smith_sanguan เขียน: แต่ที่ผมเห็นว่า vi ส่วนมากขาด คือ การปรับเปลี่ยนตามสภาวะแวดล้อม คือ ชอบยึดติด กับอดีตมากเกินไป แต่ จริงๆ Finance โดยมาก ต้องคาดการณ์ ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไม่ใช้ดูแค่งบดุล ต้องดูได้หมดครับ
อืม คมบาดใจดีครับ
จุดอ่อนของผมอยู่ตรงที่หัวใจ
เฮ้ย เกี่ยวไรว่ะ ไม่ใช่เคนธีรเดชนะ บ้าเป่า
:lol:
คุยกันเรื่องเนื้อหาต่อครับ
เห็นด้วยครับเรื่อง finance จะต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
คนที่ทำ dcf ก็บอกผมครับว่าเขาต้องคอย update dcf
ตลอดครับ บางทีผ่านไป 6 เดือนก็มาทำใหม่
ด้วยซ้ำเพราะได้ข้อมูลใหม่ๆมาหลายอย่าง
การลงทุนของบริษัท การทำนุ่นทำนี้เปลี่ยนไปครับ
อย่างตะก่อนคนดูงบก็เน้นดูแค่กำไรสุทธิกันใช่ไหมครับ
ผมเรียนมากขึ้นก็บอกให้ดูงบกระแสเงินสดเพิ่มครับ
และก็หัดอ่านหมายเหตุประกอบงบครับ
ตอนผมเรียน creative accounting ของอาจารย์วรศักดิ์
ยากมากครับ ต้องทวนแล้วทวนอีกกว่าจะรู้ ลูกเล่นของบริษัทจดทะเบียน
แต่สุดท้ายงบก็เป็นแค่ส่วนนึงของราคาหุ้น
เพราะงบคืออดีต แต่งบที่ดีบอกเราถึงแนวโน้มที่น่าจะดี
ของบริษัทจดทะเบียนได้
พูดตรงๆ รอบนี้ผมได้กำไร ไม่ได้อ่านงบเลย
ไม่ได้อ่านนี้คือ ไม่โหลดมาอ่านหลายเดือนมากๆ
ดูแค่ผ่านๆ สินทรัพย์หนี้สิน ไม่ได้แกะงบลึกแบบตะก่อนแล้ว
กลัวจะลืมวิชาที่เคยเรียนเหมือนกัน
บางทีมีไปอบรมบ้างของ cns เชิญจารย์วรศักดิ์มาพูด
ก็ไปนั่งฟังที่ sasin ฟังเสร็จก็ไม่ได้ทวน
มาดู fundflow ต่อ
ทุกวันนี้ fundflow ก็จะเน้นอะไรที่เป็น leading indicator ให้มากที่สุด
smith_sanguan เขียน: จริง มัน ก็ คือ สถิติ technical analysis ก็คือ สถิติ เหมือนกันแต่ไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ต้องรู้ครับ แต่ส่วนมากจะเลือกไม่สนใจเลย
ผมว่า techinc ก็คล้ายๆกับ fundflow ในแง่ว่า
เข้าใจวัฏจักรของสิ่งต่างๆ ศึกษาย้อนไปถึง crisis รอบต่างๆ ว่าตลาดทุนตลาดพันธบัตร commodity
จะมี พฤติกรรมยังไง
แล้วประเมินความน่าจะเป็นออกมาให้ได้มากที่สุด
อย่าล่าสุด เพิ่งได้ทฤษฏีใหม่ล่าสุดมา
เดือนสิงหาคม หุ้นเละแน่นอน
ผมก็อยากพิสูจน์ทฤษฏีนี้เหมือนกันว่าจะจริงไหม
สถิติเพียวๆ
มารอดูกัน
(โปรดอย่าถามว่าทฤษฏีอะไรเพราะผมคำนวณไม่เป็น
และคงไม่สามารถนำมาอธิบายต่อได้ ถือว่าเดาเล่นกันสนุกๆเท่านั้นนะ)