Expected value analysis
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 1
Warren Buffett คิดเรื่องการลงทุนเป้น decision tree ตลอดเวลา
พูดอีกอย่างคือ เขาคิดเป็น expected value analysis ตลอดเวลาครับ
การคิดอย่างนี้ ไม่ได้มุ่งไปที่เป้าหมายราคาอย่างที่เราคุ้นเคยและเข้าใจในการวิเคราะห์แบบเดิมๆ
การคิดอย่างนี้มีข้อดีคือการเผื่อความผิดพลาดที่จะเกิดกับการวิเคราะห์
อีกอย่างผมคิดว่าการวิเคราะแนว expected value นี้คล้องจองกับความคิดที่ว่า เหตุและผลในตลาดหุ้นไม่ได้มีตลอดเวลาครับ
ผมมีคำอธิบายดังนี้ครับ...
สัญชาติหมาไม่ทิ้งพันธุ์มันต้องเห่าหอนฉันใด สัญชาติมนุษย์มีนิสัยขอบซักไซ้หาเหตุผลเพื่อสามารถค้นพบคำอธิบายโดยละเอียดฉันนั้น แต่ผลในตลาดหุ้น บางครั้งมีเหตุ บางครั้งไม่ยักมีเหตุ ตาหลีตาเหลือกตะบึงควบกวดจี๋จู้จี้หาเหตุติดพันมันทุกวันอย่างนั้น สักวันมันจะกลายเป็นเหตุที่เซ่อซ่าเกะกะตีลังกาหงายท้องกลิ้งสะบัด มันเป็นเช่นนั้นเอง เราต้องล่วงรู้อารมณ์ของตลาด ตลาดไม่ได้มีเหตุผลกระดิกกระเดี้ยทุกวันหรอกครับ บางท่านขยันวิเคราะห์หาเหตุทุกวันจนหน้าตากระรุ่งกระริ่งเหมือนโดนกระดาษทรายถูครูดถลอกรอยเลือดซิบ
การที่จะหักปลายงอยอมรับความไม่มีเหตุผลในตลาดหุ้นนั้น บางท่านขมวดคิ้วเขย่าหน้าอย่างช้าๆ มันต้องกลั้นใจผิดธรรมชาติของนิสัยคน แต่เราต้องสะกดลมหายใจตัวเองให้ยอมรับ ทำเรื่องผิดธรรมชาตินี้ให้เป็นธรรมชาติให้ได้ กระโดดข้ามพ้นไป แค่นั่นเอง ยามใดตลาดหุ้นย่างเข้าฤดูกาลหน้าแล้งถิ่นกันดารที่สุด อาหารหลักหายาก งู ตะขาบ ตะกวด อันตรายแค่ไหนบางคนยังหากิน ได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าช่วงใด expected value มันติดลบ เราต้องเผื่อทางหนีทีไล่สำหรับความลี้ลับพิลึกกึกกือทั้งหลายที่เกิดในตลาดหุ้น อย่างน้อยเตรียมอาหารกระป่องสำรองพิเศษไว้กินในยามคับขันขีดสุด
เช่นนี้ลงทุนก็สบายใจได้!
มีคำถามเข้ามาพอดีครับ :P
\::)/ ...... ผมทำตามแนวทางนี้อยู่ครับ แต่มีปัญหาในการกำหนด prob. ในแต่ละกิ่ง
U ผมกำหนดตามความมั่นใจของข้อมูลที่หามาได้
/ \ บ่อยครั้งที่กำหนดมากไปหรือน้อยไป ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจ
พอมีคำแนะนำไหมครับ?
;) .... สวัสดีครับ ขอบคุณครับ ผมเข้าใจครับ
|O| แรกๆ เจอความยุ่งยากอย่างนี้เหมือนกันครับ
|| ได้ข้อมูลมา มานั่งแปลงเป็น prob นั้นไม่ง่าย
แต่พอมี circle of competence มากขึ้น มันคล่องไปเองครับ
ใช้ COC นี่ละครับ แปลงเป็น prob ได้ที่ที่สุดครับ
จะมีวิธีสะสม COC ให้เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ ticon อย่างไร
เอาอย่างนี้ครับ....
ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเสือครับ
นิสัยเสือขี้สงสัยครับ เวลามันจะล่าเหยื่อ
มันจะตามเหยื่ออยู่รายวันครับ ตามจนรู้จักนิสัยเหยื่อของมันเป้นอย่างดีครับ
ถ้ามันจะล่ากวาง มันจะตามกวางอย่างเดียวครับ
พอมันไปเจอหมู่ป่าระหว่างทาง มันจะไม่สนใจเลยครับ
พอมันตามกระทิง มันเจอกวาง มันก็ไม่สนใจ
พอมันตามช้าง มันเจอกระทิง มันก็สนใจไม่
นั่นละครับข้อดีของมันครับ focos ในเป้าหมายของมันอย่างเดียวเท่านั้น
งานอดิเรกของมัน คือ มันจะชอบสะกดรอยดูพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ครับ
มันจะตามศึกษาเรียนรู้นิสัยสัตว์ที่มันจะล่าอย่างกระตือรือร้น
ตามจนมันแน่ใจว่า มันจู่โจมแล้วแล้วไม่พลาดแน่ มันถึงลงมือครับ
แม้กระทั่งเสือยังคิดเป็น expected value ครับ
ถ้ามันไม่หิว มันจะตามดูเฉย ๆ ครับ
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
ผมเคยเจอเสือว่ายน้ำข้ามฝากแม่น้ำในป่า
มันว่ายกลับไปกลับมาอยู๋ 3 รอบครับ
สังเกตว่ามันพยายาม ว่ายให้ตรงแนวกอไผ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แต่มันว่ายไปแล้ว กระแสน้ำพัดมันลอยไปตามน้ำ
ทำให้มันว่ายไม่ตรงกอไผ่สักที มันต้องลองถึง 3 รอบ มันถึงจะเผื่อระยะได้ถูกครับ
เสือมันมี circle of competence มากขึ้นครับ
จะว่าไป...
เสือมัน invest first แล้ว investigate later
เสือมีสมมุติฐาน แล้วมันลองทำดูครับ
สมมุติฐาน มาก่อนคำพิพากษาครับ
ส่วนสิ่งที่ก่อนสมมุติฐาน คือ สัณชาติญาณของเสือครับ
ผมลองใช้กับ ticon สร้างสมมุติฐานขั้นมา
แล้ว Invest first, investigate later
ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด
บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ
คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ผมทำไม่บ่อยครับ
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
หวังว่า เรื่องเสือจะทำให้เข้าใจ expected value มากขึ้นครับ.....
::)/ ----- ขอบคุณมากครับ สำหรับ มุมมองของการใช้
|U COC ในการประมาณ prob. ครับ เรื่องเสือจะทำให้พอเข้าใจ expected value มากขึ้นครับ
|| แต่.เพิ่งพบว่า ผมเป็นแมวเหมียวครับ
ผมใช้ ปันผลกับราคาเป้าหมาย ใส่ decision tree ในการคำนวณ expected profit
แล้วหักลบ ด้วย mos อีกที แบบว่าพยายามหา a high probability event ของปู่บัฟนะครับ
เมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูลเก่า ticon ที่ผมทำไว้ เมื่อ ปีที่แล้ว
พบว่า circle of competence ของผมมันวงเล็กและเบี้ยวมากด้วย
คงต้องพัฒนาด้วยการ focus ต่อไป
เสือที่พี่เล่าให้ฟังนั้นน่าจะเป็น เสือโซSoros มากกว่า ปู่บัฟนะครับ
(เพิ่งอ่าน the winning investment habits of Warren Buffett and George Soros ได้ไม่กี่บท)
อยากถามเพิ่มครับ พี่แตกกิ่ง บ่อยแค่ไหนครับ
และพอบอกได้ไหมว่า ticon ตอนนี้ expected value เป็นอย่างไรบ้างครับ?
:closedeyes:......แมวดีครับ 55555
/O| นิสัยแมวกับนิสัยการหา expected value มันแยกกันไม่ออกครับ
/ \ แมว เขาว่าแมวมี 9 ชีวิต มันเอาตัวรอดได้เก่ง
ธรรมชาติชอบปีนที่สูง ถ้ามันไม่คิดเรือง expected vale มันเสร็จแน่
หมาเห็นอะไรก็เห่า ไม่รู้จักโจมตีอย่างเงียบๆ
เขาว่า หมาเห่าไม่กัด เพราะตอนกัดนั้นมันไม่เห่า 55555
นั่งมองแมว เห้นทีจะจริง
แมวมีนิสัยความขี้เล่นชั่งสงสัยแบบเด็ก
มันเห็นเชื่อก เอาเท้าไปเขี่ย
นิสัยแบบนี้ต้องมีสมมุติฐาน แล้วทดสอบสมมุติฐานว่าถูกต้องหรือไม่
มันลองผิด ลองถูกจนรู้จริง
ถ้ามันนั่งจ้องเชือกอย่างเดียว แล้วหา prob มันคงตายไปหลายครั้งแล้ว
จะว่าไป มันมีความคิดเป้นวิทยาศาสตร์อย่างมาก
นิสัย invest first investigate later คิอนิสัยของแมว
และมันจำเป็นต่อนิสัยในหา expected value อย่างมาก
และการเอาตัวรอดเมื่อรู้ว่าพลาดนั้นเป็นหัวใจของการคิดแบบ expected value
ปรัชญา circle of competece กับ ปรัชญา invest first, investigate later มันแยกกันไม่ออก
และมันคือนิสัยของแมว แมวที่เขาว่ามี 9 ชีวิตนั่นเอง
ถ้าเราไม่มีปรัชญา invest first, investigate late
เราจะเอาแต่ circle of competence ที่เป็นรูปธรรมมาแปลงเป็น prob
เอาแต่ส่วนที่เป็นรูปธรรม มาทำเป็น prob ก็ได้แบบรูปธรรมเท่านั้น
ส่วน COC แบบนามธรรมที่เราเข้าใจบ้าง ไม่แน่ใจบ้าง ไม่มีความแน่นอนในอนาคต
เราไม่เอามาแปลงเป็น prob แบบนามธรรม ซึ่งตรงนั้นเป็นข้อผิดพลาดอย่างมาก
นักลงทุนทุกคนมีความเชื่อ บางคนเรียกประสบประการณ์
บางคนเรียกสัญชาติญาณ ผมเรียกว่า circle of competence
ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม ตัว COC นี้เองมี prob ในตัวของมันเอง
และมันเป็น prob ที่คนส่วนใหญ่ไม่เอามาคิดรวมกับ prob ของ ticon
แม้มี COC เก่งกล้าสามารถสักแค่ไหน
คนก็ยังเป้นคน มีอารมณ์เข้ามาเกียวข้องด้วยเสมอ
ท่านไม่มี human error ไม่จำเป้นต้องมี prob
ถ้าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ อย่าลืมใส่ prob ที่เป็นตัวท่านเองลงไปผสมด้วย
แรบไบโซรอสแยกอารมณ์ออกจากการลงทุนทุกครั้ง
เพราะต้องการตัด prob ที่เกี่ยวกับตัวเองออกไปนั่นเอง
องค์ประกอบของ Prob มีทั้งตัวเลข บน/ล่าง เป็นเศษส่วนซึ่งกันและกัน
เรื่อง FOCUS นั้น ท่านยิ่งมีมากเท่าใด ท่านยิ่งเพิ่มส่วน "ล่าง" มากเท่านั้น
ส่วนล่างเป็นหัวใจที่ทำให้ขอบของ circle of competece
มันเข้มขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้น เหมือนกับที่แมวมันเพิ่มส่วนล่างของมันทุกวัน
เวลาท่านเห็นใครพูดถึง prob ของ ticon
ท่านอย่าลืมถามว่า ส่วนล่างของคนพุดมีมากแค่ไหน
คนแรกบอกมีแค่ 2 ครั้ง แล้วจับมาหาร 1/2 นั่น 50% แล้ว
คนสองบอก prob ผม 30% เอง แต่มาจากส่วนล่างถึง 66 ครั้ง ส่วนบน 19.8
ฟังแล้วถ้าไม่ไตร่ตรองให้ดี เราจะนึกว่าคนแรกมั่นใจกว่า
แต่เขาลองแค่ 2 ครั้งเอง มันเทียบกับ frequency ของคนที่สองไม่ได้เลย
ถ้าไป focus อยู่ที่ % มากเกินไป นักลงทุนคนนั้นคงน่าเป็นห่วง
อย่างนี้ต้องเรียนรู้จากแมว
แต่ถ้าเรียนรูจากน้องแมวอวบๆ ขาวๆ ยิ่งต้องเป็นห่วงหนักเข้าไปอีก
ผมไม่แนะนำครับ 555555555
ส่วนเรืองคำถาม Expected value
EV แต่ละท่านไม่เหมือนกัน
พุดเรื่อง EV ตัวเดียวกัน แต่มีรสชาติต่างกัน
EV ของผม คิดตลอดเวลาเหมือนหายใจ
ทางพุทธเข้าว่า คือ สติ
แต่ผมใส่ standard deviation เข้าไป
เติม algorithm เข้าไปอีกนิด
เตืม ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เศรษศาสตร์ จิตวิทยา เข้าไปหน่อย
เอาให้เข้มข้น แล้วแต่ว่าจะปรุงอย่างไรครับ
สติคนเรามันขึ้นกับไหวพริบ ชั้นเชิง หลักการเอาตัวรอด
และ ความรู้ต่างๆ ที่มี
เรืองสตินี้ถาม ป๋าพอใจ ท่านเก่งมากครับ
ส่วนเรื่อง EV อยากทราบเพิ่มเติม ให้ถาม ท่านบอล ครับ
เรื่องแยกอารมณ์ออกจากการเทรดต้องถาม พี่เล็ก Harry
เรื่องระบบในการเทรดต้องถามท่าน mudley
ส่วนเรื่องล่าเสือ ต้องถามพรานหุ้นอย่าง ป๋านันจัง ครับ
ส่วนผมเป็นได้แค่ลูกหาบคร้าบบบบเจ้านายยยย......
สวัสดีครับ.......
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 2
มี PM มาถามขออนุญาติตอบในนี้ครับ....
