต่อกันเป็นกลไกอันซับซ้อน
ในช่วงขณะำหนึ่งมนุษย์แต่ละคนก็ทำกริยากันคนละอย่าง
สัตว์ พืช ลม ดาว อวกา๋ศ เทวดา และอื่น ๆ ที่เรารู้จักและไม่รู้จัก
แต่ละตัวแต่ละตนแต่ละอนูก็ทำกริยากันคนละอย่าง
จึงมีผลให้เกิดดวง ชะตา พรหมลิขิตครับ
ทั้งหมดนั้นเราควบคุมไม่ได้ หรือทำได้ยากเกินกำลังมนุษย์ธรรมดา
แต่เราเลือกที่จะทำตัวแปรที่เราควบคุมได้ให้ดีไว้ได้
เมื่อทุกอย่างเหมาะเจาะ เราก็จะดวงดีเองครับ
สำหรับผมแล้วมันก็คือผลของกริยาของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงครับ
มันเชื่อมต่อกันเป็นกลไกอันซับซ้อน
ในช่วงขณะำหนึ่งมนุษย์แต่ละคนก็ทำกริยากันคนละอย่าง
สัตว์ พืช ลม ดาว อวกา๋ศ เทวดา และอื่น ๆ ที่เรารู้จักและไม่รู้จัก
แต่ละตัวแต่ละตนแต่ละอนูก็ทำกริยากันคนละอย่าง
จึงมีผลให้เกิดดวง ชะตา พรหมลิขิตครับ
ทั้งหมดนั้นเราควบคุมไม่ได้ หรือทำได้ยากเกินกำลังมนุษย์ธรรมดา
แต่เราเลือกที่จะทำตัวแปรที่เราควบคุมได้ให้ดีไว้ได้
เมื่อทุกอย่างเหมาะเจาะ เราก็จะดวงดีเองครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ผมว่า ผมก็มีดวงนะครับอาจารย์ ที่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดตอนตกต่ำ
(แต่ยังไม่ดีเท่าไหร่เพราะเงินก้อนแรก ซื้อตอน 750 จุด อิอิ
ผมว่าดวงผม และเพื่อนหลายๆคนเริ่มดีขึ้นนะ ที่ได้เก็บหุ้นราคาถุกวันนี้
ในขณะที การงานและรายได้ยังเป็นกอบเป็นกำ และสามารถเก็บเงิน มาลงทุนได้ถึง 95% ของรายได้ประจำ :D
ก่อนหน้านี้ ผมทำงานมาตลอดชีวิตผ่านมา ทำธุรกิจมาก็หลายอย่าง ผมไม่เคยเก็บเงินได้แม้แต่ 1% ดีไม่ดี ติดลบเกือบทุกเดือน
จังหวะนี้ที่ผมเริ่มมีรายได้พอที่จะมาลงทุนได้ ผมก็ดวงดีที่มีเพื่อนๆที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน เป็นคนคอยแนะนำและให้คำปรึกษา ตั้งแต่เริ่มต้น
ผมว่าผมดวงดีมากๆครับ :lol: :lol:
ถ้าดวงผมดีต่อไปอีก ต้องมาดูว่าตลาดยังขายของถูกอยู่ไหม ขณะที่ผมกำลังสะสมกระสุน เก็บเงินจากรายได้ประจำนี้
ขอโทษเพื่อนๆ ที่อยากให้ตลาดขึ้นเร็วๆนะครับ แต่ผมยังไม่อยากให้ขึ้นเลย
อยากได้เพิ่มอีกหน่อยครับ ปีสองปีไหวไหมครับ ช่วงนี้รับปันผล 10-20% ก็พอใจแล้ว :lol:
(แต่ยังไม่ดีเท่าไหร่เพราะเงินก้อนแรก ซื้อตอน 750 จุด อิอิ
ผมว่าดวงผม และเพื่อนหลายๆคนเริ่มดีขึ้นนะ ที่ได้เก็บหุ้นราคาถุกวันนี้
ในขณะที การงานและรายได้ยังเป็นกอบเป็นกำ และสามารถเก็บเงิน มาลงทุนได้ถึง 95% ของรายได้ประจำ :D
ก่อนหน้านี้ ผมทำงานมาตลอดชีวิตผ่านมา ทำธุรกิจมาก็หลายอย่าง ผมไม่เคยเก็บเงินได้แม้แต่ 1% ดีไม่ดี ติดลบเกือบทุกเดือน
จังหวะนี้ที่ผมเริ่มมีรายได้พอที่จะมาลงทุนได้ ผมก็ดวงดีที่มีเพื่อนๆที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน เป็นคนคอยแนะนำและให้คำปรึกษา ตั้งแต่เริ่มต้น
ผมว่าผมดวงดีมากๆครับ :lol: :lol:
ถ้าดวงผมดีต่อไปอีก ต้องมาดูว่าตลาดยังขายของถูกอยู่ไหม ขณะที่ผมกำลังสะสมกระสุน เก็บเงินจากรายได้ประจำนี้
ขอโทษเพื่อนๆ ที่อยากให้ตลาดขึ้นเร็วๆนะครับ แต่ผมยังไม่อยากให้ขึ้นเลย
อยากได้เพิ่มอีกหน่อยครับ ปีสองปีไหวไหมครับ ช่วงนี้รับปันผล 10-20% ก็พอใจแล้ว :lol:
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 65
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณครับ :8)
"Go for a business that any idiot can run - because sooner or later, any idiot probably is going to run it."
