สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- Verified User
- โพสต์: 144
- ผู้ติดตาม: 0
สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
สัญญาณเตือน
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าเรากำลังคิดซื้อหุ้น หรือถือหุ้นตัวหนึ่งอยู่แล้ว เราจะต้องติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับกิจการ ผู้บริหาร และทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น เพื่อที่จะประเมินว่าเราควรทำอย่างไร จะซื้อ จะขาย หรือจะอยู่เฉย ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าข่าวต่าง ๆ มักจะไม่ส่งผลอะไรมากนักต่อการตัดสินใจของเรา อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดขึ้น เราควรจะต้องระมัดระวัง เพราะมันอาจจะบอกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับหุ้น และถ้าเราเกิดความวิตกกังวลมากเกินไป เราอาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่ความเลวร้ายจะปรากฏ
เรื่องแรกที่ผมคิดว่าน่ากลัวมากก็คือ บริษัทประกาศงบการเงินออกมา ตัวเลขผลการดำเนินงานดูปกติดี แต่เมื่อเราไปดูรายงานที่ผู้สอบบัญชีเขียนไว้โดยเฉพาะในหน้าแรก และถ้าเราอ่านแล้วเราก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ นี่ก็จะเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งขึ้น เหตุผลก็คือ ฝ่ายบริหารอาจจะกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ และสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่นั้น ไม่เคยเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ถ้าเจองบการเงินที่มีคำอธิบายยาวมาก ๆ โปรดระวัง
พูดถึงเรื่องงบการเงิน ก็มีคนบางคนให้ข้อสังเกตว่า ถ้าไตรมาศไหนบริษัทประกาศงบการเงินช้ากว่าที่เคยทำในปีก่อน ๆ เช่น เดิมเคยประกาศภายในประมาณ 40 วันหลังปิดงบ แต่งวดนี้ 43 วันแล้วก็ยังไม่ประกาศ แบบนี้ก็ให้สงสัยว่า ผลการดำเนินงานอาจจะไม่ค่อยดี ผู้บริหารจึงดึงเวลาให้ช้าที่สุดที่จะทำได้ จริงหรือไม่ก็ลองดูกันเอง
เหตุการณ์ที่สามที่ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นเราคงต้องระวังก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะที่ขายกันเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นจำนวนมาก เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าการขายหุ้นจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มี สภาพคล่องไม่สูงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับ ธุรกิจ ดังนั้น ในบางครั้งที่พวกเขารู้ หรือรู้สึกว่าธุรกิจจะประสบปัญหาหรือกำไรลดลงมากในอนาคต หรือพวกเขารู้สึกว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะสูงเกินพื้นฐาน เขาก็จะขายหุ้นออกมา แน่นอน การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ บางครั้งก็ไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะเพียงแต่ต้องการเงินไปใช้บ้าง อย่างไรก็ตาม การประเมินการขายว่าน่าจะมาจากเหตุผลอะไรอาจจะบอกเราได้ว่าเราควรจะทำอย่าง ไรกับหุ้นที่เราถืออยู่
เหตุการณ์ที่สี่ที่น่ากลัวก็คือ กรรมการ โดยเฉพาะที่เป็นกรรมการอิสระลาออกโดยไม่มีเหตุผลที่ดี นั่นก็คือ กรรมการลาออกโดยอ้างว่าไม่มีเวลาหรือต้องการไปทำภารกิจอื่น แต่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาไปรับตำแหน่งทางการเมืองหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ เวลามากมายที่ไหน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว กรรมการอิสระนั้น มักจะใช้เวลาในการทำหน้าที่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น กรรมการอิสระที่ลาออกโดย "ไม่มีเหตุผล" อาจจะเป็นการบอกว่า กรรมการเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในบริษัท และกลัวว่าตนจะต้องรับผิดชอบซึ่งไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่ได้รับในฐานะ กรรมการ จึงลาออก
เหตุการณ์ที่ห้าเป็นเรื่องที่ผมพบมาหลายครั้ง บริษัทเป็นโรงงานผลิตสินค้า ยอดขายของสินค้าเพิ่มขึ้นมาก กำไรของบริษัทเพิ่มตาม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักเชียร์ให้ซื้อหุ้น กำลังการผลิตของโรงงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ บริษัทประกาศขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงงานใหม่ นักวิเคราะห์ประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นทวีคูณ หุ้นวิ่งระเบิด แต่แล้ว หลังจากโรงงานใหม่เปิด กำไรของบริษัทกลับถดถอยลงและลดลงเรื่อย ๆ หุ้นที่เคยฟู่ฟ่าและเป็น "หุ้นคุณค่า" มีราคาตกต่ำลงไปมาก นักวิเคราะห์และคนเล่นหุ้นเลิกพูดถึง พฤติกรรมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะดีมากแต่กลับ "ผิดคาด" ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะดีที่สุดนี้ เตือนให้เรารู้ว่า การมองโลกในแง่ดีเกินไปในการลงทุนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการประกาศสร้างโรงงานใหม่ โปรดระวัง
