ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 61
ขอบคุณมากครัีบสำหรับคำอธิบาย
ผมรอฟังคุณ MMX มาเล่าส่วนอื่นๆต่อละกานนะครับ
:D
ผมรอฟังคุณ MMX มาเล่าส่วนอื่นๆต่อละกานนะครับ
:D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 62
เอามาจาก pantip คับ
เห็นว่าเยอะดี
fwd mailเกี่ยวกับAmwayครับ จริงรึป่าว
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 82056.html
ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงบอกว่า Amway ล้างสมองครับ
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 04521.html
ขอ เฉาะ เกี่ยวกับแผนการตลาด Amwayให้ ดูครับ มาร่วมวิเคราะห์กัน
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 40749.html
เห็นว่าเยอะดี
fwd mailเกี่ยวกับAmwayครับ จริงรึป่าว
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 82056.html
ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงบอกว่า Amway ล้างสมองครับ
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 04521.html
ขอ เฉาะ เกี่ยวกับแผนการตลาด Amwayให้ ดูครับ มาร่วมวิเคราะห์กัน
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 40749.html
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 63
ขอบคุณคุณ Eka มากครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 64
ผมอ่านแล้วครับ link ที่ให้มา อ่านผ่านๆ
ผมขอพูดอย่างงี้เลย จะได้ไหม
" ช่างเค้าเถอครับ ใครจะทำ หรือจะมอง Amway เป็นยังไง อย่างที่ผมเคยบอกว่า คนอื่นเค้ามองคนมาชวนยังไง เค้ามอง Amway แบบนั้น "
" คนที่ไม่ทำ Amway มันเป็นปัญหาของเค้าเอง เค้าไม่เลือก Amway เค้าก็ต้องหาเครื่องมืออื่นมาเลี้ยงปากเลี้ยงทองอยู่ดี"
"ถ้าเค้าทำกับเรานั่นแหละ มันคือปัญหาของเรา เราต้องให้คำปรึกษา ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ เพื่อให้เค้าสำเร็จ"
ส่วนปัญหาของคุณ kornjackrit ที่ไม่เอา Amway นั้น จริงๆแล้ว ผมว่าไม่ได้อยู่ที่ แผนการตลาด ไม่ได้อยุ่ที่การไปชวนคน ไม่ได้อยู่ที่การไม่จริงใจ ... อย่างที่คุณ post ไว้ข้างบน
แต่คุณกลัว การเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ถ้าผมเข้าใจผิด ช่วยบอกด้วยนะครับ)
http://www.thaivi.com/article/value-inv ... 03-vs.html
ลองอ่านดู
คุณมีทัศนคติว่า ทำ Amway ต้องมีบุคลิก เป็นผู้บริหาร คือ เข้ากับคนได้ ต้องตามกระแส Active ใส่ใจคนอื่น ... ซึ่งตรงข้ามกับนักลงทุน
ซึ่งคุณอยากเป็นนักลงทุนมากกว่า คุณกลัวว่า ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นนักบริหาร เพื่อจะให้ประสบความสำเร็จ ใน Amway แล้ว พลังหรือความสามารถในการลงทุนคุณจะถดถอยไป
ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้จริง(ซึ่งคุณเหมือนผมตอนแรก) ผมมีวิธี ที่จะทำให้คุณสำเร็จได้ โดยที่คุณจะยังคงพลังของความเป็นนักลงทุน ไว้ คุณสนใจไหม
ผมขอพูดอย่างงี้เลย จะได้ไหม
" ช่างเค้าเถอครับ ใครจะทำ หรือจะมอง Amway เป็นยังไง อย่างที่ผมเคยบอกว่า คนอื่นเค้ามองคนมาชวนยังไง เค้ามอง Amway แบบนั้น "
" คนที่ไม่ทำ Amway มันเป็นปัญหาของเค้าเอง เค้าไม่เลือก Amway เค้าก็ต้องหาเครื่องมืออื่นมาเลี้ยงปากเลี้ยงทองอยู่ดี"
"ถ้าเค้าทำกับเรานั่นแหละ มันคือปัญหาของเรา เราต้องให้คำปรึกษา ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ เพื่อให้เค้าสำเร็จ"
ส่วนปัญหาของคุณ kornjackrit ที่ไม่เอา Amway นั้น จริงๆแล้ว ผมว่าไม่ได้อยู่ที่ แผนการตลาด ไม่ได้อยุ่ที่การไปชวนคน ไม่ได้อยู่ที่การไม่จริงใจ ... อย่างที่คุณ post ไว้ข้างบน
แต่คุณกลัว การเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ถ้าผมเข้าใจผิด ช่วยบอกด้วยนะครับ)
http://www.thaivi.com/article/value-inv ... 03-vs.html
ลองอ่านดู
คุณมีทัศนคติว่า ทำ Amway ต้องมีบุคลิก เป็นผู้บริหาร คือ เข้ากับคนได้ ต้องตามกระแส Active ใส่ใจคนอื่น ... ซึ่งตรงข้ามกับนักลงทุน
ซึ่งคุณอยากเป็นนักลงทุนมากกว่า คุณกลัวว่า ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นนักบริหาร เพื่อจะให้ประสบความสำเร็จ ใน Amway แล้ว พลังหรือความสามารถในการลงทุนคุณจะถดถอยไป
ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้จริง(ซึ่งคุณเหมือนผมตอนแรก) ผมมีวิธี ที่จะทำให้คุณสำเร็จได้ โดยที่คุณจะยังคงพลังของความเป็นนักลงทุน ไว้ คุณสนใจไหม
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 65
ปล. แล้วคนที่ชวนไปฟังละ คุณได้เล่าปัญหาที่แท้จริง หรือข้อสัยที่แท้จริง ให้กับเค้าไหม เพราะ คนนั้นคือว่าที่ upline คุณ เมื่อคุณจะทำธุรกิจร่วมกับเค้า คุณต้องไว้ใจเค้า วางใจไว้ที่เค้า เล่าปัญหาทั้งเรื่องธุรกิจ และเรื่องส่วนตัวให้เค้า เพื่อเค้าจะได้ช่วยเหลือคุณได้ เพราะ upline เปรียบเหมือน อาจารย์ หรือ พ่อ แม่ ในธุรกิจ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 66
ไม่ได้เล่าครับMMX เขียน:ปล. แล้วคนที่ชวนไปฟังละ คุณได้เล่าปัญหาที่แท้จริง หรือข้อสัยที่แท้จริง ให้กับเค้าไหม เพราะ คนนั้นคือว่าที่ upline คุณ เมื่อคุณจะทำธุรกิจร่วมกับเค้า คุณต้องไว้ใจเค้า วางใจไว้ที่เค้า เล่าปัญหาทั้งเรื่องธุรกิจ และเรื่องส่วนตัวให้เค้า เพื่อเค้าจะได้ช่วยเหลือคุณได้ เพราะ upline เปรียบเหมือน อาจารย์ หรือ พ่อ แม่ ในธุรกิจ
:D
ผมเคยโดนชวนทำ Amway ทั้งหมดประมาณ 5 ครั้ง
( 4 ครั้งชวนผมในร้านหนังสือ
อีก 1 ครั้งชวนตรงทางเดิน - -" )
ไปร่วมสัมนา 2 ครั้ง
และไปดู Shop ของจริง 1 ครั้งครับ
ผมเห็นด้วยครับนะครับ ว่าถ้าผมจะทำจริงๆ Upline สำคัญกับผมมากๆ
ดังนั้นแล้ว ผมก็มีคำถามครับ >>> ผมจะเลือก Upline เองได้ไหมครับ ???
ในเมื่อ Upline สำคัญมากขนาดนี้ ผมควรจะมีสิทธิเลือกได้ใช่ไหมครับ ???
คุณ MMX พูดตรงส่วนหนึ่งครับคุณมีทัศนคติว่า ทำ Amway ต้องมีบุคลิก เป็นผู้บริหาร คือ เข้ากับคนได้ ต้องตามกระแส Active ใส่ใจคนอื่น ... ซึ่งตรงข้ามกับนักลงทุน
ซึ่งคุณอยากเป็นนักลงทุนมากกว่า คุณกลัวว่า ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นนักบริหาร เพื่อจะให้ประสบความสำเร็จ
ใน Amway แล้ว พลังหรือความสามารถในการลงทุนคุณจะถดถอยไป
ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้จริง(ซึ่งคุณเหมือนผมตอนแรก) ผมมีวิธี ที่จะทำให้คุณสำเร็จได้ โดยที่คุณจะยังคงพลังของความเป็นนักลงทุน
ไว้ คุณสนใจไหม
ผมยอมรับว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อย Active ในเรื่องการติืดต่อกับคน
( ในเชิงธุรกิจ ) ผมชอบความเป็นอิสระ และความเรียบง่ายมากกว่า
ไม่ต้องคอยมาดูว่าวันนี้มีนัดที่ไหนกับใคร กี่โมง ผมชอบที่จะไม่กำหนดตารางเวลาให้ตัวเอง ว่าตอนนี้้ต้องทำอะไร
ต้องนั้นต้องทำอะไร ถึงแม้มันจะดูเป็นระบบและเป็นระเบียบ
แต่มันก็ขาดความยืดหยุ่น และ ความอิสระ
ว่าที่จริงผมชอบอยู่ในชนบทแบบพอเพียงกับกับครอบครัว ปลูกผัก ปลูกผลไม้ไว้รับประทานเอง ในบ้านมีหนังสือ อินเตอร์เน็ต
และโทรทัศน์ ตอนกลางวันเปิดบ้านรับลม, แสงแดด และเลี้ยงลูกๆ
ผมชอบให้ชีวิตประจำวันเดินไปอย่างช้าๆ แต่ในขณะเดียวกัน
ก็ได้รับรู้รสชาติของชีวิต
แต่ถ้าถามว่าผมกลัวการเปลี่ยนแปลงไหม
ผมขอตอบว่า ผม "ไม่กลัว" ครับ
แต่สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนแปลงแล้วดีขึ้น
เปลี่ยนแปลงแล้วผมมีความสุขมากขึ้น
ผมอาจจะกลัวก็ได้แต่สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่ตัวการเปลี่ยนแปลง
มันคือกลัวผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดี
ผมไม่กลัวว่าจะต้องเหนื่อยมากขึ้น หรือใช้เวลามากขึ้น ถ้ามันทำให้ผมมี"ความสุข" เยอะขึ้นกว่าเดิม
ถ้าถามว่าผมจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง
ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก่อน
คำตอบของผมก็คือ "การศึกษา" ครับ
ซึ่งผมก็คิืดว่าผมกำลังทำอยู่และัจะทำต่อไป
(สอบถามข้อมูลจากคุณ MMX ,
ไปที Shop ของ Amway, เข้าร่วมการสัีมนาของ และอื่นๆ )
การที่ผมจะเปลี่ยนแปลงผมจะต้องศึกษาให้ดีก่อนว่าเปลี่ยนแปลงแล้ว
มันจะดีขึ้นไหม ถ้ามันดีขึ้นหรือทำให้ผมมีความสุขมากขึ้น
ผมก็ยินดีที่จะเปลี่ยนทันที แต่ถ้าไม่ผมก็ศึกษาเรื่องนั้นไว้เป็นความรู้
และดำเนินชีวิตในแบบที่ผมชื่นชอบต่อไป
น่าสนใจครับ รบกวนคุณ MMX ช่วยอธิบายให้หน่อยครับผมมีวิธี ที่จะทำให้คุณสำเร็จได้ โดยที่คุณจะยังคงพลังของความเป็นนักลงทุน ไว้ คุณสนใจไหม
ขอบคุณครับ
[/quote]
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 67
ผมเห็นด้วยกับคุณ MMX ในเืรื่องนี้ 100 % เลยคับMMX เขียน:ผมอ่านแล้วครับ link ที่ให้มา อ่านผ่านๆ
ผมขอพูดอย่างงี้เลย จะได้ไหม
" ช่างเค้าเถอครับ ใครจะทำ หรือจะมอง Amway เป็นยังไง
อย่างที่ผมเคยบอกว่า คนอื่นเค้ามองคนมาชวนยังไง เค้ามอง Amway แบบนั้น "
" คนที่ไม่ทำ Amway มันเป็นปัญหาของเค้าเอง เค้าไม่เลือก Amway เค้าก็ต้องหาเครื่องมืออื่นมาเลี้ยงปากเลี้ยงทองอยู่ดี"
"ถ้าเค้าทำกับเรานั่นแหละ มันคือปัญหาของเรา เราต้องให้คำปรึกษา ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ เพื่อให้เค้าสำเร็จ"
ผมคิดว่ามันไม่สำคัญว่าเราจะมองมันอย่างไร
แต่มันสำคัญว่าเราจะมองมันถูกต้องไหม
ถ้าเราคิดว่าเรามองถูกต้องแล้ว(คิดเอาเอง)
โดยไม่เคยเปิดใจศึกษา หรือเปิดใจรับฟังความคิดความเห็น
ในอีกด้านหนึง ผมคิดว่ามันก็คงจะไม่ถูกต้องนัก
แต่ในทางกลับกันถ้าเราได้ศึกษาเป็นอย่างดี
เปิดใจรับฟัง และสุดท้ายพบว่ามันไม่ใช่เรา
หรือไม่เหมาะกับเรา และเราเลือกไม่ทำสิ่งนั้น
ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง และควรทำ