ขอบคุณครับ
/......ขอมุมมองเรื่อง แนวโน้มในอนาคตของ ticon หน่อยครับผม
/U ผมถือตัวนี้มานานมาก ที่ราคา ราวๆ 6 บาท ราคามันไม่ไปไหนเลย
\| จนทำให้หวั่นใจ แถมถ้าใครไล่ซื้อโดนทุบราคาใส่ซะงั้น
ขอรบพี่ ช่วยวิเคราะห์ มุมมองของพี่ให้ฟังหน่อยนะครับ
เผื่อเข้าผิดตัวจะได้ถอย ผมเป็นมือใหม่ ยังไม่ชำนาญด้านการวิเคราะห์
รบกวนด้วยนะครับ
.....invert ครับ ผมแนะนำให้คิดแบบ invert
/O| ตื่นมามองกระจกถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่มีหุ้น
| \ เราจะซื้อไหม ผมว่าคำตอบท่านมีในใจอยู่แล้ว
ผมจะเล่าเป็นมหากาพย์เลย
แล้วเขาจะบอกว่า "พี่ขอสั้น ๆครับ"
ส่วนใหญ่ไม่ชอบวิธีหาปลา ชอบให้จับปลามาให้
คนยิว ถามอะไร เขาตอบเป้นวิธีหาปลาหมดเลย
invert ครับ
วิธีหาปลามันมี low frequency ก็จริง แต่มันมี high EV
ticon มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีตลอดเวลา
ท่านซื้อด้วยอารมณ์ ท่านก็ขายด้วยอารมณ์
ผมซื้อด้วยระบบ ผมก็ขายด้วยระบบ
..."อืมมม์...ผมมีอิทธิพลขนาดนั้นเลยหรือนี่!"
คนส่วนใหญ่เรียนในระบบ Newtonian มี effect แล้วต้องมี cause
ถ้าหมาหอน ต้องเห็นผี ถ้าหุ้นขึ้น ต่างชาติซื้อ
พยายามหาเหตุผลมาอธิบาย
ตลาดหุ้น ไม่ใช่ที่ที่เราจะคิดแบบ Newtonian
ในโรงเรียน 1 + 1 เท่ากับ 2
องค์ประกอบของ 2 เกิดจาก 1 สองตัวบวกกัน
คิดแบบนักวิเคราะห์ทั่วไป เขาคิดอย่างนั้น
อยากเข้าใจอะไร ก็แยกย่อยส่วนประกอบ ทำความเข้าใจกับรายละเอียด
แยกย่อยแล้วจับมารวมกันอีก มันกลายเป็นเลข 2 เหมือนเดิม
ในตลาดหุ้น มันมีเรื่องของ efficient และ inefficient อยู่ด้วย
ต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยไปลงทุน
ทำไมหุ้นตัวหนึ่งผลประกอบดีขึ้น แต่ราคาไม่ขยับ
ไปดุ earnings ดู sale ดู investment มันดีทุกอย่างเลย
ตีค่ามาเป็นราคาที่ควรจะเป็น เราแยกย่อย แล้วประกอบทุกอย่าง
เรากำลังคิดว่า 1 + 1 = 2 ทำไมไม่เป็นอย่างที่คิด
มันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอกครับ
มันมี expectation ของตลาดด้วย ต้องเข้าใจเรื่องนี้
และต้องเข้าใจด้วยว่ามันมีพฤติกรรม critical mass อยู่ในตลาดหุ้น
1 สองตัวมันสะท้อนกลับไปกลับมา มันไมได้เป้นสมการเส้นตรงอย่างที่เราคิด
critical mass มันจะทำให้ 1 + 1 กลายเป็นเลขอะไรก็ได้
ไปอ่านเพิ่มเติมของ แรบไบโซรอส
....."อืมมม์....."
สำหรับมือใหม่...
เรื่องการลงทุน มันต้องใช้ความรู้หลายๆ อย่าง
บัญชีอย่างเดียวไม่พอ ผมไปยืนดูเขาซ่อมมือถือ
อุปกรณ์แม่มเต็มไปหมดเลย ถ้ามีแต่ไขควง แล้วไปซ่อมทั้งเครื่อง
คงซ่อมกันไม่ได้ ในกล่องเครืองมือการลงทุนของเรา
เราต้องมีอุปกรณ์หลายอย่างเช่นกัน มันต้องคิดเป็นแบบ complex system
ไปหาอ่านจาก แรบไบมังเกอร์กับแรบไบเบนจามิน เฟลงคลิน
...."อย่าไปเชื่อโหน่งมันมาก 55555"
เรื่องการลงทุน เรื่องการใช้เงิน และ การใช้ชีวิต มันไปทางเดียวกัน
คนที่เก่งการลงทุน เก่งเรื่องการใช้ชีวิต
นักลงทุนที่สำคัญของโลกมีอายุที่ยืนยาวทั้งนั้น
ลองสังเกตุดูครับ
expected value thinker มี life expectancy มากกว่าคนปกติทั่วไป
อยากรู้ว่าคนไหนเก่งคิดแบบ expected value ให้ถามเขาว่า
ท่านคิดว่าการหาเงินง่ายกว่าใช้เงินหรือไม่?
การซื้อหุ้นยากกว่าการขายหุ้นหรือไม่?
หรือจะเอาแบบที่ Warren Buffett แนะนำ
ท่านเก่งเรื่อง expected value
...."ไม่ต้องชมกันขนาดนั้นหรอกโหน่ง! "
ให้คิดว่าเรามีโอกาสเพียง 20 ครั้งในชีวิตในการซื้อหุ้นเท่านั้น
หรือที่เขาบอกว่า คนใช้เวลา 5 ปี ในการทำความดีสร้างชื่อเสียง
แต่ทำความชั่วครั้งเดี่ยวแค่ 5 นาที มันลบความดีออกหมดเลย
นั่นเป้นความคิดแบบ expected value
พูดมาซะยาวแล้ว ไปส่งลูกแล้วครับ
ขอบคุณครับ ^ ^
- mineknight
- Verified User
- โพสต์: 43
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 3
เหมือนวิธีประเมินความเสี่ยงเลยครับ
แบบ Event tree analysis......
แบบ Event tree analysis......
Yesterday is history, Tomorrow is a mystery,ฺ Bฺut today is a gift . That is why it is called the present.
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 4
เขียนได้ มันส์ พะยะค่ะ จริงๆ
วันก่อนสมิทธิเพิ่งมาทักว่า
ผมไม่ค่อยโพสอะไรยาวๆแล้วเดี๋ยวนี้
ผมมาคิดๆ ก็คงจริงของเขานะ
หมดมุข...ฮ่า...
เรื่องสตินี่
ผมนิวคิดอินทาวน์เหลือเกินครับ
เมื่อวานยังมีน้องคนนึงเข้ามาทักเรื่องทำบุญหวังผล หวังเล่นหุ้นรวย จะดีหรือ
ผมล่ะ...อายจัง(ไม่ใช่คนยี่ปุ่นนะ)
สุภาษิตเขาถึงว่า(บางคน)
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
วันก่อนสมิทธิเพิ่งมาทักว่า
ผมไม่ค่อยโพสอะไรยาวๆแล้วเดี๋ยวนี้
ผมมาคิดๆ ก็คงจริงของเขานะ
หมดมุข...ฮ่า...
เรื่องสตินี่
ผมนิวคิดอินทาวน์เหลือเกินครับ
เมื่อวานยังมีน้องคนนึงเข้ามาทักเรื่องทำบุญหวังผล หวังเล่นหุ้นรวย จะดีหรือ
ผมล่ะ...อายจัง(ไม่ใช่คนยี่ปุ่นนะ)
สุภาษิตเขาถึงว่า(บางคน)
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 1
Expected value analysis
โพสต์ที่ 5
อ่านหลายครั้ง พี่โหน่งสอนหลายหน เข้าใจก็ยาก ทำให้ได้ยิ่งยากกว่าถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
มิน่าละตอนนี้เซียนหุ้นหลายท่านถึงชอบทำวิปัสนา หากิเลส ตัณหา ทำสมาธิ คุมสติ เพื่อให้บรรลุวิทยายุทธขั้นสุดยอดนี่เอง
ขอบคุณครับ
สติมา ปัญญาเกิด
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 7
[quote="humdrum"]invert ครับ ผมแนะนำให้คิดแบบ invert
ตื่นมามองกระจกถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่มีหุ้น
เราจะซื้อไหม ผมว่าคำตอบท่านมีในใจอยู่แล้ว
ตื่นมามองกระจกถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่มีหุ้น
เราจะซื้อไหม ผมว่าคำตอบท่านมีในใจอยู่แล้ว
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับ
เรียนถามครับ
1. Expected value นี่เป็น dynamic ไม่ใช่เหรอครับ มันไม่หยุดนิ่ง และ market ก็ dynamic MOS ก็ dynamic เพราะฉนั้น แผนภูมินี้และคนคิด ก็ต้อง dynamic ไปด้วย ใช่ไหมครับ
2. จากหลักการความไม่แน่นอน ของ Heisenberg (Heisenberg's Uncertainty) certainty is uncertainty เราควรจะเอามาคำนวณใน prob ยังไงครับ
เรียนถามครับ
1. Expected value นี่เป็น dynamic ไม่ใช่เหรอครับ มันไม่หยุดนิ่ง และ market ก็ dynamic MOS ก็ dynamic เพราะฉนั้น แผนภูมินี้และคนคิด ก็ต้อง dynamic ไปด้วย ใช่ไหมครับ
2. จากหลักการความไม่แน่นอน ของ Heisenberg (Heisenberg's Uncertainty) certainty is uncertainty เราควรจะเอามาคำนวณใน prob ยังไงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 10
มีคำถามครับ ขออนุญาติตอบในนี้ครับ
\::)/............อีกเรื่องหนึ่งที่ อ.มังเกอร์ บอกเกี่ยวกับปู่บัพเฟต
ice ปู่บัพเฟต เป็น learning machine เรื่่องนี้ ผมไม่ค่อยเข้าใจ
| \ เท่าไรครับว่าหมายความว่าอะไร?
:oops: .......ตอบยากมากเลยครับ อืมมม์
/O\ ไม่รู้เหมือนกันครับ ต้องไปถามคนพูดครับ อิอิ
| \ ตอบแบบผม ผมจะมองเรื่อง learning ในแบบคนยิวครับ
ตอนนี้คนที่รวยที่สุดในโลก คือ วอเร้น บัฟเฟต
คนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขานั้นเป้นคนยิวที่ชื่อ แรบไบ เบนจามิน แกรม
เบนจามินนั้นเป้นชื่อยิว
เบนจามิน เฟลงคลินก็เป็นยิวเช่นกัน
คนนี้เป็น อาจารย์ของ ชาลี มังเกอร์
มังเกอร์เป็น business partner ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของบัฟเฟต
ทั้งบัฟเฟต และ มังเกอร์ ไม่ไ่ด้เ็ป็นคนยิว
แต่ได้ค้นพบหลักการความฉลาดแบบคนยิว
และนำมาปรับใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
พวกเขาทั้งสอง หาใครสักคนให้เลียนแบบ
ใช้แรงบันดาลใจจาก "อ.แกรม และ อ.แฟลงคลิน"
ที่เขาเรียนแบบได้เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเอง
และช่วยปลุกศัทธาและความแข็มแข็งให้กับตัวเอง
อย่างที่พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าพวกเขามี
และทำให้พวกเขาเป็นอะไรได้ดีที่สุดอย่างที่เขาจะเป็นได้
และเป็นการบังเอิญเสียเหลิอเกินที่ "แรงบันดาลใจ"
ของคนทั้งสองจะเป็นคนยิวอย่างเบนจามินทั้งสองท่านซะด้วย
ในสังคมยิว มีระบบ "แรบไบ" ครับ แรบไบนี้ ผู้นำในชุมชน
การติดตามแร็บไบเพื่อเรียนรู้วิธีคิดของท่าน
หรือแม้กระทั่งธรรมเนียมปฎิบัติของท่านเหล่านั้นเป้นลักษณะเฉพาะของคนยิว
ที่เคยมีมาเป็นพันๆ ปี และ จะมีอยู่ตลอดไป
แต่บัฟเฟตและมังเกอร์นั้นไม่ได้ทำตาม "แร็บไบแกรม" และ "แร็บไบแฟรงคลิน"
แบบไม่ลืมหัวลืมตา พวกเขาไม่ไ่ด้รับจากคนทั้งสองมาทุกอย่าง
แต่กลับคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ในลักษณะสมดุลและเป็นอิสระ
และใช้วิจารณญาณของพวกเขาเองและไม่ปฎิเสธลักษณะเฉพาะและตัวตนของตนเองเลย
บัฟเฟตกับมังเกอร์นั้นปรึกษากันตลอดเวลาครับ
การทำงานแบบจับคู่เต้นแทงโก้เป็นลักษณะของคนยิว
พวกเขาจะมีคู่หูหรือที่เรียกว่า "เฮฟรูทา"
่ ต้องเรียนร่วมกันตั้งแต่เด็กๆ เลย และ ครุจะเป้นคนเลือกให้พวกเขา
เมื่อโตขึ้น พวกเขารับผิดชอบตนเองกันได้แล้ว จึงหาคู่ที่เหมาะสมให้ตัวเอง
ไม่เคยเป้นสาม แต่จะเป้นคู่เสมอ!
วิธีนี้จับคู่นี้ ย้อนยุคไปสมัยที่พวกเขาถูกตามล่าจากชนชาตือื่น
และต้องเร่ร่อนไปในทะเลทราย
ด้วยสาเหตุที่ขาดแคลนครูและไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน
ทำให้ต้องคิดค้นระบบการเรียนแบบจับคู่
เพื่อช่วยเหลือกันและกันและรักษาสืบต่อคัมภีรืโทราที่ศักสิทิ์ของพวกเขาฺได
นี่คือที่มาของวิธีการเรียนแบบนี้!!
นักลงทุนสามารถดัดแปลงวิธีนี้มาใช้กับตนเอง
แนวความคิดพื้นฐานคือเมื่อเรียนร่วมกับเพืื่อน
เราจะได้อธิบายและขยายความในสิ่งที่เราคิด
เราเรียนจากคูู่่่หุและ สอนเขาในเวลาเดียวกัน
เทรดเดอร์คูหูที่ดีคือผู้ที่กระตุ้นให้เกิดความสัมพันธ์ที่เื่อื้อประโยชน์ต่อกัน
เพื่อนำสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากกันและกัน
วิธีการเรียนแบบนี้ช่วยกระตุ้นความคิดและการเรียนรู้ในระดับที่ลึกซึ้ง
เทรดเดอร์ทั้งสองคนต้องรู้ว่าตรงไหนไม่ควรล้ำเส้น
และตั้งใจไปถึงตรงไหนตรงข้อถกเถียงนั้น
การตะโกน จับผิดกัน เถึียงกัน และปล่อยให้ทุกสิ่งพาคนทั้งสองคนไปถึงระดับปิติยินดีสุงสุด
เรียนรู้ด้วยพลังงานทั้งหมด ด้วยตัวตนทั้งหมด ด้วยจิตวิญญาณทั้งหมด
แม้กระทั่งโสกราติสของกรีซยังยอมรับวิธีนี้ของยิวครับ
เขาบอกว่า...