เหตุการณ์สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่ห้าแม้ว่าสัญญาณนี้อาจจะอ่อนกว่าก็คือ ถ้าบริษัท โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจบริการ มีการย้ายสำนักงานใหญ่ไปสู่สถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรามากซึ่งเป็นผลจากความ เฟื่องฟูของธุรกิจ เราควรระวังว่านั่นอาจจะเป็นจุดสูงสุดของบริษัทและมันกำลังจะเริ่มตกต่ำลง ประสบการณ์ที่ผมพบก็คือในการย้ายออฟฟิสของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในยุคก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งหลังจากการย้ายสำนักงานใหญ่ บริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มมีปัญหาล้มละลายกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การเปิดสำนักงานใหม่ที่หรูหรามากดูเหมือนจะเป็นภาพที่หลอกหลอนมากกว่าความ รื่นรมย์ และอาจจะต้องคิดดูว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นของบริษัท
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของสัญญาณที่เตือนให้เราจับตาดู ไม่ใช่สัญญาณที่บอกว่าหุ้นกำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูแล้วโอกาสที่จะมีปัญหาน่าจะสูง การขายหุ้นทิ้งก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด เราจะเสี่ยงทำไมถ้าไม่จำเป็น?
(source) http://www.thaivi.com/article/value-investor/405-.html
__________________
Never believe what you hear, and only half of what you see
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าเรากำลังคิดซื้อหุ้น หรือถือหุ้นตัวหนึ่งอยู่แล้ว เราจะต้องติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับกิจการ ผู้บริหาร และทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น เพื่อที่จะประเมินว่าเราควรทำอย่างไร จะซื้อ จะขาย หรือจะอยู่เฉย ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าข่าวต่าง ๆ มักจะไม่ส่งผลอะไรมากนักต่อการตัดสินใจของเรา อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดขึ้น เราควรจะต้องระมัดระวัง เพราะมันอาจจะบอกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับหุ้น และถ้าเราเกิดความวิตกกังวลมากเกินไป เราอาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่ความเลวร้ายจะปรากฏ
เรื่องแรกที่ผมคิดว่าน่ากลัวมากก็คือ บริษัทประกาศงบการเงินออกมา ตัวเลขผลการดำเนินงานดูปกติดี แต่เมื่อเราไปดูรายงานที่ผู้สอบบัญชีเขียนไว้โดยเฉพาะในหน้าแรก และถ้าเราอ่านแล้วเราก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ นี่ก็จะเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งขึ้น เหตุผลก็คือ ฝ่ายบริหารอาจจะกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ และสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่นั้น ไม่เคยเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ถ้าเจองบการเงินที่มีคำอธิบายยาวมาก ๆ โปรดระวัง
พูดถึงเรื่องงบการเงิน ก็มีคนบางคนให้ข้อสังเกตว่า ถ้าไตรมาศไหนบริษัทประกาศงบการเงินช้ากว่าที่เคยทำในปีก่อน ๆ เช่น เดิมเคยประกาศภายในประมาณ 40 วันหลังปิดงบ แต่งวดนี้ 43 วันแล้วก็ยังไม่ประกาศ แบบนี้ก็ให้สงสัยว่า ผลการดำเนินงานอาจจะไม่ค่อยดี ผู้บริหารจึงดึงเวลาให้ช้าที่สุดที่จะทำได้ จริงหรือไม่ก็ลองดูกันเอง
เหตุการณ์ที่สามที่ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นเราคงต้องระวังก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะที่ขายกันเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นจำนวนมาก เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าการขายหุ้นจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มี สภาพคล่องไม่สูงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับ ธุรกิจ ดังนั้น ในบางครั้งที่พวกเขารู้ หรือรู้สึกว่าธุรกิจจะประสบปัญหาหรือกำไรลดลงมากในอนาคต หรือพวกเขารู้สึกว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะสูงเกินพื้นฐาน เขาก็จะขายหุ้นออกมา แน่นอน การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ บางครั้งก็ไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะเพียงแต่ต้องการเงินไปใช้บ้าง อย่างไรก็ตาม การประเมินการขายว่าน่าจะมาจากเหตุผลอะไรอาจจะบอกเราได้ว่าเราควรจะทำอย่าง ไรกับหุ้นที่เราถืออยู่
