น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

มอร์แกนเพิ่มน้ำหนัก-เศร้า!ต่างชาติซื้อได้แค่20ตัว


วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ — ทิสโก้ระบุต่างชาติเมินลงทุนหุ้นไทย ยิ่งตลาดหดตัวทำให้มีหุ้นลงทุนได้ไม่เกิน 20 ตัว จากเดิม 40 ตัว ด้าน “มอร์แกน” เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า ผลจากการเดินทางไปให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างประเทศ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าความสนใจในตลาดหุ้นไทยมีน้อยมาก เพราะด้วยขนาดของตลาดหุ้นมีขนาดเล็กมาก ทำให้มีหุ้นที่นักลงทุนเหล่านี้ลงทุนได้มีน้อยมาก และเห็นว่าขนาดของตลาดหุ้นไทยเหมาะสมกับนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มเอเชียมากกว่า

นอกจากนี้ ภายหลังที่มูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) หดลงเหลือประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาทนั้น ทำให้หุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องซื้อขายมากเพียงพอให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้มีไม่เกิน 20 ตัว เพราะกำหนดไว้ว่าจะต้องมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีมาร์เก็ต แคปประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป

“ก่อนหน้านี้หุ้นไทยที่เข้าข่ายคุณสมบัติเหล่านี้มีมากถึง 40 ตัว หรือคิดเป็นสัดส่วน 80-90% ของหุ้นในดัชนี SET50 แต่เมื่อขนาดตลาดหุ้นไทยหดตัวลงมากในปัจจุบันนี้ ทำให้จำนวนหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้มีน้อยเต็มที และด้วยขนาดของตลาดหุ้นไทยที่เล็กลงทำให้อีกนานกว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน และแม้แต่ปัจจุบันนี้เองต่างชาติถือครองหุ้นไทยในสัดส่วนที่น้อยมาก”

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังคงมุ่งมั่นกับการเดินทางไปโรดโชว์ยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังว่าหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติลงทุนได้ 20 ตัวนี้จะเป็นการลงทุนผ่านบริษัท

มอร์แกน สแตนเลย์ได้ออกบทวิเคราะห์ล่าสุดว่า ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์อินเดียและไทยให้ขึ้นมาอยู่ที่ “เท่ากับตลาด” จากก่อนหน้านี้เคยถูกจัดให้อยู่ในระดับ “ต่ำกว่าตลาด”

นอกจากนี้ ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นบราซิล จากระดับ “มากกว่าตลาด” ลงมาอยู่ที่ “เท่ากับตลาด” แล้ว

ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ 429.64 จุด เพิ่มขึ้น 1.92 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8,089 ล้านบาท ต่างชาติซื้ออีก 78.11 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานหลังจากน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
i_sarut
Verified User
โพสต์: 1808
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 2

โพสต์

บทความประกอบข่าวครับ

######

http://newsroom.bangkokbiznews.com/comm ... er=paiboon

"Back to Basics"

โดย ไพบูลย์ นลินทรางกูร


สวัสดีครับท่านผู้อ่านพบกันเช่นเคยเดือนละหน เมื่อเดือนที่แล้วผมได้เขียนถึงมุมมองของนักลงทุนสถาบันในฮ่องกงและสิงคโปร์ที่มีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งถ้าให้สรุปคร่าว ๆ สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ได้อ่าน หรือได้อ่านแต่จำไม่ได้แล้ว ก็คือ นักลงทุนเหล่านั้นยังไม่ได้มีมุมมองที่เป็นบวกมากนักกับเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเหตุผลหลากหลายประการ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ดูแย่ลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่น่าจะส่งผลบวกได้มากมายนัก ความเสี่ยงทางการเมืองที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และขนาดของตลาดหุ้นที่เล็กและไม่มีสภาพคล่อง นักลงทุนต่างชาติกลุ่มนี้ส่วนมากจะมี Position ในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับ Underweight (ต่ำกว่าเกณฑ์)

