เวลาหุ้นขึ้นนี่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 1
ไม่เห็นใครพูดถึงข่าวร้ายเลย
อย่าง tta ตอน 10 บาท เหมือนเรือจะจม มาตอนนี้ 17.80 แล้ว
เร็วมาก ก็เรือลำเดียวกันแหละ สถานการณ์ก็ น่าจะแย่คล้ายๆเดิม
หรือว่า อย่างวันนี้ scc วิ่งปรู๊ด ติดทั้ง top gain top value เลย
เปิด 91.50 ปิด 103
อืม
ว่าแต่ ptt ก็ วิ่งปรู๊ดมาปิด 180
อ๋อ uec เปิด 2.00 ปิด สวยนะ 2.20 เหอๆ
อย่าง tta ตอน 10 บาท เหมือนเรือจะจม มาตอนนี้ 17.80 แล้ว
เร็วมาก ก็เรือลำเดียวกันแหละ สถานการณ์ก็ น่าจะแย่คล้ายๆเดิม
หรือว่า อย่างวันนี้ scc วิ่งปรู๊ด ติดทั้ง top gain top value เลย
เปิด 91.50 ปิด 103
อืม
ว่าแต่ ptt ก็ วิ่งปรู๊ดมาปิด 180
อ๋อ uec เปิด 2.00 ปิด สวยนะ 2.20 เหอๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 4
ผมคิดว่า "การเก็งกำไร" เป็นกลไกที่ทำให้ทุกอย่างผิดธรรมชาติไปหมด
ดูเรื่องราคาน้ำมันเป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องอุปสงค์อุปทานแล้ว เป็นการเก็งกำไรซะมากกว่า
จริงอยู่สภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้บริษัทขายของได้น้อยลง กำไรน้อยลง หุ้นจึงตก นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หุ้นอาจขึ้นก็ได้เนื่องจากกระแสเก็งกำไร นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมมีข่าวร้ายแต่หุ้นก็ยังขึ้น
อุปสงค์อุปทานเคยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลของราคาน้ำมันแต่ก็ยังถูกกลไกการเก็งกำไรเ้ข้ามาป่วนจนราคาขึ้นลงหวือหวาได้ขนาดนั้น
เป็นไปได้มั๊ยที่ถึงแม้ปีหน้าจะเป็นปี "เผาจริง" แต่หุ้นกลับจะพุ่งสวนทาง อันมีการเก็งกำไรอยู่เบื้องหลัง
ดูเรื่องราคาน้ำมันเป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องอุปสงค์อุปทานแล้ว เป็นการเก็งกำไรซะมากกว่า
จริงอยู่สภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้บริษัทขายของได้น้อยลง กำไรน้อยลง หุ้นจึงตก นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หุ้นอาจขึ้นก็ได้เนื่องจากกระแสเก็งกำไร นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมมีข่าวร้ายแต่หุ้นก็ยังขึ้น
อุปสงค์อุปทานเคยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลของราคาน้ำมันแต่ก็ยังถูกกลไกการเก็งกำไรเ้ข้ามาป่วนจนราคาขึ้นลงหวือหวาได้ขนาดนั้น
เป็นไปได้มั๊ยที่ถึงแม้ปีหน้าจะเป็นปี "เผาจริง" แต่หุ้นกลับจะพุ่งสวนทาง อันมีการเก็งกำไรอยู่เบื้องหลัง
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 5
เท่าที่เคยดูกราฟช่วงวิกฤต หุ้นมันจะเด้งขึ้นไปเฮือกใหญ่ๆ หลังจากลงมาหนักๆ
แล้วก็จะร่วงลงมาระดับเดิมหรือต่ำกว่าเดิมครับ
จากนั้นก็จะค่อยๆทยอยปรับตัวขึ้นไปเมื่อวิกฤตคลี่คลาย :roll:
ไม่รู้ผมจำผิดเปล่านะ :lol:
[/img]
แล้วก็จะร่วงลงมาระดับเดิมหรือต่ำกว่าเดิมครับ
จากนั้นก็จะค่อยๆทยอยปรับตัวขึ้นไปเมื่อวิกฤตคลี่คลาย :roll:
ไม่รู้ผมจำผิดเปล่านะ :lol:
[/img]
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- Eragon
- Verified User
- โพสต์: 271
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 6
ผมกลับเห็นว่านี่แหละธรรมชาติที่แท้จริงของตลาดหุ้นBelffet เขียน:ผมคิดว่า "การเก็งกำไร" เป็นกลไกที่ทำให้ทุกอย่างผิดธรรมชาติไปหมด
