อย่าขาดทุน!!!!
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 1
กฎการลงทุนของวอเร็น
1. อย่าขาดทุน
2. อ่านกฏข้อที่ 1 ให้ขึ้นใจ และพยายามทำให้ได้
ไม่ทราบกฎการลงทุนของบัฟเฟต์ในข้อนี้ มันมีความหมายว่าอย่างไร และเราจะทำได้อย่างไรครับ (ไม่ทราบวอเร็นรวมถึงการขาดทุนทางบัญชีหรือเปล่า เพราะถ้ารวมคงไม่มีแม้แต่คนเดียวรวมถึงวอเร็นด้วยที่ลงทุนหุ้นแล้วไม่เคยขาดทุนทางบัญชีเลย ) ทุกครั้งเวลาอ่านเจอจะชอบมาก แต่ ไม่เคยเข้าใจอย่างจริงจริงสักครั้งว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแ่น่ ขอความเห็นของเพื่อนเืพื่อนพี่พี่หน่อยสิครับว่ามีความเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ เพราะไม่อยากขาดทุนเหมือนกันอิอิ
1. อย่าขาดทุน
2. อ่านกฏข้อที่ 1 ให้ขึ้นใจ และพยายามทำให้ได้
ไม่ทราบกฎการลงทุนของบัฟเฟต์ในข้อนี้ มันมีความหมายว่าอย่างไร และเราจะทำได้อย่างไรครับ (ไม่ทราบวอเร็นรวมถึงการขาดทุนทางบัญชีหรือเปล่า เพราะถ้ารวมคงไม่มีแม้แต่คนเดียวรวมถึงวอเร็นด้วยที่ลงทุนหุ้นแล้วไม่เคยขาดทุนทางบัญชีเลย ) ทุกครั้งเวลาอ่านเจอจะชอบมาก แต่ ไม่เคยเข้าใจอย่างจริงจริงสักครั้งว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแ่น่ ขอความเห็นของเพื่อนเืพื่อนพี่พี่หน่อยสิครับว่ามีความเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ เพราะไม่อยากขาดทุนเหมือนกันอิอิ
Small Details Make a Big Difference
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 3
ผมคิดว่า "อย่าขาดทุน" ที่ว่าน่าจะหมายถึง
Owner Earning ของกิจการที่เราถือหุ้นอยู่ไม่ขาดทุน
อย่าลืมว่าปู่เค้าซื้อทั้งกิจการตั้งกี่ที่
วิธีนี้ทำให้สามารถวัดผลงานของการลงทุนได้ โดยไม่เกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้น
Owner Earning ของกิจการที่เราถือหุ้นอยู่ไม่ขาดทุน
อย่าลืมว่าปู่เค้าซื้อทั้งกิจการตั้งกี่ที่
วิธีนี้ทำให้สามารถวัดผลงานของการลงทุนได้ โดยไม่เกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้น
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 4
เวลาเล่นกอล์ฟ ถ้าหลุมไหนข้างหน้ามีน้ำก่อนขึ้นกรีน ผมมักจะคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ จะคิดเสมอว่า ทำอย่างไร "อย่าตกน้ำ" แต่โชคไม่เข้าข้างทุกครั้งไป ผมมักจะตีตกน้ำเสมอ
ผมบังเอิญไปออกรอบกับเด็กอเมริกันซึ่งเป็นเด็ก freshman เหมือนกัน แต่าไม่รูจักกันมาก่อน เขาตีคมขึ้นกรีนตลอด ยิ่งหลุมสุดท้ายเกาะกรีนกลางน้ำแล้ว เขาไม่เคยพลาดเลย ผมเลยถามว่าเขามีเคล้ดลับอย่างไร เขาตอบผมว่าอย่างไรรู้ไหมครับ เขาตอบเพียงแค่
" Invert , always invert " ถ้าแปลเป็นไทยแล้ว ประมาณว่า
"กลับหลัง...ให้คิดกลับหลัง"
" ตีอย่างไรให้ตกน้ำ"
เขาเรียกว่า backward thinking ครับ
ไม่น่าเชื่อว่า ตั้งแต่นั้นมา ผมแถบไม่เคยตีตกน้ำอีกเลย มันอยู่ที่วิธีคิดจริงๆ
ลองคิดแบบนี้
" เล่นหุ้นอย่างไรให้ขาดทุน"
จดใส่กระดาษ ทำอย่างไรให้ขาดทุน แล้วก็หลีกเหลี่ยงสิ่งที่เราจด
ในข้อสอบ GMAT มีคำถามฝึก backward thinking ได้ดีอย่างมากครับ
คำถามนี้เป้นคำถามที่ดีมากครับ
ขอบคุณครับ...
