แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 5 พฤษภาคม 2552
ถ้าเดือนตุลาคมของปีที่แล้วเป็นเดือนที่ “เหมืองถล่ม” นั่นคือเปรียบเทียบกับการที่ตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างหนักเพียงเดือนเดียวถึงประมาณ 30% นั่นคือดัชนีตกจาก 597 จุดตอนสิ้นเดือนกันยายน 2551 เหลือเพียง 417 จุดในตอนสิ้นเดือนตุลาคม 2551 เดือนเมษายนของปีนี้ก็เป็นเดือนที่คนที่ “ติดอยู่ในเหมือง” หรือนักเล่นหุ้นเริ่มเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมง” นั่นคือ ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพียงเดือนเดียวจาก 432 จุดในวันสิ้นเดือนมีนาคม เป็น 492 จุด เมื่อสิ้นเดือนเมษายน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 14% และนี่ยังไม่นับรวมปันผลที่จะได้จากบริษัทจำนวนมากที่ประกาศให้สิทธิและจ่ายปันผลในช่วงเดือนนื้อีกไม่น้อยกว่า 3-4%
เดือนตุลาคมปีที่แล้วตลาดหุ้นตกหนักมากเกิดจากเหตุการณ์ ถ้าจำไม่ผิด ก็คือ การล่มสลายของเลย์แมนบราเดอร์ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐไม่เข้าไปช่วยเหลือ เหตุการณ์นั้นผมคิดว่าทำให้นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจกำลังเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤติที่รัฐบาลก็ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้น ทุกคนต่างก็ “หนีตาย” และทำให้หุ้นทั่วโลกรวมถึงบ้านเราที่ดัชนีหุ้นสามารถประคองตัวมาได้พอสมควรตั้งแต่ต้นปี 2551 ตกต่ำลงอย่างแรง หลังจากนั้น “ความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ” ก็ตามมา คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศหดหายลงอย่างรวดเร็ว การลดคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นทั่วไป การพยากรณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเดิมที่บอกว่าน่าจะเติบโตประมาณ 2-3% กลายเป็นติดลบหลายเปอร์เซ็นต์ จนถึงเดือนมีนาคม 2552 ทุกอย่างก็ยังดูมืดมน ตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกตัวยังเลวร้ายลง แต่ดัชนีหุ้นของไทยก็ไม่ได้ตกต่ำลงอีก มันทรงตัวอยู่ในระดับประมาณ 430 จุดบวกลบเล็กน้อยแม้ว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันจะน้อยลงมากจนเรียกว่า “หุ้นซึม”
ถึงเดือนเมษายนปีนี้ แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศใหญ่ ๆ ในโลกยังดูเลวร้ายลง แต่การตกต่ำก็ลดลงมาก นั่นไม่สำคัญเท่ากับตัวเลข “ดัชนีชี้นำ” เช่น คำสั่งซื้อสินค้าของผู้ค้าขาย ปริมาณการผลิตของโรงงาน สต็อกสินค้า และการจับจ่ายสินค้าของผู้บริโภค ต่างก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในประเทศไทยเอง โรงงานผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์บางแห่งที่เคยปลดคนงานออกต้องให้คนงานทำงานในช่วงวันสงกรานต์เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามามากกว่าที่คาดไว้ โรงงานผลิตรถยนต์บางแห่งที่ลดกะการทำงานเหลือเพียงกะเดียวก็เริ่มวางแผนทำงานเป็นสองกะ แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องของความมั่นใจของผู้บริโภคโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐและในยุโรปที่เดือนเมษายนปีนี้ดัชนีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นอกจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ดูดีขึ้น เดือนเมษายนยังเป็นเดือนที่บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินเริ่มประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศหนึ่ง ตัวเลขผลการดำเนินงานโดยเฉพาะของแบ้งค์ใหญ่ ๆ ระดับโลกที่ออกมานั้น ดูดีอย่างน่าประหลาดใจ เช่นเดียวกัน แบ้งค์ต่าง ๆ ในเมืองไทยเองก็มีผลการดำเนินงานที่ต้องถือว่าดีพอควรและดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีปัญหาหนี้เสียมากมายอย่างที่อาจจะเกรงกลัวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับเข้ามาซื้อหุ้นและทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สำคัญ ๆ ทั่วโลกปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ 20-30% ภายในเวลาสั้น ๆ