ส่วนสิ่งที่จะตัดสินว่าอะไรควรไม่ควร
อะไรถูกไม่ถูก ผมว่าอยู่ที่ความพอใจของตัวเราครับ
เพราะคนเรามีความพอใจไม่เท่ากัน
บางคนมีเงิน 1000 ล้าน ก็ไม่พอ
ในขณะที่อีกหลายคนก็มีความสุขทั้งๆที่ไม่มีเงิน
หรือมีพอใช้ในแต่ละเดือน
มันไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีเหมาะสมไม่เหมาะสม
ตัวเราต่างหากที่เลือกมองว่ามันเป็นเช่นไร
คนหลุ่มหนึ่งอาจจะมองว่า "คนที่รวยมากๆแล้วไม่รู้จักพอน่าสงสาร"
เมื่อก่อนผมก็คิดเช่นนั้น
แต่ถ้ามองดูให้ดีแล้วๆ
ผมกลับรู้สึกว่าเขาไม่น่าสงสารแม้แต่น้อยเพราะความสุขของเขา
เกิดจากการหาเงินให้มีจำนวนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นมันก็เท่ากับว่าเขาก็กำลังทำในสิ่งที่เขามีความสุขอยู่นั่นเอง
ซึ่งผมคิดว่าสิ่งนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 68
MMX เขียน:
ผมว่าต้องคิดจากเงินปันผล ไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่คิดว่าผลตอบแทนที่ทำให้ มูลค่า port เพิ่มขึ้นครับ ผมว่าลงทุนให้หุ้น ในสภาพปก โดยเฉลี่ย เงินปันผลที่ได้ 5% ถ้าเป็นอสังหา 7%
ผมเห็นด้วยครับควรเป็น 5 % อย่างที่คุณ MMX ว่ามามากกว่า
( ต้องขอโทษด้วยครับ ผมติดตัวค่าเฉลี่ยของการเพิ่มของมูลค่าพอร์ต)
ดังนั้นเวลาที่ใช้ลงทุนก้ควรจะเพิ่มขึ้นครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 69
สวัสดีครับ น้อง kornjackrit
ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า กระทู้นี้จะเดินหน้ามาได้ไกลขนาดนี้ ทั้งๆที่หัวข้อก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่สงสัยกัน (ผมไม่ได้เจตนาต่อว่าใครนะครับ ถ้าหากไม่สบายใจ ผมขอโทษล่วงหน้าครับ)
ส่วนตัวผมรู้สึกว่า เราใช้เวลาในหัวข้อสนทนานี้ยาวนานเกินไปหรือเปล่า ในเมื่อมีเรื่องอื่นๆที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
น้อง kornjackrit หากเป็นไปได้ พี่อยากแนะนำให้น้องหยุดความคิดและ
ความสงสัยลง ในบางเวลา แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ลงมือทำตามความรู้และความเข้าใจที่มีอยู่ทั้งหมด อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นมาก-น้อย ในระหว่างทางที่น้องลงมือทำ จะตอบคำถามเกือบทั้งหมดที่น้องมี ซึ่งคือความเป็นจริง
ในขณะที่การไตร่ตรองด้วยเหตุ-ผล เป็นเพียงคำตอบที่คลอดออกจากสมอง
ของเรา ภายใต้เงื่อนไขต่างๆที่เราคิดว่าไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแปลว่า การใช้เหตุและผลไม่จำเป็นต้องตอบความจริงเราเสมอไปครับ
ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า กระทู้นี้จะเดินหน้ามาได้ไกลขนาดนี้ ทั้งๆที่หัวข้อก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่สงสัยกัน (ผมไม่ได้เจตนาต่อว่าใครนะครับ ถ้าหากไม่สบายใจ ผมขอโทษล่วงหน้าครับ)
ส่วนตัวผมรู้สึกว่า เราใช้เวลาในหัวข้อสนทนานี้ยาวนานเกินไปหรือเปล่า ในเมื่อมีเรื่องอื่นๆที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
น้อง kornjackrit หากเป็นไปได้ พี่อยากแนะนำให้น้องหยุดความคิดและ
ความสงสัยลง ในบางเวลา แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ลงมือทำตามความรู้และความเข้าใจที่มีอยู่ทั้งหมด อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นมาก-น้อย ในระหว่างทางที่น้องลงมือทำ จะตอบคำถามเกือบทั้งหมดที่น้องมี ซึ่งคือความเป็นจริง
ในขณะที่การไตร่ตรองด้วยเหตุ-ผล เป็นเพียงคำตอบที่คลอดออกจากสมอง
ของเรา ภายใต้เงื่อนไขต่างๆที่เราคิดว่าไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแปลว่า การใช้เหตุและผลไม่จำเป็นต้องตอบความจริงเราเสมอไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 70
ใช่ครับ แต่ upline ก็มีสิทธิ์เลือกคุณเหมือนกันผมเห็นด้วยครับนะครับ ว่าถ้าผมจะทำจริงๆ Upline สำคัญกับผมมากๆ
ดังนั้นแล้ว ผมก็มีคำถามครับ >>> ผมจะเลือก Upline เองได้ไหมครับ ???
ในเมื่อ Upline สำคัญมากขนาดนี้ ผมควรจะมีสิทธิเลือกได้ใช่ไหมครับ ???
เห็นด้วยครับ การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความสำเร็จ หรือชิบหาย ก็ได้ ตองลองดูครับ การศึกษา การคิด ไม่สามารถสรุปผลได้ครับ มันแค่ได้คำตอบว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เท่านั้นเองความสงสัยลง ในบางเวลา แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ลงมือทำตามความรู้และความเข้าใจที่มีอยู่ทั้งหมด อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นมาก-น้อย ในระหว่างทางที่น้องลงมือทำ จะตอบคำถามเกือบทั้งหมดที่น้องมี ซึ่งคือความเป็นจริง
ในขณะที่การไตร่ตรองด้วยเหตุ-ผล เป็นเพียงคำตอบที่คลอดออกจากสมอง
ของเรา ภายใต้เงื่อนไขต่างๆที่เราคิดว่าไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแปลว่า การใช้เหตุและผลไม่จำเป็นต้องตอบความจริงเราเสมอไปครับ
ตำราเดียวกัน ตลาดหุ้นเดียวกัน แต่คนอ่านและใช้คนละคน ผลก็แตกต่างกันครับ
ปล. จำได้ว่าคุณต้องการ port 50 ล้าน ตอนอายุแก่ๆ ถ้าต้องการแบบนี้ บนเงื่อนไขทีคุณคิด (หมายถึงอนาคต ไม่มีเหตุการที่มากระทบกับแผนการลงทุนของคุณ) แบบนี้ คุณไม่ต้องทำ Amway หรือ ธุรกิจอื่นๆ หรือครับ ลงทุน แบบ VI ก็สามารถช่วยแก้โจทย์ชีวิตคุณได้แล้ว
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 71
ไม่เป็นไรเลยครับVoldtrest เขียน:ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า กระทู้นี้จะเดินหน้ามาได้ไกลขนาดนี้ ทั้งๆที่หัวข้อก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่สงสัยกัน (ผมไม่ได้เจตนาต่อว่าใครนะครับ ถ้าหากไม่สบายใจ ผมขอโทษล่วงหน้าครับ)
จริงๆผมว่าอาจจะไม่นะครัย
ส่วนตัวผมรู้สึกว่า เราใช้เวลาในหัวข้อสนทนานี้ยาวนานเกินไปหรือเปล่า ในเมื่อมีเรื่องอื่นๆที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
เพราะคุณ MMX ก็กำลังจะอธิบายในส่วนของตัวธุรกิจ
ซึ่งผมว่าแค่เริ่มต้นเองครับ
ยังเหลือรายละเอียดให้ได้ศึกษาเรียนรู้อีกเยอะนะครับ
( ตรงกับหลักกาลามสูตรเลยครับVoldtrest เขียน:น้อง kornjackrit หากเป็นไปได้ พี่อยากแนะนำให้น้องหยุดความคิดและ
ความสงสัยลง ในบางเวลา แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ลงมือทำตามความรู้และความเข้าใจที่มีอยู่ทั้งหมด อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นมาก-น้อย ในระหว่างทางที่น้องลงมือทำ จะตอบคำถามเกือบทั้งหมดที่น้องมี ซึ่งคือความเป็นจริง
ในขณะที่การไตร่ตรองด้วยเหตุ-ผล เป็นเพียงคำตอบที่คลอดออกจากสมอง
ของเรา ภายใต้เงื่อนไขต่างๆที่เราคิดว่าไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแปลว่า การใช้เหตุและผลไม่จำเป็นต้องตอบความจริงเราเสมอไปครับ
"อย่าเชื่อเพราะเราคิดหรือไตร่ตรอง"
)
:D
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ต้องยอมรับว่าถึงแม้ผมจะเคยเข้าไปสัมผัสธุรกิจเครือข่าย
แต่ก็เป็นแค่บางส่วน สำหรับการทำจริงๆนั้นผมยังไม่เคย
ซึ่งผมก็คิดไว้อยู่เหมือนกันครับ
ผมเห็นด้วยครับว่าการเข้าไปทดลองทำจริงๆนั้นจะทำให้ผมเข้าใจ
และตอบข้อสงสัยทั้งหมดของผมได้ แต่ผมมีข้อจำกัดส่วนตัวบางอย่าง
ซึ่งทำให้ผมยังไม่สามารถเข้าไปทดลองทำได้ ณ ตอนนี้ี้
ถึงแม้ผมจะเข้าไปทดลองทำ ณ ตอนนี้ไม่ได้
แต่ผมก็สนใจตัวธุรกิจเครือข่าย เพราะเป็นธุรกิจที่คนหลายคนยังมองในแง่ลบและดูค่อนข้าง
แตกต่างไปจาก Model ธุรกิจทั่วไป
[/quote]
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 72
MMX เขียน:ปล. จำได้ว่าคุณต้องการ port 50 ล้าน ตอนอายุแก่ๆ ถ้าต้องการแบบนี้ บนเงื่อนไขทีคุณคิด (หมายถึงอนาคต ไม่มีเหตุการที่มากระทบกับแผนการลงทุนของคุณ) แบบนี้ คุณไม่ต้องทำ Amway หรือ ธุรกิจอื่นๆ หรือครับ ลงทุน แบบ VI ก็สามารถช่วยแก้โจทย์ชีวิตคุณได้แล้ว
ต้องขอโทษนะครับถ้าทำให้เข้าใจผิดkornjackrit เขียน: ผมก็ขอตอบตามตรงเลยครับว่าเป้าหมาของผมในแง่ตัวเงิน
คือการมีพอร์ตระดับ 50 ล้านบาท และใช้ชีวิตเรียบง่าย
กับครอบครัว ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติรอบตัว
และใช้ชีวิตอิสระ อ่านหนังสือบ้าง ฟังเพลงบ้าง
ไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะบ้าง ไปเที่ยวทะเลบ้าง
แค่นั้นละครับ
ผมต้องการจะสื่อแค่ว่ามีพอร์ต 50 ล้านครับ
สำหรับอายุนั้นน้อยกว่า หรือเท่ากับ 35 ปีครับ
( ผมคิดว่า 35 ปีไม่น่าจะเรียกว่าแก่นะครับ )
ถึงแม้การลงทุนในหุ้นสามารถตอบโจทย์ชีวิตผมได้ในแง่ตัวเงิน
แต่ผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะไม่ทำให้ผมทำอย่างอื่นครับ
เพราะวัตถุประสงค์ของผม ไม่ได้แค่ต้องการมีพอร์ตการลงทุน
ระดับ 50 ล้านแต่ที่ผมศึกษาเรื่องอื่นหรือธุรกิจอื่นๆ
ก็เป็นเพราะผมต้องการทำความเข้าใจมันมากกว่า
( ไม่ใช่ผลตอบแทนไม่ต้องการนะครับ
แต่ผมคิดว่ามันเป็นเป้าหมายรองมากกว่า )
ผมอาจจะชอบและรักการลงทุนในหุ้นมากกว่าอย่างอื่น
แต่ผมก็ไม่คิดจะรู้เรื่องหุ้นเพียงเรื่องเดียวเช่นกันครับ[/quote]
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 73
ผมว่าแบบนี้ เรื่องใหญ่ละครับต้องขอโทษนะครับถ้าทำให้เข้าใจผิด
ผมต้องการจะสื่อแค่ว่ามีพอร์ต 50 ล้านครับ
สำหรับอายุนั้นน้อยกว่า หรือเท่ากับ 35 ปีครับ
( ผมคิดว่า 35 ปีไม่น่าจะเรียกว่าแก่นะครับ )
คุณควรจะศึกษาการลงทุนในธุกริจเครือข่าย หรือการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ด้วยครับ (จะใช้คำว่า ต้องศึกษาเลยก็ว่าได้ จำเป็นมาก)
เพราะ
สมมุติว่า คุณเรียนจบอายุ 22 ถึง อายุ 35 ปี ใช้เวลา 13 ( 35-22)
FV = 50 ล้าน