สมองของนักเรียนของเขาอย่างเพลโตนั้น
( เพลโตเป้นอาจารย์ของอริสโตเติลครับ
และอริสโตเติลเป้นอาจารย์์ืของ พระเจ้าอเล้กซานเดอร์มหาราช)
จะรับข้อมูลได้ดีที่สุด ไม่ใช่จากการสอนของเขา
ความรู้จะสะสมเพิ่มขึ้น และสติปัญญาจะพัฒนาขึ้นต่อเมื่อนักเรียนแปรรูปข้อมูลด้วยตนเอง
กล่าวอีกอย่างคือ บทบาทที่แท้จริงของครูนั้น
คือแค่เป้นคนกลางให้นักเรียนรู้จักคิดเรื่องต่างๆ
โดยผ่านกระบวนการค้นหาความจริงด้วยตนเองนั่นเอง!!
ไม่เพียงแค่นั้นครับ ที่สำคัญ....
เมื่อเทรดเดอร์ต้องสอนคนอื่น
เมืือเราต้องมอบการศึกษากับคนอื่น
เมื่อความรับผิดชอบในการส่งมอบความรู้ให้แก่คู่หูของเราวางอยู่บนบ่าแล้ว
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น พวกเราก็มีแรงจูงใจที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาอย่างสุดความสามารถ
คำว่า education นั้น มาจากภาษาละตินว่า educare ที่แปลว่า "การดึงออกมา" ครับ
ถ้า Warren Buffett เป็น learning machine ก็ต้องหาที่เสียบปลั๊ก
Chalie Munger จะเป็นที่จ่ายกระแสไฟได้ดีเสมอ
ถ้าไม่ใช้วิธีนี
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับเจ้านายยยย....... [/img]
\::)/............อีกเรื่องหนึ่งที่ อ.มังเกอร์ บอกเกี่ยวกับปู่บัพเฟต
ice ปู่บัพเฟต เป็น learning machine เรื่่องนี้ ผมไม่ค่อยเข้าใจ
| \ เท่าไรครับว่าหมายความว่าอะไร?
:oops: .......ตอบยากมากเลยครับ อืมมม์
/O\ ไม่รู้เหมือนกันครับ ต้องไปถามคนพูดครับ อิอิ
| \ ตอบแบบผม ผมจะมองเรื่อง learning ในแบบคนยิวครับ
ตอนนี้คนที่รวยที่สุดในโลก คือ วอเร้น บัฟเฟต
คนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขานั้นเป้นคนยิวที่ชื่อ แรบไบ เบนจามิน แกรม
เบนจามินนั้นเป้นชื่อยิว
เบนจามิน เฟลงคลินก็เป็นยิวเช่นกัน
คนนี้เป็น อาจารย์ของ ชาลี มังเกอร์
มังเกอร์เป็น business partner ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของบัฟเฟต
ทั้งบัฟเฟต และ มังเกอร์ ไม่ไ่ด้เ็ป็นคนยิว
แต่ได้ค้นพบหลักการความฉลาดแบบคนยิว
และนำมาปรับใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
พวกเขาทั้งสอง หาใครสักคนให้เลียนแบบ
ใช้แรงบันดาลใจจาก "อ.แกรม และ อ.แฟลงคลิน"
ที่เขาเรียนแบบได้เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเอง
และช่วยปลุกศัทธาและความแข็มแข็งให้กับตัวเอง
อย่างที่พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าพวกเขามี
และทำให้พวกเขาเป็นอะไรได้ดีที่สุดอย่างที่เขาจะเป็นได้
และเป็นการบังเอิญเสียเหลิอเกินที่ "แรงบันดาลใจ"
ของคนทั้งสองจะเป็นคนยิวอย่างเบนจามินทั้งสองท่านซะด้วย
ในสังคมยิว มีระบบ "แรบไบ" ครับ แรบไบนี้ ผู้นำในชุมชน
การติดตามแร็บไบเพื่อเรียนรู้วิธีคิดของท่าน
หรือแม้กระทั่งธรรมเนียมปฎิบัติของท่านเหล่านั้นเป้นลักษณะเฉพาะของคนยิว
ที่เคยมีมาเป็นพันๆ ปี และ จะมีอยู่ตลอดไป
แต่บัฟเฟตและมังเกอร์นั้นไม่ได้ทำตาม "แร็บไบแกรม" และ "แร็บไบแฟรงคลิน"
แบบไม่ลืมหัวลืมตา พวกเขาไม่ไ่ด้รับจากคนทั้งสองมาทุกอย่าง
แต่กลับคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ในลักษณะสมดุลและเป็นอิสระ
และใช้วิจารณญาณของพวกเขาเองและไม่ปฎิเสธลักษณะเฉพาะและตัวตนของตนเองเลย
บัฟเฟตกับมังเกอร์นั้นปรึกษากันตลอดเวลาครับ
การทำงานแบบจับคู่เต้นแทงโก้เป็นลักษณะของคนยิว
พวกเขาจะมีคู่หูหรือที่เรียกว่า "เฮฟรูทา"
่ ต้องเรียนร่วมกันตั้งแต่เด็กๆ เลย และ ครุจะเป้นคนเลือกให้พวกเขา
เมื่อโตขึ้น พวกเขารับผิดชอบตนเองกันได้แล้ว จึงหาคู่ที่เหมาะสมให้ตัวเอง
ไม่เคยเป้นสาม แต่จะเป้นคู่เสมอ!
วิธีนี้จับคู่นี้ ย้อนยุคไปสมัยที่พวกเขาถูกตามล่าจากชนชาตือื่น
และต้องเร่ร่อนไปในทะเลทราย
ด้วยสาเหตุที่ขาดแคลนครูและไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน
ทำให้ต้องคิดค้นระบบการเรียนแบบจับคู่
เพื่อช่วยเหลือกันและกันและรักษาสืบต่อคัมภีรืโทราที่ศักสิทิ์ของพวกเขาฺได
นี่คือที่มาของวิธีการเรียนแบบนี้!!
นักลงทุนสามารถดัดแปลงวิธีนี้มาใช้กับตนเอง
แนวความคิดพื้นฐานคือเมื่อเรียนร่วมกับเพืื่อน
เราจะได้อธิบายและขยายความในสิ่งที่เราคิด
เราเรียนจากคูู่่่หุและ สอนเขาในเวลาเดียวกัน
เทรดเดอร์คูหูที่ดีคือผู้ที่กระตุ้นให้เกิดความสัมพันธ์ที่เื่อื้อประโยชน์ต่อกัน
เพื่อนำสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากกันและกัน
วิธีการเรียนแบบนี้ช่วยกระตุ้นความคิดและการเรียนรู้ในระดับที่ลึกซึ้ง
เทรดเดอร์ทั้งสองคนต้องรู้ว่าตรงไหนไม่ควรล้ำเส้น
และตั้งใจไปถึงตรงไหนตรงข้อถกเถียงนั้น
การตะโกน จับผิดกัน เถึียงกัน และปล่อยให้ทุกสิ่งพาคนทั้งสองคนไปถึงระดับปิติยินดีสุงสุด
เรียนรู้ด้วยพลังงานทั้งหมด ด้วยตัวตนทั้งหมด ด้วยจิตวิญญาณทั้งหมด
แม้กระทั่งโสกราติสของกรีซยังยอมรับวิธีนี้ของยิวครับ
เขาบอกว่า...
สมองของนักเรียนของเขาอย่างเพลโตนั้น
( เพลโตเป้นอาจารย์ของอริสโตเติลครับ
และอริสโตเติลเป้นอาจารย์์ืของ พระเจ้าอเล้กซานเดอร์มหาราช)
จะรับข้อมูลได้ดีที่สุด ไม่ใช่จากการสอนของเขา
ความรู้จะสะสมเพิ่มขึ้น และสติปัญญาจะพัฒนาขึ้นต่อเมื่อนักเรียนแปรรูปข้อมูลด้วยตนเอง
กล่าวอีกอย่างคือ บทบาทที่แท้จริงของครูนั้น
คือแค่เป้นคนกลางให้นักเรียนรู้จักคิดเรื่องต่างๆ
โดยผ่านกระบวนการค้นหาความจริงด้วยตนเองนั่นเอง!!
ไม่เพียงแค่นั้นครับ ที่สำคัญ....
เมื่อเทรดเดอร์ต้องสอนคนอื่น
เมืือเราต้องมอบการศึกษากับคนอื่น
เมื่อความรับผิดชอบในการส่งมอบความรู้ให้แก่คู่หูของเราวางอยู่บนบ่าแล้ว
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น พวกเราก็มีแรงจูงใจที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาอย่างสุดความสามารถ
คำว่า education นั้น มาจากภาษาละตินว่า educare ที่แปลว่า "การดึงออกมา" ครับ
ถ้า Warren Buffett เป็น learning machine ก็ต้องหาที่เสียบปลั๊ก
Chalie Munger จะเป็นที่จ่ายกระแสไฟได้ดีเสมอ
ถ้าไม่ใช้วิธีนี
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับเจ้านายยยย....... [/img]
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 11
เพิ่มเติมอีกนิดครับ
วันนี้ต้องไปทำธุระแล้วครับ
credit : ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้จาก "เจอโรมกลายเป็นอัฉริยะ"
"Everybody engaged in complicated work needs colleagues. Just the discipline of having to put your thoughts in order with somebody else is a very useful thing."
Charlie Munger
วันนี้ต้องไปทำธุระแล้วครับ
credit : ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้จาก "เจอโรมกลายเป็นอัฉริยะ"
"Everybody engaged in complicated work needs colleagues. Just the discipline of having to put your thoughts in order with somebody else is a very useful thing."
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 12
มาแล้วครับ อืมมม์ ยากแฮะ!
เอาละ ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
ขอตอบครับ....อืมมม์
/ ........1. Expected value นี่เป็น dynamic ไม่ใช่เหรอครับ มัน
|นอน ไม่หยุด นิ่ง และ market ก็ dynamic MOS ก็ dynamic
|| เพราะฉะนั้น แผนภูมิ นี้ และ คนคิด ก็ต้อง dynamic ไป
ด้วย ใช่ไหมครับ?
....... สวัสดีครับ ผมไม่แน่ใจ
|O\ แต่ลองอ่านเรื่องตัวเลมมิ่ง ท่านอาจมีคำตอบ
| \ มันเป็นสัตว์ตัวจิ๋วอาศัยในแถบอาร์คติดชึ้นไปทาง
เหนือใกล้ ๆ บ้านซานตา ปรี้เก่ง ท้องง่าย ตายยาก
นึกถึงอัตราการเกิดเลมมิ่งคล้ายเลข Fibonacci
จับมาคู่เดียวเมียกับผู้ใส่กรง 1 ต่อ 1 สักแป๊บ
กรงจะสั่น ป๊าบบบ ๆ ๆๆๆๆ แล้วกลายเป้น
2 3 5 8 13 21 34 55 89 144 233 377 610 987 1597 2584 4181 6765
ในการลงทุน...
expected value อย่างนี้ใครๆ ก็อยากหาเจอ
แต่นายฟิโบไปลองกับกระต่าย พอค้นพบความสัมพันธ์นี้ก็
เลยไปเขียนตำราขึ้น ใคร ๆพากันเรียกรุปแบบนี้ว่า ฟิโบแนคซี่
กระต่ายมันมีธรรมชาติที่ dynamic มากนะครับ
ตื่นตูมง่าย ๆ แต่สู้เลมมิ่งไมได้ครับ!
ทุก ๆ 4 ปี คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ เมือประชากรเลมมิ่งเยอะเกิน...
คืนที่อิ่มตัวนี่ละครับ คืนที่จะมีบางตัวจะเริ่มคลั่งก่อน
พี่ท่านจะเริ่มวิ่งพล่าน ชนตัวโน้นตัวนี้
และตัวอื่นมันจะเริ่มวิ่งกันบ้าง ไปๆ มา
ทั้งฝูงจะวิ่งกันหมด วิ่งถึงเช้าครับ
ตลาดเริ่ม dynamic แล้วครับ
และจะมีบางตัวออกนำไปก่อน ไปไหนหรือครับ?
ไปหา MOS ที่อยู่ใหม่ครับ ตัวหนึ่งไป อีกหลายตัวก็ตาม
การอพยพไปหาถิ่นใหม่เพื่อหนีความแออัดก็เริ่มขึ้น
ระหว่างทาง แต่ละตัว dynamic กันให้มั่วไปหมด
เหยียบกันตายบ้าง อดตายบ้าง โดนสัตว์อื่นกินบ้าง
จุดมุ่งหมาย วิ่งมาที่ทะเลครับ พอถึงแล้ว พี่ท่านก็กระโดดทีละ
ตัวทีละตัว ลงน้ำตีท่ากุนเชียงบ้าง ท่าผีเสื้อบ้าง
ว่ายๆ ไปเรื่อยๆ พอหมดแรงแล้วก็ตายกันเองครับ
ตัวข้างหลังตั้ง "สติ " ได้เมื่อไหร่ ก็หันหลังกลับ
แล้วไปตั้งรกรากหาที่ปรี้ใหม่ 1 1 2 3 5...
และ อีก 4 ปีข้างหน้า เมื่อประชากรเยอะเกิน
คินหนึ่งในฤคูใบไม้ผลิ......