ตลาดหุ้นไทยเองนั้น ตัวเลขทุกอย่างดูเหมือนจะสอดคล้องกับตัวเลขของต่างประเทศ เหตุก็เพราะเ ศรษฐกิจของเราอิงอยู่กับการส่งออกสูงมาก อย่างไรก็ตาม เดือนเมษายนปีนี้ เราต้องประสบกับเหตุการณ์การจลาจลที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง นี่เป็นสิ่งที่บั่นทอนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่น้อย และนี่อาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าเพื่อนบ้านในเอเซียและในอเมริกา บางคนมองว่าเรายังโชคดีที่เหตุการณ์จบลงในเวลาอันสั้น มิฉะนั้น ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ไปไหนเลย
แม้ว่าจะ “เห็นแสงที่ปลายอุโมง” แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลกันมาก เหตุก็เพราะว่า คนจำนวนมากก็ยังไม่แน่ใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะถาวรหรือไม่ มันอาจจะเป็นเรื่องของการปรับตัวชั่วคราวเนื่องจากที่ผ่านมามีการลดกำลังการผลิตลงไปมากจนทำให้สต็อกสินค้าต่ำลงไปมากเกินไป ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องรีบผลิตเพิ่มกลับมา แต่หลังจากนั้นแล้ว ถ้าความต้องการของผู้บริโภคยังน้อยอยู่อย่างเดิม การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะไม่ยั่งยืนและเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
นอกจากเรื่องของเศรษฐกิจแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มมีอุบัติการณ์ของโรคไข้หวัดเม็กซิโกที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะลามไปทั้งโลกหรือไม่และจะมีคนป่วยจำนวนมากน้อยแค่ไหน มีโอกาสเหมือนกันที่มันอาจจะรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนและแน่นอนกระทบตลาดหุ้นอย่างรุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าโลกเราเคยเผชิญกับโรคซาร์และไข้หวัดนกมาแล้ว ดังนั้น น่าจะสามารถจัดการกับไข้หวัดเม็กซิโกได้ในไม่ช้า
กลับมาที่ประเทศไทย การเมืองที่เคยเป็นปัจจัยลบรุนแรงในช่วงเดือนเมษายนนั้น ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าทุกอย่างจบลงแล้วและจะไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้น ความเสี่ยงเฉพาะสำหรับประเทศไทยเองก็คงยังสูงกว่าเพื่อนบ้านและอาจทำให้ดัชนีตลาดหุ้นบ้านเราไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เท่ากับเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านการเมืองนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงแล้ว
กล่าวโดยสรุปก็คือ ผมคิดว่าเศรษฐกิจโลกและไทยน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวนับจากวันนี้และผมไม่คิดว่ามันจะฟุบลงไปอีก แสงที่ปลายอุโมงนั้นอาจจะยังไม่ใช่ทางออกแต่มันน่าจะนำไปสู่ทางออกในที่สุด ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นมานั้น ยังไม่สูงเกินไป เห็นได้จากตัวเลข ราคาหุ้นต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชีของตลาดนั้นอยู่ที่เพียงประมาณ 1 เท่าเศษ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์หุ้นไทย และที่สำคัญก็คือ ผลตอบแทนเงินปันผลต่อราคาหุ้นอยู่ในระดับที่สูงถึงกว่า 5% ต่อปี ซึ่งทำให้การลงทุนในช่วงเวลานี้ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับการฝากเงินในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยน้อยนิด ก่อนที่จะจบบทความผมอยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับตลาดหุ้นว่า ตลาดหุ้นนั้น “ปีนกำแพงแห่งความกังวล” หมายความว่า ตลาดหุ้นนั้นปรับตัวขึ้นไปทั้ง ๆ ที่คนยังกังวลกันมากกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นและคิดว่าจะเกิดขึ้น ว่าที่จริง ถ้าคนเลิกกังวลเมื่อไร เมื่อนั้นหุ้นก็จะตกลงมามาก
ถ้าเดือนตุลาคมของปีที่แล้วเป็นเดือนที่ “เหมืองถล่ม” นั่นคือเปรียบเทียบกับการที่ตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างหนักเพียงเดือนเดียวถึงประมาณ 30% นั่นคือดัชนีตกจาก 597 จุดตอนสิ้นเดือนกันยายน 2551 เหลือเพียง 417 จุดในตอนสิ้นเดือนตุลาคม 2551 เดือนเมษายนของปีนี้ก็เป็นเดือนที่คนที่ “ติดอยู่ในเหมือง” หรือนักเล่นหุ้นเริ่มเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมง” นั่นคือ ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพียงเดือนเดียวจาก 432 จุดในวันสิ้นเดือนมีนาคม เป็น 492 จุด เมื่อสิ้นเดือนเมษายน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 14% และนี่ยังไม่นับรวมปันผลที่จะได้จากบริษัทจำนวนมากที่ประกาศให้สิทธิและจ่ายปันผลในช่วงเดือนนื้อีกไม่น้อยกว่า 3-4%