คราวนี้ผมขอเขียนถึงมุมมองของนักลงทุนสถาบันในอังกฤษบ้างว่าจะเหมือนหรือแตกต่างกันแค่ไหน สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพาบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งไปทำ Roadshow ที่ London ระหว่างการทำ Roadshow ผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับ Fund Manager หลายรายเกี่ยวกับมุมมองของพวกเขาที่มีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งพอจะสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้ครับ

ข้อหนึ่ง นักลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่มี Position ในตลาดหุ้นไทยน้อยมาก ถ้าเทียบกับ MSCI Benchmark ก็จัดอยู่ในระดับ Underweight (เช่นเดียวกับนักลงทุนในเอเชีย) สาเหตุสำคัญนอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมืองแล้ว ก็คือขนาดของตลาดหุ้นไทยที่เล็กมาก ๆ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Big-Cap) ซึ่งมีจำนวนน้อย ซึ่งทำให้ Universe ของหุ้นที่พวกเขาสามารถลงทุนได้นั้นมีจำนวนไม่ถึง 20 ตัว นักลงทุนที่นั่นส่วนใหญ่จะบริหารเม็ดเงินที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด (Global Emerging Markets) ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนใน Asia ซึ่งส่วนมากจะดูแล Portfolio ที่เน้นการลงทุนใน Asia ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเลือกลงทุนเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่

ข้อสอง นักลงทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ใน Defensive Mode ซึ่งแปลง่าย ๆ ก็คือยังไม่พร้อมที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่เพียงเฉพาะในตลาดหุ้นไทย แต่ในทุก ๆ ที่ในโลกนี้ การที่นักลงทุนอยู่ใน Defense Mode ถือว่าเป็นผลเสียต่อตลาดหุ้นเล็ก ๆ อย่างไทยเพราะพวกเขาจะไม่สนใจหุ้นขนาดเล็กเลย เพราะปัญหาเรื่องความเสี่ยงและสภาพคล่องอย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในข้อหนึ่ง ตลาดไทยมีแต่หุ้นขนาดเล็ก เลยทำให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทยลดลงไปโดยปริยาย นอกจากนั้นแล้ว นักลงทุนเหล่านี้จะ focus ไปที่บริษัทที่มีกระแสเงินสดที่แข็งแรง มี Balance Sheets ที่มีคุณภาพ มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนที่ต่ำ มี Competitive advantage อยู่ในอุตสาหกรรมที่มี Barrier to Entry สูง และที่สำคัญ ต้องเป็นธุรกิจที่ไม่มีลักษณะของความเป็น Cyclical

ข้อสาม นักลงทุนส่วนมากแสดงความเป็นห่วงต่อผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SME) ของไทยว่ามีโอกาสจะประสบปัญหาล้มละลายมากน้อยแค่ไหน และเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะภาคการส่งออก และ Banking Sector จะถูกกระทบในระดับไหนถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น

ข้อสี่ นักลงทุนกลุ่มนี้ยังค่อนข้างเป็นห่วงปัญหาการเมืองบ้านเรา แต่จากการสังเกตของผม รู้สึกได้ว่าเขามีความกังวลลดน้อยลงไปมากกว่าเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ส่วนใหญ่จะถามเพียงว่าโอกาสที่รัฐบาลนี้จะอยู่ยาวมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี เพราะถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คำถามเรื่องการเมืองจะมีเยอะมากและจะ dominate การพูดคุยทุกครั้งไป แต่หนนี้คำถามมีน้อยมากครับ

ข้อห้า นักลงทุนส่วนใหญ่จะถามหาถึงหุ้นที่มี Dividend Yield ที่สูง และที่สำคัญต้องเป็น Dividend Yield ที่ยั่งยืน (sustainable)