เหมือนมันถูกตั้งโปรแกรมในยีนกันมาอย่างนี้
ผมไม่รู้ว่านักลงทุนในตลาดเป็นอย่างนี้หรือปล่าว
ใครอยากดูของจริง เขามีสารคดีผ่านยูทูปครับ
http://www.youtube.com/watch?v=VWuiGWkd7mM
ข้อเท็จจริงบางครั้งอาจไม่ต่างกันเลยนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรมเลมมิ่งนี้ได้สะท้อนแนวคิด
ในเรื่องที่เกียวกับทฤษฎีทางจิตวิทยาของพฤติกกรมมนุษย์
ที่ไปสัมพันธ์กับวิชาเศรษศาสตร์ Behavioral Economics
เรื่องของพฤติกรรมของฝูงชน
ยังคงมีให้เห้นเป้นเรื่องจริงทั้งในตลาดหุ้นและนอกตลาด
แรบไบชาลี มังเกอร์ เป้นคนแรก ๆ ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไปหาอ่านเพิ่มเติมใน THE PSYCHOLOGY OF HUMAN MISJUDGMENT
http://vinvesting.com/docs/munger/human ... ement.html
ผมต้องขอขอบคุณ แรบไบ เบนจามิน แกรม เสนอเรื่อง Mr.Market
ที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมอัน dynamic ไร้เหตุผลของนักลงทุนได้ดี
อีกหน่อยเราคงต้องเริ่มให้คะแนนท่าโดดน้ำของ Mr.Market
ด้วยความจริงใจครับ ผมไม่อยากเห็นใครใน thaivi โดดน้ำไปเหมือนตัวเลมมิ่งอย่างนั้น
ถ้าใครอยากโดดจริง ผมจะอธิษฐานพระเจ้าเผื่อท่านครับ
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ ^ ^
เอาละ ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
ขอตอบครับ....อืมมม์
/ ........1. Expected value นี่เป็น dynamic ไม่ใช่เหรอครับ มัน
|นอน ไม่หยุด นิ่ง และ market ก็ dynamic MOS ก็ dynamic
|| เพราะฉะนั้น แผนภูมิ นี้ และ คนคิด ก็ต้อง dynamic ไป
ด้วย ใช่ไหมครับ?
....... สวัสดีครับ ผมไม่แน่ใจ
|O\ แต่ลองอ่านเรื่องตัวเลมมิ่ง ท่านอาจมีคำตอบ
| \ มันเป็นสัตว์ตัวจิ๋วอาศัยในแถบอาร์คติดชึ้นไปทาง
เหนือใกล้ ๆ บ้านซานตา ปรี้เก่ง ท้องง่าย ตายยาก
นึกถึงอัตราการเกิดเลมมิ่งคล้ายเลข Fibonacci
จับมาคู่เดียวเมียกับผู้ใส่กรง 1 ต่อ 1 สักแป๊บ
กรงจะสั่น ป๊าบบบ ๆ ๆๆๆๆ แล้วกลายเป้น
2 3 5 8 13 21 34 55 89 144 233 377 610 987 1597 2584 4181 6765
ในการลงทุน...
expected value อย่างนี้ใครๆ ก็อยากหาเจอ
แต่นายฟิโบไปลองกับกระต่าย พอค้นพบความสัมพันธ์นี้ก็
เลยไปเขียนตำราขึ้น ใคร ๆพากันเรียกรุปแบบนี้ว่า ฟิโบแนคซี่
กระต่ายมันมีธรรมชาติที่ dynamic มากนะครับ
ตื่นตูมง่าย ๆ แต่สู้เลมมิ่งไมได้ครับ!
ทุก ๆ 4 ปี คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ เมือประชากรเลมมิ่งเยอะเกิน...
คืนที่อิ่มตัวนี่ละครับ คืนที่จะมีบางตัวจะเริ่มคลั่งก่อน
พี่ท่านจะเริ่มวิ่งพล่าน ชนตัวโน้นตัวนี้
และตัวอื่นมันจะเริ่มวิ่งกันบ้าง ไปๆ มา
ทั้งฝูงจะวิ่งกันหมด วิ่งถึงเช้าครับ
ตลาดเริ่ม dynamic แล้วครับ
และจะมีบางตัวออกนำไปก่อน ไปไหนหรือครับ?
ไปหา MOS ที่อยู่ใหม่ครับ ตัวหนึ่งไป อีกหลายตัวก็ตาม
การอพยพไปหาถิ่นใหม่เพื่อหนีความแออัดก็เริ่มขึ้น
ระหว่างทาง แต่ละตัว dynamic กันให้มั่วไปหมด
เหยียบกันตายบ้าง อดตายบ้าง โดนสัตว์อื่นกินบ้าง
จุดมุ่งหมาย วิ่งมาที่ทะเลครับ พอถึงแล้ว พี่ท่านก็กระโดดทีละ
ตัวทีละตัว ลงน้ำตีท่ากุนเชียงบ้าง ท่าผีเสื้อบ้าง
ว่ายๆ ไปเรื่อยๆ พอหมดแรงแล้วก็ตายกันเองครับ
ตัวข้างหลังตั้ง "สติ " ได้เมื่อไหร่ ก็หันหลังกลับ
แล้วไปตั้งรกรากหาที่ปรี้ใหม่ 1 1 2 3 5...
และ อีก 4 ปีข้างหน้า เมื่อประชากรเยอะเกิน
คินหนึ่งในฤคูใบไม้ผลิ......
เหมือนมันถูกตั้งโปรแกรมในยีนกันมาอย่างนี้
ผมไม่รู้ว่านักลงทุนในตลาดเป็นอย่างนี้หรือปล่าว
ใครอยากดูของจริง เขามีสารคดีผ่านยูทูปครับ
http://www.youtube.com/watch?v=VWuiGWkd7mM
ข้อเท็จจริงบางครั้งอาจไม่ต่างกันเลยนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรมเลมมิ่งนี้ได้สะท้อนแนวคิด
ในเรื่องที่เกียวกับทฤษฎีทางจิตวิทยาของพฤติกกรมมนุษย์
ที่ไปสัมพันธ์กับวิชาเศรษศาสตร์ Behavioral Economics
เรื่องของพฤติกรรมของฝูงชน
ยังคงมีให้เห้นเป้นเรื่องจริงทั้งในตลาดหุ้นและนอกตลาด
แรบไบชาลี มังเกอร์ เป้นคนแรก ๆ ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไปหาอ่านเพิ่มเติมใน THE PSYCHOLOGY OF HUMAN MISJUDGMENT
http://vinvesting.com/docs/munger/human ... ement.html
ผมต้องขอขอบคุณ แรบไบ เบนจามิน แกรม เสนอเรื่อง Mr.Market
ที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมอัน dynamic ไร้เหตุผลของนักลงทุนได้ดี
อีกหน่อยเราคงต้องเริ่มให้คะแนนท่าโดดน้ำของ Mr.Market
ด้วยความจริงใจครับ ผมไม่อยากเห็นใครใน thaivi โดดน้ำไปเหมือนตัวเลมมิ่งอย่างนั้น
ถ้าใครอยากโดดจริง ผมจะอธิษฐานพระเจ้าเผื่อท่านครับ
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ ^ ^
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 14
เหลือข้อ 2 ใช่ไหมครับ
อืมมม์.....ยากอีกเหมือนเคยละครับ
เอาละ ลองดูครับ!
\:roll:/ ......... 2. จากหลักการความไม่แน่นอน ของ Heisenberg
นอน (Heisenberg's Uncertainty) certainty is uncertainty เรา
/ \ ควรจะเอามาคำนวณใน prob ยังไงครับ?
....... uncertainy กับ reflexivity มันแยกกันไม่ออกครับ
|O\ cause and effect มันตีรวนเป็นวงกลมหมดเลย
|| ตอนปี 2524 หนูตอนระบาดแถวตลาดทีผมอยู๋
กรรมการตลาด ประกาศให้ตัวละสลึงค์แลกหนู 1 ตัว
คนแย่งกันจับ พอหนูเริ่มหมด
ผมกับเพื่อนไปเพาะหนูมาขาย
คิดแบบเด็ก ๆ ไมได้คิดเรื่องอื่นเลย อยากได้ตังค์
การตัดสินใจครั้งนั้น ถือว่าโง่มาก
ผมไปเพาะหนูกับเพื่อนใน Gang มาขาย
เพาะไปแล้ว มันเยอะ แรก ๆ เราก็ดีใจมาก
ตอนหลังมันคลุมไม่ได้แล้ว เพื่อนคนหนึ่งโดนหนูกัด
ไม่ยอมบอก ทีนี้ไข้ขึ้น พวกเราไม่รู้ มันไปวิ่งที่วัด
พวกเราวิ่งไล่กัน กระต่ายขาเดียว แล้วกลางวัน
จู่ๆ มันล้มลงตรงบ่อน้ำ ไปตายที่โรงพยาบาล
เอา uncertainty มาคำนวณใน prob ได้อย่างนี้ครับ
rat surplus up---> Bobae government action up -------> rat surplus down
1 rat = 0.25 baht
Reflexivity ------> Gang
rat surplus up---> Bobae government action up -------> rat surplus down
1 rat = 0.25 baht |
|____> Gang action up------> Raise rat farm ---->rat surplus up 1 rat = 0.25 baht
Rat case study ----------> Team A---ผมกับเพื่อน รวม 5 คนเป็นคนเลี้ยงหนู
-------------->Team B ---เพื่อน รวม 5 คน เป้นคนขาย
Team A = a b c d e f
Team B = ก ข ค ง จ
แต่ละคน...
O
\U\
/ \
A มี 5 สมาชิก เท่ากับ 5 non-reflexive interactions
B มี 5 สมาชิก เท่ากับ 5 non-reflexive interactions
การสื่อสารเป็นสองทางครับ พวกเราไม่มีการบังคับกัน เป้น 2-ways communication
ในกลุ่ม...
\ O O / O O O
U\ |U |U| |U/ /U\
|| || || | \ / |
A มี 5 สมาชิก เท่ากับ 10 reflexive interactions
B มี 5 สมาชิก เท่ากับ 10 reflexive interactions
A กับ B เราเจอกันแถบทุกวัน มองหน้าพูดคุยกันตลอด
\ O O / O O O
U\ |U |U| |U/ /U\
|| || || | \ / |
\ O/ O / O O/ /O
U |U |U| |U U\
|| /| / \ | \ / |
A มี 5 สมาชิก B มี 5 สมาชิก เท่ากับ 25 reflexive interactions
เขียนเป้นสมการได้ดังนี้...
5A + 5B + 10 between A + 10 between B +25 between AB = 55 interactions
18% (10/55) = non-reflexive interactions
82% (45/55) = reflexive interactions
ผม predict ได้แค่ 18% เท่านั้น
อีก 82% นั้น ถือว่าเข้าข่าย uncertainty
มัน forcast ไม่ได้เสมอไป
ตอนเช้าฟังข่าว ยุงลาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
จากหากินกลางวันเป้นยึด OT ไปจนถึง 5 ทุ่ม
มันขยันขึ้นครับ ไม่ใช่เพราะมันได้รับผลกระทบจากวิกิดเศรษฐกิจ
แต่มันได้รับผลกระทบจากสิ่งที่น่ากลัวกว่า
ผลกระทบทางอากาศที่กำลังร้อนขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวด
uncertainty ทำให้ยุงปรับตัว
ยุงมี survival instinct ยุงเป้นนักล่า
คนเป้นเหยื่อ
คนต้องเตรียมตัวปรับตัวหลายอย่างด้วยเหมือนกันครับ
เรื่องยุง เรื่องหนู เรื่องคน เรื่องตลาด SET
เรื่องเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย การส่งออก
เรื่องต่างๆ มันจะยุ่งหรือจะดี ต้องดูจุด reflexive
พอมันจุดนี้ มัน non-reflexive แล้ว
แล้ว uncertainty ต่าง ๆ ก็เกิดได้ทั้งนั้นครับ
เมือยแล้วครับ
ผมจะกลับไปเขาใหญ่แล้ว
ตอบคำถามพอแล้วครับ
โชคดีและสวัสดีครับ..... ^ ^
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณครับพี่ hum drum
ไปเมืองจีนกลับมา hum ยัง drum ดีอยู่รึเปล่าครับ :lol:
เรื่องยิว
ผมเคยไปอบรมที่อิสราเอลนานเกือบเดือน
คนยิวนี่เป็นตัวของตัวเอง ระเบียบ วินัย จัดมาก
ไปดูงาน มีกำหนด ต้องตามกำหนดเป๊ะ
บ่าย๒ เข้าไปแล้ว ถ้ายังดูงานรอบเช้าไม่หมด
ข้าวกลางวันก็รอไปก่อน
ที่ที่พัก อาหารถ้ากินไม่หมดนี่ มื้อต่อไปมันจะมารอคุณอยู่
ขนาดไกด์ธรรมดาๆคนหนึ่ง เวลาพูดถึงประวัติศาสตร์งี้
มือเกร็ง น้ำตาซึม
เขาเล่าว่า ตอนมาตั้งประเทศใหม่ๆ ยากจน ของทุกอย่างตอนเย็นต้อง
โยนรวมกันไว้
เช้าขึ้นมาใครจะหยิบชิ้นไหนไปก็ได้
ทุกวันนี้เขาจึงยังมีระบบคอมมูน ทำให้กองกลาง
เว็บไทยวิ นี่ก็เป็นคอมมูนดีเหมือนกัน
เรื่อง เลมมิ่ง
ผมมีสัตว์ใกล้ตัว........แมงมุม
เคยสังเกตุ ใยแมงมุมที่สานต่อเป็นรังสวยงามไหมครับ
ในฐานะสถาปนิก ผมว่า อันนี้สุดยอดสถาปัตยกรรม
มีmaterial อันเดียว คือ ใย
แต่ออกแบบให้สวยงาม เป็นทั้ง บ้านที่อยู่อาศัย เป็นที่ทำงานหาเหยื่อกิน เป็นยานพาหนะ เป็นทุกอย่าง
แต่รวมๆออกมา มันเรียบง่ายมากนะครับ
จะเรียบง่ายให้ได้อย่างนี้ มันต้องมีปรัชญาในการดำรงชีวิตด้วยนะ
ไม่งั้นมันเรียบง่ายไม่ได้หรอก
คงเหมือนกับ buffett
ที่ทั่วๆไป เขาบอกว่า when investing, keep it simple
don't try to to develop complicated answers to complicated question
เรียบง่าย......แต่เบื้องลึกนั้นซับซ้อนเหลือคณา
เอ หรือว่า ซับซ้อนสูงสุดจนคืนสู่สามัญ
ไปเมืองจีนกลับมา hum ยัง drum ดีอยู่รึเปล่าครับ :lol:
เรื่องยิว
ผมเคยไปอบรมที่อิสราเอลนานเกือบเดือน
คนยิวนี่เป็นตัวของตัวเอง ระเบียบ วินัย จัดมาก
ไปดูงาน มีกำหนด ต้องตามกำหนดเป๊ะ
บ่าย๒ เข้าไปแล้ว ถ้ายังดูงานรอบเช้าไม่หมด
ข้าวกลางวันก็รอไปก่อน
ที่ที่พัก อาหารถ้ากินไม่หมดนี่ มื้อต่อไปมันจะมารอคุณอยู่
ขนาดไกด์ธรรมดาๆคนหนึ่ง เวลาพูดถึงประวัติศาสตร์งี้
มือเกร็ง น้ำตาซึม
เขาเล่าว่า ตอนมาตั้งประเทศใหม่ๆ ยากจน ของทุกอย่างตอนเย็นต้อง
โยนรวมกันไว้
เช้าขึ้นมาใครจะหยิบชิ้นไหนไปก็ได้
ทุกวันนี้เขาจึงยังมีระบบคอมมูน ทำให้กองกลาง
เว็บไทยวิ นี่ก็เป็นคอมมูนดีเหมือนกัน
เรื่อง เลมมิ่ง
ผมมีสัตว์ใกล้ตัว........แมงมุม
เคยสังเกตุ ใยแมงมุมที่สานต่อเป็นรังสวยงามไหมครับ
ในฐานะสถาปนิก ผมว่า อันนี้สุดยอดสถาปัตยกรรม
มีmaterial อันเดียว คือ ใย
แต่ออกแบบให้สวยงาม เป็นทั้ง บ้านที่อยู่อาศัย เป็นที่ทำงานหาเหยื่อกิน เป็นยานพาหนะ เป็นทุกอย่าง
แต่รวมๆออกมา มันเรียบง่ายมากนะครับ
จะเรียบง่ายให้ได้อย่างนี้ มันต้องมีปรัชญาในการดำรงชีวิตด้วยนะ
ไม่งั้นมันเรียบง่ายไม่ได้หรอก
คงเหมือนกับ buffett
ที่ทั่วๆไป เขาบอกว่า when investing, keep it simple
don't try to to develop complicated answers to complicated question
เรียบง่าย......แต่เบื้องลึกนั้นซับซ้อนเหลือคณา
เอ หรือว่า ซับซ้อนสูงสุดจนคืนสู่สามัญ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- puthorn
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 18
ขออนุญาตลง link รายละเอียดของรูปแรกเผื่อมีคนต้องการนะครับ
http://www.sgsystems.com/case_study_exp ... ions.shtml
ปล. คุณ humdrum ช่วยขยายความ dicision tree กับการประเมินราคาบริษัทหน่อยครับ ( ไม่รู้ว่าเป็นประเด็นที่ต้องการสื่อหรือเปล่า ) ขอบคุณนะครับ
http://www.sgsystems.com/case_study_exp ... ions.shtml
ปล. คุณ humdrum ช่วยขยายความ dicision tree กับการประเมินราคาบริษัทหน่อยครับ ( ไม่รู้ว่าเป็นประเด็นที่ต้องการสื่อหรือเปล่า ) ขอบคุณนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 19
.
