Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 พฤษภาคม 2552
การที่จะเป็น Value Investor หรือนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าของกิจการนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องรู้จัก “คุณค่าของกิจการ” แต่คุณค่าของกิจการนั้นขึ้นอยู่กับทรัพย์สินต่าง ๆ ของกิจการ และทรัพย์สินนั้นประกอบไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายทั้งที่จับต้องได้มีราคาซื้อขาย และทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ไม่มีตัวตนไม่มีมูลค่าหรือราคาแต่มีประโยชน์และมีค่ายิ่ง บ่อยครั้งมีค่ามากกว่าทรัพย์สินที่จับต้องได้ ดังนั้น การวิเคราะห์ทรัพย์สินตามที่มีปรากฏอยู่ในงบการเงินจึงมักจะมีประโยชน์น้อยกว่าทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้
การวิเคราะห์และเรียนรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ อยู่เป็นนิจสินโดยเฉพาะคุณค่าของทรัพย์สินที่ธุรกิจนำมาใช้งาน เช่น คุณค่าของ Goodwill หรือค่าความนิยม เช่น ยี่ห้อ หรือคุณค่าของสัมปทาน คุณค่าของการเป็นผู้ผูกขาดในธุรกิจที่คนอื่นไม่สามารถมาแข่งขันได้ เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องรู้ถ้าจะลงทุน แต่จริง ๆ แล้ว เราควรรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายในโลกนี้รวมถึง “คุณค่าของคน” ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ และคนนั้นเป็นสิ่งที่บริษัทธุรกิจต้องใช้เท่านั้น แต่เป็นเพราะตัวเราเองก็ต้องใช้ ดังนั้น การรู้จักคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ จึงมีประโยชน์มหาศาลทั้งในด้านของการลงทุนและเรื่องของการใช้ชีวิตของ Value Investor
ลองนึกดูว่าระหว่าง ริชาร์ด เบอร์ตัน นักแสดงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยทื่ผมยังเป็นเด็ก กับ เอลวิส เพรสลี่ นักร้องที่โด่งดังมากตั้งแต่ที่ผมยังเป็นเด็กเช่นเดียวกัน ทั้งคู่ต่างมีชื่อเสียงและคงจะได้รับเงินมากพอ ๆ กันในยุคที่ทั้งคู่กำลังดังระเบิด แต่ถามว่าถ้ามองถึง “คุณค่า” แล้วใครมี “คุณค่า” มากกว่า ? คำตอบก็คือ เอลวิส เหตุผลก็คือ ทั้งคู่ต่างก็ไม่สามารถทำเงินเองแล้ว แต่ทรัพย์สินซึ่งก็คือ ลิขสิทธ์ในผลงานของเอลวิสนั้นยังสามารถขายได้เรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายสิบปี และว่าที่จริงยังทำเงินรวมกันแล้วมากกว่าสมัยที่เอลวิสยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แต่ ริชาร์ดเบอร์ตัน นั้น ภาพยนต์ที่ยังขายได้นั้นคงน้อยเต็มที จะมีสักกี่คนที่ยังอยากดูหนังเรื่องคลีโอพัตราที่เขาแสดงนำร่วมกับ อลิซาเบ็ท เทเลอร์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กรุ่นหลังส่วนใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่าใครคือ ริชาร์ด เบอร์ตัน ในขณะที่ เอลวิส นั้นคนส่วนมากก็ยังรู้จักและเปิดเพลงฟังอยู่เรื่อย ๆ