เดือนตุลาคมปีที่แล้วตลาดหุ้นตกหนักมากเกิดจากเหตุการณ์ ถ้าจำไม่ผิด ก็คือ การล่มสลายของเลย์แมนบราเดอร์ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐไม่เข้าไปช่วยเหลือ เหตุการณ์นั้นผมคิดว่าทำให้นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจกำลังเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤติที่รัฐบาลก็ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้น ทุกคนต่างก็ “หนีตาย” และทำให้หุ้นทั่วโลกรวมถึงบ้านเราที่ดัชนีหุ้นสามารถประคองตัวมาได้พอสมควรตั้งแต่ต้นปี 2551 ตกต่ำลงอย่างแรง หลังจากนั้น “ความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ” ก็ตามมา คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศหดหายลงอย่างรวดเร็ว การลดคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นทั่วไป การพยากรณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเดิมที่บอกว่าน่าจะเติบโตประมาณ 2-3% กลายเป็นติดลบหลายเปอร์เซ็นต์ จนถึงเดือนมีนาคม 2552 ทุกอย่างก็ยังดูมืดมน ตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกตัวยังเลวร้ายลง แต่ดัชนีหุ้นของไทยก็ไม่ได้ตกต่ำลงอีก มันทรงตัวอยู่ในระดับประมาณ 430 จุดบวกลบเล็กน้อยแม้ว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันจะน้อยลงมากจนเรียกว่า “หุ้นซึม”
ถึงเดือนเมษายนปีนี้ แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศใหญ่ ๆ ในโลกยังดูเลวร้ายลง แต่การตกต่ำก็ลดลงมาก นั่นไม่สำคัญเท่ากับตัวเลข “ดัชนีชี้นำ” เช่น คำสั่งซื้อสินค้าของผู้ค้าขาย ปริมาณการผลิตของโรงงาน สต็อกสินค้า และการจับจ่ายสินค้าของผู้บริโภค ต่างก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในประเทศไทยเอง โรงงานผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์บางแห่งที่เคยปลดคนงานออกต้องให้คนงานทำงานในช่วงวันสงกรานต์เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามามากกว่าที่คาดไว้ โรงงานผลิตรถยนต์บางแห่งที่ลดกะการทำงานเหลือเพียงกะเดียวก็เริ่มวางแผนทำงานเป็นสองกะ แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องของความมั่นใจของผู้บริโภคโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐและในยุโรปที่เดือนเมษายนปีนี้ดัชนีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นอกจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ดูดีขึ้น เดือนเมษายนยังเป็นเดือนที่บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินเริ่มประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศหนึ่ง ตัวเลขผลการดำเนินงานโดยเฉพาะของแบ้งค์ใหญ่ ๆ ระดับโลกที่ออกมานั้น ดูดีอย่างน่าประหลาดใจ เช่นเดียวกัน แบ้งค์ต่าง ๆ ในเมืองไทยเองก็มีผลการดำเนินงานที่ต้องถือว่าดีพอควรและดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีปัญหาหนี้เสียมากมายอย่างที่อาจจะเกรงกลัวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับเข้ามาซื้อหุ้นและทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สำคัญ ๆ ทั่วโลกปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ 20-30% ภายในเวลาสั้น ๆ
ตลาดหุ้นไทยเองนั้น ตัวเลขทุกอย่างดูเหมือนจะสอดคล้องกับตัวเลขของต่างประเทศ เหตุก็เพราะเ ศรษฐกิจของเราอิงอยู่กับการส่งออกสูงมาก อย่างไรก็ตาม เดือนเมษายนปีนี้ เราต้องประสบกับเหตุการณ์การจลาจลที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง นี่เป็นสิ่งที่บั่นทอนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่น้อย และนี่อาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าเพื่อนบ้านในเอเซียและในอเมริกา บางคนมองว่าเรายังโชคดีที่เหตุการณ์จบลงในเวลาอันสั้น มิฉะนั้น ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ไปไหนเลย
แม้ว่าจะ “เห็นแสงที่ปลายอุโมง” แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลกันมาก เหตุก็เพราะว่า คนจำนวนมากก็ยังไม่แน่ใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะถาวรหรือไม่ มันอาจจะเป็นเรื่องของการปรับตัวชั่วคราวเนื่องจากที่ผ่านมามีการลดกำลังการผลิตลงไปมากจนทำให้สต็อกสินค้าต่ำลงไปมากเกินไป ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องรีบผลิตเพิ่มกลับมา แต่หลังจากนั้นแล้ว ถ้าความต้องการของผู้บริโภคยังน้อยอยู่อย่างเดิม การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะไม่ยั่งยืนและเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