ถ้าจะกล่าวโดยสรุป ผมมีความรู้สึกว่านักลงทุนในอังกฤษมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่านักลงทุนในฮ่องกง และสิงคโปร์ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ติดตามตลาดหุ้นเราอย่างใกล้ชิดมากนัก เพราะความที่เป็นตลาดหุ้นที่เล็ก และมีหุ้นที่เขาสนใจอยู่เพียงไม่เกิน 20 บริษัท ในทางกลับกันนักลงทุนในเอเชียน่าจะมีการติดตามสถานการณ์ที่ใกล้ชิดกว่า และมีหุ้นใน Universe ที่ลงทุนได้มากกว่า (เพราะสามารถลงทุนในหุ้นขนาดเล็กกว่าได้) เลยทำให้มองตลาด negative กว่าเพราะบริษัทขนาดเล็ก ๆ ของเรามีแนวโน้มที่ไม่สดใสมากนัก

แต่ผมไม่มีความรู้สึกว่า เราจะได้เห็นเงินต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในเร็ววันนี้ หรือถ้ามีการไหลเข้าของเงินก็จะเป็นการค่อย ๆ ทยอยซื้อจากนักลงทุนระยะยาวประเภท Long-only funds ดังนั้นตลาดหุ้นก็ไม่น่าจะปรับขึ้นแรงและรวดเร็วในระยะสั้น เราคงจะต้องรอจนกว่าสถานการณ์ Financial crisis ในสหรัฐฯ และอังกฤษ มี development ที่เป็นบวกมากขึ้นกว่าที่นักลงทุนจะเปลี่ยน strategy การลงทุนจาก Defensive Mode มากเป็น Aggressive Mode ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกหลายเดือน

อีกข้อสังเกตหนึ่งจาก Roadshow ครั้งนี้ก็คือ ผมได้เจอกับ Hedge Funds น้อยมาก ซึ่งนอกจากเหตุผลที่มี Hedge Funds จำนวนมากต้องปิดกิจการลงจาก Crisis ในครั้งนี้แล้วนั้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ Hedge Funds ยังไม่สนใจหุ้นไทยมากนัก ซึ่งการที่ตลาดหุ้นจะขึ้นได้แรง ๆ จำเป็นต้องมีเม็ดเงินจาก Hedge Funds เข้ามา เพราะนักลงทุนกลุ่มนี้เวลาซื้อหุ้น จะซื้อแบบ Aggressive มาก และสามารถผลักดันราคาหุ้นให้สูงได้

สรุปก็คือ ในระยะสั้นนี้ Stock Selection Strategy ที่น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป ก็คือ Back to Basics หมายถึง เราควรเลือกลงทุนในบริษัทที่มี Balance Sheets ที่แข็งแรง มี Free cash flow สูง เป็นผู้นำในธุรกิจที่ประกอบการอยู่ มีทีมผู้บริหารที่ดี มี Corporate governance ที่ดี และมี Dividend Yield ที่สูง


พบกันใหม่เดือนหน้าครับ สวัสดี
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet

สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย

http://www.sarut-homesite.net/
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

นานาจิตตังครับ

อันนี้จาก blog ของพี่สุมาอี้ครับ

อ้างอิงจาก
http://1001ii.wordpress.com/2009/02/20/ ... %e0%b8%a8/

0175: จับตาสำนักต่างประเทศ
กุมภาพันธ์ 20, 2009 at 3:19 pm | In Economics, Investing |

วันวานนี้ (19 กพ.52) บลูมเบิร์ก ออกข่าวว่า กองทุนต่างประเทศยักษ์ใหญ่หลายกองกำลังสนใจตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทย กองหนึ่งบอกว่าได้เข้าเก็บหุ้นบลูชิพไปหลายตัว อีกกองบอกว่า เริ่มเชื่อมั่นรัฐบาลชุดใหม่จึงได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในไทย อีกกองบอกว่า ตราตราสารหนี้น่าสนใจเลยเข้าไปซื้อในช่วงที่ผ่านมา