สมมุติเงินเดือน เท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีเงินลงทุน เดือนละ 15000 ละกัน pmt = 15000*12
ดังนั้นคุณต้องทำให้ได้ผลตอบแทนทบตั้น ปีละ 45% ครับ
(เค้าว่า บัพเฟตทำได้ ปีละ 30% เองน่ะ อันนี้เคยอ่านเจอ ไม่มีแหล่งอ้างอิง)
แต่คุณอาจจะทำได้มากกว่า บัฟเฟตก็ได้น่ะ เพราะ บัฟเฟต ลงทุนเป็นเงินจำนวนมาก คือ port น้อยๆ สามารถโยคได้ ง่ายกว่า สามารถลงทุนได้อิสระกว่า
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 74
ถูกต้องเลยครับ ผมจำเป็นต้องศึกษาธุรกิจทุกอย่างๆ(ซึ่งผมกำลังทำอยู่)MMX เขียน:ผมว่าแบบนี้ เรื่องใหญ่ละครับ
คุณควรจะศึกษาการลงทุนในธุกริจเครือข่าย หรือการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ด้วยครับ (จะใช้คำว่า ต้องศึกษาเลยก็ว่าได้ จำเป็นมาก)
เพราะ
สมมุติว่า คุณเรียนจบอายุ 22 ถึง อายุ 35 ปี ใช้เวลา 13 ( 35-22)
FV = 50 ล้าน
สมมุติเงินเดือน เท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีเงินลงทุน เดือนละ 15000 ละกัน pmt = 15000*12
ดังนั้นคุณต้องทำให้ได้ผลตอบแทนทบตั้น ปีละ 45% ครับ
(เค้าว่า บัพเฟตทำได้ ปีละ 30% เองน่ะ อันนี้เคยอ่านเจอ ไม่มีแหล่งอ้างอิง)
และต้องเริ่มให้เร็วด้วยครับ
ปล.ที่ผมต้องเริ่มเร็วเพราะผมไม่ได้หวังผลตอบแทน 45 % หรือ 30 % ด้วยคับ แต่ผมหวังแค่ 10-15 % ตามผลตอบแทนแฉลี่ยของตลาด
ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่า
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 75
น้อง kornjackrit เป็นวัยรุ่นที่โชคดีที่สุดคนนึงนะครับ
สมัยผมอายุ 17-18 เนี่ย ผมทำได้เพียงออมเงินสม่ำเสมอ
เรียนหนังสือให้ได้เกรดมากพอขอทุนการศึกษาทุกปี เพื่อนำไปออมเป็นหลัก
กว่าจะรู้ตัวว่าเรียนผิดคณะเนี่ย ก็อยู่ปี 4 เทอมหนึ่ง กำลังทำ project ส่งอาจารย์พอดี เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มอ่านหนังสือตีแตก หมกมุ่นกับมันมาก จนทำให้เกือบเรียนไม่จบ ไปพร้อมๆกับชวดเกียรตินิยมเหรียญเงิน (เกรดขาดไป 0.02) และที่สำคัญคือกลายเป็นคนว่างงานไปเกือบหนึ่งปี
โอกาสและความฝันสมัยเรียนปี 1 ที่เสียไป จึงถูกชดเชยอย่างต่อเนื่องด้วยหนังสือ Intelligent Invester ทั้งวันทั้งคืน พร้อมๆกับการลงมือทดสอบหลักการ มีที่ทำตามหลัก และ ทำตามใจตัวเอง ผ่านกองทุนดัชนี เพื่อดูนิสัยตัวเองกับความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นและวงรอบเศรษฐกิจ.......(จนถึงวันนี้ พอร์ตส่วนนี้เสียหายไปพอๆกับการทรุดตัวของดัชนีตลาดหุ้นที่เลือกลงทุน)
มาลงทุนเป็นหุ้นรายตัวจริงๆ ก็ประมาณกลางเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ถือเป็นนัดล้างตาจริงๆ ลงทุนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เจตนาที่เปลี่ยนไป
เพราะเราไม่สามารถนำเงินก้อนนี้ไปทดสอบความเชื่อส่วนตัวหรือหลักการได้อีกเหมือนกับครั้งก่อนๆๆ....(คนที่บ้านผิดหวังกับการทดสอบครั้งก่อน และกลัวความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นที่สุด)
แหะ แหะ โม้เยอะเกินไปแล้วสิ...... มีโอกาสจะมาเล่าต่อ (ถ้าไม่เบื่อกันก่อน)
สิ่งสำคัญอื่นๆนอกเหนือจาก การพบเจอตัวเองแล้ว เรายังจำเป็น ต้องพาตัวเองเข้าไปหากลุ่มคนและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมด้วย การปรับตัวให้เข้ากับผู้คนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าหาคนที่เข้าใจเราไม่ได้จริงๆ ก็ป่วยการที่จะอยู่กับสังคมเดิมๆ
จริงอยู่ที่ปลูกพืชอะไร ก็ได้ต้นอันนั้น แต่ถ้าได้ดินไม่ดี โตมาก็แคระแกร็นอย่างที่ผมเป็นอยุ่ (ผมกำลังหาเวลาที่จะมา meeting กับคนชมรมนี้อยู่)
^^
สมัยผมอายุ 17-18 เนี่ย ผมทำได้เพียงออมเงินสม่ำเสมอ
เรียนหนังสือให้ได้เกรดมากพอขอทุนการศึกษาทุกปี เพื่อนำไปออมเป็นหลัก
กว่าจะรู้ตัวว่าเรียนผิดคณะเนี่ย ก็อยู่ปี 4 เทอมหนึ่ง กำลังทำ project ส่งอาจารย์พอดี เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มอ่านหนังสือตีแตก หมกมุ่นกับมันมาก จนทำให้เกือบเรียนไม่จบ ไปพร้อมๆกับชวดเกียรตินิยมเหรียญเงิน (เกรดขาดไป 0.02) และที่สำคัญคือกลายเป็นคนว่างงานไปเกือบหนึ่งปี
โอกาสและความฝันสมัยเรียนปี 1 ที่เสียไป จึงถูกชดเชยอย่างต่อเนื่องด้วยหนังสือ Intelligent Invester ทั้งวันทั้งคืน พร้อมๆกับการลงมือทดสอบหลักการ มีที่ทำตามหลัก และ ทำตามใจตัวเอง ผ่านกองทุนดัชนี เพื่อดูนิสัยตัวเองกับความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นและวงรอบเศรษฐกิจ.......(จนถึงวันนี้ พอร์ตส่วนนี้เสียหายไปพอๆกับการทรุดตัวของดัชนีตลาดหุ้นที่เลือกลงทุน)
มาลงทุนเป็นหุ้นรายตัวจริงๆ ก็ประมาณกลางเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ถือเป็นนัดล้างตาจริงๆ ลงทุนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เจตนาที่เปลี่ยนไป
เพราะเราไม่สามารถนำเงินก้อนนี้ไปทดสอบความเชื่อส่วนตัวหรือหลักการได้อีกเหมือนกับครั้งก่อนๆๆ....(คนที่บ้านผิดหวังกับการทดสอบครั้งก่อน และกลัวความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นที่สุด)
แหะ แหะ โม้เยอะเกินไปแล้วสิ...... มีโอกาสจะมาเล่าต่อ (ถ้าไม่เบื่อกันก่อน)
สิ่งสำคัญอื่นๆนอกเหนือจาก การพบเจอตัวเองแล้ว เรายังจำเป็น ต้องพาตัวเองเข้าไปหากลุ่มคนและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมด้วย การปรับตัวให้เข้ากับผู้คนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าหาคนที่เข้าใจเราไม่ได้จริงๆ ก็ป่วยการที่จะอยู่กับสังคมเดิมๆ
จริงอยู่ที่ปลูกพืชอะไร ก็ได้ต้นอันนั้น แต่ถ้าได้ดินไม่ดี โตมาก็แคระแกร็นอย่างที่ผมเป็นอยุ่ (ผมกำลังหาเวลาที่จะมา meeting กับคนชมรมนี้อยู่)
^^
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 76
ขอบคุณพี่ Voldtrest มากครับที่มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง
ถ้าพี่ไม่รังเกียจผมก็ขอรบกวนให้พี่ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังจะได้ไหมครับ
อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ไม่เบื่อ ^ ^
เยอะมากครับ วิกฤติที่ผ่านมาก็สอนอะไรให้ผมเยอะ โดยเฉพาะในเรื่อง
การจำกัดความโลภให้เท่ากับความรู้และความรอบคอบ
พอร์ตผมตอนนี้ติดลบอยู่ประมาณ 40 %
เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าจริงๆครับ
:oops:
( โชคยังดีที่ผมไม่ได้ลงเงินไปทั้งหมด ลงไปแค่ 30-40 % ครับ )
ปล.ถ้าพี่อยากจะ Meeting กับชมรมนี้ ทางชมรมเขามีจัด Meeting
เป็นประจำทุกไตรมาสนะครับ ไตรมาสที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปรู้สึกเสียดายมาก
แต่ไตรมาสก่อนหน้าผมได้ไปครั้งแรก สนุกดีครับ ได้เจอพี่ๆที่เก่งๆมากมาย
และแต่ละท่านก็ใจดีและเป็นมิตรมากครับ คราวหน้าผมปิดเทอมแล้ว
คงน่าจะได้ไปอีกครับ อาจจะพี่ Voldtrest ก็ได้นะครับ ถ้าพี่ว่างไปร่วมงาน
ถ้าพี่ไม่รังเกียจผมก็ขอรบกวนให้พี่ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังจะได้ไหมครับ
อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ไม่เบื่อ ^ ^
ว่าที่จริงผมได้รับบทเรียนในการลงทุนจากการลงทุนเองในหุ้นรายตัวมาลงทุนเป็นหุ้นรายตัวจริงๆ ก็ประมาณกลางเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ถือเป็นนัดล้างตาจริงๆ ลงทุนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เจตนาที่เปลี่ยนไป
เพราะเราไม่สามารถนำเงินก้อนนี้ไปทดสอบความเชื่อส่วนตัวหรือหลักการได้อีกเหมือนกับครั้งก่อนๆๆ....(คนที่บ้านผิดหวังกับการทดสอบครั้งก่อน และกลัวความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นที่สุด)
เยอะมากครับ วิกฤติที่ผ่านมาก็สอนอะไรให้ผมเยอะ โดยเฉพาะในเรื่อง
การจำกัดความโลภให้เท่ากับความรู้และความรอบคอบ
พอร์ตผมตอนนี้ติดลบอยู่ประมาณ 40 %
เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าจริงๆครับ
:oops:
( โชคยังดีที่ผมไม่ได้ลงเงินไปทั้งหมด ลงไปแค่ 30-40 % ครับ )
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับสิ่งสำคัญอื่นๆนอกเหนือจาก การพบเจอตัวเองแล้ว เรายังจำเป็น ต้องพาตัวเองเข้าไปหากลุ่มคนและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมด้วย การปรับตัวให้เข้ากับผู้คนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าหาคนที่เข้าใจเราไม่ได้จริงๆ ก็ป่วยการที่จะอยู่กับสังคมเดิมๆ
จริงอยู่ที่ปลูกพืชอะไร ก็ได้ต้นอันนั้น แต่ถ้าได้ดินไม่ดี โตมาก็แคระแกร็นอย่างที่ผมเป็นอยุ่ (ผมกำลังหาเวลาที่จะมา meeting กับคนชมรมนี้อยู่)
^^
ปล.ถ้าพี่อยากจะ Meeting กับชมรมนี้ ทางชมรมเขามีจัด Meeting
เป็นประจำทุกไตรมาสนะครับ ไตรมาสที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปรู้สึกเสียดายมาก
แต่ไตรมาสก่อนหน้าผมได้ไปครั้งแรก สนุกดีครับ ได้เจอพี่ๆที่เก่งๆมากมาย
และแต่ละท่านก็ใจดีและเป็นมิตรมากครับ คราวหน้าผมปิดเทอมแล้ว
คงน่าจะได้ไปอีกครับ อาจจะพี่ Voldtrest ก็ได้นะครับ ถ้าพี่ว่างไปร่วมงาน
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 77
ขอเรียกว่า ผลการทดสอบ แทนคำว่า ประสบการณ์นะครับ
ยินดีที่จะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว
พี่ขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่า การเลือกหุ้นรายตัวครั้งนี้ ไม่ได้หามูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทเลย เพราะยังขาดความรู้ทางหลักบัญชีในการแยกแยะจริง-ลวงในงบ พี่จึงเพียงคิดว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ที่ทุกบริษัทตายหมด ใครจะตายเป็นลำดับท้ายๆ และสิ่งที่บริษัทมีเพียงพอที่จะยื้อชีวิตต่อไปได้หรือเปล่า เรื่องของกำไรแต่ละปีที่ทำได้มากบ้างน้อยบ้าง จึงกลายเป็นเรื่องรองๆลงไป