ผมบังเอิญไปออกรอบกับเด็กอเมริกันซึ่งเป็นเด็ก freshman เหมือนกัน แต่าไม่รูจักกันมาก่อน เขาตีคมขึ้นกรีนตลอด ยิ่งหลุมสุดท้ายเกาะกรีนกลางน้ำแล้ว เขาไม่เคยพลาดเลย ผมเลยถามว่าเขามีเคล้ดลับอย่างไร เขาตอบผมว่าอย่างไรรู้ไหมครับ เขาตอบเพียงแค่
" Invert , always invert " ถ้าแปลเป็นไทยแล้ว ประมาณว่า
"กลับหลัง...ให้คิดกลับหลัง"
" ตีอย่างไรให้ตกน้ำ"
เขาเรียกว่า backward thinking ครับ
ไม่น่าเชื่อว่า ตั้งแต่นั้นมา ผมแถบไม่เคยตีตกน้ำอีกเลย มันอยู่ที่วิธีคิดจริงๆ
ลองคิดแบบนี้
" เล่นหุ้นอย่างไรให้ขาดทุน"
จดใส่กระดาษ ทำอย่างไรให้ขาดทุน แล้วก็หลีกเหลี่ยงสิ่งที่เราจด
ในข้อสอบ GMAT มีคำถามฝึก backward thinking ได้ดีอย่างมากครับ
คำถามนี้เป้นคำถามที่ดีมากครับ
ขอบคุณครับ...
- K o S o L
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 451
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 6
คิดเองว่าปู่น่าจะหมายถึง ไม่ให้ลงทุนแบบเสี่ยงจนเกินไป คือ ถ้าเรามีกรอบความคิดเรื่องการที่จะไม่ขาดทุนอยู่ในหัวตลอดเวลา การลงทุนเสี่ยงๆ ก็จะลดลง
ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า รอฟังความเห็นท่านถัดๆ ไปครับ
ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า รอฟังความเห็นท่านถัดๆ ไปครับ
ผมมือใหม่ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 7
คิดว่าปีนี้
แม้แต่ป๋าวอเรน ก็คงพูดประโยคนั้นไม่ออก
:oops: :oops: :oops: :oops:
แม้แต่ป๋าวอเรน ก็คงพูดประโยคนั้นไม่ออก
:oops: :oops: :oops: :oops:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 9
ผมคิดว่าเป็นหลักคิดสำคัญในการลงทุนที่น่าสนใจแก่นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ
นักเล่นหุ้นทั้งหลายที่เข้ามาส่วนใหญ่หวังรวย และรวยเร็วๆด้วย ทำให้มีแนวคิดว่า ต้องซื้อหุ้นที่หวือหวา ขึ้นลงเร็วๆและมากๆ รวมไปถึง แม้จะเล่นหุ้นพื้นฐานดี แต่ก็ต้องมี story ให้เล่น เรียกได้ว่าเป็น VI ระยะสั้นก็ได้
แต่หลักการณ์ของ Buffett นั้น ไม่ต้องการให้เราเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เน้นความปลอดภัยในการลงทุน รวมทั้งพิสูจน์มาแล้วว่ารวยได้แม้เน้นปลอดภัย และรวยมากซะด้วย
นักเล่นหุ้นทั้งหลายที่เข้ามาส่วนใหญ่หวังรวย และรวยเร็วๆด้วย ทำให้มีแนวคิดว่า ต้องซื้อหุ้นที่หวือหวา ขึ้นลงเร็วๆและมากๆ รวมไปถึง แม้จะเล่นหุ้นพื้นฐานดี แต่ก็ต้องมี story ให้เล่น เรียกได้ว่าเป็น VI ระยะสั้นก็ได้
แต่หลักการณ์ของ Buffett นั้น ไม่ต้องการให้เราเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เน้นความปลอดภัยในการลงทุน รวมทั้งพิสูจน์มาแล้วว่ารวยได้แม้เน้นปลอดภัย และรวยมากซะด้วย
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 10
คงไม่ได้เป็นคำพูดเท่ๆ
วอร์เรนคงต้องการสื่ออย่างที่พี่ฉัตรชัยว่ามา คือการลงทุนต้องมีความเสี่ยงต่ำ เน้นการรักษาเงินต้น คิดให้รอบคอบก่อนลงทุนในกิจการสักตัว มีส่วนเผื่อความปลอดภัยเยอะๆ เหตุผลทั้งหมดคือถ้าขาดทุน กว่าจะทำให้ผลตอบแทนคืนได้ยากเย็น อย่างที่พูดกัน ขาดทุนแค่ 50% ต้องทำผลตอบแทน 100% เพื่อแค่เอาทุนคืน
จริงๆคงไม่มีใครอยากขาดทุน ลงทุนก็หวังกำไรกันทั้งนั้น แต่หลายคนเน้นมองแต่ด้านที่จะได้มากเกินไป ลืมมองหลังระวังขาดทุน พอเจอก็ทำอะไรไม่ถูก
วอร์เรนคงต้องการสื่ออย่างที่พี่ฉัตรชัยว่ามา คือการลงทุนต้องมีความเสี่ยงต่ำ เน้นการรักษาเงินต้น คิดให้รอบคอบก่อนลงทุนในกิจการสักตัว มีส่วนเผื่อความปลอดภัยเยอะๆ เหตุผลทั้งหมดคือถ้าขาดทุน กว่าจะทำให้ผลตอบแทนคืนได้ยากเย็น อย่างที่พูดกัน ขาดทุนแค่ 50% ต้องทำผลตอบแทน 100% เพื่อแค่เอาทุนคืน