เหตุการณ์ที่สี่ที่น่ากลัวก็คือ กรรมการ โดยเฉพาะที่เป็นกรรมการอิสระลาออกโดยไม่มีเหตุผลที่ดี นั่นก็คือ กรรมการลาออกโดยอ้างว่าไม่มีเวลาหรือต้องการไปทำภารกิจอื่น แต่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาไปรับตำแหน่งทางการเมืองหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ เวลามากมายที่ไหน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว กรรมการอิสระนั้น มักจะใช้เวลาในการทำหน้าที่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น กรรมการอิสระที่ลาออกโดย "ไม่มีเหตุผล" อาจจะเป็นการบอกว่า กรรมการเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในบริษัท และกลัวว่าตนจะต้องรับผิดชอบซึ่งไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่ได้รับในฐานะ กรรมการ จึงลาออก
เหตุการณ์ที่ห้าเป็นเรื่องที่ผมพบมาหลายครั้ง บริษัทเป็นโรงงานผลิตสินค้า ยอดขายของสินค้าเพิ่มขึ้นมาก กำไรของบริษัทเพิ่มตาม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักเชียร์ให้ซื้อหุ้น กำลังการผลิตของโรงงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ บริษัทประกาศขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงงานใหม่ นักวิเคราะห์ประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นทวีคูณ หุ้นวิ่งระเบิด แต่แล้ว หลังจากโรงงานใหม่เปิด กำไรของบริษัทกลับถดถอยลงและลดลงเรื่อย ๆ หุ้นที่เคยฟู่ฟ่าและเป็น "หุ้นคุณค่า" มีราคาตกต่ำลงไปมาก นักวิเคราะห์และคนเล่นหุ้นเลิกพูดถึง พฤติกรรมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะดีมากแต่กลับ "ผิดคาด" ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะดีที่สุดนี้ เตือนให้เรารู้ว่า การมองโลกในแง่ดีเกินไปในการลงทุนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการประกาศสร้างโรงงานใหม่ โปรดระวัง
เหตุการณ์สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่ห้าแม้ว่าสัญญาณนี้อาจจะอ่อนกว่าก็คือ ถ้าบริษัท โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจบริการ มีการย้ายสำนักงานใหญ่ไปสู่สถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรามากซึ่งเป็นผลจากความ เฟื่องฟูของธุรกิจ เราควรระวังว่านั่นอาจจะเป็นจุดสูงสุดของบริษัทและมันกำลังจะเริ่มตกต่ำลง ประสบการณ์ที่ผมพบก็คือในการย้ายออฟฟิสของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในยุคก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งหลังจากการย้ายสำนักงานใหญ่ บริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มมีปัญหาล้มละลายกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การเปิดสำนักงานใหม่ที่หรูหรามากดูเหมือนจะเป็นภาพที่หลอกหลอนมากกว่าความ รื่นรมย์ และอาจจะต้องคิดดูว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นของบริษัท
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของสัญญาณที่เตือนให้เราจับตาดู ไม่ใช่สัญญาณที่บอกว่าหุ้นกำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูแล้วโอกาสที่จะมีปัญหาน่าจะสูง การขายหุ้นทิ้งก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด เราจะเสี่ยงทำไมถ้าไม่จำเป็น?
(source) http://www.thaivi.com/article/value-investor/405-.html
__________________
Never believe what you hear, and only half of what you see
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
เหตุการณ์ที่สามคอย psychro ผมตลอด
จะหนีก็เสียดายเพราะคิดว่าอนาคตไกล จะถือก็ขาสั่น :lol: :lol: :lol:
ขอบคุณท่านอาจารย์ กับคุณ robokie มากครับ
จะหนีก็เสียดายเพราะคิดว่าอนาคตไกล จะถือก็ขาสั่น :lol: :lol: :lol:
ขอบคุณท่านอาจารย์ กับคุณ robokie มากครับ
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
DTAC ย้ายตึกไปจามจุรี ล่อซะครึ่งตึก หรูหรามาก อิอิเหตุการณ์สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่ห้าแม้ว่าสัญญาณนี้อาจจะอ่อนกว่าก็คือ ถ้าบริษัท โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจบริการ มีการย้ายสำนักงานใหญ่ไปสู่สถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรามากซึ่งเป็นผลจากความ เฟื่องฟูของธุรกิจ เราควรระวังว่านั่นอาจจะเป็นจุดสูงสุดของบริษัทและมันกำลังจะเริ่มตกต่ำลง ประสบการณ์ที่ผมพบก็คือในการย้ายออฟฟิสของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในยุคก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งหลังจากการย้ายสำนักงานใหญ่ บริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มมีปัญหาล้มละลายกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การเปิดสำนักงานใหม่ที่หรูหรามากดูเหมือนจะเป็นภาพที่หลอกหลอนมากกว่าความ รื่นรมย์ และอาจจะต้องคิดดูว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นของบริษัท
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1496
- ผู้ติดตาม: 0
สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณครับ
แต่หากซื้อ นี่สิครับ มีเหตุผลเดียวครับ .....