นักร้อง นักแสดง และผู้อยู่ในวงการบันเทิงหลายคน หันไปเป็นนักการเมือง พวกเขาคิดว่าการเป็นคน “เต้นกินรำกิน” มี “คุณค่า” น้อย เพราะในสังคมไทยนั้น เรายังเป็นสังคมที่มีความคิดแบบ “ศักดินา” คนมักจะจัดระดับความสำคัญหรือคุณค่าของคนเป็นระดับชั้นตาม “อำนาจในการปกครอง” เช่น รัฐมนตรีมีค่ากว่าปลัดกระทรวง ปลัดมีค่ามากกว่าอธิบดี และไล่ไปเรื่อย ในส่วนของเอกชน ผู้จัดการใหญ่มีค่ามากกว่า รองผู้จัดการ เป็นต้น ในขณะที่นักร้องนักแสดงนั้น เนื่องจากสั่งการใครไม่ได้เลย ดังนั้น พวกเขารู้สึกว่า “คุณค่า” ของเขาน้อย เขาอาจจะมีเงิน แต่พอถึงจุดหนึ่งคนก็อยากได้อำนาจอยากมี “ เกียรติยศ” พวกเขาคิดว่า การเป็นดาราหรือนักร้องนั้น ไม่ว่าจะดังแค่ไหนก็ไม่สามารถเปรียบได้กับการเป็น “เสนาบดี” ที่มีคนอยู่ใต้บังคับบัญชามากมาย
แต่นั่นอาจเป็นความคิดที่ผิด เพราะผมคิดว่าสังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป คุณค่าของการเป็น “เสนาบดี” หรือรัฐมนตรี นั้น ผมรู้สึกว่ามันมีค่าน้อยลงโดยเฉพาะมันมักมีอายุสั้นมาก ชื่อเสียงที่ได้รับนั้น ก็เป็นชื่อเสียงที่เกิดขึ้นและดังแรงชั่วคราว หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ก็ลืมไปแล้ว บางคนนึกไม่ออกหรือจำไม่ได้ว่าคน ๆ นี้เคยเป็นรัฐมนตรีด้วยหรือ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือ เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้ “แคร์” หรือสนใจว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งทางการเมือง เขาสนใจว่าใครจะได้เป็นแชมป์เอเอฟหรือเป็นแชมป์เดอะสตาร์มากกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ในอนาคตการเป็นรัฐมนตรี “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ของคุณนั้น คนที่จะจำได้อาจจะเป็นคนในครอบครัวของคุณเท่านั้น ในขณะที่ถ้าคุณเป็นนักร้องหรือนักแสดงดัง คนรุ่นหลังอาจจะยังรู้จักคุณไปอีกหลายสิบปีหรือตลอดไป ดังนั้น การเป็นนักร้องดังนั้น ในความเห็นผม มีคุณค่ามากกว่าเป็นรัฐมนตรีดัง ไม่ต้องพูดถึงรัฐมนตรีที่ไม่มีผลงานอะไรเลย และนี่ไม่ใช่แค่ผมคิดเอง ในสังคมที่พัฒนาอย่างในอเมริกานั้น การเป็นเอลวิส มีคุณค่ามากกว่าการเป็นประธานาธิบดีหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ เมืองไทยเราถ้าพัฒนาไปเรื่อย ๆ สังคมเราก็จะเป็นอย่างนั้น
ที่พูดมาหลายเรื่องอาจจะมองว่าไม่เห็นเกี่ยวกับการลงทุนหรือนักลงทุนตรงไหน แต่ผมกำลังจะบอกว่า นี่เป็นแนวความคิดที่สำคัญ ทรัพย์สินที่จะมีคุณค่ามากนั้น มันควรจะต้องดูถึงระยะเวลาหรือจำนวนของการใช้งานได้ของมัน ทรัพย์สินชิ้นหนึ่งให้ประโยชน์สูงมากแต่ให้ประโยชน์ได้ไม่กี่วันหรือไม่กี่ปี อีกชิ้นหนึ่งให้ประโยชน์พอ ๆ กันหรือพอสมควรแต่ให้ประโยชน์ไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานมาก แบบนี้ ทรัพย์สินชิ้นหลังอาจจะมีคุณค่ามากกว่าชิ้นแรกมาก และด้วยแนวความคิดนี้เองที่เวลาผมจะซื้ออะไรผมจะคิดถึงเรื่องนี้ อย่างเช่น ถ้าเราซื้อเตียง ผมคิดว่าเราควรจะซื้อที่ดีมากแม้ราคาจะแพง เหตุผลก็เพราะว่าเราใช้มันคิดเป็นชั่วโมงแล้วสูงมาก เวลาคำนวณค่าใช้งานต่อชั่วโมงมันไม่แพง เช่นเดียวกัน รองเท้าหรือนาฬิกาข้อมือเราอาจจะใส่ซ้ำได้มาก ดังนั้น รองเท้าถ้าเราจะซื้อแพงหน่อยก็ไม่ค่อยเป็นไร ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าโดยเฉพาะของผู้หญิงที่หลายคนสวมใส่ไม่กี่ครั้งก็เลิกเนื่องจากมันตกแฟชั่น แบบนี้ไม่ควรซื้อของแพง เป็นต้น