ดูเรื่องราคาน้ำมันเป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องอุปสงค์อุปทานแล้ว เป็นการเก็งกำไรซะมากกว่า
จริงอยู่สภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้บริษัทขายของได้น้อยลง กำไรน้อยลง หุ้นจึงตก นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หุ้นอาจขึ้นก็ได้เนื่องจากกระแสเก็งกำไร นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมมีข่าวร้ายแต่หุ้นก็ยังขึ้น
อุปสงค์อุปทานเคยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลของราคาน้ำมันแต่ก็ยังถูกกลไกการเก็งกำไรเ้ข้ามาป่วนจนราคาขึ้นลงหวือหวาได้ขนาดนั้น
เป็นไปได้มั๊ยที่ถึงแม้ปีหน้าจะเป็นปี "เผาจริง" แต่หุ้นกลับจะพุ่งสวนทาง อันมีการเก็งกำไรอยู่เบื้องหลัง
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 7
ผมเห็นด้วยครับBelffet เขียน:ผมคิดว่า "การเก็งกำไร" เป็นกลไกที่ทำให้ทุกอย่างผิดธรรมชาติไปหมด
ถึงแม้ว่าการเก็งกำไรจะเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น
อย่างที่คุณ Eragon แสดงความเห็นไว้ครับ
ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับคำพูดที่ว่า
"รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ควรจะมีไว้บ้าง"
หรือเปล่าครับ
:lol: :lol:
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 8
ถ้าไม่มีการเก็งกำไร ราคาจะแกว่งแคบมาก ลงก็ไม่เยอะ ขึ้นก็ไม่เยอะ
ทุกคนมีเหตุมีผลคล้ายกันหมด เรียกง่ายๆทันกันหมด เพราะใช้ตรรกะเดียวกัน หรือคิดคล้ายๆกัน มันก็จะค่อนไปทางราบเรียบ
คำว่าทันกัน ไม่จำเป็นว่าหมายถึงฉลาดเท่ากันนะ แต่หมายถึงคนนิสัยคล้ายกันอยู่ร่วมกัน มันย่อมทันกัน รู้ใจกันไปหมด ฉลาดเท่ากันหรือโง่เท่ากัน ก็คือเท่าทันกัน
คนที่คิดอย่างไร ก็จะมาจากฐานของเหตุผลของแต่ละคนนั้นๆ จึงกลั่นออกมาเป็นความคิดที่เป็นบทสรุปได้ในการจะลงมือแอ๊คชั่นอะไรก็ตามในขั้นตอนถัดไป
โดยมาก ทุกคนหรือส่วนใหญ่ ก็จะต้องคิดและเชื่อว่า ตัวคิดดีแล้ว เหตุผลของตัวนี้ล่ะใช้ได้แล้ว เราล้วนแต่เลือกเดินในทางที่คิดว่า ใช่,ดี,จริง,ถูก ของตน (แต่อีกคนอาจบอกว่าโหลยโท่ยก็ได้,เพราะธรรมชาติแต่ละคนต่างกันนั่นแล)
ดังนั้นจึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่า หากไม่มีการเก็งกำไรในตลาดเลย คงแปลว่าในตลาดมีแต่นักลงทุนที่ไม่ยอมเก็งกำไร มีแต่คนไม่ยอมเสี่ยง ไม่มีใครยอมจ่ายแพงกว่า ไม่ยอมขายถูกกว่า กลายเป้นทุกคนคิดทางเดียวกัน มาตรฐานในการตีราคาก็จะเท่าๆกัน
เช่น ถ้าคำนวนเป้าหมายเท่าๆกัน ออกมาที่ 10 บาท คนแรกบอก ฉันจะซื้อ 5 บาท งั้นอีกคนก็จะรอที่ 5 บาท ...แล้วใครจะซื้อที่ 6 บาท ...เมื่อไม่มีคนยอมจ่าย 6 บาทแรก ก็ไม่มีวันไปถึงเป้าหมายที่ 10 บาท...มีทางเดียวต้องรอ ให้เป้าหมายขยับขึ้น(ผลประกอบการดีขึ้นในปีถัดไป เป็นต้น) สมมติเป้าขยับได้เป้น 12 บาท ...ทีนี้ คนจึงจะยอมจ่ายที่ 6 บาทได้ (ก็เอามาตรฐานเดียวกันที่ วิ่งถึงเป้าขอเท่าตัวน่ะ)
ทีนี้กลับกันอีก (ปัญหาเยอะไม่แพ้กันนะถ้าคนคิดเท่ากันหมดเนี่ย) ใครจะยอมขายที่ 5 บาท ถ้าเป้า 10 บาท ....นั่นดิ่ ยุ่งละ ...คงต้องรอปัจจัยความจำเป็นอื่นๆมาบีบบังคับผู้ขายละ เช่น เขาต้องใช้เงินส่งลูกเรียนนอก เขาต้องหาเงินไปแต่งเมีย ไรเงี้ย เป็นต้น :lol: รอกันเงกล่ะ