\ :lol:/...... ทุกทีจะเข้าใจที่ป๋าสื่อ
naris แต่คราวนี้ ยอมแพ้ครับป๋า
/ \ มันลึกเกินความรู้ของผมไปแล้ว
/......ไมได้ลึกอะไรหรอกครับ ผมอธิบายไม่ดีเองครับ
|O ต้องขอโทษด้วยครับ ผมติดนิสัยมองในมุม reflexivity
|| ผมมองในมุมว่าทุกอย่างมัน uncertain
เหมือนครั้งหนึ่ง...
งานเลี้ยงรับประทานอาหาร ผมเจอเซียนสาม 3 ท่าน
นายกระทิง
นายเสือ
นายสิงโต
ถามหุ้นท่าน ประมาณ 7 ตัว
แล้วให้พวกเขาเลือกจัดลำดับที่ตัวเองชอบคัดเลือก
จากชอบที่สุดถึงชอบน้อยที่สุด
A B C D E F G
ผลในตาราง เห็นว่าไม่ค่อยตรงกันเท่าไร
ลำ ดับ กระทิง เสือ สิงโต
1 A B C
2 D A B
3 C E A
4 B D F
5 G C E
6 F G D
7 E F G
หลังจากนั้น ผมลองให้เซียนเปรียบเทียบ A B
ตัวไหนได้เสียงข้างมาก 2/3 ถือว่าชนะ
แล้วไปเทียบกับ C ตัวไหนชนะไปเทียบกับ D
ทำไปเรื่อยๆ จนถึง G
การตัดสินใจของพวกเขามีเหตุและผลมาก มั่นคง และ ไม่ปลี่ยนแปลง
ผลออกมาจึงเป้นผลที่ได้ตามตาราง
จากตาราง กระทิงชอบ A > B
ส่วน นาย เสือ และ สิงโตชอบ B มากกว่า
เสียง 2: 1
ผล B ชนะ A
ต่อมา.. เทียบ B ----- C
กระทิงชอบ C เสือ ชอบ B สิงโต ชอบ C
C ชนะ B
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ..
ผลสุดท้าย G เป้น Best Stock !
แต่...ถ้าดูตาราง จะเห้นว่า G แทบอยู่รั้งท้ายตารางเลย
ถ้าอย่างนั้นการทดลองภาคสนามวิธีนี้ มีสิ่งผิดปกติแล้ว?
นี่เป็นความผิดปกติของการคิดแบบตรรกะ
ในการใช้เสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย
คนที่ค้นพบ ชื่อ Kenneth Arrow
ท่านได้รับ Nobel ปี 1972 ทฤษฎีนี้เรียกว่า Arrows Impossibility Theorem
ความหมายคือ....
การรวบรวม aggregated expectation ของคนที่มีเหตุผล
ผลที่ออกมา คือ ความไร้เหตุผล
ลองเปลี่ยนชื่อ A B C เป็นชื่อหุ้น
เราจะไปถึงจุดสรุปบางอย่าง
Aggregated expectation ทำให้ทุกอย่างมี uncertainty
สุภาษิตไทยเขาว่า "มากหมอมากความ"
ผมไปนั่งสมาธิที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อท่านสั่งว่า "ห้ามคุย"
สั้นๆ แค่นั้นสำคัญมาก ๆ อธิบายเรื่อง Aggregated expectation
โลกตะวันตกต้องให้ Nobel prize กับหลวงพ่อ
เวลาคนงานที่โรงงานเก่ง ๆ 3 คน มารวมกัน มันคุยกันน่าดู
คนเก่งมารวมกัน งานจะไมได้เรื่องเลย เพราะคุยกันน่าดู
ท่านนริศคลุมคนงาน
ท่านคงมีคำตอบในใจแล้ว
ในการปกครองเราเรียก Democracy
ในเศรษศาสตร์ เรียกมันว่า Equilibrium
โครงสร้างของ Equilibrium
ของตลาดหุ้นแต่ละประเทศ ลักษณะไม่เหมือนกันครับ
ท่านนริศไปลงทุนต่างประเทศ ให้สังเกตที่ผมบอกว่าจริงหรือปล่าว
โครงสร้างและประวัติศาสตร์ของคนในประเทศ
มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิด Equilibrium
ผมมีคำถามสนุก ๆ มาฝาก
งาน meeting นักลงทุน จัดตรงกับวัน ฮาโลวัน
คราวนี้ พี่กระทิง เสือ สิงโต เซียนสามท่าน เจ้าภาพเตรียมหมวกไว้ ให้
สำหรับเซียนโดยเฉพาะ สมาชิกท่านอื่นจะได้ทราบฐานะของ ranking
มีหมวก แดง 3 ใบ ขาว 2 ใบ
มีนักลงทุนท่านหนึ่ง อยากทดสอบความเป็นเซียน
เลยขอร้องให้ทั้ง 3 ท่าน
ยืนเรียงแถว โดย สิงโต ยืนหน้า เสือ และ เสือ ยืนหน้า กระทิง
:lol:/
\U| |U /U\ /U\
|| / | || / \
กระทิง เสือ สิงโต นักลงทุน
จากนั้นทั้ง 3 ท่านถูกจับให้ใส่หมวกคนละใบ ที่เหลือก็เก็บไป
ทั้งสามท่านเห็นเฉพาะคนที่ใส่หมวกข้างหน้าตนเองเท่านั้น ไม่รูว่าตัวเองใส่
หมวกสีอะไร
^ ^ ^
:oops: \ /
\U| |U| /U\ U
|| / | || / \
กระทิง เสือ สิงโต นักลงทุน
"ท่านกระทิง ท่านใส่หมวกสีอะไร" \
U/
/ \
นักลงทุนคนเดิมเริ่มถาม..
^
---- "ผมไม่รู้"
|U\
||
เซียนกระทิง
" ท่านเสือละครับ" --- \
U/
/ \
นักลงทุน
^
:lol: ---- "ไม่ทราบเช่นกันครับ"
/U\
||
เซียนเสือ
จากนั้น มีเสียง เซียนสิงโตยืนหน้าสุดที่ไม่เห็นหมวกใครเลยกล่าวขึ้นว่า
^
/ -------- " อ๋อ....ผมรู้แล้ว"
/U
||
เซียนสิงโต
ถามว่า เซียนสิงโต ใส่หมวกสีอะไรครับ
เพราะเหตุใด ถึงทราบได้ครับ?
\ :lol:/...... ทุกทีจะเข้าใจที่ป๋าสื่อ
naris แต่คราวนี้ ยอมแพ้ครับป๋า
/ \ มันลึกเกินความรู้ของผมไปแล้ว
/......ไมได้ลึกอะไรหรอกครับ ผมอธิบายไม่ดีเองครับ
|O ต้องขอโทษด้วยครับ ผมติดนิสัยมองในมุม reflexivity
|| ผมมองในมุมว่าทุกอย่างมัน uncertain
เหมือนครั้งหนึ่ง...
งานเลี้ยงรับประทานอาหาร ผมเจอเซียนสาม 3 ท่าน
นายกระทิง
นายเสือ
นายสิงโต
ถามหุ้นท่าน ประมาณ 7 ตัว
แล้วให้พวกเขาเลือกจัดลำดับที่ตัวเองชอบคัดเลือก
จากชอบที่สุดถึงชอบน้อยที่สุด
A B C D E F G
ผลในตาราง เห็นว่าไม่ค่อยตรงกันเท่าไร
ลำ ดับ กระทิง เสือ สิงโต
1 A B C
2 D A B
3 C E A
4 B D F
5 G C E
6 F G D
7 E F G
หลังจากนั้น ผมลองให้เซียนเปรียบเทียบ A B
ตัวไหนได้เสียงข้างมาก 2/3 ถือว่าชนะ
แล้วไปเทียบกับ C ตัวไหนชนะไปเทียบกับ D
ทำไปเรื่อยๆ จนถึง G
การตัดสินใจของพวกเขามีเหตุและผลมาก มั่นคง และ ไม่ปลี่ยนแปลง
ผลออกมาจึงเป้นผลที่ได้ตามตาราง
จากตาราง กระทิงชอบ A > B
ส่วน นาย เสือ และ สิงโตชอบ B มากกว่า
เสียง 2: 1
ผล B ชนะ A
ต่อมา.. เทียบ B ----- C
กระทิงชอบ C เสือ ชอบ B สิงโต ชอบ C
C ชนะ B
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ..
ผลสุดท้าย G เป้น Best Stock !
แต่...ถ้าดูตาราง จะเห้นว่า G แทบอยู่รั้งท้ายตารางเลย
ถ้าอย่างนั้นการทดลองภาคสนามวิธีนี้ มีสิ่งผิดปกติแล้ว?
นี่เป็นความผิดปกติของการคิดแบบตรรกะ
ในการใช้เสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย
คนที่ค้นพบ ชื่อ Kenneth Arrow
ท่านได้รับ Nobel ปี 1972 ทฤษฎีนี้เรียกว่า Arrows Impossibility Theorem
ความหมายคือ....
การรวบรวม aggregated expectation ของคนที่มีเหตุผล
ผลที่ออกมา คือ ความไร้เหตุผล
ลองเปลี่ยนชื่อ A B C เป็นชื่อหุ้น
เราจะไปถึงจุดสรุปบางอย่าง
Aggregated expectation ทำให้ทุกอย่างมี uncertainty
สุภาษิตไทยเขาว่า "มากหมอมากความ"
ผมไปนั่งสมาธิที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อท่านสั่งว่า "ห้ามคุย"
สั้นๆ แค่นั้นสำคัญมาก ๆ อธิบายเรื่อง Aggregated expectation
โลกตะวันตกต้องให้ Nobel prize กับหลวงพ่อ
เวลาคนงานที่โรงงานเก่ง ๆ 3 คน มารวมกัน มันคุยกันน่าดู
คนเก่งมารวมกัน งานจะไมได้เรื่องเลย เพราะคุยกันน่าดู
ท่านนริศคลุมคนงาน
ท่านคงมีคำตอบในใจแล้ว
ในการปกครองเราเรียก Democracy
ในเศรษศาสตร์ เรียกมันว่า Equilibrium
โครงสร้างของ Equilibrium
ของตลาดหุ้นแต่ละประเทศ ลักษณะไม่เหมือนกันครับ
ท่านนริศไปลงทุนต่างประเทศ ให้สังเกตที่ผมบอกว่าจริงหรือปล่าว
โครงสร้างและประวัติศาสตร์ของคนในประเทศ
มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิด Equilibrium
ผมมีคำถามสนุก ๆ มาฝาก
งาน meeting นักลงทุน จัดตรงกับวัน ฮาโลวัน
คราวนี้ พี่กระทิง เสือ สิงโต เซียนสามท่าน เจ้าภาพเตรียมหมวกไว้ ให้
สำหรับเซียนโดยเฉพาะ สมาชิกท่านอื่นจะได้ทราบฐานะของ ranking
มีหมวก แดง 3 ใบ ขาว 2 ใบ
มีนักลงทุนท่านหนึ่ง อยากทดสอบความเป็นเซียน
เลยขอร้องให้ทั้ง 3 ท่าน
ยืนเรียงแถว โดย สิงโต ยืนหน้า เสือ และ เสือ ยืนหน้า กระทิง
:lol:/
\U| |U /U\ /U\
|| / | || / \
กระทิง เสือ สิงโต นักลงทุน
จากนั้นทั้ง 3 ท่านถูกจับให้ใส่หมวกคนละใบ ที่เหลือก็เก็บไป
ทั้งสามท่านเห็นเฉพาะคนที่ใส่หมวกข้างหน้าตนเองเท่านั้น ไม่รูว่าตัวเองใส่
หมวกสีอะไร
^ ^ ^
:oops: \ /
\U| |U| /U\ U
|| / | || / \
กระทิง เสือ สิงโต นักลงทุน
"ท่านกระทิง ท่านใส่หมวกสีอะไร" \
U/
/ \
นักลงทุนคนเดิมเริ่มถาม..