นอกจากเรื่องของเศรษฐกิจแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มมีอุบัติการณ์ของโรคไข้หวัดเม็กซิโกที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะลามไปทั้งโลกหรือไม่และจะมีคนป่วยจำนวนมากน้อยแค่ไหน มีโอกาสเหมือนกันที่มันอาจจะรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนและแน่นอนกระทบตลาดหุ้นอย่างรุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าโลกเราเคยเผชิญกับโรคซาร์และไข้หวัดนกมาแล้ว ดังนั้น น่าจะสามารถจัดการกับไข้หวัดเม็กซิโกได้ในไม่ช้า
กลับมาที่ประเทศไทย การเมืองที่เคยเป็นปัจจัยลบรุนแรงในช่วงเดือนเมษายนนั้น ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าทุกอย่างจบลงแล้วและจะไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้น ความเสี่ยงเฉพาะสำหรับประเทศไทยเองก็คงยังสูงกว่าเพื่อนบ้านและอาจทำให้ดัชนีตลาดหุ้นบ้านเราไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เท่ากับเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านการเมืองนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงแล้ว
กล่าวโดยสรุปก็คือ ผมคิดว่าเศรษฐกิจโลกและไทยน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวนับจากวันนี้และผมไม่คิดว่ามันจะฟุบลงไปอีก แสงที่ปลายอุโมงนั้นอาจจะยังไม่ใช่ทางออกแต่มันน่าจะนำไปสู่ทางออกในที่สุด ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นมานั้น ยังไม่สูงเกินไป เห็นได้จากตัวเลข ราคาหุ้นต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชีของตลาดนั้นอยู่ที่เพียงประมาณ 1 เท่าเศษ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์หุ้นไทย และที่สำคัญก็คือ ผลตอบแทนเงินปันผลต่อราคาหุ้นอยู่ในระดับที่สูงถึงกว่า 5% ต่อปี ซึ่งทำให้การลงทุนในช่วงเวลานี้ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับการฝากเงินในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยน้อยนิด ก่อนที่จะจบบทความผมอยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับตลาดหุ้นว่า ตลาดหุ้นนั้น “ปีนกำแพงแห่งความกังวล” หมายความว่า ตลาดหุ้นนั้นปรับตัวขึ้นไปทั้ง ๆ ที่คนยังกังวลกันมากกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นและคิดว่าจะเกิดขึ้น ว่าที่จริง ถ้าคนเลิกกังวลเมื่อไร เมื่อนั้นหุ้นก็จะตกลงมามาก
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
Re: แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณอาจารย์กับคุณ oatty มากๆครับ
ทำไมคนเลิกกังวล แล้วหุ้นจะตกลงมามากล่ะครับoatty เขียน:ตลาดหุ้นนั้น “ปีนกำแพงแห่งความกังวล” หมายความว่า ตลาดหุ้นนั้นปรับตัวขึ้นไปทั้ง ๆ ที่คนยังกังวลกันมากกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นและคิดว่าจะเกิดขึ้น ว่าที่จริง ถ้าคนเลิกกังวลเมื่อไร เมื่อนั้นหุ้นก็จะตกลงมามาก
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- satantuey
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
ก็ถ้าคนเลิกกังวลกันหมดแล้ว ใครๆก็เข้ามาซื้อหุ้น แม้แต่หน้าใหม่ที่ไม่เคยเล่นหุ้นก็เข้ามากันเยอะ ราคาหุ้นก็จะไปไกลเกินมูลค่าเยอะๆ มีผู้รู้บางท่านบอกไว้ว่า "เมื่อไหร่ที่ท่านขึ้นแท๊กซี่ แล้วแท๊กซี่คุยเกี่ยวกับหุ้นขึ้น พ่อค้าแม่ค้าร้านรวงต่างๆพูดถึงตลาดหุ้น(พูดเฉยๆอาจไม่ได้เล่นก็ได้) เมื่อนั้นเป็นสัญญาณใส่เกียร์ถอย เหอๆ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขอขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของท่านดร.นิเวศน์ มันมีความหมายมากสำหรับคนหลายๆคนที่ยังมีความกล้าๆกลัวอยู่
ยังไงเศรษฐกิจโลกหรือแม้แต่เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะมีปีที่เป็นบวกมากกว่าปีที่ติดลบ ซื้อในปีที่ลบและขายในปีที่บวก
ยังไงเศรษฐกิจโลกหรือแม้แต่เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะมีปีที่เป็นบวกมากกว่าปีที่ติดลบ ซื้อในปีที่ลบและขายในปีที่บวก
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณมากครับ...