ดังนั้นโดยสรุปจากความคิดส่วนตัว ไม่ได้มองว่า การเก็งกำไรไม่ดีหรือไม่มีประโยชน์ และไม่คิดว่าถ้าให้เหลือแต่การลงทุนล้วนๆเท่านั้นในตลาด จะมีผลเลิศต่อตลาดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ไม่ได้มีฝ่ายใด ดีหรือไม่ดี แต่ทั้งสองฝ่าย ต่างก็ทำหน้าที่ของตนอยู่เท่านั้นค่ะ
ทุกคนมีเหตุมีผลคล้ายกันหมด เรียกง่ายๆทันกันหมด เพราะใช้ตรรกะเดียวกัน หรือคิดคล้ายๆกัน มันก็จะค่อนไปทางราบเรียบ
คำว่าทันกัน ไม่จำเป็นว่าหมายถึงฉลาดเท่ากันนะ แต่หมายถึงคนนิสัยคล้ายกันอยู่ร่วมกัน มันย่อมทันกัน รู้ใจกันไปหมด ฉลาดเท่ากันหรือโง่เท่ากัน ก็คือเท่าทันกัน
คนที่คิดอย่างไร ก็จะมาจากฐานของเหตุผลของแต่ละคนนั้นๆ จึงกลั่นออกมาเป็นความคิดที่เป็นบทสรุปได้ในการจะลงมือแอ๊คชั่นอะไรก็ตามในขั้นตอนถัดไป
โดยมาก ทุกคนหรือส่วนใหญ่ ก็จะต้องคิดและเชื่อว่า ตัวคิดดีแล้ว เหตุผลของตัวนี้ล่ะใช้ได้แล้ว เราล้วนแต่เลือกเดินในทางที่คิดว่า ใช่,ดี,จริง,ถูก ของตน (แต่อีกคนอาจบอกว่าโหลยโท่ยก็ได้,เพราะธรรมชาติแต่ละคนต่างกันนั่นแล)
ดังนั้นจึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่า หากไม่มีการเก็งกำไรในตลาดเลย คงแปลว่าในตลาดมีแต่นักลงทุนที่ไม่ยอมเก็งกำไร มีแต่คนไม่ยอมเสี่ยง ไม่มีใครยอมจ่ายแพงกว่า ไม่ยอมขายถูกกว่า กลายเป้นทุกคนคิดทางเดียวกัน มาตรฐานในการตีราคาก็จะเท่าๆกัน
เช่น ถ้าคำนวนเป้าหมายเท่าๆกัน ออกมาที่ 10 บาท คนแรกบอก ฉันจะซื้อ 5 บาท งั้นอีกคนก็จะรอที่ 5 บาท ...แล้วใครจะซื้อที่ 6 บาท ...เมื่อไม่มีคนยอมจ่าย 6 บาทแรก ก็ไม่มีวันไปถึงเป้าหมายที่ 10 บาท...มีทางเดียวต้องรอ ให้เป้าหมายขยับขึ้น(ผลประกอบการดีขึ้นในปีถัดไป เป็นต้น) สมมติเป้าขยับได้เป้น 12 บาท ...ทีนี้ คนจึงจะยอมจ่ายที่ 6 บาทได้ (ก็เอามาตรฐานเดียวกันที่ วิ่งถึงเป้าขอเท่าตัวน่ะ)
ทีนี้กลับกันอีก (ปัญหาเยอะไม่แพ้กันนะถ้าคนคิดเท่ากันหมดเนี่ย) ใครจะยอมขายที่ 5 บาท ถ้าเป้า 10 บาท ....นั่นดิ่ ยุ่งละ ...คงต้องรอปัจจัยความจำเป็นอื่นๆมาบีบบังคับผู้ขายละ เช่น เขาต้องใช้เงินส่งลูกเรียนนอก เขาต้องหาเงินไปแต่งเมีย ไรเงี้ย เป็นต้น :lol: รอกันเงกล่ะ
ดังนั้นโดยสรุปจากความคิดส่วนตัว ไม่ได้มองว่า การเก็งกำไรไม่ดีหรือไม่มีประโยชน์ และไม่คิดว่าถ้าให้เหลือแต่การลงทุนล้วนๆเท่านั้นในตลาด จะมีผลเลิศต่อตลาดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ไม่ได้มีฝ่ายใด ดีหรือไม่ดี แต่ทั้งสองฝ่าย ต่างก็ทำหน้าที่ของตนอยู่เท่านั้นค่ะ
- charnengi
- Verified User
- โพสต์: 2395
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 9
แกล้งลืมชั่วขณะครับพี่Jeng เขียน:ไม่เห็นใครพูดถึงข่าวร้ายเลย
อย่าง tta ตอน 10 บาท เหมือนเรือจะจม มาตอนนี้ 17.80 แล้ว
เร็วมาก ก็เรือลำเดียวกันแหละ สถานการณ์ก็ น่าจะแย่คล้ายๆเดิม
หรือว่า อย่างวันนี้ scc วิ่งปรู๊ด ติดทั้ง top gain top value เลย
เปิด 91.50 ปิด 103
อืม
ว่าแต่ ptt ก็ วิ่งปรู๊ดมาปิด 180
อ๋อ uec เปิด 2.00 ปิด สวยนะ 2.20 เหอๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 10
ขอ copy บทความมาลง
################33
http://api.settrade.com/blog/1001ii/100 ... /09/27/159
ทำไมต้องมีตลาดหุ้น /นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
"ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง"