^
---- "ผมไม่รู้"
|U\
||
เซียนกระทิง
" ท่านเสือละครับ" --- \
U/
/ \
นักลงทุน
^
:lol: ---- "ไม่ทราบเช่นกันครับ"
/U\
||
เซียนเสือ
จากนั้น มีเสียง เซียนสิงโตยืนหน้าสุดที่ไม่เห็นหมวกใครเลยกล่าวขึ้นว่า
^
/ -------- " อ๋อ....ผมรู้แล้ว"
/U
||
เซียนสิงโต
ถามว่า เซียนสิงโต ใส่หมวกสีอะไรครับ
เพราะเหตุใด ถึงทราบได้ครับ?
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
Expected value analysis
โพสต์ที่ 20
ในเวปนี้ ไม่มีใครทำให้ผมคิดมาก ได้เท่ากับพี่โหน่งอีกแล้ว.
ที่พี่พูดมานั่นเป็นความรู้ใหม่แก่ผมอีกแล้วครับท่าน.
นับถือจริงๆ
ถึงว่าดิ วอเรนจะมีคู่คิดแค่คนเดียว
ปีเตอร์ลินซ์ไม่มีคู่คิดเลย
แม้นกระทั่ง เบนจามิน โซรอส ฟิลลิป ดร.นิเวศน์ และผู้รู้จริงทั้งหลาย ท่านเป็นสิงห์หรือเปล่าคุณโหน่ง
ที่พี่พูดมานั่นเป็นความรู้ใหม่แก่ผมอีกแล้วครับท่าน.
นับถือจริงๆ
ถึงว่าดิ วอเรนจะมีคู่คิดแค่คนเดียว
ปีเตอร์ลินซ์ไม่มีคู่คิดเลย
แม้นกระทั่ง เบนจามิน โซรอส ฟิลลิป ดร.นิเวศน์ และผู้รู้จริงทั้งหลาย ท่านเป็นสิงห์หรือเปล่าคุณโหน่ง
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- Renne
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 21
คำถามพี่humdrum ฝึกความคิดดีจริงๆึึครับ
ส่วนเรื่องเซียน 3 สัตว์นั้น เพราะเซียนสิงโตวิเคราะห์จะคำพูดที่สองเซียนสัตว์ที่เหลือตอบใช่ไหมครับ เอามาคิดเทียบกับจำนวนหมวกที่ระบุว่า หมวกแดง3ใบ หมวกขาว2ใบ
ขอลองตอบนะครับ ขอถมขาวนะครับ จะได้ไมเ่ป็นการเฉลยคนอื่น คิดว่าน่าจะถูก(มั้งนะครับ)
ส่วนเรื่องเซียน 3 สัตว์นั้น เพราะเซียนสิงโตวิเคราะห์จะคำพูดที่สองเซียนสัตว์ที่เหลือตอบใช่ไหมครับ เอามาคิดเทียบกับจำนวนหมวกที่ระบุว่า หมวกแดง3ใบ หมวกขาว2ใบ
ขอลองตอบนะครับ ขอถมขาวนะครับ จะได้ไมเ่ป็นการเฉลยคนอื่น คิดว่าน่าจะถูก(มั้งนะครับ)
ไม่รู้ถูกหรือเปล่านะครับ :roll:กระทิงบอกว่า ไม่รู้ว่าตนใส่หมวกสีอะไร เพราะสัตว์ข้างหน้าสองคน ใส่สีคนละสีกัน หรือไม่ก็แดงทั้งคู่ (ถ้าใส่ขาวทั้งคู่ กระทิงจะเดาได้ว่าตัวเองใส่แดง เพราะหมวกขาวหมดแล้ว) มาถึงเซียนเสือ พอฟังคำตอบจากเซียนกระทิงก็บอกว่าไม่รู้อีก ทั้งๆที่เห็นหมวกเซียนสิงโต แสดงว่าเซียนสิงโตต้องใส่แดงแน่ๆ เพราะถ้าสิงโตใส่ขาว เสือจะเดาได้ว่าตนเองต้องใส่แดง (จากเหตุผลของเซียนกระทิง ที่แบ่งความน่าจะเป็นได้สองทาง คือ ขาวแดง กับ แดงแดง ในเมือถ้าเซียนสิงโตใส่ขาว เสือก็ต้องแดง แต่นี่สิงโตดันแดง เสือเลยไม่รู้ว่าตนแดงหรือขาว ) เซียนเสือจึงบอกไม่รู้ ทำให้เซียนสิงโตรู้ว่าตนเองใส่หมวกสีแดง
"มีสติ คิดก่อนทำ และอย่าดูถูกตลาดมากเกินไป"
"เป็นเรื่องง่ายที่จะถือหุ้นเอาไว้ให้นานและี่ยากที่จะรอซื้อในราคาที่เหมาะสม"
"เป็นเรื่องง่ายที่จะถือหุ้นเอาไว้ให้นานและี่ยากที่จะรอซื้อในราคาที่เหมาะสม"
-
- Verified User
- โพสต์: 4395
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 22
เซียนกระทิง บอกผมไม่รู้ แสดงว่าเซียนกระทิง เห็นคนใส่หมวกสีแดง2ใบ
หรือเซียนกระทิง เห็นคนใส่หมวกสีแดง1ใบและสีขาว1ใบ
เซียนเสือบอกผมไม่รู้ แสดงว่าเซียนเสือเห็นคนใส่หมวกสีแดง1ใบ
ทำให้เซียนสิงโตรู้ว่าตัวเองใส่หมวกสีอะไร
หรือเซียนกระทิง เห็นคนใส่หมวกสีแดง1ใบและสีขาว1ใบ
เซียนเสือบอกผมไม่รู้ แสดงว่าเซียนเสือเห็นคนใส่หมวกสีแดง1ใบ
ทำให้เซียนสิงโตรู้ว่าตัวเองใส่หมวกสีอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 21
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 23
เป็นเเนวคิดที่ดีครับ นี่คือการคิดที่เปนระบบ มีหลักฐานยืนยันได้ โดยใช้หลักความน่าจะเป็น เเต่ปัญหาคือ การประเมินความน่าจะเป็นนี่เเหละ ตัวยากเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 24
. |:B \ .............สวัสดีครับ ผมเคยไปอบรมที่อิสราเอลนานเกือบเดือน
สถาปนิค คนยิวนี่เป็นตัวของตัวเอง ระเบียบ วินัย จัดมาก
| /
:lol:...... สวัสดีครับท่านสถาปนิค
|O\
| \
เรื่องคนยิวมีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับคนในเว็บ
Thaivi ผมจะอธิบายดังนี้ครับ
ชนชาติยิว ได้รับการยกย่องใน 3 เรื่อง คือ
1. สติปัญญา
2.ความเคี่ยว
3.การต่อรอง
เรื่อง สติปัญญา นั้น เราจะพบเห็นได้ว่า
บรรดา นักคิด นักเขียนส่วนใหญ่ ที่มีชื่อ ล้วนมีเชื้อสายยิว ทั้งนั้น
เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริย
อดัม สมิธ บิดาแห่ง เศรษฐศาสตร์,
วอลแตร์ ผู้จุดประกายการปฏิวัติฝรั่งเศส ,
ซิกมันต์ ฟรอยด์ บิดาแห่งจิตวิทยา
เปาโล ผู้นำคริสเตียนหลังยุคพระเยซู ฯลฯ
เรื่องความเคี่ยว ถ้าใครเคยทำธุรกิจกับยิวแล้วจะรู้ดี
มีวรรณกรรมเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนนิสัยเรื่องนี้ ของคนยิวได้เป็นอย่างดี
คือ เรื่อง MARCHANT OF VENICE หรือ เวนิสวานิช
ประการสุดท้าย เรื่องการต่อรอง เรื่องนี้
ถือเป็นหัวใจหลักของการดำรงเผ่าพันธุ์ ของยิว เลยทีเดียว
การที่ยิว สามารถดำรงชนชาติ ผ่านร้อน ผ่านหนาว
มามากว่า 4,000 ปีได้ นั้น ก็ด้วยอาศัยการต่อรอง ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองในระดับปัจเจกบุคคล หรือ ระดับชาติ
ยิว รอดพ้นจากการทำลายล้างของ โรมัน ก็ด้วยการต่อรอง
เข้าไปมีบทบาทกับการก่อตั้งประเทศ สหรัฐอเมริกา ก็ด้วยการต่อรอง
เข้าไปควบคุมเศรษฐกิจของสหรัฐก็ด้วยการต่อรอง
เข้าไป ควบคุมราชบัลลังก์อังกฤษ ก็ด้วยการต่อรอง
รอดพ้นจากการสูญเผ่าพันธ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ด้วยการต่อรอง
จัดตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมาก็ด้วยการต่อรองกับอังกฤษ
และทุกวันนี้ ยิวอิสราเอล ก็ยังใช้ให้คนอเมริกา ไปรบกับมุสลิม
ไปตายแทนพวกเขาก้ด้วยการต่อรองทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่า ยิวนั้นสร้างข้อได้เปรียบจากลักษณะนิสัยของตนเอง
ชิงความได้เปรียบ จากสิ่งที่ผู้คนอื่น ๆ มองข้ามมันไป
ซึ่งถ้าเรา เรียนรู้ที่จะมีวิธีคิดแบบยิว ก็จะช่วยให้
สังคม Thaivi พัฒนาไปได้อีกไกลเลยทีเดียว
ในประวัติศาสตร์ คนยิิวโดนขับไล่ตลอด
ไปไหนก็โดนเขาไล่ ตั้งแต่อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน
การที่ต้องเจอกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การเคยชินกับสิ่งต่าง ๆ จึงเป้นสิ่งต้องห้ามลำดับแรก
คนยิวบอกว่า..
ความเคยชินเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอด
ความสะดวกสบายไม่เป็นผลดีต่อชีวิต
พุดกันโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาจะไม่เคยพอใจกับสภาพชีวิตที่เป้นอยู่
แม้กระทั่งความมั่นคงทางการเงิน
ชาวยิวถูกสอนให้เป็นอิสระจากความรู้ในอดีต
เพราะความรู้เป็นตัวขัดขวางไม่ให้คนพัฒนาความคิด
พวกเขามีขอบเขตแห่งการรับรู้ที่ต้องเปิดกว้า่งตลอดเวลา
หลักสำคัญ คือ จะต้่องตอบคำถามด้วยคำถามเสมอ
หลักการลงทุนเน้นคุณค่าคิดโดยคนยิวที่ชื่อ Benjamin Graham
หลักการลงทุนเน้นคุณค่าพัฒนามาจากนิสัยของคนยิว
นักลงทุนเน้นคุณค่าบางคนอาจกำลังหลงทาง
ความเข้าใจผิด ๆ และการยึดติดแบบผิด ๆ
รวมทั้งความไม่เข้าใจตัวเองแบบผิด ๆ
เข้าไปดู "นักลงทุนคุณค่า"
ที่เขาเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น
พวกเขาไม่เข้าใจรากเง้าของหลักทางความคิด VI ว่ามาจากพื้นฐานใด
นักลงทุนรุ่นใหม่เหมือนไมโครเวฟเกินไป
พวกเขาอยากได้ทุกอย่างมาแบบพร้อมที่จะเสริฟ
หรือ "ความคิด" ทำให้เจ็บปวด
การไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
ทำให้คนยิวสามารถพัฒนาความสามารถที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่
เราดูปรัชญาวิธีคิดแบบยิว
รู้เขารู้เรา อะไรที่ดี ก็เอาไปใช้ อะไรที่ไม่ดีก็ปรับปรุงประยุกต์ใหม่
ปรัชญายิวกล่าวว่า ศาสนาคริสต์นั้นสอนให้รักคนอื่น
แต่ยิวสอนว่า ให้รักตัวเองก่อน และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน
คนที่ไม่รักตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปรักคนอื่น
มีนิทานยิวเรื่องหนึ่ง บันทึกว่า...
อาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่ง สนทนากันอยู่
ลูกศิษย์ ถามอาจารย์ว่า " อาจารย์ครับ สัจธรรมมีอยู่ทุกหนแห่ง
เหมือนก้อนหินตามทางที่เราเดินผ่านกระนั้นหรือ "
ท่านอาจารย์ ตอบว่า "..ถูกแล้ว เราสามารถก้มลงหยิบสัจธรรมได้ทุกหน
แห่ง แต่การหยิบต้องงอเอว และตรงนี้เองแหละที่ทำยาก"
คนยิวกล่าวว่า ความถ่อมตัวนั้น เป็นสิ่งสำคัญ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วไม่รู้จักถ่อมตัว
ไม่รู้จักโค้งคำนับผู้อื่น สักวันจะถูกยึดทรัพย์ จะถูกเนรเทศ
คนชั่วที่น่ากลัว คือ คนฉลาดที่ไม่รู้จักถ่อมตัว
แม้ว่าความฉลาดจะเป็นเรื่องดี
แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาฉลาดแบบเห็นแก่ตัว
คนยิว นั้น จะให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสารมาก
สื่อหลาย ๆ แห่ง ถึงมีคนยิวเข้าไปร่วมอยู่ด้วยเสมอ
คนยิวชอบตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบจนแน่ใจว่าใช่แล้วจึงเชื่อ
คนยิวกล่าวว่า...
การหลงทาง 1 ครั้ง มิสู้ถาม 10 ครั้งแล้วไม่หลงทาง
ไม่ดีกว่าเหรอครับ?