พี่ๆช่วยอธิบาย บรรทัดสุดท้ายให้หน่อยครับ.. อ่านแล้วไม่เก็ทอ่ะครับ
พี่ๆช่วยอธิบาย บรรทัดสุดท้ายให้หน่อยครับ.. อ่านแล้วไม่เก็ทอ่ะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 1
Re: แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
[quote="sorawut"]ขอบคุณอาจารย์กับคุณ oatty มากๆครับ
In search of super stocks
-
- Verified User
- โพสต์: 1088
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
สงสัยเหมือนกันครับ
ไม่ทราบว่าตอนหุ้นบูมมากๆจนน่ากลัวนี่ ชาว vi
ขายเก็บเงินสด
หรือ
ปรับพอร์ทเป็นหุ้น defensive (พวก TF, S&P, CPALL, NTV, ฯลฯ)
หรือ มีเทคนิคอื่นๆครับ?
ตอนนี้กำลังคิด strategy เผื่อไว้พอถึงเวลาจะได้เตรียมตัวทัน
ไม่ทราบว่าตอนหุ้นบูมมากๆจนน่ากลัวนี่ ชาว vi
ขายเก็บเงินสด
หรือ
ปรับพอร์ทเป็นหุ้น defensive (พวก TF, S&P, CPALL, NTV, ฯลฯ)
หรือ มีเทคนิคอื่นๆครับ?
ตอนนี้กำลังคิด strategy เผื่อไว้พอถึงเวลาจะได้เตรียมตัวทัน
-
- Verified User
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
งั้นตอนนี้ก็คงจะต้องหนีแล้ว เพราะทั้งหวัดหมู เศรษฐกิจฟุป ม๊อบทักสิน ยังอยู่
แต่ตอนนี้ตลาดบวกไปสิบกว่าจุด ดูทุกๆคนไร้ความกังวลกันหมดเลย :shock:
แต่ตอนนี้ตลาดบวกไปสิบกว่าจุด ดูทุกๆคนไร้ความกังวลกันหมดเลย :shock:
" บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
แอบตอบคุณ hughes ครับ
มีคนบอกว่า ข้อเสียอย่างหนึ่งเวลาที่เราผ่านการตกต่ำของตลาดหุ้น นั่นคือเวลาหุ้นขึ้น เราจะไม่แน่ใจว่า มันขึ้นจริง หรือขึ้นหลอก
เราจะถูกดัชนีตลาดหลอกเราไหมน้า
มันจะตกลงไป หรือมันจะพุ่งไปไม่กลับมา
ปีเตอร์ ลินส์ เคยกล่าวไว้ว่า
อะไรที่มันเห็นได้ชัด
ส่วนใหญ่ มันมักจะสายไปแล้ว
ทั้งช่วงที่หุ้นขึ้น / ลง
ดังนั้นเราต้อง รู้จักตัวเราเอง
รู้จักนิสัยการลงทุน และระยะเวลาการลงทุน
ถ้าอารมณ์ตลาดมันทำให้เรา โดนอารมณ์เข้าครอบงำมากๆ
ลองดูที่ ความสามารถในการทำกำไร และพวก five force model ของบริษัทก็ดีเหมือนกันนะครับ
ขอบคุณ คุณ oatty มากๆนะครับผม
มีความสุขกับการลงทุนหุ้นคุณค่าครับ
มีคนบอกว่า ข้อเสียอย่างหนึ่งเวลาที่เราผ่านการตกต่ำของตลาดหุ้น นั่นคือเวลาหุ้นขึ้น เราจะไม่แน่ใจว่า มันขึ้นจริง หรือขึ้นหลอก
เราจะถูกดัชนีตลาดหลอกเราไหมน้า
มันจะตกลงไป หรือมันจะพุ่งไปไม่กลับมา
ปีเตอร์ ลินส์ เคยกล่าวไว้ว่า
อะไรที่มันเห็นได้ชัด
ส่วนใหญ่ มันมักจะสายไปแล้ว
ทั้งช่วงที่หุ้นขึ้น / ลง
ดังนั้นเราต้อง รู้จักตัวเราเอง
รู้จักนิสัยการลงทุน และระยะเวลาการลงทุน
ถ้าอารมณ์ตลาดมันทำให้เรา โดนอารมณ์เข้าครอบงำมากๆ
ลองดูที่ ความสามารถในการทำกำไร และพวก five force model ของบริษัทก็ดีเหมือนกันนะครับ
ขอบคุณ คุณ oatty มากๆนะครับผม
มีความสุขกับการลงทุนหุ้นคุณค่าครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
Linzhi เขียน:ผมว่าเราเข้าสู่ช่วง stock selection มาระยะนึงแล้วอ่ะครับ