เมื่อกิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่างนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น
ประเด็นนี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงินเพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้วขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ
นั้นเป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง
บางคนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้
มีบางคนอยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคนจำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง
โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิคก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
################33
http://api.settrade.com/blog/1001ii/100 ... /09/27/159
ทำไมต้องมีตลาดหุ้น /นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
"ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง"
เมื่อกิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่างนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น
ประเด็นนี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงินเพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้วขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ
นั้นเป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง
บางคนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้
มีบางคนอยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคนจำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง
โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิคก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 12
นี่คือช่วง วินโดว์เดสซิ่งชัดๆเลยครับเฮียเจ๋งฟันธง (ขนาดหุ้นที่อยู่ในวัฏจักรขาลงที่ยังขึ้นได้เช่น ปิโตรเป็นหลัก เดินเรือ.....อย่างที่เฮียว่าไว้)
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 13
ไม่มีใครทราบว่า window dressing หรือไม่หรอกครับ
ถ้าให้ผมพูดเรื่องการลงทุนของกองทุน
มันก็เป็นไปได้หลายอย่างนะครับ
ก่อนหน้านี้ถ้าเค้าเก็บเงินสดไว้มาก แล้วรอจังหวะซื้อ
แล้วนี่ก็จะสิ้นปีแล้วด้วย เหลือเวลาอีกประมาณ 1 สัปดาห์
เค้าก็ต้องเก็บหุ้นที่มี market cap.มากพอ
ซึ่งก็มักเป็นพวก big cap
ฝรั่งซื้อวันนี้พอสมควร แล้วพรุ่งนี้ล่ะครับ
การลงทุนของเรา จะขึ้นกับ ฝรั่ง กับกองทุน
หรือกับตัวเราเองครับ
ลงทุนตามความเห็นของเรา
แต่ก็อย่าลืมรับฟังสิ่งอื่นๆบ้างนะครับ
มีความสุขกับการลงทุนครับ
ปล.อย่างคนที่ซื้อ scc ตอน 89บาทนี่เค้าซื้อเพราะเก็งว่ากองทุนจะซื้อ?
ในที่สุดก็ไม่มีใครบอกเราได้ครับ
ถ้าให้ผมพูดเรื่องการลงทุนของกองทุน
มันก็เป็นไปได้หลายอย่างนะครับ
ก่อนหน้านี้ถ้าเค้าเก็บเงินสดไว้มาก แล้วรอจังหวะซื้อ
แล้วนี่ก็จะสิ้นปีแล้วด้วย เหลือเวลาอีกประมาณ 1 สัปดาห์
เค้าก็ต้องเก็บหุ้นที่มี market cap.มากพอ
ซึ่งก็มักเป็นพวก big cap
ฝรั่งซื้อวันนี้พอสมควร แล้วพรุ่งนี้ล่ะครับ
การลงทุนของเรา จะขึ้นกับ ฝรั่ง กับกองทุน
หรือกับตัวเราเองครับ
ลงทุนตามความเห็นของเรา
แต่ก็อย่าลืมรับฟังสิ่งอื่นๆบ้างนะครับ
มีความสุขกับการลงทุนครับ
ปล.อย่างคนที่ซื้อ scc ตอน 89บาทนี่เค้าซื้อเพราะเก็งว่ากองทุนจะซื้อ?