กลับมาที่เรื่องหุ้น อย่างเรื่องของสัมปทานหรือสัญญาที่บริษัทได้รับจากหน่วยงานรัฐหรือบริษัทที่น่าเชื่อถือ และข้อผูกพันเหล่านั้นทำกำไรได้งดงาม นั่นอาจทำให้ตัวเลขผลประกอบการในปัจจุบันดูดีมาก แต่ถ้าสัญญาหรือสัมปทานเหล่านั้นมีอายุเหลือแค่ไม่กี่ปี แบบนี้เราก็ต้องลดคุณค่ามันลงไปมาก ตรงกันข้าม ถ้าบริษัทมีทรัพย์สินหรือมีความนิยมบางอย่างที่ดีมากและทรัพย์สินนั้นซึ่งส่วนมากมักเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้เป็นของบริษัทและบริษัทสามารถใช้มันไปได้เรื่อย ๆ ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้น แบบนี้ คุณค่าของมันก็จะมากแม้ว่าผลประกอบการในวันนี้อาจจะยังไม่มากมายนัก
ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ เรียนรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวเงิน ชื่อเสียงและเกียรติยศ มองที่ระยะเวลาของการได้รับหรือได้ใช้ทรัพย์สินนั้น อย่าลืมมองต่อไปถึงอนาคตและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นด้วย ทรัพย์สินที่มีค่ามากนั้น มักเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ดังนั้น การมองหาจึงไม่สามารถมองผ่านงบการเงินหรือตำแหน่งหรือยศทางราชการ และนี่คือคุณค่าหรือ Value ของ Value Investor ที่แท้จริง
การที่จะเป็น Value Investor หรือนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าของกิจการนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องรู้จัก “คุณค่าของกิจการ” แต่คุณค่าของกิจการนั้นขึ้นอยู่กับทรัพย์สินต่าง ๆ ของกิจการ และทรัพย์สินนั้นประกอบไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายทั้งที่จับต้องได้มีราคาซื้อขาย และทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ไม่มีตัวตนไม่มีมูลค่าหรือราคาแต่มีประโยชน์และมีค่ายิ่ง บ่อยครั้งมีค่ามากกว่าทรัพย์สินที่จับต้องได้ ดังนั้น การวิเคราะห์ทรัพย์สินตามที่มีปรากฏอยู่ในงบการเงินจึงมักจะมีประโยชน์น้อยกว่าทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้
การวิเคราะห์และเรียนรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ อยู่เป็นนิจสินโดยเฉพาะคุณค่าของทรัพย์สินที่ธุรกิจนำมาใช้งาน เช่น คุณค่าของ Goodwill หรือค่าความนิยม เช่น ยี่ห้อ หรือคุณค่าของสัมปทาน คุณค่าของการเป็นผู้ผูกขาดในธุรกิจที่คนอื่นไม่สามารถมาแข่งขันได้ เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องรู้ถ้าจะลงทุน แต่จริง ๆ แล้ว เราควรรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายในโลกนี้รวมถึง “คุณค่าของคน” ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ และคนนั้นเป็นสิ่งที่บริษัทธุรกิจต้องใช้เท่านั้น แต่เป็นเพราะตัวเราเองก็ต้องใช้ ดังนั้น การรู้จักคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ จึงมีประโยชน์มหาศาลทั้งในด้านของการลงทุนและเรื่องของการใช้ชีวิตของ Value Investor