จริงๆคงไม่มีใครอยากขาดทุน ลงทุนก็หวังกำไรกันทั้งนั้น แต่หลายคนเน้นมองแต่ด้านที่จะได้มากเกินไป ลืมมองหลังระวังขาดทุน พอเจอก็ทำอะไรไม่ถูก
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 13
ผมเคยเห็นบางคนคิดแบบนี้ครับลูกอิสาน เขียน:จริงๆคงไม่มีใครอยากขาดทุน ลงทุนก็หวังกำไรกันทั้งนั้น แต่หลายคนเน้นมองแต่ด้านที่จะได้มากเกินไป ลืมมองหลังระวังขาดทุน พอเจอก็ทำอะไรไม่ถูก
ซื้อหุ้นเก็งกำไรซัก 3 - 4 บริษัท หวังว่าจะมีซัก 1 หรือ 2 บริษัทที่จะวิ่งเป็น 100% โดยที่เหลือยอมขาดทุนบ้าง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 14
เรืองการขาดทุนนี่ คงไม่ได้หมายถึงราคาตลาดที่ผันผวนในระยะสั้นแน่ครับ เพราะวอร์เรนเองก็เคยพูดว่า ถ้าเราไม่สามารถทนมองดูหุ้นที่เราซื้อมีราคาลดลงครึ่งหนึ่ง เราก็ไม่เหมาะกับเกมส์นี้ แต่ผมเข้าใจว่า วอร์เรนต้องการสื่อให้เรามุ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่สร้างกำไรให้เราในระยะยาวได้ค่อนข้างแน่นอน ถ้าเราสามารถทำกำไรมากขึ้น เงินที่เราจะลงทุนกก็จะมากขึ้นอีก แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราขาดทุน เงินทุนเราก็ร่อยหรอ โอกาสรวยก็น้อยลงไปเรื่อยๆครับ
อันที่จริง ถ้าเราสามารถลงทุนในกิจการที่ดี เมื่อมีราคาต่ำๆ เราย่อมมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยอยู่แล้ว ในขณะที่โอกาสกำไรก็มากขึ้น เป็นการตั้งรับ แล้วก็บุกไปในตัวครับ
อันที่จริง ถ้าเราสามารถลงทุนในกิจการที่ดี เมื่อมีราคาต่ำๆ เราย่อมมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยอยู่แล้ว ในขณะที่โอกาสกำไรก็มากขึ้น เป็นการตั้งรับ แล้วก็บุกไปในตัวครับ
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
circle of competence
waiting for the perfect pitch
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 15
กฎเหล็กของนักลงทุนเลย (ทบทวนก่อนการลงทุนจะทำให้ประโยชน์ยอดฮิตที่ว่า"การลงทุนมีความเสี่ยง"ลดลงไปมาก)
ผมเข้าใจความหมายของกฎนี้ว่า "อย่าขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทที่คุณไม่เข้าใจดีพอเพราะถ้าคุณเข้าใจดีพอแล้วอาจจะเลือกตัดสินสินใจไม่ลงทุนและเป็นที่แน่นอนว่าคุณย่อมไม่ขาดทุน"
ผมเข้าใจความหมายของกฎนี้ว่า "อย่าขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทที่คุณไม่เข้าใจดีพอเพราะถ้าคุณเข้าใจดีพอแล้วอาจจะเลือกตัดสินสินใจไม่ลงทุนและเป็นที่แน่นอนว่าคุณย่อมไม่ขาดทุน"
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 16
ผมชอบคำพูดนี้นะ...มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ไม่รู้ชื่ออะไร แต่ผมว่ามันตรงกับกฎสองข้อนี้นะ
He is bound to lose money in his investment because he only looks at the upside gains and never knows when to stop,' :8)
He is bound to lose money in his investment because he only looks at the upside gains and never knows when to stop,' :8)
Even Sir Isaac Newton loss in stock market
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 17
มาหาลูกค้า ผิดเวบป่าวครับ :roll:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 20
เคยใช้วิธีคิดแบบนี้เหมือนกันเลย แต่เป็นสมัยเรียนหนังสืออยู่ ตอนนั้นกำลังจะจีบสาว ทุกคนมักจะคิดว่าทำยังไงให้สาวสนใจ แต่ผมกลับเลือกวิธี ทำยังไงสาวถึงไม่สนใจ แล้วจะได้ไม่ทำ 555+" Invert , always invert " ถ้าแปลเป็นไทยแล้ว ประมาณว่า
"กลับหลัง...ให้คิดกลับหลัง"
" ตีอย่างไรให้ตกน้ำ"
เขาเรียกว่า backward thinking ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 21
[quote="Undertaker"]เคยใช้วิธีคิดแบบนี้เหมือนกันเลย
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 23
[quote="noooon010"]