สำหรับการลงทุนในกองดัชนี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการลงทุนเน้นคุณค่าเลย พี่ตั้งใจจะทดสอบเทคนิค DCA กับ ความเชื่อในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มาจากภายในประเทศกับตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ซึ่งพี่เลือกกองที่มี 2 ประเทศคือ จีนกับอินเดีย ครับ
วางเป้าหมายไว้ 5 ปีเลย แล้วมาดูกันว่าจะแซง SET50 ไหม
ปล. ที่ไหนยังขาดแคลน ย่อมต้องการบริโภคมาก เศรษฐกิจจึงต้องขยายตัวรองรับตาม (ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า)
ยินดีที่จะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว
พี่ขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่า การเลือกหุ้นรายตัวครั้งนี้ ไม่ได้หามูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทเลย เพราะยังขาดความรู้ทางหลักบัญชีในการแยกแยะจริง-ลวงในงบ พี่จึงเพียงคิดว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ที่ทุกบริษัทตายหมด ใครจะตายเป็นลำดับท้ายๆ และสิ่งที่บริษัทมีเพียงพอที่จะยื้อชีวิตต่อไปได้หรือเปล่า เรื่องของกำไรแต่ละปีที่ทำได้มากบ้างน้อยบ้าง จึงกลายเป็นเรื่องรองๆลงไป
สำหรับการลงทุนในกองดัชนี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการลงทุนเน้นคุณค่าเลย พี่ตั้งใจจะทดสอบเทคนิค DCA กับ ความเชื่อในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มาจากภายในประเทศกับตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ซึ่งพี่เลือกกองที่มี 2 ประเทศคือ จีนกับอินเดีย ครับ
วางเป้าหมายไว้ 5 ปีเลย แล้วมาดูกันว่าจะแซง SET50 ไหม
ปล. ที่ไหนยังขาดแคลน ย่อมต้องการบริโภคมาก เศรษฐกิจจึงต้องขยายตัวรองรับตาม (ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า)
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 78
:DVoldtrest เขียน:สำหรับการลงทุนในกองดัชนี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการลงทุนเน้นคุณค่าเลย
พี่ตั้งใจจะทดสอบเทคนิค DCA กับ ความเชื่อในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มาจากภายในประเทศ
กับตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
ซึ่งพี่เลือกกองที่มี 2 ประเทศคือ จีนกับอินเดีย ครับ
วางเป้าหมายไว้ 5 ปีเลย แล้วมาดูกันว่าจะแซง SET50 ไหม
น่าสนใจดีครับ
พูดถึงกองทุนดัชนี ส่วนตัวผมก็มองในทางบวกนะครับ
สำหรับมือใหม่อย่างผมจริงๆถ้าเริ่มต้นจากลงทุนในกองทุนดัชนีไปก่อน
และค่อยๆศึกษาหุ้นเป็นรายตัวไปก็จะไม่เสียเวลา
และโอกาสในการลงทุนในหุ้น แต่ผมร้อนวิชาเกินไปเลยลงทุนในหุ้นรายตัวก่อน 55+
ผมเลยได้ประสบการณ์ที่ แสบๆ ร้อนๆ คันๆ มาครับ
แต่ถ้าในระยะยาวสำหรับคนที่พอมีเวลา ผมคิดว่าการเลือกลงทุน
แบบกระจายความเสี่ยงตามอุตสาหกรรมโดยยึดหลักกองทุนดัชนี
เพียงแต่ Foucs จำนวนหุ้นให้น้อยลง เช่น จาก 50 ตัว
ให้เหลือประมาณ 10 ตัว โดย 10ตัวนั้นเป็น 10 ตัวที่น่าสนใจที่สุด
ของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมหรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็น 10 ตัวที่เรามั่นใจ
วิธีนี้น่าจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้นะครับ
( ส่วนตัวผมก็กะจะทดลองวิธีนี้ในกระดานเหมือนกันครับ
ไม่รู้จะได้ผลอย่างไร - - )
ผมว่าสำหรับ DCA ก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม(อีกแล้ว)ครับ
และเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้กับการลงทุนในกองทุนดัชนี
ยิ่งถ้าใช้แบบตัดจากบัญชีเลยได้จะยิ่งช่วยในเรื่องวินัยการลงทุน
ได้มากมายเลยครับ
ผมว่าน่าจะถูกแล้วนะครับปล. ที่ไหนยังขาดแคลน ย่อมต้องการบริโภคมาก เศรษฐกิจจึงต้องขยายตัวรองรับตาม (ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า)
เพียงแต่อาจจะมีปัจจัยอื่นที่จะส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ควรจะเป็น
เปลี่ยนแปลงไป(หรือเปล่าครับ) เช่น ถ้าที่นั่นขาดแคลน
แต่ความต้องการกลับไม่เพิ่มขึ้น ประเทศเหล่านี้ก็เช่น ภูฎาน
เพราะค่อนข้างมีเศรษฐกิจที่พอเพียง
ถึงแม้อาจจะมี(ผมไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่านะครับ
แต่คิดว่าแต่ละประเทศก็น่าจะมีจุดที่สามารถพัฒนาได้)
ศักยภาพในการเติบโตแต่คงจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่าประเทศจะพัฒนา
ไปสู่สังคมทุนนิยมแบบประเทศอื่นๆโดยทั่วไป หรือ สุดท้ายอาจจะ
เป็นเช่นนี้ไปตลอดก็ได้ครับ
่สำหรับจีนและอินเดีย ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ Voldtrest พูดมาเลยครับ
ยิ่งถ้าเปรียบกับดัชนีหุ้นไทยแล้วโอกาสในการโตมีเยอะกว่าจริงๆครับ
ผมคิดว่าสุดท้ายอีก 5 ปี ผลตอบแทนจากกองทุนดัชนีหุ้น
ของจีนและอินเดียน่าจะแซง SET50 ได้เยอะพอสมควรเลยคับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 79
แต่ถ้าในระยะยาวสำหรับคนที่พอมีเวลา ผมคิดว่าการเลือกลงทุน
แบบกระจายความเสี่ยงตามอุตสาหกรรมโดยยึดหลักกองทุนดัชนี
เพียงแต่ Foucs จำนวนหุ้นให้น้อยลง เช่น จาก 50 ตัว
ให้เหลือประมาณ 10 ตัว โดย 10ตัวนั้นเป็น 10 ตัวที่น่าสนใจที่สุด
ของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมหรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็น 10 ตัวที่เรามั่นใจ
วิธีนี้น่าจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้นะครับ
( ส่วนตัวผมก็กะจะทดลองวิธีนี้ในกระดานเหมือนกันครับ
ไม่รู้จะได้ผลอย่างไร - - )
ANS เป็นแนวคิดที่ดีครับ เนื่องจากเราไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับกองทุน พี่เองก็อยากทำวิธีนี้กับหุ้นต่างประเทศ คัดแต่หุ้นผู้นำแต่ละอุตสาหกรรมและนำมารวมกัน แต่ไม่มีโอกาส
1) กองทุนในไทยที่คล้ายๆกับที่น้อง kornjackrit เสนอมา ก็มี Jumbo 25 ของทหารไทย
2) เห็นด้วยครับ เป็นการกระจายความเสี่ยง industrial sectors แต่ focus บนตัวหุ้น
*** สิ่งที่น่ากลัวคือ
2.1) หุ้นผู้นำตัวนั้นอาจหลุดจาก index ได้ถ้าถูกตรวจพบเรื่องอื้อฉาว
อย่างเมื่อต้นปีเร็วๆๆนี้ Satyam computer ที่อินเดีย เพิ่งมาพบว่า มีการตกแต่งบัญชีในเรื่องผลกำไรเกินจริงติดต่อกันมาหลายปี ราคาหุ้นร่วงทีเดียวเกือบ 70% ภายในวันเดียวมั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) ตอนนี้กำลังมีการประมูลราคาเทคโอเวอร์ จากบริษัทต่างชาติอยู่ IBM เป็นหนึ่งในผู้ประมูลด้วยมั้ง ไม่รุ้ว่าหลังการซื้อขาย จะกลับมาอยู่ใน index หรือเปล่า
2.2) หุ้นผู้นำตัวนั้น mkt. share ลดลงทุกปีๆ โดยเสียให้กับคู่แข่ง เนื่องจากการดำเนินงานที่ขาดประสิทธิภาพหลายปีติดต่อกัน ไม่ได้ปรับกลยุทธในการแข่งขัน เช่น GM ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับ Toyota ในประเทศของตนเอง
2.3) หุ้นผู้นำถูกแทรกแซงการดำเนินงานจากรัฐบาล อาทิ การออกกฎหมายควบคุมราคาขายน้ำมันในประเทศ ทั้งๆที่ราคานอกประเทศขึ้นเอาๆ การออกกฎหมายควบคุมโควต้าการส่งออกด้วยเก็บภาษีที่หนักขึ้น
การมีนโยบายปรับโครงสร้างธุรกิจ (restructuring)ในอุตสาหกรรมเทเลคอม เพื่อให้ตัวเล็กๆสามารถแข่งขันได้ ฯลฯ
ผมว่าสำหรับ DCA ก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม(อีกแล้ว)ครับ
และเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้กับการลงทุนในกองทุนดัชนี
แบบกระจายความเสี่ยงตามอุตสาหกรรมโดยยึดหลักกองทุนดัชนี
เพียงแต่ Foucs จำนวนหุ้นให้น้อยลง เช่น จาก 50 ตัว
ให้เหลือประมาณ 10 ตัว โดย 10ตัวนั้นเป็น 10 ตัวที่น่าสนใจที่สุด
ของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมหรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็น 10 ตัวที่เรามั่นใจ
วิธีนี้น่าจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้นะครับ
( ส่วนตัวผมก็กะจะทดลองวิธีนี้ในกระดานเหมือนกันครับ
ไม่รู้จะได้ผลอย่างไร - - )
ANS เป็นแนวคิดที่ดีครับ เนื่องจากเราไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับกองทุน พี่เองก็อยากทำวิธีนี้กับหุ้นต่างประเทศ คัดแต่หุ้นผู้นำแต่ละอุตสาหกรรมและนำมารวมกัน แต่ไม่มีโอกาส
1) กองทุนในไทยที่คล้ายๆกับที่น้อง kornjackrit เสนอมา ก็มี Jumbo 25 ของทหารไทย
2) เห็นด้วยครับ เป็นการกระจายความเสี่ยง industrial sectors แต่ focus บนตัวหุ้น
*** สิ่งที่น่ากลัวคือ
2.1) หุ้นผู้นำตัวนั้นอาจหลุดจาก index ได้ถ้าถูกตรวจพบเรื่องอื้อฉาว
อย่างเมื่อต้นปีเร็วๆๆนี้ Satyam computer ที่อินเดีย เพิ่งมาพบว่า มีการตกแต่งบัญชีในเรื่องผลกำไรเกินจริงติดต่อกันมาหลายปี ราคาหุ้นร่วงทีเดียวเกือบ 70% ภายในวันเดียวมั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) ตอนนี้กำลังมีการประมูลราคาเทคโอเวอร์ จากบริษัทต่างชาติอยู่ IBM เป็นหนึ่งในผู้ประมูลด้วยมั้ง ไม่รุ้ว่าหลังการซื้อขาย จะกลับมาอยู่ใน index หรือเปล่า
2.2) หุ้นผู้นำตัวนั้น mkt. share ลดลงทุกปีๆ โดยเสียให้กับคู่แข่ง เนื่องจากการดำเนินงานที่ขาดประสิทธิภาพหลายปีติดต่อกัน ไม่ได้ปรับกลยุทธในการแข่งขัน เช่น GM ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับ Toyota ในประเทศของตนเอง
2.3) หุ้นผู้นำถูกแทรกแซงการดำเนินงานจากรัฐบาล อาทิ การออกกฎหมายควบคุมราคาขายน้ำมันในประเทศ ทั้งๆที่ราคานอกประเทศขึ้นเอาๆ การออกกฎหมายควบคุมโควต้าการส่งออกด้วยเก็บภาษีที่หนักขึ้น
การมีนโยบายปรับโครงสร้างธุรกิจ (restructuring)ในอุตสาหกรรมเทเลคอม เพื่อให้ตัวเล็กๆสามารถแข่งขันได้ ฯลฯ
ผมว่าสำหรับ DCA ก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม(อีกแล้ว)ครับ
และเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้กับการลงทุนในกองทุนดัชนี
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 80
55+ เห็นด้วยครับพี่Voldtrest เขียน:^^ ลืมไปเลยว่า หัวข้อนี้ AMWAY นี่หว่า งั้นเรามารอฟังคุณ MMX ตอบดีไหม
ผมเองก็ต้องขอโทษที่ผมก็ชวนคุยออกนอกเรื่องซะเยอะ
-*-
:oops: :oops:
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 81
เข้าไปอ่านในเว็บ Pantip มาครับขอวิเคราะห์โดยใช้หลักการของ Dr. Edward de Bono คิดโดยสวมหมวกทั้ง 6 ใบ ด้วยแนวคิดที่เป็นกลางนะครับ
ลองสวมหมวกสีขาว (คิดเป็นกลาง ดู data ดู information)
- มีคนทำได้จริง ถึงระดับเพชรหลายคน
- ของคุณภาพดีจริง ใช้ได้นานกว่าของในท้องตลาดจริง
- สินค้าทุกอย่างมีวิธีใช้ ใช้เป็น
- ราคาสมกับเวลาที่ใช้ของไปจริง ถ้าใช้เป็น
- องค์กรมีอยู่จริง
- อัตราคนที่สำเร็จ : คนที่ล้มเหลว(ล้มเลิก) ไม่ถึง 10%
- สินค้าไม่โฆษณา (ตอนนี้มีโฆษณาแล้วบางตัว) ทำให้ไม่เสียค่าการตลาด กำไรตกที่ตัวนักธุรกิจ
- นักธุรกิจต้องใช้ด้วย ถึงจะขายได้ แนะนำได้
- ต้องพูดเป็น(พูดเป็น ต่างกับพูดเก่งนะ) สาธิตเป็น แนะนำเป็น แบ่งเวลาเป็น ใจกล้า
ลองสวมหมวกสีแดง (คิดแบบใช้อาร์มณ์ ความคิดเห็นส่วนตัว<-ของหลายๆคน)
- ของแพงกว่าท้องตลาด แพงเกินซื้อไม่ไหว
- สินค้าบางตัวไม่จำเป็นต้องใช้
- ไม่จริงใจ
- เสียเวลาส่วนตัวมากไป
- ไม่เหมาะกับตัวเอง
- ไปแล้วรู้สึกไม่ชอบ
- กิเลสไม่จบสิ้น แนะนำเพราะหวังขยาย downline
- ต้องลองผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ต้องซื้อใช้เสียเงินโดยใช่เหตุ
- มีการให้กำลังใจว่าทำเป็นทีม แต่หัวหน้าทีมยังไงก็หวังผลประโยชน์จากลูกทีมแหละ
- อาหารเสริมบางอย่างไม่จำเป็น อาจจำเป็นสำหรับบางวัย
ลองสวมหมวกสีดำ (คิดแบบระวังภัย ระแวงอันตรายแง่ร้าย)
- องค์กรมีสิทธิ์ล่มสลาย (โดยก่อการร้าย วางระเบิด หุ้นตกทั่วโลก เกิดภัยธรรมชาติกับบริษัทแม่ นโบยายกีดกันทางการค้า)
- ตายก่อนได้เงินเดือน
- โดนเพื่อน ญาติ คนรู้จัก ไม่ชอบ
- กลับบ้านดึกโดนโจรจี้ ไม่สบายเพราะพักผ่อนน้อย นอนน้อย
- ถ้าทำสำเร็จแล้วหยุดแล้ว ไม่ซื้ออะไรเลย ไม่ยุ่งอีกเลย จะได้เงินเดือนจริงหรือ
- เสียตังค์ค่าอบรมมากมาย บางอย่างอ่านหนังสือเอาหรือศึกษาจากที่อื่นก็ได้
- รู้จักคนมากขึ้น จาเจอเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ ทำให้จิตใจเสีย
- เงินตราไหลออกนอกประเทศหมด เสียดุล
- คนที่ทำแล้วล้มเหลว เสียเงินมากมายเลยนะ ลองอ่านกรณีศึกษาของคนล้มเหลว(ที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง)ในเนตดู
- ในกรณีล้มเหลว เท่ากับเสียเวลามากมาย แต่ได้บทเรียนราคาแพง
ลองสวมหมวกสีเหลือง (คิดแบบ positive มองโลกแง่ดี ตรงข้ามกับหมวกดำ)
- ทำสำเร็จแล้วสบายมีเงินใช้ตลอดชีวิตชั่วลูกชั่วหลาน
- ได้ไปเที่ยวต่างประเทศฟรีด้วย
- มีอบรมเยอะมากมาย ได้ความรู้ ได้พัฒนาตัวเอง
- ได้รู้จักคนมากขึ้น เรียนรู้มากขึ้น
- ใช้ของเป็นแล้วคุ้ม
ลองสวมหมวกสีเขียว (คิดแบบ creative สร้างสรรค์สิ่งใหม่)
- ถ้าไม่ทำ amway ทำอย่างอื่นมีอะไรมั่นคงรึป่าว
- ลองหาอะไรทำที่เป็นส่วนตัว งานอิสระ งานที่ชอบ งานที่ทำแล้วมีความสุข
- จบอะไรมา ไม่จำเป็นต้องทำงานเกี่ยวกับที่จบก็ได้ ลองงานอื่นๆดูบ้าง
- การเรียนรู้มีหลายแบบ มองให้ออก เรียนให้เป็น คิดให้เป็น ทำในสิ่งใหม่ๆ
ลองสวมหมวกสีฟ้า (คิดแบบมองภาพรวม สรุป ไม่ลงรายละเอียด)
amway เป็นองค์กรใหญ่ มั่นคง คนประสบความสำเร็จมาก คนล้มเหลวก็มาก มีเครือข่ายทั่วโลก
ของสิ่งเดียว มีหลายมุม ขึ้นอยู่กับว่าคุณสวมหมวกใบไหนมองอยู่ (อย่าใส่หลายใบแล้วพิจารณาพร้อมกัน เพราะคุณจะโดนอคติบังจนแยกแยะเหตุผลและอารมณ์ไม่ออก)
จากคุณ : ShinchanX - [ 30 ม.ค. 52 11:31:49 ]
ผมเห็นว่าความคิดเห็นนี้ดีนะครับ
เลยอยากเอามาโพสต์ไว้ที่นี้
[/quote]
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- sathaporne
- Verified User
- โพสต์: 1661
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 82
ไม่มีความคิดเห็นอะไรมากครับ
จริงๆ ผมก็เคยทำ amway มาก่อน แต่ผมก็ไม่ประสบความสำเร็จหรอกครับ แล้วก็เลิกไป (ภาษา amway เรียกว่าหลับ)
แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับ amway เลย ผมก็ยังใช้ผลิตภัณฑ์ของ amway อยู่ ที่บ้านผมก็ชอบสินค้า amway
เจอคนที่ทำamway ผมก็ยังคุยกับเขาเหมือนปกติ โดยที่เขาก็ไม่ได้มาตื๊อให้ผมทำต่อเลย (ผมอาจจะเจอแต่คนดีที่ทำถูกหลักการก็ได้)
นี่ถ้า amway อยู่ในตลาดหุ้น ผมก็คงซื้อ (ชักจะเหมือนเชียร์มากเกินไปแล้วแฮะ)
เพียงแต่ผมคิดว่า (ก็คงเป็นเหตุผล (หรือข้ออ้าง)เหมือนหลายคนที่หลับ (เลิก) ไปมั้ง) ว่ามันไม่เหมาะกับเรา มันเป็นการฝืนเกินไปกว่าจะไปถึงจุดหมาย
แน่นอน ผมก็หมดเงินไปเยอะ (ค่าอบรม ค่าเดินทาง ค่าสินค้า ฯลฯ ซึ่งผมก็ทำมาประมาณ 2ปี) แต่สิ่งที่ผมได้มาก็คือ มันช่วยเปิดกรอบความคิดมากขึ้นจากที่คนที่ไม่ค่อยยอมรับอะไรเลย ทำให้ผมเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ (ไม่ใช่แค่เรื่องamway)
หรือแม้กระทั่งเรื่องการลงทุนเองก็ตาม ผมว่าถ้าผมไม่เจอamway ผมก็คงอาจจะยังไม่เจอเส้นทางนี้ (ถ้าในทางศาสนาคริสต์ เขาถือว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางไว้ให้)
ทำให้ผมรู้แล้วว่าผมชอบอะไร (เพิ่งรู้ แต่หลังจากนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ถ้าเดินมาสักพักและพบว่าไม่ใช่) และจะมุ่งหน้าไปยังไงโดยไม่เดินเหมือนไม่มีหลักแบบที่ผ่านมา
และแน่นอนเราพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ แต่คงไม่ขวนขวายมองหาแต่สิ่งใหม่ๆ จนทำให้เราไขว้เขวไปจากทางที่เราตั้งใจไว้
ก็คงเท่านี้มั๊งครับ ผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดของamway หรอกครับ
ไว้ให้คุณMMX มาพูดดีกว่า เพราะผมก็หลับไปหลายปีแล้ว
จริงๆ ผมก็เคยทำ amway มาก่อน แต่ผมก็ไม่ประสบความสำเร็จหรอกครับ แล้วก็เลิกไป (ภาษา amway เรียกว่าหลับ)
แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับ amway เลย ผมก็ยังใช้ผลิตภัณฑ์ของ amway อยู่ ที่บ้านผมก็ชอบสินค้า amway
เจอคนที่ทำamway ผมก็ยังคุยกับเขาเหมือนปกติ โดยที่เขาก็ไม่ได้มาตื๊อให้ผมทำต่อเลย (ผมอาจจะเจอแต่คนดีที่ทำถูกหลักการก็ได้)
นี่ถ้า amway อยู่ในตลาดหุ้น ผมก็คงซื้อ (ชักจะเหมือนเชียร์มากเกินไปแล้วแฮะ)
เพียงแต่ผมคิดว่า (ก็คงเป็นเหตุผล (หรือข้ออ้าง)เหมือนหลายคนที่หลับ (เลิก) ไปมั้ง) ว่ามันไม่เหมาะกับเรา มันเป็นการฝืนเกินไปกว่าจะไปถึงจุดหมาย
แน่นอน ผมก็หมดเงินไปเยอะ (ค่าอบรม ค่าเดินทาง ค่าสินค้า ฯลฯ ซึ่งผมก็ทำมาประมาณ 2ปี) แต่สิ่งที่ผมได้มาก็คือ มันช่วยเปิดกรอบความคิดมากขึ้นจากที่คนที่ไม่ค่อยยอมรับอะไรเลย ทำให้ผมเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ (ไม่ใช่แค่เรื่องamway)
หรือแม้กระทั่งเรื่องการลงทุนเองก็ตาม ผมว่าถ้าผมไม่เจอamway ผมก็คงอาจจะยังไม่เจอเส้นทางนี้ (ถ้าในทางศาสนาคริสต์ เขาถือว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางไว้ให้)
ทำให้ผมรู้แล้วว่าผมชอบอะไร (เพิ่งรู้ แต่หลังจากนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ถ้าเดินมาสักพักและพบว่าไม่ใช่) และจะมุ่งหน้าไปยังไงโดยไม่เดินเหมือนไม่มีหลักแบบที่ผ่านมา
และแน่นอนเราพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ แต่คงไม่ขวนขวายมองหาแต่สิ่งใหม่ๆ จนทำให้เราไขว้เขวไปจากทางที่เราตั้งใจไว้
ก็คงเท่านี้มั๊งครับ ผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดของamway หรอกครับ
ไว้ให้คุณMMX มาพูดดีกว่า เพราะผมก็หลับไปหลายปีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 84
สวัสดีคับผมเป็นคนที่ยังไม่ค่อยมีความสันทัดในด้านหารลงทุนและด้านกระดานถามตอบแบบนี้อะนะคับเพราะฉะนั้นผิดพลาดประการใดขออภัยในณที่นี้ไว้ก่อนเลยแล้วกัน
คือตอนนี้ผมศึกษาธุรกิจเครือข่าย(mlm)อยู่หลายตัวอยู่นะครับซึ่งรูปแบบของมันมีทั้งดีบ้างแย่บ้างปะปนกันไปเพราะว่าmlmเป็นเพียงเครื่องมือทางการตลาดทีดีในรูแปบบหนึ่งแต่การที่จะให้มันยุติธรรมนั้นต้องมีข้อตกลงที่รัดกุมและเป็นธรรมที่เพียงพอจึงจะเป็นธุรกิจที่ดีและถูกต้องได้ครับ
ขอยกตัวอย่างอันที่ถูกพาดพิงละกันนะครับ
แอมเวย์มันดียังไงก่อนอื่นเลยผมต้องขอบอกก่อนว่ารายได้ของแอมเวย์และรายได้ของคนทำที่จะได้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ขอให้ดูธุรกิจโดยทั่วไปก่อนนะครับ ธุรกิจโดยทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเมื่อผลิตสินค้าเค้าก็จะได้เงินประมาณ40%ของๆราคาที่เราซื้อกัน
อีก60%จะอยู่ที่การโฆษณา ยี่ปั้ว ซาปั้ว และร้านค้ารายย่อยต่างๆ
เมื่อเป็นแบบนี้ก็เห็นได้ว่าเงิน60%ของราคาสินค้าหายไปกับสิ่งพวกนี้มากพอสมควร
ดังนั้นจึงเกิดธุรกิจที่คิดจะรับทั้ง60%นี้ไว้นั้นคือห้างสรรพสินค้าต่างๆ
ห้างสรรพสินค้าสามารถลงโฆษณาครั้งเดียวแต่สามารถดึงคนให้มาซื้อของได้หลายชนิดดังนั้นเงินในส่วนนี้จึงเป็นของเค้าไปโดยที่เสียค่าโฆษณาและอย่างอื่นอีกเพียงเล็กน้อย
เมื่อเป็นแบบนี้ธุรกิจบางธุรกิจจึงเล็งเห็นว่าถ้าเราสามารถได้60%เนของเราละจะทำอย่างไรจึงเกิดเป็นฑุรกิจเครือข่ายขึ้นมาครับ
เข้าเรื่องนะครับธุรกิจเครือข่ายของแอมเวย์คือการที่เขาสนใจที่จะเอาเงิน60%ดังกล่าวให้กับคนมากกว่าร้านค้าโดยเค้าขอส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งนั้นก็คือ30%:30% ระหว่างบริษัทแอมเวย์และผู้ทำนั่นเอง
ซึ่งเงิน30%ที่เราจะได้มีหลายทางด้วยกันซึ่งเมื่อผลออกมารายได้ที่ได้ในบางคนอาจมากกว่า30%และรายได้ของคนบางคนอาจไม่ถึง30%ซึ่งรายได้ในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับทำมานานเท่าใดมากกว่า