เรื่อง Insider ในหนังสือ Margin of Safety ให้มุมมองน่าสนใจครับ บอกว่า หากผู้บริหาร ขายหุ้น ก็มีได้หลายสาเหตุครับ เช่นขายเพราะเกินพื้นฐาน หรือขายเพราะรู้ว่าผลประกอบการจะออกมาไม่ดี หรือแค่ต้องการเงินใช้ธรรมดาเหตุการณ์ที่สามที่ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นเราคงต้องระวังก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะที่ขายกันเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นจำนวนมาก เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าการขายหุ้นจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มี สภาพคล่องไม่สูงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับ ธุรกิจ ดังนั้น ในบางครั้งที่พวกเขารู้ หรือรู้สึกว่าธุรกิจจะประสบปัญหาหรือกำไรลดลงมากในอนาคต หรือพวกเขารู้สึกว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะสูงเกินพื้นฐาน เขาก็จะขายหุ้นออกมา แน่นอน การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ บางครั้งก็ไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะเพียงแต่ต้องการเงินไปใช้บ้าง อย่างไรก็ตาม การประเมินการขายว่าน่าจะมาจากเหตุผลอะไรอาจจะบอกเราได้ว่าเราควรจะทำอย่าง ไรกับหุ้นที่เราถืออยู่
แต่หากซื้อ นี่สิครับ มีเหตุผลเดียวครับ .....
เวลากรรมการอิสระลาออกนี่ เขาแจ้งเหตุผลด้วยเหรอครับ นี่ต้องไปหาเองครับเหตุการณ์ที่สี่ที่น่ากลัวก็คือ กรรมการ โดยเฉพาะที่เป็นกรรมการอิสระลาออกโดยไม่มีเหตุผลที่ดี
- baby-investor
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยกับท่าน ดร. อย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะผู้บริหารนี่เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ถ้าผู้บริหารบริษัทไหนไม่ค่อยรับฟังผู้ถือหุ้น รวมถึงให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง หรือพูดเกินจริง เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจผิดบิดเบือนไปจากข้อมูลที่แท้จริง อันนี้ผมว่าน่ากลัวมากๆครับ
- konkaikong
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ขออนุญาติเพิ่มเติมจากท่านอาจารย์อีกข้อนะครับ
ข้อที่หก พอลมส่งเริ่มหมดผู้บริหารเริ่มใช้ปากเป่า ให้นึกถึงเรือใบที่แล่นไป
ท่ามกลางท้องทะเล พอลมทะเลหมดแรงส่ง ต้องออกมาช่วยกันเป่าให้ราคาวิ่งไป
การที่ผู้บริหารระดับสูงให้สัมภาษณ์แบบสร้างภาพให้อนาคตดู สวยหรูเกินจริง
ให้สัมภาษณ์บ่อยผิดปกติ แถมบางที่ หยอดตัวเลขมาให้นักลงทุนเก็บไปวาด
ฝันต่อที่บ้าน หรือเริ่มพูดเหมือนอาจารย์ที่ lecture วิชา business strategy
เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ให้ระวังไว้ให้ดีนะครับ
ของดีพูดน้อยต่อยหนัก พูดจริงทำจริง ไม่สลับซับซ่อน ตรงไปตรงมา
ข้อที่หก พอลมส่งเริ่มหมดผู้บริหารเริ่มใช้ปากเป่า ให้นึกถึงเรือใบที่แล่นไป
ท่ามกลางท้องทะเล พอลมทะเลหมดแรงส่ง ต้องออกมาช่วยกันเป่าให้ราคาวิ่งไป
การที่ผู้บริหารระดับสูงให้สัมภาษณ์แบบสร้างภาพให้อนาคตดู สวยหรูเกินจริง
ให้สัมภาษณ์บ่อยผิดปกติ แถมบางที่ หยอดตัวเลขมาให้นักลงทุนเก็บไปวาด
ฝันต่อที่บ้าน หรือเริ่มพูดเหมือนอาจารย์ที่ lecture วิชา business strategy
เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ให้ระวังไว้ให้ดีนะครับ
ของดีพูดน้อยต่อยหนัก พูดจริงทำจริง ไม่สลับซับซ่อน ตรงไปตรงมา
วันนี้คุณมีรองเท้าแล้วหรือยัง