ลองนึกดูว่าระหว่าง ริชาร์ด เบอร์ตัน นักแสดงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยทื่ผมยังเป็นเด็ก กับ เอลวิส เพรสลี่ นักร้องที่โด่งดังมากตั้งแต่ที่ผมยังเป็นเด็กเช่นเดียวกัน ทั้งคู่ต่างมีชื่อเสียงและคงจะได้รับเงินมากพอ ๆ กันในยุคที่ทั้งคู่กำลังดังระเบิด แต่ถามว่าถ้ามองถึง “คุณค่า” แล้วใครมี “คุณค่า” มากกว่า ? คำตอบก็คือ เอลวิส เหตุผลก็คือ ทั้งคู่ต่างก็ไม่สามารถทำเงินเองแล้ว แต่ทรัพย์สินซึ่งก็คือ ลิขสิทธ์ในผลงานของเอลวิสนั้นยังสามารถขายได้เรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายสิบปี และว่าที่จริงยังทำเงินรวมกันแล้วมากกว่าสมัยที่เอลวิสยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แต่ ริชาร์ดเบอร์ตัน นั้น ภาพยนต์ที่ยังขายได้นั้นคงน้อยเต็มที จะมีสักกี่คนที่ยังอยากดูหนังเรื่องคลีโอพัตราที่เขาแสดงนำร่วมกับ อลิซาเบ็ท เทเลอร์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กรุ่นหลังส่วนใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่าใครคือ ริชาร์ด เบอร์ตัน ในขณะที่ เอลวิส นั้นคนส่วนมากก็ยังรู้จักและเปิดเพลงฟังอยู่เรื่อย ๆ
นักร้อง นักแสดง และผู้อยู่ในวงการบันเทิงหลายคน หันไปเป็นนักการเมือง พวกเขาคิดว่าการเป็นคน “เต้นกินรำกิน” มี “คุณค่า” น้อย เพราะในสังคมไทยนั้น เรายังเป็นสังคมที่มีความคิดแบบ “ศักดินา” คนมักจะจัดระดับความสำคัญหรือคุณค่าของคนเป็นระดับชั้นตาม “อำนาจในการปกครอง” เช่น รัฐมนตรีมีค่ากว่าปลัดกระทรวง ปลัดมีค่ามากกว่าอธิบดี และไล่ไปเรื่อย ในส่วนของเอกชน ผู้จัดการใหญ่มีค่ามากกว่า รองผู้จัดการ เป็นต้น ในขณะที่นักร้องนักแสดงนั้น เนื่องจากสั่งการใครไม่ได้เลย ดังนั้น พวกเขารู้สึกว่า “คุณค่า” ของเขาน้อย เขาอาจจะมีเงิน แต่พอถึงจุดหนึ่งคนก็อยากได้อำนาจอยากมี “ เกียรติยศ” พวกเขาคิดว่า การเป็นดาราหรือนักร้องนั้น ไม่ว่าจะดังแค่ไหนก็ไม่สามารถเปรียบได้กับการเป็น “เสนาบดี” ที่มีคนอยู่ใต้บังคับบัญชามากมาย
แต่นั่นอาจเป็นความคิดที่ผิด เพราะผมคิดว่าสังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป คุณค่าของการเป็น “เสนาบดี” หรือรัฐมนตรี นั้น ผมรู้สึกว่ามันมีค่าน้อยลงโดยเฉพาะมันมักมีอายุสั้นมาก ชื่อเสียงที่ได้รับนั้น ก็เป็นชื่อเสียงที่เกิดขึ้นและดังแรงชั่วคราว หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ก็ลืมไปแล้ว บางคนนึกไม่ออกหรือจำไม่ได้ว่าคน ๆ นี้เคยเป็นรัฐมนตรีด้วยหรือ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือ เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้ “แคร์” หรือสนใจว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งทางการเมือง เขาสนใจว่าใครจะได้เป็นแชมป์เอเอฟหรือเป็นแชมป์เดอะสตาร์มากกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ในอนาคตการเป็นรัฐมนตรี “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ของคุณนั้น คนที่จะจำได้อาจจะเป็นคนในครอบครัวของคุณเท่านั้น ในขณะที่ถ้าคุณเป็นนักร้องหรือนักแสดงดัง คนรุ่นหลังอาจจะยังรู้จักคุณไปอีกหลายสิบปีหรือตลอดไป ดังนั้น การเป็นนักร้องดังนั้น ในความเห็นผม มีคุณค่ามากกว่าเป็นรัฐมนตรีดัง ไม่ต้องพูดถึงรัฐมนตรีที่ไม่มีผลงานอะไรเลย และนี่ไม่ใช่แค่ผมคิดเอง ในสังคมที่พัฒนาอย่างในอเมริกานั้น การเป็นเอลวิส มีคุณค่ามากกว่าการเป็นประธานาธิบดีหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ เมืองไทยเราถ้าพัฒนาไปเรื่อย ๆ สังคมเราก็จะเป็นอย่างนั้น