timing ตอนนี้ อาจจะเป็นปัจจัยรอง ..
ให้เวลากับการเลือกหุ้นดี ๆ น่าจะเหมาะกว่าการไปเดาตลาดครับ
ไม่เข้าใจอ่ะคับ ช่วยขยายความหน่อย ผมเข้าใจว่าคนที่timingถูก เลือกหุ้นตัวไหนในช่วงที่ผ่านมา มันก้อกำไรนะครับ :?:
Even Sir Isaac Newton loss in stock market
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
Re: แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณพี่เชาว์ครับinvestment biker เขียน: จำช่วงต้นปี 2551 ได้ไหมครับ ตอนที่ผลการลงทุนของนักลงทุนในปี 2550 ที่เซียน ๆ หลายท่านได้กันเป็น 100% เข้าใจว่าตอนนั้น คนส่วนใหญ่ไม่มีความกังวลกับตลาดหุ้น ต่างคนต่างตั้งความหวังว่าจะได้ผลตอนแทนสูง ๆ อีก มองย้อนกลับ จึงรู้ว่า "ถ้าคนเลิกกังวลเมื่อไร เมื่อนั้นหุ้นก็จะตกลงมามาก" อย่างที่ท่านอาจารย์ว่าไว้จริง ๆ
แต่ผมว่าคราวนี้มันไม่ได้เป็นไปตามวัฐจักรหุ้นปกติ คือหุ้นยังไม่ได้ Boom สุดขีดเลยครับ
(แบบที่ว่าคนเลิกกังวล > Index เริ่มขึ้น > มั่นใจสุดขีด > P/E พุ่งกระฉูด > คนที่ไม่เคยซื้อหุ้นแนะนำให้ซื้อ > เจอวิกฤตอะไรบางอย่างหรือความจริงปรากฏ > ฟองระเบิด)
แต่เป็นวิกฤตการเงินที่เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน
ถ้าเราตระหนักว่าคนเลิกกังวลแล้วเราขายหุ้นทิ้งก่อนเลย เราอาจจะออกจากตลาดเร็วไปนิดครับ หรืออาจจะขายหมูเป็นระยะๆ
ผมชอบแบบอาจารย์ปู่ Buffett มากกว่าที่ว่า ถ้าเราหาบริษัทที่ลงทุนคุ้มค่าเงินไม่ได้แล้ว น่าจะถึงเวลาถอยห่างจากตลาด
ส่วนปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนสำหรับผมว่า ถ้าบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินมีปัญหาเมื่อไร เป็นสัญญาณให้ต้องระวังวิกฤตเศรษฐกิจครับ
(ตอนแรกไม่รู้ว่ามันจะกระทบ Real Sectors ยังไง )
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 108
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 15
ผมว่าน่ากลัวนะครับ ข่าวต่างๆ รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ แต่หุ้นกลับขึ้นเอา ๆ ไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ พอร์ตผมเขียวอื๋อเลย ช่วงนี้ดูอยู่ห่างๆ ก่อนดีกว่า รอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากกว่านี้ซักนิด ราคาไม่ลงมาให้ซื้อเลย ช่วงนี้ขายตลอด
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ประโยคนี้อาจารย์นิเวศน์หมายถึงว่าุ้เมื่อใดที่คนเลิกกังวลอาจารย์นิเวศน์ เขียน: ตลาดหุ้นนั้น “ปีนกำแพงแห่งความกังวล” หมายความว่า ตลาดหุ้นนั้นปรับตัวขึ้นไปทั้ง ๆ ที่คนยังกังวลกันมากกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นและคิดว่าจะเกิดขึ้น ว่าที่จริง ถ้าคนเลิกกังวลเมื่อไร เมื่อนั้นหุ้นก็จะตกลงมามาก
(ก็คือเมื่อข่าวร้ายเกิดขึ้นแล้ว จากตอนแรกแค่คาดการณ์ว่าจะเกิด) ราคาหุ้นก็จะตกลงเพื่อรับกับข่าวร้าย
ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ?