อย่าลืมดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบๆข้างด้วยนะครับ
อย่าลืมดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบๆข้างด้วยนะครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 876
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 24
ขอแจมด้วยตามความเข้าใจของผม "อย่าขาดทุน" ผมว่ากฏนี้ต้องมีกฏอื่นร่วมด้วยครับ คือ
1. MOS
2. Circle of competience (มั้ง ไม่มั่นใจคำสะกด)
ถ้าจะมาท่อง อย่าขาดทุนๆๆๆๆ อย่างเดียว ผมว่าคงไม่ใช่
จะลงทุน ต้องเข้าใจธุรกิจที่เราจะลงทุนอย่างถ่องแท้ อะไรคือจุดแข็ง จุดด้อย อะไรคือ โอกาส คือความเสี่ยง ธรรมชาติของธุรกิจเป็นธุรกิจแบบไหน รายได้คงเส้นคงวา หรือเป็นแบบต้องรอเป็นงานๆไป ฯลฯ โอ้ย จิปาถะ
พอเข้าใจแล้วก็ต้องพอจะประเมิณได้ว่า ราคาที่เราจะซื้อนั้นค่อนข้างถูกพอสมควร เมื่อเทียบกะมูลค่า + ระยะเวลาที่เราจะลงทุน
เมื่อเข้าใจถึงสองข้อนี้แล้ว ค่อยมาท่องว่า อย่าขาดทุน
พอเข้าใจแล้วก็มา apply กับธุรกิจที่ต่างๆกัน
เช่น จะลงทุนในหุ้นประเภท Super stock คือ มี DCA รายได้ไม่ผันผวน มีการเติบโตสม่ำเสมอ ประเมิณมาสามารถเติบโตได้อีกเป็นสิบปี อย่างนี้เมื่อราคาตกลงมามากๆ แล้วเราซื้อเอาไว้ หากราคาตกลงไปอีกโดยพื้นฐานไม่เปลี่ยน เราก็สามารถถือต่อไปได้ มีตังก็ซื้อเพิ่ม การขาดทุนเป็นการขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น
แต่วิธีคิดแบบข้างต้นก็จะใช้ไม่ได้กับ หุ้นแบบอื่น เช่น จะลงทุนในหุ้น turnaround เราก็ต้องให้ MOS มันมากๆหน่อย เวลาซื้อจะได้มีตาข่ายรองรับกันการ "ขาดทุน" แล้วถ้ามันดันไม่ turn จริงๆ ก็ต้องขายทิ้ง อย่างนี้ต้องท่อง "อย่าขาดทุน(มาก)"
ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการประเมิณมูลค่า ผมไม่ค่อยเก่งทางนี้อ่ะครับ ผมชอบใช้ประเมิณเชิงคุณภาพมากกว่า ธุรกิจพอมองออก แต่ตัวเลขนี่ประเมิณยากอ่ะ
1. MOS
2. Circle of competience (มั้ง ไม่มั่นใจคำสะกด)
ถ้าจะมาท่อง อย่าขาดทุนๆๆๆๆ อย่างเดียว ผมว่าคงไม่ใช่
จะลงทุน ต้องเข้าใจธุรกิจที่เราจะลงทุนอย่างถ่องแท้ อะไรคือจุดแข็ง จุดด้อย อะไรคือ โอกาส คือความเสี่ยง ธรรมชาติของธุรกิจเป็นธุรกิจแบบไหน รายได้คงเส้นคงวา หรือเป็นแบบต้องรอเป็นงานๆไป ฯลฯ โอ้ย จิปาถะ
พอเข้าใจแล้วก็ต้องพอจะประเมิณได้ว่า ราคาที่เราจะซื้อนั้นค่อนข้างถูกพอสมควร เมื่อเทียบกะมูลค่า + ระยะเวลาที่เราจะลงทุน
เมื่อเข้าใจถึงสองข้อนี้แล้ว ค่อยมาท่องว่า อย่าขาดทุน
พอเข้าใจแล้วก็มา apply กับธุรกิจที่ต่างๆกัน
เช่น จะลงทุนในหุ้นประเภท Super stock คือ มี DCA รายได้ไม่ผันผวน มีการเติบโตสม่ำเสมอ ประเมิณมาสามารถเติบโตได้อีกเป็นสิบปี อย่างนี้เมื่อราคาตกลงมามากๆ แล้วเราซื้อเอาไว้ หากราคาตกลงไปอีกโดยพื้นฐานไม่เปลี่ยน เราก็สามารถถือต่อไปได้ มีตังก็ซื้อเพิ่ม การขาดทุนเป็นการขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น
แต่วิธีคิดแบบข้างต้นก็จะใช้ไม่ได้กับ หุ้นแบบอื่น เช่น จะลงทุนในหุ้น turnaround เราก็ต้องให้ MOS มันมากๆหน่อย เวลาซื้อจะได้มีตาข่ายรองรับกันการ "ขาดทุน" แล้วถ้ามันดันไม่ turn จริงๆ ก็ต้องขายทิ้ง อย่างนี้ต้องท่อง "อย่าขาดทุน(มาก)"
ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการประเมิณมูลค่า ผมไม่ค่อยเก่งทางนี้อ่ะครับ ผมชอบใช้ประเมิณเชิงคุณภาพมากกว่า ธุรกิจพอมองออก แต่ตัวเลขนี่ประเมิณยากอ่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 25
ผมเคยเก็บคำพูดเตือนสติของพี่ noonino ไว้ครับ
ผมว่ามันใช้ได้ดีเสมอนะครับ
ขอบคุณพี่ noonino และ ป๋านัน มากๆนะครับ
ลองอ่านดูนะครับ :D
คนที่ขาดทุนเพราะเทคนิคนี่มีสาเหตุหลายประการครับ ทั้งๆที่มีความรู้ทางเทคนิคอย่างดีก็ขาดทุนได้ เพราะอะไร????