ที่พูดมาหลายเรื่องอาจจะมองว่าไม่เห็นเกี่ยวกับการลงทุนหรือนักลงทุนตรงไหน แต่ผมกำลังจะบอกว่า นี่เป็นแนวความคิดที่สำคัญ ทรัพย์สินที่จะมีคุณค่ามากนั้น มันควรจะต้องดูถึงระยะเวลาหรือจำนวนของการใช้งานได้ของมัน ทรัพย์สินชิ้นหนึ่งให้ประโยชน์สูงมากแต่ให้ประโยชน์ได้ไม่กี่วันหรือไม่กี่ปี อีกชิ้นหนึ่งให้ประโยชน์พอ ๆ กันหรือพอสมควรแต่ให้ประโยชน์ไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานมาก แบบนี้ ทรัพย์สินชิ้นหลังอาจจะมีคุณค่ามากกว่าชิ้นแรกมาก และด้วยแนวความคิดนี้เองที่เวลาผมจะซื้ออะไรผมจะคิดถึงเรื่องนี้ อย่างเช่น ถ้าเราซื้อเตียง ผมคิดว่าเราควรจะซื้อที่ดีมากแม้ราคาจะแพง เหตุผลก็เพราะว่าเราใช้มันคิดเป็นชั่วโมงแล้วสูงมาก เวลาคำนวณค่าใช้งานต่อชั่วโมงมันไม่แพง เช่นเดียวกัน รองเท้าหรือนาฬิกาข้อมือเราอาจจะใส่ซ้ำได้มาก ดังนั้น รองเท้าถ้าเราจะซื้อแพงหน่อยก็ไม่ค่อยเป็นไร ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าโดยเฉพาะของผู้หญิงที่หลายคนสวมใส่ไม่กี่ครั้งก็เลิกเนื่องจากมันตกแฟชั่น แบบนี้ไม่ควรซื้อของแพง เป็นต้น
กลับมาที่เรื่องหุ้น อย่างเรื่องของสัมปทานหรือสัญญาที่บริษัทได้รับจากหน่วยงานรัฐหรือบริษัทที่น่าเชื่อถือ และข้อผูกพันเหล่านั้นทำกำไรได้งดงาม นั่นอาจทำให้ตัวเลขผลประกอบการในปัจจุบันดูดีมาก แต่ถ้าสัญญาหรือสัมปทานเหล่านั้นมีอายุเหลือแค่ไม่กี่ปี แบบนี้เราก็ต้องลดคุณค่ามันลงไปมาก ตรงกันข้าม ถ้าบริษัทมีทรัพย์สินหรือมีความนิยมบางอย่างที่ดีมากและทรัพย์สินนั้นซึ่งส่วนมากมักเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้เป็นของบริษัทและบริษัทสามารถใช้มันไปได้เรื่อย ๆ ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้น แบบนี้ คุณค่าของมันก็จะมากแม้ว่าผลประกอบการในวันนี้อาจจะยังไม่มากมายนัก
ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ เรียนรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวเงิน ชื่อเสียงและเกียรติยศ มองที่ระยะเวลาของการได้รับหรือได้ใช้ทรัพย์สินนั้น อย่าลืมมองต่อไปถึงอนาคตและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นด้วย ทรัพย์สินที่มีค่ามากนั้น มักเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ดังนั้น การมองหาจึงไม่สามารถมองผ่านงบการเงินหรือตำแหน่งหรือยศทางราชการ และนี่คือคุณค่าหรือ Value ของ Value Investor ที่แท้จริง
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
คาดว่าคราวนี้จะลงหวัดสายพันธ์ใหม่ กลับเป็นนักร้องไปซะได้
ทายใจบทความ ดร ไม่ถูกเลยนะนี้
ทายใจบทความ ดร ไม่ถูกเลยนะนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
พี่เด่นแซวเก่งนะครับเนี่ย
(พี่เด่นเค้าน่ารักอยู่แล้วครับ) :lol:
อ่านแล้วเหมือนที่ผมอ่านคำสอนของท่าน พุทธทาส เมื่อคืนเลยครับ
บางทีเรามองแต่เรื่อง ยศฐาบรรดาศักดิ แต่ลืมคิดถึง คุณค่าของสิ่งนั้นๆ