"เลือกธุรกิจที่แม้แต่คนโง่ยังสามารถดำเนินงานได้ เพราะไม่ช้าก็เร็ว ไม่แน่ว่าจะมีไอ้โง่ที่ไหนมาดำเนินธุรกิจให้กับบริษัทนั้น"
"เลือกธุรกิจที่แม้แต่คนโง่ยังสามารถดำเนินงานได้ เพราะไม่ช้าก็เร็ว ไม่แน่ว่าจะมีไอ้โง่ที่ไหนมาดำเนินธุรกิจให้กับบริษัทนั้น"
- kmphol
- Verified User
- โพสต์: 417
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
เห็นด้วย100%ครับ
ดวง โอกาส จังหวะ ในชีวิตคนเรา ก็เหมือนไพ่ในสำรับ ที่ถูกจัดไว้สำหรับชีวิตแต่ละคน
เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะจั่วได้ไพ่ใบไหนก่อนหลัง
เราทำได้เพียงเล่นไปตามไพ่ที่เราจั่วได้
บางทีเรารอไพ่ใบหนึ่ง แต่ดันจั่วได้ อีกใบ แต่พอเปลี่ยนตัวรอ ก็ดันจั่วได้ใบที่เคยรอ
เราจึงทำได้แค่เพียงเล่นตามไพ่ที่เรามี ตามฝีมือที่เรามี แพ้ หรือ ชนะ เราเองกำหนดได้ยาก
แต่ไพ่ทั้งสำรับมันคงไม่แย่สำหรับเราทั้งหมด มันคงมีทั้งดี และ แย่ แล้วแต่ดวงว่าอันไหนมากกว่า
เพราะชีวิต ก็ตือชีวิต เราจึงกำหนดไพ่ที่เราจะจั่วไม่ได้
ถ้าเลือกไพ่ได้ มันคงไม่ใช่การเล่นไพ่ มันคงไม่ใช่ชีวิต
ดวง โอกาส จังหวะ ในชีวิตคนเรา ก็เหมือนไพ่ในสำรับ ที่ถูกจัดไว้สำหรับชีวิตแต่ละคน
เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะจั่วได้ไพ่ใบไหนก่อนหลัง
เราทำได้เพียงเล่นไปตามไพ่ที่เราจั่วได้
บางทีเรารอไพ่ใบหนึ่ง แต่ดันจั่วได้ อีกใบ แต่พอเปลี่ยนตัวรอ ก็ดันจั่วได้ใบที่เคยรอ
เราจึงทำได้แค่เพียงเล่นตามไพ่ที่เรามี ตามฝีมือที่เรามี แพ้ หรือ ชนะ เราเองกำหนดได้ยาก
แต่ไพ่ทั้งสำรับมันคงไม่แย่สำหรับเราทั้งหมด มันคงมีทั้งดี และ แย่ แล้วแต่ดวงว่าอันไหนมากกว่า
เพราะชีวิต ก็ตือชีวิต เราจึงกำหนดไพ่ที่เราจะจั่วไม่ได้
ถ้าเลือกไพ่ได้ มันคงไม่ใช่การเล่นไพ่ มันคงไม่ใช่ชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
ผมคิดว่า
ดวงมีความสำคัญ
แต่อย่าให้มันสำคัญกับเรา
เพราะเราไปควบคุมดวงไม่ได้ ฝึกฝนก็ไม่ได้
ติดสินบนยังไม่ได้เลย แฮ่.....