สวัสดีครับ
ขอบคุณสำหรับที่มา:
http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=42.0
สถาปนิค คนยิวนี่เป็นตัวของตัวเอง ระเบียบ วินัย จัดมาก
| /
:lol:...... สวัสดีครับท่านสถาปนิค
|O\
| \
เรื่องคนยิวมีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับคนในเว็บ
Thaivi ผมจะอธิบายดังนี้ครับ
ชนชาติยิว ได้รับการยกย่องใน 3 เรื่อง คือ
1. สติปัญญา
2.ความเคี่ยว
3.การต่อรอง
เรื่อง สติปัญญา นั้น เราจะพบเห็นได้ว่า
บรรดา นักคิด นักเขียนส่วนใหญ่ ที่มีชื่อ ล้วนมีเชื้อสายยิว ทั้งนั้น
เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริย
อดัม สมิธ บิดาแห่ง เศรษฐศาสตร์,
วอลแตร์ ผู้จุดประกายการปฏิวัติฝรั่งเศส ,
ซิกมันต์ ฟรอยด์ บิดาแห่งจิตวิทยา
เปาโล ผู้นำคริสเตียนหลังยุคพระเยซู ฯลฯ
เรื่องความเคี่ยว ถ้าใครเคยทำธุรกิจกับยิวแล้วจะรู้ดี
มีวรรณกรรมเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนนิสัยเรื่องนี้ ของคนยิวได้เป็นอย่างดี
คือ เรื่อง MARCHANT OF VENICE หรือ เวนิสวานิช
ประการสุดท้าย เรื่องการต่อรอง เรื่องนี้
ถือเป็นหัวใจหลักของการดำรงเผ่าพันธุ์ ของยิว เลยทีเดียว
การที่ยิว สามารถดำรงชนชาติ ผ่านร้อน ผ่านหนาว
มามากว่า 4,000 ปีได้ นั้น ก็ด้วยอาศัยการต่อรอง ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองในระดับปัจเจกบุคคล หรือ ระดับชาติ
ยิว รอดพ้นจากการทำลายล้างของ โรมัน ก็ด้วยการต่อรอง
เข้าไปมีบทบาทกับการก่อตั้งประเทศ สหรัฐอเมริกา ก็ด้วยการต่อรอง
เข้าไปควบคุมเศรษฐกิจของสหรัฐก็ด้วยการต่อรอง
เข้าไป ควบคุมราชบัลลังก์อังกฤษ ก็ด้วยการต่อรอง
รอดพ้นจากการสูญเผ่าพันธ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ด้วยการต่อรอง
จัดตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมาก็ด้วยการต่อรองกับอังกฤษ
และทุกวันนี้ ยิวอิสราเอล ก็ยังใช้ให้คนอเมริกา ไปรบกับมุสลิม
ไปตายแทนพวกเขาก้ด้วยการต่อรองทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่า ยิวนั้นสร้างข้อได้เปรียบจากลักษณะนิสัยของตนเอง
ชิงความได้เปรียบ จากสิ่งที่ผู้คนอื่น ๆ มองข้ามมันไป
ซึ่งถ้าเรา เรียนรู้ที่จะมีวิธีคิดแบบยิว ก็จะช่วยให้
สังคม Thaivi พัฒนาไปได้อีกไกลเลยทีเดียว
ในประวัติศาสตร์ คนยิิวโดนขับไล่ตลอด
ไปไหนก็โดนเขาไล่ ตั้งแต่อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน
การที่ต้องเจอกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การเคยชินกับสิ่งต่าง ๆ จึงเป้นสิ่งต้องห้ามลำดับแรก
คนยิวบอกว่า..
ความเคยชินเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอด
ความสะดวกสบายไม่เป็นผลดีต่อชีวิต
พุดกันโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาจะไม่เคยพอใจกับสภาพชีวิตที่เป้นอยู่
แม้กระทั่งความมั่นคงทางการเงิน
ชาวยิวถูกสอนให้เป็นอิสระจากความรู้ในอดีต
เพราะความรู้เป็นตัวขัดขวางไม่ให้คนพัฒนาความคิด
พวกเขามีขอบเขตแห่งการรับรู้ที่ต้องเปิดกว้า่งตลอดเวลา
หลักสำคัญ คือ จะต้่องตอบคำถามด้วยคำถามเสมอ
หลักการลงทุนเน้นคุณค่าคิดโดยคนยิวที่ชื่อ Benjamin Graham
หลักการลงทุนเน้นคุณค่าพัฒนามาจากนิสัยของคนยิว
นักลงทุนเน้นคุณค่าบางคนอาจกำลังหลงทาง
ความเข้าใจผิด ๆ และการยึดติดแบบผิด ๆ
รวมทั้งความไม่เข้าใจตัวเองแบบผิด ๆ
เข้าไปดู "นักลงทุนคุณค่า"
ที่เขาเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น
พวกเขาไม่เข้าใจรากเง้าของหลักทางความคิด VI ว่ามาจากพื้นฐานใด
นักลงทุนรุ่นใหม่เหมือนไมโครเวฟเกินไป
พวกเขาอยากได้ทุกอย่างมาแบบพร้อมที่จะเสริฟ
หรือ "ความคิด" ทำให้เจ็บปวด
การไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
ทำให้คนยิวสามารถพัฒนาความสามารถที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่
เราดูปรัชญาวิธีคิดแบบยิว
รู้เขารู้เรา อะไรที่ดี ก็เอาไปใช้ อะไรที่ไม่ดีก็ปรับปรุงประยุกต์ใหม่
ปรัชญายิวกล่าวว่า ศาสนาคริสต์นั้นสอนให้รักคนอื่น
แต่ยิวสอนว่า ให้รักตัวเองก่อน และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน
คนที่ไม่รักตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปรักคนอื่น
มีนิทานยิวเรื่องหนึ่ง บันทึกว่า...
อาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่ง สนทนากันอยู่
ลูกศิษย์ ถามอาจารย์ว่า " อาจารย์ครับ สัจธรรมมีอยู่ทุกหนแห่ง
เหมือนก้อนหินตามทางที่เราเดินผ่านกระนั้นหรือ "
ท่านอาจารย์ ตอบว่า "..ถูกแล้ว เราสามารถก้มลงหยิบสัจธรรมได้ทุกหน
แห่ง แต่การหยิบต้องงอเอว และตรงนี้เองแหละที่ทำยาก"
คนยิวกล่าวว่า ความถ่อมตัวนั้น เป็นสิ่งสำคัญ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วไม่รู้จักถ่อมตัว
ไม่รู้จักโค้งคำนับผู้อื่น สักวันจะถูกยึดทรัพย์ จะถูกเนรเทศ
คนชั่วที่น่ากลัว คือ คนฉลาดที่ไม่รู้จักถ่อมตัว
แม้ว่าความฉลาดจะเป็นเรื่องดี
แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาฉลาดแบบเห็นแก่ตัว
คนยิว นั้น จะให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสารมาก
สื่อหลาย ๆ แห่ง ถึงมีคนยิวเข้าไปร่วมอยู่ด้วยเสมอ
คนยิวชอบตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบจนแน่ใจว่าใช่แล้วจึงเชื่อ
คนยิวกล่าวว่า...
การหลงทาง 1 ครั้ง มิสู้ถาม 10 ครั้งแล้วไม่หลงทาง
ไม่ดีกว่าเหรอครับ?
สวัสดีครับ
ขอบคุณสำหรับที่มา:
http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=42.0
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Expected value analysis
โพสต์ที่ 25
My desktop has broken down.
I'm using my laptop which hasn't got Thai key board.
I really want to express my feeling after following this board.
You are unbelievable!!!! very high imaginations!!!
I can't just read, but have to use every single spot of my brain to process understanding.
Please accept my respect!!!!
Kob khun crabbbbb
I'm using my laptop which hasn't got Thai key board.
I really want to express my feeling after following this board.
You are unbelievable!!!! very high imaginations!!!
I can't just read, but have to use every single spot of my brain to process understanding.
Please accept my respect!!!!
Kob khun crabbbbb
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Isamu
- Verified User
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 26
ขอความกรุณาพี่โหน่งอธิบายที่มาที่ไป หลักการของ reflexivity กับ circle of competence ด้วยครับ ผมอยากเข้าใจให้ละเอียดกว่านี้เพราะไม่เคยรู้มาก่อนครับ
เรื่องวิธีการเรียน ผมเห็นว่าเรียนด้วยคำถาม หรือเรียนด้วยคำตอบก็ได้ครับ
เรียนด้วยคำตอบ เรียกว่าใช้ศรัทธานำปัญญา เชื่อที่ครูสอนไว้ก่อน เกิดปัญญา แล้วเกิดปัญหา จึงถาม ไม่ค่อยกล้าถามใช้วิธีฟังมาก อ่านมากเอา
เรียนด้วยคำถาม ฝรั่งเป็นมากกว่าคนไทย คือไม่เชื่อไว้ก่อนจนจะพิสูจน์ได้ว่าใช่ ใช้วิธีฟังมาก อ่านมากเอาเหมือนกัน แต่เพื่อที่จะพยายามไม่เชื่อ
ผมคิดว่าจะใข้วิธีใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้เรียน แต่สุดท้ายศรัทธาและปัญญา ต้องเสมอกัน (คำถามและคำตอบเสมอกัน)
ปล. ชอบรูปแมวครับ อันนี้ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้ว
เรื่องวิธีการเรียน ผมเห็นว่าเรียนด้วยคำถาม หรือเรียนด้วยคำตอบก็ได้ครับ
เรียนด้วยคำตอบ เรียกว่าใช้ศรัทธานำปัญญา เชื่อที่ครูสอนไว้ก่อน เกิดปัญญา แล้วเกิดปัญหา จึงถาม ไม่ค่อยกล้าถามใช้วิธีฟังมาก อ่านมากเอา
เรียนด้วยคำถาม ฝรั่งเป็นมากกว่าคนไทย คือไม่เชื่อไว้ก่อนจนจะพิสูจน์ได้ว่าใช่ ใช้วิธีฟังมาก อ่านมากเอาเหมือนกัน แต่เพื่อที่จะพยายามไม่เชื่อ
ผมคิดว่าจะใข้วิธีใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้เรียน แต่สุดท้ายศรัทธาและปัญญา ต้องเสมอกัน (คำถามและคำตอบเสมอกัน)
ปล. ชอบรูปแมวครับ อันนี้ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 27
.
|/..... ขอความกรุณาพี่โหน่งอธิบายที่มาที่ไป หลักการของ
isamu reflexivity กับ circle of competence ด้วยครับ
| \
:oops: ....... สวัสดีครับ
\O \ ตอนปี 48 กระผมไปเจอหนังสือจีนเก่าๆ เล่มหนึ่งเกี่ยวกับคนยิว
/ \ ไปเจอที่ร้านหนังสือเก่าที่ปักกิ่ง พิมพ์ไว้เกือบ 40 กว่าปีที่แล้ว
กระผมติดกลับมาให้แฟนนั่งแปลให้อ่าน เพราะตัวเองไม่มีปัญญา
อ่านแล้วถึงได้รู้ว่า คนญี่ปุ่น คนจีน คนเกาหลี ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคน
ยิวมานาน แล้ว แต่คนไทยยังไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก
ขอเกิ่นๆ เผื่อท่านใดไม่เคยทราบเรื่องคนยิวครับ....
ฝรั่งสมัยโน้นนนนไม่เอาค้าขาย พึ่งจะมาเอาแค่ร้อยกว่าปีมานี่เอง
อาชีพไหนเกี่ยวกับค้าขาย ก็เป็นคนยิวทั้งนั้น ฝรั่งให้คนยิวไปทำ
คนยิวค้าขายแล้วก็จดลงในบันทึกกันต่อ ๆ มา
ปริศนา เหล่านี้ถ่ายทอดกันมาเป็นรุ่นๆ ใน คัมภีร์ทาลมุด
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมรางวัลโนเบลสาขาเศรษศาสตร์จึงมีแต่คนยิว
ส่วนใหญ่ เพราะพวกเขาเรียนเรื่องการค้า ดอกเบี่ย
และ how to trade กันตั้งแต่ยังเด็ก ๆ
พอประมาณสัก 7 ขวบ เด็ก ๆ ชาวยิวก็เริ่มเรียนเศรษศาสตร์อย่างนี้กัน
เขาเรียนหลังเรียนคัมภีร์โทรา โดยแรบไบก็เป็นคนสอน
เป็นครูคอยสอนเรื่องศาสนา แล้วยังสอนเรื่องเงินเรื่องทองด้วย
ท่านจะยกประเด้นมาให้เด็ก ๆ ได้พูดคุยได้ต่อยอดในสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์
คุยไปคุยมา ความคิดมันก็ค่อยๆ คมขึ้น เซลประสาทเรื่องตรรกะ
เศรษศาสตร์มันก็แตกแขนออกเรื่อยๆ มากกว่าชนชาตือื่น ๆ
ที่สำคัญ พวกเขาเรียนแล้วก้ยังจดลงไปในคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังได้เรียนกันอีก
ชนชาติเขาก็เลยอยู่มาจนทุกวันนี้ได้ เพราะด้วยเหตุการบันทึกไว้อย่างนี้
ช่วงไหน...
ต้องเร่ร่อนหนีชนชาตือื่น ก็ต้องจำเอา เวลาหนีก็หนีได้เร็ว
ไม่ต้องขนหนังสือกัน เพราะจำอยู่ในหัวหมดแล้ว
เซียนเรื่องจำก็เลยเป็นคนยิวซะเยอะ
หนังสือการจำแบบคนยิว มีให้เห็น
อีกทั้งชาวยิว เพราะได้คิดค้าคิดขายตั้งแต่เด็ก เซียนเรื่องค้าขาย
รวมถึงเรื่องเทรดหุ้น จึงเป็นคนยิวซะเยอะเหมือนกันครับ
หนังสือการทำธุรกิจแบบยิว มีให้อ่าน
ไม่ต้องพูดถึงเบนจามิน แกรม ท่านก็เป็นคนยิว
ยังมีเรื่องของสถาพแวดล้อมการศึกษาแบบยิวที่เรียกว่า
เฮฟรูทา" เรียนแบบจับคู่เรียน
เวลาเรียนนั้นต้องเอาเหตุและผลมาเถียงกัน
อาวุธที่สำคัญที่สุดของคนยิวนั้นไม่ใช่ปืน
แต่เป็นหลักตรรกะเป็นการใช้เหตุและผล
เซียนเรื่องกฎหมายจึงตกเป็นของคนยิว
หนังสือเรื่องการต่อรองแบบคนยิว
กระผมโชคดีดั้งด้นหามาอ่านจนได้เหมือนกัน
ส่วนเรื่อง value investing...