นั้นก็คือ
รายได้ที่เราจะได้จากแอมเวย์นั้นมีด้วยกันทั้งหมด10ทางคือ
1.การขายเราได้~25%ของราคาสินค้าทันทีที่ขายได้
โดยที่แอมเวย์มีค่าBV AV PVการได้ของเงินเราทั้งหมดจะมีคะแนนเหล่านี้เกี่ยวข้องด้วยครับเริ่มจาก
- BV มันเป็นราคาสินค้าจริงที่ผู้บริโภคต้องแบกรับตามท้องตลาดหรือที่เรียกสั้นๆว่าราคาขายนั้นเอง
- AV คือราคาที่ผู้จำหน่ายซื้อซึ่งโดยมากจะเป็นราคาที่ถูกกว่าBV~25%
- PV คือคะแนนที่จะนำไปคิดเทียบเป็น%ต่อไปเมื่อถึงค่าที่กำหนดโดยทางแอมเวย๋กำหนดว่า2.5BV=1PV
2.รายได้ที่แอมเวย์เรียกว่าส่วนลด ซึ่งมีอัตราการได้อยู่ที่
3% 3000 PV
6% 10000 PV
9% 20000 PV
12% 35000 PV
15% 55000 PV
18% 90000 PV
21% 150000 PV
ขอให้สังเกตนะครับว่าการที่เราจะขาของให้ได้ถึง21%ด้วยตัวคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลยดังนั้นเลยเกิดเครือข่ายขึ้นมาครับ
โดย%จะแบ่งกันตามความเป็นจริงดังนี้
ขอสมมตชื่อคนเปนเลขนะครับให้01เป็นuplineของ02โดย01ทำยอดขายได้3000PVและ02ทำยอดขายได้7000PVซึ่งหมายความว่า02จะได้ส่วนลด3%
ซึ่ง=7000*2.5*3%=525บาทแต่01จะถือว่าทำยอดขายได้6%เพราะรวมยอดของ02ด้วยซึ่งหมายความว่า02จะได้เงิน=1500บาทแต่เพื่อความยุติธรรมยอดที่02ทำได้และได้ส่วนลด01ก็จำเป็นที่จะต้องให้เค้าไปด้วยเช่นกันดังนั้นเงินที่01ได้จะต้องหักเงินที่ตนเองได้มาให้02โดยการให้ก็คิดง่ายๆคือ=1500-525=975บาทนี้คือเงินที่01ได้จริงๆ
3.รายได้ที่ถือเป็นค่าลิขสิทธ์4%ซึ่งอัพไลน์จะเป็นคนได้ตามนยอดของดาวไลน์เมื่อดาวไลน์ถึง21%แล้วโดยสายงานของดาวไลน์จะถูกตัดออกไปทันทีและถือว่าดาวไลน์นั้นได้หมดพันธะกับอัพไลน์โดยสมบูรณ์ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้นให้อัพไลน์แล้ว เนื่องจาก4%ของยอดขายที่ดาวไลน์ทำได้แอมเวย์เป็นผู้จ่าย
การแซงกันทางธุรกิจและอื่นๆผมจะมาเขียนให้ดูในคราวหน้านะครับวันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อนละครับเนื่องจากผมติดธุระ ถ้ามีตัวใหนสงสัยในธุรกิจmlmก็ลองถามมานะครับตอบได้จะตอบให้ เนื่องจากผมสงสัยและลงไปเรียนรู้อยู่หลายตัวเหมือนกันเลยอาจตอบได้บ้าง - -
N
คือตอนนี้ผมศึกษาธุรกิจเครือข่าย(mlm)อยู่หลายตัวอยู่นะครับซึ่งรูปแบบของมันมีทั้งดีบ้างแย่บ้างปะปนกันไปเพราะว่าmlmเป็นเพียงเครื่องมือทางการตลาดทีดีในรูแปบบหนึ่งแต่การที่จะให้มันยุติธรรมนั้นต้องมีข้อตกลงที่รัดกุมและเป็นธรรมที่เพียงพอจึงจะเป็นธุรกิจที่ดีและถูกต้องได้ครับ
ขอยกตัวอย่างอันที่ถูกพาดพิงละกันนะครับ
แอมเวย์มันดียังไงก่อนอื่นเลยผมต้องขอบอกก่อนว่ารายได้ของแอมเวย์และรายได้ของคนทำที่จะได้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ขอให้ดูธุรกิจโดยทั่วไปก่อนนะครับ ธุรกิจโดยทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเมื่อผลิตสินค้าเค้าก็จะได้เงินประมาณ40%ของๆราคาที่เราซื้อกัน
อีก60%จะอยู่ที่การโฆษณา ยี่ปั้ว ซาปั้ว และร้านค้ารายย่อยต่างๆ
เมื่อเป็นแบบนี้ก็เห็นได้ว่าเงิน60%ของราคาสินค้าหายไปกับสิ่งพวกนี้มากพอสมควร
ดังนั้นจึงเกิดธุรกิจที่คิดจะรับทั้ง60%นี้ไว้นั้นคือห้างสรรพสินค้าต่างๆ
ห้างสรรพสินค้าสามารถลงโฆษณาครั้งเดียวแต่สามารถดึงคนให้มาซื้อของได้หลายชนิดดังนั้นเงินในส่วนนี้จึงเป็นของเค้าไปโดยที่เสียค่าโฆษณาและอย่างอื่นอีกเพียงเล็กน้อย
เมื่อเป็นแบบนี้ธุรกิจบางธุรกิจจึงเล็งเห็นว่าถ้าเราสามารถได้60%เนของเราละจะทำอย่างไรจึงเกิดเป็นฑุรกิจเครือข่ายขึ้นมาครับ
เข้าเรื่องนะครับธุรกิจเครือข่ายของแอมเวย์คือการที่เขาสนใจที่จะเอาเงิน60%ดังกล่าวให้กับคนมากกว่าร้านค้าโดยเค้าขอส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งนั้นก็คือ30%:30% ระหว่างบริษัทแอมเวย์และผู้ทำนั่นเอง
ซึ่งเงิน30%ที่เราจะได้มีหลายทางด้วยกันซึ่งเมื่อผลออกมารายได้ที่ได้ในบางคนอาจมากกว่า30%และรายได้ของคนบางคนอาจไม่ถึง30%ซึ่งรายได้ในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับทำมานานเท่าใดมากกว่า
นั้นก็คือ
รายได้ที่เราจะได้จากแอมเวย์นั้นมีด้วยกันทั้งหมด10ทางคือ
1.การขายเราได้~25%ของราคาสินค้าทันทีที่ขายได้
โดยที่แอมเวย์มีค่าBV AV PVการได้ของเงินเราทั้งหมดจะมีคะแนนเหล่านี้เกี่ยวข้องด้วยครับเริ่มจาก
- BV มันเป็นราคาสินค้าจริงที่ผู้บริโภคต้องแบกรับตามท้องตลาดหรือที่เรียกสั้นๆว่าราคาขายนั้นเอง
- AV คือราคาที่ผู้จำหน่ายซื้อซึ่งโดยมากจะเป็นราคาที่ถูกกว่าBV~25%
- PV คือคะแนนที่จะนำไปคิดเทียบเป็น%ต่อไปเมื่อถึงค่าที่กำหนดโดยทางแอมเวย๋กำหนดว่า2.5BV=1PV
2.รายได้ที่แอมเวย์เรียกว่าส่วนลด ซึ่งมีอัตราการได้อยู่ที่
3% 3000 PV
6% 10000 PV
9% 20000 PV
12% 35000 PV
15% 55000 PV
18% 90000 PV
21% 150000 PV
ขอให้สังเกตนะครับว่าการที่เราจะขาของให้ได้ถึง21%ด้วยตัวคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลยดังนั้นเลยเกิดเครือข่ายขึ้นมาครับ
โดย%จะแบ่งกันตามความเป็นจริงดังนี้
ขอสมมตชื่อคนเปนเลขนะครับให้01เป็นuplineของ02โดย01ทำยอดขายได้3000PVและ02ทำยอดขายได้7000PVซึ่งหมายความว่า02จะได้ส่วนลด3%
ซึ่ง=7000*2.5*3%=525บาทแต่01จะถือว่าทำยอดขายได้6%เพราะรวมยอดของ02ด้วยซึ่งหมายความว่า02จะได้เงิน=1500บาทแต่เพื่อความยุติธรรมยอดที่02ทำได้และได้ส่วนลด01ก็จำเป็นที่จะต้องให้เค้าไปด้วยเช่นกันดังนั้นเงินที่01ได้จะต้องหักเงินที่ตนเองได้มาให้02โดยการให้ก็คิดง่ายๆคือ=1500-525=975บาทนี้คือเงินที่01ได้จริงๆ
3.รายได้ที่ถือเป็นค่าลิขสิทธ์4%ซึ่งอัพไลน์จะเป็นคนได้ตามนยอดของดาวไลน์เมื่อดาวไลน์ถึง21%แล้วโดยสายงานของดาวไลน์จะถูกตัดออกไปทันทีและถือว่าดาวไลน์นั้นได้หมดพันธะกับอัพไลน์โดยสมบูรณ์ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้นให้อัพไลน์แล้ว เนื่องจาก4%ของยอดขายที่ดาวไลน์ทำได้แอมเวย์เป็นผู้จ่าย
การแซงกันทางธุรกิจและอื่นๆผมจะมาเขียนให้ดูในคราวหน้านะครับวันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อนละครับเนื่องจากผมติดธุระ ถ้ามีตัวใหนสงสัยในธุรกิจmlmก็ลองถามมานะครับตอบได้จะตอบให้ เนื่องจากผมสงสัยและลงไปเรียนรู้อยู่หลายตัวเหมือนกันเลยอาจตอบได้บ้าง - -
N
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อมูลเพิ่มเติมคับ
โพสต์ที่ 85
ตอนนี้มีบริษัทหลายบริษัทมากที่เป็นธุรกิจเครือข่ายเท่าที่ได้ยินมีมากเกือบ10ตัวกรืออาจมากกว่านั้น
แต่ผมรู้จัก4ตัว(โดนชวนหมดเลย4ตัว-*-) และกำลังศึกษาเกี่ยวกับมันเพราะอยากรู้คับ
ทั้งข้อดีข้อเสียและสาเหตุที่คนทำและความเห็นของคนทั้งในแง่+และ-
ตัวที่ผมรู้จักได้แก่amway(ตัวที่พูดถึงคิดว่าคงรู้จักกันแล้ว) unicity(เกี่ยวกับยาอะคับ) kangzen kengo(โดนเป็นตัวแรกๆไม่ได้สนใจฟังเลยไม่รูรายละเอียด- ) aviance (เกี่ยวกับเครื่องสำอาง ฯลฯครับอยู่ในเครือuniliver)
ซึ่งแต่ละตัวมีแผนการตลาดที่แตกต่างกันอย่างมากทีเดียว
อย่างunicityจะเป็นแผนการตลาดที่ผมคิดเลยว่ามันแย่มาก
หนักกว่าแอมเวย์อีกอะ เพราะจะมีการเน้นมากเลยนะครับกับการซื้อของในเดือนแรกและการชวนคน(บริษัทมีนโยบายให้ชวนคนวันละ3คนอย่างน้อย )
เหมือนกับพยายามขายของให้คนที่ชวนเลยว่าไหมคับและเท่าที่ผมทราบ
ของที่จะให้ซื้อในเดือนแรกมันตั้ง28,000เพื่ออะไรหรือคับการซื้อของจำนวนเท่านี้จะเป็นการได้VIP CODEไงละซึ่งมีผลให้พอสปอนเซอร์คนแล้วจะได้%มากขึ้นเมื่อdownlineขายของ พอเห็นอะไรไหมครับว่ารายได้พวกuplineสูงๆจะได้มาจากใหนได้จากผู้สมัครเริ่มต้นที่หวังVIP CODEแล้วซื้อของมาตุนไงละลองคิดง่ายๆเลยนะครับชวนคนเยอะๆถ้าคนต้องการทำสัก10คนเป็นVIP CODEสัก2-3คนuplineก็ไม่ต้องทำยอดขายแล้ว ลองคิดนะครับว่าสุดท้ายแล้วใครตายคนที่อยู๋ล่างๆไงครับเค้าจะขายของยังไงยานะครับ ยาไม่ขายง่ายๆหรอกจริงไหม(ถึงจะมีอาหารเสริมด้วยก็ตามแต่)
แต่จะยังไงก็ตามแต่ผมยังศึกษาแผนการตลาดของUNICITYไม่ทะลุปรุโปร่งพอไม่ว่ายังไงถ้าใครเจอถ้าคิดว่าไม่เสียเวลาไปฟังไว้ก่อนก็ไม่เสียหายครับแต่คงต้องฟังแบบตั้งสติดีๆนะครับไม่งั้นโดนล้างสมองเอาง่ายๆไม่ก็จะมีทัศณคติต่อมันในแง่ลบโดยที่ยังไม่เข้าใจแน่ๆ(แบบผม )
ส่วนอาวียองซ์aviance ผมยังไม่ทราบนะครับเพราะพึ่งโดนแต่ยังไม่เข้าไปศึกษา
ยังไงไม่ว่าใครตัดสินใจจะทำธุรกิจเครือข่ายจริงๆละก็ดูแผนการตลาดดีๆครับศึกษาในเชิงลึกด้วยก็ดีโดยส่วนตัวนะครับผมคิดว่าธุรกิจเครือข่ายถ้ามันมีแผนการตลาดที่ดีละก้อผมก็ไม่ได้รังเกียจธุรกิจประเภทนี้เลยครับ แต่แผนมันต้องดีจิงและคนทำที่ผมเจอต้องมีจรรยาบรรณมากๆนะครับไม่งั้นผมก็เบือนหน้าหนีเหมือนกัน :lol: :lol:
ยังไงลองศึกษาเพิ่มเติมกันดูนะครับใครเห็นแผนmlmตัวอื่นมาบอกกันด้วยก็ดีนะครับ
แต่ผมรู้จัก4ตัว(โดนชวนหมดเลย4ตัว-*-) และกำลังศึกษาเกี่ยวกับมันเพราะอยากรู้คับ
ทั้งข้อดีข้อเสียและสาเหตุที่คนทำและความเห็นของคนทั้งในแง่+และ-
ตัวที่ผมรู้จักได้แก่amway(ตัวที่พูดถึงคิดว่าคงรู้จักกันแล้ว) unicity(เกี่ยวกับยาอะคับ) kangzen kengo(โดนเป็นตัวแรกๆไม่ได้สนใจฟังเลยไม่รูรายละเอียด- ) aviance (เกี่ยวกับเครื่องสำอาง ฯลฯครับอยู่ในเครือuniliver)
ซึ่งแต่ละตัวมีแผนการตลาดที่แตกต่างกันอย่างมากทีเดียว
อย่างunicityจะเป็นแผนการตลาดที่ผมคิดเลยว่ามันแย่มาก
หนักกว่าแอมเวย์อีกอะ เพราะจะมีการเน้นมากเลยนะครับกับการซื้อของในเดือนแรกและการชวนคน(บริษัทมีนโยบายให้ชวนคนวันละ3คนอย่างน้อย )
เหมือนกับพยายามขายของให้คนที่ชวนเลยว่าไหมคับและเท่าที่ผมทราบ