อย่างแรก ขาดทุนเพราะ BIAS ครับ
คนเราทุกคนมี bias กันทั้งนั้น คนที่ไม่มีหุ้น พอวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้น ก็เข้าซื้อ พอซื้อเสร็จ bias มาทันทีครับ เค้าจะนึกว่าสิ่งที่เค้าวิเคราะห์นั้น "ถูก" แน่ๆ
เวลาผ่านไป กราฟเริ่มเปลี่ยน มันไม่เป็นอย่างที่คิด แต่เค้าก็ยังมี bias อยู่ เพราะยังถือหุ้นอยู่ ก็เริ่มหาเหตุผลร้อยแปดมาสนับสนุนให้ถือหุ้นต่อไป ไม่ยอมมองว่าสัญญาณนั้นเปลี่ยนทิศทางแล้ว สุดท้ายก็เจ๊งครับ
ใช้เทคนิคเพียวๆ โอกาสขาดทุนมี
ใช้เทคนิคบวกmoney management ด้วยโอกาสขาดทุนน้อยลง
ใช้เทคนิคผิดรูป ก็มีโอกาสขาดทุน
หรือว่าเทคนิคนี่เค้าสอนให้คัทลอสรึเปล่า
เลยต้องมีขาดทุน 555
แรกๆที่ผมซื้อขายหุ้นเนี่ยผมเริ่มที่ปัจจัยพื้นฐานครับ แต่ไม่ได้วิเคราะห์เอง ใช้อ่านจากโบร้กเอา ตอนนั้นไม่รู้ว่าโบรกมีวิธีคิดหาราคาเป้าหมายแบบของเค้า ซึ่งแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา จำได้ว่าปีแรกที่เล่นนี่ ซื้อศุภาลัยราคา 5 บาทกว่าครับ โบรกบอกเป้าหมาย 6 บาท ไม่เคยดูเทคนิคอะไรเล้ย พอรับปันผลปุ๊บ ร่วงทะรูดทะราดครับ มาตัดใจคัทไปตอนแถว 4 บาทกลางๆ โชคดีไม่ถือไปคัทตรง 2 บาท
อย่างที่สองนี่มีสาเหตุมาจาก โอเวอร์เทรด ครับ
โอเวอร์เทรดนี่เกิดได้สองอย่างครับ
1. Position sizing ที่ใหญ่เกินไปครับ เช่น ปกติตั้ง stop loss ไว้ 2% แต่ด้วยเหตุอันใดก็แล้วแต่ มั่นใจเกินเหตุ ดันไปซื้อซะมากเกินไป พอต้องคัทลอสจริงๆ กลับขาดทุนมากเกิน หรือบางทีไม่ยอมคัทลอสเลยก็มี อย่างนี่ยิ่งอาการหนักครับ ขาดทุนครั้งเดียวพอร์ตป่นปี้เลย
2. พวกคันมือ คือ แก่กล้าวิชา ดูอินดิเคเตอร์หลายตัว price pattern หลายรูปแบบ เห็นแบบไหนๆก็น่าเข้าซื้อไปซะหมดครับ อย่างนี้เรียกว่า Trade-aholic มังครับ ภาษาอังกฤษสะกดไม่ค่อยถูก คือ อยากเทรดมันซะไปหมด เห็นอะไรก็น่าเข้า เข้าแล้วก็ออก เสียทั้งค่าโง่ค่าโบรกครับ สุดท้ายแล้ว แทนที่จะเก็บกระสุนไว้เวลาเจอตัวเจ๋งๆ กลับต้องไปติดอยู่กับพวกปลาซิวปลาสร้อย ไม่ได้กินปลาวาฬ
วิธีแก้ก็คือ ต้องมี money management อย่างที่พี่นันว่าครับ แล้วก็พยายามหา method ที่เราถนัด แล้วก็เหมาะกับเราที่สุด ซักอย่างสองอย่างก็พอครับ (ในความคิดผม) เหมือนก๊วยเจ๋งตอนฝึก 18 ฝ่ามือพิชิตมังกร ก็ฝึกอยู่ฝ่ามือเดียวจนเก่งครับ เก่งจริงๆแล้วค่อยต่อยอดความรู้ไป จะดีกว่า
ความผิดพลาดเรื่องต่อไป คือ ไม่มี game plan หรือมีแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามแผนครับ
คือเวลาจะเทรดเนี่ย มันต้องวางกลยุทธไว้ก่อนใช่ไม๊ครับ เช่น ยกตัวอย่างว่า เราวางแผนว่าจะซื้อหุ้น เมื่อมันมีการ breakout ของราคาที่แนวต้าน + มี volume ตานี้ พอมัน breakout จริง กลับรีรอ ทำให้พลาดโอกาสไป หรือ ไปซื้อที่ราคาแพงเกินไป