กระผมพอไปศึกษาเรื่องคนยิว
ก็เข้าใจเรื่องการลงทุนเน้นคุณค่ามากขึ้นกว่าเก่าเยอะ
สมัยก่อนเพียงแต่ท่องจำมาจากหนังสือเท่านั้น
ซึ่งเป็นคนไม่ชอบจำอยู่แล้ว แต่นิสัยที่ชอบสนใจประวัติศาสตร์
ไม่ยักชอบจำ แต่ชอบหาเหตุและผลที่อยู่เบื้อหลังเหตุการณ์เหล่านั้น
กลายเป็นว่าจากจุดนี้สองปีผ่านมาพอเข้าใจเรื่องคนยิวดีขึ้นแล้ว
ก็เลยโยงไปหาการลงทุนที่เบนจามิน แกรม เป็นคนต้นคิด
พอเรารู้ว่าเขาเป็นคนยิว ที่นี่มันก็เลยเป้นภาพจิกซอลขนาดใหญ่
ซึ่งความรู้ต่างๆ มักจะปะติดปะต่อเป็นอย่างนี้
คนที่สนใจประวัติศาตร์จะเข้าใจดีของเทคนิคข้อนี้
โดยเฉพาะ อ.มังเกอร์ ท่านเป้นปราชญ์ด้านนี้
แม้กระทั่งบัฟเฟตเอง ไม่ใช่ชาวยิวก็จริง
แต่ถ้าใครว่างเหมือนกระผม
จนไปตามเช็ครายชื่อบริษัทที่บัฟเฟตไปลงทุน
จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทของชาวยิวทั้งนั้น
ความผูกพันธ์ของชาวยิวกับบัฟเฟตนั้นดูเหมือนมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
อย่างแนบแน่นตั้งแต่สมัยเขาอยู่กับ อ.เบนจามิน แกรมแล้ว
เวลาเห้นบริษัทที่มาจากอิสลราเอลที่ลงทุนในไทย
ก็ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบริษัทเครือข่ายของเบิกเชอร์หรือปล่าว
เพราะในเมืองไทยมีบริษัทยิวที่บัฟเฟตเป็นเจ้าของอยู่ด้วย
เรื่องของcircle of competence, margin of safety , Business
Partnership และ Mr. Market
หลักการเหล่านี้ล้วนเป้นวิธีคิดที่มาจากรากฐานความคิดของคนยิวทั้งนั้น
และที่สำคัญ พอเราเข้าใจรากเง้าของความคิดเหล่านั้นแล้ว
เราก็เอาไปดัดแปลงต่อยอดกับเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การลงทุนได้อีกไม่รู้จบ
กระผมขอสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ...
การจำแบบคนยิว เกียวข้องกับ circle of competence
การทำธุรกิจแบบยิว เกี่ยวข้องกับ Business Partnership
การต่อรองแบบยิว เกี่ยวข้องกับ Mr. Market
ส่วนเรื่อง Margin of safety และ Reflexivity
กระผมแนะนำอ่านประวัติศาสตร์ชาวยิวถึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง!
กระผมมาชวนลับ "ความคม" ของท่าน กับแรบไบโยเซฟ
เหมือนกับที่เด็กๆ ชาวยิวลับ "ความคม" กับ แรบไบของพวกเขา
ไม่น่าเชื่อครับ ว่าระบบนี้จะสร้างปราชย์ด้านการลงทุน
ด้านธุรกิจและ ด้านวิทยศาสตร์ และ อื่นๆ อีกมากมาย
จะว่าไปแล้วถ้ามีสถาบันสักแห่งที่นำระบบยิวมาใช้ในระบบการศึกษา
ในเมืองไทยก็จะดีอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างแรกต้องปรับทัศนคติของอาจารย์ที่สอนกันขนานใหญ่ทีเดียวครับ
มาสัมผัสบรรยากาศเหล่านั้นกันเลยดีกว่าครับ!!
ประเทศ T และ C ติดกัน ร่ำรวยพอๆ กัน แต่ไม่ยักถูกกัน
สินค้าก็แลกเปลี่ยนกันตรงชายแดนอยู่เป็นปกติ ช่วงไหนรบกัน ก็
ต่างคนต่างปิดชายแดนเอาดื้อ ๆ
วันหนึ่ง T เลยประกาศกฎหมายออกไปว่า "ตั้งแต่นี้ไป
ค่าเงินประเทศ C 1 เฟื้อง แลกเงิน T ได้ไม่เต็มเฟื่องแล้ว ได้
แค่ .90 เฟื่อง นะเฟ้ย"
C ก็เอาบ้าง ก็ตะโกนกลับไปบ้างว่า เอ้ย..
."ค่าเงินของยูนะเจ้าคน T มีค่าเท่ากับ .90 เฟื่องของเฮาบ้างเหมือนกัน"
ปรากฎว่า คนยิวคนหนึ่งอาศัยตรงชายแดนหากินมานาน
พอทราบข่าวนี้ ก็เกิดไอเดียอันบันเจิด
สามารถสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ กลายเป็นเศรษฐีด้วยเพราะเหตุจาก
กฎหมายที่ทั้งสองประเทศประกาศออกมา
ถามว่า พ่อค้าชาวยิวคนนั้นทำได้อย่างไรครับ?
|/..... ขอความกรุณาพี่โหน่งอธิบายที่มาที่ไป หลักการของ
isamu reflexivity กับ circle of competence ด้วยครับ
| \
:oops: ....... สวัสดีครับ
\O \ ตอนปี 48 กระผมไปเจอหนังสือจีนเก่าๆ เล่มหนึ่งเกี่ยวกับคนยิว
/ \ ไปเจอที่ร้านหนังสือเก่าที่ปักกิ่ง พิมพ์ไว้เกือบ 40 กว่าปีที่แล้ว
กระผมติดกลับมาให้แฟนนั่งแปลให้อ่าน เพราะตัวเองไม่มีปัญญา
อ่านแล้วถึงได้รู้ว่า คนญี่ปุ่น คนจีน คนเกาหลี ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคน
ยิวมานาน แล้ว แต่คนไทยยังไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก
ขอเกิ่นๆ เผื่อท่านใดไม่เคยทราบเรื่องคนยิวครับ....
ฝรั่งสมัยโน้นนนนไม่เอาค้าขาย พึ่งจะมาเอาแค่ร้อยกว่าปีมานี่เอง
อาชีพไหนเกี่ยวกับค้าขาย ก็เป็นคนยิวทั้งนั้น ฝรั่งให้คนยิวไปทำ
คนยิวค้าขายแล้วก็จดลงในบันทึกกันต่อ ๆ มา
ปริศนา เหล่านี้ถ่ายทอดกันมาเป็นรุ่นๆ ใน คัมภีร์ทาลมุด
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมรางวัลโนเบลสาขาเศรษศาสตร์จึงมีแต่คนยิว
ส่วนใหญ่ เพราะพวกเขาเรียนเรื่องการค้า ดอกเบี่ย
และ how to trade กันตั้งแต่ยังเด็ก ๆ
พอประมาณสัก 7 ขวบ เด็ก ๆ ชาวยิวก็เริ่มเรียนเศรษศาสตร์อย่างนี้กัน
เขาเรียนหลังเรียนคัมภีร์โทรา โดยแรบไบก็เป็นคนสอน
เป็นครูคอยสอนเรื่องศาสนา แล้วยังสอนเรื่องเงินเรื่องทองด้วย
ท่านจะยกประเด้นมาให้เด็ก ๆ ได้พูดคุยได้ต่อยอดในสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์
คุยไปคุยมา ความคิดมันก็ค่อยๆ คมขึ้น เซลประสาทเรื่องตรรกะ
เศรษศาสตร์มันก็แตกแขนออกเรื่อยๆ มากกว่าชนชาตือื่น ๆ
ที่สำคัญ พวกเขาเรียนแล้วก้ยังจดลงไปในคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังได้เรียนกันอีก
ชนชาติเขาก็เลยอยู่มาจนทุกวันนี้ได้ เพราะด้วยเหตุการบันทึกไว้อย่างนี้
ช่วงไหน...
ต้องเร่ร่อนหนีชนชาตือื่น ก็ต้องจำเอา เวลาหนีก็หนีได้เร็ว
ไม่ต้องขนหนังสือกัน เพราะจำอยู่ในหัวหมดแล้ว
เซียนเรื่องจำก็เลยเป็นคนยิวซะเยอะ
หนังสือการจำแบบคนยิว มีให้เห็น
อีกทั้งชาวยิว เพราะได้คิดค้าคิดขายตั้งแต่เด็ก เซียนเรื่องค้าขาย
รวมถึงเรื่องเทรดหุ้น จึงเป็นคนยิวซะเยอะเหมือนกันครับ
หนังสือการทำธุรกิจแบบยิว มีให้อ่าน
ไม่ต้องพูดถึงเบนจามิน แกรม ท่านก็เป็นคนยิว
ยังมีเรื่องของสถาพแวดล้อมการศึกษาแบบยิวที่เรียกว่า
เฮฟรูทา" เรียนแบบจับคู่เรียน
เวลาเรียนนั้นต้องเอาเหตุและผลมาเถียงกัน
อาวุธที่สำคัญที่สุดของคนยิวนั้นไม่ใช่ปืน
แต่เป็นหลักตรรกะเป็นการใช้เหตุและผล
เซียนเรื่องกฎหมายจึงตกเป็นของคนยิว
หนังสือเรื่องการต่อรองแบบคนยิว
กระผมโชคดีดั้งด้นหามาอ่านจนได้เหมือนกัน
ส่วนเรื่อง value investing...
กระผมพอไปศึกษาเรื่องคนยิว
ก็เข้าใจเรื่องการลงทุนเน้นคุณค่ามากขึ้นกว่าเก่าเยอะ
สมัยก่อนเพียงแต่ท่องจำมาจากหนังสือเท่านั้น
ซึ่งเป็นคนไม่ชอบจำอยู่แล้ว แต่นิสัยที่ชอบสนใจประวัติศาสตร์
ไม่ยักชอบจำ แต่ชอบหาเหตุและผลที่อยู่เบื้อหลังเหตุการณ์เหล่านั้น
กลายเป็นว่าจากจุดนี้สองปีผ่านมาพอเข้าใจเรื่องคนยิวดีขึ้นแล้ว
ก็เลยโยงไปหาการลงทุนที่เบนจามิน แกรม เป็นคนต้นคิด
พอเรารู้ว่าเขาเป็นคนยิว ที่นี่มันก็เลยเป้นภาพจิกซอลขนาดใหญ่
ซึ่งความรู้ต่างๆ มักจะปะติดปะต่อเป็นอย่างนี้
คนที่สนใจประวัติศาตร์จะเข้าใจดีของเทคนิคข้อนี้
โดยเฉพาะ อ.มังเกอร์ ท่านเป้นปราชญ์ด้านนี้
แม้กระทั่งบัฟเฟตเอง ไม่ใช่ชาวยิวก็จริง
แต่ถ้าใครว่างเหมือนกระผม
จนไปตามเช็ครายชื่อบริษัทที่บัฟเฟตไปลงทุน
จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทของชาวยิวทั้งนั้น
ความผูกพันธ์ของชาวยิวกับบัฟเฟตนั้นดูเหมือนมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
อย่างแนบแน่นตั้งแต่สมัยเขาอยู่กับ อ.เบนจามิน แกรมแล้ว
เวลาเห้นบริษัทที่มาจากอิสลราเอลที่ลงทุนในไทย
ก็ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบริษัทเครือข่ายของเบิกเชอร์หรือปล่าว
เพราะในเมืองไทยมีบริษัทยิวที่บัฟเฟตเป็นเจ้าของอยู่ด้วย
เรื่องของcircle of competence, margin of safety , Business
Partnership และ Mr. Market
หลักการเหล่านี้ล้วนเป้นวิธีคิดที่มาจากรากฐานความคิดของคนยิวทั้งนั้น
และที่สำคัญ พอเราเข้าใจรากเง้าของความคิดเหล่านั้นแล้ว
เราก็เอาไปดัดแปลงต่อยอดกับเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การลงทุนได้อีกไม่รู้จบ
กระผมขอสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ...
การจำแบบคนยิว เกียวข้องกับ circle of competence
การทำธุรกิจแบบยิว เกี่ยวข้องกับ Business Partnership
การต่อรองแบบยิว เกี่ยวข้องกับ Mr. Market
ส่วนเรื่อง Margin of safety และ Reflexivity
กระผมแนะนำอ่านประวัติศาสตร์ชาวยิวถึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง!
กระผมมาชวนลับ "ความคม" ของท่าน กับแรบไบโยเซฟ
เหมือนกับที่เด็กๆ ชาวยิวลับ "ความคม" กับ แรบไบของพวกเขา
ไม่น่าเชื่อครับ ว่าระบบนี้จะสร้างปราชย์ด้านการลงทุน
ด้านธุรกิจและ ด้านวิทยศาสตร์ และ อื่นๆ อีกมากมาย
จะว่าไปแล้วถ้ามีสถาบันสักแห่งที่นำระบบยิวมาใช้ในระบบการศึกษา
ในเมืองไทยก็จะดีอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างแรกต้องปรับทัศนคติของอาจารย์ที่สอนกันขนานใหญ่ทีเดียวครับ
มาสัมผัสบรรยากาศเหล่านั้นกันเลยดีกว่าครับ!!
ประเทศ T และ C ติดกัน ร่ำรวยพอๆ กัน แต่ไม่ยักถูกกัน
สินค้าก็แลกเปลี่ยนกันตรงชายแดนอยู่เป็นปกติ ช่วงไหนรบกัน ก็
ต่างคนต่างปิดชายแดนเอาดื้อ ๆ
วันหนึ่ง T เลยประกาศกฎหมายออกไปว่า "ตั้งแต่นี้ไป
ค่าเงินประเทศ C 1 เฟื้อง แลกเงิน T ได้ไม่เต็มเฟื่องแล้ว ได้
แค่ .90 เฟื่อง นะเฟ้ย"
C ก็เอาบ้าง ก็ตะโกนกลับไปบ้างว่า เอ้ย..
."ค่าเงินของยูนะเจ้าคน T มีค่าเท่ากับ .90 เฟื่องของเฮาบ้างเหมือนกัน"
ปรากฎว่า คนยิวคนหนึ่งอาศัยตรงชายแดนหากินมานาน
พอทราบข่าวนี้ ก็เกิดไอเดียอันบันเจิด
สามารถสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ กลายเป็นเศรษฐีด้วยเพราะเหตุจาก
กฎหมายที่ทั้งสองประเทศประกาศออกมา
ถามว่า พ่อค้าชาวยิวคนนั้นทำได้อย่างไรครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 28
ฉงนนิดๆนะ สีแดงมี3ใบ ถ้าใส่ไป2ใบ จะไม่รู้ได้ไงyoko เขียน:เซียนกระทิง บอกผมไม่รู้ แสดงว่าเซียนกระทิง เห็นคนใส่หมวกสีแดง2ใบ
หรือเซียนกระทิง เห็นคนใส่หมวกสีแดง1ใบและสีขาว1ใบ
เซียนเสือบอกผมไม่รู้ แสดงว่าเซียนเสือเห็นคนใส่หมวกสีแดง1ใบ
ทำให้เซียนสิงโตรู้ว่าตัวเองใส่หมวกสีอะไร