ของที่จะให้ซื้อในเดือนแรกมันตั้ง28,000เพื่ออะไรหรือคับการซื้อของจำนวนเท่านี้จะเป็นการได้VIP CODEไงละซึ่งมีผลให้พอสปอนเซอร์คนแล้วจะได้%มากขึ้นเมื่อdownlineขายของ พอเห็นอะไรไหมครับว่ารายได้พวกuplineสูงๆจะได้มาจากใหนได้จากผู้สมัครเริ่มต้นที่หวังVIP CODEแล้วซื้อของมาตุนไงละลองคิดง่ายๆเลยนะครับชวนคนเยอะๆถ้าคนต้องการทำสัก10คนเป็นVIP CODEสัก2-3คนuplineก็ไม่ต้องทำยอดขายแล้ว ลองคิดนะครับว่าสุดท้ายแล้วใครตายคนที่อยู๋ล่างๆไงครับเค้าจะขายของยังไงยานะครับ ยาไม่ขายง่ายๆหรอกจริงไหม(ถึงจะมีอาหารเสริมด้วยก็ตามแต่)
แต่จะยังไงก็ตามแต่ผมยังศึกษาแผนการตลาดของUNICITYไม่ทะลุปรุโปร่งพอไม่ว่ายังไงถ้าใครเจอถ้าคิดว่าไม่เสียเวลาไปฟังไว้ก่อนก็ไม่เสียหายครับแต่คงต้องฟังแบบตั้งสติดีๆนะครับไม่งั้นโดนล้างสมองเอาง่ายๆไม่ก็จะมีทัศณคติต่อมันในแง่ลบโดยที่ยังไม่เข้าใจแน่ๆ(แบบผม )
ส่วนอาวียองซ์aviance ผมยังไม่ทราบนะครับเพราะพึ่งโดนแต่ยังไม่เข้าไปศึกษา
ยังไงไม่ว่าใครตัดสินใจจะทำธุรกิจเครือข่ายจริงๆละก็ดูแผนการตลาดดีๆครับศึกษาในเชิงลึกด้วยก็ดีโดยส่วนตัวนะครับผมคิดว่าธุรกิจเครือข่ายถ้ามันมีแผนการตลาดที่ดีละก้อผมก็ไม่ได้รังเกียจธุรกิจประเภทนี้เลยครับ แต่แผนมันต้องดีจิงและคนทำที่ผมเจอต้องมีจรรยาบรรณมากๆนะครับไม่งั้นผมก็เบือนหน้าหนีเหมือนกัน :lol: :lol:
ยังไงลองศึกษาเพิ่มเติมกันดูนะครับใครเห็นแผนmlmตัวอื่นมาบอกกันด้วยก็ดีนะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความรู้เพิ่มเติมที่มอบให้
และจะเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่ไม่ย้อท้อ
N
และจะเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่ไม่ย้อท้อ
N
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 86
อย่างunicityจะเป็นแผนการตลาดที่ผมคิดเลยว่ามันแย่มาก
หนักกว่าแอมเวย์อีกอะ
แค่สงสัยว่าคุณ revlis หมายความว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ แล้ว ของunicity แย่หนักกว่าใช่มั้ยครับ
ถ้าใช่ ขอความเห็นด้วยครับ ว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ตรงจุดไหน
หนักกว่าแอมเวย์อีกอะ
แค่สงสัยว่าคุณ revlis หมายความว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ แล้ว ของunicity แย่หนักกว่าใช่มั้ยครับ
ถ้าใช่ ขอความเห็นด้วยครับ ว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ตรงจุดไหน
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 87
มานั่งฟังเป็นนักเรียนเหมือนเดิม
:D
ปล.ขอบคุณคุณ Revils ที่มาช่วยแสดงความเห็นนะครับ
:D
ปล.ขอบคุณคุณ Revils ที่มาช่วยแสดงความเห็นนะครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 88
ในมุมมองนั้นผมมองว่าแผนการตลาดของแอมเวย์ไม่ได้อยู่ในขั้นที่แย่นะครับ
แต่คนส่วนใหญ่มองว่าแย่และคนทำที่ถูกลากมาแบบไประสบการณ์อีกต่างหากนะครับทีทำให้แอมเวย์ดูแย่ไปเนื่องจากมีคนที่ทำไม่เป็นอยู่เยอะมั่งครับ
ผมโดนคนชวนทำแอมเวย์หลายคนเห็นคนหลายคนที่มีทัศนะคติแตกต่างกันในธุรกิจนี้ผมขอยกตัวอย่างไม่ดีก่อนนะครับ
1 คนที่ทำเพื่อหวังยอดขายจากดาวไลน์ซึ่งถ้าอัพไลน์ไม่ขายของเลยดาวไลน์จะกล้าขายไหมละครับการขายของที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจก็เจ๋งหรือถ้าดาวไลน์ขายของจริงเค้าจะมองอัพไลน์ยังไง(เปนผมๆจะมองว่ามันกินแต่ยอดขายผมไม่ก็เพื่อนๆดาวไลน์นี้หว่า)ซึ่งถ้าอยู่ในระดับสูงมากๆธุรกิจอในองกรค์อยู่ตัวก็ไม่แปลกแต่ที่ผมเจอมันก็พึ่งเริ่มทำซึ่งไม่ดีแน่นอนถ้าเป็นแบบนั้น
2 คนที่ขายอย่างเดียวไม่สปอนเซอร์อันนี้คือไดเรคเซล์ของแท้เลยครับอัพไลน์อาจจะชอบนะครับแต่ถ้าคุณเป็นดาวไลน์เค้ามันคงไม่สวยแน่ๆเพราะเค้าจะไม่สามารถบอกแผนการตลาดวิธีคุยกับคนเหลือวิธีต่างๆในการสปอนเซอร์ได้เลย
3 พวกที่ทำไม่เป็นไม่ขายของแต่อยากเพิ่มยอดเลยกักตุนสินค้าและหาดาวไลนืเพื่อระบายสินค้าในส่วนของตนเองออกกรณีที่แย่ที่สุดเลยนะครับผมไปเจอมาคนๆนี้ที่ทำอยู่เลิกทำไปแล้วเพราะเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่เยอะมาก(ประมาณ5-6หลักเห็นจะได้)ส่วนดาวไลน์โดยมากก็จะทำตามอัพไลน์ก็ดป็นหนี้อยู่เช่นกัน
4 พวกที่ทำเป็นนะครับชวนคนและขายของสต้อกบ้างถ้าของชิ้นนั้นมียอดสั่งซื้อสม่ำเสมอและมีความอดทนไม่จำเป็นต้องสนเลยครับว่าเราจะขายของได้มากหรือน้อย(การที่เราจะทำจิงๆนะครับเราน่าจะเริ่มแบบpart timeก่อนคือมีงานอื่นเป็นอาชีพหลักด้วยถึงจะไปรอดครับไม่งั้นคงไม่ไหวเพราะแรกๆเท่าที่ผมเห็นไม่มีใครมีรายได้เกินหลักพันเลยในการเริ่มต้นยกเว้นคนที่เก่งมากและสนใจมากจริงๆแบบ1,000,000คนมีสักคน)
โดยส่วนมากเลยนะครับคนที่ทำพวกนี้แล้วชวนคนมาทำนั้นทำไม่เป็นครับ เพราะตามที่เค้าบอกมานะครับตอนนี้แอมเวย์มีสมาชิกกว่าล้านคนแต่คนที่ทำเป็นจริงๆมีไม่ถึง20,000 สำเร็จประมาณ3000-5000เพราะฉะนั้นผมไม่เถียงเลยครับว่าคุณควรจะหาอัพไลน์ที่ทำเป็นมาเป็นอัพไลน์แต่นั้นเพียงพอแล้วครับ นั้นเพราะการที่คุณหาอัพไลน์ที่เปนระดับสูงมากๆมว่าตามหลักแล้วเค้าจะไปสนคนที่ทำก่อนหน้าเราที่สร้างยอดให้เค้าได้มากกว่าก่อนจะมาถึงตัวเรา ซึ่งตามที่ผมเคยเค้าใปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเห็นว่าคนที่อยู่สายงานอื่นเราก็คุยกับเค้าได้นะครับ รบกวนบางอย่างก็ได้(ก็เห็นเพื่อนที่ชวนผมมันไปขอให้เค้ามารับ ช่วยนู้นช่วยนี้หยั่งกะเป็นอัพไลน์เลยอะ)ซึ่งของแบบนี้ตามผมคิดนะมันอยู่ที่มนุษยสัมพันมากกว่าครับใครคุยกับคนง่ายก็จะมีคนมาช่วยเรามากหน่อยเท่านั้นเองบางทีถ้าอัพไลน์ทำไม่เป็นอัพไลน์สูงๆก็จะลงมาช่วยเองแหละ(อย่างผมเค้างานไปเพื่อนไม่โทรมาตามมีแต่อัพไลน์ระดับสูงก็โทรมา บอกให้ถ้าพร้อมก็สมัคร ศึกษาไปก่อนก็ได้เข้ามาเซ็นเตอร์บ่อยๆ)ซึ่งในความคิดผมนะแอมเวย์ดีแต่ไม่ควรรีบสมัครจะสมัครก็ต่อเมื่อคุณมีความสามารถขายของและชวนคนได้แล้วดีกว่า ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องคุยกับคนที่จะเป็นอัพไลน์ให้ดีๆนะครับอัพไลน์ระดับสูงๆด้วย
และที่ผมมองว่าunicityไม่ดีเพราะแผนการตลาดของเค้าเป็นโปรเจคที่เรียกว่าhappy life ซึ่งประกันรายได้เราที่1แสนภายในระยะเวลาหนึ่ง(ผมจำไม่ได้นะครับว่ากี่เดือน)ซึ่งคุณจะต้องชวนคนเข้ามาวันละ3คนเป็นอย่างน้อยและมีเงื่อนไขอย่างอื่นอีกที่ทำให้มันดูเป็นธุระกิจลูกโช่ที่หาเงินจากคนที่เป็นdownlineระดับต่ำๆมากเกินไปครับ เงื่อนไขอื่นๆที่ว่าก็เช่นการที่เริ่มสมัครหากต้องการVIP CODEต้องซื้อของมากกว่า~28,000ภายใน1เดือนมันเลยทำให้ดูน่าชวนคนมาสมัครเป็นVIP CODEเพื่อได้ยอดขายจากส่วนนี้มากกว่าที่จะขายของนะครับ
อนึ่งตามความรู้สึกส่วนตัวของผมแล้วยังไงธุรกิจประเภทนี้รายได้พื้นฐานก็ต้องเป็นการขายครับเพราะไม่ว่าเราจะขายของได้หรือให้คนในองกรขายเพื่อทำยอดก็ตามแต่การที่เราจะได้เงินซึ่งเป็นส่วนลดจากราคาสินค้านั้น(เงินที่เราได้มาจะมากจะน้อยก็ตามแต่)คนในองค์กรก็ต้องขายของครับ
[quote="anaconda"]อย่างunicityจะเป็นแผนการตลาดที่ผมคิดเลยว่ามันแย่มาก
หนักกว่าแอมเวย์อีกอะ
แค่สงสัยว่าคุณ revlis หมายความว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ แล้ว ของunicity แย่หนักกว่าใช่มั้ยครับ
ถ้าใช่ ขอความเห็นด้วยครับ ว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ตรงจุดไหน[/quote]
แผนการตลาดของแอมเวย์ไม่ได้แย่หรอกครับแต่ให้ผมมองมันไม่เหมาะกับคนไทยที่ชอบสบายจนเกินเหตุซึ่งจะทำให้เอาแต่ชวนคนโดยไม่ขายของมากกว่าซึ่งแบบนั้นจะทำให้คนเข้าใจแอมเวย์ผิดซึ่งแผนเค้าก็ดีมากแล้วนะครับในหลายๆอย่างซึ่งผมก็ยอมรับในจุดนั้นส่วนunicityผมมองว่ามันไม่ดีที่แผนการตลาดนะครับซึ่งผมมองว่ามันจะทำให้เกิดการสต้อกของมากไปและไม่เกินการขายในdownlieระดับล่างๆนะครับคือยังไม่ฝึกขายของแต่ต้องมาสต้อกของมูลค้ากว่า30,000ไปขายไม่ว่ามองยังไงคนด้านล่างก็ไม่น่าขายของได้ง่ายๆเลยทำให้สินค้าไปตกอยู่ที่ผู้ขายระดับล่างมากกว่าที่จะตกไปยังผู้บริโภคครับจุดนี้ที่ทำให้ผมไม่ชอบแผนการตลาดของunicity เพราะผมเชื่อนะครับถ้าผมเข้าไปทำunicityมันจะทำให้ผมชวนคนอย่างเดียวไม่ขายของครับลองคิดดูสิครับชวนคนได้ยอดตั้งกว่า30,000ขายของเต็มที่เครื่องกรองอากาศก็คงราวหมื่นกว่าถึงสองหมื่นบาทเองจริงไหมครับแล้วพอขายเรายังต้องไปคอยดูแลลด้วยนะครับแต่ไม่ได้เงินเพิ่มถ้าชวนคนยังเพื่อว่าลูกค่ายเราชวนคนเพิ่มเป็นVIPไปเรื่อยๆๆๆๆๆเราก็ได้ยอดมาเรื่อยๆเหมือนกัน จากdowlineล่างๆลงไปอีกแผนแบบนี้ทำให้มันดูไม่ค่อยจะดีนักนะครับในสายตาของผม
ปล.ผมกำลังจะไปฟังแผนการตลาดของอีกบริษัทตามที่คนที่ผมสนิทชวนยังไงเมื่อฟังเสร็จจะเข้ามาบอกต่อครับ
แต่คนส่วนใหญ่มองว่าแย่และคนทำที่ถูกลากมาแบบไประสบการณ์อีกต่างหากนะครับทีทำให้แอมเวย์ดูแย่ไปเนื่องจากมีคนที่ทำไม่เป็นอยู่เยอะมั่งครับ
ผมโดนคนชวนทำแอมเวย์หลายคนเห็นคนหลายคนที่มีทัศนะคติแตกต่างกันในธุรกิจนี้ผมขอยกตัวอย่างไม่ดีก่อนนะครับ
1 คนที่ทำเพื่อหวังยอดขายจากดาวไลน์ซึ่งถ้าอัพไลน์ไม่ขายของเลยดาวไลน์จะกล้าขายไหมละครับการขายของที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจก็เจ๋งหรือถ้าดาวไลน์ขายของจริงเค้าจะมองอัพไลน์ยังไง(เปนผมๆจะมองว่ามันกินแต่ยอดขายผมไม่ก็เพื่อนๆดาวไลน์นี้หว่า)ซึ่งถ้าอยู่ในระดับสูงมากๆธุรกิจอในองกรค์อยู่ตัวก็ไม่แปลกแต่ที่ผมเจอมันก็พึ่งเริ่มทำซึ่งไม่ดีแน่นอนถ้าเป็นแบบนั้น
2 คนที่ขายอย่างเดียวไม่สปอนเซอร์อันนี้คือไดเรคเซล์ของแท้เลยครับอัพไลน์อาจจะชอบนะครับแต่ถ้าคุณเป็นดาวไลน์เค้ามันคงไม่สวยแน่ๆเพราะเค้าจะไม่สามารถบอกแผนการตลาดวิธีคุยกับคนเหลือวิธีต่างๆในการสปอนเซอร์ได้เลย
3 พวกที่ทำไม่เป็นไม่ขายของแต่อยากเพิ่มยอดเลยกักตุนสินค้าและหาดาวไลนืเพื่อระบายสินค้าในส่วนของตนเองออกกรณีที่แย่ที่สุดเลยนะครับผมไปเจอมาคนๆนี้ที่ทำอยู่เลิกทำไปแล้วเพราะเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่เยอะมาก(ประมาณ5-6หลักเห็นจะได้)ส่วนดาวไลน์โดยมากก็จะทำตามอัพไลน์ก็ดป็นหนี้อยู่เช่นกัน