ที่สำคัญคือ พอกำหนด stoploss แล้ว เวลาโดน stop แล้วไม่ยอมออก นี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ขาดทุนเลยครับ
บางครั้งไม่โดน stop แต่มีความกลัวในใจครับ กลัวว่าจะขาดทุน กลัวว่าจะเสียกำไร ทำให้ออกก่อนกำหนด แบบนี้บางคนอาจจะคิดว่าไม่เสียหายมาก แต่จริงๆแล้วผมว่าเสียหายไม่ต่างจากขาดทุนเลยครับ
มือใหม่อาจจะคิดว่า ทำไม? ขออธิบายในแผ่นต่อไปละกัน
เนื่องจากว่า การจะทำกำไรจากการเทรดดิ้งนั้น หัวใจสำคัญคือต้อง
กำไร>ขาดทุน ครับ
ต้องมีคนบอกว่า อย่างนี้ฉันก็รู้ฟะ ถ้าไม่กำไรมากกว่าขาดทุนแล้วมันจะกำไรได้ไง อธิบายตื้นๆงี้ใครก็ทำได้ เดี๋ยวครับ ลองมาทบทวนดูสำหรับท่านที่ขาดทุนอยู่ว่าทำไม สิ่งนี้จะอธิบายหัวข้อข้างบนด้วยครับ
วิธีกำไรมากกว่าขาดทุน ทำได้ 2 แบบครับ
1. เวลาขาดทุนขาดทุนน้อยๆ เวลากำไรกำไรเยอะๆ โดยที่จำนวนครั้งของการขาดทุนอาจจะมากกว่าจำนวนครั้งที่กำไรก็ได้ อันนี้สามารถเขียนเป็นสูตรได้แต่ไม่อยากเขียนเดี๋ยวงง ตัวอย่าง ตอนขาดทุนเราขาดทุนครั้งละ 2000 บาท แต่กำไร กำไรครั้งละ 6000 (รวมค่าคอมฯแล้ว) ถ้าคิดอย่างนี้เราก็สามารถ "ผิด" ได้ 3 ครั้ง ถูก 1 ครั้ง ทำให้เรา "เท่าทุน" วิธีแบบนี้เรียกว่าเป็น Trend Following ครับ จะเห็นว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ตำราหลายเล่มหรือเซียนหลายๆคนใช้เล่นกัน นั่นคือ มี Stop loss และรู้จัก Let profit run และวิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้ที่ประสบความสำเร็จใช้กันมากที่สุด
การ stop loss เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถกำหนดได้ว่าเราจะขาดทุนที่ 2000 บาท และการ let profit run ก็จะเป็นตัวที่ทำให้เรามีกำไร "มากๆ" เพียงแค่ครั้งสองครั้งก็ชดเชยกับที่ขาดทุนไปได้ รวมทั้งทำให้มีกำไร "เกิน" มาอีก
ตานี้ ก็มาอธิบายหัวข้อข้างบนว่า ถ้าหากว่าท่านวางแผนไว้ แต่เกิดอาการกลัวซะก่อน ก็เลยขายหุ้นออกทั้งๆที่ยังไม่ถึงจุดที่ควรจะขาย แบบนี้ก็จะทำให้ท่านขาดทุนกำไร หากใช้วิธี let profit run นี้แล้วดันไปขายตอนที่จะกำไรมหาศาลขึ้นมา ในระยะยาวท่านก็ไม่มีอะไรมาชดเชยกับสิ่งที่ขาดทุนไปได้ครับ ก็จะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเสียที มีแต่เท่าทุน กะขาดทุน
2. จำนวนเงินที่ขาดทุน กะจำนวนเงินที่กำไร พอๆกัน แต่จำนวนครั้งที่กำไรเยอะกว่า แบบนี้เรียกพวก Swing Trade เข้าๆออกๆซื้อๆขายๆ ก็สามารถทำกำไรได้ครับ แต่เหนื่อย แต่มีข้อดีคือปลายปีท่านจะได้รับของขวัญจากโบรกมากทีเดียว เพราะเสียค่าคอมฯให้เค้าเยอะ[/quote]
ผมว่ามันใช้ได้ดีเสมอนะครับ
ขอบคุณพี่ noonino และ ป๋านัน มากๆนะครับ
ลองอ่านดูนะครับ :D
คนที่ขาดทุนเพราะเทคนิคนี่มีสาเหตุหลายประการครับ ทั้งๆที่มีความรู้ทางเทคนิคอย่างดีก็ขาดทุนได้ เพราะอะไร????