ปล.ไม่ได้ดูดัชนีนานตอนนี้ 500 จุดแล้วหรอคับ
:shock: :shock:
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
ความกลัวของคนเรานั้น เกิดจาก
1. สิ่งที่ไม่รู้
2. สิ่งที่ตัวเองวิตกกังวล
3. สิ่งที่ตัวเองไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
4. สิ่งที่ตัวเองทำแล้วไม่มั่นใจ
พวกนี้คือสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว
ขจัดอย่างไงหรือ
1. ก็ทำให้มันเกิดความรู้ซัก
2. ทำให้มันอยู่กับปัจจุบัน
3. ทำให้มันเห็นว่า เมื่อกระทำไปแล้วเกิดอะไรขึ้น
4. ทำให้มันเกิดความมั่นใจ พยายามและลอง โดยการฝึกฝน
แค่นี้ล่ะเป็นสิ่งที่ขจัดความกลัวออกไปจากใจ
เมื่อใจแพ้ทุกอย่างมันก็แพ้ มันแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว ต่อสู้ไปก็เท่านั้น
ต้องคิดกลับว่า ชนะทั้งแต่ในใจ แล้วมันส่งผลต่อเนื่องเอง
1. สิ่งที่ไม่รู้
2. สิ่งที่ตัวเองวิตกกังวล
3. สิ่งที่ตัวเองไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
4. สิ่งที่ตัวเองทำแล้วไม่มั่นใจ
พวกนี้คือสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว
ขจัดอย่างไงหรือ
1. ก็ทำให้มันเกิดความรู้ซัก
2. ทำให้มันอยู่กับปัจจุบัน
3. ทำให้มันเห็นว่า เมื่อกระทำไปแล้วเกิดอะไรขึ้น
4. ทำให้มันเกิดความมั่นใจ พยายามและลอง โดยการฝึกฝน
แค่นี้ล่ะเป็นสิ่งที่ขจัดความกลัวออกไปจากใจ
เมื่อใจแพ้ทุกอย่างมันก็แพ้ มันแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว ต่อสู้ไปก็เท่านั้น
ต้องคิดกลับว่า ชนะทั้งแต่ในใจ แล้วมันส่งผลต่อเนื่องเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
รอบนี้มีลุ้น530
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=45526
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ทิสโก้ คาดดัชนียังไปต่ออีก 1 เดือน ถ้าเห็น 530 ให้รีบถอยก่อนจะติดดอย ห่วงไตรมาส 3 ทรุดหนัก มีสิทธิเห็นต่ำ 400 นักวิเคราะห์ชั้นเซียนแจกโพยหุ้น
ไพบูลย์ นลินทรางกูร
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ต่างชาติที่เข้ามาซื้อรอบนี้พร้อม ที่จะขายหุ้นได้ตลอดเวลา เพราะเข้ามาซื้อเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น เพื่อให้สามารถออกได้ทันทีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
สำหรับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในรอบนี้จะไม่ยั่งยืน และยังไม่ใช่ผ่านจุดต่ำสุด เพราะเศรษฐกิจโลกยังเป็นความเสี่ยงอยู่
นายปรเมศว์ ทองบัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 1 เดือน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 520-530 จุด และอาจจะทรุดลงค่อนข้างรุนแรงในไตรมาส 3 หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ออกมา เพราะตัวเลขจะชี้ให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้นจริง ซึ่งหุ้นอาจจะลงไปอยู่ที่ 430-450 จุด แต่หากตัวเลขต่ำกว่าที่คาดไว้มากอาจจะกลับไปที่ 380-400 จุด ก่อนที่จะดีดกลับมาอีกครั้งในไตรมาส 4
มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีอาจจะขึ้นไปมากกว่า 530 จุด เพราะสัปดาห์สุดท้ายของ Bear Market Rally ดัชนีจะสะบัดขึ้นแรงและเร็ว เพราะฉะนั้นหากเห็นดัชนีเกิน 530 ไปที่ 540 หรือ 550 จุด ต้องระวัง นายปรเมศว์ กล่าว
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ แนะนำให้ซื้อบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่ราคายังขึ้นมาไม่มาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC) และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH)
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า หุ้นจะขึ้นอีกไม่มากแล้ว ส่วนไตรมาส 2 หากไม่มีอะไรทำให้ช็อก หุ้นก็ไม่น่าตกแรง จึงแนะนำซื้อหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บริษัท ศุภาลัย (SPALI) BEC และ QH