ดวงในที่นี้หมายความถึงดวงในภาษาไทยที่เราใช้จนคุ้นเคยนะครับ
อาจจะนิยามไม่ตรงกับดร.นัก
คนที่ประสบผลสำเร็จส่วนใหญ่
ไม่ใช่คนที่หลงงมงายไปกับดวง
และไม่ให้ความสำคัญกับดวง
แต่เพราะเขาใช้วิธีที่ถูกต้อง
และฝึกฝนจนชำนาญในการนั้นๆ
เพราะฉะนั้นเขาถึงประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนมั้งครับเพราะมาจากตัวเขาเอง
ดวงที่เกิดขึ้นจึงเป็นตัวเสริมให้เขาสำเร็จมากขึ้นไปอีก
ส่วนคนที่ต้องดูดวงเพื่อดำเนินชีวิต
อาจจะสำเร็จแต่ไม่ค่อยยั่งยืน
มีตัวอย่างคนดังๆมากมายทั้งดาราทั้งนักการเมืองที่เชื่อดวงมากๆ
แต่วูบมาก็วูบไป
อาจจะมีบางคนอยู่ยั้งยืนยงบ้าง
แต่นั่นน่าจะเป็นเพราะเขามีความสามารถที่เป็น "ของจริง" อยู่ด้วยมากกว่า
เพราะดวงมีทั้งดีทั้งร้าย
และสำหรับกลุ่มหลังนี้ดวงไม่ใช่แค่ตัวเสริม
แต่ดวงเป็นชีวิตและเข็มทิศของเขา
กำหนดการกระทำของเขา
จึงไม่แปลกที่เวลาดวงไม่ดีเขาจะยอมรับสภาพได้เร็วกว่า
และไม่เห็นประโยชน์ที่จะฝืนดวง ซึ่งบ่อยครั้งเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ดวงไม่มีรักโลภโกรธหลงและไม่ลำเอียง
ดวงวิ่งชนไม่เลือกหน้า
ทั้งคนที่ศรัทธาและคนที่ไม่ศรัทธา
ดวงมีความสำคัญ
แต่อย่าให้มันสำคัญกับเรา
เพราะเราไปควบคุมดวงไม่ได้ ฝึกฝนก็ไม่ได้
ติดสินบนยังไม่ได้เลย แฮ่.....
ดวงในที่นี้หมายความถึงดวงในภาษาไทยที่เราใช้จนคุ้นเคยนะครับ
อาจจะนิยามไม่ตรงกับดร.นัก
คนที่ประสบผลสำเร็จส่วนใหญ่
ไม่ใช่คนที่หลงงมงายไปกับดวง
และไม่ให้ความสำคัญกับดวง
แต่เพราะเขาใช้วิธีที่ถูกต้อง
และฝึกฝนจนชำนาญในการนั้นๆ
เพราะฉะนั้นเขาถึงประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนมั้งครับเพราะมาจากตัวเขาเอง
ดวงที่เกิดขึ้นจึงเป็นตัวเสริมให้เขาสำเร็จมากขึ้นไปอีก
ส่วนคนที่ต้องดูดวงเพื่อดำเนินชีวิต
อาจจะสำเร็จแต่ไม่ค่อยยั่งยืน
มีตัวอย่างคนดังๆมากมายทั้งดาราทั้งนักการเมืองที่เชื่อดวงมากๆ
แต่วูบมาก็วูบไป
อาจจะมีบางคนอยู่ยั้งยืนยงบ้าง
แต่นั่นน่าจะเป็นเพราะเขามีความสามารถที่เป็น "ของจริง" อยู่ด้วยมากกว่า
เพราะดวงมีทั้งดีทั้งร้าย
และสำหรับกลุ่มหลังนี้ดวงไม่ใช่แค่ตัวเสริม
แต่ดวงเป็นชีวิตและเข็มทิศของเขา
กำหนดการกระทำของเขา
จึงไม่แปลกที่เวลาดวงไม่ดีเขาจะยอมรับสภาพได้เร็วกว่า
และไม่เห็นประโยชน์ที่จะฝืนดวง ซึ่งบ่อยครั้งเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ดวงไม่มีรักโลภโกรธหลงและไม่ลำเอียง
ดวงวิ่งชนไม่เลือกหน้า
ทั้งคนที่ศรัทธาและคนที่ไม่ศรัทธา
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 15
ลองดูใน wikipedia วันเกิดพี่พอใจตรงกับวันเกิดจักรพรรดิคอนสแตนตินของอาณาจักรโรมันด้วย ถ้าเป็นปีเดียวกัน (ไม่รู้ว่านับถูกรึเปล่า :oops: ) รู้สึกว่าตรงกับนักกีฬายิมนาสติกที่มีชื่อเสียงของโซเวียตด้วยครับ :8)
เรื่องดวงนี่ ผมว่าถ้ามี ดวงโดนล้อ ล่ะแย่แน่เลย :8)
อุ๊ย ไม่ใช่ห้องนั่งเล่นนี่นา :oops: :oops:
เรื่องดวงนี่ ผมว่าถ้ามี ดวงโดนล้อ ล่ะแย่แน่เลย :8)
อุ๊ย ไม่ใช่ห้องนั่งเล่นนี่นา :oops: :oops:
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- holidaytours
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ผมไม่เชื่อในลักษณะงมงายเหมือนกันอะคับ
แต่เชื่อในลักษณะเป็นเหตุผล เช่นทำดีได้ดี คับผม :D :D
แต่เชื่อในลักษณะเป็นเหตุผล เช่นทำดีได้ดี คับผม :D :D