อย่างแรก ขาดทุนเพราะ BIAS ครับ
คนเราทุกคนมี bias กันทั้งนั้น คนที่ไม่มีหุ้น พอวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้น ก็เข้าซื้อ พอซื้อเสร็จ bias มาทันทีครับ เค้าจะนึกว่าสิ่งที่เค้าวิเคราะห์นั้น "ถูก" แน่ๆ
เวลาผ่านไป กราฟเริ่มเปลี่ยน มันไม่เป็นอย่างที่คิด แต่เค้าก็ยังมี bias อยู่ เพราะยังถือหุ้นอยู่ ก็เริ่มหาเหตุผลร้อยแปดมาสนับสนุนให้ถือหุ้นต่อไป ไม่ยอมมองว่าสัญญาณนั้นเปลี่ยนทิศทางแล้ว สุดท้ายก็เจ๊งครับ
ใช้เทคนิคเพียวๆ โอกาสขาดทุนมี
ใช้เทคนิคบวกmoney management ด้วยโอกาสขาดทุนน้อยลง
ใช้เทคนิคผิดรูป ก็มีโอกาสขาดทุน
หรือว่าเทคนิคนี่เค้าสอนให้คัทลอสรึเปล่า
เลยต้องมีขาดทุน 555
แรกๆที่ผมซื้อขายหุ้นเนี่ยผมเริ่มที่ปัจจัยพื้นฐานครับ แต่ไม่ได้วิเคราะห์เอง ใช้อ่านจากโบร้กเอา ตอนนั้นไม่รู้ว่าโบรกมีวิธีคิดหาราคาเป้าหมายแบบของเค้า ซึ่งแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา จำได้ว่าปีแรกที่เล่นนี่ ซื้อศุภาลัยราคา 5 บาทกว่าครับ โบรกบอกเป้าหมาย 6 บาท ไม่เคยดูเทคนิคอะไรเล้ย พอรับปันผลปุ๊บ ร่วงทะรูดทะราดครับ มาตัดใจคัทไปตอนแถว 4 บาทกลางๆ โชคดีไม่ถือไปคัทตรง 2 บาท
อย่างที่สองนี่มีสาเหตุมาจาก โอเวอร์เทรด ครับ
โอเวอร์เทรดนี่เกิดได้สองอย่างครับ
1. Position sizing ที่ใหญ่เกินไปครับ เช่น ปกติตั้ง stop loss ไว้ 2% แต่ด้วยเหตุอันใดก็แล้วแต่ มั่นใจเกินเหตุ ดันไปซื้อซะมากเกินไป พอต้องคัทลอสจริงๆ กลับขาดทุนมากเกิน หรือบางทีไม่ยอมคัทลอสเลยก็มี อย่างนี่ยิ่งอาการหนักครับ ขาดทุนครั้งเดียวพอร์ตป่นปี้เลย
2. พวกคันมือ คือ แก่กล้าวิชา ดูอินดิเคเตอร์หลายตัว price pattern หลายรูปแบบ เห็นแบบไหนๆก็น่าเข้าซื้อไปซะหมดครับ อย่างนี้เรียกว่า Trade-aholic มังครับ ภาษาอังกฤษสะกดไม่ค่อยถูก คือ อยากเทรดมันซะไปหมด เห็นอะไรก็น่าเข้า เข้าแล้วก็ออก เสียทั้งค่าโง่ค่าโบรกครับ สุดท้ายแล้ว แทนที่จะเก็บกระสุนไว้เวลาเจอตัวเจ๋งๆ กลับต้องไปติดอยู่กับพวกปลาซิวปลาสร้อย ไม่ได้กินปลาวาฬ
วิธีแก้ก็คือ ต้องมี money management อย่างที่พี่นันว่าครับ แล้วก็พยายามหา method ที่เราถนัด แล้วก็เหมาะกับเราที่สุด ซักอย่างสองอย่างก็พอครับ (ในความคิดผม) เหมือนก๊วยเจ๋งตอนฝึก 18 ฝ่ามือพิชิตมังกร ก็ฝึกอยู่ฝ่ามือเดียวจนเก่งครับ เก่งจริงๆแล้วค่อยต่อยอดความรู้ไป จะดีกว่า
ความผิดพลาดเรื่องต่อไป คือ ไม่มี game plan หรือมีแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามแผนครับ
คือเวลาจะเทรดเนี่ย มันต้องวางกลยุทธไว้ก่อนใช่ไม๊ครับ เช่น ยกตัวอย่างว่า เราวางแผนว่าจะซื้อหุ้น เมื่อมันมีการ breakout ของราคาที่แนวต้าน + มี volume ตานี้ พอมัน breakout จริง กลับรีรอ ทำให้พลาดโอกาสไป หรือ ไปซื้อที่ราคาแพงเกินไป
ที่สำคัญคือ พอกำหนด stoploss แล้ว เวลาโดน stop แล้วไม่ยอมออก นี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ขาดทุนเลยครับ