ด้านนายพงศ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ชอบหุ้น SCC KBANK ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)
สำหรับหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ค่อยเข้าไปซื้อตอนตลาดหุ้นใกล้จะปรับตัวลงแล้ว
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า เฮดจ์ฟันด์กลัวปัญหาทางการเมืองไทยมากกว่าเศรษฐกิจ และไม่สนใจไทยเพราะเงินบาทมีความผันผวนต่ำ
ทั้งนี้ การเปิดเผยผลทดสอบความมั่นคงของธนาคารในสหรัฐ 19 แห่ง ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้น
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=45526
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ทิสโก้ คาดดัชนียังไปต่ออีก 1 เดือน ถ้าเห็น 530 ให้รีบถอยก่อนจะติดดอย ห่วงไตรมาส 3 ทรุดหนัก มีสิทธิเห็นต่ำ 400 นักวิเคราะห์ชั้นเซียนแจกโพยหุ้น
ไพบูลย์ นลินทรางกูร
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ต่างชาติที่เข้ามาซื้อรอบนี้พร้อม ที่จะขายหุ้นได้ตลอดเวลา เพราะเข้ามาซื้อเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น เพื่อให้สามารถออกได้ทันทีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
สำหรับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในรอบนี้จะไม่ยั่งยืน และยังไม่ใช่ผ่านจุดต่ำสุด เพราะเศรษฐกิจโลกยังเป็นความเสี่ยงอยู่
นายปรเมศว์ ทองบัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 1 เดือน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 520-530 จุด และอาจจะทรุดลงค่อนข้างรุนแรงในไตรมาส 3 หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ออกมา เพราะตัวเลขจะชี้ให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้นจริง ซึ่งหุ้นอาจจะลงไปอยู่ที่ 430-450 จุด แต่หากตัวเลขต่ำกว่าที่คาดไว้มากอาจจะกลับไปที่ 380-400 จุด ก่อนที่จะดีดกลับมาอีกครั้งในไตรมาส 4
มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีอาจจะขึ้นไปมากกว่า 530 จุด เพราะสัปดาห์สุดท้ายของ Bear Market Rally ดัชนีจะสะบัดขึ้นแรงและเร็ว เพราะฉะนั้นหากเห็นดัชนีเกิน 530 ไปที่ 540 หรือ 550 จุด ต้องระวัง นายปรเมศว์ กล่าว
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ แนะนำให้ซื้อบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่ราคายังขึ้นมาไม่มาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC) และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH)
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า หุ้นจะขึ้นอีกไม่มากแล้ว ส่วนไตรมาส 2 หากไม่มีอะไรทำให้ช็อก หุ้นก็ไม่น่าตกแรง จึงแนะนำซื้อหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บริษัท ศุภาลัย (SPALI) BEC และ QH
ด้านนายพงศ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ชอบหุ้น SCC KBANK ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)
สำหรับหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ค่อยเข้าไปซื้อตอนตลาดหุ้นใกล้จะปรับตัวลงแล้ว
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า เฮดจ์ฟันด์กลัวปัญหาทางการเมืองไทยมากกว่าเศรษฐกิจ และไม่สนใจไทยเพราะเงินบาทมีความผันผวนต่ำ
ทั้งนี้ การเปิดเผยผลทดสอบความมั่นคงของธนาคารในสหรัฐ 19 แห่ง ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้น
" บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ
- holidaytours
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
แสงที่ปลายอุโมง / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 20
ดร. แม่นมากคับ นี่ยังไม่สิ้นปี เจ็ดร้อยกว่าแล้วคับ :D