ขอบคุณ คุณ oatty มากๆนะครับ
คุณ oatty ใจดีแบบนี้ทุกอาทิตย์เลย
(พี่เด่นเค้าน่ารักอยู่แล้วครับ) :lol:
อ่านแล้วเหมือนที่ผมอ่านคำสอนของท่าน พุทธทาส เมื่อคืนเลยครับ
บางทีเรามองแต่เรื่อง ยศฐาบรรดาศักดิ แต่ลืมคิดถึง คุณค่าของสิ่งนั้นๆ
ขอบคุณ คุณ oatty มากๆนะครับ
คุณ oatty ใจดีแบบนี้ทุกอาทิตย์เลย
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
ผมชอบวิธีคิดแบบนี้ เคยซื้อนาฬิกามาเรือนนึงแพงๆถ้าเราซื้อเตียง ผมคิดว่าเราควรจะซื้อที่ดีมากแม้ราคาจะแพง เหตุผลก็เพราะว่าเราใช้มันคิดเป็นชั่วโมงแล้วสูงมาก เวลาคำนวณค่าใช้งานต่อชั่วโมงมันไม่แพง
ลองคำนวนค่าใช้งานต่อวันแล้วรู้สึกดี ยิ่งใช้นานยิ่งถูก 555
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ผลงานการเขียนบทความของดร.ก็มีคุณค่ามาก
นอกจากสร้างรายได้จากหนังสือพิมพ์แล้ว
ดร.สามารถนำมารวมเล่มขายเป็นหนังสือได้อีก
และลิขสิทธิ์เหล่านี้ก็สามารถนำมาพิมพ์ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอนาคต
สร้างรายได้ไม่รู้จบ
ผู้ที่เดินตามรอยดร. ก็กำไรเป็นตัวเงินไม่ใช่น้อย
ถ้านับตัวเลขกันจริงๆ
ผมว่ามีคนกำไรหุ้นเพราะดร.รวมๆกันเป็นพันๆล้าน
นอกจากสร้างรายได้จากหนังสือพิมพ์แล้ว
ดร.สามารถนำมารวมเล่มขายเป็นหนังสือได้อีก
และลิขสิทธิ์เหล่านี้ก็สามารถนำมาพิมพ์ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอนาคต
สร้างรายได้ไม่รู้จบ
ผู้ที่เดินตามรอยดร. ก็กำไรเป็นตัวเงินไม่ใช่น้อย
ถ้านับตัวเลขกันจริงๆ
ผมว่ามีคนกำไรหุ้นเพราะดร.รวมๆกันเป็นพันๆล้าน
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- jack5515566
- Verified User
- โพสต์: 119
- ผู้ติดตาม: 0
ชอบ
โพสต์ที่ 15
สุดยอดบทความ
ลึกซึ้งกินใจ น่าจะใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ไม่ขึ้นกับกาลเวลา....
นี้คือคุณค่าที่แท้จริง...
ขอบคุณครับ
ลึกซึ้งกินใจ น่าจะใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ไม่ขึ้นกับกาลเวลา....
นี้คือคุณค่าที่แท้จริง...
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
Value ของ Value Investor / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ผมมองว่า ดร.พูดและมองตลาดในระยะยาวมากกว่าครับ
หากมองระยะยาวๆ ในความเป็นจริงที่ผ่านมา วิกฤติครั้งนี้ หลายๆบริษัท ได้รับผลกระทบก็จริง แต่ไม่มาก แถมมีศักยภาพที่จะโตต่อได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
ราคาหุ้นที่ลงมาจากเกือบ 900 จุด เทียบกับตอนนี้ 600 จุด ถึงถือว่ายังไม่แพงครับ เนื่องจากกำไรหดช่วงเล็กๆ แต่ศักยภาพยังมีอยู่ ซึ่งมันเป็นตัวแปรในระยะยาวมากกว่านาครับ :shock:
หากมองระยะยาวๆ ในความเป็นจริงที่ผ่านมา วิกฤติครั้งนี้ หลายๆบริษัท ได้รับผลกระทบก็จริง แต่ไม่มาก แถมมีศักยภาพที่จะโตต่อได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
ราคาหุ้นที่ลงมาจากเกือบ 900 จุด เทียบกับตอนนี้ 600 จุด ถึงถือว่ายังไม่แพงครับ เนื่องจากกำไรหดช่วงเล็กๆ แต่ศักยภาพยังมีอยู่ ซึ่งมันเป็นตัวแปรในระยะยาวมากกว่านาครับ :shock:
" บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