บางครั้งไม่โดน stop แต่มีความกลัวในใจครับ กลัวว่าจะขาดทุน กลัวว่าจะเสียกำไร ทำให้ออกก่อนกำหนด แบบนี้บางคนอาจจะคิดว่าไม่เสียหายมาก แต่จริงๆแล้วผมว่าเสียหายไม่ต่างจากขาดทุนเลยครับ
มือใหม่อาจจะคิดว่า ทำไม? ขออธิบายในแผ่นต่อไปละกัน
เนื่องจากว่า การจะทำกำไรจากการเทรดดิ้งนั้น หัวใจสำคัญคือต้อง
กำไร>ขาดทุน ครับ
ต้องมีคนบอกว่า อย่างนี้ฉันก็รู้ฟะ ถ้าไม่กำไรมากกว่าขาดทุนแล้วมันจะกำไรได้ไง อธิบายตื้นๆงี้ใครก็ทำได้ เดี๋ยวครับ ลองมาทบทวนดูสำหรับท่านที่ขาดทุนอยู่ว่าทำไม สิ่งนี้จะอธิบายหัวข้อข้างบนด้วยครับ
วิธีกำไรมากกว่าขาดทุน ทำได้ 2 แบบครับ
1. เวลาขาดทุนขาดทุนน้อยๆ เวลากำไรกำไรเยอะๆ โดยที่จำนวนครั้งของการขาดทุนอาจจะมากกว่าจำนวนครั้งที่กำไรก็ได้ อันนี้สามารถเขียนเป็นสูตรได้แต่ไม่อยากเขียนเดี๋ยวงง ตัวอย่าง ตอนขาดทุนเราขาดทุนครั้งละ 2000 บาท แต่กำไร กำไรครั้งละ 6000 (รวมค่าคอมฯแล้ว) ถ้าคิดอย่างนี้เราก็สามารถ "ผิด" ได้ 3 ครั้ง ถูก 1 ครั้ง ทำให้เรา "เท่าทุน" วิธีแบบนี้เรียกว่าเป็น Trend Following ครับ จะเห็นว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ตำราหลายเล่มหรือเซียนหลายๆคนใช้เล่นกัน นั่นคือ มี Stop loss และรู้จัก Let profit run และวิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้ที่ประสบความสำเร็จใช้กันมากที่สุด
การ stop loss เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถกำหนดได้ว่าเราจะขาดทุนที่ 2000 บาท และการ let profit run ก็จะเป็นตัวที่ทำให้เรามีกำไร "มากๆ" เพียงแค่ครั้งสองครั้งก็ชดเชยกับที่ขาดทุนไปได้ รวมทั้งทำให้มีกำไร "เกิน" มาอีก
ตานี้ ก็มาอธิบายหัวข้อข้างบนว่า ถ้าหากว่าท่านวางแผนไว้ แต่เกิดอาการกลัวซะก่อน ก็เลยขายหุ้นออกทั้งๆที่ยังไม่ถึงจุดที่ควรจะขาย แบบนี้ก็จะทำให้ท่านขาดทุนกำไร หากใช้วิธี let profit run นี้แล้วดันไปขายตอนที่จะกำไรมหาศาลขึ้นมา ในระยะยาวท่านก็ไม่มีอะไรมาชดเชยกับสิ่งที่ขาดทุนไปได้ครับ ก็จะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเสียที มีแต่เท่าทุน กะขาดทุน
2. จำนวนเงินที่ขาดทุน กะจำนวนเงินที่กำไร พอๆกัน แต่จำนวนครั้งที่กำไรเยอะกว่า แบบนี้เรียกพวก Swing Trade เข้าๆออกๆซื้อๆขายๆ ก็สามารถทำกำไรได้ครับ แต่เหนื่อย แต่มีข้อดีคือปลายปีท่านจะได้รับของขวัญจากโบรกมากทีเดียว เพราะเสียค่าคอมฯให้เค้าเยอะ[/quote]
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 876
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าขาดทุน!!!!
โพสต์ที่ 26
หมอนุ่นอุตส่าห์ไปหาที่ผมเขียนไว้มาแปะอีก อ่านแล้วอ๊ายอายตัวเอง เขียนได้ทำยากครับ เลยต้องหันมาหาแนวปู่บัฟอยู่เนี่ย
ที่เขียนออกไปนั่นเป็นเรื่องเทคนิคอลล้วนๆเลยครับ ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานเล้ย ถ้าเอามาปนเดี๋ยวจะสับสนวุ่นวายไปใหญ่เด้อ
ที่เขียนออกไปนั่นเป็นเรื่องเทคนิคอลล้วนๆเลยครับ ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานเล้ย ถ้าเอามาปนเดี๋ยวจะสับสนวุ่นวายไปใหญ่เด้อ