เป็นเรื่องผิดธรรมชาตินะครับที่นักลงทุนเห็นอะไรน่าซื้อแล้วจะใจดีรีบออกมาเป่าประกาศให้คนอื่นทราบโดยทั่วกัน ว่ากันว่า พวกกองทุนต่างประเทศชอบออกข่าวว่าหุ้นไทยน่าซื้อ เวลาที่ต้องการจะปล่อยของ นักลงทุนที่ดีต้องมีความจำที่ดีครับ ดังนั้นครั้งนี้ผมจะขอบันทีกไว้หน่อยว่า บลูมเบิร์ก ได้ออกมาพูดแล้ว จะดูว่าอีกสัก 2 สัปดาห์จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ถ้าผมอ่านเจอข่าวที่สำนักต่างประเทศออกมาเชียร์ซื้ออีกก็จะเอามาบันทึกไว้อีกนะครับ ถ้าปรากฏบ่อยๆ ว่า ต่างชาติเชียร์ทีไร หุ้นไทยตกทุกที จะได้เห็นกันไปเลย

วันที่ 19 กพ 52 หุ้นไทย ปิดตลาดที่ 441.62 จุด (+2.02 จุด) อีกสองสัปดาห์มาดูกันอีกทีนะครับ


สุดท้าย อย่าลืมมองที่ตัวกิจการมากกว่า ใครจะมาซื้อ มาขายนะครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
Quadrifoglio Verde
Verified User
โพสต์: 112
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ มีประโยชน์มาก :bow:
" บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 5

โพสต์

วันที่ 22 มีนาคม 2552 07:00
บล.ทิสโก้มองหุ้นไทย W Shape

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทิสโ


บล.ทิสโก้ชี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นช่วงสั้นในไตรมาส2เหตุสภาพคล่องล้นและนักลงทุนเริ่มมั่นใจ แต่อาจปรับตัวลงไตรมาส3ถ้าตราสารCDSเกิดDefault

วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ ชี้ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นในไตรมาสที่สอง เนื่องจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงิน หลังธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดดอกเบี้ยลงมาจนเกือบใกล้0% และรัฐบาลกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และมีสัญญาณว่านักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น

ทั้งนี้มีข้องสังเกตว่าดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) และราคาน้ำมันรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆมีการปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม เนื่องจากมีเฮดจ์ฟันด์เข้าไปสั่งซื้อในตลาดล่วงหน้า และคาดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกจะดีกว่าไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว เนื่องจากไม่ต้องตั้งสำรองแบบ Mark To Market อีก

“เชื่อว่าน่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเงินมาสู่ตลาดทุนมากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นชั่วคราวหรือ Bear Market Rally”

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทย ช่วงสั้นคาดว่าไม่น่าจะหลุดจาก 400จุด ยกเว้นมีข่าวบริษัทขนาดใหญ่ในต่างประเทศล้มละลายอีก แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว อย่างไรก็ตามในในไตรมาสที่สามต้องระวังตราสาร CDS ที่ยังค้างอยู่ในตลาด 25ล้านล้านเหรียญที่อาจจะเกิดDefault ถ้ามีสถาบันการเงินหรือบริษัทขนาดใหญ่ล้มลง ก็อาจจะเกิดการเทขายรุนแรงขึ้นอีก

“ถ้าไม่เกิดข่าวร้ายแรงๆในไตรมาสสาม ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลดลงเล็กน้อย ก่อนจะเริ้มฟื้นตัวจริงๆหัลงไตรมาสสี่เป็นต้นไป”

ด้านทิศทางเศรษฐกิจไทย บล.ทิสโก้ทำนายว่าจีดีพีทั้งปีจะติดลบ4% และการส่งออกทั้งปีจะติดลบแน่นอน แต่เชื่อว่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสแรกของปีนี้
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
i_sarut
Verified User
โพสต์: 1808
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อาทิตย์ที่แล้วต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นบวกทุกวัน

พอมาสุดสัปดาห์ เจพี มอร์แกนก็ออกข่าวว่ายกระดับความน่าลงทุนในหุ้นไทย  :wink:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet

สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย

http://www.sarut-homesite.net/
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

น่าเศร้าใจจัง ซื้อได้แค่เนี้ย

โพสต์ที่ 7

โพสต์

[quote="i_sarut"]อาทิตย์ที่แล้วต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นบวกทุกวัน

พอมาสุดสัปดาห์ เจพี มอร์แกนก็ออกข่าวว่ายกระดับความน่าลงทุนในหุ้นไทย
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
โพสต์โพสต์