4 พวกที่ทำเป็นนะครับชวนคนและขายของสต้อกบ้างถ้าของชิ้นนั้นมียอดสั่งซื้อสม่ำเสมอและมีความอดทนไม่จำเป็นต้องสนเลยครับว่าเราจะขายของได้มากหรือน้อย(การที่เราจะทำจิงๆนะครับเราน่าจะเริ่มแบบpart timeก่อนคือมีงานอื่นเป็นอาชีพหลักด้วยถึงจะไปรอดครับไม่งั้นคงไม่ไหวเพราะแรกๆเท่าที่ผมเห็นไม่มีใครมีรายได้เกินหลักพันเลยในการเริ่มต้นยกเว้นคนที่เก่งมากและสนใจมากจริงๆแบบ1,000,000คนมีสักคน)
โดยส่วนมากเลยนะครับคนที่ทำพวกนี้แล้วชวนคนมาทำนั้นทำไม่เป็นครับ เพราะตามที่เค้าบอกมานะครับตอนนี้แอมเวย์มีสมาชิกกว่าล้านคนแต่คนที่ทำเป็นจริงๆมีไม่ถึง20,000 สำเร็จประมาณ3000-5000เพราะฉะนั้นผมไม่เถียงเลยครับว่าคุณควรจะหาอัพไลน์ที่ทำเป็นมาเป็นอัพไลน์แต่นั้นเพียงพอแล้วครับ นั้นเพราะการที่คุณหาอัพไลน์ที่เปนระดับสูงมากๆมว่าตามหลักแล้วเค้าจะไปสนคนที่ทำก่อนหน้าเราที่สร้างยอดให้เค้าได้มากกว่าก่อนจะมาถึงตัวเรา ซึ่งตามที่ผมเคยเค้าใปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเห็นว่าคนที่อยู่สายงานอื่นเราก็คุยกับเค้าได้นะครับ รบกวนบางอย่างก็ได้(ก็เห็นเพื่อนที่ชวนผมมันไปขอให้เค้ามารับ ช่วยนู้นช่วยนี้หยั่งกะเป็นอัพไลน์เลยอะ)ซึ่งของแบบนี้ตามผมคิดนะมันอยู่ที่มนุษยสัมพันมากกว่าครับใครคุยกับคนง่ายก็จะมีคนมาช่วยเรามากหน่อยเท่านั้นเองบางทีถ้าอัพไลน์ทำไม่เป็นอัพไลน์สูงๆก็จะลงมาช่วยเองแหละ(อย่างผมเค้างานไปเพื่อนไม่โทรมาตามมีแต่อัพไลน์ระดับสูงก็โทรมา บอกให้ถ้าพร้อมก็สมัคร ศึกษาไปก่อนก็ได้เข้ามาเซ็นเตอร์บ่อยๆ)ซึ่งในความคิดผมนะแอมเวย์ดีแต่ไม่ควรรีบสมัครจะสมัครก็ต่อเมื่อคุณมีความสามารถขายของและชวนคนได้แล้วดีกว่า ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องคุยกับคนที่จะเป็นอัพไลน์ให้ดีๆนะครับอัพไลน์ระดับสูงๆด้วย
และที่ผมมองว่าunicityไม่ดีเพราะแผนการตลาดของเค้าเป็นโปรเจคที่เรียกว่าhappy life ซึ่งประกันรายได้เราที่1แสนภายในระยะเวลาหนึ่ง(ผมจำไม่ได้นะครับว่ากี่เดือน)ซึ่งคุณจะต้องชวนคนเข้ามาวันละ3คนเป็นอย่างน้อยและมีเงื่อนไขอย่างอื่นอีกที่ทำให้มันดูเป็นธุระกิจลูกโช่ที่หาเงินจากคนที่เป็นdownlineระดับต่ำๆมากเกินไปครับ เงื่อนไขอื่นๆที่ว่าก็เช่นการที่เริ่มสมัครหากต้องการVIP CODEต้องซื้อของมากกว่า~28,000ภายใน1เดือนมันเลยทำให้ดูน่าชวนคนมาสมัครเป็นVIP CODEเพื่อได้ยอดขายจากส่วนนี้มากกว่าที่จะขายของนะครับ
อนึ่งตามความรู้สึกส่วนตัวของผมแล้วยังไงธุรกิจประเภทนี้รายได้พื้นฐานก็ต้องเป็นการขายครับเพราะไม่ว่าเราจะขายของได้หรือให้คนในองกรขายเพื่อทำยอดก็ตามแต่การที่เราจะได้เงินซึ่งเป็นส่วนลดจากราคาสินค้านั้น(เงินที่เราได้มาจะมากจะน้อยก็ตามแต่)คนในองค์กรก็ต้องขายของครับ
[quote="anaconda"]อย่างunicityจะเป็นแผนการตลาดที่ผมคิดเลยว่ามันแย่มาก
หนักกว่าแอมเวย์อีกอะ
แค่สงสัยว่าคุณ revlis หมายความว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ แล้ว ของunicity แย่หนักกว่าใช่มั้ยครับ
ถ้าใช่ ขอความเห็นด้วยครับ ว่าแผนการตลาดของแอมเวย์แย่ตรงจุดไหน[/quote]
แผนการตลาดของแอมเวย์ไม่ได้แย่หรอกครับแต่ให้ผมมองมันไม่เหมาะกับคนไทยที่ชอบสบายจนเกินเหตุซึ่งจะทำให้เอาแต่ชวนคนโดยไม่ขายของมากกว่าซึ่งแบบนั้นจะทำให้คนเข้าใจแอมเวย์ผิดซึ่งแผนเค้าก็ดีมากแล้วนะครับในหลายๆอย่างซึ่งผมก็ยอมรับในจุดนั้นส่วนunicityผมมองว่ามันไม่ดีที่แผนการตลาดนะครับซึ่งผมมองว่ามันจะทำให้เกิดการสต้อกของมากไปและไม่เกินการขายในdownlieระดับล่างๆนะครับคือยังไม่ฝึกขายของแต่ต้องมาสต้อกของมูลค้ากว่า30,000ไปขายไม่ว่ามองยังไงคนด้านล่างก็ไม่น่าขายของได้ง่ายๆเลยทำให้สินค้าไปตกอยู่ที่ผู้ขายระดับล่างมากกว่าที่จะตกไปยังผู้บริโภคครับจุดนี้ที่ทำให้ผมไม่ชอบแผนการตลาดของunicity เพราะผมเชื่อนะครับถ้าผมเข้าไปทำunicityมันจะทำให้ผมชวนคนอย่างเดียวไม่ขายของครับลองคิดดูสิครับชวนคนได้ยอดตั้งกว่า30,000ขายของเต็มที่เครื่องกรองอากาศก็คงราวหมื่นกว่าถึงสองหมื่นบาทเองจริงไหมครับแล้วพอขายเรายังต้องไปคอยดูแลลด้วยนะครับแต่ไม่ได้เงินเพิ่มถ้าชวนคนยังเพื่อว่าลูกค่ายเราชวนคนเพิ่มเป็นVIPไปเรื่อยๆๆๆๆๆเราก็ได้ยอดมาเรื่อยๆเหมือนกัน จากdowlineล่างๆลงไปอีกแผนแบบนี้ทำให้มันดูไม่ค่อยจะดีนักนะครับในสายตาของผม
ปล.ผมกำลังจะไปฟังแผนการตลาดของอีกบริษัทตามที่คนที่ผมสนิทชวนยังไงเมื่อฟังเสร็จจะเข้ามาบอกต่อครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความรู้เพิ่มเติมที่มอบให้
และจะเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่ไม่ย้อท้อ
N
และจะเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่ไม่ย้อท้อ
N
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 89
ขอบคุณครับ คุณrevlis แอมเวย์ มีหลาย version มากๆ แล้วแต่ว่าใครเจอแบบไหนมา แต่สุดท้ายแล้ว คุณเป็นคนกำหนด เพราะมันเป็นธุรกิจของคุณเอง คุณอยากให้ธุรกิจของคุณมีหน้าตาหรืออยากให้องค์กร ของคุณเป็นแบบไหน คุณก็ทำตัวแบบนั้นเป็นต้นแบบ แล้วก็สร้างวัฒนธรรมองค์กรขึ้นมา ตามแบบฉบับที่คุณต้องการ มันเป็นเรื่องที่ไม่สลับซับซ้อนเลยครับ เพียงแต่คนเราถูกฝึกให้มองออก มีน้อยคนจะมองเข้ามาที่ตัวเอง คนที่ทำแอมเวย์สำเร็จก็มี 2 ประเภท สำเร็จชั่วคราว กับ สำเร็จแบบถาวร ถ้าขนาดของความสำเร็จที่ได้มาใหญ่เกินตัวความสำเร็จก็จะทิ้งคุณไป ดังนั้นความสำเร็จที่แท้จริงในธุรกิจนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่คุณได้แต่อยู่ที่สุดท้ายแล้วคุณกลายเป็นคนแบบไหน
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 90
อิอิ น้องกอร์นขยันหาความรู้หลายด้านดีครับ
ขอออกตัวหน่อยนะครับ ว่าผมเองก็เคยศึกษาธุรกิจเครือข่ายมาหลายที่ และตอนนี้ก็ทำอยู่กับยูนิซิตี้น่ะครับน้องกอร์นจะได้รู้ไว้ก่อนเผื่ออยากถามอะไร
คืออย่างนี้ครับ ผมอยากให้วิเคราะห์แยกแยะออกเป็นส่วน ๆ เหมือนเวลาวิเคราะห์หุ้นน่ะครับ ธุรกิจเครือข่ายก็เหมือนกัน
Five force model ของ ธุรกิจนี้จะมีส่วนที่ต้องพิจารณา 5 อย่างด้วยกันในการดูว่าบริษัทไหนมีข้อดีข้อด้อยยังไง
อ้อ ต้องแยกตัวธุรกิจกับตัวคนทำออกจากกันก่อนนะครับ
ข้อแรก เป็นเรื่องของความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของตัวบริษัทหรือ supplier
สอง คือเรื่องของตัวสินค้า อันนี้ต้องวิเคราะห์ไปถึงว่ามี DCA รึเปล่า
สาม คือแผนการตลาดครับ แผนที่ดีต้องจ่ายอย่างยุติธรรมต่อนักธุรกิจที่มาทำการตลาดและตัวบริษัทเอง ที่สำคัญไม่ควรมีเำพดานจำกัดครับ
สี่ เป็นเรื่องของระบบการทำงาน support ให้คนเข้ามาทำธุรกิจประสบความสำเร็จได้ดีแค่ไหน
สุดท้าย ก็เรื่องของโอกาสและวัฒนธรรมองกรค์ครับ
ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่ดีครับ แต่โดยธรรมชาติของธุรกิจที่จะต้องทำงานกับคนก็เลยเกิดความไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันเยอะครับ
ปล.ถ้าอยากรู้ข้อมูลของบริษัทไหนควรถามคนบริษัทนั้นครับเพราะคงไม่มีใครอยากพูดว่าของตัวเองไม่ดี หรือของคนอื่นดีกว่าหรอกครับ และคนที่ทำที่นั้น ๆ จะรู้จริงกว่าคนที่อยู่วงนอกครับ ^^
ปล. 2 ถ้าจะลงรายละเอียดที่เ๋์ฉพาะเจาะจงเป็นบริษัทมาก ๆ ขอ pm ดีกว่านะครับ
ผมอยากให้กระทู้นี้เป็นกลาง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายมากกว่าที่จะไปเน้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
เำพราะจริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมนี้มีหลากหลายบริษัทมากครับจะได้เป็นความรู้ที่เป็นฐานจริง ๆ ไม่ไปอิงกับตัวบริษัทใดบริษัทหนึ่งครับ :8)
ขอออกตัวหน่อยนะครับ ว่าผมเองก็เคยศึกษาธุรกิจเครือข่ายมาหลายที่ และตอนนี้ก็ทำอยู่กับยูนิซิตี้น่ะครับน้องกอร์นจะได้รู้ไว้ก่อนเผื่ออยากถามอะไร
คืออย่างนี้ครับ ผมอยากให้วิเคราะห์แยกแยะออกเป็นส่วน ๆ เหมือนเวลาวิเคราะห์หุ้นน่ะครับ ธุรกิจเครือข่ายก็เหมือนกัน
Five force model ของ ธุรกิจนี้จะมีส่วนที่ต้องพิจารณา 5 อย่างด้วยกันในการดูว่าบริษัทไหนมีข้อดีข้อด้อยยังไง
อ้อ ต้องแยกตัวธุรกิจกับตัวคนทำออกจากกันก่อนนะครับ
ข้อแรก เป็นเรื่องของความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของตัวบริษัทหรือ supplier
สอง คือเรื่องของตัวสินค้า อันนี้ต้องวิเคราะห์ไปถึงว่ามี DCA รึเปล่า
สาม คือแผนการตลาดครับ แผนที่ดีต้องจ่ายอย่างยุติธรรมต่อนักธุรกิจที่มาทำการตลาดและตัวบริษัทเอง ที่สำคัญไม่ควรมีเำพดานจำกัดครับ
สี่ เป็นเรื่องของระบบการทำงาน support ให้คนเข้ามาทำธุรกิจประสบความสำเร็จได้ดีแค่ไหน
สุดท้าย ก็เรื่องของโอกาสและวัฒนธรรมองกรค์ครับ
ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่ดีครับ แต่โดยธรรมชาติของธุรกิจที่จะต้องทำงานกับคนก็เลยเกิดความไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันเยอะครับ
ปล.ถ้าอยากรู้ข้อมูลของบริษัทไหนควรถามคนบริษัทนั้นครับเพราะคงไม่มีใครอยากพูดว่าของตัวเองไม่ดี หรือของคนอื่นดีกว่าหรอกครับ และคนที่ทำที่นั้น ๆ จะรู้จริงกว่าคนที่อยู่วงนอกครับ ^^
ปล. 2 ถ้าจะลงรายละเอียดที่เ๋์ฉพาะเจาะจงเป็นบริษัทมาก ๆ ขอ pm ดีกว่านะครับ
ผมอยากให้กระทู้นี้เป็นกลาง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายมากกว่าที่จะไปเน้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
เำพราะจริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมนี้มีหลากหลายบริษัทมากครับจะได้เป็นความรู้ที่เป็นฐานจริง ๆ ไม่ไปอิงกับตัวบริษัทใดบริษัทหนึ่งครับ :8)