ในที่สุดก็ไม่มีใครบอกเราได้ครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 16
น่าคิดครับ น่าคิคBelffet เขียน:ผมคิดว่า "การเก็งกำไร" เป็นกลไกที่ทำให้ทุกอย่างผิดธรรมชาติไปหมด
ดูเรื่องราคาน้ำมันเป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องอุปสงค์อุปทานแล้ว เป็นการเก็งกำไรซะมากกว่า
จริงอยู่สภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้บริษัทขายของได้น้อยลง กำไรน้อยลง หุ้นจึงตก นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หุ้นอาจขึ้นก็ได้เนื่องจากกระแสเก็งกำไร นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมมีข่าวร้ายแต่หุ้นก็ยังขึ้น
อุปสงค์อุปทานเคยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลของราคาน้ำมันแต่ก็ยังถูกกลไกการเก็งกำไรเ้ข้ามาป่วนจนราคาขึ้นลงหวือหวาได้ขนาดนั้น
เป็นไปได้มั๊ยที่ถึงแม้ปีหน้าจะเป็นปี "เผาจริง" แต่หุ้นกลับจะพุ่งสวนทาง อันมีการเก็งกำไรอยู่เบื้องหลัง
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 17
การเก็งกำไร เป็นระยะสั้น นักลงทุก VI ทั้งหลายจึงไม่ลงทุนระยะสั้น เพราะมันผันผวน ตามภาวะที่ไม่ปกติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์คน การเก็งกำไร วิกฤตต่างๆ แต่ก็ต้องสนใจระยะสั้นด้วยนะครับ ให้เข้าใจว่ากลไกตลาด
แต่ถ้านักลงทุนที่ดูพื้นฐาน พวกเขาต่างรู้ว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนออกมาตามผลประกอบการของธุรกิจ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี กว่าธุรกิจจะโต นั่นคือ ระยะยาว
แต่ถ้านักลงทุนที่ดูพื้นฐาน พวกเขาต่างรู้ว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนออกมาตามผลประกอบการของธุรกิจ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี กว่าธุรกิจจะโต นั่นคือ ระยะยาว
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 19
ผมเชื่อว่าเป็นการทำราคาปิดของกองทุนครับ(เพื่อให้ตัวเลขตอนปิดงบออกมาสวยหน่อยผู้ถือหน่วยจะได้ไม่ตกใจจนเกินไปไถ่ถอนหน่วยลงทุน) ถ้าดูจากการขึ้นของSETรอบนี้เป็นแรงซื้อของกองทุนเราเป็นส่วนใหญ่ประกอบกับหุ้นส่วนใหญ่ที่ขึ้นก็อยู่SET50(เงินลงทุนของกองทุนหุ้นเราส่วนใหญก็ลงทุนในนี้ครับ)
ที่สำคัญก็คือแรงซื้อหน่วยลงทุนLTFของเดือนนี้เท่ากับประมาณ50%ของปริมาณการซื้อลงทุนLTFทั้งปีครับ
ที่สำคัญก็คือแรงซื้อหน่วยลงทุนLTFของเดือนนี้เท่ากับประมาณ50%ของปริมาณการซื้อลงทุนLTFทั้งปีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 21
เอ ไม่ทราบว่าตัวเลขตรงนี้จะไปหาที่จุดใดได้บ้างครับศิษย์เซียน007 เขียน:ผมเชื่อว่าเป็นการทำราคาปิดของกองทุนครับ(เพื่อให้ตัวเลขตอนปิดงบออกมาสวยหน่อยผู้ถือหน่วยจะได้ไม่ตกใจจนเกินไปไถ่ถอนหน่วยลงทุน) ถ้าดูจากการขึ้นของSETรอบนี้เป็นแรงซื้อของกองทุนเราเป็นส่วนใหญ่ประกอบกับหุ้นส่วนใหญ่ที่ขึ้นก็อยู่SET50(เงินลงทุนของกองทุนหุ้นเราส่วนใหญก็ลงทุนในนี้ครับ)
ที่สำคัญก็คือแรงซื้อหน่วยลงทุนLTFของเดือนนี้เท่ากับประมาณ50%ของปริมาณการซื้อลงทุนLTFทั้งปีครับ
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
เวลาหุ้นขึ้นนี่
โพสต์ที่ 22
เป็นตัวเลขที่เปิดเผยต่อสาธารณะตามสื่อต่างๆทั่วไปครับคุณwoodyหาไม่ยากครับฟันธง โดยส่วนตัวผมดูช่องเงินเรื่อยๆเกือบทั้งวันก็ได้ข้อมูลเยอะดีครับ